10 CM 6.2 : ฝนตก “เฮ้ยๆ ครูมาดูงาน” เจ รีบวิ่งมาบอกทุกคน
ผมรีบโดดลงมาจากเก้าอี้เลย เห็นได้ชัดว่า ต้อง มันตกใจ ยืนนิ่งเหมือนไม่ได้สติอยู่ตรงนั้น
พอเรานั่งกับพื้นทำตัวเรียบร้อยกันสักพัก
ไม่มีทีท่าครูจะเดินมา
“มึงทำไรมันวะ เก้า” เจ พูด
“เอ้อ แกล้งมันน่ะ” ผมโกหก
ไม่รู้ว่าใครแกล้งใครกันแน่
“มึงไข้ขึ้นเหรอ หน้าแดงๆนะ” ไอ้เจ ตั้งข้อสังเกต
มันกำลังจะยกหลังมือขึ้นแตะหน้าผากผม
แปะ!!!
“โอ้ย ตบเหม่งกูทำไม”
แม่ง วางซะแรง
“ไหนละครูมึง หือ หลอกกู” ต้องได้สติหันมาพูดแล้ว
“หลอกห่าไร กูเห็นจริงๆ”
“เห็นห่าไร”
“แล้วไง ถ้าครูไม่มามึงจะทำไร”
“กูจะเอาคืนไอ้เก้าไง”
“มึงจะทำยังไง หือ อ้ายยยย ต้องงงง” เจ เริ่มกวนตีนแล้ว
“ก็กูจะ....”
ไอ้แมค เดินกลับมาสมทบ
“เฮ้ยๆๆ กูไปขอห้องแล้ว พวกมึงใช้ได้แล้ว”
ก๊อกๆๆๆๆ
เสียงเคาะกระจกดังขึ้น ตามเสียงไอ้แมคมาติดๆ
ไอ้ต้องรีบลุกขึ้นไปเปิดประตู
ครูมาจริงด้วย มาตอนไหนเนี่ย
“เออ ห้องใช้ได้นะ พื้นที่ก็พอ ช่วงนี้ยังไม่มีวิชาใช้ห้องแลป พวกเธอใช้ได้เลย แต่หาไรรองหน่อยอย่าให้พื้นเป็นรอยละ สีก็ด้วยหาไรรองหน่อย กุญแจห้องนี้ครูฝากไว้ที่คนนี้นะ พวกเทอจะได้มาทำได้ทุกเมื่อ”
“คร้าบ...” 4 คนตอบพร้อมกับเลยครับ
แถมทำหน้าน่ารักให้ครูด้วย เอ้า
เมื่อกี้ แมค มันเดินไปบอกครูมาหรอกเหรอ
ไอ้เจเดินสำรวจรอบๆห้องอย่างสนใจ มันเดินไปเขย่าขวดนั้น ขวดนี้ บางขวดเป็นสีชา คงเอาไว้กันแดด แต่ข้างในมันคืออะไรไม่รู้ บางทีก็เปิดๆฝาดม แล้วทำหน้าแหยงๆ ผมละอดขำมันไม่ได้
“ซน!!! นาย พีรพล”
เจ สะดุ้งโหยง
“คิดว่าครูไปแล้วอะครับ”
“ไป ไม่ไป ไม่เกี่ยว”
มาแล้วครับ ครูเริ่มพูดเสียงดังไปทางเจแล้ว ผมเห็นท่านมองอยุ่นานแล้วละครับ ตั้งแต่ตอนที่ยืนดูแผ่นไม้สองแผ่นแล้วฟังแบบจากแมคอยู่ ผมกะแล้วว่าต้องพูด ไม่งั้น เกิดไอ้เจมันบ้าเขย่าไปเขย่ามาระเบิดตูมขึ้นมา ไอ้เจที่ปกติก็หล่อไม่สุดอยู่แล้วจะ ยิ่งไม่เหลือเลย
ต้องมันหัวเราะสะใจอยุ่ข้างผมนี่แหละครับ
“ไอ้ต้อง” เจ หันมาคำรามใส่
สักพักนึงหลังจากครูคุยกับแมคเสร็จพวกเราก็มานั่งพักกันอยู่ข้างกระดาน 2 แผ่นนั้นละครับ แค่ยกขึ้นมา 4 ชั้นก็เหนื่อยแล้ว ยังต้องมายกโต๊ะเหล็กพวกนี้ให้พ้นทางอีก
ระหว่างที่นั่งพักกันอยู่ แมค ลุกไปเปิดเพลง ส่วนไอ้ที่เจ ท่าทางจะหายไฮเปอร์แล้ว นั่งดูโทรศัพท์อยู่
ที่ไอ้แมคหายไป มันแอบไปเอามานี่เอง แสดงว่ามันวางแผนไว้แล้วสิ ท่าทางจะแบกลำโพงเล็กมาจากบ้านด้วย
ผมเลยแอบหันไปมองต้อง ตอนนี้มันกำลังนั่งเหยียดขายาวๆออก ตาเหม่อมองพัดลมบนเพดาน หน้าด้านข้างของมันมีเสน่ห์ชวนมอง ผมมองไล่ลงมาตั้งแต่ ตา จมูกลงมาถึงริมฝีปากบางแดง มันปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนออกหนึ่งเม็ด เผยแผงอกขาว
ผมเลยนึกย้อนไปถึงตอนเมื่อกี้ ถ้าเจไม่ตะโกนหยุดไว้
เจ หยุดไว้เหรอ
ผมกำลังมองเพลินๆ พอรู้อีกทีต้องมันหันมามองผม สบตากันพอดี
ผมสะดุ้ง ก้มหน้าหนี
เสียงเพลงช้าเพลงนึง ดังขึ้น
หากดาวที่สดสวย หล่นจากบนฟากฟ้า
ให้ฉันได้เชยชม และโอบกอดเธอไว้
หากดาวที่งดงาม อยู่ที่ปลายฟ้า
คงไม่มีวันจะได้รักเธอ..อึ๊ม..ดาว
หากชีวิตของคน ได้พบกับรักที่ดี
รักที่มีความหมาย จะเก็บเอาไว้นานๆ
ตาที่อ่อนโยนของเธอ ยังติดตรึงในหัวใจ
ไม่อาจจะลืม ลืมเธอคนนี้
ขืนผมลืมตัวทำอะไรออกไปมากกว่านี้ ไอ้ต้องมันจะรู้ตัวแน่ๆ แล้วผมก็จะเสียเพื่อนดีๆไป
“เฮ้ยๆๆๆๆๆ อย่าทำหน้าหงอยงั้นดิ เหนื่อยเหรอไง” เจ เดินเข้ามากอดคอผมจากด้านหลัง ตัวเจแนบชิดกับตัวผม ได้กลิ่นสบู่ผสมกลิ่นตัวอ่อนๆโชยออกมา ผมพยายามเอามือไปแกะมือมันออก
“ดูดิ มือแดงหมดเลย น่าสงสาร” เจ พูดไปลูบหัวผมไปด้วย
ตอนนี้ผมก้มหน้าดูมือตัวเอง แต่ก็แอบเหลือบไปมองต้องด้วย
มันหันหน้าไปอีกทาง
ผมเองไม่ได้ตอบอะไรเจออกไปครับ นอกจากนั่งยิ้มๆ เวลาเจมันมากอดผม มันรู้สึกอบอุ่นมากมันสัมผัสได้นะว่าคนที่กอดเรารู้สึกยังไงกับเรา
“ไรวะ มึงจะเอาไอ้เก้าตอนนี้เลยมั้ยเนี่ย” ต้องพูด
นั่นไงมาอีกแล้ว
“ทำไม เรื่องของกู”
“ไอ้เก้าก็น่ารักดีออก เอาด้วยมั้ย”
“หา... กูเนี่ยนะ ไอ้เก้าตัวก็เล็กๆ เตี้ยๆ ขนขึ้นยังวะเนี่ย พรากผู้เยาว์นะ”
“นี่ เยอะเกินไปแล้วมึง ป่านนนี้แล้วก็กูต้อง...... หรือมึงอยากพิสูจน์” ผมกำลังจะโวยกลับ
“อีกอย่างพวกเราก็ผู้เยาว์หมดละเว้ย ฉลาดๆอย่างมึงไม่น่าพลาดนะต้อง” ไอ้เจ เสริม
“มึง...” ไอ้ต้องจะลุกแล้ว
“มึงจะท้ามันพิสูจน์ไรวะ เก้า” แมคพูดขึ้นเรียบๆ
เออ จริงของมัน ผมกำลังจะพูดอะไรออกไป เหมือนผมคิดไปเอง แรงที่กอดคอมันแน่นขึ้น
ยิ่งแน่นเท่าไร ท่าทีไม่พอใจของไอ้ต้องก็ยิ่งดูออกมากขึ้นเท่านั้น
“แกล้งเด็กกูจังนะมึง สักวันมึงจะไม่ได้แกล้ง”
พอเหอะ!!! เจ
กูว่าต้องจะโกรธจริงแล้วนะ
“ทำไม มันจะตายจากกูไปหรือไง” ต้องพูด
“ป่าว ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” พูดจบ เจ ก็หอมแก้มผมไปเต็มๆ หนึ่งที
ปาก เจ ที่สัมผัสแก้มผมมันนุ่มมาก แม้มันจะแค่แปบเดียว แต่มันโดนแก้มผมเน้นๆ เจไม่ได้แกล้งทำ แต่หอมผมจริงๆ ผมกำลังจะหันไปมองหน้ามันอยู่ ถ้าไอ้ต้องชิงพูดขึ้นมาก่อน
“สัด ทุเรศ เป็นตุ๊ดเหรอมึงน่ะ” ต้องพูดจบ หันขายาวๆไปถีบแต่พลาดครับ
ตอนนี้พวกมันสองตัวลุกขึ้นมาไล่เตะกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมนึกสงสัยตกลงเด็กม.ปลายมันเล่นไล่เตะกันแบบนี้เหรอ (วะ) ท่าทางจริงจังซะด้วย
ไอ้แมคลุกมาตบไหล่ผมสองสามที
“ห้ามมันเหอะเก้า”
“นี่ พอได้แล้ว” ผมพูด
พอคิดอีกทีไม่ดีกว่า ผมเลยไม่พูดอีกรอบ
“มึงเข้าข้างคนไหนวะ เก้า” แมคถามดังๆ
“เอาเลยไอ้ต้องกูเชียร์มึง เตะมันให้ได้”
“มึงจะไปยุมันทำไมวะ” แมคหันมา
“อ้าวก็มึงถาม เข้าข้างใครนี่”
จากที่ตบบ่าผม กลายเป็นตบหัวผมแทน
แต่ผมก็ขี้เกียจห้ามมันจริงๆ
“เหี้ยสองตัวนี่ไม่ต้องมาเชียร์เลย”
เจ หันมาด่า
“เออ ฝากเตะ ไอ้เจให้ด้วย”
คราวนี้แมคเอามั่ง กลายเป็นเราสองคนเชียร์ไอ้ต้องซะงั้น
พวกเราหัวเราะกันเสียงดังมาก ไอ้ต้องยังวิ่งไล่เตะอยู่อย่างนั้น ไอ้เจเองก็หลบไปตรงนั้นทีตรงนี้ที
เสียงเชียร์ก็เริ่มดังขึ้น เวลาป่านนี้ครูคงกลับกันไปหมดแล้ว
แต่ว่า มันก็ยังไม่ดังเท่าเสียงฟ้าร้อง ตอนนี้เข้าหน้าฝนแล้ว ผมไม่ได้สังเกตุเลยว่าที่แสงมันหายไปไม่ใช่เพราะเย็นมากแล้ว แต่เป็นเพราะเมฆตั้งเค้าแล้วต่างหาก วันก่อนที่ผ่านๆมามีแต่ฝนตกปรอยๆ ท่าทางแล้ววันนี้น่าจะตกหนัก
“เฮ้ยๆๆๆๆ กลับๆๆๆ ฝนจะตกแล้ว กูไม่อยากเดินเซ็กซี่ออกไป” ไอ้เจ รีบปิดฉากเกมไล่เตะตูด
หลบลูกเตะลูกสุดท้ายแล้ววิ่งไปทางกระเป๋า
“เออ กลับ!! แต่มึงไม่เซ็กไรทั้งนั้น ระวังพุงมึงหน่อย”
พูดจบไม่รอ ต้องเดินมาเอากระเป๋านักเรียน
แมคเองก็กำลังเก็บของแล้ว
“ลำโพงไว้นี่ไม่หายมั้ง กุญแจอยู่ที่นี่แล้ว” แมคมันถาม
“ออกมาครบนะมึง มืดๆ ห้องแลปนี่ ไม่น่านอนนะ” เจ วิ่งออกจากห้องเป็นคนแรก
แมคออกมาเป็นคนสุดท้าย มันเดินสำรวจอีกหนึ่งรอบ แล้วกดปิดสวิตช์ไฟ เสียงฟ้าร้องยังดังมาเป็นระยะ คราวนี้ผสมมากับฟ้าแลบ
พอล็อคห้องเสร็จ ทางที่เดินผ่าน ตอนนี้โหลดอง อยู่ซ้ายมือของพวกเรา ไอ้เจพูดถูกถ้าต้องนอนในห้องนี้ พร้อมโหลดองรอบตัวนี่ไม่สนุกแน่ๆ ห้องนี้มีเรื่องเล่าขนาดว่า กลางคืนของในโหลจะกลับมามีชีวิต ดิ้นไปมา เออ... ช่างมันเหอะเนอะ ฝนก็จะตก ฟ้าก็มืด มานึกเรื่องผีอีก
ทางเดินตอนนี้มืดสนิท ชั้นนี้ที่ปกติไม่ค่อยเปิดไฟอยู่แล้ว ยิ่งมืดขึ้นไปอีก พอไฟในห้องดับไป ผมถึงรุ้ว่าข้างนอกมันมืดได้ขนาดนี้
อยู่ๆ ไอ้แมคก็วิ่งนำขึ้นไปอีกตัว เหมือนหนีอะไร ตามด้วยไอ้ต้อง เหลือผมเป็นคนสุดท้าย
เฮ้ยยยยยย
“อยากนอนนี่เหรอไง” ไอ้เจตะโกนกลับมา
“รีบกันไปไหนวะเนี่ย” ผมตะโกนตอบ
“คนสุดท้ายโดนหลอกนะมึง” คราวนี้ไอ้แมค
“เฮ้ย รอด้วย”
ไม่มีเสียงตอบ ทางเดินมืดสนิท เหลือแต่แสงสว่างน้อยๆปลายทาง ฟ้าแลบแปลบเป็นจังหวะ บันไดแต่ละก้าวที่ก้าวลงไปก็ไม่มีท่าทีว่าจะถึงซะที ทำไมขาขึ้นกับขาลงต่างกันขนาดนี้ ยิ่งวิ่งเร็ว ฟ้าก็ยิ่งแลบ
เมื่อมาถึงชั้นล่างสุดของตึกเรียน ทุกคนหายไปหมดแล้ว สงสัยผมจะโดนทิ้งแล้วจริงๆ ยังดีที่ชั้นล่างมืดน้อยกว่า ผมพยายามหันซ้ายขวามองหาพวกมัน
พวกมันหายกันไปหมดแล้วจริงๆ
เฮ้อ ทางเดินมืดมิด นี่เราโดนทิ้งให้เดินคนเดียวจริงๆเหรอเนี่ย
ผมกำลังก้าวขาเดินหน้าต่อ ก้มหน้าก้มตาเดิน
เอาวะไหนๆก็ไหนๆแล้ว เดินไปขนลุกไป
มีแรงหนักๆกดที่หลังผม
“เฮ้ย ไรวะ” ผมตะโกนลั่น
พอผมหันไป
เจ โดดขึ้นเกาะคอผม แต่ตัวมันใหญ่กว่าครับ ขาผมแทบทรุด
“เย้ ผ่านด่านได้แล้ว” เจ พูด
“ใครเล่นเกมไรกับมึงวะ” ต้องว่ามา
“แล้วมึงตามมาหลบกับกูทำไมละ” เจ ไม่ยอม
“อ้าว ก็กูตามแมคไง”
“กูปล่าวนะ กูก็ตามไอ้เจ สงสัยเหมือนกันว่ามันจะไปหลบทำไม คิดว่าทำของตก” แมคโยนกลับไปที่เจ
“อย่ามาอ้าง” เจ หันไปว่าทางแมค
“มึงอะต้นคิด สัส” ต้องตบกบาลเจ
ผมกับแมคมองหน้ากันแล้ว พยักหน้าพร้อมกัน เป็นอันรู้กัน เราสองคนเดินหัวเราะจากไปปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ ให้มันโวยวายกันสองตัวน่ะดีแล้ว
ฝนเริ่มลงเม็ดใหญ่ขึ้นแล้ว เด็กๆในโรงเรียนหายกันหมด ผมเลยเดินจ้ำเอาๆกับพวกมันออกมาหน้าโรงเรียน
พอฝนเริ่มลงถี่ขึ้นอีก เสื้อสีขาวบางๆเริ่มแนบเนื้อ สงสัยจะไม่ทันได้ขึ้นรถเมล์แล้ว
เมื่อเห็นเสื้อเริ่มบางขึ้นๆจากเม็ดฝน พวกผมเลยทำตัวกลัวฝนกันซะ เรียกแท๊กซี่แล้วนั่งกันมา 3 คน ส่วน เจ แยกไปอีกคันนึง ยังไงไอ้เจก็ไม่ได้กลับทางเดียวกับพวกผมอยู่แล้ว
“เดี่ยวต้องลงพร้อมแมคป่าว”
“อือใช่” ต้องตอบ
“ป่าววะ”
ผมหันไปมองแมค
“อ้าว”
“ก็กูต้องไปธุระให้พี่ก่อน เดี๋ยวแวะห้างแถวนี้แหละ มึงนั่งต่อไปกับไอ้ต้องแหละ”
“อา...” ต้องไม่พูดอะไร
“งั้นไปดีๆนะมึง”
พอฝนตก รถก็ติด อีกไม่ไกลจะถึงหน้าห้างที่แมคจะต้องลงแล้ว แต่กว่าจะไปถึงบ้านผมก็คงต้องอีกสักใหญ่ๆเลย
“งั้นกูลงตรงนี้ละกัน เดินไปอีกไม่ไกล”
แมคหันมาโยนเงินให้แล้ว เปิดประตู
“ส่วนของกู”
“งั้นกูลงตรงนี้แล้วเดินไปละกัน” ผมว่าจะลงด้วย
“มึงนั่งต่อไป ฝนตกอยู่ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” ต้องดึงแขนผมกลับไปที่เดิม
เผอิญว่า ไอ้แมคมันนั่งหน้าน่ะครับ ผมเลยนั่งหลังกับต้องมันเลยดึงแขนผมง่าย
“อือ ก็ได้”
รถยังคงติดต่อไป เคลื่อนที่ได้ทีละน้อยๆ เหมือนๆกับความรุ้สึกผมตอนนี้ ราวเวลาของทุกคนมันพร้อมใจกันเดินช้าๆ มีเพียงเสียงมิเตอร์เท่านั้นที่เป็นตัวบอกว่า เวลายังคงเดินอยู่ แล้วยิ่งดังผมยิ่งรู้สึกไม่ดี
กระจกรถเต็มไปด้วยฝ้า อากาศบนรถคงจะเย็นกว่าข้างนอกเยอะอยู่ ผมกับต้องไม่ได้คุยอะไรกัน ได้แต่เหม่อมองออกไปข้างนอก คิดอะไรไปเรื่อยๆ หัวก็เริ่มหนักขึ้น บรรยากาศรอบตัวที่ดูเหมือนจะไม่มีการเคลื่อนไหว มันได้เกาะกุมความคิดผมดึงถ่วงให้หยุดลงโดยสิ้นเชิง
โป้ก
หัวผมโขกกับกระจกพอเป็นจังหวะตามการเคลื่อนที่ของรถ ครั้งที่หนึ่ง
ครั้งที่สองกำลังจะมา ผมรู้ตัวแต่ไม่สามารถฝืนมันได้
แต่ครั้งนี้ไม่ดัง มีอะไรนุ่มๆมาขวางไว้ระหว่างหัวผมกับกระจก
กลิ่นคุ้นๆแฮะ
ผมจึงลืมตาข้างเดียวไปเห็นมือต้องอ้อมหลังผม เอามือมากันกระจกไว้
“เอนมานี่มา เดี๋ยวกระจกแตก”
“หึ”
ผมยิ้ม แต่ก็อดทำตามที่มันว่าไม่ได้ บนรถกับอากาศเย็นๆแบบนี้ ยอมว่าง่ายตามมันซักทีคงจะไม่เป็นอะไร
กลิ่นของต้อง กับ ความอุ่นจากตัวมัน ช่วยให้หลับฝันดี
“ตื่นเถอะ ไฟแดงแล้ว” ต้องพูดขึ้นเบาๆ
ตอนนี้รถเลยมาถึงไฟแดงแยกแล้ว (หลับไปกี่นาทีเนี่ย)
มองเห็นซอยบ้านผมอยู่ข้างหน้าทางขวา
“บ้านเก้าอยู่ในซอยนั้นเหรอ” ต้องถาม
มือต้องชี้ไปทางซอยด้านขวามือของถนน แถ้าจะไปโดนรถต้องอ้อมไปอีกหน่อย
“อ้อ ใช่ เป็นห้องแถวน่ะ”
“แล้วบ้านมึงละ”
“ก็ย้อนเข้าซอยเลยจากบ้านแมคนิดหน่อย”
“งั้นกูลงนี่แล้วกัน ติดไฟแดงพอดี มึงจะได้ให้รถเลี้ยวไปเลย” พอพูดเสร็จ ต้องก็ล้วงเป๋าหาค่าแท๊กซี่ให้ผม
“มึงกลับบ้านแล้วรีบอาบน้ำละ เดี๋ยวจะเป็นหวัด” ต้องบอกผมแล้วลงไป
“งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่รร.นะ” ผมพูดแล้วโบกมือให้มัน
“กลับบ้านดีๆละ” ต้องพูด พร้อมกับส่งยิ้มมาให้ แล้วปิดประตู
ผมตาฝาดไปรึเปล่า....
แล้ว.... ทำไมต้องมันถึงต้องนั่งมาถึงนี่ด้วย มันน่าจะขอลงก่อนก็ได้นี่นา ทำไม......
วันนี้ผมกลับบ้านเย็นกว่าปกติ เมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไปก็เจอ พ่อกับแม่กำลังนั่งทานข้าวกันอยู่ ...
ห้องทานข้าวที่บ้านผมติดกับห้องนั่งเล่น คือ เป็นห้องเดียวกันนั่นแหละ พอเปิดประตูบ้านเข้ามาก็จะเห็นห้องๆนี้เลย ทีวีเสียงดังเปิดอยู่ กับข้าวสามสี่อย่างบนโต๊ะ
“เก้า กลับมาแล้วเหรอ” แม่ร้องทักขึ้น
“หวัดดี ป๊า ม๊า” ไม่ยกมือไหว้นะครับ บ้านผมยังทำตามแบบจีนครับ เน้นเรียกชื่อ
“กินไรมายัง รีบกินรีบขึ้นไปเตรียมตัวเรียนพรุ่งนี้” พ่อผมพูดขึ้นมา
“รีบเรียน รีบสอบให้ติด พ่ออยากให้มาช่วยงานอยู่ ถ้าเรียนวิศวะไม่ได้ก็เข้าบริหารซะ”
ผมไม่ตอบไรทั้งนั้นแหละครับ ในเมื่อผมโง่ ฟิสิกส์กับเลขซะขนาดนี้จะให้ไปสอบเข้าวิศวะเข้าไปก็คงเรียนไม่ไหวแน่ๆ จริงๆแล้วผมอยากเรียนอะไรกันแน่นะ อาจจะอยากไปเรียนวาดรูป ที่ไหนสักแห่งงั้นเหรอ
ไม่สิ หายๆตัวไปเลยดีกว่า
พ่อแม่ยังเข้าใจว่าผมอยากเรียนวิศวะเลยมาเข้าห้องนี้ นั่นมันถูกก็ครึ่งหนึ่ง ตรงที่ผมทำตามพวกเค้าไม่ให้เสียใจ ส่วนผมก็ได้ประโยชน์ที่เพื่อจะให้พวกเค้าเลิกบ่นเฉยๆ อีกส่วนนึงเพราะว่า ถ้ามาห้องนี้ ผมอาจจะไม่ต้องเจอในสิ่งที่ผมเจอตอนเรียนห้องอื่นก็ได้ หรือถ้ายิ่งดี ผมไม่ต้องไปคุยกับใครยุ่งกับใครเลย ผมก็จะได้ใช้ชีวิตสงบสุขอย่างที่ต้องการ
แต่เรื่องกลับกลายเป็นตรงกันข้าม ..... สนุกดีแฮะ
“เลิกบ่นน่าคุณ”
“เก้ากินข้าวซะ วันนี้เรียนเป็นยังไงมั่งละ”
“ก็ดีอะม๊า สอนกันเร็วมาก ไม่รู้จะรีบไปไหน แล้วกิจกรรมก็ต้องทำด้วยนะ ไม่ใช่ว่าเรียนอย่างเดียว แล้วเด็กในห้องก็เอาแต่เรียนไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่าเป็นซอมบี้หรือยังไง ม๊ารู้จักมั้ยซอมบี้น่ะ แล้วนี่นะ เวลาทำไรนะ พวกนั้นมันจริงจังมากเลย....
ผมยังคงเล่าต่อไปๆ ปกติไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกันหรอกครับ แล้วแม่เป็นคนเดียวที่จะรับฟังผม ไม่ว่าผมจะเล่าเรื่องอะไรไร้สาระแค่ไหน
.....จำได้ว่ามีคนนึงนะ มันเอาวิชาฟิสิกไปทดสอบตอนเตะบอลด้วย มันเอากระดาษมาคำนวนองศากับแรงเตะ ดูว่าบอลมันยังไงจะไปไกลสุด บ้าเนอะ”
ผมยังคงเล่าต่อ
“เก้าละสงสัยมากเลย ถ้ามีไรเกิดขึ้นนะ แล้วพวกมันนะมีโอกาสได้เลือกของคงพกเครื่องคิดเลขติดตัวกันไปมากกว่ามือถือแหงๆ”
สงสัยผมจะพูดมากไป แต่แม่ผมนั่งมองขำๆ แล้วก็ยิ้มอย่างเดียว
ผมเลยหยุดพูด ข้าวก็หมดจานแล้ว
“ไป ไอ้ตัวแสบ รีบกินรีบไปอาบน้ำไป”
“ครับ กินหมดแล้ว”
“งั้นไปอาบน้ำไปเก้า เดี๋ยวจะไม่สบาย วันนี้ไม่ตากฝนนะ”
“นิดหน่อยนะครับ”
“งั้นผมขึ้นห้องนะ”
หลังจากทานข้าวเสร็จ ผมขึ้นมาเก็บของบนห้องนอนผมที่ชั้นสาม มันเป็นห้องคล้ายๆกับห้องใต้หลังคา แต่เพดานไม่ได้เอียงเหมือนในหนังนะครับ แต่เฉียงลงมานิดหน่อย มีหน้าต่างอยู่หนึ่งบ้านเล็กๆ มองไปเห็นบ้านฝั่งตรงข้ามได้แต่ปกติก็ไม่เคยจะมองดูกันและกันหรอกครับ
มองไปก็ไม่เคยเห็นใคร
หลังจากวางกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้ว ผมเดินไปเปิดวิทยุ กำลังเล่นเพลง Scrub
รอยยิ้มของเธอแค่ครั้งเดียว
ทำฉันให้ลืมเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา
ทำให้ได้รู้ว่า อะไรที่สำคัญกว่า
สิ่งใดจะมาทดแทน
เสียงของเธอแค่ครั้งเดียว
ทำฉันให้ลอยล่องไปไกลสุดสายตา
มีอะไรมากกว่า ที่เคยได้พบมา
เกินกว่าคำบรรยาย
สงสัยวันนี้ผมจะเพ้อเจ้อมากไปแล้ว
“กลับไปแล้วรีบอาบน้ำละมึง” เสียงต้องยังย้ำเตือน
ผมจึงถอดชุดนักเรียนออก เหลือแต่ตัวเปลือยเปล่า ห้องน้ำอยู่ในห้องนอนมันก็สบายเวลาที่ผมลืมเอาผ้าเช็ดตัวเข้าไปด้วย ซึ่งก็เป็นประจำ
ผมกำลังจะเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นอาบ เอื้อมมือขึ้นไปเปิดสวิทช์นั้น พลันคิดขึ้นมาว่า ถ้าสูงอย่างต้องก็คงดี ผมลองเขย่งแล้วมองดูในกระจกดู ถึงผมจะเขย่งยังไงก็คงไม่เท่ามันแน่ๆ
ตอนนี้ผมเห็นตัวเองเปลือยอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ รูปร่างขาวแบบบาง ต้องเองก็คงจะคล้ายๆแบบนี้แต่สูงกว่า ไหล่กว้างกว่าสินะ ตอนนี้ต้องเองก็คงกำลังจะอาบน้ำอยู่เหมือนกันเปล่านะ .... รูปร่างของต้องตอน...
เฮ้ยยยยยยยยยยย! นี่ผมเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย
“ไอ้เวรนั่น พรุ่งนี้จะเอาคืนมัน”
ทั้งๆที่ เจ ออกจะสนิทกับผมมากกว่า แต่ดันมาคิดเรื่องแบบนี้กับไอ้ต้อง คนอย่างไอ้ต้องได้ เฮ้อ ....
ผมคงจะมีอะไรผิดปกติแล้วละ
พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว เห็นไฟโทรศัพท์สว่างขึ้นแจ้งเตือนว่ามีสายไม่ได้รับ
ต้อง
ผมจึงกดโทรกลับ
“ว่าไงมึง หลงทางเหรอ”
“หลงเหี้ยอะไรละ”
“กูจะถามว่าเป็นไงมึง ไม่เป็นไข้นะ”
“อือ ไม่เป็นอาบน้ำแล้วด้วย”
“งั้นไม่มีไรละ”
“เอ่อ ต้อง ขอบใจนะ”
“เอออออ สัส ขนลุก”
เสียงต้องกลับไม่ได้จริงจังเหมือนทุกที ผมเลยรู้ว่ามันแกล้งพูด
“หึหึ” ผมยิ้ม
“ไปนอนได้แล้ว”
“เออ พรุ่งนี้เจอกันมึง”
“เออ แล้วเจอกัน”
วางสายเสร็จผมก็เดินไปล้มตัวนอนอ่านการ์ตูนเล่นบนเตียง
พรุ่งนี้เหรอ
ชักอยากให้มาถึงแล้วสิ
ผมเปิดวิทยุเอาไว้แล้วเผลอหลับไป
ก่อนจะตื่นเช้ามาเจอ อีกหนึ่งสายไม่ได้รับ
เจ


เอาละสิ เก้าจะห้ามใจตัวเองได้มั้ย อุตส่าห์ซ่อนไว้มาตั้งนาน หรือจะ เผยออกไปให้คนรู้กันหมดนะ