10 CM : 12.0 วันแม่ เช้าวันแม่ก็มาถึงในที่สุด สามคาบเช้าไม่มีเรียน นั่นหมายความว่าครึ่งเช้าผมไม่ต้องเรียนจนถึงเที่ยง (เย้) ผมออกจากบ้านเวลาเดิม เดินทางแบบเดิมๆไปถึงที่โรงเรียนแบบเดิม พ่อกับแม่ก็ไปทำงานอย่างทุกที ผมเข้าใจดี สำหรับพวกเค้าแล้วการทำงานหาเงินเลี้ยงลูกนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ผมเข้าใจดี
ถึงงั้นในใจผมก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าตอนเช้าแม่ชวนผมขึ้นรถไปส่งที่โรงเรียนแล้วละก็ผมคงจะรู้สึกดีกว่านี้ ดูน่าจะพอมีความหวังอยู่บ้าง คิดมาถึงความหวัง สิ่งที่ตรงข้ามกันก็มาแทงใจให้ผมรู้สึก
เก้า โตได้แล้วนะ จะไปทำให้คนอื่นเค้าเดือดร้อนทำไม เราต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ ไม่ใช่อะไรๆก็เรียกหาคนอื่น คำสอนนี้พ่อผมสอนมาตั้งแต่เด็ก บทเรียนต่อมาที่ผมได้คือ ตั๋วเครื่องบินหนึ่งใบกับพาสปอร์ตหนึ่งเล่มให้เดินทางไปต่างประเทศเอง โดยที่พ่อไปรออยู่ก่อนแล้ว ตอนนั้นผม ม.1 ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้เรื่อง
ไม่ๆพอๆ วันนี้วันแม่ ไม่ใช่วันพ่อ หลังจากวันซ้อมวันนั้น เป็นอันว่าผมต้องหยุดนอนอยู่บ้านอีกวันเต็มถึงจะหาย สงสัยเพราะฝืนไปเรียนนี่แหละ แอร์ในห้องก็เย็น แถมฝุ่นก็น่าจะเยอะ กลิ่นพรมผสมถุงเท้านี่ทำเอาผมยังไม่ลืมเลย แถมกลับมาแม่ผมก็ด่าผมซะยับเยิน ผมก็ได้แต่ก้มหน้ารับไป เพราะผมผิดจริงๆนั่นแหละ
พอโดนว่าเข้า ผมจะรู้สีกผิดยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ถือคติว่าทำอะไรพ่อแม่ต้องไม่เดือดร้อนไปด้วย
ทุกวันนี้เค้าก็มีเรื่องให้เครียดเยอะอยู่แล้ว
สรุปแล้วมันก็เหมือนทุกปี ... พ่อกับแม่ไม่เคยจะมาร่วมงาน
ว่าไปแล้วไอ้โรคป่วยบ่อยของผมนี่ก็ท่าทางจะได้รับมาจากแม่นี่แหละ แม่ผมไปค่อยแข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไร ต่างกับผมตรงที่ว่า ผมจะป่วยหนักไปเลย ไม่ค่อยมีป่วยยิบย่อย แต่เพราะแม่เป็นผู้หญิงจึงป่วยเล็กป่วยน้อยตลอดเวลา
พอคิดมาถึงตรงนี้แล้วยิ่งรู้สึกผิด
‘เก้าพร้อมจะไปโรงเรียนกับแม่รึยัง เดี่ยวสายนะ’
ประโยคนี้ไม่มีใครเอ่ยขึ้น ผมได้แต่รอ
วันที่กลับบ้านมาจากวันซ้อม ผมเองก็บอกแม่ไปตามนั้น ว่าโรงเรียนเราจะมีงาน
เช้าวันรุ่งขึ้นที่โต๊ะอาหาร
‘ทำไมจะต้องไป งานโรงเรียนอะไรนี่ช่วยให้เรียนดีขึ้นรึไง’
‘ทำตัวให้เป็นผู้ชายหน่อย เพื่อนพ่อที่มีลูกเค้าบอกดูเก้าแล้วเหมือนไม่ใช่ผุ้ชาย ถ้าไม่ใช่ ก็เสียชาติเกิดนะเก้า พ่อจะไม่ลังเลเลยถ้าลูกจะฆ่าตัวตาย หรือให้พ่อเอาลูกไปทิ้งไหนก็ได้ดีกว่า ทนเห็นลูกเป็นแบบนี้ ตายไปซะเลยอาจจะดีกว่าก็ได้’
ท่าทางวันนี้พ่อผมก็ยังอารมณ์ไม่ดี
ผมไม่พูดอะไร ได้แต่นิ่งเงียบกินข้าวไป
บางทีผมก็คิดว่าพ่อพูดถูก ผมควรจะรีบๆตายไปได้แล้วถ้ายังเลือกเพศตัวเองไม่ได้
รถในซอยโรงเรียนหนาแน่น ทำเอาการจราจรในซอยเล็กๆแคบๆ แถมต้องวิ่งาสวนกันเกือบจะเรียกว่าไม่ขยับ หลายคนใช้วิธีเดินเข้าไปเอา เกือบยี่สิบนาทีได้มั้งเนี่ย บนรถที่แน่นขนัดนั้นหันไปก็เห็นพ่อแม่ลูกนั่งกันเบียดอยู่บนรถ
ม. 4 โรงเรียนผมคนเยอะยังงี้เลยเหรอ หรือคนที่มีฐานะมันเยอะวะ
ประตูหน้าโรงเรียนก็พอกันหนาตาไปด้วยแม่กับลูกมาพร้อมเพรียงกัน เทศกาลแม่ลูกผลิบานเต็มโรงเรียนไปหมด ผมชอบอย่างหนึ่ง เวลาผมเห็นคู่แม่ลูกเดินด้วยกันมักจะแอบมองว่าคนนี้หน้าเหมือนแม่แค่ไหน บางคนนี่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลูกใคร บางคนแม่สวย ลูกไม่รู้เอาเชื้อใครมา
ไม่เอาดีกว่าอย่าไปเสือกยุ่งเรื่องชาวบ้าน
ผมยัดหูฟังใส่หู
เอะ..... เดี๋ยวก่อน วันนี้ผมก็จะได้เห็นหน้าแม่ของไอ้เจ กับไอ้ต้องสินะ หึหึหึ ถ้ารู้ชื่อด้วยนะ จะยิ่งมันส์
ชื่อพ่อชื่อแม่ เป็นอะไรที่ใช้เรียกได้เด็ดขาดยิ่งนัก
บางครั้งสับสนกระทั่งเรียกชื่อเพื่อนด้วยชื่อพ่อตลอดก็มี ไม่เข้าใจว่าทำไมบางบ้านต้องตั้งชื่อให้คล้ายกันด้วย
มีเด็กคนหนึ่งชื่อ สมคิด ครูเรียกผิดเป็น สมศักดิ์คนในห้องฮากันกลิ้ง เพราะสมศักดิ์เป็นชื่อพ่อมัน
หึหึ เดาว่าตอนนี้ไอ้แมค มันคงจะกำลังคิดเหมือนผมแน่ๆ มันต้องแอบซุ่มอยู่ที่ไหนสักแห่งคอยแอบดูแม่คนอื่นจะได้เอามาล้อแหงๆ
การที่แม่ผมไม่มาก็ดีไปอย่าง
บรรยากาศวันนี้ไม่เหมือนวันเรียนปกติเลย มันไม่สนุก เช้าๆอย่างนี้คนพลุกพล่านเดินกันไปมาเหมือนหาอะไรไม่เจอ จัดระเบียบอะไรไม่ได้ ดูไม่เป็นหมวดหมู่ อย่างกับภาพวาดที่วาดสั่วๆไป ไม่ติดต่อเป็นเรื่องราว เห็นจะเป็นอย่างนี้อีกทีจะเป็นงานกีฬาสีละมั้ง
อาทิตย์ถัดไปก็จะที่มีงานวิทย์ใหญ่ นี่ก็คงพอกัน
‘หึหึหึ น่าหนุก’ ปีนี้ได้ร่วมทำกิจกรรมด้วย
อะ... แย่ละ ผมรับปากทั้งต้องและก็เจเลยนี่นา
ทำไมมันไม่ไปพร้อมกันเลยวะ จะแยกกันนัดทำไม
หน้าม่ออย่างมันพอถึงเวลามันก็ลืมเองแหละ เผลอๆไอ้ต้องกับไอ้เจจะไล่จับนมหญิงกันน่ะสิไม่ว่า
ผมสะบัดหัวแรงๆ ทำยังไงข้ออ้างก็ไม่ออกมา จะไปกับใครดีวะเนี่ย
หรือจะลากมันไปกันหมดเลยสามคนดี ไอ้ต้องก็อีกตัว สาวเยอะอย่างนั้น สงสัยจะเอาผมไปเป็นข้ออ้างกันน้องชายมันอะดิ ทำไมไม่ไปคุยกันตรงๆเลยวะ ไว้หาโอกาสแอบถามต้องดีกว่า ว่ามันคิดยังไงของมัน
เมื่อพบว่าตัวผมมายืนนิ่งอยู่หน้าห้องแล้วก็คงต้องหยุดความคิดเอาไว้แค่นั้นก่อน ยังไม่มีข้ออ้างดีๆ แล้วผมก็ยังมีเวลา
“หายหมด”
“ห่า เด็กติดแม่เอ้ย”
ผมพูดกับอากาศ
ที่โต๊ะมีแต่กระเป๋า ตัวคนหายหมด ทั้งสามหน่อเลย
หึหึ ไปอ้อนแม่กันสินะ ไอ้ลูกแหง่ กลับมาจะล้อพวกมัน
ผมสิไม่มีใครให้อ้อน...
ผมวางกระเป๋าเสร็จ ปิดโทรศัพท์ เอาวะ อีกเดี๋ยวก็ได้เวลาแล้ว หันไปมองรอบห้องตอนนี้ ซอมบี้ก็ยังเป็นซอมบี้ นั่งอ่านหนังสือกันแต่เช้า จะขยันไปไหน วันนี้เรียนแค่ครึ่งวันแท้ๆ อาทิตย์หน้าก็งานวิทย์แล้ว หรือ ซอมบี้ไม่ต้องมีแม่ มุดมาจากกระบอกไม้ไผ่วะ
ผมขำอยู่คนเดียว เออ บ้าเข้าไปกู
เสียงออดดังขึ้น
ผมเดินไปรอหน้าห้อง เดี๋ยวพวกนั้นก็คงมา
วันนี้เค้าจะให้แม่ไปรอที่ห้องประชุมก่อน ส่วนพวกผมจะค่อยๆเข้าไปตามลำดับชั้นปีแล้วก็ห้องเรียน ระหว่างนี้จะทำอะไรได้ นอกจากยืนแถวรอเวลาไป
สงสัยแฮะว่าพวกครูเค้าจัดการแยกแม่ออกจากลูกแล้วจะเรียงกันถูกยังไง คงไม่มีบ้านไหนไม่รุ้มั้งว่าลูกเรียนห้องไร ชั้นไร เอะ...หรือจะมี คงได้มีสลับตัวแม่กันมั่งละ
ยืนนิ่งหัวโด่เด่อยู่หน้าห้อง ไอ้ตัวที่นั่งติดกับผมหายไปไหนกันหมด
“ไง ไปไหนมาวะมึง พาแม่ไปหลบเหรอ” ผมถามไอ้ต้อง
มันเดินสูงหัวโด่กว่ามา ไม่ต้องพยายามก็เห็น
มันเคาะหัว
“ไข้กลับเหรอไง” ต้องพูด
สักพักไอ้เจมากับไอ้แมค
“ไปกับแม่มา กูรู้มึงจะพูดอะไร เก้า” ไอ้แมคชี้หน้าผม
ผมกับต้องหัวเราะก๊ากเลย
ผมหันไปหาเจ
หน้าไอ้เจเฉยเมย ไร้ความสุข อะไรวะ งานวันแม่แท้ๆแม่มันมาก็น่าจะดีใจนะ
“เออ เก้ามึงมาตอนไหนวะ” แมคถาม
“ก็เมื่อกี้”
“อ้าว แล้วไปส่งแม่มายัง” แมคถามต่อ
ผมสั่นหัว
“ไม่เป็นไรเหรอ” เจ ถาม
มึงเองก็ทำหน้าเซ็งอยู่ไม่ใช่เหรอ
ต้องโอบไหล่ผม โอบแนบแน่นจนไอ้เจต้องมาแกะออกก่อนโดนไล่ให้ไปเข้าแถว
พอถึงตาห้องผมเดินไปที่ห้องประชุม ตอนนี้อากาศในห้องประชุมเย็นเฉียบ เย็นออกนอกประตูมาเลยยิ่งกว่าวันซ้อม บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นแปลกๆ จะบอกว่าดอกมะลิก็ไม่เชิง กลิ่นมันคล้ายๆแต่แรงกว่ามาก กลิ่นธูป เทียน ผสมกับกลิ่นเสื้อผ้านักเรียน ยังเช้าอยู่ ไม่เหม็นเหงื่อ
ตำแหน่งที่นั่งยังคงเดิม หลังห้อง
แต่วันนี้ผมคงไม่หลับ
งานกำลังเริ่ม ทั้งห้องเงียบกริบ ประธานซึ่งเป็นผู้อำนวยการเดินเข้ามาแล้วก็นั่ง หัวหน้านักเรียนกำลังกล่าวสุนทรพจน์ เนื่องในงานวันแม่ ซึ่งเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาผมเป็นแน่นอน
ตามมาด้วยกลิ่นธูปและเทียนที่จุดไฟไหว้พระ
มันกำลังมาเป็นคอมโบ
เปิดงานด้วย นักเรียนหน้าตาเด็กเรียนแบบที่สุดที่จะหาได้ ออกมากล่าว เริ่มด้วยประโยคภาษาไทยที่ผมฟังแล้วต้องมานั่งแปลไทยเป็นไทยอีกรอบ พวกไอ้ต้องคงไม่มานั่งแปล มันไม่สนใจฟังเลยมากกว่า
ดีแล้วที่วันซ้อมผมหลับไม่งั้นต้องฟังสองรอบเลย
ทางขวามือผมพวกซอมบี้ที่ดูเหมือนยาบ้ากำลังจะหมดฤทธิ์ นั่งโยกหัว ไม่ใช่ว่าคนกล่าว พูดได้เพราะนะ แต่ พวกมันเอาแบบฝึกหัดวิชาเลขสำหรับสอบเข้ามหาลัยมานั่งทำด้วย มันจะหยุดทำซะหน่อยจะเป็นอะไรมั้ย
เดี๋ยวพวกกูก็ได้ไปแบกโต๊ะหรอก
ผมหันไปมองแล้วได้แต่ส่ายหัว
อีกเดี๋ยวก็จะมีการแสดงพอจบแล้วก็จะเป็นพิธีมอบเข็มโรงเรียน
ถ้าแม่ไม่มาแปลว่าผมต้องไปยืนคุยกับอากาศอยู่บนเวทีในขณะที่คนอื่นมีแม่สินะ
จบการแสดงแล้ว
เสียงเรียกให้ยืนขึ้นทีละแถวๆ ก็ดังขึ้นมา หน้าสุดไปก่อน
นั่งรอใจจดจ่อ
ต่อไปเป็นแถวของผมแล้ว หัวใจก็เต้นแรงอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ขนาดทำใจไว้แล้วนะ เอาเหอะ คนก็คงมองแปลกๆนิดหน่อย ยังไงผมก็แปลกมาทั้งชีวิตแล้วนี่
ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมเนอะ เสียงพ่อผมวนกลับมาอีกแล้ว
ตอนนี้เราเดินเรียงแถวหน้ากระดานไปแล้ว
พอไปถึงที่ ทุกคนก็ทำตามที่ซ้อมไว้ แม่ผู้ให้ยืนขึ้น
ผมเดินก้มหน้าก้มตาไปยังตำแหน่งตามวันซ้อม
“หือ....”
หัวใจแทบหยุดเต้น
ผู้หญิงตัวที่อยู่ตรงหน้า ยิ้มให้อย่างคุ้นเคย
“ไอ้ตัวแสบ ทำไมไม่บอก” แม่พูดเสียงเบา
“ก็วันก่อนถามแล้ว แม่ว่าทำงานนี่นา”
ผมเห็นหน้าแม่ เศร้าลงแวบหนึ่ง
“ถ้ามีงานสำคัญก็บอก” แม่ผมทำหน้างอน
“ก็เห็นว่าต้องทำงานไม่อยากกวน เดี๋ยวพ่อก็ด่าอีก”
ผมก้มหน้ามองพื้น
“ก็ช่างพ่อเค้าสิลูก”
แม่เอาฝ่ามือเคาะหัวผมทีนึง
เสียงพิธีการดำเนินต่อไป แต่ผมไม่ได้ยินแล้วว่าให้อะไร ที่ซ้อมไว้ก็ไม่ได้จะจำอยู่แล้ว ยิ่งทำไรไม่เหมือนชาวบ้านเข้าไปใหญ่ ช่างมันหอะ
ผมเดินเข้าไปคล้องแขน จับมือ ไม่ได้มองเลยว่าคนข้างๆเค้าทำอะไรกัน ลืมมองหน้าแม่พวกมันไปเลย
พอให้เข็มเสร็จก็จะให้เวลาลูกกับแม่อยู่ด้วยกัน แต่หลังพิธีนะ ช่างมันเหอะผมไม่สนใจ
ผมคล้องแขนแล้วเดินวนออกนอกห้องไปตามคนอื่น
แม่กับลูกต้องวนออกไปแล้วเข้ามาใหม่เพราะว่า แม่จะขยับแถวขึ้นมาเรื่อยๆ ตัวลูกเองก็ต้องเดินเข้าไปหา ถ้าจะแยกกันตรงนั้นเลยน่าจะวุ่นวาย ครูเลยจัดให้วนกลับเข้ามาใหม่
แต่คู่ผมไม่วน
ผมคิดว่าแม่น่าจะหิวแล้ว นี่มันสายมากแล้ว พอออกมานอกห้องประชุมได้ผมรีบพาแม่เดินตรงหนีออกจากขบวนไปเลย
ผมหันไปมองหน้าแม่
แม่ผมยังยิ้มอ่อนโยนให้ผมอยู่
“งั้น เดี๋ยวลงไปกินข้าวข่างล่างกันมัน สายแล้วหิวป่าวแม่”
ถ้าแม่ตอบว่าหิวจะยิ่งดี ผมอยากชดเชยที่ทำให้แม่รู้สึกไม่ดีไปด้วย แถมไม่เคยเลยซักครั้งที่ผมกับแม่จะได้มากินข้าวด้วยกันที่โรงเรียน
“เก้าหิวเหรอ”
“งั้นรีบหน่อยนะเดี๋ยวพ่อว่าแม่เอา”
ผมพยักหน้า
“เดี๋ยวเก้าไปบอกเพื่อนก่อนนะว่า ไม่ไปกับพวกมัน” ผมบอกแม่
“แม่ลงไปรอที่สวนข้างล่างเลยนะ เดี๋ยวซื้อข้าวมาให้”
เอ... วันนี้มีอะไรขายนะ แล้วซื้ออะไรดี
ผมวิ่งออกไปบอกพวกไอ้ต้องก่อน เวลาใครถามพวกมันจะได้ช่วยกลบเกลื่อน
พอกลับเข้าไปถึงที่ขบวนผมหาใครไม่เจอเลย มันชุลมุนนิดหน่อย
สุดท้ายผมก็หาพวกมันไม่เจอ
ช่างหัวพวกแม่งเหอะ
ผมหันหลังกลับ ขาผมก้าวข้ามบันได จะวิ่งลงบันไดก็ไม่ใช่ แต่จะบอกว่าเดินลงเลยก็ไม่ถูกต้องนัก ต้องรีบทำเวลา เดี๋ยวจะไม่ทัน แล้วเกิดช้าแม่จะไปทำงานสายอีก ยิ่งไม่ดีใหญ่
ขาแตะชั้นล่างสุด ผมวิ่งเต็มเหยียดไปถึงบริเวณสวนด้านล่างที่มีขายอาหารในตอนเช้า พยายามมองซ้ายขวา หาทั้งที่นั่งที่มีคนและที่ยืนอยู่ แต่...
ผมหาแม่ไม่เจอ
ผมเดินไปทั่วทุกที่ที่แม่น่าจะไป ในสวน บริเวณร้านอาหาร ที่นั่งหน้าร้าน ร้านขายน้ำ แม้กระทั่งลานจอดรถ
หาไม่เจอ
ผู้หญิงตัวเล็กที่ยิ้มให้อย่างอบอุ่นเมื่อกี้หายไปแล้ว
ผมนึกไปถึงโทรศัพท์ มันถูกทิ้งไว้บนห้อง.. แล้วก็..... ปิดไว้ด้วย....
จะกลับขึ้นไปหรือจะหาต่อดี
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ผมคิดว่าคงหาไม่เจอแน่แล้ว ผมจึงกลับขึ้นห้อง เดินตรงปรี่ไปที่กระเป๋า
เปิดโทรศัพท์
กดชื่อที่คุ้นชินแล้วโทรออก
สายรับอย่างรวดเร็ว แทบจะไม่มีเสียงคอยสาย
“แม่ อยู่ไหนอะ”
“แม่กลับไปทำงานแล้วเก้า”
เสียงแม่ดูเศร้าๆนิดหน่อย
“แม่รออยู่สักพักแต่ไม่เจอ แล้วพ่อเค้าโทรมาตาม”
“อ้าว เก้าก็รีบลงมาหา”
ผมเข้าใจ แม่ต้องรีบไปทำงานต่อ แล้วพ่อก็คงทำงานอยู่คนเดียวในตอนนี้
“แม่โทรหาแล้ว เก้าปิดมือถือ”
“มันมีงานนี่แม่ เอาเข้าไปได้ที่ไหนละ”
ผมเลยถามกลับ
“แม่หิวมั้ย”
ผมเป็นห่วงว่าแม่ได้ทานอะไรรึยัง
“ไม่หิว แม่กินเช้ามาแล้ว”
“อ้อ งั้นเดินทางดีๆละแม่ เดี๋ยวเก้าไปหาไรกินละ”
ผมทำเสียงให้ร่าเริงที่สุด
“เย็นนี้เจอกันที่บ้านนะเก้า”
“ครับแม่”
ตี๊ด ข้อความเข้า
‘ทำไมต้องให้คนอื่นมาเสียเวลาด้วย ทำอะไรคิดบ้าง โตแล้ว อย่าเห็นแก่ตัว ถ้าจะชั่วอย่าพาคนอื่นไปทำชั่วด้วย’
ทำไมไม่รู้ ผมรู้สึกน้ำตาคลอ มันไหลออกมาเอง
ทั้งๆที่เมื่อเช้ายังบอกอยู่ว่า เข้าใจถ้าไม่มา แต่พอเอาเข้าจริงกลับกลายเป็นว่า ผมดีใจอย่างที่สุด แล้วตอนนี้ผมก็เสียใจอย่างที่สุดเช่นกัน
เฮ้อ... ไม่ร้อง
กดปิดข้อความจากพ่อ เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า แล้วนั่งอยู่ในห้อง ซ้ายขวาผมมีแต่กระเป๋านักเรียนบางจ้อย พวกมันคงไปกินข้าวกับแม่ ส่วนตัวผมยังไม่มีอารมณ์จะกินอะไร
เสียงออดดังขึ้นแล้ว ผู้คนทะยอยเดินกลับเข้ามา ผมยังคงนั่งนิ่ง
“เฮ้ย ลูกแหง่ เหงาเหรอ ค่ะ”
ไอ้อ้วน มันเน้นเสียงที่ ค่ะ ด้วย
“รีบจูงแม่ออกไปเลยนะ แม่มึงสวยได้แค่นี้เหรอวะ ท่าทางเหมือนกำลังมีปัญหามีน่าลูกถึงเป็นตุ๊ด”
พอดีเลยกำลังอารมณ์ไม่ดี
ผมเดินเข้าไปกำหมัดขึ้น กำแน่นๆ ขอสักทีเหอะ
“หายไปไหนมาวะเก้า” แมคขัดจังหวะ
“มีไรให้ต้องจัดการให้ได้นะ”
แมคพูดดังๆให้ไอ้อ้วนได้ยิน
ผมหันไปมองหน้ามัน
หันกลับมาไอ้อ้วนหายไปแล้ว.. รู้ตัวสินะ
สัสนี่เจออีกทีจะเล่นให้ยับเลย
“บ่ายนี้ไม่ต้องเรียนวะ วิชาวิทย์พอดี ครูให้ไปเตรียมงานวิทย์ต่อ เดี๋ยวต้องมีซ้อมย่อย ซ้อมใหญ่อะไรอีก เห็นบอกซ้อมใหญ่จะเอาฉากมาใช้จริงด้วย”
แมคไม่นั่ง แต่ล้วงกระเป๋าเอากุญแจห้องวิทย์ออกมา
“งั้นลงไปทำฉากต่อมั้ย” แมคดึงผมขึ้นมาจากเก้าอี้
“อือ” ผมลุก
“นี่ เจ กับ ต้องไม่รู้หายไปไหน” แมควิ่งตามมาข้างหลังพูดขึ้น
ผมไม่ตอบ
“มีไรเล่าให้กูฟังได้นะมึง”
“หือ”
“หน้ามึงแย่ซะขนาดนี้ ไปเจอไรมาวะ ไอ้ต้องแกล้งเหรอ” มันถามผม
“ป่าว”
ท่าทางมันเดาออก ยังไงก็ผมก็ไม่เล่า
มันเลยเอามือตบหัวผมทีนึง
“เดี๋ยวก็ดีแหละมึง” แล้วขยี้ผม ผมด้วย
ห้องวิทย์กลับมาเงียบสงบ แล้วก็มืดเหมือนทุกที ถึงจะอยู่ติดกับห้องประชุมแต่เมื่อไม่มีผู้คนหลงเหลืออยู่แล้ว ความรู้สึกสนุกสนานก็หายไปด้วย มีแค่เศษดอกมะลิกับป้ายงานเท่านั้นที่บอกว่าวันนี้เคยมีงานอะไร
ภาพประทับใจมันจางไปแล้ว
“เฮ้ย เก้า เริ่มเลยมั้ย ท่าทางไอ้เจกับต้องจะหายไปอีกนาน”
“ได้”
ผมกับแมค แบ่งกันทาฉากไปคนละแผง สีที่ทาต่างกัน คนหนึ่งสีเขียวสดใส ส่วนของผมเป็นสีน้ำตาล แดง เข้ากับอารมณ์ผมยิ่งหนัก แห้งแล้ง และหดหู่
“เมื่อเช้าเป็นไงวะ”
“กูมัวแต่ทำตามที่เค้าซ้อมไว้ ลืมดูหน้าแม่มึงเลย”
มันชี้แปรงมาทางผม
“เออ กูก็ลืมหน้าแม่มึง”
ผมเค้นหัวเราะ
“มึงดูแย่จริงๆนะ”
“ยังงั้นเหรอ”
“เมื่อเช้าไอ้เจ กับ ไอ้ต้องนะ พอจบปุบ มันก็รีบหนีไปเลย กลัวคนเห็นรึไงวะ”
มันหัวเราะอยู่คนเดียว
“มึงน่ะออกไปก่อน พาแม่ไปไหนมาเหรอ”
มันยังถามต่อ
แต่ทำไมไม่รู้ ผมไม่คิดว่า นั่น คือ สิ่งที่มันอยากรู้
คำถามจริงๆ คือ เกิดอะไรขึ้นวะ
ผมโยนโทรศัพท์ให้มัน
เงียบกันไปพักนึง
“กูอ่านเสร็จแล้ว”
คราวนี้มันหยุดแล้วเดินมานั่งข้างผม
“ก็..กูกะว่าจะได้กินข้าวด้วยกัน ทุกทีเจอกันแค่ตอนเย็นน่ะ ไม่ค่อยได้พูดคุยกันด้วย ปกติอยู่บ้านเหมือนกูไม่อยู่ ไม่ได้มีตัวตน มีแม่คนเดียวที่เหมือนยังเห็นกูอยู่บ้าง”
“อือๆ”
แมคพยักหน้าอยู่อย่างนั้น
มันเอามือลูบหลังผมสองทีแล้วไปทำต่อ
“อย่าคิดมากมึง กูว่าเค้ามีเหตุผละ”
เหตุผลไรวะ
มันมีอีกเรื่องแต่ผมไม่ได้เล่า อย่างเรื่องเมื่อเช้านี้
“นั่นดิ” ผมยิ้มให้มัน
“ขอบใจนะ” ผมยิ้มให้มันอีกที
“ยังไงก็เพื่อนกัน อีกไม่นานก็ต้องแยกกันไปแล้ว”
“ไม่รู้ว่าจะได้อยู่คุยกับพวกมึงยังงี้อีกรึเปล่า ต่อไปอาจจะไม่ได้เจอเพื่อนแบบพวกมึงก็ได้”
มันพูดแปลกๆจนผมต้องหันไปมองหน้ามัน
“หมายความว่าไงวะ”
ถึงผมจะมีเรื่องไม่สบายใจ มันก็ไม่น่าจะพูดขนาดนี้
“นั่นพระเอกมึงมาแล้ว”
ผมหันไป ไอ้เจ กำลังเดินเข้ามา
“เย้ ไม่มีเรียน”
ทำไมผมไม่ซื้อหวยถูกยังงี้มั่งเนี่ย
กำลังคิดว่า มันต้องมีคนมาขัดจังหวะแน่ๆ
“เป็นไรวะเก้า ทำหน้าเศร้าเชียว”
นี่หน้าผมมันแสดงออกยังงั้นเลย
“ป่าวไม่มีไรมึง”
“วันนี้วันแม่นะมึง ทำหน้ายังกับครอบครัวมีปัญหา”
เจ พูดแหย่ผม
“เฮ้ย” แมคเดินไปเตะไอ้เจหนึ่งป๊าบ
“อ้าว มึงไปไหนน่ะเก้า” เจ ร้องมาทางผม
ผมลุกแล้วเดินออกไปเลย
“ตามไปสิวะ ไอ้ควาย” เสียงแมคเองไล่หลังมา
เหมือนเจ จะถกเถียงกับไอ้แมคอยู่ มันคงงงผมเป็นอะไรไป
ผมเดินออกจากห้องไปทางขวา แล้วเลี้ยวซ้ายหลบเข้าไปบริเวณซอกด้านหลังห้องประชุม ตรงนั้นเป็นลานยกพื้นไว้สำหรับนักแสดงที่จะขึ้นโชว์เวทีใหญ่ในห้องประชุม
มันมืดและเงียบมาก ถ้าจะอยู่คนเดียวในโรงเรียน ผมก็นึกไม่ออกถึงที่อื่นแล้ว
“เฮ้ยเป็นไรวะ” ไอ้เจหย่อนตูดลงนั่งข้างๆ
ผมไม่ตอบอะไร ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องไปตอบมัน ผมรู้ ลึกๆแล้วมันก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่พอเวลาพูดแล้วมันจี้ใจดำ ทำให้สิ่งที่ผมอดทนเก็บเอาไว้บางทีมันก็ไม่อยู่ ผมเองตอนนี้ก็หงุดหงิดตัวเอง จะดราม่าอะไรหนักหนา เรื่องแค่นี้
“แล้วมึงมาทำไม ไปช่วยไอ้ป๋ามันโน่น” ผมไล่มันไปไกลๆ
“ก็เห็นมึงมานั่งทำหน้าซึม กูเลยเป็นห่วง”
“ป่าว ไม่มีไรมึง”
“กูพูดไรผิดไปเหรอ”
“ป่าวไง”
ผมยังนั่งนิ่งเงียบต่อไป
“โอเค ถ้างั้นกูไปละ ไม่อยากระบายก็ไม่เป็นไร”
อ้าว
“เอ้ย เปล่าๆ” สุดท้ายผมก็ต้องยอมมันอยุ่ดี
ผมเลยต้องเล่าทั้งหมดเหมือนที่เล่าให้ไอ้แมคฟังอีกรอบ แน่นอนว่ายกเว้นเรื่องพ่อกับเรื่องเมื่อเช้า เพราะเล่าไปมันจะเข้าตัวผมด้วย
“กลายเป็นว่ามึงหาไม่เจอสินะ” เจ พูดสอดขึ้นมา
“อือ” มันพูดถูก
“บ่นมาซะยาว” มันเอามือตบหัวผม
“เจ็บนะมึง”
“มึงอะคิดมาก”
เงียบไปอึดใจ
“บ้านกูไม่มาเลยด้วยซ้ำ” เจ มองไปทางห้องวิทย์
“ไหนมึงบอกไม่สนใจไง” ผมลุกขึ้นมานั่งตรง
“สนไงละ แม่กูแก่เกินกว่าจะมาแล้วมั้ง” มันมองออกไปตรงๆ
“แล้วใครมาละ”
มันหันมา ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“พี่สะใภ้” เจ พูดช้าๆชัดๆทีละคำ
“หา”
“พี่กูแต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว” มันค่อยๆเล่า
“กูเป็นลูกหลง จะมีใครมาสนใจกูพี่กูไปอยู่เมืองนอกกัน 2 คู่แล้ว ใครจะสนกู พี่สะใภ้ต่างหากที่เลี้ยงกูมา กูประถมพี่กูก็แต่งงานแล้ว กูเลยเหมือนเป็นลูกเค้า พอพี่คนโตกลับมาจากเมืองนอกกูก็โดนเอาไปเลี้ยงเลยทันที”
สงสัยเรื่องของมันจะหนักกว่าของผมแฮะ
ผมได้แต่เอามือลูบหลังมัน ทำไรไม่ถูกเลยเจอยังงี้เข้าไป
“เออ นี่มึงโตขึ้นเยอะเลยนะ”
“หือ” วันนี้ไอ้นี่เป็นอะไร เล่นคำใบ้รึไง
“มึงจำกูไม่ได้จริงงะ”
ผมส่ายหัว ยังชันเข่าอยู่
“พีไง”
หือ!!!!
“พีระพล เพื่อนเก่ามึงน่ะ” มันเน้นคำว่า เก่า
ผมทำหน้างงกับคำพูดมันชั่วครู่ มันเอาอะไรมาพูดวะ สมองผมทำความเข้าใจไม่ทัน
“มึงนี่โตขึ้นเยอะเลยนะ”
“ไหนดูดิ ตรงนั้นโตถึงไหนแล้ว” มันเอามือมาจะแกะกางเกงผม
“พอๆๆ พีแน่ๆ” นิสัยบ้าบอ นิสัยทะลึ่งแก้ไม่หาย
“ทำไมมึงเพิ่งมาบอก”
“อ้าว ก็มึงไม่ถามนิ” มันทำหน้ากวนตีน
“เออออ” จริงของมัน
เพื่อเก่าที่หายไปนาน ที่แท้มันอยู่นี่เอง
“เดี๋ยวนี้มึงก็ยังเหมือนเดิมนี่ ทำตัวโดดเดี่ยว”
“อ้าว ไอ้นี่”
มันหัวเราะใหญ่
“ไหนมึงบอกกูโตขึ้นไง”
“ก็โตไง ดูดิ มึงนั่งไข่ลอดกกนสีน้ำเงินของมึงอะ ตุงแน่นเลย โตขึ้นแล้วใหญ่เหรอวะ”
ผมก้มหน้าลงไปมอง จริงของมัน
“สัส มาดูไรของกู”
มันหัวเราะ
“ที่วันนั้นน่ะ มึงชวนกูไปดูรอยลูกปิงปองกูยังจำได้นะ”
มันหัวเราะไม่พูดอะไร
ผมคิดว่าผมควรจะถามในสิ่งที่อยากถามมันดีมั้ย
“มึงให้กูถอดเพื่อจะดูอะไร”
“อ้าว ก็กูยังจะถอดให้มึงดูก่อนเลย” มันตอบผมด้วย เอ่อ.. ไม่รู้เรียกว่าอะไร
“ตอบไม่ตรงคำถาม”
“มึงไม่ต้องรู้หรอก เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง”
นี่ก็ไม่ใช่คำตอบ อะไรของแม่งวะ
“อะไรของมึงวะ”
“อยากรู้จริงนะ”
มันหันมาถอดกางเกงลง ยกชายเสื้อขึ้น เหลือแต่กางเกงในสีขาว รัดแน่นให้ผมดู
แล้วเอามือล้วงเข้าไปข้างในกางเกง เน้นเป้าให้อูมขึ้นมา
“กูไม่เคยเอาเปรียบมึงแล้วกัน”
กูบอกรึยังว่าอยากดูกลับน่ะ
“ไปๆ ป๋ารอนานแล้ว เดี๋ยวมันบ่น” มันใส่กางเกงแล้วเดินนำไป แถมเอามือล้วงเข้าไปตรงไปตรงนั้นอีก
ผมชูนิ้วกลางให้มัน
“อ้อ วันงานอะทำตัวให้ว่างนะมึง เป็นค่าตอบแทนที่กูช่วยไว้ตอนโน้นนนนนน”
ตอนไหนวะ แม่งทวงบุญคุญกันย้อนไปกี่ปี
ยังไม่ได้รับปากมันเลยว่าจะไป
แล้วผมจะไปบอกไอ้ต้องยังไงละเนี่ย
ถึงวันนั้นมันก็คงลืมเองแหละมั้ง ....
อ้อ เล่นมาล้วงควักให้กูดูซะยังงี้ จะลุกขึ้นเดินไปยังไงละเว้ย
