[จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:12 Finale2new prelude) 18 May. 2016
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:12 Finale2new prelude) 18 May. 2016  (อ่าน 14431 ครั้ง)

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


















___________________________________________________________________________________________

สวัสดีค่ะ

สำหรับเรื่องนี้จะเป็นแนวแฟนตาซีพรีเรียตตะวันตกนะคะ ได้แรงบันดาลใจจากโดจินR.O.สั้นๆที่พยายามจะวาดให้จบก็ไม่จบ เอาใบชุบมาชุบเกิดใหม่เป็นนิยายค่ะ 555 (แปลงร่าง) เรื่องจบเรียบร้อยแล้วนะคะ ขอบคุณที่ให้ความร่วมือ ไม่มีการคอมเม้นแทรกใดๆระหว่างลงตอนเลย (มีน้อยมาก)  เรียงตัวกันสวยงาม ดีใจน้ำตาจะไหล (ไม่ใช่แล้ว!!!?)

อ่านอยู่ก็เผยตัวออกมาบ้างก็ได้นะคะ จะนับเป็นพระคุณอย่างสูง

สวัสดี






Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2016 17:16:51 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart
«ตอบ #1 เมื่อ21-08-2015 10:10:26 »


Content
 Act 1 : Wilhelmina  (2parts)........................P.1
 Act 2 : Brighid's Prince  (2parts)....................P.1
 Act 3 : The Demon (2 parts)........................P.1 (ขออนุญาตเพิ่มฉากค่ะ 3Dec.2015)
 Act 4 : Brother complex (3 parts)....................P.1
Act 5 : Controversy (3 parts)............................ P.1
Act 6 : Grew up (3 parts) ..........................P.1
Act 6.5 : Special fan service  ♥♥♥ (mini part).......P.1
Act 7 : Decision (3 Parts) ......................P.1
Act 8 : Weakness (3 Parts).........................P.1
Act 9 : Mastermind (1/3)..........................P.1
(2/3-3/3) ............................P.2
Act 10 : Release(3 Parts) .........................P.2
Act 11 : Finale .......................................P.2
Act 12 : Finale 2 New prelude (2parts) .....................P.2
(แถม55 สุดท้ายละ หลังเครดิตหนังขึ้นต้องมีตัวอย่างหนังตอนต่อไป)


ไม่ต้องลิงค์นะคะ นิยายเรื่องนี้เรียงตัวกันสวยงาม หมุนเม้าส์ลงไปเรื่อยๆเลยค่ะ คอมเม้นไม่มีแทรกขึ้นมาให้หายากแต่อย่างใด   :ling2:
(เศร้าแป๊บ...)


Title : Libra’s heart : Act. 1 Wilhelmina (Part1/2)


บนโลกนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถเหนือมนุษย์อยู่หลายชนิด
ที่มนุษย์บางคนเรียกว่าภูติหรือปีศาจทั้งหลาย
แต่ก็ยังมีมนุษย์บางคนที่สามารถยืมความสามารถของเหล่าภูติมาใช้ประโยชน์ได้
 คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่าผู้รักษาความสมดุล หรือ”ลีบลา”
 .
 .
 .
 .
 .
 .
 .
     หนังสือเล่มหนาถูกปิดลงเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นนวดที่หว่างคิ้วสีเทาตัดกับผิวสีแทน แววตาสีเหลืองทองเหลือบออกไปมองนอกหน้าต่างรถม้าที่เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ เชื่องช้าเกินไปสำหรับจิตใจอันเร่งรีบของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างใน จุดมุ่งหมายของเขาคือเมืองเวลเฮมมิน่า เมืองเล็กๆที่ไม่ได้มีบทบาทอะไรในพื้นที่การปกครองของเมืองหลวงบริงไฮด์ แต่ทว่ากลับมีบันทึกการเดินทางของบรรดานักผจญภัยหลายต่อหลายคน ที่เขียนถึงเมืองๆนี้ได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นระบบการปกครองที่แปลกประหลาด ไม่ได้สืบเชื้อสายเจ้าเมืองเหมือนเมืองอื่นๆ ระบบการจัดการกองกำลังทหาร การแบ่งใช้พื้นที่ใช้สอยของชาวเมืองกับสิ่งที่เรียกว่า “ภูติและปีศาจ” ที่สำคัญคือบุคคลที่ถูกเรียกว่าลีบลา

      เฟริควางหนังสือเล่มเมื่อครู่ไปเก็บไว้ในกล่อง เขาเลือกอ่านบันทึกของนักผจญภัยที่เอ่ยถึงเมืองนี้มาสามเล่มแล้ว ไม่ว่าจะเล่มไหนก็รู้สึกเกินจริงเหมือนอ่านนิทานก่อนนอนไม่มีผิด วันนี้เป็นโอกาสของเขาที่ได้เข้าไปเยือนเมืองที่ว่านี้ในฐานะองค์ชายแห่งบริงไฮด์ โอกาสสำคัญที่ได้ออกมานอกรั้ววังหลวงและได้เจอกับของจริงนอกหนังสือเล่มนี้เสียที

      รถม้าเคลื่อนผ่านเข้าสู่พื้นที่ป่า ทำให้แดดเปรี้ยงๆที่สาดส่องลงมาหายไปฉับพลัน องค์ชายจึงได้เลื่อนหน้าต่างให้เปิดออกกว้างขึ้น อากาศเย็นชุ่มช่ำลอยเข้ามาในรถม้าทำให้เรือนผมยาวสีเทาที่รวบไว้ที่ท้ายทอยปลิวสะบัดรับลมเย็น ถนนสายหลักที่เอาไว้เข้าออกเมืองสำหรับการส่งเสบียงและสินค้า ถูกตัดไว้อย่างดีโดยที่ยังคงพื้นที่ป่าที่เขียวชอุ่มเอาไว้ ต้นไม้ใหญ่อายุยืนยาวหลายต้นยังคงอยู่ที่นี่เหมือนว่าไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่แถวนี้ ทิวทัศน์ที่เห็นตอนนี้กับสายลมเย็นสบาย ทำให้มีรอยยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคาย เขาสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของเมืองๆนี้ตั้งแต่ยังเดินทางไปไม่ถึงตัวเมืองเสียด้วยซ้ำ

      ผ่านป่ารกทึบไปแสงแดดก็กลับส่องสว่างลงมาอีกครั้ง ต้นไม้ใหญ่เริ่มหายไป แทนที่ด้วยทุ่งข้าวสีเขียวอ่อน ชาวเมืองที่ทำกิจกรรมต่างๆเห็นขบวนรถม้าผ่านมาต่างก็หยุดมองตามกันเป็นตาเดียวกันหมด เฟริคไม่แปลกใจอะไรที่ชาวเมืองมองขบวนรถม้าของเขาเหมือนสิ่งประหลาด ก็ที่นี่ไม่ได้มีสินค้าอะไรสำคัญที่จะมีใครเข้ามาติดต่อเข้าออกกันบ่อยๆ ถึงมีก็ไม่ใช่ขบวนรถม้ายิ่งใหญ่ดูเป็นทางการขนาดนี้แน่นอน

      เฟริคยกมือขึ้นโบกให้ชาวบ้านที่มองเข้ามาแล้วคลี่ยิ้มจางๆส่งให้ เด็กตัวน้อยที่วิ่งเล่นอยู่แถวนั้นก็หัวเราะคิกคักและโบกมือกลับมาอย่างสนุกสนาน ผู้ใหญ่แถวนั้นก็โบกมือกลับมาอย่างยิ้มแย้มเช่นกัน

     “ใสบริสุทธิ์จริงๆ” ร่างหนาทิ้งตัวกลับมานั่งพิงพนักพิง พลางพึมพำขึ้นมากับตัวเองอย่างขมขื่น ความใสซื่อแบบนี้หาไม่ได้เลยในสังคมรอบข้างของคนที่มียศเป็นองค์ชายอย่างเขา

       ขบวนรถม้าเคลื่อนเข้ามาถึงในส่วนของตัวเมือง สภาพเมืองโดยรวมไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเมืองเล็กๆทั่วไปแม้แต่น้อย ไม่มีการใช้เวทย์มนต์ประหลาดๆที่เฟริคคาดหวังไว้ว่าจะได้เจอ อย่างที่หนังสือได้เขียนเอาไว้ กระทั่งขบวนรถม้าต้องมาหยุดที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่กลางเมือง ที่เป็นที่ทำงานและเป็นที่พักของเจ้าเมืองที่นี่ ที่ประตูหน้ามีทหารในเครื่องแบบตั้งแถวยืนรอต้อนรับเขาอย่างดี เนื่องจากเฟริคส่งม้าเร็ววิ่งนำไปแจ้งก่อนล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ลำบากเจ้าบ้านที่ต้องเตรียมการกระทันหัน แต่ก็ไม่ได้อยากจะเจอพิธีการต้อนรับที่เป็นทางการขนาดนี้

      "ยินดีต้อนรับค่ะ องค์ชาย" ต้นเสียงหวานใสนั้นเป็นเด็กสาวเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวรวบมัดไว้เรียบร้อยที่ท้ายทอย แต่งตัวในเครื่องแบบกระโปรงยาวลงมาถึงข้อเท้าเรียบร้อยสีขาว

      "ยินดีต้อนรับสู่เวลเฮมมิน่าขอรับ" เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นมา เฟริคหันไปที่ต้นเสียงเห็นชายหนุ่มเรือนผมสั้นสีดำขลับเสยปัดไปข้างหลังง่ายๆ ร่างสูงเหยียดตัวตรงจากการโค้งตัวทักทาย ทำให้เห็นว่าอีกฝ่ายตัวสูงกว่าเขาพอสมควร ทั้งๆที่ตัวเองก็เรียกได้ว่าเป็นคนตัวสูงคนหนึ่งอยู่แล้ว เสื้อแขนยาวที่ตัดเย็บพอดีตัวปกปิดกล้ามเนื้อหนาจากการฝึกฝนอย่างหนัก ช่วยเสริมให้ร่างหนาดูสง่าผ่าเผย

      "ข้าดาวิส เป็นรองเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่า ส่วนนี่คือเรเชล เป็นผู้ช่วยท่านเจ้าเมือง ท่านเจ้าเมืองฝากขออภัยที่ไม่ได้ออกมารับด้วยตัวท่านเองเนื่องจากติดภารกิจสำคัญ ยังไงวันนี้องค์ชายก็เดินทางมาไกล พักผ่อนก่อนแล้วค่อยคุยธุระกันวันพรุ่งนี้เถิด"
นอกจากจะต้องเจอการต้อนรับเป็นพิธีการที่เฟริคไม่ชอบแล้ว คนที่เขาอยากจะเจอมากที่สุดกลับไม่ได้เจอเสียอีก

     “ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ” เฟริคซ่อนความรู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆในใจ แค่เพียงได้รู้จักรองเจ้าเมืองที่ดูอายุราวคราวเดียวกับตน และผู้ช่วยเจ้าเมืองที่ดูยังเป็นแค่เด็กสาวตัวเล็กๆธรรมดาๆคนหนึ่งแล้ว ช่างให้ความรู้สึกแตกต่างจากขุนนางชั้นสูงในรั้ววังของตนที่มีแต่คนแก่ที่เอาแต่พูดโดยสิ้นเชิง และภาพเจ้าเมืองที่เป็นชายแก่เครายาวเฟื้อยถือไม้เท้าเก่าๆของเฟริคที่เคยวาดไว้ถูกลบหายไปในฉับพลัน

     “ทางเราจัดเตรียมที่พักไว้ให้ท่านกับผู้ติดตามแล้ว เชิญทางนี้ขอรับ” ดาวิสผายมือเชิญให้เขาเดินตามเข้าไปภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ตกแต่งไว้อย่างเรียบง่าย เต็มไปด้วยต้นไม้ในกระถางเล็กใหญ่วางอยู่แทบทุกๆมุม

     "ขอข้าถามสักอย่างสิ บันทึกของนักเดินทางหลายคนเขียนถึงความวิเศษของเมืองนี้เอาไว้ยังกับเทพนิยาย....ท่านเจ้าเมืองที่นี่เป็นลีบลาจริงๆน่ะเหรอ" เฟริคลังเลเล็กน้อยก่อนจะยิงคำถามที่ตนเองสงสัยมากที่สุดออกมา ระหว่างทางเดินไปที่ห้องพัก ดาวิสได้ยินคำถามนั้นก็หันไปสบตากับเรเชลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบคำถามของผู้มาเยือนคนสำคัญ

     "เป็นตามนั้นขอรับ ท่านเจ้าเมืองที่นี่เป็นลีบลาจริงๆ แต่ข้าก็ไม่แน่ใจว่าในบันทึกนั้นจะเขียนอะไรเกินจริงไปบ้าง" เฟริคได้ยินคำตอบนั้นก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ในสมองเริ่มรวบรวมคำถามมากมายที่จะถามต่อไป แต่ดาวิสกลับชิงเอ่ยถามขึ้นมาเสียก่อน

     “ในฐานะที่ข้าเป็นรองเจ้าเมือง อยากจะขออนุญาตถามเหตุผลการมาเยือนในครั้งนี้ขององค์ชาย โดยคร่าวๆ ได้หรือไม่"

     "ข้ามาหากองกำลังเสริมน่ะ อีกไม่นานบริงไฮด์กำลังจะมีศึกใหญ่กับกรีฟิท" สีหน้าที่เรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดๆของเจ้าบ้านทั้งสองคนทำให้เฟริครู้ว่า พวกเขาพอจะทราบข่าวคราวจากเมืองหลวงอยู่บ้าง

     "ข้าพอจะได้ยิน สถานการ์ณระหว่างบริงไฮด์กับกรีฟิทอยู่บ้าง ก็คิดว่าท่านน่าจะมาติดต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ท่านพูดถึงกองกำลังเสริม มิใช่เสบียงหรอกหรือ เวลเฮมมิน่าเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์พอที่จะเผื่อแผ่เมืองอื่นๆ แต่เราไม่ได้มีกำลังทหารที่เยอะนักหากเทียบกับกองทัพของบริงไฮด์แล้ว เรามีกันแค่หยิบมือเดียวเท่านั้นเอง"

     "เรื่องนั้นเราทราบดี ทว่าที่เรามาที่เวลเฮมมิน่ามิใช่เพราะกำลังสนับสนุนจากทหาร แต่เป็นความสามารถลีบลาต่างหาก เอาจริงๆข้าก็ไม่รู้ว่าลีบลาทำอะไรได้แค่ไหน ข้าก็ไม่ได้ตั้งความหวังไว้ขนาดนั้นหรอก อย่างน้อยๆข้าก็ได้มีโอกาสออกมาเจอลีบลาตัวจริง" ดาวิสไม่เอ่ยตอบอะไรกลับมา เฟริคสัมผัสได้จากเพียงแผ่นหลังของอีกฝ่าย ว่าไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับความคิดนี้สักเท่าไหร่ ความเงียบของเจ้าบ้านทำให้เฟริคเริ่มรู้สึกอึดอัด

     “อันนี้เป็นห้องพักขององค์ชายค่ะ พักผ่อนให้สบายนะคะ” เรเซลเอ่ยด้วยเสียงหวานใสแทรกแซงความเงียบสงัดที่น่าอึดอัดขึ้นมา พลางเปิดประตูห้องพักให้พร้อมคลี่ยิ้มส่งกลับมาให้ ทำให้เฟริคสบายใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง

     “ถึงเวลาอาหารเย็นข้าจะส่งเด็กขึ้นมาแจ้งให้ทราบนะคะ”

     “ขอบคุณมาก รบกวนพวกท่านจริงๆ”

     “พวกข้าขอตัวเพียงเท่านี้ขอรับ” ดาวิสเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบๆ แล้วเดินจากไปพร้อมเรเชล เหมือนว่าที่เฟริคพูดถึงลีบลาเมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น

เฟริคใช้เวลาจัดเก็บของไม่นานเพราะมีผู้ติดตามเข้ามาช่วยจัดการให้ เขาจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดา เพื่อเตรียมจะออกไปเดินสำรวจรอบๆเมืองเพื่อดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่

     “จะออกไปข้างนอกเหรอคะ ให้ข้าเรียกใครแนะนำเส้นทางมั้ยคะ” เรเชลเอ่ยรั้งไว้เมื่อเห็นว่าแขกคำสัญเตรียมจะออกไปข้างนอก

     “ไม่เป็นไรๆ รบกวนพวกเจ้าหลายเรื่องแล้ว ข้าเดินเล่นใกล้ๆ” เฟริคไม่ชอบให้ใครคอยตามบริการเลยคลี่ยิ้มปฏิเสธไป
   
     “ถ้าเช่นนั้นอย่าไปไกลมากนักนะคะ อีกไม่นานฝนจะตกหนัก ร่มก็คงเอาไม่อยู่ ข้าแนะนำให้รีบกลับก่อน” คำบอกกล่าวของเรเชลทำให้เฟริคต้องชะเง้อหน้ามองออกไปข้างนอก ก็ยังเห็นว่าฟ้าสว่างใสเหมือนตอนที่เดินทางเข้ามาไม่ผิดเพี้ยน พอหันกลับมามองหน้าผู้ที่เอ่ยเตือน เธอก็คลี่ยิ้มหวานกลับมาและกำชับอีกทีราวกับเป็นเรื่องทำกำหนดไว้แล้ว
     
      “ถ้าลมเริ่มพัดแรงก็รีบเดินทางกลับมาที่พักนะคะ จะได้ไม่เป็นหวัด”

     “....ได้ ข้าจะรีบกลับมา” เฟริคตอบรับอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักก่อนจะเดินออกมาข้างนอก



     เฟริคเดินผ่านลานกว้างที่มีเด็กเล็กวิ่งเล่นกันอยู่ก็หยุดดูสักพัก อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาดึงชายเสื้อตัวเองเบาๆ พอหัวไปก็เจอกับเด็กน้อยส่วนสูงเท่าเอวสามคน ยืนจ้องมาที่เขาอย่างสนอกสนใจ
     
     “พี่ชาย พี่ชายเป็นลูกครึ่งภูติเหรอ”

     “เอ๋?” เฟริคงงกับคำถามของเด็กน้อย จริงอยู่ว่าสีผิวแทนกับสีผมของเขาอาจจะประหลาด แตกต่างไปจากคนทั่วไปที่มีพื้นเพอยู่บริเวณนี้ แต่เขาไม่คิดว่าจะเจอคำถามประหลาดขนาดนี้ เขาย่อตัวลงไปนั่งคุยกับเด็กผู้อยากรู้อยากเห็นกลุ่มนั้น

     “เอ่อ...ข้าเป็นลูกครึ่งน่ะใช่ แต่ไม่ใช่ครึ่งภูติหรอกนะ…...ที่นี่มีลูกครึ่งภูติด้วยเหรอ” เฟริคไม่คิดว่าจะได้ข้อมูลอะไรที่เป็นข้อเท็จจริงจากเด็กน้อยที่สูงเพียงเอว แต่เขาก็รู้สึกสนุกที่จะได้ยินคำตอบของเด็กน้อยพวกนี้

     “มีสิ แม่ข้าเล่าให้ฟัง เมื่อก่อนที่นี่มีลูกครึ่งภูติคนนึง ท่านลีนัสเลี้ยงเอาไว้ เวลาอารมณ์ไม่ดีก็แปลงร่าง ผิวเปลี่ยนเป็นสีแดง แล้วมีเขาด้วย” ได้ยินเช่นนั้นเฟริคก็เลิ่กคิ้วขึ้น เป็นคำตอบที่สร้างความบันเทิงให้กับเขาได้อย่างที่คิดไว้จริงๆ

     “สีส้มต่างหาก!” อีกคนนึงเถียงขึ้นมา

     “ช่างเถอะมันก็คล้ายๆกัน ที่สำคัญพ่นไฟได้ด้วย”

    “พี่ชายพ่นไฟได้มั้ย” ได้ยินคำถามของเด็กชายตัวเล็กแล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเฟริคที่มีมารดาเป็นชาวมันดาเลีย เกิดเป็นองค์ชายผิวสีแตกต่างจากพี่น้องต่างมารดาคนอื่นๆ มักจะโดนนินทาลับหลังว่าเป็นชนชั้นต่ำบ้างหลายต่อหลายครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกถามว่าพ่นไฟได้ไหม

     “แล้ว ตอนนี้ลูกครึ่งภูติคนนั้นไปไหนซะแล้วล่ะ” เฟริคพยายามจะกลั้นเสียงหัวเราะพลางเอ่ยถามเด็กน้อยกลับไป

     “ไม่รู้สิ อยู่ๆก็หายไป” เด็กน้อยกลอกตาขึ้นข้างบนอย่างครุ่นคิด

     “เขาทำผิดก็เลยหนีหายไปไงล่ะ” อีกคนหนึ่งอวดความรู้ของตัวเองขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ

     “ใช่แล้วๆ เขาพ่นไฟใส่คนตาย” เฟริคคิดว่านี่ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เด็กๆแต่งขึ้น หรืออาจจะเป็นนิทานพื้นเมืองของที่นี่ที่ใช้เตือนเด็กไม่ให้ออกไปเที่ยวเล่นดึกหรืออย่างไร ในเมื่อเด็กทั้งสามคนต่างก็ช่วยกันตอบคำถามโดยที่เนื้อหาคล้อยไปในทางเดียวกัน

     “นั่นแหละ เอาเป็นว่าถ้าพี่ชายพ่นไฟได้ ก็อย่าพ่นมั่วซั่วนะรู้มั้ย เดี๋ยวจะโดนตี” เด็กน้อยเตือนองค์ชายด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาอีกฝ่ายต้องหันหน้าหนีเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ นี่ถ้าเขาไม่ออกมาเดินคนเดียวแบบนี้คงไม่ได้เจออะไรแบบนี้แน่นอน คิดถูกแล้วจริงๆที่ออกมาคนเดียว

     “ใครจะพ่นไฟอะไรของเจ้าน่ะลูก้า ขอโทษพี่เค้าด้วย ไปว่าพี่เค้าเป็นปิศาจแบบนั้นได้ยังไง ขอโทษด้วยที่ลูกข้าพูดอะไรแปลกๆไป” หญิงสาวเดินเข้ามาหาลูกชายแล้วก้มหัวขอโทษขอโพยเฟริคเป็นยกใหญ่

     “อ้อ ไม่เป็นไร ลูกท่านพูดเก่งดีนะข้าชอบ” เฟริคลุกขึ้นยืนเพื่อจะคุยกับผู้เป็นแม่

     “....ท่านเป็นนักท่องเที่ยวหรือคะ” หญิงสาวเกิดอ้ำอึ้งขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้น ร่างสูงในเสื้อผ้าเรียบง่ายเนื้อผ้าบางๆ ทำให้เห็นโครงสร้างกล้ามเนื้อแน่นกำยำได้ชัด ผิวสีแทนรับกับเรือนผมยาวยักศกนิดๆสีเทากับดวงตาสีเหลืองทองดูน่าหลงไหล

     “ก็...ทำนองนั้น” เฟริคลังเลนิดหน่อยก่อนจะตอบ ถ้าจะบอกว่ามาติดต่องานก็ดูท่าว่าจะต้องอธิบายกันยาวเลยขอไปตามน้ำจะดีกว่า

     “ท่านมาจากเมืองไหนเหรอ” เฟริครู้สึกคุ้นตากับแววตาของผู้เป็นแม่คู่นี้ขึ้นมา เพราะเมื่อครู่นี้ลูกชายของเธอก็จ้องมองเขาด้วยแววตาแบบนี้เช่นกัน

    “แม่….” เด็กน้อยลากเสียงเรียกแม่ของตน ทำให้แววตาคู่นั้นยอมละไปจากเฟริคเสียที

    “จ๋าว่าไงลูก” หญิงสาวรีบหันไปหาลุกชายอย่างได้สติ

    “ลมมาแล้ว ฝนจะตกแล้ว กลับบ้านกันยัง”

    “อ่ะ นั่นสินะ ท่านก็รีบกลับเถอะอีกเดี๋ยวฝนจะตกแล้ว ข้าขอตัวก่อนล่ะ” หญิงสาวเอ่ยลาแล้วจูงลูกชายพร้อมเพื่อนๆในกลุ่มกลับไปหาบรรดาแม่ที่นั่งรออยู่แถวนั้น แล้วพากันจูงลูกเข้าบ้านไป ดูเหมือนทุกคนในเมืองนี้จะรู้เวลาฝนตกกันหมด เฟริคชักสงสัยว่าที่นี่ฝนตกเป็นเวลาหรืออย่างไร

     ลมที่พัดมาค่อยๆแรงขึ้น แสงแดดที่เมื่อครู่ยังส่องสว่างอยู่ๆก็มืดลง พอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็เห็นกลุ่มก้อนเมฆสีดำเริ่มรวบตัวกันจนเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้ม เฟริคไม่เคยเห็นเมฆฝนที่รวมตัวกันเร็วขนาดนี้มาก่อน เห็นเช่นนั้นก็เลยรีบสาวเท้ากลับไปที่คฤหาสน์ที่พักทันที

     เฟริคเพิ่งจะเดินออกไปไม่ไกลนักจึงใช้เวลาเดินกลับมาเพียงครู่เดียว แต่เวลาเพียงเท่านั้นก็ทำให้เขาเกือบจะได้เดินตัวเปียกกลับเสียแล้ว เพราะระหว่างทางมาฝนเม็ดเล็กๆก็เริ่มลงเม็ดมา ทันทีที่เขาเดินเข้ามาถึงซุ้มประตูหน้าทางเข้า ฝนเม็ดใหญ่ก็ตกลงมาอย่างหนักหน่วง ละอองฝนเย็นๆกระเด็นเข้ามาทำให้เฟริครู้สึกสดชื่น หลังจากที่เมื่อตอนกลางวันอากาศทั้งร้อนทั้งแห้ง ถ้าให้กลับเข้าไปอุดอู้ในห้องตอนนี้คงเสียดายแย่ เขาจึงเลือกที่จะยืนพิงเสาดูเม็ดฝนที่สาดกระหน่ำลงมาอย่างเพลิดเพลิน

      ในใจเฟริคนึกครุ่นคิดถึงบทสนทนาของเด็กน้อยและแม่ของเด็กเมื่อครู่ ไม่มีการแบ่งแยกกีดกันคนผิวสีอย่างเขาสักนิด ทั้งๆที่ในเมืองหลวงมีการแบ่งแยกกันชัดเจน มีแต่เพียงตัวเขาเองนั่นแหละที่พิเศษขึ้นมาเพราะเป็นลูกกษัตริย์ ไม่มีใครกล้าว่าร้ายต่อหน้าให้ได้ยิน จะมีก็แต่พี่น้องต่างมารดาของตนนั่นแหละ ที่พูดให้ได้ยินทุกเมื่อเชื่อวัน ที่อยู่มาได้ทุกวันนี้เพราะมีบิดาที่จิตใจเปิดกว้าง พยายามสอนให้เขาเพิกเฉยกับเรื่องพวกนั้นซะแล้วเอาเวลามาพัฒนาตัวเอง พิสูจน์ให้คนอื่นๆได้เห็นและยอมรับในตัวเขาสักวัน เฟริคจึงพยายามเรียนรู้และทำอะไรหลายๆอย่าง เพื่อให้ตัวเองได้เก่งขึ้นตลอดเวลา แต่สำหรับเรื่องของการขอกำลังสนับสนุนในการรบครั้งนี้ เฟริคไม่มีหนทางเหมือนพี่น้องคนอื่นๆจริงๆ ที่มีพันธมิตรเป็นหัวเมืองใหญ่เล็กรอบๆ ถึงบิดาจะพยายามไม่ให้เขาโทษที่ตัวเองที่เกิดมาไม่เหมือนคนอื่น แต่เรื่องนี้ ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ต้องโทษสีผิวตัวเองจริงๆที่ทำให้คนอื่นๆไม่สนใจเป็นพันธมิตรกับเขา

     ระหว่างที่หวนคิดถึงอะไรเพลินๆอยู่นั้นเอง อยู่ก็มีอาชาสีดำสนิทกระโจนฝ่าสายฝนเข้ามาข้างใน ทำให้เฟริคพลิกตัวหลบน้ำฝนที่กระเซ็นเข้ามาแทบไม่ทัน บนอาชานั้นมีชายหนุ่มในเครื่องแบบสีขาวคล้ายๆเรเชล แต่มีผ้าคลุมไหล่ผืนยาวสีแดงเข้มคาดอยู่ พออาชาตัวใหญ่หยุดสนิทเขาก็กระโดดลงมาแล้วลูบแผงคอสีดำขลับของม้าอย่างอ่อนโยน แล้วเจ้าม้าก็หันหน้ามาหาให้ชายหนุ่มจุมพิตเบาๆที่หน้าผากอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันมาสบตาเข้ากับเฟริคที่ยืนหลบอยู่มุมเสาตรงนั้น ชายหนุ่มร่างบางที่ตัวเปียกไปทั้งตัวหยุดนิ่งมองเฟริคด้วยความประหลาดใจค ริมฝีปากขยับนิดๆเหมือนเอ่ยอะไรออกมาสองคำ แต่เสียงฝนข้างนอกดังกลบไป

     “อะไรนะ” เฟริคถามกลับไป อีกฝ่ายยกมือขึ้นเสยผมสีน้ำตาลแดงเปียกชุ่มที่ปรกหน้าขึ้นไปแล้วเดินเข้ามาหา

     “ขออภัย ท่านคงจะเป็นองค์ชายเฟริค ข้าทำให้ท่านเปียกรึเปล่า”

     “ไม่เป็นไรหรอก นิดเดียวเท่านั้นแหละ ว่าแต่ท่านคือ?”

     “ท่านลีนัส ทำไมถึงกลับมาคนเดียวก่อนล่ะคะ ทิ้งลุคซ์ไว้แบบนั้นก็แย่สิ” ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบ เรเชลก็เปิดประตูออกมาพร้อมทำเสียงโวยวายมาแต่ไกล เธอเดินสาวเท้ายาวๆเข้ามาหาชายหนุ่มร่างเล็กพร้อมกับผ้าผืนใหญ่

     “อ้าว ท่านเฟริค กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้านึกว่าท่านติดฝนอยู่ข้างนอกเสียอีก” เรเชลหันมาเอ่ยทักเฟริคก่อนจะส่งผ้าให้ชายหนุ่มตรงหน้า

     “ขอบคุณเรเชล” เขาหยิบไปเช็ดศีรษะแล้วคลุมทับไหล่ตัวเองลวกๆ เอามือเช็ดผ้าให้แห้งแล้วยื่นมือขวาออกมา

     “อาจจะตะกุกตะกักไปนิดนึงท่านคงไม่ถือสา ข้าลีนัส เจ้าเมืองเวลเฮมมิน่า ยินดีต้อนรับขอรับ” คำว่าเจ้าเมืองหลุดออกมาจากปากของชายหนุ่มหน้าตาละอ่อนตรงหน้า ทำให้เฟริคนิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงเขาจะลบภาพชายชราเครายาวเรี่ยดินออกไปแล้ว ก็ไม่คิดว่าเจ้าเมืองจะยังเด็ก และยังดูติดขี้เล่นแบบนี้

     “อ่า...ขอบคุณสำหรับการเตรียมการอะไรให้หลายๆอย่าง” เฟริคยื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย แล้วก็ต้องรีบยกมืออีกข้างหนึ่งกุมเอาไว้แน่นอย่างลืมตัว เพราะมือที่เขาจับอยู่นั้นเย็นเฉียบจนน่าตกใจ

     “มือท่านเย็นมาก กลับเข้าไปแช่น้ำอุ่นเสียก่อนเถอะเดี๋ยวจะเป็นหวัด” เห็นว่าอีกฝ่ายตัวเล็กดูบอกบางเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา ลีนัสนิ่งมองมือตัวเองที่โดนอีกฝ่ายกุมเอาไว้อย่างงงๆ กระทั่งเรเชลเองก็มองด้วยสีหน้างุนงง

     “เอ่อ ข้าขอโทษ….แต่ท่านควรจะรีบเข้าไปข้างในได้แล้ว” เฟริครีบปล่อยมืออีกฝ่ายออกทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนได้ทำอะไรแปลกๆออกไป ทำให้ร่างบางขำออกมาเบาๆ

     “ท่านเฟริคนี่ใจดีจังนะขอรับ ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าขอตัวก่อน” เมื่อเอ่ยจบอยู่ๆรอยยิ้มนั้นก็หายไปในฉับพลัน เฟริคจึงหันกลับไปดูข้างหลัง เห็นดาวิสยืนกอดอกพิงอยู่ข้างประตู มองมาที่ลีนัสอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ร่างบางถอนใจน้อยๆก่อนจะเดินผ่านดาวิสเข้าไปข้างในโดยไม่เอ่ยทักใดๆ ไม่แม้แต่จะสบตามอง เฟริคจึงหันมองเรเชลด้วยสายตาสงสัยว่าปกติเจ้าเมืองกับรองเจ้าเมืองไม่สนิทกันหรืออย่างไร แต่เธอก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆกลับมา

    ครู่หนึ่งก็มีรถม้าวิ่งเข้ามาจอดข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มีเด็กหนุ่มในเครื่องแบบทหารตัวเปียกโชกไปทั้งตัว รีบกระโดดออกมาจากรถม้า
   
      “ท่านลีนัสกลับเข้ามารึยังขอรับ!!” เด็กหนุ่มเอ่ยถามเรเชลอย่างเลิ่กลั่ก พลันสายตากวาดไปสบเข้ากับดาวิสที่ยืนอยู่หน้าประตูก็หน้าถอดสีทันที เรเชลถอนหายใจยาวก่อนจะตอบกลับไป

     “กลับมาก่อนเจ้าเมื่อครู่นี้น่ะ...ท่านเฟริคเข้าข้างในก่อนเถอะค่ะ อาหารเย็นเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว” เรเชลหันมาเอ่ยบอกเฟริคพร้อมเดินนำให้เขาตามเข้าไป ในขณะที่ดาวิสย่างเท้าสามขุมเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่กำลังทำหน้าเสีย

     “ให้ตายเถอะลุคซ์ นี่ข้าสั่งให้เจ้าไปทำอะไรกันแน่” เสียงราบเรียบของดาวิสที่ตำหนิลูกน้องทำเอากระทั่งเฟริคเองขนลุกวาบขึ้นมาด้วย ทางที่ดีรีบๆเดินตามเรเชลเข้าไปข้างในจะดีเสียกว่า

     “ขอโทษขอรับ ครั้งหน้าจะไม่ให้ท่านลีนัสคลาดสายตาแบบนี้อีกแล้ว” เสียงร้องขอโทษขอโพยของเด็กหนุ่มดังรอดเข้ามาก่อนที่เรเชลจะปิดประตูลง



(Willhelmina Part1/2)
   







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2016 17:13:30 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart
«ตอบ #2 เมื่อ21-08-2015 10:15:14 »

Libra's heart :1 Willhelmina (2/2)

       มื้อค่ำ มีเพียงเรเชลกับดาวิสที่ร่วมโต๊ะ เฟริคต้องผิดหวังอีกครั้งที่ไม่ได้พูดคุยกับ”ลีบลา” ซ้ำร้ายยังต้องมานั่งอึดอัดกับดาวิสที่ไม่พูดไม่จาอีกต่างหาก ดูเหมือนว่าเขายังหงุดหงิดกับลูกน้องเรื่องเมื่อครู่อยู่

        “แล้วท่านลีนัสไม่ทานข้าวเย็นเหรอ” เฟริคเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบสงัด

        “ดูเหมือนท่านลีนัสจะเพลียจากภารกิจวันนี้ อาจจะเข้านอนเลย แต่ข้ามีสั่งแม่ครัวให้เก็บเอาไว้เผื่อท่านลีนัสหิวขึ้นมา” ดาวิสอธิบาย

        “ว่าแต่ภารกิจที่ว่านี่คืออะไรหรือ ทำไมถึงได้ควบม้ากลับมาเนื้อตัวเปียกปอนขนาดนั้นด้วยล่ะ” เฟริคอดไม่ได้ที่จะถามต่อ นึกให้ตายยังไงก็นึกไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดาวิสได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด แต่เรเชลกลับขำออกมาเบาๆเสียอย่างนั้น ตกลงว่าเป็นเรื่องเครียดหรือเรื่องตลกกันแน่

         “....จริงๆแล้วท่านลีนัสต้องไม่กลับมาด้วยสภาพนั้นหรอกนะ ถ้าลุคซ์ทำหน้าที่ได้ดีพอ….” พอพูดถึงตรงนี้ดาวิสก็ชักสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าเรเชลกลับไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร เขาจึงเดาจากการพูดคุย และการวางตัวที่เหมือนเด็กๆที่ไม่ได้สนใจพิธีรีตองหรือตำแหน่งของคู่สนทนา ของเจ้าเมืองเมื่อครู่แล้ว น่าจะหนีภาระกิจออกมาหรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งทำให้ดาวิสปวดหัวหนึบอยู่นี่ และเรเชลก็นั่งขำเหมือนเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นบ่อยๆ

         “คือ เมื่อครู่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วก็ฝนวันนี้ ข้าไม่เคยเห็นเมฆรวมตัวกันเร็วขนาดนี้มาก่อนเลย อันนี้คือเรื่องปกติของที่นี่น่ะหรือ”

        “ภารกิจของท่านเจ้าเมืองวันนี้คือออกไปทำให้ฝนตกค่ะ ออกไปกับลุคซ์เด็กคนเมื่อครู่ แต่ดูเหมือนท่านลีนัสจะไม่อยากกลับมาด้วยกันก็เลยขโมยม้าลุคซ์ฝ่าฝนกลับมาก่อน” เรเชลอธิบายให้สั้นกระชับ แต่ทำให้เฟริคต้องขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นมาลูบคางตัวเองอย่างครุ่นคิด

        “ออกไปทำให้ฝนตกเหรอ นี่คือภารกิจของท่านเจ้าเมือง” เฟริคถามกลับ เขาขอเก็บคำถามเรื่องนิสัยของเจ้าเมืองที่ทำตัวเหมือนเด็กๆเอาไว้ทีหลังก่อน

        “ใช่ค่ะเราใช้ภูติลมกับภูติน้ำช่วยให้ฝนตกได้ค่ะ” เธออธิบายต่อเมื่อเห็นว่าเฟริคกำลังรอฟังอย่างตั้งใจ

        “เรางั้นเหรอ” เฟริคทวนถาม

        “เรเชลเป็นผู้ช่วยท่านเจ้าเมือง ซึ่งก็เป็นลีบลาเช่นกันขอรับ” ดาวิสช่วยไขข้อข้องใจให้ตรงจุด

     “ฮ้า...เจ้าเป็นลีบลาเหมือนกัน” คนที่เฟริครอและอยากจะได้รู้จักตัวจริงๆ อยู่แค่ตรงนี้เอง เขาน่าจะถามเสียตั้งแต่ต้น เรเชลเห็นเช่นนั้นจึงเริ่มต้นอธิบายให้องค์ชายได้เข้าใจ จะได้เลิกจ้องมองเธออย่างสนอกสนใจแบบนั้นเสียที ยิ่งด้วยแววตาสีทองน่าหลงไหลคู่นั้นด้วยแล้วทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมานิดๆ

        “พวกเราเป็นคนธรรมดาที่ภูติยินดีจะให้ยืมพลังเวทย์ใช้งานเท่านั้นค่ะ” เรเชลอธิบายให้ฟังพลางยกมือขึ้นผายไปทางเชิงเทียนที่ตั้งบนโต๊ะ อยู่ๆก็มีลมพัดเข้ามาทำให้เทียนดับลง ห้องกินข้าวเหลือเพียงแสงสลัวๆจากโคมไฟข้างนอกเท่านั้น จากนั้นเธอก็ดีดนิ้วครั้งหนึ่ง เปลวเพลิงเล็กๆก็ติดกลับขึ้นมา

     “ภูติมีอยู่ทุกที่โดยเฉพาะในเวลเฮมมิน่า คนที่มองเห็นถูกเรียกว่าลีบลา เราขอเวทย์และกำลังของภูติมาใช้ประโยชน์ได้ แต่แน่นอนว่าภูติจะต้องเห็นด้วยเท่านั้น นอกจากว่าลีบลาคนนั้นคือเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่า ภูติจะทำตามโดยไม่มีเงื่อนไข”

     “แปลว่าผู้ที่เลือกเจ้าเมืองไม่ใช่ชาวเมืองแต่เป็นภูติสินะ” เฟริคสรุปเอาตามความเข้าใจ

     “จริงๆแล้วคนที่เลือกจะเป็นเจ้าเมืองรุ่นก่อน ซึ่งก็จะเลือกจากลีบลาที่ภูติรักและให้ความเคารพมากที่สุด ฉะนั้นจะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดค่ะ”

     “ชาวเมืองที่นี่เห็นด้วยตรงกันทั้งหมดเลยอย่างนั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก ใช่ไหม” เฟริคนึกย้อนไปถึงสภาพความเป็นจริงในเมืองหลวง

     “เป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ เช่นเดียวกับการสืบเชื้อสายก็ไม่ได้มีใครเห็นด้วยกันทั้งหมด นั่นเราถึงต้องมีทหารไว้ควบคุมดูแลคนที่ไม่เห็นด้วยให้อยู่ในกรอบที่ตั้งไว้ ไม่แตกต่างจากเมืองอื่นๆหรอกขอรับ” ดาวิสเสริมขึ้นมาในส่วนนี้

    “น่าสนใจ...ถ้าระบบปกติอย่างบริงไฮด์เนี่ย เกิดไม่พอใจเจ้าเมืองขึ้นมา ทหารก็ก่อปฏิวัติล้มอำนาจได้ แต่ในกรณีนี้ ข้าชักสงสัยว่าถ้าเกิดปฏิวัติไม่เอาลีบลาเป็นเจ้าเมืองขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้น” เฟริคตั้งคำถาม

      “นั่นเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นนะคะ เพราะหน้าที่หลักของลีบลาคือช่วยดูแลเมืองให้อยู่ได้อย่างสงบสุข และมีทรัพยากรที่สมบูรณ์กว่าที่อื่นๆ” เรเชลตอบกลับมาตามประสาของเด็กสาวที่ยังไม่ค่อยรู้จักโลกดีนัก เฟริคจึงต้องเอ่ยสอนเธอกลับไป

     “มนุษย์น่ะนะ บางทีแค่สงบเกินไปก็เบื่อจนก่อปฏิวัติได้เหมือนกัน เจ้ายังไม่เคยคิดไปถึงจุดนั้นเลยรึลีบลาน้อย” คำสั่งสอนนุ่มๆขององค์ชายที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ด้านการปกครอง ทำให้เด็กสาวเขินอายหน้าแดงขึ้นมา

     “เรเชล เจ้ายังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ท่านลีนัสจะค่อยๆสอนเจ้าไปเอง” ดาวิสวางมือลงบนไหล่ของเด็กสาวเบาๆพลางเอ่ยปลอบใจก่อนจะหันไปตอบคำถามนั้นแทน

    “สำหรับเวลเฮมมิน่าแล้ว ถ้าเจ้าเมืองไม่ถอยก็ไม่มีใครทำอะไรได้หรอกขอรับ”

    “ท่านจะบอกว่าทหารทั้งกองทัพก็ทำอะไรลีบลาคนเดียวไม่ได้อย่างนั้นเลยหรือ” เฟริคถามกลับด้วยสีหน้าสนอกสนใจในประเด็นนี้เป็นพิเศษ

     “ท่านไม่ใช่คนที่นี่อาจจะยังไม่เคยเห็นภูติระดับสูงสักตนท่านคงไม่ทราบ และลีบลาระดับเจ้าเมืองคนเดียวคุมภูติได้ทั้งกองทัพนะขอรับ”

     “หืม...แปลว่าระบบนี้ไม่มีจุดอ่อนเลยอย่างนั้นสินะ” ดาวิสได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้านิ่งๆกลับมา

     “ในทางทฤษฏีเป็นแบบนั้นขอรับ แต่สุดท้ายแล้วลีบลาก็เป็นแค่มนุษย์คนนึง ที่ไม่ได้อยากจะฆ่าฟันมนุษย์ด้วยกันหรอกขอรับ”

     “นั่นล่ะที่ข้ากำลังสงสัยอยู่ ถ้าสมมุติว่าคนใกล้ตัวเจ้าเมืองอย่างรองเจ้าเมืองจะปฏิวัติขึ้นมา ท่านเจ้าเมืองจะยอมถอยไหม” เฟริคที่แอบสงสัยในความสัมพันธ์ของเจ้าเมืองกับรองเจ้าเมือง แกล้งตั้งคำถามนี้ขึ้นมาเพื่อจะดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย รองเจ้าเมืองได้ยินคำถามนี้ก็ขยับมุมปากยิ้มเฝื่อนๆออกมา

     “ท่านสมมุติในกรณีของข้าเลยไหมล่ะขอรับ” ร่างหนาหัวเราะเบาๆออกมาจากลำคอก่อนจะพูดต่อ

     “ท่านลีนัสน่าจะฆ่าข้าทิ้งได้โดยที่ไม่ต้องลังเลหรอกขอรับ” คำตอบกับรอยยิ้มประชดประชันของรองเจ้าเมือง ทำให้เฟริครับรู้ได้ว่าระหว่างเจ้าเมืองกับรอง น่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

     “ตำแหน่งนี้เจ้าเมืองไม่ได้เป็นคนเลือกหรือ ถ้าจะเกลียดกันขนาดนั้นจะยกให้ท่านขึ้นเป็นรองเจ้าเมืองทำไมกัน”

     “ท่านเฟริคน่าจะเข้าใจตรงนี้ดีนะขอรับ การจะปกครองบางทีมันก็ต้องอาศัยการถ่วงอำนาจบ้าง” คราวนี้เฟริคกลับเป็นฝ่ายที่ต้องถูกสอนกลับเสียเอง จริงๆแล้วเขาก็ทราบดี แต่ที่แกล้งถามกลับไปเพียงเพราะเขาอยากจะฟังคำตอบนั้นออกมาจากปากของดาวิสเอง อย่างน้อยเขาก็ได้รู้แล้วว่า เมืองเล็กๆแห่งนี้ก็ไม่ได้ใสบริสุทธิ์อย่างที่เขาคิด และมีระบบการปกครองที่ไม่ได้แตกต่างไปจากเมืองใหญ่อย่างบริงไฮด์นัก




     กลางดึกพระจันทร์ดวงกลมเด่นสง่าเคลื่อนตัวมาถึงกลางท้องฟ้า เฟริคที่ไม่ชอบอุดอู้อยู่ในห้องแถมยังนอนไม่หลับ เพราะมีเรื่องราวมากมายให้ครุ่นคิด ก็ออกมานั่งชมบรรยากาศตอนกลางคืนที่มุมเล็กๆในสวนด้านหลังคฤหาสน์ ขณะที่ทอดมองเงาพระจันทร์สะท้อนบนผืนน้ำในบ่อน้ำน้อยๆกลางสวน อยู่ๆก็เห็นเงาของใครบางคนวิ่งผ่านหางตาของเขาไป เฟริคเลยรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามไปด้วยความสงสัย จะว่าเป็นทหารที่เฝ้ายามก็ไม่น่าจะวิ่งเข้าไปในป่า

     เฟริควิ่งตามเงานั้นเข้าไปในป่า เห็นร่างเล็กในผ้าคลุมผืนยาวที่คลุมใบหน้าเอาไว้ค่อยๆเดินเข้าไปตามทางโดยไม่รู้ว่ากำลังถูกแอบตามอยู่เงียบๆ แต่แล้วอยู่ๆร่างนั้นก็หยุดนิ่งไปเฟริคจึงรีบแอบหลังต้นไม้ใหญ่นึกว่าทางนั้นจะรู้สึกตัว แต่เฟริคได้ยินเหมือนเสียงขู่ของหมาป่าจึงชะเง้อหน้าออกมาดู เห็นหมาป่าร่างใหญ่ขนสีดำทมึนยืนขู่อยู่ตรงหน้าร่างนั้น อยู่ๆร่างนั้นก็เปิดผ้าคลุมหัวออกมา แสงจากรพะจันทร์ในคืนพระจันทร์เต็มดวง สว่างพอที่เฟริคจะมองออกว่าชายหนุ่มในผ้าคลุมนั่นเป็นใคร จึงได้รีบวิ่งออกมาหลังต้นไม้ทันที

     “ท่านลีนัสหลบไป” เมื่อได้ยินเสียงเฟริค ลีนัสก็หันกลับมามองที่ต้นเสียง แล้วรีบหันกลับไปมองที่หมาป่าจังหวะที่หมาป่าร่างใหญ่กระโจนเข้าใส่ทำให้ร่างบางล้มลงกับพื้น มันหันกลับไปมองที่เหยื่อของมันอีกครั้ง เฟริคจึงรีบชักดาบออกมาอย่างไม่รอช้า เสียงคมดาบที่ออกจากฟักทำให้หมาป่าหันมามองที่เฟริค แล้วตัดสินใจวิ่งหนีหายไปในป่าลึก

     “เป็นอะไรมากมั้ยท่านลีนัส” เฟริคก้มลงตรวจดูอาการของเจ้าเมือง มีเลือดอาบที่ฝ่ามือ มาจากที่ยกมือกันการจู่โจมของหมาป่าตัวเมื่อครู่ แต่ไม่หนักหนาเท่ากับแผลที่ต้นขา ที่ล้มลงโดนกิ่งไม้แห้งก้านใหญ่เกี่ยวเข้าจนเลือดสีแดงไหลซึมออกมา ร่างบางขมวดคิ้วแน่นเพื่อกั้นความเจ็บปวดเอาไว้ เฟริคฉีกขากางเกงที่เป็นรอยขาดจากกิ่งไม้ออกเพื่อดูบาดแผลข้างใน เลือดสีแดงสดไหลนองออกมาจากบาดแผลตัดกับผิวเนียนสีขาวของเจ้าตัวอย่างชัดเจน

     “แผลท่าจะลึกพอสมควร ท่านอยู่นิ่งๆก่อนนะ” เฟริคจัดการปลดกระดุมเสื้อแล้วถอดเสื้อของตัวเองออกมา

     “เอ่อ ท่านไม่ต้อง…” ลีนัสกำลังจะเอ่ยรั้ง แต่ยังพูดไม่ทันจบเสียงฉีกเสื้อขาดก็ดังแทรกขึ้นมา เฟริคใช้เศษผ้าผืนหนึ่งเอามาพันรอบมือตัวเองให้เป็นก้อนแล้วประกบรอยบาดแผลเอาไว้ แล้วเอาอีกผืนหนึ่งพันรัดเอาไว้ให้แน่น

     “ทนหน่อยนะ ข้าจะพาท่านกลับเดี๋ยวนี้แหละ” เฟริคช้อนร่างบางขึ้นอุ้มอย่างเบามือ

     “....ขอบคุณท่านเฟริค” ลีนัสที่ทำทีเหมือนจะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายช่วยเหลือเพราะเกรงใจยศของอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่ด้วยความคล่องแคล่วในการจัดการปฐมพยาบาลของเฟริคทำให้ลีนัสเลิกคิดที่จะเอ่ยค้านแล้วยอมให้ร่างหนาอุ้มไปแต่โดยดี

     “ท่านออกมาทำอะไรดึกๆดื่นๆในที่แบบนี้น่ะ” เฟริคเอ่ยถามขึ้นระหว่างทางเดินกลับ

     “...ข้าขออภัย เรื่องนี้ข้าไม่อาจจะบอกท่านได้” ร่างบางในอ้อมกอดตอบโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย

     “ฮึ...แล้วข้าต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยสินะ” ลีนัสพยักหน้าตอบกลับเบาๆ

     “เอางี้ ท่านบอกข้าว่าท่านออกมาทำอะไร แล้วข้าสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ” เฟริคแกล้งเสนอข้อแลกเปลี่ยน ทำให้ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นสบตาเฟริคด้วยคิ้วที่ขมวดชนเข้าหากัน เฟริคก็คลี่ยิ้มยียวนกลับไป

     “ข้าเป็นคนช่วยท่านออกมานะ สมควรที่จะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นสิ”

     “.......” นัยน์ตาสีแดงเข้มจ้องมองแววตาคมเข้มของเฟริคอย่างไม่พอใจด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง

     “หรือข้าควรจะเล่ารื่องนี้ให้ท่านรองเจ้าเมืองฟังดี” ดูเหมือนเขาจะจี้เข้าถูกจุด แววตาสีแดงเข้มที่ดูเกรี้ยวกราดเมื่อครู่กลับฉายแววตาที่หวาดกลัวออกมา ลีนัสเบือนหน้าหนีกัดริมฝีปากตัวเองแน่นก่อนจะตัดใจยอมเอ่ยตอบกลับมา

     “ตามใจท่านเถอะ” เฟริคได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

     “เอาเถอะ ข้าไม่บอกใครก็ได้ แต่พรุ่งนี้ยังไงก็ต้องมีคนถามถึงบาดแผลของท่านอยู่ดี”

     “เรื่องนั้นข้าจัดการเองได้ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก” ลีนัสตอบกลับมาอย่างมั่นใจ ก่อนจะพิงศีรษะลงบนแผ่นอกหนาของเขาแล้วหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน เฟริคก้มมองแพขนตาหนากับพวงแก้มเนียนของร่างบางอย่างเอ็นดู แล้วตัดสินใจเดินกลับไปที่คฤหาสน์อย่างเงียบๆไม่รบกวนคนหมดเรี่ยวแรงในอ้อมกอด

     ยังไม่ทันไรเฟริคก็รู้สึกว่าตัวเองได้ผิดคำพูดที่ให้ไว้เสียแล้ว เมื่อเดินกลับมาถึงคฤหาสน์เขาก็เห็นดาวิสวิ่งตรงเข้ามาหาด้วยใบหน้ายุ่งๆ

     “เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เสียงของดาวิสที่เอ่ยถามทำให้ลีนัสลืมตาขึ้นเบิกกว้างด้วยความตกใจ หันไปมองที่ต้นเสียงเห็นว่าหูไม่ฝาดแน่แล้วก็ขมวดคิ้วหันหน้าหลบกลับเข้ามาทันที

     “ขออภัยองค์ชายที่ทำให้เดือดร้อน ข้ารับท่านลีนัสไปดูแลต่อเองขอรับ ท่านกลับไปล้างเนื้อล้างตัวที่ห้องพักก่อนเถอะขอรับ” ร่างสูงเข้ามาช้อนร่างเจ้าเมืองตัวน้อยๆ ทำเอาร่างบางสะดุ้งตัวนิดๆ

     “ไม่เป็นไรหรอก มาถึงนี่แล้วข้ายินดีช่วย” เฟริคสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวจากร่างบางจึงไม่อยากจะปล่อยไป แต่อีกฝ่ายที่ตัวสูงกว่าสามารถยกลีนัสออกไปได้อย่างสบายๆ

     “ท่านเป็นแขกของเรา อย่าได้ลำบากเลย ขอบคุณน้ำใจท่านมาก” ดาวิสอุ้มลีนัสไว้แล้วก็เดินกลับเข้าคฤหาสน์หายไปในทันที ทิ้งเฟริคให้ยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางความรู้สึกผิด


(End Willhelmina 2/2)
 
เมะยังออกมาไม่ครบนะคะ ตอนหน้ามีอีกคนนึง รักใครชอบใครกดโหวดมาที #LHxxxxxxx ว่าเข้าไปนั่น....
ตอนที่สองกำลังทำคลอดอยู่จ้า เร็วๆนี้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2015 10:10:28 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act 1 : Completed)
«ตอบ #3 เมื่อ22-08-2015 22:12:51 »

2. Bringhid's Prince (Part1/2)

       เมื่อแสงแดดสาดส่องเข้ามาในห้อง นัตน์ตาสีเหลืองทองค่อยๆเบิกลืมขึ้น เฟริคกระพริบตาเบาๆครั้งสองครั้งจนภาพเพดานห้องชัดเจนขึ้นมา เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็ค่อยๆหวนเข้ามาทำให้ร่างหนาสะดุ้งลุกขึ้นมาจากเตียงทันที เขาไม่คิดว่าตัวเองจะตื่นสายขนาดที่แสงแดดในยามเช้าสว่างถึงปานนี้มาก่อน เพราะเมื่อคืนนี้มีเรื่องหลายเรื่องให้เขาคิดจนนอนไม่หลับ กว่าจะยอมหลับก็เกือบจะเช้าแล้ว ถึงได้รู้สึกตัวอีกทีสายเอาป่านนี้ เขารีบเดินไปหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาแต่งตัวเดินลงมาจากห้อง เรเชลที่กำลังเดินผ่านเข้ามาที่ห้องโถงก็เอ่ยทักเฟริคก่อน

       “อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านเฟริค หลับสบายดีไหมคะ”

     “อรุณสวัสดิ์ ท่านลีนัสลงมารึยัง” คำถามของเฟริคทำให้เรเชลทำหน้าแปลกใจ

     “ลงมาแล้วค่ะ ตอนนี้นั่งทานข้าวอยู่ที่สวนด้านหลัง”

     “ขอบคุณ” เฟริครีบเดินไปที่สวนด้านหลังในทันที ทิ้งให้เรเชลมองตามไปด้วยความสงสัย พอชักสายตากลับมาก็เห็นดาวิสเดินหาวทำหน้างัวเงียตามลงมา

     “อ้าว ท่านดาวิส เพิ่งตื่นเหรอคะ วันนี้แปลกจัง”

     “อืม โทษที ท่านลีนัสตื่นรึยังน่ะ” เรเชลเจอคำถามเดิมอีกรอบ ทั้งๆที่ปกติดาวิสไม่เคยถามหา เลยขมวดคิ้วตอบกลับไปด้วยคำถาม

     “ท่านลีนัสเคยตื่นสายด้วยเหรอคะ”

     “อืม นั่นสินะ ข้าออกไปข้างนอกก่อนนะเดี๋ยวเข้ามา” ว่าแล้วก็เดินผ่านเรเชลออกไปข้างนอก

     “....วันนี้แปลกๆ” เรเชลพึมพำขึ้นมาเบาๆก่อนจะหันกลับไปจัดการงานของตัวเองต่อ

     ที่สวนหย่อมเล็กๆลีนัสกำลังคุยเล่นกับลุคซ์หลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว เขาคลี่ยิ้มพูดคุยและหัวเราะออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้เฟริครู้สึกโล่งใจ แต่ก็แปลกใจไปในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มที่คลี่ยิ้มสดใสไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ที่เปลี่ยนไปก็ดูจะมีแต่เสียงแปล่งๆของเจ้าตัวที่เอ่ยออกมาเท่านั้น

     “อรุณสวัสดิ์ท่านเฟริค” ลีนัสโบกมือทักทายเมื่อเห็นว่าเฟริคเดินเข้ามา

     “ท่านเป็นหวัดเหรอ”

     “ฮะๆ ใช่ๆ เป็นลีบลาก็เป็นหวัดได้เหมือนกัน ลุคซ์ยังไม่เป็นเลย” ลีนัสว่าพลางเอาผ้าขึ้นซับน้ำมูก พูดติดตลกเหมือนเป็นเรื่องขำขัน แต่เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆไม่ขำด้วยเลยสักนิด เจ้าเมืองเป็นหวัดรอบนี้เป็นความผิดของเขาล้วนๆ

     “ก็เป็นได้น่ะสิขอรับ อย่างทำแบบนี้อีกนะขอรับ” ลุคซ์บ่นใส่นายเหมือนอีกฝ่ายอายุน้อยกว่า ทั้งๆที่เจ้าตัวดูอ่อนกว่าเยอะ

     “ข้าไม่รับปากหรอกนะ” ลีนัสยกผ้าขึ้นซับน้ำมูกแล้วบีบจมูกทำเสียงแบนๆตอบยียวนเด็กหนุ่มกลับไป

     “....ท่านลีนัส” เด็กหนุ่มทำคอตก เจ้าเมืองหนุ่มก็ขำออกมาเหมือนเด็กๆ เฟริคเพิ่งได้เห็นมุมแบบนี้ของเจ้าเมืองชัดๆก็วันนี้ รู้สึกเหมือนคนที่เขาเจอเมื่อคืนเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว

     “อ้อท่านเฟริคทานอะไรแล้วรึยัง ลุคซ์ เจ้าไปบอกแม่ครัวให้เตรียมอาหารเช้าให้ท่านเฟริคชุดนึงทีนะ”

     “ขอรับ” เด็กหนุ่มรับคำแล้วรีบเดินหายเข้าไปในครัว

     "เมื่อคืน ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม...ข้าหมายถึงกับท่านดาวิสน่ะ" เฟริคไม่รู้จะตั้งคำถามยังไง แต่ที่แน่ๆสองคนนี้ดูจะไม่ถูกกันเท่าไหร่

     "...ไม่เป็นไรขอรับ ท่านดาวิสทำหน้าที่ของเขาถูกต้องดีแล้วขอรับ" ลีนัสคลี่ยิ้มกลบเกลื่อน

     “อ้อ แล้วข้าจะบอกท่านว่า…”ลีนัสพูดเกริ่นขึ้นพลางดันตัวเองลุกขึ้นยืน

    “เหวอ!! อยู่ๆอย่าลุกขึ้นมาบะ..…” เฟริคกำลังจะรีบเข้าไปคว้าแขนลีนัสไว้ข้างนึง ประคองเอาไว้กลัวว่าลีนัสจะล้มเอา

    “...แบบนี้...สิ” เฟริคเอ่ยสีแผ่วๆ เมื่อเห็นว่าร่างบางยืนตัวตรงไม่ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร แววตาสีแดงเข้มช้อนมองเฟริคกลับมาอย่างงงๆ

    “...อ้อ” ลีนัสเอ่ยขึ้นมาเมื่อเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย ถึงตอนนี้เฟริคก็รีบปล่อยมือออกมา

    “ขออภัย ข้าเข้าใจว่าท่านลืม” ได้ยินดังนั้นเจ้าของใบหน้าหวานก็คลี่ยิ้มออกมา

     “แผลลึกขนาดนั้นใครจะลืมได้ถ้าไม่ใช่ลีบลา ขอบคุณที่เป็นห่วงนะท่านเฟริค แผลแค่นี้ข้าใช้เวลารักษาไม่นานหรอกเห็นไหม” ลีนัสแบมือทั้งสองข้างออกมาให้เฟริคดู บาดแผลจากกรงเล็บเมื่อคืนนี้หายไปไม่เหลือแม้แต่รอย ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความประหลาดใจเฟริคเผลอจับมือของอีกฝ่ายมาดูใกล้ๆ

     “จริงๆด้วย วิเศษ!!”

     “ก็...นั่นแหละที่ข้าจะบอกท่าน ว่าไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก” ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้นก็มีเสียกระแอมไออย่างตั้งใจของลุคซ์ดังแทรกขึ้นมา เด็กหนุ่มถือถาดใส่อาหารเช้ามาให้แขกคนสำคัญของเจ้าเมือง พลางปลายตามองไปมือของแขกที่ว่า ที่ยืนจับมือเจ้าเมืองของเขาอยู่ ทำให้เฟริคต้องรีบปล่อยมือลีนัสลง

     “ขออนุญาตขอรับ” ลุคซ์ดูจงใจแทรกตัวเข้ามาตรงกลางระหว่างสองคน เพื่อวางถาดอาหารลงบนโต๊ะแล้วถอยกลับไป ลีนัสเห็นแล้วอมยิ้มขี้เล่นออกมา

     “หึงเหรอลุคซ์ อย่าแว้งกัดท่านเฟริคของข้านะ” ลีนัสทิ้งตัวกลับบลงไปนั่งพลางเอ่ยหยอกเล่นขึ้นมา

     “ม่ะ ไม่ใช่เสียหน่อยขอรับ” เด็กหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็งกลับมา ผิวสีอ่อนของนายทหารหนุ่มยิ่งทำให้เห็นชัดว่าเจ้าตัวหน้าแดงไปถึงใบหูแล้ว

     “เอาเถอะลุคซ์ ข้าล้อเล่น ไม่แกล้งแล้ว เจ้ากลับไปก่อนได้แล้วล่ะ” ลีนัสสนุกกับการแกล้งเด็กหนุ่มพอแล้ว จึงไล่ให้กลับไปทำงาน

     “...ขอรับ” เจ้าตัวที่เขินจนหน้าแดงก็อยากจะรีบๆหนีกลับไปอยู่ไม่น้อย

     “อ้อ...แล้วก็เมื่อกี้ที่ข้าบอกเจ้าน่ะ ข้าพูดจริงนะ ไม่ได้หยอกเจ้าเล่น ไปคุยกับท่านดาวิสต่อเอาเองละกัน” เฟริคไม่เข้าใจว่าลีนัสพูดเรื่องอะไร แต่ทำให้เด็กหนุ่มจ้องมองกลับมาด้วยแววตาเป็นประกาย

     “จริงๆเหรอขอรับ!?”

     “ถ้าเจ้าไม่มั่นใจ ข้าจะเก็บไปคิดใหม่อีกทีก็ได้นะ” ลีนัสแกล้งเอ่ยขึ้นมาพลางทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ยกมือขึ้นกอดอก

     “มั่นใจขอรับ ข้าจะไม่ทำให้ท่านลีนัสผิดหวัง!!” เด็กหนุ่มตอบรับน้ำเสียงหนักแน่น ทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้าผู้เป็นนาย

     “ถ้างั้นก็รีบไปแจ้งเรื่องนี้กับท่านดาวิสไป”

     “ขอรับ!” เด็กหนุ่มยิ้มรับหน้าตายิ้มแย้ม แล้วเดินกึ่งวิ่งกลับไปอย่างอารมณ์ดี เจอทหารเผ้ายามที่ยืนแถวนั้นก็เข้าไปเล่าสิ่งที่ลีนัสตัดสินใจไปเมื่อครู่อย่างตื่นเต้น ก่อนจะเดินหายลับไป

     “เรื่องอะไรหรือท่านลีนัส” เฟริคอดไม่ได้ที่จะถาม ก่อนที่จะบรรจงทานอาหารตรงหน้า

     “ข้าเพิ่งตัดสินใจจะแต่งตั้งการ์เดี้ยนส่วนตัวไป ปกติแล้วเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่าจะต้องมีการ์เดี้ยนหนึ่งคนที่คอยดูแลอยู่ใกล้ชิด มีแต่รุ่นข้านี่แหละที่เพิ่งคิดจะแต่งตั้งเอาป่านนี้” ลีนัสอธิบายพลางเอื้อมมือไปหยิบส้มออกมาจากจานผลไม้แกะออก เฟริคคิดว่าถึงแม้ลุคซ์จะดูเหมือนทำงานไม่ค่อยได้เรื่องซักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นลูกน้องของดาวิส พอเป็นการ์เดี้ยนขึ้นมาแล้ว ก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะคอยจับตามองเจ้าเมืองได้ทุกฝีก้าว จริงๆแล้วนี่อาจจะเป็นระบบที่ออกแบบมาให้รองเจ้าเมืองคอยควบคุมเจ้าเมืองเองก็เป็นได้ ลีนัสที่มองเห็นในจุดนี้เลยพยายามจะไม่ทำตาม แต่เมื่อคืนนี้ดาวิสน่าจะเสนอเงื่อนไขนี้ให้ลีนัสเป็นการช่วยเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความลับ เฟริคไม่ค่อยมั่นใจกับความคิดนี้สักเท่าไหร่ ในเมื่อจุดประสงค์ในการแอบเข้าไปในป่าตอนกลางคืนของลีนัสยังไม่ชัดเจนเลยสักนิด ไม่ใช่ว่าต้องการจะหนีออกจากที่นี่หรอกหรืออย่างไร เฟริคคิดไม่ตกถึงได้ยิงคำถามกลับไป

     “เรื่องเมื่อคืนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ด้วยรึเปล่าท่านลีนัส” เหมือนเฟริคจะเดาทางถูก ปลายนิ้วเรียวที่กำลังแกะเปลือกส้มหยุดลง แววตาสีแดงเข้มช้อนมองกลับมาที่คู่สนทนา แววตาสีเหลืองทองจ้องมองลึกลงมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทว่าอยู่ๆแววตากลมของลีนัสกับมองเลยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างครุ่นคิด และเอ่ยออกมาอย่างขี้เล่น

     “จะว่าไป...น่าจะเกี่ยวกับเมื่อวานนะ ข้าพนันกับลุคซ์เอาไว้น่ะสิ ว่าถ้าข้าเป็นหวัด ข้าจะให้ลุคซ์ขออะไรก็ได้ข้าหนึ่งอย่าง แต่ก็นะ คนอย่างลุคซ์น่ะ มีหรือจะกล้าเอ่ยขอกับข้าตรงๆ ข้าก็เลยตัดสินให้แทน….ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจถูก” ลีนัสอธิบายอย่างอารมณ์ดี แล้วก็ก้มหน้าก้มตาแกะส้มตรงหน้าต่อ

     “ข้าต้องขอบคุณท่านเป็นอย่างมากสำหรับเรื่องเมื่อคืนนี้ ท่านช่วยลืมมันไปจะได้ไหมขอรับ” ลีนัสเอ่ยต่อด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกระซิบโดยไม่สบตามองคู่สนทนา เหมือนไม่ต้องการให้ใครได้ยินเรื่องนี้ ยิ่งลีนัสปิดบังเฟริคก็ยิ่งเป็นห่วง

     “ขออภัย ข้าคงลืมไม่ได้จริงๆ” เฟริคปฏิเสธเสียงแข็ง ทำให้ลีนัสต้องเงยหน้ากลับขึ้นมา

     “ข้าไม่เข้าใจสถานการณ์ของท่านแม้แต่น้อย ข้าคิดว่าท่านคงไม่ต้องการจะเล่าให้ฟัง เอาเป็นว่า ถ้าท่านมีปัญหาอะไรอยู่ ข้าก็ยินดีที่จะช่วย แม้แต่หากว่าท่านจะหนีออกไปจากที่นี่ ข้าก็ยินดีจะช่วย” ร่างบางได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา

     “ท่านเฟริค ข้าขอบคุณสำหรับน้ำใจของท่าน” ลีนัสวางส้มที่แกะเสร็จแล้วลงบนจานเปล่าตรงหน้าตน แล้วประสานมือวางไว้บนโต๊ะ นัยน์ตาสีเพลิงจ้องมองแววตาของอีกฝ่ายกลับไป และเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

     “ข้าคิดว่าท่านกำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่นะขอรับ ข้าไม่เคยคิดจะหนีไปไหนทั้งสิ้น ข้าเป็นเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่า และลีบลาที่ทำอะไรได้มากกว่าที่ท่านคิดเยอะ” แววตาสีแดงเข้มตรงหน้าอยู่ๆก็ดูน่ากลัวขึ้นมาชั่ววูบหนึ่ง ก่อนที่จะเปลี่ยนกลับมาเป็นรอยยิ้มสดใสอีกครั้ง

     “เอาล่ะ ไหนเรามาคุยกันที่ธุระของทางท่านบ้างดีกว่านะขอรับ อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล คงไม่ได้มาเพื่อคุยปัญหาของข้าหรอกนะขอรับ” รอยยิ้มสดใสที่แฝงไว้ ซึ่งอะไรบางอย่างของเจ้าบ้านทำให้เฟริคแอบยิ้มอยู่ในใจ เขารอโอกาสที่เจ้าเมืองหนุ่มยอมเผยธาตุแท้ออกมานานแล้ว เพราะเขาก็ไม่เชื่อว่าชายหนุ่มหน้าหวานที่ดูขี้เล่นเหมือนเด็กๆธรรมดาๆแบบนี้จะเป็นเจ้าเมืองได้
ก่อนที่เฟริคจะเอ่ยอะไรขึ้นต่อ ก็มีนายทหารวิ่งเข้าทางลีนัสอย่างเร่งรีบ เจ้าเมืองหนุ่มเพียงเห็นปฏิกริยาของแขกก็ไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมอง เขาลุกขึ้นยืนในทันที

     “ขออภัย ดูเหมือนข้าจะมีงานด่วน ไว้เรียบร้อยแล้วเราค่อยคุยกันต่อนะขอรับ” ลีนัสเดินก้าวยาวๆไปทางที่นายทหารหนุ่มวิ่งมา เขาพูดคุยสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นไประหว่างที่เดินกึ่งวิ่งออกไปจากสวนหย่อมแห่งนั้น
เฟริคเห็นว่าเจ้าบ้านวิ่งหายไปจนลับตาก็รวบช้อนส้อมบนจานที่อาหารลดไปเล็กน้อยอย่างใจเย็น แล้วลุกขึ้นเดินตามออกไปพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก พลางเอ่ยชมลูกน้องของตนอยู่ในใจ ที่ทำงานได้อย่างรวดเร็วสมใจเขาเสียจริงๆ



       เสียงฝีเท้าม้าสองตัวดังขึ้นที่หน้าเหมืองแห่งหนึ่งในเมือง กลุ่มคนที่ยืนมุงอยู่แถวนั้นหันมามองที่ต้นเสียงด้วยแววตาที่มีความหวัง

     “ท่านลีนัส!! สามีข้าติดอยู่ข้างใน ช่วยเขาด้วย” หญิงสาววิ่งรี่เข้ามาหาเจ้าเมืองหนุ่มทันทีที่เขากระโดดลงมาจากอาชาสีดำขลับ

     “ไม่ต้องห่วงขอรับ ขอทางให้ท่านลีนัสก่อน” นายทหารที่มาด้วยกันรีบเดินเข้าไปขวางเอาไว้ เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ เหมืองที่อยู่ๆก็ถล่มลงมาปิดปากทางเอาไว้มิดชิด ยิ่งนานเข้าอากาศข้างในก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ นายหทหารเกือบสิบนายรายล้อมอยู่แถวนั้น ช่วยกันเคลื่อนย้ายหินก้อนเล็กก้อนน้อยออกโดยดาวิสเป็นผู้ที่คอยคุมความเรียบร้อยและช่วยยกหินออกเท่าที่จะทำได้ เหลือเพียงหินก้อนใหญ่มหึมาที่ไม่สามารถจะใช้แรงคนยกออกมาได้

     “มีคนอยู่ข้างในกี่คน ยังได้สติดีอยู่ใช่มั้ย” ลีนัสเอ่ยถามลุคซ์ที่ยืนอยู่ที่ปากทางเข้าเหมืองอยู่เช่นกัน

     “สองคน ยังได้สติอยู่ครบขอรับ” เด็กหนุ่มรีบรายงานทันควัน

     “ข้าอยากให้ทั้งคู่ถอยห่างออกไปให้ไกลจากทางออกให้มากที่สุด เศษหินจะได้ไม่หล่นทับ”

     “ขอรับ” เด็กหนุ่มรับคำก่อนจะหันไปตะเบ็งเสียงคุยกับผู้ที่อยู่ข้างในสุดเสียง

     “พวกท่านสองคนข้างในน่ะ ถอยออกไปห่างๆก่อน ท่านลีนัสจะเปิดทางให้เดี๋ยวนี้แหละ”

     “ข้าหายใจไม่ออกแล้ว !! มือข้าชาไปหมด ข้าจะตายไหม!!”

     “ข้ายังไม่อยากตาย ปล่อยข้าออกไป” เสียชายวัยกลางสองคนร้องอู้อี้โวยวายกลับมาอย่างเสียสติ ทำให้ลีนัสถอนหายใจยาวออกมาพร้อมยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองเบาๆ นายทหารหนุ่มเริ่มหน้าเสียขึ้นมา ไม่คิดว่าแค่ทำให้คนข้างในถอยออกไปจะเป็นเรื่องยาก ทันใดนั้นมือของดาวิสก็ตบลงมาที่ไหล่ของลูกน้องเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่ทุ้มดัง

     “ท่านไรอัน ท่านอเล็กซ์ ได้ยินแล้วตอบกลับมาสั้นๆพอ” ดาวิสไม่ได้ตะเบ็งเสียงออกมามากนัก แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาหนักแน่นทรงพลังและดังพอที่คนข้างในจะได้ยิน

     “.....ขอรับ” เสียงข้างในตอบกลับมาสั้นๆ รู้สึกได้สติขึ้นมาทันทีที่ถูกเอ่ยชื่อ

     “พวกท่านช่วยถอยหลบเข้าไปข้างในก่อนนะขอรับ จะได้ไม่โดนเศษหินหล่นทับตอนที่ท่านลีนัสเปิดทางให้”

     “....เข้าใจแล้ว ข้าจะถอยออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” เสียงชายคนหนึ่งตอบกลับออกมา ถึงจะเจือด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ตอบกลับมาอย่างมีสติกว่าเดิม

     เมื่อเสียงจากในเหมืองเงียบไปได้ครู่หนึ่ง ดาวิสก็คลี่ยิ้มยักคิ้วให้เจ้าเมืองหนุ่มเล็กน้อย ก่อนจะลากนายทหารของตัวเองออกไปจากตรงนั้น และสั่งให้ทุกคนเปิดพื้นที่ให้

      เจ้าเมืองหนุ่มคลี่ยิ้มแห้งๆกลับไปให้ เขาหายใจเข้าลึกๆแล้วหลับตาเอามือสองข้างประกบกัน แสงจากตราเวทย์วงกลมปรากฏขึ้นล้อมรอบพื้นดินที่ลีนัสยืนอยู่ ครู่หนึ่งก็มีตราเวทย์วงใหญ่อีกวงหนึ่งปรากฏขึ้นข้างๆ เกิดแสงสว่างวาบจากพื้นดินขึ้นไปบนฟ้า เมื่อแสงสว่างนั้นหายไปก็ปรากฏร่างยักษ์ในชุดเกราะสีเงินค่อนไปทางดำ ภูติระดับสูงที่คนธรรมดามองเห็นด้วยตาเปล่า มีเพียงเจ้าเมืองเท่านั้นที่เรียกออกมาได้ ปกติไม่ได้มีโอกาสได้เห็นกันง่ายๆ ทำให้ทุกคนยืนมองด้วยความตกตะลึง

      ลีนัสผายมือออกสองข้างหลับตาตั้งสมาธิ ยักษ์ตนนั้นก็ใช้แขนแกร่งทั้งสองข้างยกหินก้อนใหญ่ที่ปิดปากทางเหมือง ออกมาวางไว้ข้างๆได้อย่างเบาสบาย จนประตูเหมืองเปิดกว้างพอที่จะเคลื่อนย้ายคนเข้าออกได้ แววตาสีแดงเข้มจึงค่อยๆลืมขึ้น เจ้าเมืองหนุ่มหันไปโค้งศีรษะให้ภูติร่างใหญ่อย่างนอบน้อม แล้วยักษ์ตนนั้นก็หายไป กลายเป็นแสงสว่างเล็กๆที่กระจายฟุ้งหายไปในอากาศ

     ดาวิสเดินเข้าไปข้างในเหมืองเพื่อหาคนที่ติดอยู่ข้างในด้วยความระมัดระวัง ตามด้วยนายทหารอีกสองนาย และนายอื่นๆก็คอยคุมไม่ให้ครอบครัวของผู้ที่อยู่ข้างในวิ่งกรูกันเข้าไปข้างใน ลีนัสยืนมองพื้นที่รอบๆอย่างครุ่นคิด แล้วก็รู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองมา จึงได้หันกลับไป ก็สบตาเข้ากับแววตาสีเหลืองทองที่ตัดกับผิวสีแทนของเจ้าตัว ยืนยิ้มอย่างพออกพอใจกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงนั้น ลีนัสจึงเดินตรงเข้าไปหาในทันที

     “ท่านทำอะไรได้มากกว่าที่ข้าคิดจริงๆท่านเจ้าเมือง” เฟริคปรบมือให้ลีนัสเบาๆพลางเอ่ยชม

     “ดูท่านจะศึกษามาดีพออยู่แล้วนะขอรับ ถึงได้วางแผนการนี้ขึ้นมา” เจ้าเมืองหนุ่มมยืนกอดอกจ้องมองอีกฝ่ายอย่างโกรธเคือง

     “โอ้ นี่ท่านตัดสินว่าเป็นฝีมือข้าได้ทันทีเลยรึ” เฟริคเห็นแววตาแข็งกร้าวของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกอยากแกล้งขึ้นมา ก็โน้มตัวลงไปหากระซิบถามร่างบางใกล้ๆ

     “เร็วไปหน่อยไหมท่านเจ้าเมือง”

     “ท่านคงจะไม่ลืมว่าข้าเป็นลีบลา มีภูติที่พวกท่านมองไม่เห็นเป็นหูเป็นตาอยู่ทั่วทั้งเมือง คนของท่านทำอะไรไว้บ้างมีหรือที่ข้าจะไม่รู้” ลีนัสยังคงยืนกอดอกอยู่ที่เดิมไม่ขยับหนีไปไหน แววตาสีเพลิงจ้องมองอีกฝ่ายกลับไปในระยะประชิด

     “เวลาท่านโกรธแบบนี้น่ารักดีนะข้าชักจะชอบท่านขึ้นมาจริงๆแล้วสิ กลับไปบริงไฮด์กับข้าเถอะ” เฟริคยกมือขึ้นจะสัมผัสพวงแก้มเนียนของอีกฝ่าย ทว่าลีนัสเพียงยกมือขึ้นมาขวางไว้ พร้อมกับมีแรงลมปะทุออกมาบาดฝ่ามือหนาของอีกฝ่าย เฟริคเพียงขยับแขนออกห่าง แต่ไม่ยอมละสายตาออกจากแววตาสีเพลิงที่น่าดึงดูดตรงหน้าแล้วคลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ

     “ไม่คิดว่าตัวตนที่แท้จริงขององค์ชายแห่งบริงไฮด์จะพูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระเช่นนี้”

     “จะไร้สาระหรือไม่ ถ้าท่านลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ในอาณาจักรบริงไฮด์แล้วจะรู้เอง” เจ้าเมืองหนุ่มหัวเราะกลับมาในลำคอเมื่อได้ยินสิ่งที่องค์ชายเอ่ยออกมา

     “ท่านน่าจะเป็นห่วงสวัสดิภาพในการเดินทางกลับบริงไฮด์เสียมากกว่านะขอรับ หากท่านจะทำอันตรายลูกบ้านของข้าเช่นนี้อีก”

     “แปลว่าครั้งนี้ท่านไม่ว่าอะไรสินะ นี่ท่านใจดีหรือเกรงใจบริงไฮด์กันแน่” เฟริคจี้เข้าถูกจุดร่างบางขมวดคิ้วเข้ามาชนกันจนหน้าผากตรงกลางเป็นร่อง ยังไงซะบริงไฮด์ก็ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลในภูมิภาค มากพอที่จะทำให้เวลเฮมมิน่าปวดหัวไปได้อีกพักใหญ่ทีเดียวหากต้องมีปัญหาขึ้นมา

     “ข้าไม่อยากให้เรื่องหยุมหยิมแค่นี้สร้างปัญหามากไปกว่านี้ ข้าขอตัว” ลีนัสเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียงต่อไปจึงได้เบือนหน้าหนีแล้วเดินผละจากไปกลับไปที่หน้าเหมืองอีกครั้ง แต่เมื่อหันกลับไปก็สบตาเข้ากับดาวิสที่ยืนมองมาทางนี้อยู่นานแล้วพอดี ลีนัสจึงเดินเบี่ยงไปทางอาชาสีดำที่ตนควบมาเมื่อครู่ แต่ดาวิสก้าวมาถึงตัวก่อนจึงได้รั้งแขนของเจ้าเมืองเอาไว้

     “ท่านลีนัส…..” แววตาสีเพลิงหันกลับมองอย่างหน่ายๆทำให้อีกฝ่ายสะดุดไปเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยถามต่อ

     “มีปัญหาอะไรที่ข้าควรจะทราบไหมขอรับ”

     “ไม่เป็นไร ข้าจัดการเองได้ ถ้ามีอะไรจะให้เรเชลแจ้งให้ทราบ” ลีนัสเอ่ยตัดบทก่อนจะกระโดดขึ้นม้าแล้วควบหนีกลับไป ทิ้งให้ร่างสูงยืนถอนหายใจมองตามไป ครู่หนึ่งก็หันมามองเฟริคที่ยืนยิ้มมองเหตุการณ์อยู่ตรงนั้นเงียบๆ ก่อนจะละสายตากลับไปที่สถานการณ์หน้าเหมือง

Bringhid's Prince (Part1/2)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2015 10:19:54 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act 2 : 50%)
«ตอบ #4 เมื่อ25-08-2015 17:17:29 »

Act 2 :Bringhid's prince (2/2)

     แสงแดดยามเย็นทอแสงสีส้มอาบย้อมเส้นขอบฟ้าไล่ขึ้นมา เจ้าเมืองหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองนั่งจ้องภาพนี้จากในห้องทำงานของตัวเองอยู่นานมากแล้ว ตอนนี้ในสมองของเขาเต็มไปด้วยปัญหาการปกครองเมือง ที่ต้องรับฟังทั้งความต้องการของมนุษย์ และความต้องการของภูติในเวลาเดียวกัน ที่ผ่านๆมาเวลเฮมมิน่าไม่เคยมีบทบาทอะไรในภูมิภาคนี้มาก่อน ทุกวันนี้มีการส่งเสบียงไปยังบริงไฮด์เพื่อแลกเปลี่ยนกับการไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก แต่ผู้มีอำนาจนึกอยากจะทำอะไรก็ย่อมได้อยู่แล้ว หากเวลเฮมมิน่าต้องแข็งกร้าวกับบริงไฮด์ขึ้นมา คงจะไม่ได้อยู่อย่างสงบแบบนี้ไปอีกยาวทีเดียว หากยอมเข้าร่วมสงครามคนก็ยิ่งรู้จักลีบลากันอย่างกว้างขวางมากขึ้น ถึงตอนนั้นก็คงจะต้องเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวไม่แพ้กัน

      เสียงเคาะประตูห้องทำงานของเจ้าเมืองดังขึ้น ทำให้ร่างบางรีบดึงความคิดทั้งหมดกลับมาสู่ปัจจุบัน แล้วเอ่ยตอบกลับไป

      “เชิญ” ประตูห้องเปิดออกเรเชลก็เดินเข้ามา

      “ท่านเฟริคมีเรื่องอยากจะคุยกับท่านค่ะ” แค่ได้ยินชื่อนี้ลีนัสก็หางตากระตุกขึ้นมาทันที เขาเผลอถอนใจออกมาเบาๆก็จะส่งสัญญาณมือบอกให้เรียกแขกเข้ามาก่อนจะขยับท่านั่งเสียใหม่

      “มีอะไรให้รับใช้ขอรับองค์ชาย” ลีนัสแค่นยิ้มส่งให้ชายหนุ่มผิวแทนร่างสูงที่เดินเข้ามาในห้อง ส่วนเรเชลก้มศีรษะน้อยๆก่อนจะปลีกตัวออกไป

      “ข้าจะมาแจ้งให้ท่านทราบว่า พวกข้าจะเดินทางกลับบริงไฮด์วันพรุ่งนี้” เฟริคว่าพลางดึงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามลีนัสออกมาทรุดตัวนั่งลง อีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้นก็เลิ่กคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ

      “ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้ท่านเจ้าเมืองแล้ว เพราะวันนี้ท่านเองก็พิสูจน์ให้ข้าเห็นพอแล้ว ว่าท่านคือคนที่ข้ากำลังตามหาอยู่” แววตาสีเหลืองทองจ้องมองไปที่คู่สนทนาราวกับเป็นเหยื่อของเขา

      “ขออภัย ข้าไม่มีนโยบายที่จะออกจากเมืองเวลเฮมมิน่า” เจ้าเมืองหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

      “ข้าเชื่อว่าท่านตกลงไปกับข้าเสียจะดีกว่า จะได้จัดเก็บของและฝากฝังงานไว้กับเรเชลได้ทัน ว่าไหม” เฟริคยื่นมือออกมาเสนอให้อีกฝ่ายยอมตกลงแต่โดยดี ลีนัสนั่งหลังเหยีดตรงกุมมือทั้งสองข้างวางบนโต๊ะนิ่ง และปลายตามองไปยังมือของอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เย็นชา เฟริคจึงชักมือกลับแสร้งทำหน้าเสียดายนิดๆ

      “ข้าถามจริงๆเถอะ เมืองเล็กๆอย่างเวลเฮมมิน่านี่คิดจะมีปัญหากับบริงไฮด์จริงๆน่ะหรือ” เฟริคเอ่ยจี้จุดที่อีกฝ่ายเป็นห่วงอยู่ แต่ลีนัสได้ตรองดูแล้วไม่ว่าจะทางไหนเขาก็มีแต่เสียเท่าๆกัน

      “ข้าว่าท่านคิดอีกทีดีกว่า ว่าอยากจะมีปัญหากับลีบลาแห่งเวลเฮมมิน่าไหม” ลีนัสเอ่ยย้อนอีกฝ่ายกลับไปพร้อมแววตาที่ท้าทาย

     “ดี ข้าเองก็อยากจะรู้นักว่าลีบลาที่เป็นเจ้าเมืองเนี่ย ทำอะไรได้สักแค่ไหนกัน” เฟริคคลี่ยิ้มมุมปากเอ่ยท้าทายอีกฝ่ายกลับเช่นกัน 

     “ท่านเฟริค ข้าเชื่อว่าท่านไม่อยากจะรู้หรอกขอรับ” ลีนัสตอบด้วยน้ำเสียงเย็นๆ มือสองข้างยังคงกุมอยู่บนโต๊ะอยู่ในท่วงท่าที่สง่างามสมกับตำแหน่ง เจ้าเมืองหนุ่มขี้เล่นที่เฟริครู้จักเมื่อวานนี้ หายไปตั้งแต่เมื่อเช้านี้โดยสิ้นเชิงแล้ว

      “ฮ่ะๆ...นี่ข้ากำลังโดนข่มขู่อยู่รึเปล่าเนี่ย” แววตาสีเหลืองทองหรี่ลง ริมฝีปากคลี่ยิ้มยียวนกลับมา

      “ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าเพียงแค่พูดความจริงเท่านั้น” ลีนัสว่าพลางขยับไปนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ

      "หึ อยากจะรู้นักว่า ถ้าอยู่ๆท่านตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ในบริงไฮด์แล้วท่านจะยังปากดีแบบนี้อยู่ไหม" เจ้าเมืองหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ขำออกมาจากลำคอเบาๆ เหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังเล่าเรื่องตลกให้ฟังอยู่

      "เป็นการยกตัวอย่างที่ตลกมาก แต่ถามจริงๆเถอะ ท่านจะเอาลีบลาที่ไม่มีทางทำตามคำสั่งของท่านไปทำไม" ลีนัสกลับมาเท้าแขนลงบนโต๊ะมองอีกฝ่ายอย่างท้าทาย อีกฝ่ายกลับคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์กลับมา

      "ไม่ต้องห่วงหรอกท่านลีนัส ข้าได้คิดไว้ถึงจุดนั้นเรียบร้อยแล้ว แล้วเชื่อข้าสิ…” เฟริคว่าพลางลุกขึ้นยืนแล้วโน้มตัวไปกระซิบบางร่างบางที่ข้างหู ด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

      “ท่านคงไม่อยากรู้หรอก" น้ำเสียงกับสัมผัสของลมหายใจอุ่นๆของเฟริค ทำเอาร่างบางสั่นสะท้านขึ้นมา รอยยิ้มเมื่อครู่ที่ร่างบางแค่นออกมาสู้หายไปจนหมดสิ้น ร่างสูงยิ้มกริ่มอย่างผู้กำชัยยืดตัวขึ้นมา แล้วเอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

     “ระวังอย่าเปิดช่องว่างให้ข้านักล่ะท่านเจ้าเมือง”




      ช่วงสายของวันรุ่งขึ้น เฟริคสั่งให้ผู้ติดตามทยอยเก็บข้าวของกลับขึ้นรถม้าไป และส่งให้กลับนำไปก่อนส่วนหนึ่ง ลีนัสรู้สึกโล่งใจที่แขกตัวปัญหาของเขาจะได้กลับไปเสียที แต่ก็อดระแวงไม่ได้ว่าเจ้าตัววางแผนอะไรเอาไว้ ลีนัสยืนกอดอกมองกลุ่มผู้ติดตามของเฟริคกลุ่มแรกออกเดินทางจากไป จากทางหน้าต่างหน้าทำงานของตนข้างบน ครู่หนึ่งก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น

      “เชิญท่านเฟริค” เจ้าของห้องรู้ดีว่าเป็นใคร ประตูห้องเปิดเข้ามาตามมาด้วยใบหน้าคมที่คลี่ยิ้มทักทายส่งมาให้

      “ท่านลีนัส เดี๋ยวข้าจะออกเดินทางกลับแล้ว จะเปลี่ยนใจไปกับข้าตอนนี้ยังทันนะ” เฟริคเอ่ยขึ้นหลังจากที่ปิดประตูห้องลง ลีนัสได้ยินข้อเสนอขออีกฝ่ายก็เบี่ยงสายตากลับออกไปข้างนอกอย่างไม่สบอารมณ์

     “เดินทางโดยสวัสดิภาพขอรับ” ร่างบางเอ่ยกลับไปอย่างไร้เยื่อใย ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องเสแสร้งเป็นเจ้าบ้านผู้ใจดีอีกต่อไป

     “วันนี้เย็นชาจังนะท่านเจ้าเมือง เมื่อวานยังน่ารักอยู่แท้ๆ” เฟริคว่าพลางก้าวเข้าหาเจ้าเมืองหนุ่ม ทว่ากลับต้องชะงักไปเมื่อรู้สึกว่าชนกับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น

     “ข้าว่าท่านรีบกลับไปซะก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจฝังท่านไว้ที่นี่จะดีกว่าขอรับ” ลีนัสหันมามองคู่สนทนาด้วยสายตาที่เยียบเย็น แต่องค์ชายมัวแต่ลองเอามือฉากกั้นที่เขามองไม่เห็นอย่างสนอกสนใจ เขาลองเอามือสองข้างผลักดูเบาๆ แล้วก็ออกแรงทิ้งน้ำหนักทั้งตัวดู ด้วยความหงุดหงิดลีนัสจึงอาศัยจังหวะนั้นปลดพลังเวทย์ออกทำให้ร่างสูงเสียสมดุลจนล้มลงไปนอนแทบเท้าเจ้าตัว จังหวะนั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยร่างใหญ่ของรองเจ้าเมืองที่ถือวิสาสะเปิดเข้ามาพร้อมกับเอกสารต่างๆในมือ

     “ขออภัยท่านลีนัส....” ชายหนุ่มร่างหนาจะเอ่ยธุระของตนต่อ แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าแล้วทำให้สะดุดไป

     “เกิดอะไรขึ้นขอรับ”

      “ท่านเฟริคเดินสะดุดขาตัวเองน่ะ” ลีนัสอธิบายพลางเดินตีห่างออกไปจากเฟริคอย่างเย็นชา ฝ่ายดาวิสจึงเดินเข้าไปยื่นมือส่งให้อีกฝ่าย

     “เป็นอะไรมากไหมขอรับ” เฟริคลอบถอนหายใจเบาๆก่อนจะยกมือขึ้นรับความหวังดี

      “ขอบใจ” เฟริคเอ่ยขอบคุณดาวิสที่ช่วยดึงเขาลุกขึ้นมาตามมารยาท แต่พอจะปล่อยมือกลับโดยอีกฝ่ายบีบไว้แน่น ทำให้เฟริคต้องเงยหน้าขึ้นเห็นแววตาสีน้ำเงินเข้มสบมองลงมาอย่างเย็นชาก่อนจะแสยะยิ้มน้อยๆกลับมา

      “ด้วยความยินดีขอรับ” มือแกร่งยอมปล่อยมืออีกฝ่ายออกมาในที่สุด

     “เห็นว่าจะเดินทางกลับแล้วสินะขอรับ เดินทางกลับดีๆนะขอรับ” เฟริคฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นคำขู่มากกว่าความหวังดี

      “ขอบคุณในความหวังดี ท่านดาวิส” เฟริคกัดฟันเอ่ยตอบอีกฝ่ายไป เขาจำไม่ได้ว่าไปทำให้ชายร่างใหญ่นี่เกลียดเขาตอนไหน แต่ก็พอจะเดาได้ว่าสาเหตุน่าจะมาจากเจ้าเมืองหนุ่มผู้นี้เป็นแน่แท้ ระหว่างที่คิดอยู่นั้น อยู่ๆก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังเข้ามา ลีนัสหันควับกลับมาสบตากับดาวิสด้วยสีกน้าตกใจแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แล้วก็วิ่งออกไปดูเป็นคนแรก ดาวิสก็รีบวิ่งตามไปติดๆ

      ที่หน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์เต็มไปด้วยทหารที่บาดเจ็บนอนกระจัดกระจายไปทั่ว เรื่อยมาตลอดทางจนถึงโถงบันไดใหญ่กลางคฤหาสน์ ที่ตรงกลางบันไดนั้นปรากฏร่างชายหนุ่มร่างใหญ่เปลือยท่อนบน สิ่งที่ติดตัวมามีเพียงกางเกงกับดาบเล่มหนึ่ง ผิวสีน้ำตาลแดงมีรอยสักทั่วทั้งตัว ผมกระเซิงสีเทายาวลงมาถึงเข่า และสิ่งที่ทำให้บรรดาทหารทั้งหลายลังเลที่จะเข้าใกล้ ก็คือเขาสองข้างที่งอกยาวออกมาจากหน้าผาก

     “ลีนัส!!” ผู้บุกรุกตะโกนเรียกชื่อบุคคลที่เขาต้องการจะพบเสียงดังสนั่นไปทั้งห้องโถง

     “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ เจ้ามีธุระอะไรกับท่านเจ้าเมือง ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ” เสียงเด็กวิ่งตามเข้ามาในห้องโถง ตะโกนท้าทายมนุษย์กึ่งภูติที่บุกเข้ามา ผู้ที่ถูกท้าทายทอดสายตาต้นเสียงกลับไปอย่างเย็นชา สิ่งที่เขาเห็นคือลูกหมาตัวเล็กๆที่กำลังเห่าขู่ทำขนพองอยู่ตรงนั้น

     “ลุคซ์ ถอยไป” เสียงลีนัสตะโกนลงมาจากชั้นสองทำให้ผู้บุกรุกกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก

     “....เจ้านี่เอง” อยู่ๆเปลวเพลิงสีน้ำเงินก็ลุกโชนออกมาทั่วโถงกว้าง ดาวิสที่วิ่งตามลีนัสมาติดๆต้องรีบคว้าร่างบางดึงกลับมากอดแล้วพลิกตัวบังเปลวเพลิงอันร้อนระอุที่ลุกโชนขึ้นมา ร่างใหญ่ต้องทรุดลงมาชันเข่าไว้เมื่อเปลวเพลิงร้อนจนผ้าที่แผ่นหลังไหม้ทะลุเข้าไปถึงผิวข้างใน

      “หยุดเดี๋ยวนี้นะซีมัส!!” ลีนัสตะโกนกลับไปเสียงดังกังวานไปทั้งห้องโถง เปลวเพลิงที่ลุกโชนเมื่อครู่ก็เบาลง ลีนัสเอามือลูบแผ่นหลังแกร่งที่บังเปลวเพลิงให้เขาไว้เมื่อครู่เบาๆ ปรากฏแสงสีเขียวอ่อนที่ฝ่ามือ รักษาบาดแผลที่ถูกเปลวเพลิงไหม้ไปเมื่อครู่

     “ท่านดาวิส ข้าจัดการเรื่องนี้เอง” ลีนัสผละตัวเองออกจากอ้อมแขนแกร่งแล้วเดินไปที่ระเบียงกั้นตรงบันได เห็นลุคซ์ที่นอนสลบเพราะความร้อนกลางเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้มนั้นยังไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตก็สบายใจไปเปราะหนึ่ง

     “ดูสุขสบายดีนะท่านเจ้าเมือง” แววตาสีเทาอ่อนสบมองเจ้าเมืองหนุ่มอย่างท้าทาย

     “สามปีสองเดือน ยี่สิบเอ็ดวันที่เจ้าหนีหายไป………...นี่คือคำพูดของน้องที่เอ่ยทักพี่ชายของเจ้าน่ะหรือ ซีมัส”




____________________________________________________________________

End Act.2


แถมท้าย
Zemus : นี่ท่านนับวันขนาดนั้นเลยเหรอ
Linus : ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่ใส่ใจขนาดนั้นอยู่แล้ว
Zemus : แล้ว ?
Linus : ข้าก็ไม่ได้นับหรอก กะเอาคร่าวๆ ให้ฟังดูน่าตกใจเล่นๆน่ะ
Zemus : .......................
 :mew5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2015 15:16:03 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act 2)
«ตอบ #5 เมื่อ28-08-2015 14:36:07 »

Act 3 : The demon (1/3)
Edit : 3 Dec. 2015 เพิ่มฉากใหม่ตัวเอียงนะครับ
   

      เสียงรัวเคาะประตูบ้านไม้ดังขึ้น ทำให้แม่ลูกสองคนที่กำลังจัดเตรียมมื้อเย็นกันอยู่ต้องสะดุ้งแล้วหันไปที่ประตูบ้านพร้อมกัน ไม่ทันไรประตูก็เปิดพรวดเข้ามาอย่างรีบร้อน เด็กหนุ่มผู้เป็นลูกชายรีบวางของแล้วเดินออกมาขวางหน้ามารดาเสียก่อนอย่างเคยชิน
 
       “ขออภัยที่รบกวนเวลานี้” อเล็กซ์ ชายวัยกลางคนที่เจ้าบ้านรู้สึกคุ้นหน้าเพราะอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาเมื่อเห็นว่าไม่ได้ลงกลอนเอาไว้

       “ข้าได้ยินว่าบ้านนี้มีลีบลาอาศัยอยู่ ตอนนี้ลูกชายข้าเป็นอะไรไม่รู้ ช่วยมากับข้าที” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร เด็กหนุ่มจึงลดการระวังตัวลง แววตาสีเพลิงปิดลงอย่างใจเย็นครู่หนึ่ง เพื่อเอ่ยถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับชายคนนี้กับเหล่าภูติบริเวณนั้น เมื่อรู้ก็เบิกตาขึ้นมองอเล็กซ์ด้วยแววตาตกใจพร้อมกับก้าวเท้าไปหาอย่างรีบร้อน
      
     “เดี๋ยวข้ากลับมานะท่านแม่” เด็กหนุ่มหันมาเอ่ยบอกมารดาก่อนจะวิ่งออกไปจากบ้านพร้อมผู้ที่เดือดร้อน อเล็กซ์แปลกใจว่าทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงตกลงจะช่วยโดยไม่ถามอะไรมาก
    
    “ดูแลตัวเองดีๆนะลีนัส” มารดาเอ่ยไล่ตามหลังบุตรชายไป
 
     “เจ้าเป็นลีบลาเหรอ”

        “นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง” ลีนัสไม่เสียเวลาตอบคำถามนั้น เขาเอ่ยถามคำถามอีกฝ่ายกลับไประหว่างทางที่เดินกึ่งวิ่งไปตามทาง

        “ข้าไม่รู้จริงๆ เมียข้าเพิ่งเสียไปไม่นาน ข้าพยายามจะอธิบายให้เขาเข้าใจแต่พอเขาไม่เข้าใจก็เริ่มร้องไห้ออกมา…”

        “ข้าหมายถึงลูกครึ่งภูติ ลูกท่าน” เด็กหนุ่มถามแทรกกลับมา

        “อะไรนะ?” อเล็กซ์ไม่เข้าใจที่เด็กหนุ่มถาม ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อทั้งคู่ก็เดินมาถึงที่เกิดเหตุ เปลวเพลิงสีน้ำเงินที่มนุษย์ทั่วไปก่อไม่ได้ ลุกลามไปทั่วทั้งบ้าน ชาวบ้านแถวนั้นพากันออกมามุงดูกันอย่างตื่นตระหนก บ้างก็ช่วยกันหิ้วน้ำมาสาดเพื่อจะดับไฟ แต่เก็ไม่ยอมดับไปง่ายๆ ผู้เป็นพ่อแทบจะล้มทั้งยืนตรงนั้นด้วยความตกใจ ก่อนที่เขาจะวิ่งไปขอความช่วยเหลือยังไม่รุนแรงขนาดนี้

        “ลูกท่านอยู่ในบ้านคนเดียวใช่ไหมตอนนี้”

        “ชะใช่ๆ”

         เด็กหนุ่มที่เพิ่งมาถึงสูดหายใจเข้าพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้น ก็มีกระแสน้ำไหลลงมาดับเพลิงสีน้ำเงินนั้นไป แต่ไม่ทันไรก็จุดติดกลับขึ้นมาใหม่ ใบหน้าหวานเห็นเช่นนั้นขมวดคิ้วมองด้วยความหนักใจ เขาตัดสินใจร่ายเวทย์ให้น้ำสาดเข้าใส่ร่างตัวเองให้เปียกช่ำ ก่อนจะเดินฝ่าเข้าไปทั้งอย่างนั้นโดยใช้พลังเวทย์ช่วยป้องกันเพลิงอันร้อนระอุไม่ให้ไหม้เจ้าตัว
        
      “เดี๋ยว นี่เจ้าจะเข้าไปทั้งอย่างนั้นเลยหรือ” ผู้เป็นพ่อร้องออกมาด้วยความตกใจ เด็กหนุ่มหันมามองผู้ที่เอ่ยรั้งไว้อย่างนึกอะไรขึ้นได้

        “ลูกท่านชื่ออะไร”

        “...ซีมัส” เมื่อได้รับคำตอบเด็กหนุ่มร่างบางก็เดินหายเข้าไปในเปลวเพลิงนั้น

        ถึงแม้ลีนัสจะใช้พลังเวทย์ของภูติช่วยปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกเพลิงเผาใหม้ แต่ความร้อนระอุของเปลวเพลิงไม่ได้หายไปไหน อากาศอันร้อนอบอ้าวทำให้ลีบลาหนุ่มอึดอัดหายใจไม่ออกจนแทบจะเป็นลมไปเสียตรงนั้น  ที่โต๊ะกินข้าวกลางบ้าน มีเด็กชายตัวน้อยผิวสีน้ำตาลแดงนั่งอยู่ บนผิวสีน้ำตาลแดงปรากฏรอยสักสีน้ำตาลเข้มขึ้นทั้งแขนขาและใบหน้า เรือนผมสีเงินยาวประบ่าและมีเขาน้อยๆงอกออกมาที่กลางหน้าผาก ลีนัสคิดว่าควรจะกำจัดเด็กคนนี้ทิ้งเสียตอนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาเองก็อาจจะตายไปพร้อมๆเด็กคนนี้ตอนนี้เลยก็ได้ เขายังมีมารดาที่ต้องดูแลอยู่คนหนึ่งไม่อาจจะตายตอนนี้ได้ แต่เมื่อแววตาสีเทาที่ไร้เดียงสาที่เปื้อนคราบน้ำตาช้อนขึ้นมองกลับมาด้วยความหวาดกลัว ความคิดนั้นก็สลายหายไปในทันที

        “ซีมัส…” เด็กหนุ่มแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะเปล่งเสียงออกเสียงออกมา นั่นเป็นแรงฮึดสุดท้ายของเขา ที่จะทำให้เด็กชายที่กำลังสะอื้นไห้สงบลง เพลิงสีน้ำเงินรอบตัวดูจะเบาบางลง

     “พี่ชาย ช่วยข้าด้วย...เกิดอะไรขึ้น” เด็กชายสะอื้นเอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว เด็กหนุ่มทรุดตัวลงไปกอดเด็กชายตัวน้อยเอาไว้

       “ไม่เป็นไรนะซีมัส เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าออกไปหาพ่อเจ้าเอง” ลีนัสจูบที่กระหม่อมเด็กชายเบาๆ สัมผัสที่อ่อนโยนทำให้เด็กชายคลายกังวล แล้วเปลวเพลิงรอบๆค่อยๆมอดมลายหายไป

        “เก่งมากซีมัส” ลีนัสเอ่ยเสียงนุ่มพลางลูบศีรษะเด็กน้อยเบาๆ เขาถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก ร่างกายที่ฝืนทนความร้อนจนล้าไปทั้งร่างทิ้งตัวพิงเด็กชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาขอหลับตาลงพักผ่อนสักพักก่อนจะใช้แรงลุกเพื่อเดินออกไปจากที่นี่ ตอนนี้เขาอยากจะมีคนพาเขาออกไปจากที่นี่เหลือเกิน แต่ไม่ทันที่จะคิดอะไรไปมากกว่านี้ โครงบ้านที่ถูกไฟเผาไปเมื่อครู่อยู่ๆก็ทรุดลงมา คานบ้านร่วงตกลงมาตรงที่ทั้งสองนั่งอยู่พอดี ลีนัสหมดเรี่ยวแรงเกินกว่าจะขยับตัวหนีได้ทัน ทำได้เพียงขยับไปบังร่างของเด็กน้อยไว้แล้วหลับตาลงเพื่อหลีกหนีความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น
   

     เสียงคานบ้านตกลงมากระแทกเสียงดังสนั่น ทำเอาร่างบางสะดุ้งสุดตัว แต่กลับไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกใดๆทั้งสิ้น แววตาสีเพลิงจึงค่อยๆลืมตาขึ้นมองรอบๆ เห็นภูติในร่างกระทิงท่อนบนคล้ายมนุษย์สูงใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดาถึงสามเท่า ยืนเอาแขนแกร่งยกค้ำคานที่ร่วงหล่นลงมาแล้วปัดทิ้งไปข้างๆ

       “มนุษย์...ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องตายเพราะเด็กคนนี้ ปล่อยเด็กคนนี้ไว้ที่นี่แล้วเจ้าออกไปซะ เด็กคนนี้ต้องไม่เกิดมา” ลีนัสเงยหน้าขึ้นมองภูติร่างใหญ่ที่เอ่ยพูดกับเขาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะก้มลงมองเด็กชายตัวน้อยที่ตอนนี้กลับมาเป็นเด็กผิวขาวผมสีบลอนด์ทองตาสีฟ้าใสธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่จ้องมองลีนัสกลับมาด้วยแววตาที่หวาดกลัว มืน้อยๆจับท่อนแขนของเขาไว้แน่น ลีนัสจึงเดินมายืนขวางระหว่างเด็กชายตัวน้อยกับภูติร่างยักษ์

        “แต่ท่านก็ตั้งใจปล่อยไว้จนกระทั่งข้ามาเจอ” แววตาสีดำสนิทของกระทิงร่างใหญ่เบี่ยงหลบแววตาแข็งกร้าวของเด็กหนุ่มร่างเล็กตรงหน้า

     “......” ร่างแกร่งถอนหายใจแรงจนควันร้อนพวยพุ่งออกมาจากจมูก

        “เด็กคนนี้คือลูกท่านเองสินะ...ท่านปล่อยใหเมันเกิดขึ้นมาได้ยังไง” จากท่าทีของภูติทำให้ลีบลาหนุ่มพอจะเดาออก จึงถูกซักถาม

        “ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดอะไรแบบนี้ขึ้น แม่ของเด็กเป็นลีบลา...นางพร่ำขอให้ภูติช่วยทำให้นางมีลูกสำเร็จสักครั้ง ข้าจึงเสกเวทย์ให้ครรภ์ของนางแข็งแรงพอที่จะเลี้ยงตัวอ่อนน้อยๆนั้นได้เติบโตจนออกมาลืมตาดูโลก”

        “.....เกือบเก้าเดือนที่ข้าเฝ้าดูแลเด็กคนนี้ในครรภ์ของนาง ข้าเลี้ยงดูเขาเองไม่ได้ ยังไงเด็กคนนี้ก็เป็นมนุษย์ แต่ก็เป็นมนุษย์ที่อันตรายเกินไป แม่ของเด็กเพิ่งจะเสียไป ไม่มีใครดูแลเด็กคนนี้ได้แล้ว ปล่อยเด็กคนนี้ไว้ให้ข้าทำในสิ่งที่ข้าต้องทำเถอะ ” ลีนัสไม่ยอมขยับหนีไปไหน

        “ปล่อยให้ข้าเสี่ยงตายเข้ามาถึงตรงนี้ ท่านตั้งใจบีบข้าชัดๆ” เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากตัวเองแน่นก่อนจะประกาศกร้าวกลับไป

     “ข้าจะดูแลเด็กคนนี้เอง”

     “ออกไปหาท่านพ่อเจ้ากันเถอะซีมัส” ลีนัสหันมายื่นมือส่งให้เด็กชายตัวน้อยจับไว้ แล้วจูงมือเดินเขาออกไปข้างนอก

       “.....ขอบใจ..มนุษย์” ภูติร่างยักษ์เอ่ยกระซิบแผ่วเบากลับมาก่อนจะสลายร่างกระจายหายไป

        “ซีมัส!!” อเล็กซ์ตะโกนเรียกบุตรชายด้วยความดีใจ เด็กชายตัวน้อยก็รีบวิ่งไปหาบิดาของตนทันที ลีนัสเห็นภาพตรงหน้าก็อมยิ้มออกมา เขาคิดว่าเขาตัดสินใจถูกต้องดีแล้ว อย่างน้อยก็ตอนนี้ ถึงแม้ตอนนี้ชาวบ้านทุกคนต่างก็มองพวกเขาด้วยความสงสัยและหวาดระแวงบ้างก็ตาม

        “หนุ่มน้อยเจ้ามั่นใจว่าจะรับผิดชอบปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากเด็กคนนี้ไหวจริงๆ หรือเจ้าเอ่ยออกมาเพียงเพราะความอวดดีของเจ้ากันแน่” เสียงทุ้มของชายวัยกลางเอ่ยขึ้นมาจากข้างหลังเด็กหนุ่ม เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูนี้ทำให้ร่างบางรีบหันกลับไปมองทันที

        “ท่านเฮมิส….” เจ้าเมืองวัยกลางคนในชุดสีขาวคาดผ้าสีแดงชาด เดินมาหยุดยืนตัวตรงเป็นสง่าอยู่เบื้องหลังเด็กหนุ่ม แววตาสีเขียวทอดมองเด็กหนุ่มอย่างเฝ้ารอคำตอบ

        “ข้า…” ด้วยตำแหน่งของอีกฝ่ายทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเกร็ง

        “พี่ชาย…” ซีมัสวิ่งมาจับมือลันัสไว้แล้วมองเจ้าเมืองกลับไปด้วยแววตาสงสัยไร้เดียวสา

        “ข้าตัดสินใจแล้วขอรับ จะขอรับผิดชอบชีวิตเด็กคนนี้เอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้” ลีนัสกุมมือของเด็กชายตัวน้อยกลับแล้วเอ่ยตอบไปอย่างหนักแน่น เจ้าเมืองคลี่ยิ้มออกมาจางๆ

     “เจ้าชื่ออะไรลีบลาน้อย”

        “เอ๋...ลีนัสขอรับ” เด็กหนุ่มตอบกลับไปอย่างงงๆ ไม่คิดว่าอยู่ๆอีกฝ่ายจะถามชื่อเขา

     “ลีนัสเจ้าอายุเท่าไหร่” เฮมิสเริ่มไต่สวน

     “สิบสี่ขอรับ” ลีนัสตอบอย่างว่าง่าย คาดว่าจะต้องโดนลีบลารุ่นพี่เทศน์ใส่อีกยาวแน่นอน ที่ตัดสินใจรับผิดชอบอะไรที่เกินตัว

     “ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเจ้ามาทำงานเป็นผู้ช่วยข้านะ” 

     “ขอรับ!?” เด็กหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

     “เจ้าไม่อยากเป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองรึ” เฮมิสถามกลับไปเมื่อเห็นปฏิกริยาของเด็กหนุ่มตรงหน้า

     “ไม่ใช่เช่นนั้นขอรับ...ข้าคิดว่า….ข้าจะโดนดุมากกว่า” ลีนัสอธิบายเสียงแผ่ว

     “เจ้ายังไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ถึงตอนที่เจ้าคุมเด็กคนนี้ไม่อยู่เมื่อไหร่ เราค่อยมาว่ากันอีกที แต่ตอนนี้ข้าไม่เคยเห็นลีบลาคนไหนกล้าทำอะไรบ้าบิ่นขนาดนี้มาก่อน ยังไงข้าก็ไม่ปล่อยเจ้ากลับบ้านเปล่าๆโดยที่ไม่ตอบตกลงข้าแน่นอน” เฮมิสคุยด้วยน้ำเสียงเรียบสุขุมไม่เปลี่ยน แต่คำพูดนั้นแอบซ่อนความเป็นคนขี้เล่นเอาไว้

     “ให้ตายเถอะ เจ้าลุยเข้าไปในบ้านที่ไฟไหม้ทั้งหลังคนเดียว กล้าถามย้อนภูติชั้นสูง แล้วยังจะทำตัวอวดเก่งใส่อีกต่างหาก เจ้าไปอยู่ที่ไหนมาทำไมข้าไม่เคยรู้จักเด็กหนุ่มอย่างเจ้าหึ ลีนัส” เด็กหนุ่มที่ถูกพูดถึงแบบนั้นก็หน้าแดงขึ้นมา

     “คำตอบของเจ้าล่ะ”

     “ขอรับ!” ลีนัสรีบตอบรับกลับไปอย่างฉะฉาน เรียกรอยยิ้มพอใจให้กับอีกฝ่าย

     “ดีมาก พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้ามาหาข้าแต่เช้า”

     “ขอรับ” เด็กหนุ่มผงกหน้ารับอย่างว่าง่าย เจ้าเมืองก้มลงมองเจ้าตัวเล็กที่จ้องมองเขากลับมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

     “พาเจ้าตัวเล็กนี่ติดมาด้วย” เฮมิสเอื้อมมือไปขยี้หัวซีมัสด้วยความเอ็นดู เจ้าตัวเล็กได้ยินว่าให้ไปด้วยก็ยิ้มแฉ่งออกมาทันที

     “ไป กลับไปพักผ่อนเสีย แล้วพรุ่งนี้ค่อยเจอกัน”

     
     ค่ำนั้นลีนัสเดินกลับบ้านมาพร้อมกับซีมัสและอเล็กซ์ที่ไม่เหลือบ้านให้กลับไปนอน ทำให้มารดาที่เปิดประตูบ้านให้ต้องชะงักไป กลิ่นควันไหม้ที่ติดตัวบุตรชายมา สภาพตัวที่มอมแมมกลับมาพร้อมกับเด็กชายตัวเล็กที่มอมแมมไม่แพ้กัน ทำให้ผู้เป็นแม่ต้องเอ่ยถามออกมา

     “เกิดอะไรขึ้น เข้ามาก่อนมา” เจ้าบ้านรีบหลีกทางให้ลูกชายและแขกเข้ามาข้างใน

     “ขออภัยที่ต้องเข้ามารบกวนอีกรอบขอรับ” อเล็กซ์ก้มศีรษะให้เจ้าบ้านด้วยความเกรงใจก่อนจะก้าวเข้าไป

     “เชิญค่ะ” ถึงจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าลูกชายเป็นผู้พาเข้ามาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะปฏิเสธแขกผู้นี้

     “เอ่อ...นี่ซีมัส ท่านอเล็กซ์ ท่านแม่ข้านอร่า...ข้าลีนัส คิดว่าข้ายังไม่ได้บอกท่าน” ลีนัสแนะนำทุกคนให้รู้จักทีเดียวสั้นๆ

     “ตอนนี้บ้านท่านอเล็กซ์เพิ่งจะโดนเผาไปเมื่อครู่ ส่วนข้าเพิ่งจะรับปากรับผิดชอบซีมัสไว้ดูแลเอง เนื่องจากซีมัสเป็นลูกครุ่งภูติขอรับ” ลีนัสอธิบายสั้นๆกระชับ พลางทรุดตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้ด้วยความอ่อนล้า

     “หะ?” ทั้งอเล็กซ์และนอร่าร้องออกมาด้วยความประหลาดใจพร้อมกัน

     “เมื่อกี้เจ้าบอกว่าลูกครึ่งภูติ เป็นไปได้ยังไง ซีมัสเป็นลูกข้ากับเมียข้านะ” อเล็กซ์รีบยืนยันออกมาชัดเจน

     “ขอรับ ซีมัสเป็นลูกท่านไม่ผิดขอรับ” ลีนัสต้องรีบชี้แจงเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนที่จะเลยเถิด

     “ก่อนจะมีซีมัส ภรรยาท่านแท้งไปกี่รอบแล้วขอรับ”

    “....ก็หลายรอบอยู่” อเล็กซ์คิดตามไปเงียบๆ

     “ภรรยาท่านเป็นลีบลาเหมือนข้าที่สื่อสารกับภูติได้ นางขอพลังภูติชั้นสูงคอยดูแลครรภ์ของนางให้แข็งแรงจนคลอดซีมัสออกมาได้ ทั้งๆที่โดยพื้นฐานของนางเป็นคนที่อ่อนแอเกินกว่าจะตั้งครรภ์ได้”

     “แล้วนั่นทำให้ลูกข้าเป็นลูกครึ่งภูติอย่างนั้นหรือ” เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบ พลางหันไปหาเด็กชายตัวน้อยที่ยืนฟังบทสนทนาที่เข้าใจยากอยู่ข้างหลัง ลีนัสกวักมือเรียกซีมัสให้มายืนข้างๆ

     “ข้าเพิ่งจะขอชีวิตเขามาจากภูติตนนั้น และสัญญาว่าข้าจะเป็นผู้ดูแลเขาให้เติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่ง” เขาอธิบายไปพลางลูบเรือนผมนุ่มสีทองของเด็กชายตัวน้อยด้วยความเอ็นดู

     “ข้าขออธิบายแค่นี้ก่อนได้ไหมขอรับ ซีมัสตอนนี้เจ้าดูไม่ได้เลยล่ะ เหม็นด้วย” อยู่ๆลีนัสก็หันไปคุยเล่นกับซีมัสที่กำลังทำหน้างุนงงอยู่

     “เอ๋? พี่ชายก็ดูไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละดูสิยังเปียกอยู่เลย” ซีมัสขยี้เรือนผมสีน้ำตาลแดงที่เปียกชื้นของเจ้าตัวกลับไป

     “ถ้างั้นเจ้าก็มาอาบน้ำกับข้าซะดีๆ” ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็หิ้วเจ้าตัวเล็กขึ้นมาพาดบ่าแล้วเดินไปหลังบ้านทันที ทิ้งให้บุคคลแปลกหน้าทั้งสองคนนั่งอึดอัดอยู่ในห้องนั่งเล่น

     “….ทานอะไรกันรึยังคะ” นอร่าเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา แล้วเดินไปที่ครัวตั้งไฟอุ่นซุปที่ทำไว้แก้เก้อ

     “เอ่อ..พวกท่านเองก็ยังไม่ได้ทานสินะ ขออภัยด้วยจริงๆ มีอะไรให้ข้าช่วยไหม” อเล็กซ์ลุกตามเจ้าบ้านไปเพราะไม่อยากทำตัวเป็นภาระ แต่อยู่ๆก็ได้ยินเสียงลีนัสตะโกนออกมา ก็ต้องหยุดหันไปมอง

    “ท่านแม่!!” ลีนัสโผล่หน้าออกมาที่ประตูหลังบ้าน

     “ข้าลืมบอกเรื่องสำคัญท่านไป...ท่านเจ้าเมืองเรียกให้ข้าไปเป็นผู้ช่วย เริ่มงานพรุ่งนี้” พอพูดเสร็จก็หายเข้าไปที่หลังบ้านอีกครั้ง

    “เอ๋ อะไรนะ จริงเหรอ!!?” นอร่าได้ยินเช่นนั้นก็ยกช้อนคนซุปในมือให้อเล็กซ์ที่เมื่อครู่เสนอตัวจะช่วยไปอย่างลืมตัว แล้วเดินหายเข้าไปหลังบ้านเพื่อจะคุยรายละเอียดเรื่องนี้ต่อ กลายเป็นว่าแขกถูกเจ้าของบ้านทิ้งไว้ให้เฝ้าครัวแทนเรียบร้อย



           เช้าวันรุ่งขึ้นลีนัสรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปหาเฮมิสที่สถานว่าการเจ้าเมือง แต่กว่าจะงัดเจ้าตัวเล็กให้ยอมตามมาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กระทั่งลีนัสเอ่ยว่าจะทิ้งไว้ที่นี่คนเดียวแล้วเท่านั้นแหละ ถึงจะยอมสบัดผ้าห่มออกมาทำตัวติดหนึบกับลีนัสทันที ทำเอาผู้เป็นพ่อประหลาดใจว่าทำไมลูกชายถึงได้ติดเด็กหนุ่มเร็วขนาดนี้ แต่คนที่กล้าเดินลุยเพลิงเข้าไปหาซีมัสเมื่อวานนี้ก็มีแต่เด็กหนุ่มคนนี้คนเดียว ไม่ใช่เขา

           ระหว่างทางที่ลีนัสจูงมือซีมัสเดินไปตามทาง ก็มีผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนั้นโผล่หน้าออกมาดูด้วยความสงสัย บ้างก็กระซิบกระซาบ บ้างก็เรียกสมาชิกคนอื่นออกมาดู ลีนัสจึงคลี่ยิ้มกลับไปแล้วเอ่ยทักทายเหมือนปกติ ต่างก็ปั้นหน้ายิ้มเจื่อนๆทักทายกลับไป แต่พอเดินพ้นไปก็กระซิบกระซาบกันต่อ

          "...พี่ชาย...พวกเขาไม่ชอบข้าใช่ไหม ข้าเป็นตัวประหลาดใช่ไหม" มือน้อยๆที่เกี่ยวนิ้วนางกับนิ้วก้อยของลีนะสไว้ ขยับจับให้แน่นกว่าเดิม ลีนัสจึงกุมมือน้อยๆนั้นไว้แน่น

            "พวกเขาแค่ยังไม่รู้จักเจ้าเท่านั้นเอง ถ้าเจ้าไม่เผาบ้านแบบเมื่อวานนี้อีก ก็ไม่มีปัญหาหรอก"

            "แต่เมื่อวานนี้ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆนะ"

           "ข้าถึงต้องพาเจ้าไปด้วยนี่ไง เจ้าจะได้รู้วิธีควบคุมพลังของเจ้า ไม่ต้องห่วงนะ ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้แน่นอน" ลีนัสคลี่ยิ้มให้ด้วยความมั่นใจ ซีมัสก็ยิ้มกว้างใสซื่อกลับมา




             "อ้าวมาถึงแล้วรึลีนัส ซีมัส" เฮมิสเห็นทั้งสองเดินเข้ามาก็คลี่ยิ้มทักทายอย่างอารมณ์ดี

              "อรุณสวัสดิ์ขอรับ" ลีนัสก้มศีรษะทักทายอย่างนอบน้อม พลางปรายหางตาทำหน้าดุไปยังเด็กชายที่มาด้วยกัน

             "...อรุณสวัสดิ์" ซีมัสพูดตามอย่างขอไปที ลีนัสจึงต้องกระแอมไอเบาๆหนึ่งที

              ".....ขอรับ" ซีมัสเสริมตามมาแผ่วๆ ลีนัสก็ลูบหัวเด็กชายเบาๆ

            "โอ้ นี่คือลีนัสกับซีมัสที่ท่านพูดถึงสินะ" เสียงชายวัยกลางอีกคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้นมาแต่ไกล รองเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่า เรย์มอนต์ ชายรุ่นใหญ่ในเครื่องแบบทหารที่ยังมีหุ่นที่ดูแข็งแรงเหมือนหนุ่มๆไม่มีผิดเพี้ยน มีเพียงรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา และผมหงอกสีขาวที่ขึ้นแซมผมสีดำของเจ้าตัวออกมาเท่านั้น

            "อรุณสวัสดิ์ท่านเรย์มอนต์" ลีนัสรีบเอ่ยทักทายไป

"อรุณสวัสดิ์ อ่า พอดีเลย ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ดาวิสมานี่แป๊บนึงสิ" เรย์มอนต์หันไปเรียกเด็กหนุ่มที่ยืนคุยธุระกับทหารแถวนั้นมา ลีนัสพอจะเดาได้ทันทีว่านี่คือบุตรชายของรองเจ้าเมืองแน่นอนโดยที่ยังไม่ต้องแนะนำ เพราะหน้าตาถอดบิดาออกมาได้เกือบหมด ตั้งแต่ผมสีดำขลับ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจมูกที่โด่งเป็นสัน และร่างกายกำยำโครงสร้างใหญ่

            "นี่ลูกชายคนโตข้าดาวิส ตอนนี้เป็นหัวหน้าหน่วยดูแลความปลอดภัยในเมือง ถ้ามีปัญหาอะไรเรียกใช้ได้ แล้วก็นี่ลีนัส คนที่จะมาเป็นผู้ช่วยท่านเฮมิส อีกหน่อยคงได้ทำงานด้วยกัน ส่วนนี่ซีมัส...ตอนนี้เป็นน้องชายเจ้าแล้วสินะลีนัส" เรย์มอนต์แนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกันทีเดียว

             "ยินดีที่ได้รู้จัก เจ้านี่เองที่เมื่อคืนนี้เดินลุยเข้าไปกลางกองเพลิงคนเดียว กล้ามากจริงๆ" เด็กหนุ่มร่างสูงยื่นมือขวาออกมา ลีนัสก็ยื่นมือออกไปจับมือทักทายอย่างเคอะเขิน เพราะเจ้าตัวไม่เคยถูกคนไม่รู้จักเอ่ยชมตรงๆแบบนั้น

               "ซ้ำยังอวดเก่งใส่ภูติอีกต่างหาก" เฮมิสเสริม ทำให้ลีนัสหน้าแดงขึ้นมาเนื่องจากทำตัวไม่ถูก ได้แต่หัวเราะแห้งๆออกมา จะว่าคำชมก็ไม่เชิง ถ้าเมื่อไหร่เขาไม่สามารถควบคุมซีมัสได้มันจะกลายเป็นคำจิกกัดไปในทันที

               "เจ้าคือซีมัสสินะ ดีใจด้วยนะที่ได้พี่ชายดีๆแบบนี้" ดาวิสปล่อยมือจากลีนัสไปก็ย่อตัวลงไปคุยกับเด็กชายตัวเล็กพร้อมกับยื่นมือส่งให้ ซีมัสก็ยกมือออกมาจับมือแกร่งของอีกฝ่าย

              "อื้ม" เด็กชายตอบรับพยักหน้ายอมรับว่าที่พูดมานั้นไม่ผิด ทำเอาผู้ถูกเรียกให้เป็นพี่ชายเมื่อครู่อมยิ้มออกมา

              "เอาล่ะ ข้าไปทำงานต่อล่ะนะ ไว้ว่างๆเราค่อยคุยกันใหม่ ไปกันได้แล้วล่ะดาวิส" เรย์มอนต์เอ่ยตัดบทขึ้นมาแล้วก็พาดาวิสเดินจากไป

             "ดาวิสอายุมากกว่าเจ้าไม่กี่ปีหรอก ยังไงก็รู้จักกันไว้ เผื่อถ้ามีปัญหาอะไรก็จะได้ช่วยๆกันได้" เฮมิสเสริมให้

             "ขอรับ" เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มตอบรับ เขาดีใจที่วันนี้ได้รู้จักคนดีๆหลายคนที่พร้อมจะสนับสนุนเขาและซีมัส

             "ช่วงนี้ข้าอยากให้เจ้าสอนซีมัสให้ควบคุมพลังให้ได้เสียก่อน เป็นเรื่องหลักที่ข้าอยากจะให้เจ้าทำให้ได้นะ ส่วนงานผู้ช่วยน่ะ เอาไว้ว่างเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากัน ตกลงไหม" เฮมิสสรุปสิ่งที่เขาวางแผนไว้ให้ฟัง ลีนัสก็คลี่ยิ้มตอบรับกลับมาอย่างฉะฉาน

             "ขอร้บ!"









               “หา ว่าไงนะเด็กนั่น คือเด็กปีศาจที่ว่ากันน่ะเหรอ ใช่จริงๆน่ะเหรอ”

               “ข้าจำไม่ผิดหรอก เป็นคนเดียวกันกับที่ข้าเห็นในวันที่ถูกเรียกไปช่วยวันที่เกิดเพลิงไหม้”

              “เอ๋ แบบนี้ไม่แย่เหรอ ปล่อยให้เข้ามาวิ่งเล่นในนี้เนี่ยนะ”

               “ซีมัส….”

               “........ซีมัส” เจ้าของชื่อมัวแต่ตั้งใจฟังเสียงพูดคุยของนายทหารกับแม่บ้านที่อยู่ชั้นล่าง ที่บริเวณทางเดินเชื่อมไปอาคารฝั่งตะวันออก ในขณะที่เขาอยู่ในห้องทำงานของเจ้าเมืองชั้นสองกับลีนัส เด็กชายตัวน้อยเพิ่งจะค้นพบตัวเองไม่นานมานี้ ว่าเขามีประสาทการรับรู้ที่เหนือกว่าคนทั่วไปอยู่มาก

               แรกๆเขาก็รู้สึกว่ามันออกจะเป็นเรื่องที่น่ารำคาญอยู่ไม่น้อย แต่หลังๆมานี้เขาเริ่มที่จะเคยชินและเลือกที่จะใส่ใจในเฉพาะสิ่งที่ที่จำเป็นได้มากขึ้น

              “ซีมัส...เจ้าเป็นอะไร มีอะไรรึเปล่า” ฝ่ามืออุ่นๆของลีนัสแตะเบาๆที่แก้มเนียนของเด็กชายตัวน้อย ทำให้เจ้าตัวรู้สึกตัวดึงสติกลับมา

              “...ไม่มีอะไรขอรับ” ซีมัสเบี่ยงสายตาหลบผู้ถามก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป

              “... เอาเถอะ เย็นแล้วกลับบ้านกันได้แล้วล่ะ” ลีนัสยืดตัวยืนแล้วยื่นมือส่งให้น้องชายตัวน้อยจับเหมือนปกติ 

              “เด็กที่ท่านเฮมิสพามาเป็นผู้ช่วยก็เหมือนกัน เด็กขนาดนั้นจะทำอะไรได้ เอามาเกะกะปล่าๆ ไม่เห็นวันๆจะทำอะไรเลย” เสียงพูดคุยยังคงแว่วเข้ามาก่อกวนซีมัสอยู่ไม่เว้นวาย บุคคลที่ถูกพาดพิงถึงในบทสนทนาทำให้เด็กชายตัวน้อยขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์

               “เป็นอะไรไปซีมัส ทำไมทำหน้าแบบนั้น” ลีนัสเอ่ยถามซีมัสที่จับมือเข้าไว้แน่น แต่ยืนนิ่งขมวดคิ้วไม่ยอมขยับไปไหน

              “....” แววตาสีฟ้าใสช้อนขึ้นมองผู้ถามทั้งหัวคิ้วที่ขยุ้มรวมกันอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่พอใจแล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธกลับมาก่อนจะยอมก้าวเท้าตามลีนัสไป

              เห็นท่าทีของเด็กชาย ลีนัสก็พอจะเดาได้ว่าต้องมีอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่อยากจะคาดครั้นมากนัก อีกเดี๋ยวเจ้าตัวก็คงอยากจะเล่าให้ฟังเอง

              ลีนัสพาน้องชายลงมาถึงชั้นล่างเตรียมตัวจะกลับบ้าน ก็บังเอิญเจอแม่บ้านเจ้าเนื้อวัยกลางคนช่างเจรจาคนนั้นพอดี ขณะที่กำลังจะเดินสวนผ่านไปอีกฝั่งหนึ่งพอดี

            “กลับก่อนนะขอรับท่านเบคก้า” ลีนัสเอ่ยทักทายอีกฝ่าย

             “อ้า กลับแล้วเหรอ กลับบ้านดีๆนะจ๊ะเด็กๆ” สาวเจ้าเนื้อคลี่ยิ้มหวานทักทายกลับมา แต่เมื่อก้มลงมองเจ้าตัวเล็กที่ยืนนิ่งทำตาขวางมองเธอกลับมาก็ต้องประหลาดใจ

            “ซีมัส?” ลีนัสเขย่ามือของน้องชายเบาๆเพื่อจะบอกให้เขาหยุดเทำกิริยาแบบนั้น

            “...คนหลอกลวง ต่อหน้าก็พูดอย่างลับหลังก็พูดอย่างนะขอรับ”

           “ฮะ!!?” ทั้งลีนัสและเบคก้าต่างก็ร้องออกมาและทำสีหน้าประหลาดออกมาพร้อมกัน

           “ซีมัส!! ทำไมเจ้าพูดอะไรแบบนั้นออกมา...ข้าขอโทษด้วยนะขอรับ...ซีมัส!! ขอโทษท่านเบคก้าเดี๋ยวนี้นะ”

            “แต่...ท่านเบคก้าบอกว่าท่านพี่เกะกะ วันๆไม่ได้ทำอะไรเลยนะขอรับ” ซีมัสเถียงกลับมาอย่างฉุนเฉียว

             “....” คำพูดของซีมัสทำให้ลีนัสชะงักไปครู่หนึ่ง ฝ่ายสาวเจ้าเนื้อเองก็หน้าซีดขึ้นมา

             “...ขออภัยด้วยจริงๆที่น้องชายข้าพูดจาอย่างไม่รู้เรื่อง” ลีนัสหันไปก้มหัวขอโทษแม่บ้านวัยกลางคนอย่างนอบน้อม ซีมัสเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งโกรธหนักเข้าไปอีก

            “ท่านพี่บ้า!!” มือน้อยๆสลัดมือของพี่ชายออกแล้ววิ่งหนีออกไปทันที

            “อ๊ะ!! ซีมัส!!” ลีนัสรีบหันไปก้มหัวขอโทษให้เบคก้าอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งตามน้องชายตัวปัญหาของเขาไป

            “ซีมัสเดี๋ยวก่อน เจ้าจะวิ่งไปไหน” ลีนัสไม่คิดว่าเด็กตัวเล็กที่มีช่วงขาสั้นกว่าตนนั้นจะวิ่งหนีไปได้เร็วขนาดนี้ แต่ระหว่างที่มัวแต่ใส่ใจกับแผ่นหลังของเจ้าตัวเล็กตรงหน้า เขาก็ไม่ทันระวังประตูห้องที่อยู่ๆก็เปิดพรวดออกมา

             “เหวอ!!” ลีนัสวิ่งไปชนคนที่เปิดประตูออกมาเต็มๆแล้วก็กระเด็นกลับไปนั่งกองกับพื้น

             “อา...ขอโทษ เจ้าเป็นอะไรไหม” พอเงยหน้าขึ้นมองไปที่คู่กรณี ก็เห็นแววตาคมคายสีน้ำเงินเข้มทอดมองลงมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ

            “อ๊ะ ท่านดาวิส!! ขออภัย เป็นอะไรไหมขอรับ” ลีนัสรีบเอ่ยขอโทษเอายกใหญ่ เอาให้อีกฝ่ายขำออกมาเบาๆ

            “ข้าน่ะไม่เป็นอะไรหรอก ห่วงตัวเองก่อนดีไหมลีนัส ลุกขึ้นมาก่อนมา” ดาวิสว่าพลางยื่นมือส่งให้ ลีนัสลังเลเพราะเกรงใจอีกฝ่ายแต่ถ้าปฏิเสธไปก็ดูจะทำร้ายน้ำใจเกินไป จริงเอื้อมมือออกมาจับมือหนาที่ยื่นมาหา พอจับมั่นแล้วดาวิสก็ช่วยออกแรงดึงเขาขึ้นมา

               “..!!” แรงดึงที่มากเกินไปทำให้ลีนัสเซเข้าไปพิงร่างหนาที่รีบยกมืออีกข้างขึ้นมารับไว้ได้ทัน

              “...ขอโทษ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเบาขนาดนี้” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาจากข้างหู ทำเอาลีนัสรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมานิดๆที่แก้มจึงรีบผละตัวออกมา

             “...มะ ไม่เป็นไรขอรับ ขอบคุณ” ลีนัสผละตัวเองออกมาแล้วก้มหัวขอบคุณ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-12-2015 14:14:28 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ pattyyaoi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Libra's Heart (Act 3 part1/2)
«ตอบ #6 เมื่อ28-08-2015 18:23:11 »

ขำ นิยายไม่ต้องสร้างสารบัญ 5555555555

สนุกดีค่ะ อ่านเพลินๆดี รอติดตามเรื่อยๆนะคะ  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act 3 part1/2)
«ตอบ #7 เมื่อ29-08-2015 20:17:52 »

Act 3: The demon (2/3)


               “ว่าแต่ เจ้าจะรีบวิ่งไปไหนเหรอ”

               “...ข้าวิ่งตาม...ซีมัสน่ะขอรับ” ลีนัสไม่อยากจะบอกเหตุผลเท่าไหร่นัก เพราะไม่อยากจะให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดที่ดันเปิดประตูออกมาขวาง ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ดาวิสรีบปิดประตูห้องแล้วหันไปมองที่ทางเดินข้างหลังที่ตอนนี้เงียบกริบ ไม่เหลือร่องรอยของซีมัสแต่อย่างใด

                 “เอ่อ.............ข้าขอโทษจริงๆ ข้าจะช่วยเจ้าหานะ” ดาวิสหันกลับมายิ้มแห้งๆให้กับลีนัส

               “ไม่เป็นไรขอรับ ข้าหาเองได้ขอรับ ข้าไม่กล้ารบกวนเวลาท่านหรอกขอรับ” ลีนัสรีบปฏิเสธกลับไปด้วยความเกรงใจ

               “เจ้านี่ขี้เกรงใจจริงๆ วันนี้ข้าหมดธุระแล้ว กำลังไม่รู้จะทำอะไรต่อพอดีเลย มา หาซีมัสกัน” ดาวิสตัดสินใจเรียบร้อยก็เดินนำหน้าไปก่อนแล้วกวักมือเรียกลีนัสให้ตามมา

               “...ขอบคุณขอรับ” ลีนัสเดินตามไปเงียบๆ เขาไม่คุ้นเคยกับอะไรหลายๆอย่างในนี้ เขาเพิ่งได้เข้าออกที่ว่าการเจ้าเมืองมาไม่กี่วัน สิ่งที่สร้างความหนักใจให้กับเด็กหนุ่มที่ไม่คุ้นชินกับการมีตำแหน่งต่างๆในที่แห่งนี้ คือการวางตัวที่ถูกต้องเหมาะสม เขาพยายามทำตัวให้นอบน้อมที่สุดเพื่อจะได้ไม่สร้างปัญหาใดๆ

              “นี่ข้าไม่คิดว่าจะได้เห็นเจ้ารีบวิ่งแบบนี้นะเนี่ย ตกใจหมดเลย”

            “...มันน่าตกใจขนาดนั้นเลยหรือขอรับ” ลีนัสไม่รู้ว่าภาพลักษณ์ของตนที่ปรากฏต่อดาวิสจะเป็นแบบไหน อีกฝ่ายถึงได้พูดแบบนั้น

             “ก็ข้าเห็นเจ้าเป็นคนดูนิ่งๆเงียบๆ ไม่รู้ว่าลีบลาเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดรึเปล่า ข้าก็ไม่เคยเห็นท่านเฮมิสตื่นตกใจกับปัญหาใหญ่ๆ เหมือนรู้อยู่แล้วทุกอย่างอย่างไงอย่างนั้น ข้าเลยแปลกใจที่เห็นเจ้าวิ่งชนข้าแบบนั้นได้”

            “ขออภัยขอรับที่เป็นลีบลาที่ลุกลี้ลุกลน ข้าไม่ได้ตั้งสมาธิสื่อสารกับภูติได้ตลอดเวลาเหมือนท่านเฮมิส” ลีนัสนึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจ ดาวิส เห็นท่าทางของเด็กหนุ่มที่ดูสำนึกผิดตรงหน้าแล้วก็อดไม่ได้ ที่จะยกมือขึ้นมาลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

           “ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าแค่แปลกใจ ที่เจ้าดูผิดไปจากวันที่เจ้าเข้าไปช่วยซีมัสวันนั้น เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง ทำตัวเป็นเด็กๆบ้างจะเป็นไรไป”
 
             “ท่านดาวิสอยู่ตรงนั้นด้วยหรือขอรับ” เด็กหนุ่มหันไปเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

             “ก็ใช่น่ะสิ ตอนที่คานบ้านตกลงมาข้าลุ้นแทบแย่ ข้าถามจริงๆเถอะ นี่เจ้ารู้อยู่แล้วรึเปล่าว่าจะมีภูติเข้ามาช่วย”

             “....เปล่าขอรับ ข้าไม่คิดว่าคานจะตกลงมา…” คำตอบของลีนัสทำให้ดาวิสหยุดฝีเท้าลงกระทันหัน คิ้วหนาขมวดเข้าหากันทันที

               “.....เจ้านี่มัน...” ลีนัสรู้สึกเหมือนกำลังจะโดนดุขึ้นมาก็ทำหน้าสำนึกผิดออกมาเสียก่อน แต่อีกฝ่ายก็แค่ถอนหายใจออกมาแล้ววางมือลงบนไหล่ตัวเองเบาๆ

               “...วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะรู้ไหม” นัตย์ตาสีน้ำเงินเข้มฉายแววความไม่พอใจแต่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทำให้คนที่ถูกดุรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมาที่กลางอก

              “....ขอรับ” เด็กหนุ่มตอบรับกลับไปเสียงแผ่วเบา เขาไม่คุ้นชินกับการที่มีคนอื่นนอกเหนือจากคนในครอบครัว แสดงความเป็นห่วงตัวเขาแบบนี้

               “อ้าว!! ซีมัส” ดาวิสร้องขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจทำให้ลีนัสต้องรีบหันไปมองข้างหน้า เห็นเด็กชายตัวเล็กเดินตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

            “...ท่านพี่...ข้าขอโทษ” ซีมัสเดินมาถึงก็โผเข้ามากอดเอวพี่ชายไว้แน่น

             “เป็นอะไรไปซีมัส” ลีนัสถามพลางลูบหัวเด็กชายตัวเล็กอย่างอ่อนโยน

               “ยิ่งข้าดื้อท่านพี่ก็ยิ่งโดนนินทา ข้าขอโทษขอรับ”

                “อ้อ” ลีนัสร้องขึ้นมาสั้นๆแล้วก็ขำออกมา ทำให้ดาวิสเลิ่กคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

                “นี่ยอมกลับมาเพราะไม่อยากให้คนอื่นนินทาข้าน่ะเหรอ เจ้านี่น่ารักจริงๆ” ลีนัสว่าพลางขยี้ผมนุ่มของเด็กชายอย่างเอ็นดู

               “ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านพี่เดือดร้อน ข้าจะไม่ทำให้ท่านพี่ต้องรบกวนเวลาท่านดาวิส จะได้ไม่โดนคนอื่นนินทาอีก” เมื่อซีมัสพาดพิงถึงดาวิสขึ้นมา มือที่ขยุ้มผมของซีมัสก็นิ่งไป

                “ซีมัส...คำนินทามันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนหรอกนะ”

               “...ดูเหมือนข้าจะมีส่วนผิดตรงนี้สินะ” ดาวิสพึมพำออกมา

               “ไม่ใช่อย่างนั้นนะขอรับท่านดาวิส…” ลีนัสรีบแก้ความเข้าใจของอีกฝ่ายเสียใหม่ ดาวิสเห็นว่าลีนัสดูเดือดร้อนขึ้นมากลับคลี่ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี

                  “ถ้าอย่างนั้น ข้าพาไปเลี้ยงขนมไถ่โทษก็แล้วกัน”

                 “ขอรับ ?” ข้อสรุปของดาวิสทำลีนัสประหลาดใจ

                 “กินขนม!! ไปกันเลยใช่ไหมขอรับ” ซีมัสที่เมื่อครู่เพิ่งจะกังวลว่าไม่ควรจะดึงเวลาของดาวิสไป กลับร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น ปล่อยมือออกจากพี่ชายแล้ววิ่งนำหน้าไปก่อนทันที

                  “...ท่านไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้ขอรับ” ลีนัสเอ่ยออกมาด้วยความเกรงใจ

                 “ไปกันรึยังๆ” ซีมัสหันกลับมาถามย้ำอย่างตื่นเต้น ดาวิสหันไปมองที่ซีมัสทีหนึ่ง แล้วก็หันมายิ้มกว้างให้ผู้ที่เป็นพี่ชายของเจ้าตัว

                 “ดูเหมือนว่าจะจำเป็นแล้วล่ะ”









                    ร้านขนมร้านเล็กๆที่มีกลิ่นแป้งกลิ่นเนยผสานกับกลิ่นชา โชยหอมหวนไปทั้งร้าน ทั้งเค้กและคุ๊กกี้หน้าตาต่างๆวางเรียงรายอยู่ในถาดละลานตาไปหมด ทำให้ซีมัสที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสเข้าร้านขนมแบบนี้รู้สึกตื่นเต้นจนลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไปสนิท

              “เท่ากับว่าซีมัสได้ยินทุกอย่างที่คนรอบๆพูดสินะ” ดาวิสเอ่ยขึ้นนั่งจิบชาอย่างใจเย็น มองดูซีมัสที่กำลังเอาส้อมจิ้มขนมเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

                 “ถ้ารอบๆเงียบพอก็ได้ยินชัดเจนขอรับ” ลีนัสเอ่ยเสริมขึ้นมาขณะที่ซีมัสพยักหน้าตอบรับ

                  “ถ้างั้นก็คงได้ยินคนเรียกเจ้าว่าเป็นลูกปีศาจอยู่บ่อยๆสินะ” ดาวิสเข้าประเด็นตรงๆ ทำให้ลีนัสหันไปมองหน้าคนพูดด้วยความประหลาดใจทีหนึ่ง แล้วก็หันไปมองปฏิกิริยาของซีมัสที่นั่งอยู่ข้างๆ เด็กน้อยพยักหน้ารับช้าๆ

                   “นี่เป็นความจริงที่ต้องยอมรับว่าเจ้าไม่เหมือนคนอื่นนะซีมัส เจ้าเองก็ด้วยนะลีนัส เจ้าจะเลี่ยงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้หรอก ที่ถูกเรียกเจ้าว่าปีศาจเพราะคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจก็กลัวเจ้าเท่านั้นแหละ ถ้าเจ้าเป็นเด็กดีทำตามที่พี่เจ้าบอก ไม่นานคนก็จะเข้าใจเจ้ามากขึ้น เชื่อข้าสิ” ดาวิสอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มๆพร้อมด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน

                     “ข้าว่าถูกเรียกว่าปีศาจมันเท่ห์ดีออก ไม่คิดว่าอย่างนั้นเหรอ” ดาวิสหันมาขอความเห็นลีนัสที่นั่งนิ่งกระพริบตาปริบๆอย่างไม่เข้าใจ

                    “...ยังไงขอรับ”

                “ก็แปลว่าเจ้าเหนือกว่าคนอื่นน่ะสิ แต่จะไปในทางที่ดีหรือร้ายมันก็ขึ้นอยู่ที่การกระทำของเจ้าเองทั้งนั้นแหละ ว่าไหม”

                “อ้อ!” ซีมัสร้องออกมาอย่างเข้าใจแฝงน้ำเสียงตื่นเต้นมองดูผู้พูดตาเป็นประกาย ลีนัสเองเผลอนั่งมองใบหน้าคมคายของดาวิสอย่างชื่นชมอยู่เช่นกัน กระทั่งแววตาคมสีน้ำเงินเข้มเคลื่อนมาสบมองกลับมา ลีนัสก็รีบหลบสายตากลับลงมา ทำเป็นยกแก้วชาที่เหลือแค่ก้นแก้วขึ้นมาจิบแก้เก้อ โดยที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำแบบนนั้นทำไม

               “แต่มีคนว่าท่านพี่ว่าทำอะไรไม่ได้สักอย่าง อ่อนแอ ไร้ประโยชน์ด้วยนะขอรับ” ซีมัสพูดโพล่งออกมา ทำให้ลีนัสรู้สึกเหมือนโดนมีดเล่มเล็กๆหลายเล่มแทงเข้าที่หัวใจ ก็ไม่ใช่ว่าที่ซีมัสพูดมาจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมดแต่ก็มีส่วนที่จริงอยู่บ้าง เพราะเขายังไม่คุ้นชินกับระบบงานข้างใน บางครั้งก็ทำอะไรแปลกๆลงไปบ้าง คิดถึงข้อผิดพลาดที่ผ่านๆมาทำให้เด็กหนุ่มวางแก้วชาลงแล้วยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเอง ดาวิสเห็นปฏิกิริยาของผู้ที่ถูกพูดถึงก็ขำออกมาเบาๆ

                  “เจ้าก็พยายามเข้านะลีนัส”

                    “....ขอรับ” ลีนัสตอบกลับมาเสียงแผ่วๆ

                   “ใจเย็นๆน่าลีนัส อายุเท่าเจ้าข้ายังไม่เริ่มทำงานเลย เจ้าไม่ต้องคิดมาก” ดาวิสเอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่ายเพื่อปลอบใจเบาๆ ทำให้ลีนัสรู้สึกอุ่นๆที่แก้มขึ้นมา

                     “ว่าแต่มีใครพูดถึงข้าบ้างไหมซีมัส” ดาวิสหันไปถามเด็กน้อยอย่างอารมณ์ดี

                     “มีเยอะเลยขอรับ...แต่ข้าไม่เข้าใจหลายอย่าง บอกว่าท่านไม่ต้องพยายามอะไรมากเหมือนคนอื่น” ซีมัสเอ่ยตอบมาตรงๆอย่างไม่คิดอะไรมาก

                     “ซีมัส...เจ้าไม่ต้อง” ลีนัสรีบเงยหน้าขึ้นมาปรามน้องชายไม่ให้พูดต่อ แต่คนที่ถูกพูดถึงกลับคลี่ยิ้มขึ้นมา

                   “ใช่แล้ว ข้าไม่ต้องพยายามอะไรมากเพราะท่านพ่อข้าจัดไว้ให้หมดแล้ว ตำแหน่งการงานหน้าที่ข้าถูกวางไว้หมดแล้ว ไม่ต้องไปแข่งกับใคร ต้องมีคนพูดถึงอยู่แล้วเจ้าไม่ต้องห่วงหรอกลีนัส เรื่องนี้ข้ารู้ดี” ดาวิสเล่าให้ฟังเหมือนไม่ใช่เรื่องอะไรที่ต้องใส่ใจ

                  “ข้าเองก็ต้องพยายามต่อไปเหมือนกัน แต่บางทีถึงเจ้าจะพยายามมากแค่ไหนแล้วก็ตาม ยังไงก็ต้องมีเสียงแบบนี้แว่วเข้ามาให้ได้ยินอยู่ดี ถ้ามัวแต่ไปฟังเสียงพวกนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรพอดี คราวหน้าเจ้าก็ปล่อยผ่านไปเถอะ ไม่ต้องบอกพี่ชายเจ้าหรอก เข้าใจไหมซีมัส” ดาวิสหันไปอธิบายให้เด็กน้อยฟัง เจ้าตัวก็พยักหน้ารับกลับมาอย่างว่าง่าย

                  “เอาล่ะ เริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวพระอาทิตย์จะตกเสียก่อน อร่อยไหมซีมัส” ดาวิสเอ่ยถามขึ้น

                 “อร่อยขอรับ ขอบคุณมากขอรับท่านดาวิส” เด็กน้อยตอบกลับเสียงฉะฉาน

                  “ท่านดาวิส...ขอบคุณมากนะขอรับ” ลีนัสเพิ่งจะเข้าใจเหตุผลที่อยู่ๆดาวิสก็ชวนมากินขนม เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเห็นว่าเขากำลังมีปัญหาในเรื่องนี้กับซีมัสอยู่ ถึงได้ชวนมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้

                   “อื้ม ไว้มาอีกก็ได้นะ” ดาวิสว่าพลางลุกขึ้นยืนเตรียมตัวเดินออกจากร้าน ลีนัสก็ลุกขึ้นแล้วเดินตามไปดึงชายแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้เบาๆ

                 “ท่านดาวิส ข้าหมายถึงเรื่องซีมัส ขอบคุณมากนะขอรับ” ดาวิสหันกลับมามองที่เจ้าของมือที่รั้งชายแขนเสื้อของตน ก็สบตาเข้ากับนัยน์ตาสีเพลิงที่ช้อนมองขึ้นมาของเด็กหนุ่มที่ดูเคอะเขิน จะด้วยความขี้เกรงใจของเจ้าตัว หรือเพราะไม่มั่นใจในการวางตัวของเจ้าตัวก็ตาม แววตากลมโตคู่นั้นสะกดให้ดาวิสลืมหายใจไปชั่วขณะ

            “.....อ้า ไม่เป็นไรๆ มีอะไรให้ช่วยอีกก็บอกแล้วกัน” ทันทีที่เรียกสติตัวเองกลับมาได้ ดาวิสก็รีบเอ่ยตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ปั้นขึ้นกลบเกลื่อนความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อครู่

         “เดินกลับบ้านกันดีๆล่ะ ข้าขอตัวก่อน” เมื่อเดินออกมาถึงหน้าร้าน ดาวิสก็รีบปลีกตัวเดินจากไป   















         ตกเย็นสองพี่น้องก็เดินจูงมือกันกลับบ้านเหมือนขามา แต่เด็กชายตัวน้อยเลิกสนใจสายตาและคำพูดของคนรอบข้างไปแล้ว ในใจเขามีแต่แบบทดสอบมากมายที่เฮมิสและลีนัสช่วยกันคิดออกมาเพื่อสอนเขา ทั้งยังขนมอร่อยๆที่ได้กินวันนี้อีก ซีมัสเดินจับมือพี่ชายพลางกระโดดไปกระโดดมาสลับกันอย่างร่าเริง ลีนัสเห็นเช่นนั้นก็สบายใจ พลางคิดในใจว่าคิดถูกแล้วที่รับซีมัสเข้ามาในชีวิต

        เด็กหนุ่มกำลังคิดอยู่ในใจว่ากลับไปถึงบ้านแล้วจะเล่าเรื่องไหนให้แม่ฟังก่อนดี พลันใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มเมื่อครู่ก็ผุดขึ้นมา ทำให้ร่างบางหยุดนิ่งไปแล้วสะบัดหัวตัวเองเบาๆ เพื่อจะสลัดภาพนั้นออกไป
     

     "มีอะไรขอรับท่านพี่" ซีมัสเอ่ยถาม คำเรียกที่เด็กน้อยเปลี่ยนวิธีเรียกใหม่ทำให้ลีนัสคลี่ยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ

     "ไม่มีอะไรหรอก เดินต่อเถอะ" ลีนัสเดินไกวมือน้อยๆของน้องชายไปตามทางอย่างมีความสุข

     แต่เมื่อทั้งสองเดินมาถึงบ้านก็ต้องประหลาดใจกับภาพที่เห็น ข้าวของข้างในบ้านกระจุยกระจายไปหมด มีอเล็กซ์ที่นั่งตาบวมปากบวมอยู่บนโต๊ะกินข้าว นอร่ากำลังป้ายยาให้ตามแผลที่มีอยู่เต็มตัวไปหมด

     "....เกิดอะไรขึ้นขอรับ"

     "....พ่อเจ้ากลับเข้ามาเมื่อครู่นี้ ใช้เงินหมดอีกแล้ว เลยมาเอาเพิ่ม" นอร่าเอ่ยออกมาเรียบๆพลางป้ายยาลงบนบาดแผล

     "....มาอีกแล้วเหรอ" ลีนัสขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงความรังเกียจออกมา ลีนัสไม่เคยมีความทรงจำที่ดีกับบิดาของตนเลยสักนิดเดียว ตั้งแต่จำความได้พ่อก็ทำร้ายแม่มาตลอด จนวันนึงที่ลีนัสเรียนรู้ที่จะใช้เวทย์เป็น และกลายเป็นลีบลา เขาก็ไล่พ่อของเขาออกจากบ้านไปได้สำเร็จ โดยจากไปพร้อมสบถว่าลูกชายว่าเป็นลูกปีศาจ ทว่านานๆทีเขาก็ยังจะกลับเข้ามาเมื่อไม่มีเงินใช้

    "ท่านอเล็กซ์กลับเข้ามาจากงานพอดี เลยช่วยแม่ไว้น่ะ..."

    "ขอโทษทีข้าช่วยอะไรได้ไม่ค่อยมากเท่าไหร่ พ่อเจ้าได้เงินไปอยู่ดีนั่นแหละ" อเล็กซ์เสริมขึ้นมาด้วยเสียงอู้อี้ๆ ลีนัสคลี่ยิ้มจางๆแล้วส่ายหัวกลับมา

    "ขอบคุณท่านมากขอรับ ถ้าไม่ได้ท่านแม่ข้าอาจจะเจ็บกว่านี้" ลีนัสเดินเข้ามาแตะมือเบาๆที่หางตาของอเล็กซ์ แสงสีเขียวอ่อนสว่างวาบขึ้นมารอยบวมก็ค่อยๆยุบหายไป ทำให้เจ้าตัวเลิ่กคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ

    "ท่านพ่อหน้าหายบวมแล้ว" ซีมัสร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

    "สุดยอดเลยท่านพี่ สอนข้ามั่งสิ" ลีนัสขำออกมาเบาๆในความใสซื่อของซีมัส

    "ลูกท่านก็สุดยอดจริงๆนั่นแหละ" อเล็กซ์เอ่ยชมลีนัสให้นอร่าฟัง

    "...ขอบคุณขอรับ" ลีนัสนึกถึงพ่อแท้ๆของตนที่ตอนนี้ต้องว่าเขาว่าเป็นลูกปีศาจแน่ๆถ้าเห็นเขาทำแบบนี้

    "ไม่สิ ข้าต่างหากต้องขอบคุณเจ้า...ตรงนี้ แม่เจ้าป้ายยาให้ข้าแล้วเดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องลำบากเจ้าหรอก" อเล๊กซ์ยกมือขึ้นหยุดลีนัสที่จะเลื่อนมารักษาแผลที่มุมปากไว้ พลางเคลื่อนสายตาไปมองนอร่า ลีนัสก็หันไปมองตาม อยู่ๆมารดาก็หน้าแดงขึ้นมาแล้วหลบหน้าไปทำทีเป็นเก็บข้าวของที่รกกระจัดกระจายอยู่แทน ลีนัสเห็นเช่นนั้นก็พอจะเข้าใจ เขาอมยิ้มออกมาแล้วปล่อยแผลเอาไว้อย่างนั้น ก่อนจะเดินออกมาช่วยมารดาเก็บข้าวของ

    "ซีมัสมาช่วยพี่หน่อยม่ะ"

    "ขอรับ" เด็กชายตอบรับเสียงใสแล้ววิ่งไปหาพี่ชายทันที ลีนัสรู้สึกว่าบ้านหลังเล็กๆนี่อบอุ่นและมีความสุขมากขึ้นมาทีละนิดๆ





     เวลาผ่านไปซีมัสเริ่มควบคุมพลังของตัวเองได้มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับร่างกายของเด็กชายที่เติบโตขึ้นตามกาลเวลา บ้านหลังเล็กที่นอนเบียดกันสี่คนเริ่มจะอึดอัดขึ้น อเล็กซ์จึงจัดการซ่อมบ้านหลังเก่าของตนและต่อเติมเพิ่มจนสำเร็จ ย้ายสมาชิกทุกคนเข้ามาใหม่ บ้านหลังใหม่แบ่งห้องนอนเป็นสองห้อง แบ่งเป็นห้องของลีนัสกับนอร่า และห้องของอเล็กซ์กับซีมัส แต่ยิ่งซีมัสออกไปไหนมาไหนกับลีนัสมากเข้า ตกดึกก็เริ่มแอบหนีมานอนกับลีนัสเป็นประจำ แล้วยิ่งตัวใหญ่ขึ้นที่นอนก็ยิ่งอึดอัดขึ้น จนวันนึงอเล็กซ์ก็รวบรวมความกล้า เสนอให้แบ่งเป็นห้องเด็กกับห้องผู้ใหญ่แทน ซึ่งก็ไม่มีใครคัดค้านใดๆ

     "ท่านพ่อ" วันนึงที่ซีมัสเอ่ยเรียกนอร่าว่าท่านแม่ อเล็กซ์ยังไม่รู้สึกเคอะเขินเท่ากับวันที่ลีนัสเรียกเขาว่าพ่อวันนี้ ทำให้ผู้ที่ถูกเรียกหน้าแดงขึ้นมา ลีนัสเห็นเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มขี้เล่นออกมา

     "ฝากท่านแม่ด้วยนะขอรับ" เด็กหนุ่มเอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกจากบ้านพร้อมซีมัสที่ตอนนี้ตัวสูงเกือบจะเกินไหล่ของเขาแล้ว จากที่เมื่อก่อนสูงเพียงแค่เอว

     วันเวลาผ่านไปจนถึงตอนนี้เกือบสองปี ซีมัสไม่ได้เผลอใช้พลังของภูติเลยแม้แต่ครั้งเดียว ชาวบ้านที่เมื่อก่อนมองสองพี่น้องคู่นี้เดินผ่านด้วยความระแวดระวัง ก็ปรับชินและเอ่ยทักทายได้อย่างปกติ และยิ่งเมื่อเฮมิสตัดสินใจให้ลีนัสเป็นผู้ช่วยเต็มตัว เขาก็ต้องใส่เครื่องแบบของลีบลาสีขาวไปทำงาน ทำให้ชาวบ้านเริ่มรู้จักและทักทายเขามากขึ้น มีเรื่องไหว้วานให้ช่วยเหลือมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น

     ซีมัสทำให้อะไรหลายๆอย่างในชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เขาได้งานที่ดี และครอบครัวที่อบอุ่น ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี กระทั่งเย็นวันหนึ่งที่เขากำลังเดินทางกลับบ้านพร้อมกับน้องชาย สายตาไปสบเข้ากับชายที่เขาไม่อยากจะเห็นหน้ามากที่สุดในชีวิต พ่อแท้ๆของเขา

     "เฮ้ ลีนัสนี่นา เป็นไงบ้างไอ้ลูกชาย" ชายร่างสูงหนวดเครายาวเฟิ้มเดินเข้ามากอดคอลูกปีศาจของเขาอย่างสนิทสนม กลิ่นเหล้าลอยเข้ามาตีจมูกลีนัสทันทีที่เข้าใกล้ ซีมัสที่ยืนอยู่ไม่ห่างขมวดคิ้วมองด้วยความระแวงสงสัยแล้วเข้าไปจับมือพี่ชายตัวเองแน่น

     "ได้ข่าวว่าเป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองแล้วหนิ น่าภูมิใจจริงๆแบบนี้ต้องไปฉลองกันหน่อย"

     "ข้าเป็นผู้ช่วยมาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะมายินดีกับข้าอย่างนั้นเหรอ เดี๋ยวหยุดก่อน จะพาข้าไปไหน!!" ชายขี้เมาไม่พูดเปล่า ดึงกึ่งกระชากข้อมือบางให้เดินตามไปแต่โดยดี จนเข้ามาถึงร้านเหล้าที่อยู่ในมุมมืดของซอยลึกๆซอยหนึ่ง พอเปิดม่านที่กั้นร้านเข้าไปก็พบกับบรรยากาศสีแดงจากโคมไฟที่ประดับในร้าน มีกลิ่นเหล้ากลิ่นยาสูบลอยคละคลุ้งไปทั่ว มีหญิงสาวแต่งตัวเย้ายวนเดินไปเดินมาอยู่ในร้าน ลีนัสรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ร้านเหล้าธรรมดาที่จะควรจะพาเด็กอย่างซีมัสเข้ามา

    "เฮ้เดฟ ว่าไงเด็กนั่นเป็นใครน่ะ หน้าตาดีเชียว" เจ้าของร้านเอ่ยทักทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีถูกลูกค้าประจำพาเข้ามา

    "ลูกชายข้าเอง ตอนนี้เป็นถึงผู้ช่วยเจ้าเมืองแล้วนะ เจ๋งไหม" เดฟอวดบุตรชายออกนอกหน้านอกตา ตั้งแต่เกิดมาลีนัสไม่เคยได้ยินพ่อตัวเองเอ่ยชมเขาสักครั้ง ทว่าครั้งนี้เขาอยากจะมุดหน้าแทรกแผ่นดินหนี ไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าคนๆนี้คือพ่อของเขา

     "ฮ้า ไม่เหมือนเจ้าเลยสักนิดนะ"

     "ใช่ ได้จากแม่มาหมด" พูดขึ้นพลางมือช้อนคางมนของลูกชายขึ้นพินิจมอง แล้วมาหยุดที่แววตาสีเพลิงที่จ้องมองเขากลับมาอย่างโกรธเคือง

     "ดื้อก็ดื้อเหมือนแม่ไม่มีผิด"

     "แล้วอีกคนนึงล่ะ" เจ้าของร้านหันไปมองซีมัสที่ยืนจับมือพี่ชายไม่ยอมปล่อย ทำตาขวางกวาดตามองไปรอบๆร้าน

     "หึม ไม่รู้เหมือนกันมาได้ไง" เดฟไม่รู้จริงๆว่าซีมัสติดมาด้วย

     "ช่างเหอะ เอาเป็นว่าวันนี้ข้าพาลูกชายมาฉลอง จัดเหล้ากับผู้หญิงมาเลย" เดฟกำลังจะลากลีนัสเข้าไปในร้าน

     "เฮ้ จะดีเหรอ เค้าว่าเป็นลีบลาต้องบริสุทธิ์เป็นผ้าขาวมิใช่เหรอ" ลีนัสไม่เข้าใจว่าความเชื่อพวกนี้มันมาจากไหนกัน แต่ดูแล้วก็ไม่ได้จริงจังอะไรขนาดนั้น น่าจะพูดเอาสนุกไปอย่างนั้น

     "เดี๋ยวนะ แปลว่าเจ้ายังบริสุทธิ์อยู่น่ะสิ นี่เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วน่ะ สิบหกได้ไหม"

      "กำลังดี จริงๆมันก็แค่ข่าวลือนะ ถ้าอยากได้ประสบการณ์ ข้ายินดีช่วยนะ" เจ้าของร้านเสนอตัวขึ้นมาพร้อมสงสายตาให้อย่างมีความหมายแฝง ทำลีนัสโกรธขึ้นมาสะบัดมือหลุดจากพ่อของตน

      "ปล่อยข้าซะที ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นพวกเจ้า แล้วก็ไม่ใช่ลูกเจ้าด้วย!!" ลีนัสหันกลับจะเดินออกไปจากร้าน แต่ท่อนแขนเขาถูกคว้าเอาไว้แล้วผลักชิดกำแพง

      "เอวบางร่างน้อย เรี่ยวแรงไม่มีเหมือนแม่มันเป๊ะ ผู้หญิงคงไม่เหมาะกันเจ้าจริงๆ" มือแกร่งของเดฟยกขึ้นบีบคอลูกชายตัวเองด้วยความโกรธ ซีมัสเห็นเช่นนั้นก็จับท่อนแขนแกร่งของเดฟให้ปล่อยลีนัสออก

     "ปล่อยพี่ข้าเดี๋ยวนี้นะ" เดฟปัดร่างเด็กชายกระเด็นออกมากระแทกเข้ากับผนังอีกฝั่งอย่างแรง

     "ซีมัส!!" ลีนัสร้องออกมาอย่างตกใจ ทั้งกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไร และกลัวว่าจะใช้พลังของภูติออกมา

     "พี่เจ้าอย่างนั้นเหรอ นี่นังแพศยานั่นแอบไปมีลูกโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่" เดฟหันกลับมาถามลีนัสที่ตัวเองกุมคอบางไว้ใมือ

     "เจ้าไม่มีสิทธิ์ มาว่าแม่ข้าแบบนี้" ลีนัสยกมือขึ้นทาบไหล่ของเดฟแล้วใช้เวทย์ลมผลักให้ร่างใหญ่กระเด็นออกไปชนโต๊ะรับแขกฝั่งตรงข้าม ลีนัสรีบทรุดลงไปดูซีมัสที่กำลังหายใจหนักๆรัวๆอยู่

     "เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม" โดยรวมแล้วซีมัสไม่ได้มีบาทแผลอะไรรุนแรง แต่ที่หายใจถี่ๆอยู่ เพราะกำลังห้ามไม่ให้ตัวเองกลายร่างอยู่ต่างหาก

     "เก่งมากซีมัส มองข้านะ หายใจเข้าช้าๆลึกๆ" อยู่ๆซีมัสกลับหายใจถี่หนักกว่าเดิม เพราะเห็นเดฟเดินเข้ามาหาลีนัสจากข้างหลังแล้วลากคอเสื้อลีนัสให้ลุกขึ้น

     "เจ้ามีสิทธิ์อะไรทำกับพ่อเจ้าแบบนี้" เดฟง้างหมัดขึ้นมาเตรียมจะซัดเข้าที่หน้าแต่ก็ต้องหยุดชะงักไป เมื่อสัมผัสได้ถึงคมดาบที่แตะมาที่ต้นคอของตน

     "เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำอะไรแบบนี้กับใครทั้งสิ้นนั่นแหละ" เสียงทุ้มที่คุ้นเคยของผู้ที่เข้ามาช่วยทำให้ลีนัสหันไป ก็พบกับแววตาสีน้ำเงินเข้มของดาวิสจ้องมองเดฟอย่างเย็นชา พอเจ้าตัวรู้ว่าลีนัสหันมามองก็เคลื่อนแววตามาสบมองกลับไปอย่างอ่อนโยน

      "เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม"

      "อื้ม ขอบคุณท่านดาวิส" ลีนัสเอ่ยขอบคุณแล้วปัดมือของพ่อตัวเองออก เดินกลับไปดูซีมัส

      "ท่านเจ้าหน้าที่ถือดาบแบบนี้ก็มีสิทธิ์ทำอะไรได้ทั้งนั้นแหละ" เดฟพูดประชดขึ้นมา ดาวิสจึงปัดหางตากลับไปมองที่คู่กรณีอีกครั้ง ก่อนจะชักดาบเก็บเข้าฟักอย่างใจเย็น เดฟถือโอกาสนั้นพุ่งมัดเข้าหาดาวิสทันที ชายหนุ่มขยับหลบพร้อมศอกกลับเข้าที่หน้า และจับที่หลังหมัดของอีกฝ่ายแน่น พลิกข้อมือหงายกลับ ทำให้ร่างใหญ่ของชายฉกรรจ์ต้องบิดตามไปด้วยความเจ็บปวด

     "ได้ยินว่านี่พ่อเจ้าเหรอ" ดาวิสหันไปถาม ลีนัสส่ายหัวกลับมาเบาๆ

      "แค่ขี้เมาคนนึงขอรับ"

      "ดี" ดาวิสเตะข้อเท้าเดฟล้มลงกดแผ่นหลังแล้วบิดข้อมือของเขาดังกร๊อบออกมาเบาๆ ตามด้วยเสียงร้องโอดครวญดังสนั่นร้าน

      "อ๊าาาากกกกกกก" ดาวิสขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์

      "....หนวกหูชมัด" ชายหนุ่มบ่นออกมาก่อนจะเดินออกไปนอกร้านครู่หนึ่ง กลับมาพร้อมกับลูกน้องตัวเองอีกสองคน

      "เอาไปขังไป จะได้ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนอีก" นายทหารสองคนจัดการหิ้วปีกเดฟออกไปในทันที

      "เดี๋ยวนะ เจ้าไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าข้าจะเอาไปขัง" ดาวิสหยุดลูกน้องทั้งสองคนไว้ก่อน ผู้เป็นพ่อก็ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากลูกชายขึ้นมาทันที ลีนัสชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยตอบกลับไป

     ".....ถ้าไม่ลำบากอาหารที่คุมขังเกินไปก็รบกวนด้วยขอรับ" คำตอบนั้นทำมุมปากของดาวิสกระตุกขึ้นมา ก่อนจะส่งสัญญาณบอกลูกน้องให้หิ้วไปต่อ

      "ไอ้ลูกเนรคุณ!!" เดฟตะโกนทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะออกไป ทำให้ร่างบางถอนหายใจยาวออกมา ฝ่ามือแกร่งของอีกฝ่ายยกขึ้นมาตบบ่าของอีกฝ่ายเบาๆ

     "ไม่ต้องห่วงนะ ในนั้นเลี้ยงข้าววันละสามมื้อไม่มีขาดตกบกพร่อง" คำพูดติดตลกของอีกฝ่ายทำให้ลีนัสยิ้มจางๆออกมาได้ พลันก็นึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรไป ร่างบางหันควับกลับไปหาน้องชายตัวเองที่นั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

     


เกิน...ช่วยด้วย ขอไปแปะใส่ตอนหน้านะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2015 16:40:04 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act 3 2/2)
«ตอบ #8 เมื่อ31-08-2015 12:06:50 »

        Act 3 : Demon (3/3)


            "เป็นอะไรไหมซีมัส"

            ".....ไม่เป็นไรขอรับ" เด็กชายตอบเสียงเรียบๆพลางลุกขึ้นยืนเอง ลีนัสไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่านายทหารหนุ่มกลับเข้าใจได้ในทันที

          "ซีมัส ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วนะ"

          ".....เก้าขอรับ" ซีมัสไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆอีกฝ่ายถึงถามเรื่องอายุขึ้นมา

          "อื้ม กำลังดีเลย เข้ามาที่โรงฝึกทหารกับข้าดูไหมซีมัส" ดาวิสเสนอขึ้นมา ทั้งลีนัสกับซีมัสก็หันไปมองผู้พูดด้วยความประหลาดใจ

        "ได้ยินว่าเจ้าควบคุมพลังได้ดีพอสมควรแล้วหนิ เมื่อครู่เจ้าก็ทำได้ดี ข้าว่าน่าจะถึงเวลาที่เจ้าจะเป็นคนที่ปกป้องพี่เจ้าบ้างแล้วล่ะ ข้าจะถามท่านเฮมิสให้นะ เจ้าว่าไง" ดาวิสลูบหัวเด็กชายเบาๆ ซีมัสเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นประกายขึ้นมา

     "ท่านจะสอนข้าเหรอ" ดาวิสเห็นท่าทีของซีมัสก็คลี่ยิ้มออกมา

     "แน่นอน แล้วก็มีคนอื่นจะช่วยสอนเจ้าเยอะแยะเลย"

     "จริงๆนะขอรับ" เด็กชายถามย้ำอีกทีอย่างตื่นเต้น

      "อื้อ เจ้าจะได้ดูแลพี่ชายเจ้าแทนข้าตอนข้าไม่อยู่ได้ยังไงล่ะ" ลีนัสเข้าใจว่าดาวิสเอ่ยไปเพราะจะให้ซีมัสเห็นเป้าหมายในการไปฝึกฝน แต่ก็อดติดใจไม่คิดไม่ได้ ที่พูดเหมือนว่าการดูแลเขาเป็นหน้าที่ของดาวิส พอจะสลัดความคิดนั้นออกไปพลัน แววตาสีน้ำเงินเข้มก็หันมาสบมองเจ้าตัว

      "...ข้าว่าเราออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะขอรับ" ลีนัสหาเรื่องเลี่ยงสบสายคมของอีกฝ่าย ด้วยการเดินนำออกไปจากร้านก่อน ทำให้ร่างสูงคลี่ยิ้มออกมาจางๆก่อนจะชวนซีมัสเดินตามออกไป

      "ว่าแต่ท่านเข้ามาทำอะไรแถวนี้ขอรับ" ลีนัสเอ่ยถามขึ้นเมื่อเดินออกมาจากซอยแคบๆนั้น เห็นมีแต่ร้านเหล้าจำพวกนั้น เป็นจุดเสื่อมโทรมเล็กๆในเขตเมือง

      "ข้าไม่มีธุระอะไรในนี้หรอก แต่เห็นเจ้าโดนลากเข้ามาตั้งแต่ที่ถนนใหญ่แล้ว ถึงได้ตามเข้ามา คิดว่าข้าจะมีธุระอะไรแถวนี้งั้นเหรอ" ดาวิสถามอีกฝ่ายย้อนกลับไป

      "....ก็ไม่น่าจะมีน่ะสิขอรับถึงได้ถาม" ลีนัสทำหน้ายุ่งๆตอบกลับไป ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

      "ยังไงก็....ขอบคุณนะขอรับที่ตามเข้ามาช่วย แล้วยังจะเรื่องของซีมัสอีก" ลีนัสหันมาเอ่ยขอบคุณร่างสูงอีกครั้ง

     "ด้วยความยินดี อ้อแล้วก็ ถ้าเจ้ารู้สึกไม่สบายใจ อยากให้ข้าเอาเขาออกจากคุกเมื่อไหร่ก็บอกข้าได้นะ" ดาวิสตั้งใจจะเลี่ยงไม่พูดถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทำให้ร่างบางรู้ว่าอีกฝ่ายใส่ใจความรู้สึกของเขามากแค่ไหน

     "ขอบคุณขอรับ" เขาไม่รู้จะต้องเอ่ยขอบคุณอีกกี่ครั้งถึงจะครบทุกเรื่องที่ดาวิสทำให้ คิดขึ้นมาแบบนี้แล้วใบหน้าหวานก็แดงระเรื่อขึ้นมานิดๆ มือแกร่งของร่างสูงที่เดินอยู่ข้างปัดเฉียดมือเรียวบางไปมา อยู่ๆก็เอื้อมไปคว้ามือเรียวมากุมเอาไว้ ร่างบางสะดุ้งตกใจหันไปมองเจ้าของมือด้วยใบหน้าแดงก่ำ

     "ข้าว่างพอดี วันนี้ข้าเดินไปส่งพวกเจ้าที่บ้านละกัน"

     "..." เด็กหนุ่มไม่คิดว่าอยู่ๆอีกฝ่ายจะคว้ามือเขาไปจับไว้เช่นนั้น ร่างบางไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป ได้แต่หลับหูหลับตาพยักหน้าที่แดงก่ำไปอย่างว่าง่าย

     "ท่านพี่ ขนมปังร้านนี้น่ากินจังเลย แวะซื้อกลับไปที่บ้านได้ไหมขอรับ" ซีมัสที่เดินนำไปก่อนหันมาถามพี่ชายเมื่อเห็นขนมที่ตนอยากกิน ลีนัสตกใจรีบดึงมือตัวเองกลับ แต่ดาวิสกลับไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังเดินจูงมือเข้าไปหาซีมัสทั้งอย่างนั้นอีกต่างหาก

     "ไหนๆ ร้านนี้น่ะข้าแวะมาซื้อประจำแหละ จะบอกให้อันนี้อร่อยมากเลย ม่ะข้าซื้อกลับไปฝากแม่เจ้าด้วยละกัน" ดาวิสจับมือลีนัสเดินเข้ามาถึงในร้าน ค่อยยอมปล่อยมือของเขาออกเพราะจะเลือกขนมปังให้ซีมัส

     "เอ๋ ท่านดาวิสซื้อให้เหรอขอรับ ขอบคุณขอรับ ท่านพี่เอาอะไรไหม" เสียงซีมัสร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

     “....เจ้าเลือกเถอะซีมัส” ตอนนี้สมองของลีนัสไม่เหลือที่ว่างพอจะคิดเลือกขนมปังในร้านแม้แต่น้อย มีแต่คำถามมากมายเกี่ยวกับชายหนุ่มตรงหน้าพรั่งพรูเข้ามา เขาไม่แน่ใจวัตถุประสงค์ของดาวิสเท่าไหร่นัก แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้หัวใจของเขาเต้นรัวไม่เป็นจังหวะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน



End Demon (3/3)
บังเอิญจริงๆที่ตั้งแถมท้ายไว้ช่องนึง ไม่งั้นยัดบทที่เพิ่มมาลงไปไม่ได้ ดีใจน้ำตาจะไหล TT TT


แถมท้ายตอนที่ 3 ขำๆ



 :-[ พี่น้องคู่จิ้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-12-2015 14:15:54 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act 4 :1/3)
«ตอบ #9 เมื่อ08-09-2015 21:55:19 »

ฺBrother complex (1/3)   

     ช่วงเช้าตรู่ของวันที่สนามฝึกทหาร เหล่าเด็กหนุ่มรุ่นใหม่กำลังวิ่งออกกำลังแต่เช้ากันเป็นทีม โดยที่คนสุดท้ายของทีมจะต้องวิ่งเร่งความเร็วมาต่อข้างหน้า สลับไปเรื่อยๆรอบลานกว้างของสนามฝึก ที่ตรงกลางก็มีครูฝึกหนุ่มรุ่นใหม่คอยวิ่งตามเร่งให้วิ่งเร็วขึ้น
 
       “เอ้ายอมแพ้แล้วเหรอ นี่ช้าสุดเลยนะ จะโดนแซงอีกรอบแล้ว ทำอะไรกันอยู่” ดามอนต์ รุ่นพี่ที่คุมเด็กใหม่วิ่งตามขู่คนท้ายแถวให้เร่งฝีเท้าขึ้นอีก

        “วิ่งๆๆ ทีมช้าเพราะเจ้าคนเดียวนี่แหละ ฮึดหน่อย!!” รุ่นพี่คุมตบมือเร่งให้คนถัดไปวิ่งเร็วขึ้น ระหว่างนั้นแววตาสีเขียวก็สบเข้ากับนายทหารร่างหนาที่โบกมือเรียกเจ้าตัวอยู่ที่ขอบสนาม เขาจึงวิ่งเหยาะๆออกไปหา

        “ท่านพี่ มาได้ยังไง” ดามอนต์เอ่ยถามพี่ชายที่เรียกเขาออกมา พลางมองไปที่เด็กชายผมสีทองตาสีฟ้าใสคนหนึ่งที่มาด้วยกัน

        “ข้าย้ายมาคุมที่นี่ชั่วคราวน่ะ แล้วก็นี่ซีมัส อาจจะมาช้าไปสองสัปดาห์ แต่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ไว้ข้าจะช่วยสอนเก็บส่วนที่ไม่ทันให้ละกัน” ดาวิสแนะนำเด็กชายวัยกำลังจะก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มให้น้องชายได้รู้จัก ดามอนต์มองไปที่ซีมัสแล้วหันกลับมามองพี่ชายของตนด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะลากพี่ชายตัวเองออกมาคุยห่างๆ ไม่ให้เด็กชายได้ยิน

     “เด็กคนนี้เป็นลูกใครขอรับ ทำไมเพิ่งเข้ามาป่านนี้ ข้าต้องดูแลเป็นพิเศษรึเปล่าเนี่ย ข้าไม่ถนัดเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ต้องประคบประหงมหรอกนะขอรับ” ดามอนต์กระซิบถามด้วยสีหน้ากังวล

     “ข้าไม่ได้เอามาให้เจ้าประคบประหงมหรอกน่า ไม่ต้องห่วง เจ้าสอนในแบบของเจ้าก็พอ”

     “แล้วทำไมท่านพี่ถึงมาส่งด้วยตัวเองแบบนี้ล่ะ แถมย้ายมาดูแลเองตรงนี้อีกต่างหาก” น้องชายทำหน้าระคนสงสัย ถามพี่ชายเหมือนกำลังสอบสวนคนผิด เมื่อถูกซักขนาดนั้นร่างหนาก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้

     “เอาเป็นว่าข้าบอกเจ้าคนเดียวนะ เพื่อความสบายใจของเจ้า แต่เจ้าห้ามบอกคนอื่นนะ ตกลงไหม” ดาวิสยื่นข้อเสนอออกมา ดามอนต์ก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

     “เด็กคนนี้เป็นลูกครึ่งภูติ ที่มีพลังพิเศษ ข้ารับปากกับท่านเฮมิสว่าจะคอยดูแลไม่ให้เกิดปัญหา ข้าถึงย้ายเข้ามาที่นี่ชั่วคราวเพื่อดูว่าไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ”

     “พลังพิเศษอะไรขอรับ” ดามอนต์ถามกลับไปทันที

     “.....จำวันที่เจ้าออกไปช่วยข้าดับไฟวันนั้นได้ไหม” ดาวิสชั่งใจสักพักนึงก่อนจะตอบ เด็กหนุ่มก็รับฟังอย่างตั้งใจ

     “อ้อ...นั่นคือซีมัสเหรอขอรับ” ดาวิสพยักหน้ารับนิ่งๆ

     “....ปีศาจชัดๆ” ดามอนต์เอ่ยพึมพำออกมาเบาๆทำให้ดาวิสได้ยินไม่ชัด

     “เจ้าว่าไงนะ ?”

     “เปล่าขอรับ” ดามอนต์คลี่ยิ้มตีหน้าใสซื่อกลับมา

     “เอาล่ะ เอาเป็นว่า เจ้าอย่าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ล่ะ ข้าไม่อยากให้แตกตื่น แล้วก็ไม่อยากให้มีการเลือกปฏิบัติ เข้าใจไหม” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิด

     “แล้วทำไมอยู่ๆท่านไปเกี่ยวอะไรด้วยกับเรื่องนี้ล่ะ” คำถามนี้ทำให้เจ้าตัวนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อวันก่อนแล้วก็เผลอคิดถึงพี่ชายของตัวต้นเหตุขึ้นมา ทำให้แววตาคมดูอ่อนโยนลง มุมปากชายหนุ่มกระตุกยิ้มขึ้นมาจางๆ พลันสบตาเข้ากับน้องชายที่มองมาด้วยความงุนงงก็รีบดึงสติกลับมา

     “ท่านเฮมิสเป็นคนที่คอยดูแลซีมัสอยู่ด้วยน่ะ ข้าก็เลยถือโอกาสกลับมาประจำที่นี่พักนึงไง นานๆจะได้กลับมาทำงานกับเจ้านี่ไง ไม่ดีเหรอ” ดาวิสคลี่ยิ้มกว้างตบไหล่น้องชายอย่างอารมณ์ดี

    “คำสั่งท่านเฮมิสนี่เอง…” ดามอนต์ทำน้ำเสียงประชดประชัน เห็นเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ถอนใจออกมา ดาวิสรู้ดีว่าน้องชายไม่ชอบเจ้าเมือง เขาต่อต้านระบบที่ยกลีบลาขึ้นเป็นเจ้าเมืองคอยชี้นิ้วสั่ง ให้บิดาที่เป็นรองเจ้าเมืองเป็นผู้ดำเนินการ งานยุ่งจนไม่มีเวลามาดูแลเจ้าตัวเท่าไหร่นัก ทำให้เวลาส่วนใหญ่ของดามอนต์มาอยู่กับพี่ชายที่ห่างกันห้าปีคนนี้เสียหมด ตอนนี้พี่ชายของตนเริ่มเข้าไปช่วยงานบิดามากขึ้น เวลาที่มีให้ดามอนต์ก็ถูกริดรอนหายตามๆกันไป ดามอนค์ก็ยิ่งโทษไปที่เจ้าเมืองเหมือนเคย

     “ดามอนต์ ต้องให้ข้าบอกเจ้าอีกกี่ทีเรื่องนี้….”ดาวิสพยายามจะปรับมุมมองของน้องชาย ทว่าอีกฝ่ายก็รีบเดินกลับไปหาซีมัสแสร้งคุยด้วยเพื่อเปลี่ยนประเด็น เขาเบื่อที่จะฟังเหตุผลอันน่ารำคาญของพี่ชาย

    “เอาล่ะ ซีมัส เข้าไปวิ่งกับเพื่อนๆเลยไหมวันนี้ อุ่นเครื่องก่อน” แววตาสีฟ้าใสจ้องเขม็งมองดามอนต์เหมือนจะพูดอะไรออกมา

    “มีอะไรรึเปล่า”

    “ถึงท่านพี่ข้าจะไม่ชอบให้ใครเรียกข้าว่าปีศาจสักเท่าไหร่ แต่ข้าไม่ว่าอะไรหรอกขอรับ ข้าถือว่าเป็นคำชม” ซีมัสเอ่ยตอบไปพร้อมแสยะท้าทายให้อีกฝ่าย

     “........” ดามอนต์จ้องหน้าเด็กชายกลับไป แรกเห็นก็ว่าไม่ถูกชะตาอยู่แล้ว เจออวดดีใส่เข้าไปก็ยิ่งแสดงความเป็นอริกันอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

      “พร้อมไหมซีมัส” ดาวิสที่เดินตามมาทีหลังเอ่ยถามซีมัส เขาไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้สองคนนั้นคุยอะไร

      “ขอรับ” ซีมัสละสายตาออกมาที่ดาวิสแล้วตอบกลับไปอย่างว่าง่าย ไม่เหลือคราบเด็กอวดดีเมื่อครู่แม้แต่น้อย

      “ถ้างั้นมานี่ม่ะ ข้าจะอธิบายใให้ฟัง” ดาวิสกวักมือเรียกไปอธิบายใกล้ๆ ซีมัสก็เดินเข้าไปหาแต่โดยดี พออธิบายเสร็จ ก็พาวิ่งไปหาทีมที่วิ่งรั้งท้ายเพื่อแนะนำซีมัสคร่าวๆแล้วปล่อยให้เด็กใหม่วิ่งไปต่อท้ายแถว ดาวิสมองซีมัสตามไปเห็นว่าวิ่งเข้ากลุ่มไปได้ไม่มีปัญหา ก็ละสายตาเดินกลับมาเจอน้องชายตัวเองที่ยืนทำหน้าไม่สบอารมณ์

     “มีปัญหาอะไรเหรอ นี่ไม่ดีใจที่ได้พี่ชายมาช่วยฝึกให้รึไง”

     "ก็ดี....แต่ท่านพี่ดูเด็กของท่านเอาเองแล้วกัน ข้าไม่ขอยุ่งด้วยนะ" ดามอนต์เอ่ยทิ้งไว้แล้วผละตัวเดินจากออกไป

     ".....อ้าว...เป็นอะไรอีกล่ะ เด็กคนนี้" ดาวิสพึมพำออกมาแล้วหันกลับไปมองกลุ่มของซีมัสที่ตอนนี้วิ่งขึ้นมาจนจะแซงทีมข้างหน้าได้แล้ว เพราะเจ้าตัววิ่งขึ้นนำหัวขบวนไปเมื่อครู่ ทำให้ท้ายขบวนต้องเร่งฝีเท้าตามให้ทัน ดาวิสเห็นเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ

     “เฮ้นั่นท่านดาวิสนี่ มาทำอะไรที่นี่น่ะ” พี่เลี้ยงที่คุมเด็กรุ่นพี่ดามอนต์เดินมาเอ่ยถามผู้เป็นน้องด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เพราะได้ยินมาว่ารุ่นที่จบมาโดยมีพี่เลี้ยงรุ่นเป็นดาวิสจบออกมาได้อย่างมีคุณภาพกว่ารุ่นอื่นๆ และผู้ที่จบมารุ่นนั้นรักและกล่าวขานถึงพี่เลี้ยงรุ่นคนนี้ทุกคน

     “ท่านดาวิสถูกย้ายกลับเข้ามาช่วยที่นี่น่ะ...” ดามอนต์ตอบไปอย่างเซ็งๆ

     “จริงเหรอ!! เจ๋งอ่ะ ข้าไปบอกคนอื่นๆก่อนนะ” ก่อนที่ดามอนต์จะบ่นถึงเหตุผลที่ทำให้เดาวิสต้องย้ายเข้ามา อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจจะฟังต่อแล้ว เขาร้องกลับมาด้วยความตื่นเต้นแววตาเป็นประกายก่อนจะวิ่งหายไปกระจายข่าวอย่างรวดเร็ว 

     “....ช่างเหอะ” ดามอนต์พึมพำกับตัวเองเบาๆก่อนจะหันไปมองผู้ที่เป็นหัวข้อสนทนา
ดามอนต์ที่จบมาในรุ่นที่ได้พี่ชายตัวเองเป็นพี่เลี้ยง  รู้ถึงเหตุผลที่ทำให้ทุกคนกล่าวถึงดี และรู้ดีด้วยว่าความคาดหวังของมารดาที่อยากให้ตนสมบูนณ์แบบได้เหมือนพี่ชายนั้นเป็นไปไม่ได้ ดามอนต์ไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่มารดาคาดหวังตรงนั้นสักเท่าไหร่ แค่ได้เป็นน้องชายของคนที่สมบูรณ์แบบเช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว ทว่าตอนนี้เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนแย่งตำแหน่งนั้นไป เมื่อเห็นรอยยิ้มพึงพอใจของพี่ชายที่กำลังทอดมองซีมัสที่กำลังนำกลุ่มตัวเองวิ่งแซงกลุ่มข้างหน้าได้สำเร็จ

     “...ชิส์ ไอ้เด็กนรก” ดามอนต์สบถออกมาเบาๆ ทว่าซีมัสที่กำลังวิ่งอยู่กลางสนามหันมาสบตามองเจ้าตัวแล้วคลี่ยิ้มร้ายกาจออกมาก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่น

     “...!!!?”  ดามอนต์ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายบังเอิญหันมาเยาะเย้ยเขาตอนนั้น หรือได้ยินที่เขาสบถออกไปเมื่อครู่กันแน่ จึงได้ลองสบถออกมาเบาๆอีกที

     “เจ้าเด็กปีศาจ” รอบนี้ซีมัสไม่มีทีท่าที่จะหันกลับมามองแต่อย่างใด จึงได้เข้าใจว่าเมื่อครู่อาจจะแค่เป็นเรื่องบังเอิญ หรือไม่เขาอาจจะโดนอีกฝ่ายแกล้งเมินก็เป็นได้


     ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ณ ที่ทำงานของเจ้าเมืองเวลเฮมิน่า นัยน์ตาสีเพลิงทอดมองเอกสารตรงหน้าด้วยความตั้งใจจะอ่านใจความข้างใน แต่สติของเด็กหนุ่มไม่ได้อยู่กับตัวอักษรบนกระดาษนั้นเลย ตั้งแต่เมื่อวานนี้ที่กลับไปถึงบ้าน ลีนัสมีเรื่องให้คิดวุ่นอยู่ในหัวจนเกือบจะลืมเล่าเรื่องของบิดาที่บังเอิญเจอเข้าที่ตลาดให้มารดาฟัง หากเขาไม่ถูกถามถึงที่มาที่ไปของนายทหารหนุ่มที่เดินมาส่งพร้อมของฝาก ซึ่งเรื่องของบิดานั้นก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ทำให้มารดาของตนสนอกสนใจจะซักถามเพิ่มเติมใดๆ หากแต่วกกลับมาถามถึงเรื่องของนายทหารหนุ่มไม่หยุด ซึ่งตัวเขาเองก็ยังตอบคำถามไม่ค่อยได้เช่นกัน

     'รู้จักกันตอนไหน' 'เป็นลูกเต้าเหล่าใคร' 'อายุเท่าไหร่แล้ว' 'บ้านอยู่ที่ไหน' หลายคำถามที่ลีนัสให้คำตอบไม่ได้ เขารู้จักดาวิสมาสองปีแล้วก็จริง แต่ที่ผ่านๆมาเขาเพียงแค่เห็นหน้าในเวลางานแล้วก็เอ่ยทักทายกันไปตามมารยาทเท่านั้น ไม่เคยได้คุยกันมากไปกว่านั้น

     เมื่อเช้านี้ผู้ที่เป็นต้นเหตุให้ร่างบางสับสนวุ่นวายใจ ก็เดินเข้ามาหาเฮมิสเพื่อคุยเรื่องซีมัส เฮมิสก็เห็นด้วยว่าควรจะเริ่มปล่อยซีมัสไปเข้าสังคมอื่นดูบ้าง ไหนเอยน้องชายที่คอยช่วยดึงความสนใจของเขากลับมาก็ถูกพาตัวออกไป ไหนจะความรู้สึกไม่คุ้นชิน ไหนจะกังวลใจว่าซีมัสจะเข้ากับคนอื่นได้ไหม ไหนจะเรื่องของดาวิสที่ทำให้เขาสับสน

     เด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าตั้งสมาธิอยู่กับงานไม่ได้ ก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะพยายามตั้งสมาธิอีกครั้ง เขาไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่ไม่มีสมาธิขนาดนี้มาก่อน เสียงถอนหายใจของเด็กหนุ่มที่ถอนออกมาหลายต่อหลายรอบ ทำให้ผู้เป็นนายต้องหันมามองด้วยความสงสัย เห็นใบหน้าหวานของเด็กหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าไปมา อยู่ๆก็เหม่อลอย อยู่ๆก็ขมวดคิ้วเคร่งเครียดออกมา เดี๋ยวก็สบัดหัวแล้วทำท่าตั้งใจอ่านเอกสารตรงหน้าต่อ เห็นแล้วก็อดขำออกมาไม่ได้

     “ไหวไหมลีนัส” น้ำเสียงทุ้มของเจ้าเมืองเอ่ยถามขึ้นทำเอาร่างบางสะดุ้งเฮือกขึ้นมา

     “ขอรับ?” เด็กหนุ่มขานรับผู้เป็นนายฉับพลัน

     “ข้าเห็นเจ้าถือเอกสารแผ่นนั้นอยู่นานแล้ว...มันเรื่องอะไรรึ ทำไมสีหน้าเจ้าถึงได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนั้น” เฮมิสยกมือขึ้นเท้าคางแล้วเอ่ยถามอย่างเอ็นดู ลีนัสรีบก้มหน้าอ่านเอกสารตรงหน้าอย่างรวดเร็วอีกรอบ ก็พบว่าเป็นเรื่องร้องเรียนเรื่องเดิมที่ไม่มีอะไรมากมาย และที่สำคัญคือเขาอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบมากแล้วด้วย

     “คือมันก็….ไม่เกี่ยวกับเอกสารแผ่นนี้หรอกขอรับ….” เด็กหนุ่มหน้าแดงระเรื่อยอมรับแต่โดยดี ยิ่งคิดว่าอีกฝ่ายเห็นเขาเปลี่ยนสีหน้าไปมาอยู่นานแล้วก็ยิ่งรู้สึกเขินอาย คนฟังคำสารภาพนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี

     “เอาล่ะ ไหนๆวันนี้งานไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่” เฮมิสว่าพลางลุกขึ้นยืน ยืดเส้นยืดสายตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเดินมายืนพิงข้างหน้าโต๊ะทำงานของตน มือยกขึ้นกอดอกทอดสายตามองมายังผู้ช่วยหนุ่มที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตน

     “ไหนเจ้าว่ามาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น อะไรที่ทำให้ลีนัสผู้เพรียบพร้อมของข้าเป็นได้ขนาดนี้กัน” สถานการณ์ที่เหมือนกำลังโดนไต่สวน ทำให้ลีนัสต้องรีบหาเหตุผลที่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจมาตอบคำถาม

     “....ข้าแค่เป็นห่วงว่าซีมัสจะเข้ากับเพื่อนได้ไหม….” ลีนัสตอบคำถามเบี่ยงสายตาหลบนัยน์ตาสีเขียวใสที่จ้องมองมา

     “อืม อันนั้นข้าเข้าใจ ช่วงแรกข้าว่าเจ้าก็คงจะเป็นห่วงอยู่บ้าง.....แล้วไงอีก” คำถามที่ซักไซร้ต่อมาทำให้ลีนัสต้องหันไปสบตากลับด้วยสีหน้าลำบากใจ เฮมิสเห็นปฏิกริยาของผู้ช่วยหนุ่มก็กระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก

     “เช่น เรื่องที่บังเอิญว่า ลูกชายรองเจ้าเมืองเดินไปส่งเจ้าที่บ้านเมื่อวานนี้” เมื่อเฮมิสดึงประเด็นนี้ขึ้นมา ทำให้ลีนัสต้องก้มหน้าลงไปซุกไว้หลังฝ่ามือตัวเองที่ประสานวางอยู่บนโต๊ะ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่เฮมิสจะรับรู้การเคลื่อนไหวของเขาได้ในฐานะที่เป็นลีบลา ลีนัสมีภูติระดับล่างหลายต่อหลายตัวที่ชอบติดตามเจ้าตัวไปทุกที่ มากพอที่จะเป็นสายข่าวอย่างดีให้กับเฮมิส ยิ่งนึกทวนว่าเฮมิสน่าจะรู้เรื่องอะไรบ้างใบหน้าก็ยิ่งแดงจนมาถึงใบหู ครู่หนึ่งแววตาสีเพลิงก็ช้อนขึ้นมามองดูว่าอีกฝ่ายจะว่ายังไงต่อไป

     “จริงๆข้าก็เห็นสายตาของดาวิสที่มองเจ้ามาได้สักพักแล้วล่ะนะ หึหึ สมเป็นดาวิสจริงๆ ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือจริงๆ” เฮมิสว่าพลางเอามือลูบคางตัวเอง แววตาสีเขียวทอดมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

     “เอ๋…..!?” ลีนัสไม่เห็นจะรู้ตัวสักนิด แววตาเด็กหนุ่มสบมองผู้เป็นนายด้วยความสงสัย ว่าเขาเพียงแค่แกล้งพูดขึ้นมาเพื่อแกล้งเขาหรืออย่างไร

     “สิงโตหนุ่มจะตะครุบเหยื่อ มีหรือจะเผยให้เหยื่อไหวตัวก่อน บังเอิญว่าข้าเป็นอินทรีย์แก่ที่บินอยู่แถวนั้นก็แค่เห็นหมดทุกอย่าง แล้วเจ้าจะเอายังไงต่อไปล่ะ”

     “....ท่านยังไม่แก่ขนาดนั้นเสียหน่อย ทำไมเรียกตัวเองแบบนั้นล่ะขอรับ” ลีนัสพยายามจะบ่ายเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น ทว่าแววตาเฉียบคมสีเขียวเคลื่อนกลับมาสบมอง”เหยื่อ”ที่ตนพูดถึงเมื่อครู่

     “นี่เจ้าแกล้งปากหวานเพื่อให้ข้าเปลี่ยนประเด็นน่ะเหรอ ง่ายไปนะลีนัส” ตั้งแต่เข้ามาเป็นผู้ช่วยเฮมิสจนถึงทุกวันนี้ ลีนัสไม่เคยรู้สึกกดดันจากงานหรือจากเจ้าเมืองคนนี้เลย แต่วันนี้กลับต้องมาโดนกดดันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง ร่างบางสูดหายใจเข้าแล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นทำท่ายอมแพ้และยอมรับแต่โดยดี

     “ขออภัยข้าไม่ได้มีเจตนาจะปากหวาน มีเพียงเจตนาจะเปลี่ยนประเด็นเท่านั้นขอรับ” เฮมิสยิ้มถูกใจความเถรตรงของเด็กหนุ่ม

     “ข้าแกล้งเจ้าแค่นี้ก่อนก็ได้ เอาเป็นข้าส่งเจ้าไปหาดาวิสที่สนามฝึกละกันวันนี้ จะได้เห็นว่าซีมัสเป็นยังไงด้วย แต่ให้แจ้งว่าข้าส่งเจ้าไปคุยธุระกับดาวิส ซึ่งจริงๆนั่นน่าจะเป็นประเด็นหลักของเจ้านะ อย่าบอกว่าเจ้าตามมาดูซีมัส มันจะทำให้ซีมัสเข้ากับเด็กคนอื่นยากขึ้น เจ้าเข้าใจใช่ไหม แค่ให้ดาวิสพาซีมัสไปส่งเข้าเรียนช้ากว่าคนอื่นเขาก็เป็นอภิสิทธิ์ชนแย่แล้ว”

     “คุยธุระ ?” ลีนัสทวนคำออกมาเบาๆอย่างครุ่นคิด เขาต้องไปคุยเรื่องอะไรกับดาวิส

      “อือ...ธุระ ช่วยทำยังไงก็ได้ให้พรุ่งนี้ข้าได้ผู้ช่วยที่พร้อมจะทำงานกับข้าคืนมาทีเถอะลีนัส”

     “....ขออภัยขอรับ” ลีนัสรู้สึกผิดที่ทำให้เฮมิสต้องมาเสียเวลากับเรื่องแบบนี้

     “ไปได้แล้วไป ไม่งั้นข้าจะจับเจ้าสิงโตหนุ่มมาตีก้นเสียให้เข็ด บังอาจมาหยอกกระต่ายที่ข้าเลี้ยงไว้”




          ดาวิสที่ตั้งใจไว้ว่ากลับมาประจำที่สนามฝึกครั้งนี้ จะได้กลับมาฝึกเด็กรุ่นใหม่ให้เป็นนาทหารคุณภาพชุดใหม่ แต่กลายเป็นว่าบรรดานายทหารรุ่นพี่ที่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ต่างกรูกันเข้ามาขอให้เจ้าตัวช่วยสอนกันยกใหญ่ ในขณะที่กลุ่มเด็กใหม่กำลังเรียนรู้พื้นฐานการต่อสู้มือเปล่าอยู่นั้น กลุ่มพี่เลี้ยงที่ว่างอยู่ก็จับกลุ่มกันดวลมือเปล่าอยู่เช่นกัน โดยมีดาวิสเป็นผู้คอยดูและแนะนำปรับท่าให้ถูกต้อง

         “เลวี่ ฐานที่ขาไม่แข็งแรงนะ วางเท้าแบบนี้ไม่ได้ ส่วนแมค เจ้าต้องไวกว่านี้นะ ถูกต้องแล้วล่ะ แต่ช้าไป เอ้าต่อไป…..นี่ทำไมข้าต้องมาสอนพวกเจ้าด้วยล่ะเนี่ย” ดาวิสอธิบายเสร็จก็เผลอเรียกคู่ต่อไปออกมาอย่างลืมตัว  ทำให้บรรดาพี่เลี้ยงหัวเราะชอบใจ

        “อ่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ดามอนต์ขอข้าดูฝีมือลูกศิษย์ตัวเองหน่อยสิ ” เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ห่างๆถูกพี่ชายเอ่ยเรียก เจ้าตัวที่ไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากจะร่วมด้วยจะขอปฏิเสธก็ถูกเสียงฮือฮาดังกลบมาเสียก่อน

        “ดามอนต์เป็นลูกศิษย์ท่านดาวิสหรือขอรับ ขอข้าเป็นคู่ซ้อมได้ไหม” พอบรรดาพี่เลี้ยงพากันเสนอตัวกันออกมา ดามอนต์ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องยอมลุกขึ้นมาแต่โดยดี

        “เดี๋ยวนะ ข้าให้โอกาสคิดดีๆ นี่ศิษย์เอกข้าเลยนะ ถ้าไม่แน่จริงอย่าดีกว่า” ดาวิสรีบออกตัวขู่ไว้ก่อน ทำให้คนน้องแอบยิ้มกริ่มอยู่ในใจ ระหว่างที่ต่างคนต่างก็แย่งจะขอเป็นคู่ซ้อมกับศิษย์เอกของดาวิสอยู่นั้น นายหทารหนุ่มนายหนึ่งก็หันไปเห็นแขกแปลกหน้าในเครื่องแบบสีขาวเดินตรงเข้ามาหา จึงลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหา

        “มีธุระอะไรรึเปล่าขอรับท่านผู้ช่วยเจ้าเมือง” เด็กหนุ่มเอ่ยถามแขกหน้าหวานผู้มีกริยาและการแต่งตัวที่เรียบร้อยดูไม่เหมาะกับสถานที่ห่ามๆอย่างสนามฝึกเลยสักนิด

        “ขออภัยที่เข้ามารบกวน เอ่อ...ท่านเจ้าเมืองสั่งให้ข้ามาคุยธุระกับท่านดาวิสนิดหน่อยน่ะขอรับ” ผู้ช่วยหนุ่มลังเลนิดหน่อยก่อนจะเอ่ยอ้างตามที่ถูกสั่งไว้ พลางกวาดสายตามองบรรยากาศรอบๆด้วยความสนใจ เขาไม่เคยเดินเข้ามาในนี้มาก่อน

        “เชิญทางนี้ขอรับ” เด็กหนุ่มนำทางแขกมาถึงจุดที่บรรดาพี่เลี้ยงนั่งรวมตัวกันอยู่ ตอนนี้ที่ลานข้างหน้า ดามอนต์ได้คนที่จะประมือด้วยแล้ว กำลังปะทะกันอยู่กลางลานกว้าง

        “เดี๋ยวข้าไปแจ้งท่านดาวิสให้นะขอรับ รอสักครู่” ก่อนที่เด็กหนุ่มจะวิ่งจากไปลีนัสได้คว้าแขนของอีกฝ่ายเอาไว้

        “ข้าไม่รีบ รอให้เสร็จก่อนก็ได้” ลีนัสมองชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังจับจ้องไปข้างหน้าอย่างตั้งใจ ดาวิสไม่ได้มองอยู่ที่คู่ต่อสู้รุ่นใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าตน หากแต่กำลังมองเด็กชายรุ่นเล็กคนหนึ่งที่กำลังซ้อมอยู่กับครูฝึกอย่างขยันขันแข็ง แววตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้นฉายความภาคภูมิใจออกมาเช่นนั้น ลีนัสก็มั่นใจได้ว่าดาวิสหวังดีและใส่ใจกับน้องชายของเขาจริงๆ คิดได้เช่นนั้นก็สบายใจในส่วนของซีมัสไปได้เปราะหนึ่ง

      ที่ลานกว้างข้างหน้า ดามอนต์ล้มคู่ซ้อมของตนได้อย่างไม่ยากเย็น ตามที่พี่ชายของตนขู่ไว้ไม่มีผิด เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มกว้างหันกลับมามองหน้าพี่ชายหวังจะได้คำเชยชม แต่แววตาของดาวิสไม่ได้จับจ้องอยู่ที่เขาสักนิด แววตาแสดงความภาคภูมิใจที่เขาควรจะได้รับ กลับไปอยู่ที่เด็กคนเมื่อเช้า เจ้าเด็กปีศาจที่แย่งพี่ชายของเขาไป ด้วยความหงุดหงิดดามอนต์ก็ระบายอารมณ์ออกมาด้วยการพลิกแขนแกร่งของคู่ซ้อมตนออกไปแรงๆ จนอีกฝ่ายต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
เสียงร้องที่ดังลั่นขึ้นมาทำให้ดาวิสดึงความสนใจกลับมาทันที เจ้าของเสียงร้องกำลังนอนดิ้นจับข้อศอกตัวเองอยู่บนพื้น ทันทีที่ดาวิสจะวิ่งเข้าไปดูก็ถูกร่างบางในเครื่องแบบสีขาววิ่งตัดหน้าเขาไปเสียก่อน

     “ลีนัส?” ลีบลาหนุ่มทิ้งตัวลงไปนั่งข้างๆคนเจ็บและจับมือข้างที่กุมศอกของอีกฝ่ายออกเบาๆ

     “ไม่เป็นไรนะขอรับ” ลีนัสเอ่ยบอกคนเจ็บด้วยเสียงนุ่มๆ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วลากลงไปเบาๆบริเวณที่กระดูกเคลื่อนออกมา แสงสีเขียวอ่อนปรากฏขึ้นตามรอยที่ปลายนิ้วเรียวลากผ่าน ดาวิสเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรเลยเปลี่ยนเป็นเดินสาวเท้าไปหาน้องชายที่ทำท่าเหมือนจะเดินหนีไปจากตรงนั้น

     “ดามอนต์เจ้าทำแบบนี้ทำไม” ดาวิสคว้าท่อนแขนของน้องชายไว้แน่นพร้อมกับลากไปคุยที่ที่ไม่มีใครดูอยู่

     “ข้าขอโทษขอรับ ข้าพลั้งมือ” ดามอนต์เบี่ยงหลบสายตาของพี่สายตอบกลับไป

    “ข้อศอกหลุดนี่ เจ้าเรียกว่าพลั้งมือน่ะหรือมีเหตุผลกว่านี้หน่อยนะดามอนต์” พี่ชายขมวดคิ้วแค่นถามน้องชายอย่างอารมณ์เสีย

     “ข้าก็ไม่เข้าใจว่าท่านพี่จะเรียกข้าออกมาทำไม ในเมื่อท่านพี่ไม่ได้สนใจข้าเลยสักนิด” ดามอนต์หันไปจ้องตาถามพี่ชายกลับ ดาวิสรู้สึกว่าตัวเองก็ผิดที่ทำเช่นนั้นเหมือนกัน จึงได้ยอมปล่อยท่อนแขนของน้องชายออก

     “....ข้าขอโทษ แต่เจ้าทำแบบนี้มันก็ไม่ถูก”

     “ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่ มีลีบลาเข้ามาพอดีนี่”

     “เจ้านี่!! นั่นมันไม่ได้ทำให้มันถูกต้องขึ้นมาเสียหน่อย”

     “เอาเป็นว่าข้าไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้วก็แล้วกัน ท่านไปคุยธุระของท่านเถอะ ท่านว่าที่รองเจ้าเมือง” ดามอนต์เบื่อที่จะต้องฟังบทเทศน์อีกยาวเหยียดของพีชายแล้ว จึงได้เดินหนีไปทั้งอย่างนั้น ดาวิสเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคุยกันต่อแล้วในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมฟัง จึงหันกลับไปที่ลานซ้อมอีกครั้ง


      “....หายแล้ว!!?....โห...สุดยอด” คู่มือของดามอนต์เมื่อครู่ลุกขึ้นมานั่งแล้วขยับแขนข้างที่ถูกบิดของตัวเองด้วยสีหน้าประหลาดใจ

     “ขอบคุณท่านลีบลามากๆขอรับ” นายทหารหนุ่มร่างใหญ่รวบข้อมือบางของอีกฝ่ายมากุมไว้แล้วเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้าซาบซึ้งใจ

     “เป็นยังไงบ้างน่ะวิล ความรู้สึกที่ได้สัมผัสจากเวทย์รักษาน่ะ” เพื่อนร่วมรุ่นเอ่ยถามด้วยความสนอกสนใจ

     “...มือท่านลีบลา….นุ่มมาก” เจ้าตัวหันไปอวดใส่คนอื่นด้วยหน้าตามีความสุขออกนอกหน้า คำตอบนั้นทำให้ลีนัสรู้สึกลำบากใจที่ถูกอีกฝ่ายกุมมือเอาไว้เช่นนั้น แต่ก็ทำได้เพียงคลี่ยิ้มแห้งๆกลับไป

    “ท่านลีบลา เมื่อครู่ข้าโดนเจ้านี่ซัดที่ต้นคอด้านหลัง ยังเจ็บอยู่เลย ช่วยข้าได้ไหม” อยู่นายทหารพี่เลี้ยงรุ่นใหม่คนหนึ่งก็รุดลงมานั่งลงข้างๆลีนัส แล้วชี้จุดที่ปวดให้ดูพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนขอให้ช่วยรักษาให้ พอเห็นว่ามีคนกล้าเสนอหน้าเข้าไปหา คนอื่นๆก็เริ่มขยับเข้าไปหาพลางหาเหตุผลอ้างขึ้นมากันบ้าง แต่อยู่ๆก็มีเสียงกระแอมไอดังขัดขึ้นมาขวางพอดี

     “รูท...ข้าช่วยซัดกลับไปอีกข้างให้มันเจ็บเท่าๆกันดีไหม” น้ำเสียงเยียบเย็นดังมาจากทางข้างหลังของผู้ที่เข้ามาขอให้ช่วยเมื่อครู่ พอหันไปก็เจอดาวิสแสยะยิ้มเย็นยะเยือกส่งมาให้

     “.....ฮะๆๆ ไม่ดีกว่าขอรับ ข้าปวดข้างเดียวดีแล้วขอรับ” แววตาอันเย็นยะเยือกกับรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่าย ทำให้รูทค่อยๆถอยห่างออกไปทีละนิดๆ ส่วนผู้ที่จับมือลีนัสไว้เมื่อครู่ก็รีบผละปล่อยออกทันทีโดยไม่ต้องพูดอะไร

     “พวกเจ้าฝึกกันเองไปก่อนแล้วกัน ข้ามีธุระต้องคุยกับท่านลีนัส...เชิญท่านลีนัสทางนี้ขอรับ” น้ำเสียงราบเรียบของชายหนุ่มร่างสูง ทำให้ลีนัสรู้สึกหวั่นใจอยู่เล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตามดาวิสออกไป




(Brother complex1/3)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-10-2015 16:50:54 โดย hayeebaba »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Libra's Heart (Act 4 :1/3)
« ตอบ #9 เมื่อ: 08-09-2015 21:55:19 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act 4 :1/2)
«ตอบ #10 เมื่อ19-09-2015 21:39:45 »

Act 4 : Brother complex (2/3)


       ดาวิสนำทางลีนัสเดินเข้ามาถึงในห้องพยาบาลในโรงฝึกโดยที่ไม่พูดไม่จามาตลอดทาง ลีนัสเองก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา รู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรผิดลงไป ร่างบางพยายามคิดทบทวนดูว่าตนทำอะไรผิดไปตรงไหน
 
     “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ดาวิสขมวดคิ้วหนาเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่ปิดประตูห้องพยาบาลลง แล้วเดินสำรวจดูรอบๆห้องให้แน่ใจก่อนว่ามีใครหลงเหลืออยู่หรือไม่

      “...ข้าก็แค่อยากจะมาดูว่าซีมัสเข้ากับคนอื่นได้ดีไหม…..” ลีนัสกระซิบตอบเสียงแผ่ว เขายังไม่พร้อมจะพูดถึงวัตถุประสงค์หลักกว่านั้นที่เฮมิสสั่งให้เขามา ยิ่งด้วยตอนที่อารมณ์ของอีกฝ่ายดูคุกรุ่นอยู่ตอนนี้ด้วย

     “นี่เจ้าไม่เชื่อใจข้าเหรอว่าข้าดูแลได้น่ะ” ดาวิสสวนกลับไปทันที ทำให้ลีนัสอยากจะหดตัวลงให้เหลือตัวเล็กๆแล้วหายไปจากตรงนั้นเสียเลย

      “.....ข้าขอโทษขอรับ...ข้าจะไม่เข้ามารบกวนท่านแบบนี้อีก…” นัยน์ตาหวานช้อนมองขึ้นมาอย่างรู้สึกสำนึกผิด ดาวิสเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมายาว ก่อนที่จะเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง ลีนัสก็ได้แต่มองตามร่างสูงไปมาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะหยุดถอนใจยาวออกมาอีกครั้ง

      “ข้าขอโทษ…” ดาวิสเอ่ยขึ้นโดยไม่หันมามองคู่สนทนา ลีนัสก็ได้แต่มองแผ่นหลังแกร่งของอีกฝ่ายอย่างงุนงง

      “...ข้าผิดเองที่อารมณ์เสียใส่เจ้า ข้าไม่ชอบที่เจ้าโดนรุ่นน้องข้ารุมตอมแบบนั้น ไหนจะจับมือเจ้าอีก...ข้าถึงไม่อยากให้เจ้ามาที่นี่...ข้าขอโทษ ถ้าเจ้าอยากจะมาหาข้าน่ะ เมื่อไหร่ก็ได้เจ้าไม่ผิดหรอก”

      “......” ลีนัสที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทำให้ดาวิสต้องหันกลับมามองว่าอีกฝ่ายยังอยู่ฟังเขาอยู่หรือไม่ เมื่อหันกลับมาก็เห็นเด็กหนุ่มยืนหน้าแดงระเรื่อเป็นลูกมะเขือเทศ

      “...ลีนัส?”

      “ขะ ขอรับ?” เด็กหนุ่มสะดุ้งและรีบขานรับกลับไป พอสบตาเข้ากับแววตาคมของผู้ที่เอ่ยเรียกเมื่อครู่ก็รีบหันหลบไปทางอื่น ท่าทางเขินอายของลีนัสที่ดูน่ารักน่าชังทำให้ดาวิสขำออกมาจากลำคอ

      “หน้าเจ้าแดงไปถึงใบหูแล้วรู้ไหม” ดาวิสว่าพลางเชยคางมนขึ้นมาสบตา มืออีกข้างยกขึ้นไล้เรือนผมนุ่มสีน้ำตาลแดงที่ปรกบังหน้านวลออกอย่างเบามือ ใบหน้าคมค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ แววตาจับจ้องนัยน์ตาสีเพลิงที่มองเขากลับมาอย่างหวาดระแวง ทำให้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเจ้าของใบหน้าคม

     “เจ้ากำลังระแวงว่าข้าจะทำอะไรเจ้าอย่างนั้นหรือลีนัส” ดาวิสเคลื่อนไปกระซิบถามเสียงแผ่วเบาที่ข้างหู ลมหายใจอ่อนๆที่สัมผัสพวงแก้มเนียนยังผลให้ร่างบางสะดุ้งตัวเกร็งไปทั้งร่าง

      “...เปล่านะขอรับ…!!” ยังไม่ทันที่ร่างบางจะเอ่ยแก้ตัวไปมากกว่านี้ ริมฝีปากบางก็ถูกประกบปิดลงด้วยริมฝีปากหนาทันที มือแกร่งย้ายไปโอบรอบเอวบางไว้แน่นแล้วบรรจงบดเบียดริมฝีปากอีกฝ่าย จนข้อมือบางต้องยกขึ้นเกาะไหล่หนาไว้ เพื่อทรงตัวไม่ให้ทรุดลงไป
       
     กว่าริมฝีปากบางจะถูกปล่อยออกให้เป็นอิสระ ร่างบางถึงกับทรุดตัวซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างหายใจหอบรัวพอๆกับหัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ

     “ให้ตายเถอะ นี่มันที่ทำงานข้า ถ้าเจ้ามาทำตัวน่ารักแบบนี้ข้าก็ต้องแหกกฏแบบนี้น่ะสิ” ดาวิสเอ่ยกระซิบบอกร่างบางก่อนจะก้มลงจูบที่หน้าผากอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

     “......ขอโทษขอรับ” ลีนัสตอบกลับมาเสียงแผ่ว ตอนนี้ร่างบางสมองขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก พอได้ยินอีกฝ่ายพูดเชิงตำหนิก็เอ่ยขอโทษออกมาโดยไม่ได้คิดถึงเจตนาของผู้พูด ดาวิสได้ยินคำตอบที่ไม่ได้คิดจากร่างบางก็ขำออกมา ทำให้เจ้าตัวได้สติแล้วนึกทวนในสิ่งที่ตัวเองพูดไปเมื่อครู่แล้ว ก็ต้องหน้าแดงขึ้นมาอีก

      “เอาล่ะ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้วดีกว่า เจ้ามาหาซีมัสใช่ไหม งั้นมากับข้านี่มา อย่าแสดงตัวออกมาชัดนักล่ะ เดี๋ยวจะโดนเพื่อนร่วมรุ่นเอาไปล้อเสียเปล่าๆ” ดาวิสอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วก็กลับเข้าประเด็นที่พาลีนัสมาที่นี่ พร้อมพาร่างบางออกไปจากห้องพยาบาล ลีนัสก็เดินตามออกไปแต่โดยดี ทั้งๆที่จริงๆแล้วนั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของเขาที่มาที่นี่เอาเสียทีเดียว แต่นั่นดูจะไม่จำเป็นเสียแล้ว แค่ท่าทีหึงหวงของร่างหนาเมื่อครู่ ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถามออกมาเป็นคำพูด
เสียงปิดประตูห้องพยาบาลดังขึ้น ตามด้วยเสียงฝีเท้าของคนสองคนเดินห่างออกไปจนเงียบสนิท เสียงถอนหายใจโล่งอกของเด็กหนุ่ม ก็ดังออกมาจากใต้โต๊ะทำงานแพทย์ที่อยู่คนละมุมห้อง ตอนแรกเขาเดินหนีบทเทศนาที่แสนน่าเบื่อของพี่ชายมาหลบหาที่สงบจิตสงบใจสักพัก พอได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามาก็คิดว่าแค่ใครเข้ามาหยิบยา จึงมุดไปแอบใต้โต๊ะเพื่อเลี่ยงคำถามที่ตนขี้เกียจจะตอบ ก็ไม่คิดว่าอยู่ๆพี่ชายของตนจะพาแขกตามเข้ามาคุยกันต่อในนี้ ตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้ายาวของพี่ชายตัวเองเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องก็ทำเอาเจ้าตัวนั่งเกร็งอยู่ใต้โต๊ะจนปวดหลังไปหมด แต่สุดท้ายก็ได้รู้แล้วว่า เจ้าเด็กแสบเมื่อเช้านี้เป็นน้องชายคนรักของพี่ชายนี่เอง คนรักที่ดันเป็นลีบลาที่เขาไม่อยากให้หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้

     

      ผ่านไปไม่นานนัก ลีนัสก็ค่อยๆเริ่มคุ้นชินกับการที่ต้องกลับบ้านคนเดียว นอนในห้องคนเดียว เพราะซีมัสเข้าไปอยู่เป็นนักเรียนทหารประจำที่สนามฝึก กลับบ้านมาเพียงแค่อาทิตย์ละสองวัน กลับมาแต่ละครั้งก็จะมาพร้อมกับเรื่องเล่ามากมาย ที่ทำให้เด็กหนุ่มคุยจ้อจนแทบไม่ได้นอนทั้งคืน ลีนัสเองก็สนุกกับการที่ได้ฟังน้องชายเล่าอะไรต่างๆให้ฟัง เพราะวิถีการเรียนรู้ของทหารนั้น มีอะไรหลายอย่างที่แตกต่างกับการเขาที่เป็นลีบลาอย่างสิ้นเชิง และที่สำคัญในเรื่องเล่าของซีมัสมักจะมีเรื่องราวเกี่ยวกับดาวิสเข้ามาปนอยู่ด้วย นั่นทำให้ลีนัสที่ไม่ค่อยได้มีเวลาเจอกับดาวิสที่ไม่มีเวลาพอๆกันนั้น ได้รู้จักอีกฝ่ายมากขึ้นผ่านการเล่าเรื่องของซีมัส

      พอหวนคิดถึงเจ้าตัวเล็กที่เดี๋ยวนี้ไม่เล็กแล้วทีไร รอยยิ้มจางๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าทุกทีไป เขาดีใจที่ซีมัสเข้ากับคนอื่นๆได้ดี ระหว่างที่กำลังคิดถึงเรื่องน้องชายเพลินๆอยู่นั้น ได้ยินเสียงกลุ่มชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งโวยวายเสียงดังออกมาจากทางข้างหลังฟาร์มเลี้ยงไก่ จึงหยุดถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับภูติตัวน้อยๆที่อาศัยอยู่แถวนั้นดู พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็รีบวิ่งเข้าไปข้างใน
ที่สวนทางด้านหลังโรงเลี้ยงไก่ มีกลุ่มชาวบ้านชายหนุ่มสองคนถือพลั่วถือคราดกันครบมือ ล้อมรอบอะไรบางอย่างอยู่กลางวง ลีนัสเดินเข้าไปใกล้ๆก็เห็นหมาป่าตัวสีดำทมึนตัวใหญ่ยืนขู่ขนพองอยู่กลางวง ที่ข้างหลังเป็นลูกหมาป่าตัวน้อยขนสีเทา ยืนหูลู่ขาติดกับดักสัตว์อยู่ไปไหนไม่ได้ หมาป่าร่างใหญนี่ไม่ใช่หมาป่าทั่วๆไปที่จะพบเห็นได้ แต่เป็นบริวารของภูติเฟนริล ที่หลงเข้ามาตรงนี้เพราะตามลูกที่เล่นซนมาติดกับดักอยู่ในเขตมนุษย์ตรงนี้ ถ้าหมาป่าตัวนี้เป็นอะไรไปภูติเฟนริลคงจะโกรธไม่ใช่น้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะนี่เป็นเขตของมนุษย์

       ที่ข้างๆโรงเลี้ยงไก่มีชายคนหนึ่งนอนพิงรักษาตัวอยู่ข้างๆเลือดสีแดงไหลอาบจากหัวไหล่ลงมา ที่ข้างๆมีคุณหมอท่านหนึ่งกำลังเปิดกล่องอุปกรณ์แพทย์รักษาแผลอยู่อย่างสุดความสามารถ ลีนัสรู้จักนายแพทย์คนนี้ดี โลแกนประจำอยู่คลีนิคเล็กๆในเมืองที่คอยช่วยเหลือชาวบ้านอยู่บ่อยๆโดยไม่ได้สนใจเรื่องของค่าตอบแทน ลีนัสเองก็แวะเวียนเข้าไปหาอยู่บ่อยครั้งเมื่อว่าง เผื่อว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือ ครั้งนี้คงมีคนวิ่งไปเรียกให้มาช่วยดูคนถูกหมาป่าทำร้าย จึงได้หิ้วอุปกรณ์มาพร้อมกับแคทเทอรีน เด็กหญิงตัวเล็กผมยาวสีน้ำตาลอ่อนที่ยืนให้กำลังใจบิดาอยู่ไม่ห่าง ลีนัสลังเลไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปห้ามคนที่จะทำร้ายหมาป่าก่อนดี หรือจะเข้าไปช่วยรักษาบาดแผลก่อนดี แต่พอโลแกนหันมาเห็นเด็กหนุ่มยืนลังเลอยู่ตรงนั้น ก็คลี่ยิ้มทักทายกลับมา ทำให้เขาอุ่นใจว่าคนไข้ของเขาอาการไม่ได้น่าเป็นห่วงขนาดนั้น

     “เจ้าจัดการตรงนั้นก่อนเถอะ ก่อนที่จะมีคนเจ็บเพิ่ม” ลีนัสพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปห้ามชายฉกรรจ์นายหนึ่งที่กำลังจะเอาคราดเข้าฟาดแม่หมาป่า

     “เดี๋ยวก่อนพวกท่าน หยุดก่อน”

     “อย่ามาเกะกะน่า หลบไป!!” อีกฝ่ายไม่ได้สนใจ และผลักร่างบางกระเด็นกลับออกไป ก่อนที่ลีนัสจะเสียหลักล้มลงก็มีมือแกร่งคว้าท่อนแขนของเขาเอาไว้ได้พอดี

     “ทำไมเวลาข้าเดินตามเจ้ามาจะต้องเจอปัญหาอยู่เรื่อยเลยนะ” เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เห็นใบหน้าคมเข้มทำหน้ายุ่งๆมองเขากลับมา ทำให้เด็กหนุ่มใจเต้นขึ้นมา

     “ท่านดาวิส…ขออภัยขอรับ” เด็กหนุ่มยังตกใจทำอะไรไม่ถูก พอถูกอีกฝ่ายพูดเชิงตำหนิมาก็รีบเอ่ยขอโทษออกไปก่อนอย่างเคยชิน พลางพยุงตัวเองกลับขึ้นยืน

      “ขอโทษข้าอีกแล้ว ข้าก็แค่แซวเจ้าเล่นเท่านั้นแหละ" พอถูกร่างหนาเอ่ยกลับไปเช่นนั้น ลีนัสก็ทำหน้าไม่ถูก จะเอ่ยขอโทษออกไปอีกครั้งก็ต้องรีบกลืนคำนั้นลงไป ท่าทางอึกอักเด็กหนุ่มทำให้ดาวิาคลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นขยี้เรือนผมนุ่มของอีกฝ่ายเบาๆ

       หลังจากที่ได้สนิทสนมกับลีนัสมากขึ้น และได้รู้จักบิดาของเจ้าตัว ก็ไม่ได้ทำให้ดาวิสแปลกใจอะไรนัก ที่ร่างบางจะเอ่ยคำขอโทษจนติดเป็นนิสัย เขาพอจะเดาได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ผ่านอะไรมาบ้างในวัยเด็ก เขาหวังอยู่ว่าวันหนึ่ง ลีนัสจะไม่มีอาการแบบนี้กับเขา ถึงแม้จะเป็นอาการที่ดูน่ารักน่าชังก็เถอะ

      "รอข้าตรงนี้นะ” ดาวิสเอ่ยขึ้นแล้วเดินตรงไปยังกลุ่มชายหนุ่มทั้งสอง

      “เอาล่ะๆ ข้าว่าตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลีบลาดีกว่านะขอรับ” ดาวิสเดินเข้าไปขณะที่หนึ่งในนั้นกำลังเหวี่ยงพลั่วเตรียมจะเข้าโจมตีหมาป่าเฉียดหัวเจ้าตัวไปนิดเดียว ดาวิสจึงรีบคว้าด้ามจับหยุดเอาไว้ได้ทัน แขนแกร่งที่จับด้ามพลั่วเอาไว้ทำให้ผู้ถือพยายามจะดึงกลับไป แต่ไม่มีแรงพอจะดึงสู้ชายหนุ่มกลับออกมาได้ทั้งๆที่อีกฝ่ายยืนนิ่งเหมือนไม่ได้ออกแรงอะไรมากนัก เจ้าของพลั่วจึงยอมปล่อยแต่โดยดี  ดาวิสได้พลั่วกลับมาก็วางปักลงไปกับดิน ทำให้อีกคนหนึ่งชะงักไปแล้วหันมามองผู้ที่มาใหม่

      “...จะได้ไม่ต้องเจ็บตัวกันเพิ่ม” ดาวิสพูดต่อให้จบพร้อมแค่นยิ้มออกมาพลางวางมือลงบนไหล่ของชายคนที่ยืนอยู่ข้างๆ พอเจ้าตัวทำท่าจะขยับหนีดาวิสก็ออกแรงบีบหัวไหล่เอาไว้แน่น พร้อมเอ่ยถามต่ออย่างเป็นมิตร

     “ดีกว่าไหมขอรับ”

      “ดะ ดีนะ...ข้าว่าให้ลีบลาจัดการน่าจะดีกว่านะ” คนที่ถูกจับไหล่แล้วดิ้นไม่หลุด เห็นว่าชายหนุ่มยังคงยืนแน่นิ่งไม่ได้ใช้แรงเยอะอะไร แต่หัวไหล่ที่โดนบีบอยู่นั้นเจ็บแปลบขึ้นมาเพราะแรงบีบอันมหาศาล ก็ยอมเห็นคล้อยตามไปด้วยดี

     “ถ้าเช่นนั้นก็เชิญท่านลีบลาเถอะขอรับ” อีกคนที่เห็นว่าเพื่อนตนยืนใบหน้าซีดเผือดอยู่ก็ยอมถอยไปแต่โดยดี มือแกร่งจึงยอมคลายหัวไหล่ของชายคนนั้นออกไป ดาวิสก็หันมาทำท่าผายมือเชิญให้ลีนัสเข้าไป

     “ขอบคุณขอรับ” ลีนัสโน้มศีรษะขอบคุณทุกคนที่เปิดทางให้ แล้วเดินเข้าไปหาแม่หมาป่าที่ยังพองขนขู่อย่างเอาเป็นเอาตาย

      “ระวังด้วยล่ะ” ดาวิสตบไหล่บางเบาๆเอ่ยบอกคนรักด้วยใบหน้าอ่อนโยน ทำเอากลุ่มชายหนุ่มที่ถอยออกมามองคนพูดที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคนอย่างไม่เชื่อสายตา

     “ขอรับ” ลีนัสยิ้มรับคำแล้วเดินย่อตัวพร้อมยื่นมือข้างหนึ่งเข้าไปหาหมาป่าช้าๆ แต่แววตาของหมาป่าสาวยังคงดูเกรี้ยวกร้าวเหมือนเดิม ทำให้ดาวิสเริ่มจะเป็นห่วงร่างบางตรงหน้า แต่เมื่อเห็นแววตาที่มั่นใจของลีนัสเช่นนั้นก็ยอมยืนมองอยู่เฉยๆ
ฝ่ามือเรียวค่อยๆเคลื่อนมาใกล้ใบหน้าของหมาป่าตัวโตช้าๆ กระทั่งจมูกเย็นๆสีดำเคลื่อนมาแตะที่ปลายนิ้วของเด็กหนุ่ม แล้วแววตาแข็งกร้าวของหมาป่าก็คลายลง ทำให้ดาวิสที่ยืนมองตัวเกรงอยู่ตรงนั้นหายใจหายคอได้สะดวกขึ้นมาหน่อย

      ลีนัสเคลื่อนมือไปลูบขนนุ่มบนหัวของแม่หมาป่าเบาๆ มีแสงสีฟ้าอ่อนๆกระจายออกมาจากฝ่ามือ ทำให้เจ้าร่างขนตัวใหญ่ล้มตัวลงแล้วหลับไปแต่โดยดี เด็กหนุ่มจึงรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหาตัวลูกที่ขาหลังติดอยู่กับกับดัก เลือดสีแดงไหลออกมาย้อมขนสีเทาที่ขาเป็นสีแดงเข้มทั้งขา แววตาสีแดงข้างหนึ่งม่วงข้างหนึ่งมองมายังเด็กหนุ่มด้วยความหวาดกลัว แต่ก็แยกเขี้ยวพองขนขู่กลับมา พอมือบางยื่นเข้าไปหาเจ้าตัวเล็กก็ฝั่งเขี้ยวเข้าไปทันที ดาวิสเห็นแล้วสะดุ้งตกใจแต่คนโดนกัดกลับไม่สะทกสะท้านอะไรเหมือนตั้งใจยื่นไปให้กัด แล้วยกมืออีกข้างขึ้นมาลูบหัวแล้วเจ้าตัวเล็กก็หลับไปอีกตัว ลีนัสรีบช้อนร่างปวกเปียกของลูกหมาป่าเอาไว้ ไม่ให้กับดักเกี่ยวขาเป็นแผลไปมากกว่านั้น แล้วก็หันไปดูที่กักดักตั้งใจจะแกะขาของเจ้าตัวน้อยออก แต่แล้วก็ต้องมึนงงกับกลไกลของกับดักตรงหน้า แล้วทำหน้าลำบากใจออกมา

       "ข้าก็ว่าลีบลาอย่างเจ้าจะรู้วิธีใช้ของพวกนี้ได้ยังไงกัน" ระหว่างที่ร่างบางทำหน้าลำบากใจอยู่ตรงนั้น ดาวิสก็เดินมานั่งลงข้างๆแล้วจัดการเอามือสองข้างกดลงบนกลไกลด้านข้างทั้งสอง แล้วฟันกับดักก็เปิดออก ทำให้ลีนัสอุ้มลูกสุนัขป่าตัวเล็กออกมารักษาบาดแผลได้สำเร็จ

      "ขอบคุณขอรับ" ลีนัสหันไปยิ้มให้ ครู่หนึ่งก็ต้องหุบยิ้มไป เมื่อเห็นชายคนที่ดูอายุน้อยที่สุดที่หลีกทางให้เมื่อครู่เดินตรงเข้ามาหาพร้อมคราดในมือ

      "เรียบร้อยแล้วข้าขอแก้แค้นที่มันทำร้ายพี่ชายข้าเถอะ" ชายร่างใหญ่ว่าพลางยกคราดขึ้นเตรียมจะฟาดลงที่แม่หมา ดาวิสจะรีบลุกขึ้นห้ามไว้ก็ไม่ทัน ลีนัสจึงยกมือขึ้นร่ายกำแพงเวทย์ป้องกันเอาไว้ คราดที่ฟาดลงมาก็กระเด็นสะท้อนกลับไปจนหลุดจากมือคนถือ

      "มันทำร้ายพี่ท่านเพียงเพราะจะปกป้องลูกของมันเท่านั้นเองขอรับ อย่าทำอะไรมันเลย ข้าขอร้อง เดี๋ยวข้าจะรักษาแผลให้พี่ชายท่านเอง" ลีนัสเอ่ยอ้อนวอน

      "แล้วไง เจ้าจะให้ข้าลืมๆมันไปงั้นหรือ พี่ชายข้าเจ็บขนาดนั้นน่ะนะ" การอ้อนวอนของลีนัสไม่เป็นผล อีกฝ่ายโวยวายออกมาอย่างหัวเสีย ดาวิสจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาขวางไว้

      "เอาน่าลูก้า เอาเป็นว่าข้าขอแล้วกันนะ รีบๆให้ลีบลามารักษาบาดแผลของพี่ชายเจ้าจะดีเสียกว่านะ เจ้าจะปล่อยให้พี่ชายเจ้าเจ็บอย่างนี้ไปอีกนานไหม" โลแกนที่นั่งรักษาคนเจ็บอยู่เอ่ยขัดขึ้นมา นอกจากจะโดนเอ่ยรั้งแล้วยังจะเจอกับแววตาเย็นยะเยือกของดาวิส ที่ยืนกอดอกมองกลับมาเหมือนพร้อมที่จะมีเรื่องได้เสมอ

       "ก็ได้ ข้าเห็นแก่หมอโลแกนหรอกนะ" ลูก้ายอมถอยกลับไปยืนรอแถวๆที่พี่ชายตัวเองนอนอยู่

       "พี่ลีนัส ข้าขออุ้มเจ้าขนฟูนี่ได้ไหม" ลูกสาววัยหกขวบของโลแกนเห็นลีนัสอุ้มลูกหมาป่าตัวน้อยเดินเข้ามาด้วยก็ยื่นมือที้งสองข้างมาหาลีนัส

        "ได้สิ ดูแลดีๆนะ" ลีนัสอุ้มลูกหมาป่าส่งให้เด็กหญิงตัวน้อยรับไว้ในอ้อมกอดอย่างเบามือ

        "ว้าว ขนนุ่มจังเลย" แคทร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น ลีนัสเห็นเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มออกมาพร้อมลูบหัวเธออย่างเอ็นดู

        “ข้าฝากแคทไว้ครู่นึงนะขอรับ” ลีนัสเอ่บบอกดาวิสไว้ก่อนจะเดินไปหาโลแกนแล้วทรุดตัวลงไปนั่งลงข้างๆคนเจ็บ ยกมือขึ้นใช้เวทย์รักษาบาดแผลเหวอะจากเขี้ยวของหมาป่าสาว ให้สมานตัวกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว

       “ฮึ !?” เจ้าของบาดแผลลุกขึ้นมานั่งแล้วเอามือลูบบริเวณที่เคยมีรอยแผลด้วยความประหลาดใจ

      “ขอบคุณท่านโลแกน ขอบคุณท่านด้วย” ชายวัยกลางหันมาเอ่ยขอบคุณทั้งสองคน

       “ไม่เป็นไรขอรับ ขอแค่ท่านอย่าโกรธที่หมาป่าตัวนั้นก็พอขอรับ มันไม่ได้ตั้งใจหรอกขอรับ” ลีนัสว่าพลางหันไปช่วยโลแกนเก็บอุปกรณ์เก็บเข้ากล่อง

     “อือ ข้าเข้าใจ ขอโทษเจ้าด้วยที่น้องชายข้าทำตัวแบบนั้น”

     “อะไรนะ ท่านพี่ว่าข้าทำอะไรผิดรึไง” ลูก้าที่ยืนอยู่ใกล้ๆโวยวายขึ้นมาเมื่อถูกพาดพิง คนเป็นพี่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
      “ข้าขอตัวตรงไปจัดการน้องชายก่อนนะขอนับ ขอบคุณพวกท่านมาก” คนพี่เอ่ยลาก่อนจะลุกขึ้นแล้วตรงไปยังน้องชายเจ้าปัญหาของตนแล้วลากให้ออกไปจากตรงนั้น พร้อมด้วยเพื่อนอีกหนึ่งคน

      “ลูลู่!! ข้าตั้งชื่อมันว่าลูลู่ได้ไหมพี่ลีนัส” อยู่ๆเสียงของเด็กหญิงตัวน้อยก็เอ่ยถามแทรกขึ้นมา พอทั้งคู่หันกลับไปมองที่ต้นเสียง ก็เห็นแววตาที่เป็นประกายสดใสของเด็กหญิงตัวน้อย ลีนัสกับโลแกนต้องหันมามองหน้ากันทันที ลีนัสแอบคิดอยู่ในใจว่าช่างเป็นชื่อที่ไม่เข้ากับเจ้าหมาน้อยตัวผู้ ที่จะโตขึ้นมาเป็นหมาป่าร่างใหญ่สีดำทมึนดูน่าเกรงขามเอาเสียเลย

       “เจ้าจะตั้งชื่อก็ได้นะ....แต่เจ้าเลี้ยงมันไว้ไม่ได้หรอกนะแคท” โลแกนตอบบุตรสาวไป ทำให้เด็กน้อยทำหน้าหงอยกลับมา

       “เอ๋ ไม่ได้เหรอ”

       “มา ข้าขอลูลู่คืนให้แม่ลูลู่ก่อนนะ” ลีนัสยอมใช้ชื่อที่ไม่ได้เข้ากับเจ้าหน้าขนตามใจเด็กหญิงพลางลุกขึ้นเดินไปอุ้มเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งจะถูกตั้งชื่อเมื่อครู่กลับมา ถ้าแคทจากตกหลุมรักมันมากไปกว่านี้คงจะลำบากโลแกนน่าดู
ลีนัสวาง”ลูลู่”ลงไปนอนข้างๆแม่ของมันแล้วหันกลับมา เห็นแคทยืนมองตาละห้อยอยู่ไม่ยอมเดินจากไปไหน เด็กหนุ่มจึงหันไปสบตาดาวิสเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา แต่ก็เปลี่ยนใจแล้วทำสีหน้าลำบากใจออกมา ดาวิสเห็นเช่นนั้นก็ขำออกมาจากลำคอเบาๆแล้วลุกขึ้นพร้อมอุ้มเด็กหญิงตัวเล็กขึ้นมา

       “ดาวิสยินดีรับใช้ขอรับ” ดาวิสอ่านใจร่างบางได้ทะลุปรุโปร่ง รู้ดีว่าเจ้าตัวไม่กล้าเอ่ยใช้เขามากนัก จึงได้แกล้งพูดประชดติดตลกออกไปพลางอุ้มแคทกลับไปหาโลแกน พอโดนดาวิสแกล้งเอ่ยออกมาเช่นนั้นก็เขินจนหน้าแดงออกมา

       “...ขอบคุณขอรับ” ลีนัสก้มหัวให้ดาวิสน้อยๆก่อนจะหันกลับมาที่หมาป่าทั้งสองตัว แล้วร่ายเวทย์ถอนเวทย์นอนหลับเมื่อครู่ออกไป หมาป่าร่างใหญ่ตัวแม่ค่อยๆกระพริบตาตื่นขึ้นมา เห็นลีนัสอยู่ตรงหน้าก็แยกเขี้ยวขู่
ดาวิสที่ส่งแคทคืนให้โลแกนแล้วเห็นเช่นนั้นก็ยืนตัวเกร็งขึ้นมาอีก ทำให้โลแกนอดไม่ได้ที่จะขำออกมาเบาๆ

       “ไม่เป็นไรหรอก เห็นอย่างนี้ ลีนัสก็เป็นเด็กที่ดูแลตัวเองได้ดีน่า ไม่ต้องห่วง” โลแกนตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ ทำให้ดาวิสรู้ตัวว่าตัวเองแสดงออกชัดเจนเกินไปจนโลแกนมองออก จึงพยายามยืนดูอยู่นิ่งๆ

       ลีนัสยื่นมือเข้าไปหาแม่หมาป่าอย่างไม่กังวลใจอะไร ทั้งๆที่อีกฝ่ายแยกเขี้ยวใส่ แต่พอลูกชายตัวเล็กลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วลุกขึ้นเดินไปเลียปากแม่หมา เจ้าร่างใหญ่ก็เลิกขู่ไป ปลายหางฟูฟ่องก็ปัดไปมาน้อยๆ พร้อมกับเลียมือของลีนัสกลับมา

      "ไป กลับบ้านพวกเจ้าไปได้แล้ว" ลีนัสคลี่ยิ้มจางๆเอ่ยกระซิบบอกสองแม่ลูกพลางลูบหัวแม่หมาป่าเบาๆ
พอหมาป่าตัวใหญ่ผู้เป็นแม่ลุกขึ้นยืนทำท่าจะจากไป เจ้าตัวเล็กก็กระโดดขึ้นมากระดิกหางเล็กๆเลียหน้าลีนัสยกใหญ่ ก่อนจะเดินตามแม่ของมันไป

      "บัยบายลูลู่" เสียงเด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยตามไล่หลังไป ทำให้เจ้าหมาตัวน้อยหันกลับมามองก่อนครู่หนึ่ง แล้ววิ่งตามแม่หายเข้าไปในป่า ความใสซื่อของแคททำให้ลีนัสขำออกมาเบาๆ

      "ขอบใจพวกเจ้าทั้งสองคนด้วยนะ ที่ทำให้จบลงด้วยดี" โลแกนเอ่ยขึ้นมาเมื่อลีนัสเดินกลับเข้ามาหา

       "จริงๆข้าต้องขอบคุณที่ช่วยหยุดท่านลูก้าไว้เมื่อครู่ด้วยนะขอรับ" เด็กหนุ่มตอบกลับมาอย่างนอบน้อม

      "ฮะๆ ข้าพูดไปเพราะไม่อยากเพิ่มจำนวนผู้ป่วยข้าต่างหาก ขืนไม่ห้ามไว้ มีหวังต้องมานอนรักษาทั้งพี่ทั้งน้องแน่ๆข้าว่านะ" อีกฝ่ายพูดติดตลกอย่างอารมณ์ดี ลีนัสก็หัวเราะกลับมาบ้างพลางหันไปมองคนที่ถูกเอ่ยถึง เจ้าตัวเพียงคลี่ยิ้มรับนิ่งๆ

       "เอาล่ะๆ ข้าไม่กวนเวลาพวกเจ้าแล้วดีกว่า ขอตัวก่อนล่ะ" โลแกนว่าพลางจูงมือลูกสาวแล้วเดินจากไป คำว่า”เวลาของพวกเจ้า”ของโลแกนที่เอ่ยทิ้งไว้ทำให้ร่างบางเขินหน้าแดงออกมานิดๆ

       “เอาล่ะ ต่อไปนี้ก็เป็นเวลาของพวกเราสินะ” อยู่ๆแขนแกร่งก็เอื้อมมาคว้าเอวบางเข้าหาร่างหนา ทำให้เจ้าของร่างบางสะดุ้งโหยง ยิ่งโดนอีกฝ่ายเอ่ยย้ำเอาแบบนั้นก็ยิ่งหน้าแดงหนักเข้าไปอีก

      “....เอ๊ะ ?” ร่างสูงคลี่ยิ้มกว้างมองใบหน้าหวานที่กำลังหน้าแดงทำอะไรไม่ถูก

       “หรือไม่ใช่?” ยิ่งเห็นว่าร่างบางทำอะไรไม่ถูกก็ยิ่งรู้สึกอยากแกล้งเข้าไปอีก ลีนัสไม่อยากจะปฏิเสธแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะตอบรับ จึงทำได้แค่พยักหน้าน้อยๆกลับมา ดาวิสเห็นเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มออกมาจางๆพร่อมยกมือหนาขึ้นมาขยี้เรือนผมของอีกฝ่าย

      “หัดทำอะไรตามใจตัวเองบ้างนะลีนัส เวลาอยากจะให้ช่วยก็บอก ข้าจะได้ไม่ต้องคอยแปลเอาเองว่าเจ้าต้องการอะไรนะ รู้ไหม”

      “...ขออภัยขอรับ” ลีนัสไม่เคยคิดว่าความขี้เกรงใจของตนจะสร้างความน่ารำคาญให้แก่อีกฝ่ายมาก่อน จึงตอบกลับมาด้วยใบหน้าหงอยๆ

      “เจ้าไม่ต้องขอโทษข้าหรอก คราวหน้ามีอะไรก็พูดออกมาตรงๆก็พอ เป็นต้นว่า….” ดาวิสเห็นว่าทำให้อีกฝ่ายสำนึกผิดแล้วเงียบหงอยไปจึงคิดหาเรื่องอื่นมาเปลี่ยนเรื่อง เมื่อคิดได้ก็ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นบนใบหน้าคม

       “....ข้าขอหอมแก้มเจ้าได้ไหม” ได้ยินคำถามเช่นนั้นร่างบางก็สะดุ้งเงยหน้าแดงระเรื่อมองผู้ถามด้วยสีหน้าตื่นๆ

      “เอ๋…!?”

       “ไม่ได้รึ?” ดาวิสแกล้งถาม ลีนัสทำหน้าลำบากใจออกมาแล้วเอ่ยตอบกลับมาเบาๆ

      “....แต่...ข้าเพิ่งโดนลูกหมาป่าเลียหน้าไปเมื่อครู่นะขอรับ”

     “อันนี้แปลว่าเจ้าอ้างขึ้นมาปฏิเสธข้าหรือเจ้ากังวลเรื่องนั้นอยู่จริงๆกันแน่ อันนี้ข้าไม่แน่ใจ” ดาวิสพยายามไล่ปิดช่องทางหลีกเลี่ยงของอีกฝ่าย แววตาสีเพลิงช้อนขึ้นมองร่างสูง พอสบเข้ากับนัตน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่คลี้ยิ้มมาก็ต้องหลุบลงไปอีกครั้ง

       “...ข้าไม่ได้ปฏิเสธขอรับ” ร่างบางตอบกลับมาเสียงแผ่วเบา

     “เก่งมาก รอบหน้าขอเข้าใจง่ายกว่านี้นะ” ดาวิสลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆก่อนจะเชยคางมนขึ้นมาแล้วประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายเบาๆ แววตาสีเพลิงเบิกมองกลับมาด้วยความตกใจและงุนงง ดาวิสก็หัวเราะร่ากลับมาพร้อมกับปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ

     “ก็เจ้ากังวลเรื่องน้ำลายลูกหมามิใช่รึ ไป กลับบ้านกันเถอะเย็นแล้ว ข้าเดินไปส่ง” ดาวิสเดินนำไปเล็กน้อยแล้วยืนมือส่งมาให้เด็กหนุ่มข้างหนึ่ง เขาชั่งใจคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอื้อมมือไปจับมือหนาของอีกฝ่ายแล้วเดินกลับบ้านไปพร้อมๆกันบนถนนเส้นเล็กๆที่แสนสงบสุข

(Brother complex 2/3)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2015 15:33:47 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act 4 :3/3)
«ตอบ #11 เมื่อ19-09-2015 21:53:41 »

Brother complex : (3/3)


      วันเวลาอันสงบสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากเด็กชายตัวเล็กแขนขายาวเก้งก้างเติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแรง การฝึกฝนที่ผ่านพ้นมาสร้างกล้ามเนื้อแกร่งให้เด็กหนุ่มวัยสิบหก จึงทำให้เจ้าตัวดูจะโตเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกันที่ไม่ได้ผ่านสนามฝึก ซีมัสเรียนจบหลักสูตรไปได้ด้วยดี และได้รับบรรจุเข้าเป็นนายทหารผู้รับใช้เวลเฮมมิน่าคนหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาซีมัสไม่ได้ใช้พลังของภูติ และได้ใช้ชีวิตปกติเหมือนนายทหารทั่วๆไป จนทำให้ลีนัสแทบจะลืมเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในคืนแรกที่ได้รู้จักกันไปเสียแล้ว

      กระทั่งสิ่งที่ลีนัสเคยกลัวว่าจะเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นจริงๆ ยามเย็นที่แสนสงบวันหนึ่งขณะที่ลีนัสกำลังจะปลีกตัวกลับบ้าน อยู่ๆพื้นห้องทำงานก็สั่นไหวเหมือนมีของหนักชิ้นมหึมากระแทกลงกับพื้นเป็นจังหวะต่อเนื่อง เฮมิสกับลีนัสจึงรีบวิ่งออกไปดูที่ข้างนอกทันที

      "เรย์มอนต์ ช่วยกันคนอออกไปจากพื้นที่ลานกว้างข้างหน้าที ด่วนเลย" เฮมิสสั่งการรองเจ้าเมืองระหว่างที่สาวเท้าตรงออกไปข้างนอก

     "รับทราบ!!" เรย์มอนต์รับคำแล้ววิ่งไปสั่งการลูกน้องทันที ส่วนกาเดี้ยนของเฮมิสก็รีบวิ่งมาประกบที่หน้าประตูคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว

     เมื่อเปิดประตูออกไปถึงข้างนอกก็พบกับภูติกึ่งมังกรร่างยักษ์สีดำมันวาว ยืนสูงเด่นอยู่กลางลานกว้าง ส่วนสูงที่สูงกว่าคฤหาสน์ของเจ้าเมืองถึงสองเท่า ทำให้ชาวบ้านมองเห็นจากทุกจุด ต่างก็แห่กันเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เหล่าทหารทั้งหลายก็ต้องรีบวิ่งเข้ามาล้อมกันพื้นที่เอาไว้ ทั้งซีมัสและดาวิสต่างก็ต้องเข้ามาช่วยในพื้นที่นี้

      "เฮมิส" เสียงใหญ่ก้องกังวาลคำรามออกมาจากมังกรร่างยักษ์ เฮมิสหันมาสั่งให้ลีนัสกับกาเดี้ยนของตนหยุดรอตรงนั้น ในขณะเขาก้าวเข้าไปหามังกรร่างยักษ์อย่างไม่เกรงกลัว

      "ท่านออฟีอัส มีปัญหาอะไรขอรับ" เฮมิสเอ่ยถามเหมือนด้วยน้ำเสียงปกติ เหมือนว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติอะไร ทว่าลีนัสรู้ดีว่าถ้าระดับออฟีอัสเข้ามาปรากฏตัวในเขตเมืองขนาดนี้ ต้องไม่ใช่คดีธรรมดาอย่างแน่นอน

      "มนุษย์ของเจ้า แอบเข้ามาในเขตของข้า ซ้ำยังเข้ามาขโมยหินเวทย์ถึงในรังนอนของข้าแบบนี้ เจ้าทำงานประสาอะไรของเจ้า" เมื่อพูดถึงผู้บุกรุกลีนัสก็เพิ่งจะสังเกตเห็นชายวัยกลางคนร่างผอมบางคนหนึ่ง นั่งคุกเข่าตัวสั่นเทิ้มไปทั้งตัวอยู่ข้างๆอุ้งเท้าใหญ่ของออฟีอัส พอเห็นใบหน้าของบุคคลต้นเหตุลีนัสตัวเย็นวาบไปทั้งตัว ชายคนนี้คือโลแกนผู้เป็นที่รักและรู้จักของคนส่วนใหญ่ในเมือง เมื่อไม่นานนี้ลีนัสเพิ่งได้ยินข่าวร้าย ที่ลูกสาวแสนน่ารักของเจ้าตัวเกิดอุบัติเหตุจมน้ำเสียชีวิตไป จึงพอจะเดาได้ ว่าอะไรที่ทำให้นายแพทย์ผู้ใจดีคนนี้กล้าฝ่าฝืนกฏเหล็กที่ตั้งเอาไว้ และโทษที่ละเมิดเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามคือประหารสถานเดียว ลีนัสรีบกวาดสายตามองหาทั้งน้องชายและดาวิสที่ช่วยกันยืนกันพื้นที่ด้วยความเป็นห่วง งานนี้ต้องมีจราจลเกิดขึ้นแน่นอน ออฟีอัสตั้งใจจะลงโทษเจ้าเมืองด้วยวิธีนี้ ถึงได้ยอมปรากฏตัวออกมาเรียกความสนใจชาวบ้านขนาดนี้

      "........ท่านโลแกน....ทำไมถึงเป็นท่าน..." แม้แต่เจ้าเมืองที่สุขุมได้ในทุกสถานการณ์เองก็ยังตกใจกับภาพที่เห็น

      "ท่านเฮมิส....ข้าขอโทษ" โลแกนเอ่ยอย่างสำนึกผิด

      "เจ้ามนุษย์ เจ้าคิดว่าเจ้าจะชุบชีวิตคนตายไปแล้วกลับขึ้นมาได้ด้วยหินเวทย์ของ อะไรที่เจ้าคิดว่าเจ้าทำได้" ออฟีอัสฟาดหางแกร่งของตนลงกับพื้นอย่างโมโห เมื่อคืดถึงเห็นผลของมนุษย์ตัวเล็กๆที่คิดจะใช้สิ่งที่เขาสร้างมาห้าสิบกว่าปี แลกกับชีวิตลูกสาวยวัยสิบขวบ เฮมิสได้ยินเช่นนั้นก็ถอนใจออกมาแล้วเดินเข้าไปหาผู้ต้องหาของเขาอย่างใจเย็น

      "ข้าเสียใจเรื่องลูกสาวของท่านด้วยนะ ท่านโลแกน แต่ท่านไม่น่าทำแบบนี้กับข้าเลยจริงๆ" เฮมิสทรุดตัวลงไปนั่งคุกเข่าตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ เอ่ยคุยด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น

      "ข้าขอโทษจริงๆ ข้าคิดว่าข้าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว หากข้าต้องเหลือตัวคนเดียวเช่นนี้" เฮมิสเห็นสภาพจิตใจของโลแกนแล้วไม่อาจจะกล่าวโทษไปมากกว่านี้ เขาลุกขึ้นยืนเอ่ยถามอีกฝ่ายกลับไป

      "ท่านลำบากปรากฏตัวมาขนาดนี้ ต้องการจะให้ข้าจบเรื่องนี้อย่างไรขอรับ" แววตาของเจ้าเมืองยังคงจับจ้องอยู่ที่โลแกนด้วยความอาลัย เขาถามไปทั้งๆที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้จะต้องจบลงอย่างไร

      "มนุษย์ของเจ้า เจ้าต้องจัดการเองให้ข้าเห็นตรงนี้ บอกให้ข้ารู้ทีสิว่าเจ้ายังไม่ลืมสิ่งที่เราตกลงกันเอาไว้" น้ำเสียงประกาศก้องดังชัดไปเกือบทั้งเมืองเช่นนี้ ทำให้ชาวบ้านยิ่งกรูกันออกมา ยิ่งคนที่ต้องโทษเป็นที่รู้จักกันทั่วเช่นนี้แล้ว ยิ่งทำให้ชาวบ้านที่ไม่คิดจะรับรู้เรื่องราวตรงนี้ก็ต้องออกมาบ้าง สิ้นเสียงประกาศให้ตัดสินโทษ บรรยากาศก็เงียบกริบ ทุกคนเฝ้ารอคำตัดสินของเจ้าเมืองอย่างตั้งใจ

      เฮมิสนั้นคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องลงเอยแบบนี้ ไม่เช่นนั้นออฟีอัสไม่ยอมปรากฏตัวมาขนาดนี้แน่นอน เจ้าเมืองถอนหายใจยาวก่อนจะก้มหน้าลงมาเอ่ยถามโลแกน

      "ท่านมีอะไรจะสั่งเสียก่อนไหม" สิ้นคำถามของเฮมิส ชาวบ้านที่มุงรอฟังคำตอบก็เริ่มต้นประท้วงทันที เสียงโวยวายไม่พอใจดังขึ้นทั่วบริเวณ เหล่าทหารที่ยืนคุมพื้นที่ต้องออกแรงกันชาวบ้านที่จะแทรกตัวเข้ามาอย่างเต็มกำลัง ราชามังกรยังคงยืนกอดอกหลังตรงจ้องมองลงมาที่เฮมิสไม่เคลื่อนไหวไปไหน

     ".....ท่านตัดสินโทษข้าเถอะ ข้าเข้าใจข้าเตรียมใจไว้แล้วตั้งแต่แคทจากข้าไป แล้วก็ขอโทษด้วยที่มันต้องลงเอยกับท่านแบบนี้" ระหว่างที่โลแกนเอ่ยขอโทษอยู่นั้น อยู่ๆลีนัสก็วิ่งเข้ามาแล้วลงมาคุกเข่าตรงหน้าโลแกนพร้อมเข้าสวมกอดเขาไว้แน่น

      “...ลีนัส” เฮมิสเอ่ยออกมาด้วยความกังวลใจอยู่เล็กน้อยว่า ผู้ช่วยของเขาจะเป็นผู้ที่เข้ามาขวางการตัดสินเสียเอง

      “ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างที่ผ่านมาขอรับ ข้าจะดูแลในส่วนของท่านต่อให้เอง ท่านสบายใจได้นะขอรับ”  ท่อนแขนสั่นเทาของโลแกนค่อยยกขึ้นมาโอบแผ่ยหลังของอีกฝ่ายกลับไป

      “...ขอบใจลีนัส” โลแกนกระซิบตอบกลับไป เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้กลุ่มคนที่พยายามจะรุกล้ำเข้ามายอมสงบนิ่งไปอย่างมีความหวัง

      “พร้อมไหม ท่านโลแกน” ลีนัสคลายอ้อมกอดออกมาสบตาอีกฝ่ายถามอย่างใส่ใจ

      “ข้าพร้อมแล้ว” โลแกนคลี่ยิ้มออกมาจางๆ ลีนัสจึงคลี่ยิ้มกลับไปแล้วลุกขึ้นยืน หันไปก้มหัวให้กับชาวบ้านทุกคนที่อยู่รอบๆ

      “ข้าขออภัยทุกท่าน ที่วันนี้ข้าต้องพรากคนสำคัญของพวกท่านไป ท่านโลแกนก็เป็นคนสำคัญสำหรับข้าเช่นกัน แต่กฏก็คือกฏข้าไม่อาจจะละเลยได้เช่นกัน”ลีนัสอาศัยจังหวะที่สถานการณ์โดยรอบไม่วุ่นวาย เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวาล

      “ขออภัยท่านออฟิอัสที่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น” ลีนัสหันไปก้มหัวให้กับภูตมังกรอีกครั้ง แล้วหันมาพยักหน้าให้กับเฮมิสที่ยืนมองเขาอย่างชื่นชมอยู่ในใจ

        ".....เควิน" เฮมิสหันมาเอ่ยเรียกกาเดี้ยนของตนที่ยืนอยู่เบื้องหลังให้เดินไปหา เขารู้ตัวดีว่าเฮมิสเรียกเขาไปเพื่ออะไร ชาวบ้านรอบๆก็รับรู้ได้เช่นกัน จึงได้เริ่มมีการส่งเสียงตะโกนออกมา ทุกก้าวย่างที่การเดี้ยนหนุ่มเดินไป เขาเฝ้าภาวนาขอให้เฮมิสเปลี่ยนใจและเจรจาต่อรองไม่ให้เขาต้องเป็นคนลงมือ เสียงตะโกนบอกให้เขาหยุดดังกึงก้องไปทั่ว ทุกคู่สายตาจ้องจับมาที่เขา ทั้งอ้อนวอน ทั้งโกรธแค้นทั้งข่มขู่ มือซ้ายของเควินกุมฝักดาบที่เหน็บอยู่ข้างกายไว้แน่นเพื่อปกปิดอาการสั่นเทาของตน

         "...ข้ารู้ว่าข้าอาจจะขอเจ้ามากเกินไป หากเจ้าไม่อยากทำก็บอกข้ามา" เฮมิสเอ่ยถามพลางยกมือขึ้นวางลงบนไหล่แกร่งกาเดี้ยน

        "เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆใช่ไหมขอรับ" เควินเอ่ยถามด้วยความหวังอันริบหรี่ ทว่าเฮมิสส่ายหัวตอบกลับมาอย่างนุ่มนวล ชายหนุ่มจึงต้องสูดหายใจเข้าเต็มปอดรวบรวมสติและตอบกลับไป

        "...รับทราบขอรับ" เควินตั้งสติพยายามจะหยุดมือของตนที่สั่นเทาก่อนจะเอื้อมไปจับที่ด้ามดาบเพื่อดึงออกจากฝัก ทว่ามือแกร่งของชายวัยกลางก็มาวางบนหลังมือของเขาเพื่อปรามเอาไว้

       "ท่านเรย์มอนต์ ?" เรย์มอนต์เดินมาวางมือปราบกาเดี้ยนหนุ่มด้วยสีหน้าที่เรียบสงบ แววตาสีน้ำเงินเข้มทอดมองลงมายังมือที่สั่นเทาของอีกฝ่าย

       "ถ้าคมดาบของเจ้าไม่นิ่ง เจ้าจะทำให้ท่านโลแกนจากไปลำบาก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง" น้ำเสียงราบเรียบของชายวัยกลาง ทำให้เควินรีบถอยออกมาแต่โดยดี แม้ในใจจะรู้สึกผิดอยู่ที่ไม่สามารถทำตามคำสั่งของเจ้าเมืองได้

      "ขอบคุณ ท่านเรย์มอนต์" โลแกนคลี่ยิ้มให้จางๆก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้นเตรียมรอรับชะตากรรมของตัวเอง ดาบคมถูกชักออกมาจากฝักท่ามกลางเสียงคัดค้านของชาวบ้านรอบข้าง ดามอนต์ที่ยืนกันคนอยู่ตรงนั้นเห็นว่าบิดาเป็นผู้จัดการเองก็แทบจะลืมหายใจ กระทั่งคมดาบตวัดลงมาอย่างไม่ลังเล ศรีษะร่วงหล่นลงมาตามด้วยร่างที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางลานก็ล้มตามลงมา

       "แล้วอย่างให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกล่ะท่านเจ้าเมือง" มังกรร่างยักษ์เห็นว่าเป็นไปตามข้อตกลงแล้วก็สลายร่างเป็นแสงสว่างดวงเล็กๆนับพันดวง กระจายฟุ้งหายไปจากตรงนั้น

       เสียงที่ร้องโวยวายนั้นเงียบกริบไปฮวบหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องโศกเศร้า เสียงร้องของชาวบ้านรอบๆดึงสตินายทหารหนุ่มกลับมา เขาจึงหันกลับไปช่วยคนอื่นๆกันชาวบ้านที่ตอนนี้ลุกฮือขึ้นมา ระหว่างความสับสนวุ่นวายทั้งภายนอกและภายในจิตใจของดามอนต์ เขากวาดสายตามองไปรอบๆหาพี่ชาย ที่พึ่งพิงที่เข้าใจเขามากที่สุด ทว่าสายตามาหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มผมทองที่พี่ชายของตนพร่ำสอนจนโตขึ้นมาขนาดนี้ เด็กที่มีความสามารถของปีศาจอยู่ ปีศาจที่สร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น ความแค้นเคืองกับความสับสนอลม่านในตอนนี้ทำให้ดามอนต์ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างลงไป

      "อยู่ในความสงบด้วยขอรับ" เสียงนายทหารหลายต่อหลายนายพยายามจะควบคุมพื้นที่เอาไว้ ร้องขอไปอย่างไร้ซึ่งการตอบรับ ท่ามกลางความวุ่นวายตรงนั้นเอง ซีมัสรู้สึกถีงคมมีดสั้นเล่มหนึ่งเสียบลงมาที่แผ่นหลังของตน ความเจ็บปวดแล่นแปลบเข้าสู่ประสาทรับรู้ เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาจากปากแผล ปลายนิ้วค่อยๆชาและหมดเรี่ยวแรงล้มลงไปนอนกองกับพื้นทันที

      "ซีมัส!!" นายทหารข้างๆเห็นว่าอยู่ๆเพื่อนก็ล้มลงไปนอนจึงตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ลีนัสได้ยินเข้าก็หันไปมองที่ต้นเสียงทันที เห็นน้องชายของตนลงไปนอนกองจมกองเลือดตรงนั้นก็ตัวเย็นเฉียบขึ้นมา ชาวบ้านตรงที่ซีมัสกันเอาไว้ก็เริ่มไหลทะลักเข้ามา ลีนัสจึงตัดสินใจร่ายเวทย์ให้น้ำแข็งก้อนใหญ่ตกลงมาขวางหน้ากลุ่มชาวบ้านที่เล็ดลอดเข้ามา ทำให้กลุ่มนั้นชงักไปด้วยความตื่นกลัว เสียงน้ำแข็งก้อนใหญ่ที่ตกลงมากระทบพื้นเสียงดังสนั่น ทำให้เฮมิสที่ยังทำใจไม่ได้กับร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้าได้สติขึ้นมา เขาเพิ่งเห็นว่าตอนนี้กำลังจะเกิดจลาจลขึ้นแล้ว และลีนัสกำลังร่ายเวทย์นำ้แข็งออกมาเป็นรั้วกั้นรอบอาณาเขต จึงลุกขึ้นประกาศเสียงดังกึ่งก้อง

       "ท่านโลแกนก็ยอมรับโทษตามความผิดแล้ว ช่วยกลับบ้านกันไปด้วยความสงบด้วยขอรับ เรามีกฏที่ต้องรักษากรุณาเข้าใจตรงนี้ด้วย หากไม่พอใจเราไม่เคยห้ามให้พวกท่านย้ายออกไปแม้แต่น้อย" เฮมิสประกาศกร้าวออกมาดังกังวาลไปทั่วทั้งลานกว้าง ทำให้มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งยอมถอยกลับออกไปบ้าง ลีนัสเห็นว่าทางสะดวกก็รีบวิ่งเข้าไปหาซีมัสที่นอนกองอยู่กับพื้น
ยังไม่ทันที่ลีนัสจะวิ่งไปถึง ร่างของเด็กหนุ่มก็ค่อยๆเปลี่ยนไป สีผิวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลส้ม และรูปตราเวทย์ปรากฏขึ้นบนใบหน้า สีผมเปลี่ยนเป็นสีขาวและงอกยาวลงมาถึงเอว เขายาวงอกออกมาจากหน้าผาก

       ".....ซีมัส" อยู่ๆท่อนแขนแกร่งของเด็กหนุ่มก็ค่อยๆยันร่างตัวเองลุกขึ้นยืน แล้วดึงมีดที่เสียบกลางหลังของตัวเองออกโยนทิ้งลงพื้นอย่างไม่ใยดี แววตาสีเทากวาดมองไปรอบตัว เห็นชาวบ้านที่มองมายังเจ้าตัวด้วยความหวาดกลัว

        "หนวกหูกันจริงๆ บอกให้กลับบ้านไปแค่นี้ไม่เข้าใจรึไง" ซีมัสคำรามออกมาพร้อมทั้งเสกเปลวเพลิงสีน้ำเงินออกมาข่มขู่ ทำให้ชาวบ้านพากันถอยห่างออกไป บ้างก็วิ่งหนีกลับบ้านไปในทันที

       "...ซีมัส พอแล้ว" ลีนัสเดินเข้าไปคว้าท่อนแขนแกร่งของน้องชายตัวเองไว้พร้อมเอ่ยปราม สัมผัสเบามือของพี่ชายทำให้ซีมัสยอมดับเปลวเพลิงลง ครู่หนึ่งรูปตราเวทย์ตามร่างกายก็หายไป ร่างมนุษย์ของซีมัสก็กลับคืนมาอีกครั้ง ทว่าผมสีทองยังคงยาวเท่าเดิม

       "ขอบคุณซีมัส" ลีนัสเดินเข้าไปเอื้อมมือลูบหัวน้องชายอย่างเคยชิน สถานการณ์ตอนนี้คลี่คลายลงแล้ว ไม่มีชาวบ้านกลุ่มไหนกล้าบุกเข้ามา เหลือแต่เพียงบางส่วนที่ยังเศร้าโศกกับภาพตรงหน้า ซีมัสทำให้การลุกฮือจบลงอย่างง่ายดาย ทว่าเมื่อมองไปรอบข้าง ไม่มีใครคิดจะเอ่ยชมหรือขอบคุณซีมัสสักคน บรรดาทหารที่คุมบริเวณนั้นต่างก็มองมาที่ซีมัสด้วยสีหน้าหวาดกลัว แม้กระทั่งเพื่อนร่วมรุ่นของเขาเอง

      "บาทแผลเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหมซีมัส" ดาวิสวิ่งเข้ามาหาเมื่อเหตุการณ์สงบลง

      "...ดูเหมือนตัวเลือดปีศาจจะรักษาตัวเองได้น่ะขอร้บ" ซีมัสตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกึ่งๆประชด ลีนัสได้ยินน้องชายของตนพูดเช่นนั้นก็ถอนใจออกมา

     "เจ้าไม่ใช่ปีศาจนะซีมัส" ลีนัสว่าพลางเอื้อมมือไปแตะใบหน้าของน้องชายเบาๆ แต่อีกฝ่ายปัดมือของเขาออก

     "จะใช่ไม่ใช่ ยังไงข้าก็เป็นตัวประหลาดอยู่ดี" ซีมัสตวาดตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด แต่พอเห็นแววตาที่แสดงความกังวลของพี่ชายก็รู้ตัวว่ากำลังทำตัวไม่มีเหตุผลอยู่ เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนจะเอ่ยต่ออย่างใจเย็นลง

     "ข้าไม่เป็นอะไรหรอกขอรับ ขอเวลาข้าครู่หนึ่งเถอะขอรับ" ซีมัสเอ่ยทิ้งไว้ก่อนจะผละหนีจากไปโดยไม่มีใครกล้าเอ่ยรั้ง มีแต่ฝูงคนที่รีบแหวกทางหลบให้ด้วยความหวาดกลัว

     "ท่านเฮมิส..." ลีนัสรีบหันไปหาเจ้าเมืองจะขออนุญาตตามน้องชายไป
     
      "รีบไปเถอะลีนัส ตรงนี้ข้าจัดการเองได้" เฮมิสตอบพลันโดยที่ลีนัสไม่จำเป็นต้องเอ่ยถามไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มจึงรีบวิ่งตามน้องชายไปในทันที

      ดาวิสเพียงมองตามร่างบางไปด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเดินมาหยิบมีดสั้นที่ตกอยู่กับพื้นขึ้นมาพิจารณา มีดสั้นที่ดูคุ้นตาทำให้ดาวิสกวาดสายตามองดูรอบตัวหาน้องชายของตนแต่ก็หาไม่เจอ ระหว่างนั้นเองเฮมิสก็เดินมาวางมือบนไหล่ของเขาแล้วก้มลงกระซิบเบาๆบอกเจ้าตัว

      "ดูเหมือนเจ้าเองก็มีเรื่องต้องคุยกับน้องชายเจ้าเช่นกันนะดาวิส"






      "ซีมัส" ลีนัสที่วิ่งตามหลังน้องชายออกมาตะโกนเรียกให้เจ้าตัวหยุดรอ แต่ซีมัสกลับตัดสินใจวิ่งหนีจากไปจนหายลับสายตาผู้เป็นพี่ไปในทันที ด้วยร่างกายที่ด้อยกว่าและกำลังที่น้อยกว่าเด็กหนุ่ม ที่ผ่านการฝึกร่างกายมาแต่เด็กอย่างซีมัสแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่ลีนัสจะวิ่งตามเจ้าตัวได้ทัน แต่ลีนัสพอจะเดาได้ว่าน้องชายของตนจะวิ่งไปหลบที่ไหนจึงค่อยๆเดินไปยังจุดหมายที่คิดอยู่ในใจ ปล่อยให้ซีมัสได้มีเวลาอยู่กับตัวเองสักครู่

     พระอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้วเมื่อลีนัสเดินเข้ามาในป่าจากทางหลังบ้านของตน เขาร่ายเวทย์ดวงไฟดวงเล็กๆขึ้นมาเพื่อนำทางจนมาถึงธารน้ำตกกลางป่า เห็นเสื้อเครื่องแบบทหารถอดวางอยู่ และมีเงาคนอยู่ใต้น้ำคนหนึ่ง ลีนัสก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มนิดๆที่ตนเดาทางน้องชายตัวเองไม่ผิด ครู่หนึ่งร่างของคนที่มุดอยู่ใต้น้ำก็ผุดขึ้นมา แต่กลับเป็นร่างผิวสีที่มีลายตราเวทย์ไปทั้งตัว ซีมัสยกมือสองข้างขึ้นเสยผมสีขาวอันเปียกชุ่มของตนขึ้นแล้วหันมามองลีนัสที่ยืนรออยู่ข้างๆธารน้ำ

      "ท่านพี่เองก็มองว่ามันประหลาดสินะขอรับ" ซีมัสเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้ากังวลออกมา แต่เมื่อถูกถามเช่นนั้น ผู้เป็นพี่ก็คลี่ยิ้มออกมาจางๆและส่ายหัวกลับมา

     "ข้าแค่กังวลว่าเจ้ายังอามรณ์เสียอยู่รึเปล่าถึงได้อยู่ในร่างนั้น ข้าว่าเจ้าประหลาดในทางที่ดีนะ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่รับเจ้าออกมาวันนั้นหรอก" ได้ยินคำตอบของพี่ชายเช่นนั้นซีมัสก็อดยิ้มออกมาน้อยๆไม่ได้ เขาหวนนึกถึงวันที่ลีนัสเดินมาขวางหน้าเขากับภูติในวันนั้นได้ดี ลีนัสปกป้องเขามาตลอด จนโตขึ้นมาถึงตอนนี้คิดว่าตนน่าจะมีกำลังพอที่จะปกป้องเขาคืนบ้าง แต่หาใช่ไม่ สุดท้ายเขาก็ยังคงต้องทำให้พี่ชายเป็นห่วงและลำบากตามหาเขาถึงกลางป่ายามค่ำมืดเช่นนี้

     "....ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านพี่เป็นห่วง..." ซีมัสว่าพลางเดินขึ้นจากน้ำมาหาพี่ชาย

     "ไม่เป็นไรซีมัส มานี่มา" ลีนัสอ้าแขนรับเด็กหนุ่มในร่างภูติเข้ามากอดไว้ อ้อมกอดที่คุ้นเคยทำให้เด็กหนุ่มสงบใจลงไปได้

     "...ท่านพี่ตัวเล็กลงรึเปล่าขอรับ" ซีมัสเอ่ยถามอย่างเด็กหนุ่มขี้เล่นขณะที่กอดอีกฝ่ายแน่น

     "บ้าจริง เจ้าต่างหากล่ะที่ตัวใหญ่ขึ้น ข้าก็ตัวเท่าเดิมนั่นแหละ" ลีนัสตอบอย่างฉุนๆกลับมา จะว่าไปแล้วเขาเองก็ไม่คิดว่าน้องชายตัวเล็กของเขาจะเติบใหญ่ขึ้นมาได้ขนาดนี้เช่นกัน ทั้งช่วงอกและกล้ามเนื้อแผ่นหลังที่แน่น ท่อนแขนแกร่งที่โอบกอดเขากลับมา สัมผัสเริ่มจะใกล้เคียงกับอ้อมกอดของผู้ที่ฝึกสอนเจ้าตัวมาขึ้นทุกวัน

     "ข้าใกล้จะเป็นเหมือนท่านดาวิสแล้วรึยังขอรับ" คำถามของซีมัสทำให้ร่างบางสะดุ้ง เขาไม่คิดว่าซีมัสพูดถึงเรื่องเดียวกับที่เขาคิดอยู่ จริงๆแล้วซีมัสน่าจะถามเพียงเพราะความทะเยอทะยานของเด็กหนุ่ม ที่อยากจะเป็นเหมือนคนที่ฝึกสอนเขามา ไม่ได้มีความหมายจะเปรียบเทียบในความหมายอื่นที่ทำให้เขาร้อนตัวขึ้นมา

     "อื้อ อีกหน่อยเจ้าก็จะเก่งเหมือนท่านดาวิสเองแหละซีมัส" ลีนัสตอบกลับพลางค่อยๆผละตัวเองออกจากอ้อมกอดแกร่งของน้องชาย แต่ซีมัสกลับกอดเขาไว้แน่น

     "...ซีมัส?"

     "เป็นข้าไม่ได้หรือขอรับ" ซีมัสกระซิบถามร่างในอ้อมกอด ลมหายใจอุ่นๆที่รดมาที่ใบหูลีนัสทำเอายืนตัวเกร็งขนลุกขึ้นมา เขาสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา ไม่คิดว่าน้องชายที่โตขึ้นมาจะคิดกับเขาแบบนั้น

     "หืม เจ้าพูดเรื่องอะไร...อ่ะ เดี๋ยวก่อนซีมัส..!!" ริมฝีปากของซีมัสขยับเข้ามาขบที่ใบหู ลีนัสรีบผลักร่างออกแต่ไม่สามารถจะสู้แรงท่อนแขนแกร่งของอีกฝ่ายได้ อยู่ๆร่างบางก็ถูกรวบตัวขึ้นมาแล้ววางลงบนพื้นดิน โดยมีร่างหนาคร่อมกดท่อนแขนของเขาเอาไว้

      ".....ซีมัส.....!!" ลีนัสไม่มีเรี่ยวแรงพอจะขัดขืนน้องชายแม้แต่น้อย แววตาสีเทาจ้องจับลงมาที่ใบหน้าตื่นตกใจของลีนัส ก่อนจะก้มลงประกบริมฝีปากตนลงกับริมฝีปากบางนุ่มของลีนัส

      "ท่านพี่ ข้ารักท่าน" เด็กหนุ่มก้มลงกระซิบบอกพี่ชายที่ข้างหู แต่เมื่อยืดตัวกลับขึ้นมามองใบหน้าหวาน ก็พบกับสายตาที่ยังคงทอดมองมาที่ตนด้วยสีหน้าลำบากใจ เจือความเป็นห่วงเป็นใยของผู้เป็นพี่ไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้เด็กหนุ่มชะงักไป

       "ซีมัสข้าก็รักเจ้า แต่ไม่ใช่แบบนี้ และข้าก็ยังไม่อยากเกลียดเจ้า อย่าทำให้ข้าต้องเกลียดเจ้าเพราะความสับสนของเจ้าเพียงชั่ววูบนี้เลย ข้าขอล่ะ" แววตาเศร้าๆของลีนัสทำให้แขนแกร่งที่กดร่างบางเอาไว้ยอมผ่อนแรงลง คำว่า”เกลียด”ของลีนัส ก้องกังวาลบาดลึกเข้าไปในหัวใจของเด็กหนุ่ม สำหรับเขาแล้วลีนัสเป็นคนเดียวที่รักและให้ความสำคัญกับเขามากกว่าคนอื่น เขาคิดไม่ออกเลยหากลีนัสจะเกลียดเขาขึ้นมา

      "....ข้าขอโทษ" ซีมัสเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าหงอยๆก่อนจะขยับลุกขึ้นมานั่งลงข้างๆพี่ชายทำหน้าตาผิดหวัง ลีนัสถอนใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วลุกขึ้นมานั่งบ้าง

      "ข้าขอโทษนะซีมัส ข้ารับความรู้สึกนั้นของเจ้าไว้ไม่ได้จริงๆ" ลีนัสยกมือขึ้นลูบหัวน้องชายเบาๆ ซีมัสหันไปมองผู้พูดครู่หนึ่งเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา แต่แล้วก็เบี่ยงหน้าหลบไปทางอื่นแล้วถอนหายใจยาว

      "...ข้าเข้าใจดีขอรับ ท่านมีท่านดาวิสอยู่แล้ว" ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ซีมัสจะรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับดาวิส ที่มักจะจัดเวลามาหามาส่งเขาที่บ้านอยู่บ่อยครั้ง แต่พอน้องชายเอ่ยขึ้นมาตรงๆแบบนี้ก็อดที่จะเขินจนหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาไม่ได้

      "ถ้าเข้าใจดีแล้วก็กลับบ้านเถอะซีมัส เดี๋ยวท่านแม่จะเป็นห่วง แล้วก็ ดูเหมือนว่าข้าจะต้องตัดผมให้เจ้าด้วยนะนายทหารซีมัส" ลีนัสลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับมาคลี่ยิ้มเรียกน้องชายให้ลุกตามไป

       ซีมัสคลี่ยิ้มเยาะตัวเองอยู่ในใจก่อนจะลุกตามขึ้นไป การที่ลีนัสทำตัวได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ถือสาว่าความเขามากไปกว่านั้น ทำให้ซีมัสรู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปในใจ ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็เป็นได้แค่น้องชายคนเล็กที่พี่ชายคนนี้พร้อมจะให้อภัยเสมอ ไม่มีวันที่เขาจะได้ยืนเคียงข้างอย่างเท่าเทียมในฐานะอื่นได้เลย




เห่อจบตอนนี้ซะที แก้ไปแก้มาจนยาวเฟ้ยฟ้าวไปหมด

ตอนแรกก็ไม่กะจะให้น้องชายขโมยจูบพี่หรอกนะ...แต่เพื่อนมันรีเควสมา ก็เลยจัดให้ซะหน่อย เพื่อหมาน้อยซีมัส
 (เปลืองเนื้อเปลืองตัวนายเอกเหลือเกิน) :katai5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2015 15:38:09 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act 4 :3/3)
«ตอบ #12 เมื่อ29-09-2015 09:46:44 »

Act 5: Controversy (1/3)

          หลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวายจบลง กว่าจะสลายชาวบ้านออกไปได้หมด และเคลื่อนย้ายศพได้สำเร็จ กว่าดาวิสจะกลับถึงบ้าน ก็เกือบจะเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ส่วนบิดาของตนนั้นยังเหลือเรื่องที่ยังต้องอยู่คุยกับเฮมิสต่อ ดาวิสเองก็มีเรื่องสำคัญที่จะต้องคุยกับดามอนต์เช่นกันจึงตัดสินใจลากลับออกมาก่อน

          ดาวิสเดินตรงไปเคาะประตูห้องของน้องชายทันทีที่มารดาบอกว่าดามอนต์กลับมาถึงบ้านแล้ว เขาไม่รอให้เจ้าของห้องเอ่ยอนุญาตก็เปิดประตูเข้าไปทันที

         "ดึกดื่นป่านนี้มีธุระอะไรขอรับท่านพี่" ดามอนต์ที่แต่งตัวเตรียมจะเข้านอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันมาถามพี่ชายที่เปิดห้องเข้ามา ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของน้องชายทำให้ดาวิสต้องถอนใจออกมาอย่างหงุดหงิด

          "เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าจะคุยเรื่องอะไร" ดาวิสหยิบมีดสั้นเล่มที่หยิบมาจากที่เกิดเหตุเมื่อครู่ขึ้นมาวางบนโต๊ะอ่านหนังสือที่ตั้งอยู่ในห้อง ดามอนต์เห็นมีดของตนวางอยู่เช่นนั้นก็เลิ่กคิ้วขึ้นถามอีกฝ่ายกลับไปเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

          “ถ้าเจ้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแบบนั้นล่ะก็ อย่างน้อยๆก็ควรจะเก็บหลักฐานหน่อยนะ” ได้ยินพี่ชายพูดขึ้นมาแบบนั้นก็คลี่ยิ้มยียวนกลับมา

           “ท่านพี่จะบอกว่าถ้าข้าเก็บหลักฐานหน่อยจะไม่ว่าอะไรสินะ” ดาวิสไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะขำกับน้องชายด้วยแม้แต่น้อย เขาทอดสายตามองกลับไปที่ดามอนต์ด้วยแววตาเย็นฉา

         “...สุดท้ายมันก็ไม่เป็นอะไรไม่ใช่เหรอ เจ้าปีศาจนั่นน่ะ”

         “.....” ดาวิสยังคงยืนกอดอกนิ่ง รอฟังคำอธิบายที่มีเหตุผลกว่านี้ของน้องชายต่อ

         “อ่ะ เอาอย่างนี้ เพื่อความสบายใจ ท่านพี่ก็จับข้าเข้าคุกไปแล้วกัน โทษฐานทำร้ายปีศาจ” ดามอนต์ยกมือขึ้นสองข้างส่งให้อีกฝ่าย
 
        “เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกเรียกซีมัสว่าปีศาจเสียที”

       “ท่านจะบอกว่ามันไม่ใช่ปีศาจรึไง ดูสิ่งที่มันทำสิ อ้อใช่สิ มันเป็นน้องชายของคนรักท่านพี่นี่นะ จริงๆข้าไม่อยากจะนับลีบลารวมกับคนสักเท่าไหร่หรอกนะ ข้าก็ไม่เข้าใจว่าท่านพี่คิดอะไรอยู่” ดามอนต์ลุกขึ้นยืนแล้วยกมือขึ้นกอดอกกลับไปบ้างพร้อมระบายความอึดอัดไม่พอใจกลับมา

        “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าต้องการอะไรดามอนต์ เจ้าจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรให้มันดีขึ้นได้สักนิด” ดาวิสขมวดคิ้วหนาเข้าหากันพลางเอ่ยถามน้องชาย

        “แล้วจะให้ข้าทำยังไงเหรอ เจ้าปีศาจนั่นบังคับให้ท่านพ่อฆ่าคนดีๆไปคนนึงต่อหน้าคนทั้งเมือง จะปีศาจตัวไหนก็ไม่คววรจะมีชีวิตอยู่ทั้งนั้นแหละ เจ้าเมืองก็บ้าไปแล้วรึไง ไม่คิดจะปกป้องคนของตัวเองเลยสักนิด ท่านพี่น่ะคิดดีๆเถอะจะเดินตามท่านพ่อจริงๆน่ะหรือ” ดามอนต์ขึ้นเสียงตอบกลับไปชุดใหญ่ ดาวิสฟังเหตุผลของน้องชายที่โพล่งออกมายาวเหยียดก็ชักจะทนไม่ไหว จึงได้พุ่งหมัดต่อยหน้าน้องชายออกไปอย่างแรง ทำเอาดามอนต์เซล้มลงไปนั่งกับพื้น ดามอนต์ยกแขนขึ้นมาปาดคราบเลือดกำเดาที่ไหลออกมาลวกๆ พร้อมกับจ้องมองเจ้าของหมัดและยิ้มเหยียดๆกลับไป

        “หึ หึ ท่านพี่รับไม่ได้กับเหตุผลข้อนี้สินะขอรับ”

        “ข้ารับไม่ได้กับความคิดเช่นนั้นของเจ้าต่างหาก”

        “ท่านพี่ลืมไปรึเปล่าขอรับ ว่าท่านจะสอนข้าให้ทำอะไรก็ได้ แต่ท่านสอนข้าให้คิดแบบท่านไม่ได้หรอกนะ”

       “เจ้าจะคิดอะไรยังไงมันเป็นเรื่องของเจ้า แต่เจ้าไม่ควรจะทำร้ายใครแบบนี้ต่างหาก”

       “แล้วที่เจ้าเมืองฆ่าโลแกนนั่นถูกต้องแล้วสินะขอรับ!!” ดาวิสเจอสวนกลับมาด้วยเหตุผลนี้ ทำให้ต้องชะงักไป จะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็ไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างเต็มปาก

       “เกิดอะไรขึ้นน่ะดาวิส” เสียงมารดาเดินเข้ามาเอ่ยถามหลังจากที่ได้ยินเสียงสองพี่น้องทะเลาะกัน พอเห็นดามอนต์ที่ลงไปนั่งกองกับพื้น ซ้ำยังมีคราบเลือดไหลออกมาจากโพรงจมูก ก็รีบลุดเข้าไปดูอาการบุตรชายทันที

       “เป็นอะไรมากไหมดามอนต์ ดาวิส นี่เจ้าคุยกันดีๆไม่ได้รึยังไง ทำน้องแบบนี้ทำไม” ดาวิสเห็นมารดาที่ตรงเข้าโอ๋น้องชายเหมือนเมื่อก่อนไม่เปลี่ยนแปลงก็ถอนหายใจยาวออกมา แม้ตอนนี้เจ้าตัวจะอายุขึ้นเลขสองแล้วก็ตาม ไม่น่าแปลกใจนักที่จะโตขึ้นมาเป็นเด็กดื้อรั้นได้ขนาดนี้

        “นี่เจ้าจะไปไหน ได้ยินที่แม่พูดไหมเนี่ย” มารดาเอ่ยรั้งดาวิสที่อยู่ๆก็ปลีกตัวออกไปจากห้องทั้งอย่างนั้น

        “ถ้าวันหนึ่งดามอนต์กลายเป็นฆาตกรขึ้นมา ก็คงจะเป็นความผิดของข้าเองสินะขอรับ” ดาวิสเอ่ยประชดประชันอย่างหัวเสียทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะจากไป

        “พูดอะไรของเจ้าน่ะดาวิส !!…. เฮ้อ เอาเถอะพี่เจ้าก็อารมณ์ร้อนแบบนี้แหละ เดี๋ยวก็มาขอโทษเจ้าเองแหละ” หลังจากที่ดาวิสเดินหายไปจากห้องแล้ว มารดาก็หันกลับมาประคบประหงมดูแลบุตรชายคนเล็กอีกครั้ง


        เมื่อดาวิสเดินลงมาที่ชั้นล่างอย่างอารมณ์เสีย ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่บิดาของตนกลับมาถึงบ้านพอดี สีหน้าเหนื่อยล้าของบิดาทำให้ดาวิสต้องรีบวางท่าทีหงุดหงิดของตัวเองทิ้งไป

         “ดาวิส ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า มานั่งคุยกันหน่อยสิ” เรย์มอนต์เดินมาถึงชุดรับแขกที่ห้องโถงกลางบ้านก็ทรุดตัวลงนั่งด้วยสีหน้าครุ่นคิด ดาวิสคาดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เพิ่งสรุปและตัดสินใจออกมาเมื่อครู่ หลังจากที่ได้คุยกับเฮมิสจนดึกดื่นป่านนี้ บุตรชายทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวเล็กข้างๆโดยไม่เอ่ยถามอะไร รอให้บิดาเรียบเรียงสิ่งที่ต้องการจะพูดอยู่เงียบๆสักพัก

          “หลังจากเสร็จสิ้นงานศพท่านโลแกนพรุ่งนี้ ท่านเฮมิสตั้งใจจะประกาศลงจากตำแหน่งส่งมอบต่อให้ลีนัส คนที่รู้จักหมอโลแกนส่วนใหญ่จะรู้จักลีนัสดี ข้าคิดว่านั่นน่าจะเป็นวิธีที่ลดการต่อต้านได้ดี” ดาวิสพยักหน้ารับฟังนิ่งๆ

          "ส่วนข้าเองก็จะส่งต่อให้เจ้าเหมือนกัน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งแน่นอนว่าขึ้นอยู่กับความเห็นชอบของลีนัสเองด้วย ซึ่งข้าคิดว่าลีนัสคงไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าพร้อมไหม" 

          “ไม่มีปัญหาขอรับ ข้าเรียนรู้อะไรหลายอย่างจากท่านพ่อแล้ว" คำตอบของบุตรชายทำให้ผู้เป็นพ่อคลี่ยิ้มสบายใจออกมา

          "เจ้าเป็นลูกที่น่าภูมิใจของข้าเสมอ แต่บางทีข้าก็เป็นห่วงที่เจ้าไม่เคยปฏิเสธข้าเลยสักครั้ง ถ้ามีอะไรลำบากใจก็บอกข้าได้นะดาวิส" ในฐานะที่เป็นลูกชายคนโตของตระกูล ดาวิสถูกวางเส้นทางทุกอย่างเอาไว้จนแทบไม่รู้สึกว่าเขามีชีวิตเป็นของตัวเองด้วยซ้ำไป แต่ก่อนที่จะถึงจุดที่เขารับไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ก็ได้รู้จักกับว่าที่เจ้าเมืองคนใหม่เสียก่อน ทำให้เขามีมุมมองใหม่ๆกับเส้นทางสายนี้ พอคิดถึงตรงนี้รอยยิ้มจางๆก็ฉายขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม

         "ตอนนี้ข้าไม่มีปัญหาอะไรใดๆทั้งสิ้นขอรับ ขอบคุณท่านพ่อที่เป็นห่วง"

         "จะไปมีปัญหาได้ยังไงล่ะขอรับ ในเมื่อว่าที่เจ้าเมืองเป็นคนรักของท่านพี่นี่ขอรับ" ดามอนต์เอ่ยแทรกขึ้นมาขณะที่เดินลงบันไดมาที่ห้องโถงกลางบ้าน ดาวิสไม่แปลกใจที่น้องชายจะรับรู้เรื่องนี้เท่าไหร่นัก และก็ไม่ลำบากใจอะไรที่จะเปิดเผยให้บิดาได้รับรู้เรื่องนอกกรอบเรื่องเดียวในชีวิตของเขาเรื่องนี้ แต่วันนี้มันมากเกินไปสำหรับเขาแล้ว ที่ต้องเจอเรื่องปวดหัวและเรื่องของน้องชายคนนี้ ดาวิสได้แต่ถอนหายใจยาวออกมามองน้องชายที่ลงมาก่อกวนอย่างรำคาญใจ คืนนี้เขาคงต้องคุยกับบิดาอีกยาวแน่นอน ตามมาด้วยเสียงของมารดาที่เดินตามลงมาเพิ่มความน่าปวดหัวเข้าไปอีก

           "เจ้าว่าไงนะ นี่เรื่องจริงหรือดาวิส" เสียงแหลมสูงของมารดาร้องออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ดาวิสต้องยกมือขึ้นมานวดขมับตัวเองเพื่อเตรียมจะคุยกันเรื่องนี้อีกยาว แต่แล้วเรย์มอนต์กลับลุกขึ้นยืนขวางภรรยาของตนเอาไว้

           "โรเซ่ ข้ายังคุยกับดาวิสไม่เสร็จเจ้ากลับขึ้นไปรอข้างบนก่อนได้ไหม” ทั้งดาวิสทั้งดามอนต์ต่างก็ประหลาดใจที่บิดาออกมาขวางมารดาแบบนี้

           “ไม่ได้นะดาวิส ข้ามีคุยเรื่องของเจ้าไว้กับบ้านตระกูลแฮนเดอร์สัน...” ประโยคที่เล็ดรอดออกมาไม่ได้ทำให้ดาวิสประหลาดใจนัก เพราะพักหลังๆมานี้เห็นมารดาสนิทสนมกับตระกูลนี้เป็นพิเศษ ก็คิดเอาไว้แล้วว่าน่าจะเป็นเรื่องนี้ เขาแค่รอให้มารดาเริ่มเอ่ยก่อนเท่านั้นเขาก็พร้อมจะปฏิเสธไป เขาไม่ต้องการจะเป็นลูกชายที่จะทำตามทุกอย่างอีกต่อไปแล้ว

           “เจ้าปฏิเสธไปเถอะโรเซ่ เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของลูก ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตัดสินใจแทน เข้าใจนะ” เรย์มอนต์เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คำพูดของเจ้าบ้านนับเป็นคำขาดสำหรับคนในบ้านนี้ ทำให้มารดาเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลง

             “แต่…”

            “ขึ้นไปข้างบนก่อนนะโรเซ่ ข้าขอร้องละกัน” เรย์มอนต์ตบไหล่ภรรยาเบาๆก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา น้ำเสียงราบเรียบเป็นสัญญาณบอกว่าเธอกำลังจะข้ามเส้นที่ไม่ควรข้ามแล้ว เธอจึงยอมถอยออกไปแต่โดยดี

            พอภรรยาเดินกลับขึ้นไปข้างบนแล้ว เรย์มอนต์ก็หันมาสบตาบุตรชายทั้งสองที่ยังคงมีสีหน้าประหลาดใจอยู่ เกิดอะไรขึ้นกับบิดาที่มักจะเคร่งครัดต่อทุกสิ่งทุกอย่างของลูกๆ ทำไมถึงออกมาปกป้องดาวิสในประเด็นนี้ได้

           “อะไร เห็นข้าเป็นยังไงกัน นอกจากเรื่องการงานแล้วข้าไม่คิดจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของพวกเจ้าหรอกนะ” เรย์มอนต์ไขข้อข้องใจให้ลูกชายทั้งสอง
 
           “แล้วข้าก็รู้อยู่นานแล้วด้วย ลูกชายข้าเองเห็นอยู่ทุกวันมีหรือข้าจะดูไม่ออก เจ้าไม่ได้ปล่อยให้ออกนอกหน้านอกตาจนเสียหน้าที่การงานข้าก็ไม่ว่าหรอก” เรย์มอนต์พูดเชิงขู่เอาไว้นิดๆขณะที่ทรุดตัวกลับลงไปนั่งอีกครั้ง แต่ก็ทำให้ดาวิสต้องยกมือขึ้นเกาท้ายทอยตัวเองแก้เขินที่บิดารู้เรื่องนานแล้ว พลางนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ตัวเองคว้ามือของอีกฝ่ายมาจับไว้กลางที่ชุมชนก็เสียววาบขึ้นมานิดๆ นั้นเป็นครั้งเดียวที่เจ้าตัวยอมแหกกฏการวางตัวในที่ชุมชนภายใต้เครื่องแบบ เพื่อจะคว้าโอกาสที่นานๆจะแวะเวียนเข้ามาสักครั้งเอาไว้ หลังจากนั้นเขาเองกลับถูกเตือนจากลีนัสที่ไม่น่าจะรู้กฏไปมากกว่าเขา

            “ดามอนต์ไหนๆเจ้าก็ลงมาแล้ว ข้าบอกเจ้าด้วยก็แล้วกัน ว่าหลังจากวันนี้ไปข้าก็ไม่รู้ว่าจะไปปลุกระดมคนที่ต่อต้านระบบนี้มากน้อยแค่ไหน คนที่จะเป็นเจ้าเมืองคนต่อไปตามระบบเดิมได้ตอนนี้มีแค่ลีนัสคนเดียว ข้ากังวลอยู่ว่าลีนัสจะตกเป้าหมายได้ เป็นไปได้ข้าก็อยากจะให้ลีนัสย้ายเข้าไปอยู่ในที่ว่าการตั้งแต่พรุ่งนี้ไป” ดามอนต์ลงมานั่งกอดอกฟังอยู่เงียบๆ ดาวิสรู้ดีว่าคนที่ต่อต้านระบบนี้หนึ่งในนั้นก็มีน้องชายเขาอยู่ด้วย ดาวิสจึงได้นั่งกอดอกจ้องมองอีกฝ่ายกลับไปเช่นกัน

           “ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเป็นลีบลาด้วยขอรับ เมืองอื่นๆก็อยู่กันเองได้ไม่เห็นต้องลำบากพึ่งพาภูติเลย” ในที่สุดดามอนต์ก็เอ่ยค้านออกมา ทำให้บิดาประหลาดใจนิดๆ แต่ก็อธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น

           “แต่เดิมเมืองนี้ก็ตั้งขึ้นมาโดยลีบลามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะพื้นที่เดิมตรงนี้ไม่ได้สงบอุดมสมบูรณ์อย่างตอนนี้นะ มนุษย์ธรรมดาถึงไม่ได้มาตั้งรกรากกันที่นี่ หากเจ้าเมืองไม่ใช่ลีบลาแล้วพื้นที่ตรงนี้ก็จะไม่ได้รับการดูแลจากภูติ อากาศกลับมาแปรปรวนลมมรสุมเข้ามาบ่อยครั้ง” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชาวเมืองทุกคนรู้ดี ถูกสั่งสอนมาทุกรุ่น แต่แน่นอนว่าคนที่สงสัยเหมือนดามอนต์ก็มีไม่ใช่น้อย

           “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่่แต่งขึ้นมาเพื่อให้ผลประโยชน์กับพวกพะ...ลีบลา” ดามอนต์เกือบจะเอ่ยคำว่าพ่อมดออกมา ซึ่งเป็นคำพูดของกลุ่มคนที่ดูถูกลีบลาว่าเป็นกลุ่มคนที่ใช้มนต์ดำชั้นต่ำที่พบได้ทั่วไป ถึงจะยังเอ่ยออกมาไม่หมดดาวิสก็รู้ดีว่าดามอนต์จะพูดอะไร แววตาคมกริบของพี่ชายจ้องมองไปที่น้องชายอย่างไม่พอใจทันที หากบิดาไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น เขาคงจะลุกขึ้นฝากหมัดหนักๆลงอีกรอบ ให้ครบทั้งสองข้างอย่างแน่นอน

           “เฮ้อ..นี่ล่ะน้าที่เรียกว่าเลี้ยงไว้สุขสบายเกินไปจนต้องสร้างปัญหาขึ้นมาทำแก้เบื่อ เอาเป็นว่านั่นก็เป็นความเชื่อของเจ้า แต่หน้าที่ของข้าคือปกป้องระบบนี้จนถึงที่สุด หวังว่าเจ้าคงไม่สร้างปัญหาให้พ่อเจ้าหรอกนะ” เรย์มอนต์ถอนใจออกมา เขาไม่คิดจะเสียเวลาเปลี่ยนความคิดของบุตรชาย ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงกันได้เพียงชั่วข้ามคืน

           “....ที่ท่านพ่อต้องฆ่าคนดีๆคนนึงไปนี่เรียกว่าสุขสบายเกินไปหรือขอรับ” คำถามที่ย้อนกลับมาของบุตรชายทำให้ผู้เป็นพ่อลุกพรวดขึ้นมาทันที

           “ดามอนต์...เห็นแก่ข้าที่เป็นพ่อเจ้าเถอะ อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกได้ไหม ข้าจะไม่เสียเวลาสอนสั่งเรื่องนี้แก่เจ้าอีกต่อไปแล้ว” เรย์มอนต์กำหมัดในมือแน่นเพื่อจะสะกดอารมณ์เอาไว้ไม่ให้ลงไปกับลูกชาย

           “ดาวิส ที่เหลือค่อยคุยต่อพรุ่งนี้แล้วกัน” เขาเอ่ยทิ้งไว้เพียงเท่านั้นก็เดินขึ้นบ้านไปชั้นบน ทิ้งให้สองพี่น้องนั่งมองตากันอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบ

           “น่าแปลกนะ ท่านพ่อพูดเหมือนเสียเวลาเลี้ยงดูข้ามากนักแหละ” ดามอนต์เอ่ยประชดประชันต่อความพยายามอันน้อยนิดของบิดาที่จะสอนสั่งตน นับตั้งแต่ตอนที่ดามอนต์เริ่มเข้าสู่วัยเด็กหนุ่ม เป็นช่วงเวลาที่เรย์มอนต์เริ่มดำรงตำแหน่งรองเจ้าเมืองพอดี จึงไม่มีเวลาที่จะคลุกคลีกับดามอนต์มากนัก คนที่เลี้ยงดูและคอยสั่งสอนเขามักจะเป็นดาวิสและมารดา แต่สุดท้ายดาวิสก็ถูกบิดาเรียกไปช่วยงานอยู่ดี บ่อยครั้งที่เขารู้สึกเหมือนเป็นคนนอก มีเพียงดาวิสที่เพียบพร้อมในสายตาของบิดาเท่านั้นที่ถูกนับเป็นบุตรชายของตระกูล เขาเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆที่ไม่มีวันโต และไม่มีคุณค่าใดๆต่อตระกูล

          “ที่ข้าสอนเจ้ามันไม่เพียงพอรึยังไงดามอนต์” ผู้เป็นพี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประชดประชันไม่แพ้กัน แววตาสีน้ำเงินเข้มสบมองน้องชายอย่างหงุดหงิด เขาเหนื่อยเกินกว่าจะทำตัวเป็นพี่ชายที่อ่อนโยนได้ หลังจากที่เจออะไรๆมากมายในวันนี้

         “...เกินพอแล้วขอรับ” ดามอนต์ประชดกลับมาแล้วลุกเดินหนีแววตาคมกริบของพี่ชายที่กำลังมองเขาเหมือนเป็นสิ่งที่น่ารำคาญชิ้นหนึ่ง








               แววตาสีแดงเพลิงเบิกโพลงขึ้นมาท่ามกลางความมืดในคืนที่ดึกสงัด ในห้องนอนมีเพียงเสียงหายใจเบาๆของน้องชายที่หลับสนิทอยู่บนเตียงข้างๆ ร่างบางค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วทอดมองไปนอนหน้าต่าง เขาไม่อาจจะหลับตานอนได้ในเวลานี้ ทุกครั้งที่หลับตาลงภาพร่างไร้ศรีษะของโลแกนที่นอนแน่นิ่งอยู่ท่ามกลางกองเลือดนั้นก็กลับปรากฏขึ้นมาในประสาททุกครั้งไป

         ลีนัสติดสินใจลุกขึ้นจากเตียงมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อสีดำขลับตัวยาว แล้วเดินออกนอกห้องไปอย่างเงียบกริบ เขาไม่อาจจะทนข่มตานอนต่อไปได้อีกแล้ว จึงตัดสินใจเดินไปที่โบสถ์ที่จะทำพิธีศพในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อไปนั่งสงบจิตใจตัวเอง

         แต่พอว่าที่เจ้าเมืองหนุ่มเดินมาเปิดประตูโบถส์ ก็พบว่ามีเงาของชายร่างสูงยืนอยู่ข้างในคนหนึ่ง เสียงเปิดประตูโบถส์ทำให้ร่างนั้นหันกลับมามอง แสงเทียนอ่อนๆไม่อาจจะทำให้เห็นใบหน้าของเจ้าตัวได้ชัดนัก แต่ลีนัสจำบุคลิกท่ายืนอันสง่าผ่าเผยและรูปร่างของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี

          “ท่านดาวิส…..มาทำอะไรที่นี่ในเวลานี้ขอรับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นพลางปิดประตูโบถส์แล้วเดินเข้าไปหา

          “มารอเจอเจ้าไง” ดาวิสหันมาคลี่ยิ้มให้จางๆ แววตาสีเพลิงช้อนขึ้นมองคนพูดด้วยความประหลาดใจ ตัวเขาเองยังไม่ได้มีความคิดจะเดินมาที่นี่เลยสักนิดกระทั่งเมื่อครู่นี้ ทำไมถึงได้รู้ว่าเขาจะมาที่นี่

          “ข้าตามเดาใจคนปากหนักอย่างเจ้ามากว่าเจ็ดปี แค่นี้มีหรือข้าจะเดาไม่ออก” มือหนายกขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆแววตาสีน้ำเงินเข้มทอดมองอีกฝ่ายกลับไปอย่างเป็นห่วง

          “...ถ้ามันหนักมากก็ระบายออกมาบ้างนะลีนัส เจ้าไม่ต้องเข้มแข็งต่อหน้าข้าหรอก” น้ำเสียงอันอ่อนโยนของดาวิสทำให้หยาดน้ำตาใสๆร่วงผล็อยลงมาจากนัตน์ตาสีเพลิง แขนแกร่งจึงดึงร่างบางขยับเข้ามาโอบกอดไว้ มือหนาลูบแผ่นหลังที่สั่นตามแรงสะอื้นไห้เบาๆโดยไม่เอ่ยกล่าวอะไรออกมา โบถส์หลังใหญ่ภายใต้แสงสลัวๆตกอยู่ในความเงียบสงัด มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆที่สะท้อนก้องออกมา

           เนิ่นนานกว่าเสียงสะอื้นจะหายไป ความรู้สึกเกรงใจร่างหนาที่ต้องยืนปลอบประโลมให้ เริ่มเข้ามาแทนที่ความรู้สึกโศกเศร้า ร่างบางเงยหน้าขึ้นมาจากแผ่นอกหนาช้าๆ ค่อยๆยกมือขึ้นปากคราบน้ำตาออก ขนตายาวที่เปียกชื้นกระพริบมองเจ้าของแววตาคมเข้มครู่หนึ่งแล้วเคลื่อนหลบสายตาไปอีกครั้ง

          “ถ้าข้าต้องร้องแบบนี้ไปถึงเช้าท่านจะทำยังไงขอรับ” ร่างบางแกล้งเอ่ยถามออกมาอย่างเขินอายนิดๆ

         “ข้าก็ยืนได้ถึงเช้านั่นแหละ แต่ข้ามั่นใจว่า ยังไงเจ้าก็ต้องยอมหยุดก่อนที่บาทหลวงจะเข้ามาตอนเช้านั่นแหละ” ดาวิสคลี่ยิ้มตอบกลับมาอย่างมั่นใจ ทำให้ใบหน้าหวานขมวดคิ้วกลับมาอย่างไม่อยากจะเชื่อที่พูดออกมานัก

         “แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ถ้าเจ้ายังไม่จบเนี่ย ข้าขอย้ายไปนั่งบนเก้าอี้ได้ไหม เผื่อข้าจะแอบหลับได้บ้าง” เห็นว่าลีนัสพอจะมีอารมณ์เล่นออกมาได้ ดาวิสจึงแกล้งพูดติดตลกกลับมาพลางชี้ไปทางเก้าอี้ยาวที่เรียงรายกันอยู่ในโบถส์

         “ขอบคุณที่ท่านลำบากออกมาหาข้าถึงนี่ ข้าไม่เป็นอะไรแล้วล่ะขอรับ ท่านกลับไปพักผ่อนเถอะ” ลีนัสรู้ดีว่าอีกฝ่ายน่าจะเหนื่อยกับการทำงานในวันนี้มามาก หลังจากที่ไกล่เกลี่ยสถาณการณ์ต่างๆเสร็จแล้วยังจะอุตส่าห์ออกมาหาเขาที่นี่อีก 

         “นี่ใช้งานเสร็จแล้วไล่ข้ากลับบ้านเลยสินะ” ดาวิสแกล้งแซวกลับไปทำให้ร่างบางต้องรีบแก้ตัวพัลวัน

          “ไม่ใช่อย่างนั้นนะขอรับ ข้าก็กลัวว่าท่านจะไม่ได้พักผ่อน ไม่ได้อยากจะให้ท่านกลับจริงๆเสียหน่อยขอรับ” คำแก้ตัวของร่างบางทำให้ดาวิสกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างได้ใจ

          “จริงๆแล้วเจ้าไม่อยากให้ข้ากลับอย่างนั้นสินะ” ดาวิสทวนความหมายของอีกฝ่ายช้าๆ ยังผลให้ร่างบางหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา แม้จะไม่ชัดเจนนักภายใต้แสงเทียนอ่อนๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้ร่างสูงอารมณ์ดีขึ้นมา

          “แล้วก็เจ้าไม่ต้องห่วงว่าข้าจะพักผ่อนไม่พอหรอกนะ ไว้หลังจากที่เจ้าย้ายเข้ามาที่ทำการเจ้าเมืองแล้ว ข้าจะให้เจ้ากล่อมข้าให้หลับสนิททุกคืนนชดเชยส่วนของวันนี้” ดาวิสก้มลงกระซิบเสียงแผ่วเบาข้างหู อย่างตั้งใจจะสื่อความหมายบางอย่าง ทำให้ลีนัสยิ่งหน้าแดงก่ำออกมา

           “ ...ท่านดาวิส!?” ลีนัสรีบยกมือตัวเองขึ้นปิดหูข้างที่ดาวิสกระซิบใส่ แล้วทำเสียงดุอีกฝ่ายกลับไปเบาๆพร้อมทั้งตีหน้าค้อนใส่ คนถูกดุกลับหัวเราะออกมาจากลำคอเบาๆอย่างพยายามกลั้นเอาไว้

           “ขออภัยๆ ข้าแกล้งเจ้ามากไปหน่อย มานั่งนี่มา ข้าว่าจะถามเรื่องซีมัสเสียหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง” ก่อนที่เจ้าตัวจะโดนเทศนาเรื่องการเคารพสถานที่ ดาวิสรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพลางเดินไปนั่งบนเก้าอี้ยาวตัวหนึ่ง และทำท่าตบที่นั่งข้างๆเรียกอีกฝ่ายมานั่งลง ลีนัสยอมเดินมานั่งข้างๆอย่างว่าง่าย ทว่าแววตายังฉายแววโกรธเคืองอีกฝ่ายอยู่

          “ซีมัสก็ไม่เป็นอะไรมากนักขอรับ ยังเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายอยู่ อาจจะยังรู้สึกแปลกแยกที่ถูกมองแบบนั้นแล้วก็…” ลีนัสเล่ามาถึงตรงนี้ก็เงียบไป ไม่รู้ว่าจะเล่าให้ดาวิสฟังดีหรือไม่

          “แล้วก็ ?” ดาวิสทวนคำด้วยความสงสัย แววตาที่ไม่ยอมสบมองคนเอ่ยถามยิ่งทำให้ดาวิสสงสัยหนักขึ้น

         “...ท่านอย่าเพิ่งรีบตัดสินอะไรจากสิ่งที่ข้าจะเล่าให้ท่านฟังได้ไหมขอรับ” ลีนัสขมวดคิ้วเอ่ยถามอีกฝ่ายก่อนด้วยสีหน้าลำบากใจ

         “ทำไมหรือ ซีมัสบอกรักเจ้าสินะ” ดาวิสเดาไปตามบริบทที่อีกฝ่ายให้ แต่ลีนัสก็ไม่คิดว่าดาวิสจะเดาได้ตรงขนาดนี้

         “...เอ๋?” เห็นร่างบางทำหน้าตกประหลาดใจที่ถูกเดาถูก ดาวิสก็หัวเราะออกมาจากลำคอเบาๆ

        “เจ็ดปีที่ผ่านมาข้าว่าข้าสนิทกับซีมัสยิ่งกว่าเจ้าอีกนะ ข้าพอจะเดาได้อยู่หรอก“ อดีตครูฝึกทหารเอ่ยขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ แววตาสีน้ำเงินเข้มมองทอดออกไปนอกหน้าต่างพลางนึกย้อนไป ถึงตอนที่ซีมัสยังตัวเล็กๆอยู่

         “รู้ไหม ตั้งแต่ที่ข้าเคยสอนเด็กมาทุกรุ่น ข้าไม่เคยเห็นเด็กคนไหนมีเป้าหมายและทุ่มเทกับการฝึกซ้อมขนาดนี้มาก่อน ข้าเคยถามเหตุผลของซีมัสอีกครั้ง และเหตุผลนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือวันหนึ่งเขาจะแกร่งพอที่จะปกป้องเจ้าให้ได้ เหตุผลของเด็กอายุสิบกว่าขวบวันนั้นทำเอาข้าอายเลยนะ” ดาวิสเริ่มต้นเล่าให้ลีนัสฟัง เรื่องนี้ลีนัสไม่เคยรู้มาก่อน เขารู้แต่เพียงว่าซีมัสเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายคนหนึ่ง 

          “ซีมัสไม่ได้มองว่าเจ้าเป็นพี่ชายหรอกนะลีนัส ไม่ใช่แม่ด้วย เป็นยิ่งกว่านั้น เป็นเจ้าของชีวิตของเขาก็น่าจะว่าได้นะ ถ้าความรู้สึกของเด็กที่เพิ่งเข้าสู่วัยรุ่นจะแปรปรวนออกมาแบบนี้ ข้าก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก”

          “ท่านไม่โกรธซีมัส...ใช่ไหม” ลีนัสเอ่ยถามเสียงแผ่ว เขากังวลไม่อยากจะให้เกิดปัญหาจากเรื่องแบบนี้ขึ้น ดาวิสพอจะทำใจเผื่อเรื่องตรงนี้ไว้แล้วบ้าง แต่คำถามของคนรักที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใย ออกตัวปกป้องซีมัส ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ

             “ถ้าจะบอกว่าข้าไม่โกรธเลยคงจะโกหก แต่ข้าก็เข้าใจ เจ้าช่วยตอบคำถามข้าคำเดียวก็พอลีนัส” ดาวิสช้อนใบหน้าหวานขึ้นสบตา จ้องมองลึกเข้าไปในแววตาสีแดงเพลิงของอีกฝ่ายอย่างจริงจังก่อนจะเอ่ยถามต่อ

            “ซีมัสทำให้เจ้าหวั่นไหวไหม” คำถามที่จริงจังนั้นทำให้ลีนัสกรอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด เขาเอียงคอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้แล้วส่ายหน้ากลับมาเบาๆ

            “...เจ้าส่ายหน้าเพราะจะบอกว่าเจ้าไม่หวั่นไหว หรือเจ้าไม่เข้าใจความหมายของข้ากันแน่ลีนัส” แววตาสีน้ำเงินขยับเข้ามาจ้องมองใบหน้าหวานใกล้เข้าไปอีก จนทำให้ลีนัสรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา

            “ข้าจะยกตัวอย่างให้เจ้าเข้าใจง่ายๆ” ดาวิสเอื้อมแขนไปรั้งร่างบางเข้ามากอดไว้ แล้วเคลื่อนริมฝีปากไปกระซิบเบาๆที่ข้างหู

            “ลีนัส ข้ารักเจ้า” สิ้นคำกระซิบแผ่วเบา ใบหน้าหวานก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ตลอดเวลาที่ผ่านมาดาวิสไม่เคยได้เอ่ยคำนี้ออกมาตรงๆให้เขาได้ยินสักครั้ง และตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดว่ามันจำเป็นที่ต้องเอ่ยออกมา ในเมื่อการกระทำของดาวิสที่่ทำอะไรให้เขามากมายขนาดนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่คิดว่าการที่ได้ยินคำนี้กระซิบออกมาจากปากคนรัก จะทำให้เขารู้สึกมีความสุขได้ขนาดนี้

            “ระหว่างคำพูดของข้า กับซีมัส ใครทำให้ใจเจ้าเต้นได้มากกว่ากัน” ดาวิสคลายอ้อมกอดออกมาเพื่อจะสบตารอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย

             “.....” ลีนัสไม่รู้จะเอ่ยอะไรตอบกลับไป สมองเขาแทบจะขาวโพลนเพียงเพราะคำๆเดียว นิ้วเรียวคว้ามือหนาของอีกฝ่ายขึ้นมาวางบนกลางอกของตน เพื่อให้ดาวิสได้รับรู้ถึงแรงเต้นของหัวใจตัวเองที่เหมือนจะระเบิดออกมาเพราะความสุขที่ถาโถมเข้ามามากเกินไป

             ดาวิสคลี่ยิ้มขึ้นมาจางๆเมื่อสัมผัสถึงเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เขาโน้มศีรษะของลีนัสเข้าหาแผ่นอกกว้างของเขาอย่างนุ่มนวล เพื่อให้คนรักได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตนเช่นกัน ดาวิสเองก็ไม่เคยคิดว่า การเอ่ยคำง่ายๆคำนี้มันทำให้เขาต้องตื่นเต้นได้ถึงเพียงนี้

            “ข้าก็รักท่าน” ลีนัสกระซิบเบาๆบอกเจ้าของเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ข้างหู ก่อนจะหลับตาลงฟังเสียงหัวใจของคนรักอย่างตั้งใจ โถงกว้างของโบถส์ก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง



Controversy 1/3 end
[คุยคนเดียว]
หวานกันหยดย้อยบ้างไรบ้าง เขียนไปขนลุกไป (แอร์ลง หนาว)
วันนี้ขยันเคาะบรรทัด อ่านง่ายกว่ามั้ยอ่า มีใครมีวิธีเคาะทีเดียวเสร็จเลยป่ะ เมื่อย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-10-2015 20:52:29 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act 5 Controversy :3/3) 15 Oct.2015
«ตอบ #13 เมื่อ15-10-2015 16:44:15 »

Act.5 Controversy (2/3)

      แสงแดดอ่อนๆในยามเช้าสาดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างโบถส์ แสงสว่างทำให้แพขนตาหนากระพริบลืมขึ้นมาช้าๆ ความรู้สึกปวดหนึบที่เอวและต้นคอเมื่อขยับตัวทำให้หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน เมื่อลืมตาขึ้นมาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็หวนกลับเข้ามาโดยสมบูรณ์ เหตุที่เขาปวดเอวกับต้นคอเพราะเขานั่งหลับไปทั้งๆที่ซบอยู่บนแผ่นอกของดาวิส พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้าคมนั่งหลับพิงแขนตัวเองที่ยันค้ำไว้กับพนักที่นั่ง เป็นท่าที่ไม่น่าจะเชื่อว่าจะหลับอยู่ได้
   
       ถึงจะรู้จักดาวิสมานานหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ลีนัสได้เห็นใบหน้ายามหลับที่ดูไม่มีพิษมีภัยของอีกฝ่าย ครั้งแรกที่ลีนัสมีเวลานั่งพินิจใบหน้าคมเข้มโดยไม่ต้องเกรงใจแววตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองกลับมา เขาเพิ่งสังเกตเห็นขี้แมลงวันเล็กๆที่แอบอยู่ข้างสันจมูกโด่ง เรื่อยขึ้นมามีรอยแผลเป็นจางๆที่หางตาข้างขวา เขาคิดว่านั่นน่าจะมาจากพฤติกรรมซนๆตอนเด็กของเจ้าตัวเป็นแน่ เพราะรอยนั้นเบาบางจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว ลีนัสพยายามนนึกภาพชายหนุ่มผู้นี้ตอนที่ยังเป็นเด็กดื้อจอมซนคนหนึ่ง ภาพที่จินตนาการขึ้นมาทำให้ร่างบางเผลอขำออกมาเบาๆ แรงสั่นจากการหัวเราะทำให้หัวคิ้วของผู้ที่ถูกมองขยับย่นเข้าหากันนิดๆ แต่ก็ยังไม่ลืมตาขึ้นมา
       
      ระหว่างที่ลุ้นว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาหรือไม่อยู่นั้น ลีนัสกก็สังเกตเห็นรอยคล้ำนิดๆที่ใต้ตา ช่วงนี้ดาวิสคงจะพักผ่อนไม่ค่อยพอ เมื่อคืนนี้ยังอุตส่าห์ออกมาหาเขาที่นี่ซ้ำยังปล่อยให้เขาหลับไปทั้งท่านี้โดยไม่ปลุกเขาอีก พอคิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้หวนนึกถึงคำพูดของดาวิสเมื่อคืนนี้ ที่บอกให้เขาไปชดเชยด้วยการกล่อมเจ้าตัวก่อนนอนทุกคืน จังหวะนั้นเองแววตาสีน้ำเงินเข้มก็ลืมขึ้นสบตาเขากลับมาทันที ทำเอาร่างบางสะดุ้งตกใจ

     “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าทำอะไรของเจ้าอยู่” นัยน์ตาคมเข้มขมวดคิ้วมองร่างบางแล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทางที่ไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน จริงๆแล้วเขาตื่นตั้งแต่เจ้าร่างบางขยับตัวลุกขึ้นมาแล้ว เพียงแต่แกล้งหลับตาเอาไว้เพื่อจะรอดูว่าอีกฝ่ายจะทำยังไงต่อไปถ้าเห็นว่าเขายังไม่ตื่น ถึงจะไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเขาก็สัมผัสได้ว่ากำลังถูกร่างบางจับจ้องอยู่ เขาไม่คิดว่าการแกล้งหลับจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นขนาดนี้ ยิ่งรู้ว่าโดนจ้องก็ยิ่งนั่งตัวเกร็งจนเมื่อยไปหมด ซ้ำร้ายอยู่ๆร่างบางก็ขำออกมาอย่างไม่เข้าใจเหตุผลอีกต่างหาก ดาวิสสุดจะทานทนจึงต้องยอมลืมตาขึ้นมา ก็พบกับใบหน้าหวานกำลังนั่งจ้องมองเขาด้วยใบหน้าแดงระเรื่ออยู่

     “ช่วยอธิบายสิ่งที่เจ้าขำออกมาเมื่อครู่ด้วยนะหมายความว่าอะไร แล้ว….” ดาวิสหยุดไปครู่หนึ่ง จากใบหน้าที่ดูงุนงงสงสัยอยู่ๆก็คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา พร้อมโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆแล้วกระซิบถามต่อเบาๆ

     “...ที่เจ้าหน้าแดงอยู่นี่เพราะแอบคิดอะไรไม่ดีอยู่รึเปล่าลีนัส”

     “...!!? ปะเปล่านะขอรับ ท่านนั่นแหละ ตื่นอยู่แล้วแกล้งหลอกข้าว่าหลับอยู่ทำไมล่ะขอรับ” ลีนัสรีบปฏิเสธทันที พร้อมกับรีบไล่ความคิดเมื่อครู่ออกไป

     “ข้าก็แค่ แอบหวังนิดๆว่าเจ้าจะจูบอรุณสวัสดิ์ข้าไหม ไม่คิดว่าเจ้าจะแอบคิดอะไรของเจ้าอยู่คนเดียวแบบนั้น” ยิ่งดาวิสเอ่ยแซวมากเท่าไหร่ ลีนัสก็ยิ่งหน้าแดงมากขึ้นเท่านั้น เห็นแล้วอยากจะฝั่งหน้าลงกับพวงแก้มนุ่มสีมะเดื่อตรงหน้า แต่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของคนข้างนอกกำลังเดินเข้ามาที่โบถส์คนหนึ่ง จึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วจัดท่าทางตัวเองให้เหมาะสม
เสียงประตูโบถส์เคลื่อนเปิดเข้ามาพร้อมกับแสงยามเช้าสาดส่องเป็นเส้นสีทอง ทอดยาวมาถึงกลางโบถส์ เฮมิสเดินเข้ามาในชุดสีดำสนิท แววตาสีเขียวใสทอดมองมายังชายหนุ่มทั้งสองแล้วคลี่ยิ้มออกมา

     “อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านเฮมิส” ดาวิสเอ่ยทักทายเหมือนปกติ

     “มาถึงกันเช้านะ” ลีนัสรู้ดีว่าเฮมิสแกล้งพูดประชด มีหรือที่ลีบลาระดับเฮมิสจะไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน แต่ในเมื่อเฮมิสไม่ได้กล่าวถึง ลีนัสก็ทำตัวตามน้ำไป

     “อรุณสวัสดิ์ขอรับ” ลีนัสลุกขึ้นหันไปเอ่ยทักทายบ้าง

     “ข้าขอยืมตัวว่าที่เจ้าเมืองของข้าครู่หนึ่งนะดาวิส ตามข้ามานี่สิลีนัส” เฮมิสเดินเข้ามาถึงก็กวักมือเรียกลีนัสไปคุยที่ห้องพักข้างหลังทันที แน่นอนว่าลีบลาทั้งสองคนนี้สามารถสื่อสารกันผ่านภูตได้ก็จริง แต่เรื่องสำคัญอย่างมอบตำแหน่งเจ้าเมืองนี้ จำเป็นต้องคุยกันต่อหน้าสักครั้งก่อนจะตัดสินใจประกาศออกไป เฮมิสถึงได้มาที่โบสถ์แต่เช้าเช่นนี้
ดาวิสมองตามหลังทั้งสองคนเดินหายไปที่ห้องข้างหลังแล้ว ก็ขยับยืดเส้นยืดสายขยับคลายข้อมือข้างที่ใช้พิงศีรษะตัวเองมาทั้งคืน อยู่ๆก็มีเสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้นมา

    “อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว บางทีก็ไม่ต้องฝืนขนาดนั้นก็ได้นะขอรับ” ดาวิสหันกลับไปมองที่ต้นเสียงด้านหลัง เห็นซีมัสที่กำลังเดินเข้ามาในโบถส์คลี่ยิ้มทักทายมา
เจ็ดปีที่ผ่านมาทำให้ซีมัสสนิทสนมกับดาวิสพอสมควร การวางตัวที่ไม่ถือตัวอะไรของดาวิส ทำให้ทั้งซีมัสและนายทหารคนอื่นๆ กล้าที่จะแกล้งหยอกเล่นกันบ้างเป็นธรรมดา แต่วันนี้ดูจะข้ามเส้นเกินไป ดาวิสรู้สึกได้ว่าเป็นการหยอกเล่นนี้ ดูจะมีจุดประสงค์แอบแฝงที่ชัดเจนอยู่พอตัว

    "ว่าไงซีมัส มาเช้านะ" ดาวิสเอ่ยทักกลับไปอย่างเป็นปกติ แกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจสิ่งที่ซีมัสเอ่ย

    "ข้าก็ตามท่านพี่มาตั้งแต่เมื่อคืนนั่นแหละขอรับ เพียงแต่ไม่อยากเข้าไปขัดเวลาของท่านพี่" ดาวิสรู้ดีว่าซีมัสมีประสาทหูที่ดีกว่ามนุษย์ทั่วไปเพราะลีนัสเคยเล่าให้ฟัง ไม่น่าแปลกใจอะไรถ้าอีกฝ่ายจะได้ยินบทสนทนาถึงเจ้าตัวเมื่อคืน และนั่นคงจะเป็นเหตุผลที่เด็กหนุ่มแกล้งเอ่ยทักเขาเช่นนั้น ดาวิสไม่อยากจะถือสาว่าความเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะโดนคนที่แอบรักปฏิเสธไป แต่ดูเหมือนซีมัสต้องการจะประกาศสงครามกับเขาจริงๆ

    "คนนอนอยู่ข้างๆลุกออกมาข้างนอกกลางดึก มีหรือข้าจะไม่รู้ตัว" ซีมัสเอ่ยขึ้นมาอย่างตั้งใจจะยั่วให้ดาวิสหึง แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายเพียงแค่ถอนหายใจยาวออกมา

    "เอาอย่างนี้นะซีมัส เจ้ามีอะไรอยากจะบอกข้าก็พูดมาตรงๆเถอะ ข้าขี้เกียดจะเล่นใบ้คำกับเด็กอย่างเจ้า" ดาวิสเอ่ยจี้เข้าที่ปมของอีกฝ่ายกลับไป ซีมัสนึกอยากพุ่งเข้าไปต่อยเจ้าของคำพูดนั้นสักที แต่ก็รู้ตัวทันว่านั่นจะยิ่งกลายเป็นการกระทำที่บ่งบอกว่าเขายังเด็กอยู่จริงๆ เด็กหนุ่มได้แต่ถอนหายใจหนักๆกลับมาอย่างหงุดหงิด

    "...ข้าจะบอกว่า ความรู้สึกของข้าที่มีต่อท่านพี่ไม่ได้เกิดจากความแปรปรวนอะไรอย่างที่ท่านว่า ข้ามั่นใจว่าข้ารักท่านพี่ และข้ายินดีรอจนกว่าท่านพี่จะเปลี่ยนใจไปจากท่าน"

    "เจ้าก็รอไปละกันนะ" ดาวิสคลี่ยิ้มตอบกลับไปอย่างสบายใจ ทำให้ซีมัสยิ่งรู้สึกฉุน

     "รอข้าเป็นการ์เดี้ยนของท่านพี่ก่อนเถอะ ข้าจะมีเวลามากพอที่จะทำให้ท่านพี่หันมามองข้าบ้าง คอยดูสิ" ดาวิสดูจะให้ความสนใจกับหัวข้อนี้ขึ้นมานิดๆจึงเอ่ยถามกลับมา

     "ลีนัสคุยกับเจ้าเรื่องการ์เดี้ยนแล้วรึ"

     "ใช่ ต่อไปหน้าที่ดูแลท่านพี่จะเป็นของข้า ท่านก็ทำงานส่วนของท่านไป" ซีมัสเห็นว่าเรียกความสนใจของอีกฝ่ายได้ก็รีบคุยโวทันที แต่ดาวิสกลับกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่จนต้องพ่นลมออกมาพร้อมกำมือยกมือขึ้นปิดปาก ทำเอาเด็กหนุ่มขมวดคิ้วทำตาขวางมองอีกฝ่ายกลับไป

     "...ขอโทษๆ ไม่มีอะไร ดีแล้วๆ ข้าเคยบอกแล้วไงว่าเจ้าจะได้ช่วยข้าดูแลลีนัสให้ข้า" ตั้งแต่วันแรกที่เขาได้รู้จักลีนัส เด็กหนุ่มร่างบางที่ดูไม่น่าจะทำอะไรได้มาก เดินลุยกองเพลิงเข้าไปพาซีมัสออกมาได้ เขาก็รู้อยู่แล้วว่าลีนัสเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าที่เห็นเยอะ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร จุดอ่อนเดียวของลีนัสที่ทำให้ดาวิสได้มีโอกาสเข้าไปเสนอตัวและมีตัวตนในใจของร่างบางได้ทุกวันนี้ ก็คือซีมัส เด็กลูกครึ่งภูติที่เจ้าตัวได้เดิมพันทุกสิ่งทุกอย่าง อ้าแขนรับภาระอันยิ่งใหญ่นี้ไว้
และดาวิสก็รู้เหตุผลของการเลือกซีมัสเป็นการ์เดี้ยนดี นั่นเพราะ เขาจะได้คอยดูซีมัสอยู่ใกล้ๆ ไม่ปล่อยให้คลาดสายตาไปก่อปัญหาได้ คนที่ถูกดูแลจริงๆแล้วคือซีมัสต่างหาก ดาวิสไม่อยากจะพูดออกไป เพราะถ้าทำให้ซีมัสรู้เข้า อาจจะก่อปัญหาน่าปวดหัวให้ลีนัสได้ จึงรีบปิดบทสนทนาเสีย

     "ถ้าอย่างนั้นข้าฝากลีนัสไว้ที่เจ้าละกันนะ ว่าที่การ์เดี้ยนเจ้าเมือง"ดาวิสตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นขยี้ผมของอีกฝ่ายอย่างเคยชิน

     "นี่ลีนัสตัดให้เจ้าใหม่ใช่ไหม น่ารักดีนะ" ดาวิสเอ่ยทิ้งไว้ด้วยน้ำเสียงเอ็นดูเหมือนว่ากำลังคุยกับเด็กตัวเล็กๆก่อนจะเดินออกจากโบถส์ไป ทิ้งให้เด็กหนุ่มโกรธจนหน้าแดงก่ำอยู่คนเดียวในโบสถ์



      งานศพของโลแกน บุคคลผู้ไร้ซึ่งญาติพี่น้องแล้ว กลับมีแขกเข้าร่วมมากมายและจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ หลังจากที่เสร็จสิ้นงานในช่วงเย็นวันนั้น แขกที่เข้ามาร่วมไว้อาลัยหลายคนยังคงหลงเหลืออยู่เพื่อพูดคุยกับว่าที่เจ้าเมืองหนุ่ม หัวข้อสนทนานั้นไม่ใช่เรื่องที่เฮมิสประกาศจะสละตำแหน่งรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และส่งมอบให้เจ้าตัว แต่หัวข้อสนทนานั้นเกี่ยวกับโลแกนทั้งสิ้น ประหนึ่งว่าเขาเป็นญาติของผู้เสียชีวิตคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ ตั้งแต่เริ่มงานแขกเข้าออกเกือบทุกคนต้องเดินเข้ามาทักลีนัสทั้งสิ้น ถ้าจะมีส่วนที่ไม่ได้เข้าไปทัก ก็เป็นเพราะซีมัสที่ไม่ยอมห่างไปจากพี่ชายแม้แต่น้อย มีคนจำนวนหนึ่งที่ยังจำเขาในร่างภูติ และเปลวเพลิงที่เจ้าตัวทำให้ชาวเมืองตื่นตกใจกันไปยกใหญ่ได้

      ดาวิสที่ยืนมองอยู่ห่างๆแอบคิดอยู่ว่า การแต่งตั้งการ์เดี้ยนที่มีคนเกรงกลัวแบบนี้ก็เป็นข้อดีไม่น้อย ที่ช่วยให้คนไม่กล้าทำอะไรหรือแม้แต่พูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจของลีนัสต่อหน้าการ์เดี้ยน แต่ก็มีคนที่ไม่รู้สึกเกรงกลัวอยู่เช่นกัน

     “ท่านว่าที่เจ้าเมือง ข้าน่ะรู้จักท่านโลแกนมานานมากแล้ว ข้ารู้ว่าท่านก็รู้ดี ว่าท่านโลแกนเป็นคนดี ข้าถามจริงๆเถอะ หากเป็นท่าน ท่านจะทำเช่นนี้ไหม” คำถามที่มีใครหลายต่อหลายคนอยากจะรู้ แต่ไม่กล้าถาม ในที่สุดก็โพล่งออกมาจนได้ ทั้งดาวิสกับบิดาที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนัก ได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย ก็รีบหันไปมองคนเอ่ยถามทันที

     “...ดามอนต์” ดาวิสเห็นว่าเป็นน้องชายของตนก็รีบเดินไปหาเพื่อจะดึงตัวออกมา แต่ก็ถูกเฮมิสยกมือขึ้นมาแตะที่ไหล่หนาเพื่อบอกให้เขาหยุดรออยู่ตรงนั้น

     “เจ้าไม่ต้องทำอะไรหรอกดาวิส ถ้าเรื่องแค่นี้ลีนัสจัดการเองไม่ได้ ข้าไม่เลือกให้เป็นเจ้าเมืองหรอก” ดาวิสเข้าใจว่าการปกป้องลีนัสมากเกินไปจะทำให้คนมองว่า ลีนัสเป็นแค่เจ้าเมืองหุ่นเชิดของตระกูลเฮนดริคเซ่น ที่เป็นรองเจ้าเมืองมาหลายสมัย สิ่งที่ดาวิสกังวลไม่ใช่เรื่องคำถามก่อกวนที่ทำร้ายจิตใจนั่น แต่กังวลพฤติกรรมของดามอนต์ที่เคยตั้งใจจะฆ่าซีมัสเมื่อคืนนี้ต่างหาก
แววตาสีเขียวใสของดามอนต์หันมาประทะกับพี่ชายที่มองมาอย่างกังวล ดามอนต์ก็ยกมุมปากขึ้นมานิดๆอย่างตั้งใจจะยียวนพี่ชายตัวเอง ดาวิสอยากจะเข้าไปขวางดามอนต์เดี๋ยวนั้น แต่ฝ่ามือของเฮมิสที่แตะเบาๆอยู่บนไหล่ไม่ยอมยกออกไปไหนจนกว่าเขาจะยอมถอย

     “เจ้าต้องการอะไรดามอนต์” ถึงดาวิสจะไม่ได้เข้าไปขวาง แต่ก็ยังมีซีมัสที่อยู่ใกล้ที่สุด เดินเข้ามายืนข้างหน้าลีนัส

     “ไงซีมัส แข็งแรงดีนะเจ้าน่ะ” ดามอนต์คลี่ยิ้มทักทายอีกฝ่ายกลับไปอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่จะขยับปากพูดอะไรบางอย่างออกมา ทำให้อยู่ๆซีมัสก็เดือดดาลขึ้นมา

     “เจ้า!!” ซีมัสยกมือขึ้นจับปกคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาจะเอาเรื่อง แต่ลีนัสรีบยกมือขึ้นมาวางบนมือข้างนั้นของซีมัสทันที เป็นสัญญาณบอกให้หยุดโดยไม่ต้องเอ่ยปากพูดออกมา มือแกร่งยอมปล่อยออกจากคอเสื้อของดามอนต์ทันที แล้วย้ายมาจับมือของลีนัสแทน

     “ขออภัย ที่ทำให้ตกใจ” ลีนัสหันไปขอโทษแขกแถวนั้น พลางดึงมือให้ซีมัสกลับมายืนข้างหลังอย่างว่าง่าย 

     “ส่วนคำถามเมื่อครู่ของเจ้า ขอบใจที่เจ้าถามออกมา ข้าเชื่อว่าหลายคนในที่นี้เองก็อยากจะทราบ แต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยถาม” ลีนัสกวาดตามองแขกที่ยืนอยู่รอบๆแถวนั้นก่อนจะเอ่ยตอบออกมาด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด

    “ไม่ว่าจะในฐานะไหน ข้าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ขอรับ แต่ข้าก็เคารพการติดสินใจของท่านเฮมิสที่ดูแลเวลเฮมมิน่ามาเกือบยี่สิบปีอย่างราบรื่นด้วยเช่นกัน" ลีนัสตอบกลับมาด้วยความจริงใจ ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านหลายคนที่รอฟังคำตอบอยู่

     "หากข้าเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินเรื่องนี้ ผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนกันขอรับ หากแต่คนที่เจ็บที่สุด ไม่ใช่ท่านเฮมิส แต่เป็นตัวข้าเอง" ลีนัสรู้ดีว่ามันหนักหนาเพียงไรที่ต้องตัดสินใจไปเช่นนั้น หากเป็นตัวเขาเองอาจจะยังทำใจไม่ได้ถึงตอนนี้ แววตาที่แสดงความเสียใจของลีนัส ทำให้ผู้ฟังรู้สึกเห็นใจตามไปด้วย แต่ผู้ที่เอ่ยถามกลับไม่พอใจกับคำตอบนั้นสักนิด

     “ข้าไม่เข้าใจพวกเจ้าเลยสักนิด ทำไมถึงได้เชื่ออะไรง่ายอย่างนี้นะ ข้ายังไม่เห็นว่าเรื่องกฏระเบียบนั่นมันควรจะสำคัญขนาดนั้นเลย” ดามอนต์มองคนรอบข้างอย่างหงุดหงิด พร้อมบ่นออกมาก่อนจะปลีกตัวจากไป แต่ลีนัสก็เดินตามไปแตะไหล่อีกฝ่ายเบาๆเพื่อรั้งไว้

    “เดี๋ยวก่อนดามอนต์ ข้ายังมีเรื่องที่......” ไม่ทันได้เอ่ยไปมากกว่านั้น ดามอนต์ก็สะบัดมือของเขาออก

    “อย่ามาจับข้า!! เจ้าพ่อมด” ดามอนต์ตะโกนทิ้งไว้ก่อนจะเดินหนีหายไป แขกในงานได้ยินเช่นนั้นถึงกับตกใจแทนคนที่ถูกกล่าวหาเช่นนั้น ซีมัสเห็นกิริยาของดามอนต์ที่มีต่อพี่ชายของตนก็หงุดหงิด อยากจะตามไปลากตัวกลับมาขอโทษ แต่ลีนัสยังคงจับมือของเขาเอาไว้แน่น เป็นสัญญาณที่บอกให้เขาอยู่เฉยๆ จึงได้แต่อดทนยืนมองแผ่นหลังของดามอนต์วิ่งหายไปด้วยความโกรธเคือง

     “ข้าขอโทษด้วยที่สอนน้องชายตัวเองไม่ดีเอง เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย” ดาวิสเดินมายืนข้างๆลีนัสแล้วเอ่ยขอโทษ ทว่าร่างบางยืนนิ่งงันไม่เอ่ยตอบอะไรกลับมา

     “ลีนัส?” ดาวิสเรียกอีกครั้งกังวลว่าดามอนต์จะพูดแรงเกินไป จนทำให้ลีนัสเงียบไปแบบนี้ ลีนัสหันมาขมวดคิ้วมองดาวิสอย่างแคลบแคลงใจโดยที่ไม่เอ่ยอะไรออกมา ก่อนจะหันกลับไปยิ้มจางๆให้แขกคนอื่นๆ

     “ขออภัยทุกท่านด้วยนะขอรับ ข้ามีภาระกิจอื่นที่ต้องสะสาง ขอตัวเพียงเท่านี้ เอาไว้โอกาสหน้าค่อยคุยกันใหม่นะขอรับ” ลีนัสโค้งศรีษะลาแขกแล้วหันมาเอ่ยสั้นๆกับดาวิส

    “ข้ามีเรื่องต้องคุยกับท่าน” ลีนัสเรียกให้ดาวิสเดินตามเขาไป โดยที่ยังจับมือซีมัสไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ดาวิสรู้สึกประหลาดใจที่ลีนัสพูดเชิงออกคำสั่งกับเขาเป็นครั้งแรก อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนได้ทำความผิดอันร้ายแรงเข้าให้อย่างบอกไม่ถูก เพราะมีน้อยครั้งนักที่จะได้เห็นลีนัสโกรธ แค่คำพูดของดามอนต์แค่นั้นไม่น่าจะทำให้ลีนัสโกรธได้ถึงขนาดนี้ ดาวิสคิดไปพลางเดินตามเจ้าตัวเข้าไปในห้องเล็กที่ใช้สำหรับเก็บของอยู่ข้างๆโบถส์

    “ข้าขอโทษนะซีมัส ข้าขอคุยกับท่านดาวิสก่อน” ลีนัสหันไปเอ่ยบอกพร้อมกับยกมือขึ้นแตะเบาๆที่ข้างขมับเด็กหนุ่ม
 
    “ขอรับ?....” ซีมัสเอ่ยถามกลับมาด้วยสีหน้างุนงงแล้วอยู่ๆก็รู้สึกสลึมสลือทันที เปลือกตาอันหนักอึ้งปิดลงมาพร้อมกับร่างหนาที่ทรุดฮวบลงมาพิงที่ลีนัส ดาวิสจึงเดินเข้าไปช่วยพยุงร่างของซีมัสที่หลับไม่รู้เรื่องลงมานั่งพิงกำแพงเอาไว้ ลีนัสทรุดตัวลงมานั่งข้างๆ ไล่ปลายนิ้วเสยปอยผมสีทองของน้องชายขึ้นเบาๆ แววตาสีเพลิงจ้องมองใบหน้าซีมัสที่หลับสนิทด้วยความเอ็นดู ดาวิสแอบคิดอยู่ว่าสายตาที่แอบมองเขาตอนหลับเมื่อเช้านี้จะเป็นแบบนี้เหมือนกันไหม

     “...ไม่คิดว่าปีศาจอย่างเจ้าจะหนังเหนียวขนาดนี้…” ลีนัสเอ่ยออกมาเบาๆ

    “หะ?” แววตาอ่อนโยนนั้นอยู่ๆก็ดูแข็งกร้าวแล้วหันมาจับจ้องที่ดาวิสแทน

    “นั่นคือสิ่งที่ดามอนต์กระซิบบอกซีมัส ท่านรู้ไหมว่าน้องชายท่านเป็นคนแทงซีมัสเมื่อคืนนี้” ลีนัสว่าพลางลุกขึ้นยืนแล้วยกมือขึ้นกอดอกถามดาวิสด้วยสีหน้าจริงจัง

     “อา…..” ในที่สุดดาวิสก็พอจะเข้าใจต้นเหตุของอาการโกรธเคืองของพ่อพระผู้อ่อนโยนคนนี้แล้ว

     “ข้ารู้” ดาวิสตอบรับตรงๆพร้อมกับลุกขึ้นประชันหน้าอีกฝ่ายกลับไปบ้าง เขานึกรำคาญใจนิดๆ ที่ว่าเรื่องที่ทำให้ลีนัสโกรธขึ้นมาขนาดนี้ได้เป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับซีมัส

     “แล้วท่านก็ปล่อยไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือขอรับ” ลีนัสขมวดคิ้วถามอย่างไม่พอใจ

    “ข้าไม่ได้ปล่อย เมื่อคืนนี้ข้าก็คุยกับดามอนต์เรื่องนี้แล้ว…” ดาวิสคิดย้อนกลับไปถึงเมื่อคืน ที่สุดท้ายแล้วมารดาของตนก็ออกมาปกป้องน้อง แล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น นึกแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาตงิดๆ

    “แล้วยังไงขอรับ” ลีนัสคาดครั้นต่อ

     “แล้วยังไง..?” ดาวิสนึกทวนคำถามอย่างหงุดหงิด  ทำไมลีนัสถึงพูดให้รู้สึกเหมือนการที่ดามอนต์ทำร้ายซีมัสเป็นความผิดของเขาอย่างไรอย่างนั้น ดาวิสถอนหายใจหนักๆพยายามจะสงบสติอารมณ์ตัวเอง

    “ลีนัส เจ้าอยากให้ข้าทำยังไงบอกข้ามาแล้วกัน ข้าก็ไปต่อกับเรื่องนี้ไม่ถูกเหมือนกัน”

     “อย่างน้อยๆท่านก็น่าจะบอกข้าให้รู้เรื่องนี้นะขอรับ” คำตอบนั้นนั้นทำให้ดาวิสต้องหายใจเข้าปอดลึกๆอีกครั้ง เขารู้สึกว่านี่เป็นด่านสุดท้ายที่เขาจะข่มกลั้นอารมณ์และยังคุยด้วยเหตุผลต่อไปได้

    “ลีนัส เจ้าจะให้ข้ารายงานเจ้าตอนไหนเหรอ เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ข้าเพิ่งจะได้คุยกับดามอนต์เมื่อคืนนี้ เจอหน้าเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะรับเรื่องไปมากกว่านี้ ข้าถึงได้ยังไม่คุยกับเจ้าเรื่องนั้น เข้าใจไหม” ดาวิสตั้งใจเน้นย้ำคำว่า”รายงาน”เพื่อจะประชดประชันอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

     “...ท่านดาวิส บางทีข้าก็เบื่อที่ท่านปกป้องข้ามากเกินไป ข้าไม่ใช่คนที่อ่อนแอขนาดนั้นนะขอรับ บางทีข้ารู้สึกว่าข้าอาจจะอ่อนแอเพราะมีท่านที่คอยปกป้องข้ามากเกินไปอยู่ เช่นกันกับที่ท่านปกป้องน้องชายของท่านเอง ทั้งๆที่ทำผิดลงไปแต่ท่านก็ไม่ทำได้ทำอะไร ถึงได้โตมาเป็นแบบนี้ไงล่ะขอรับ” ดาวิสรู้สึกได้ถึงเส้นบางๆเส้นหนึ่งที่ขวางกั้นอารมณ์ของเขาเอาไว้ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี เขาเป็นคนที่ไม่เคยเห็นด้วยกับการที่มารดาของตนปกป้องดามอนต์เกินเหตุ แต่เขาก็ทำอะไรมากไม่ได้ พอโดนกล่าวหาว่าเป็นคนปกป้องน้องเสียเองแบบนี้ ทำให้เขาล้มเลิกความพยายามที่จะคุยดีๆกับอีกฝ่ายไปในทันที

    “ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าจะกล้าสั่งสอนข้าเรื่องนี้ได้ ทั้งๆที่เจ้านั่นแหละ ที่ปกป้องประคบประงมน้องชายมากเกินไป ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วที่เจ้าไม่ยอมปล่อยให้ซีมัสอยู่ห่างจากตัว เวลาอยู่กับข้าเจ้าก็ชอบถามถึงแต่ซีมัส จนทำให้ข้าหงุดหงิด ไหนเอยที่เจ้าจะแต่งตั้งซีมัสเป็นการเดี้ยน ก็เพราะกลัวว่าซีมัสจะกลับเข้าไปทำงานกับคนอื่นไม่ได้แล้ว กลัวว่าจะเกิดปัญหา ถึงได้เอามาไว้ใกล้ๆตัวไม่ใช่รึไง ทำไมข้าจะไม่รู้ ไหนบอกข้าสิว่าใครกันแน่ที่ปกป้องน้องมากเกินไป” ดาวิสระเบิดออกมาชุดใหญ่ ทำเอาร่างบางชะงักไปไม่ใช่น้อย จริงอยู่ที่ช่วงแรกๆลีนัสมักจะถามถึงซีมัสอยู่บ่อยๆ นั่นเป็นข้ออ้างที่เจ้าตัวใช้ในการเข้าบทสนทนา และอาจจะใช้มากไปจนเคยชิน ไม่ทันได้รู้เลยว่านั่นจะทำให้ดาวิสแอบหงุดหงิดมาตลอด

     “...ข้า…” 

    “ดูเหมือน ข้าจะเป็นตัวปัญหาตรงนี้นะขอรับ” อยู่ๆซีมัสที่น่าจะนอนหลับพิงผนังห้องอยู่ก็เอ่ยแทรกขึ้นมา

    “...ซีมัส” ลีนัสหันไปมองซีมัสด้วยความประหลาดใจ ทำไมเวทย์ที่ร่ายไปถึงใช้ไม่ได้กับซีมัส

     “ดูเหมือนเวทย์ของภูติระดับล่าง ทำอะไรภูติระดับบนไม่ค่อยได้เท่าไหร่นะขอรับ ทะเลาะกันเสียงดังขนาดนี้ ไม่ให้ข้าตื่นก็แย่แล้วล่ะ” ซีมัสลุกขึ้นยืนบ้างพร้อมกับเอ่ยบ่นเหมือนคนอยากจะนอน แต่ถูกปลุกให้ตื่น

      “ท่านพี่….ข้าขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านต้องลำบากขนาดนี้” ซีมัสเดินมาเตะไหล่พี่ชายตัวเองเบาๆ เอ่ยทิ้งไว้สั้นๆแล้วเดินปลีกตัวออกไปจากห้องๆนั้น

    “เดี๋ยว ซีมัส เจ้าจะไปไหน” ลีนัสเดินไปจะคว้าท่อนแขนของน้องชายเพื่อรั้งตัวเอาไว้ แต่ซีมัสก็สะบัดทิ้งไปอย่างไม่ใยดีแล้วเดินหนีหายออกไป

     “ข้ายังคุยกับเจ้าไม่จบนะลีนัส แล้วเจ้าจะตามไปตอนนี้ยังไงก็ไม่ทันซีมัสหรอกนะ” ดาวิสเอ่ยดักลีนัสไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งตามซีมัสออกไป ร่างบางหันกลับมาที่ดาวิสครู่หนึ่งอย่างลังเลใจ

     “ขอโทษขอรับ เรียบร้อยแล้วข้าจะรีบไปหาขอรับ” ลีนัสก้มหัวขอโทษอีกฝ่ายแล้วรีบผละจากไป เหมือนเห็นเหตุการณ์ซ้ำกับเมื่อคืนนี้อีกครั้ง คิดแล้วก็ถอนหายใจยาวออกมา

       “...เมื่อไหร่จะโตๆกันเสียที…”


2/3End ต้องใช้3ตอน....เกินมา100ตัว = =''

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act 5 Controversy :3/3) 15 Oct.2015
«ตอบ #14 เมื่อ15-10-2015 17:06:19 »

Act 5 : Controversy (3/3)


       ถนนอันเงียบสงัดที่วิ่งตรงเข้าสู่เขตป่า เป็นเส้นทางที่มีเพียงพรานและคนตัดไม้ใช้เดินผ่านเท่านั้น จึงไม่ค่อยมีใครสัญจรไปมาแถวนี้นัก ตอนนี้มีเพียงเงาของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนยกมือพิงต้นไม้อยู่ เสียงหายใจหอบเบาๆแว่วขึ้นมาแทรกเสียงลมอ่อนๆที่พัดโดนใบไม้ใบหญ้า ลีนัสวิ่งตามหลังซีมัสออกไปได้ไม่นานนัก เขาก็วิ่งตามไม่ทันจนคลาดสายตาเหมือนเคย เขานึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจ รู้ทั้งรู้ยังไงก็วิ่งตามเด็กหนุ่มที่มีสุขภาพแข็งแรง ซ้ำยังเป็นลูกครึ่งภูติอย่างซีมัสไม่ทัน แล้วยังจะออกมาวิ่งตามแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง

      พอคิดถึงเหตุการณ์ซ้ำๆอย่างเมื่อวานนี้แล้ว ทำให้ลีนัสรู้สึกตัวว่าการเลี้ยงดูซีมัสของเขาอาจจะผิดพลาดไปจริงๆอย่างที่ดาววิสว่า พอนึกขึ้นได้เขาก็เลิกที่จะตามหาต่อไป เพราะยิ่งวิ่งตามซีมัสก็มีแต่จะหนีไปไกลขึ้นเรื่อยๆ เขาควรจะปล่อยให้ซีมัสอยู่นอกสายตาเขาดูบ้าง
 
      ลีนัสยืนพักพอจะหายเหนื่อยก็ตัดสินใจเดินกลับไปเพื่อจะขอโทษดาวิสอีกครั้ง ยิ่งคิดถึงสิ่งที่เขาพูดไปเมื่อครู่ก็ยิ่งรู้สึกผิด และคำพูดของดาวิสที่พูดถึงการติดสินใจของเขาเองก็ไม่ผิดเลยสักนิด เขาปกป้องซีมัสมากเกินไปจริงๆ ยิ่งหวนคิดไปก็ยิ่งละอายใจ ทำไมเขาถึงไม่สามารถจะสุขุมได้อย่างดาวิสบ้าง ตัวเองกำลังจะต้องเป็นเจ้าเมืองอยู่แล้วแท้ๆ

      “ทำลูกหมาหลุดหายอีกแล้วหรือ ท่านว่าที่เจ้าเมือง” น้ำเสียงเอ่ยทักอย่างเสียดสีแว่วขึ้นมา ทำให้ลีนัสดึงตัวเองที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดกลับมา เงยหน้าขึ้นมองที่ทางเดินเบื้องหน้า เห็นดามอนต์และทหารนายคนสนิทยืนอยู่อีกสองนาย ลีนัสมองดูรอบข้างก็ไม่เห็นว่าจะเป็นที่ที่เจ้าตัวจะบังเอิญเดินผ่านมาสักนิด หนำซ้ำยังจะรู้เสียอีกว่าเขาออกมาตามซีมัส
   
     “มีธุระอะไรกับข้าหรือดามอนต์” ลีนัสเอ่ยถามไปตามหน้าที่ ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเองตกเป็นเป้าหมายอยู่

     “จริงๆข้าไม่ได้อคติอะไรกับท่านเป็นการส่วนตัวหรอกนะ แต่การมีอยู่ของท่านมันขวางความเจริญของคนที่นี่ ให้ท่านไปอีกคนนึงท่านโลแกนจะได้ไม่เหงาไงล่ะ ท่านว่าดีไหม” ดามอนต์ว่าพลางชักดาบออกจากฝักแล้ววิ่งพุ่งเข้าหาลีนัสพร้อมๆกับทหารอีกสองคนที่มาด้วยกัน

      ลีนัสคิดไว้แล้วว่าจะต้องลงเอยแบบนี้ เขาเพียงสบัดปลายนิ้วเบาๆ ท่อนน้ำแข็งท่อนใหญ่ปลายแหลมก็ผุดขึ้นมาจากพื้นดินสูงกว่าส่วนสูงของชายหนุ่มเล็กน้อย เรียงล้อมรอบคนสามคนไว้เป็นกรงขังอย่างดี ทำให้ผู้ที่บุกเข้ามาต้องหยุดวิ่งกระทันหัน
ทั้งสามคนพยายามเอาดาบฟังน้ำแข็งให้แตกออกก็ไม่ออก จะปีนข้ามออกไปก็ลื่นเกินกว่าจะจับไว้ได้ โดยปกติแล้วหน้าที่หลักๆของลีบลานั้น เน้นไปในเรื่องของเรียกลมเรียกฝนช่วยเหลือการเพาะปลูก ไม่ค่อยได้ทำเรื่องพวกนี้ให้เห็นสักเท่าไหร่ จึงมีใครหลายคนเข้าใจว่าลีบลาทำได้แค่เวทย์สนับสนุนเล็กๆน้อย รวมถึงดามอนต์เองด้วย เขาไม่คาดคิดว่าแผนการของเขาที่หวังจะปิดปากว่าที่เจ้าเมือง ในจังหวะที่ไม่มีใครคุ้มกัน จะล้มไม่เป็นท่าได้ง่ายดายเพียงนี้

    “อ๊า!!! เจ้าพ่อมด เจ้าขี้โกง!!” ดามอนต์ตะโกนโวยวายไม่พอใจออกมาเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ลีนัสรู้สึกแปลกใจนักว่า ดามอนต์ที่อายุไล่เลี่ยกับเขาทำไมถึงได้ไม่ยอมโตขึ้นมาเหมือนพี่ชายของเจ้าตัวบ้าง เขารู้จักดาวิสมาตั้งแต่เจ้าตัวอายุน้อยกว่าดามอนต์ในตอนนี้ ไม่เคยมีตอนไหนที่ดาวิสจะมีมุมแบบนี้เลยสักนิด

     “วันนี้ข้าไม่มีเวลามานั่งเทศนาให้พวกเจ้าฟัง นั่งสำนึกผิดอยู่ในนั้นกันไปก่อนจนกว่าน้ำแข็งจะละลายก็แล้วกัน” ลีนัสว่าพลางเดินอ้อมกรงน้ำแข็งของเขาผ่านไปอย่างไม่ติดใจอะไร นอกจากแผนการจะล้มเละเทะเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่วางแผนแกล้งผู้ใหญ่แล้ว ลีนัสยังจะเมินเฉยต่อพวกเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกต่างหาก

      พอลีนัสหันหลังให้เพื่อจะเดินกลับไปตามทาง ดามอนต์ก็ชักมีดสั้นที่เก็บไว้ในรองเท้าบู๊ทออกมาปาใส่ลีนัสตามหลังไปด้วยความโกรธแค้น ลีนัสเองก็ไม่ได้คิดถึงว่าดามอนต์ยังจะยังไม่ละความพยายามและลอบกัดเขาแบบนี้ กว่าที่ภูติตัวน้อยตรงนั้นจะบอกเขาให้หลบไปได้ทัน คมมีดสั้นก็ปักเข้าที่สะบักซ้ายของเขา แรงเหวี่ยงของมีดสั้นที่ปักลงมา ประสานกับความเจ็บปวดที่จู่โจมประสาทสัมผัส ทำให้ลีนัสทรุดลงไปนั่งคุกเข่าลงกับพื้น มือข้างซ้ายของเขาเริ่มสั่นนิดๆและชาที่ปลายนิ้ว ลีนัสใช้มือข้างขวาเอื้อมไปจับด้ามมีดเพื่อจะดึงออกมา แต่ด้วยตำแหน่งที่ยากแก่การดึงและเรี่ยวแรงที่ไม่มากพอ ทำได้แต่ขยับนิดๆยิ่งทำให้ปากแผลมาขยายใหญ่ขึ้น เสียเลือดออกไปมากขึ้น ลีนัสกำลังคิดว่าจะต้องขอแรงภูติมาช่วยดึงมีดเล่มนี้ออกแล้วค่อยรักษาแผลเสียแล้ว


      “ท่านพี่!!!” ลีนัสได้ยินเสียงของซีมัสตะโกนลั่นออกมาจากด้านหลัง แต่ตอนนี้ลีนัสชักจะรู้สึกว่าหูอื้อขึ้นมานิดๆ ไม่แน่ใจว่าตัวเองหูแว่วไปรึเปล่า จนกระทั่งท่อนแขนแกร่งของซีมัสเข้ามาประคองร่างของลีนัสที่กำลังจะทรุดลงกับพื้นไว้

      “...อ่า ซีมัสจริงๆด้วย พอดีเลย ช่วยดึงมีดออกไปที ข้ารักษาแผลเองไม่ได้” ลีนัสคลี่ยิ้มจางๆหลังจากยกมือขึ้นมาแตะใบหน้าของน้องชาย เพื่อจะยืนยันว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขามีตัวตนจริงๆไม่ได้เสียเลือดจนเพ้อไปเอง 

      ถึงแม้ลีนัสที่อยู่ในชุดสีดำจะบดบังทำให้ไม่เห็นคราบเลือดสีแดงสด แต่สัมผัสจากกลิ่นคาวเลือดที่เลอะเปื้อนบนใบหน้าของซีมัสจากปลายนิ้วของเจ้าตัว กับร่างที่อ่อนปวกเปียกยืนพิงซีมัสอยู่นั้น ทำให้เด็กหนุ่มโกรธจนสมองไม่สามารถจะรับรู้อะไรได้อีกแล้ว

     “ดามอนต์!! นี่มันเกินไปแล้ว!!” ซีมัสตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น จังหวะนั้นเองที่ลีนัสเห็นว่าสีผิวของน้องชายตนนั้นเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลส้มอีกครั้ง และเรือนผมยาวสีเทาก็งอกยาวลงมา ตามด้วยสัมผัสจากไอร้อนของเปลวเพลิงมาจากด้านหลัง ลีนัสจึงรีบหันกลับไปมองด้วยความตกใจ

     กรงน้ำแข็งของเขาที่ได้ทำเอาไว้มลายหายไปจนหมดสิ้น ตอนนี้กลายเป็นเปลวเพลิงสีน้ำเงินกองใหญ่พวยพุ่งสูงลิ่วขึ้นไปบนฟ้า แสงสว่างสีน้ำเงินตัดกับแสงแดดสีส้มในยามเย็นเด่นชัดจนน่ากลัว เสียงร้องโอดครวญทรมานของคนในกองเพลิงแว่วดังออกมา

     “ซีมัส!!!หยุดเดี๋ยวนี้!!” ลีนัสตะวาดน้องชายเสียงเข้ม มือก็บีบท่อนแขนของซีมัสไว้แน่นเพื่อเรียกสติอีกฝ่ายกลับมา
ในที่สุดเปลวเพลิงก็สงบลงและจางหายไป เหลือทิ้งไว้แต่เพียงกลิ่นเหม็นไหม้ที่ลอยคละคลุ้งไปทั่ว และร่างสีดำสนิทสามร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหญ้าที่ไหม้เกรียม ภาพตรงหน้าทำให้ลีนัสต้องยกมือขึ้นกุมขมับ ตอนนี้สมองของเขาว่างเปล่าขาวโพลนคิดอะไรต่อไปไม่ออกอีกแล้ว เข่าสองข้างที่ค้ำยันร่างเอาไว้ก็เหมือนจะหมดเรี่ยวแรงไปด้วย จนต้องทิ้งมือสองข้างลงบนพื้นดินเพื่อพยุงร่างของตัวเองเอาไว้

      “เจ้าทำแบบนี้ทำไมซีมัส!!” ลีนัสหันมาตวาดใส่น้องชายทั้งใบหน้าที่เปื้อนทั้งคราบเลือดและคราบน้ำตา

     “ทุกคนในนั้นตั้งใจจะฆ่าท่านนะขอรับ!!” ซีมัสเเถียงกลับ

      “ข้ารู้!! แต่นั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา”

      “มันใช่สิ!!” ไม่ว่ายังไงซีมัสก็ยังเถียงลีนัสกลับมาไม่เลิก จนลีนัสต้องเงียบไปเพื่อตั้งสติ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาต่อปากต่อคำกับซีมัสเลยสักนิด เปลวเพลิงสีฟ้าสว่างเมื่อครู่นี่จะทำให้คนแห่กับมาตรงนี้ไม่ช้าก็เร็ว ถ้าเขาไม่รีบจัดการเรื่องตรงนี้ให้เสร็จ จะยิ่งปานปลายไปกันใหญ่

      “…...พอแล้วซีมัส นี่มันหนักเกินไปสำหรับข้า” ลีนัสเอ่ยขึ้นมาเบาๆพร้อมกับขยับตำแหน่งมือทั้งสองข้างทาบลงกับพื้นดินตรงหน้า ปรากฏรูปตราเวทย์สีส้มขึ้นมา

       “...ท่านพี่?” ซีมัสเอ่ยถามอย่างงุนงง ทันใดนั้นเองก็ปรากฏภูติร่างใหญ่ ที่มีศีรษะเป็นกระทิงขนสั้นเตียนสีน้ำตาลส้มมัดกล้ามแน่น ยืนเด่นสง่าอยู่กลางวงเวทย์นั้น ซีมัสจำภูติตนนี้ได้ขึ้นใจ นั่นคือภูติที่ตั้งใจจะเอาชีวิตของเขาไปในวันที่เขาไปพบกับลีนัสนั่นเอง

      “ช่วยพาซีมัสไปจากที่นี่ที” ลีนัสเอ่ยขึ้นมาเบาๆอย่างคนใกล้จะหมดเรี่ยวแรง

      “ท่านพี่!? ท่านอย่าทำกับข้าแบบนี้!!” ซีมัสเอ่ยค้าน แต่ไม่ทันได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น เขาก็โดนภูติร่างยักษ์คว้าเอวแล้วหิ้วขึ้นพาดบ่า แล้วกระโดดหายไปจากตรงนั้นทันที

       “....ลาก่อนซีมัส” ลีนัสกระซิบออกมาแผ่วเบาหลังจากที่น้องชายของตนโดนหิ้วออกไปไกลแล้ว











ตอนนี้เราทำลายสิถิติไปยัง ลงมา5ตอนโดยมีคอมเม้นแทรกขึ้นมาเพียง1คอมเม้นถ้วน มันไม่มีคนอ่านจริงๆใช่มั้ยอ่ะ 555
เลิกอัพเลิกๆ :ling1:





ขออภัยคนที่อ่านไปก่อนหน้านั้น คนเขียนขี้ลืมค่ะ ลืมไปว่าตอนนี้ลีนัสต้องใส่เสื้อสีดำ 55555  เผลอนึกว่าใส่สีขาว บรรยายฉากเลือดโชกซะเมามันส์เลย ตอนนี้แก้ใหม่หมดแล้วนะคะ สีดำค่ะสีดำ



ตามนั้น5555.....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2015 09:41:44 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
Re: Libra's Heart (Act 5 Controversy :3/3) 15 Oct.2015
«ตอบ #15 เมื่อ15-10-2015 22:19:19 »

อ่านอยู่จ้า ว่าแต่จะเป็นงัยต่อ หรือจะกลับมายังปัจจุบันยัง

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act 5 Controversy :3/3) 15 Oct.2015
«ตอบ #16 เมื่อ16-10-2015 09:02:27 »

อ่านอยู่จ้า ว่าแต่จะเป็นงัยต่อ หรือจะกลับมายังปัจจุบันยัง


ขอบคุณสำหรับการแสดงตัวค่ะ  :hao5:  นี่ต้องขู่ประท้วงก่อนถึงจะออกมา 5555

ใช่ค่ะเดี๋ยวจะกลับไปปัจจุบันแล้ว กลับไปหาเฟริคแล้ว (ลืมกันไปยัง)

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act 6 Grew up :1/3) 23 Oct.2015
«ตอบ #17 เมื่อ23-10-2015 18:26:11 »

Act 6 : Grew up (1/3)


   นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มสะท้อนเงาขอบฟ้าสีส้มอมชมพูยามเมื่อพระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้า คิ้วหนาสีดำขมวดเข้าหากันด้วยความกังวลใจ สายป่านนี้แล้วคนที่เอ่ยไว้ว่าเรียบร้อยแล้วจะรีบมาหา ยังไม่มีทีท่าว่าจะโผล่หน้ามาสักนิด เรื่องยุ่งๆเพิ่งจะเกิดขึ้นไป เขาไม่น่าปล่อยลีนัสที่อาจจะเป็นเป้าหมายของกลุ่มที่ต่อต้านไปคนเดียวแบบนี้เลย เพียงเพราะคำว่า”เบื่อที่ถูกปกป้อง”ของเจ้าตัว ทำให้เขายอมปล่อยไปแต่โดยดี ร่างหนาถอนหายใจออกมานับเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ไม่ยอมห้ามลีนัสให้หนักแน่นกว่านั้น

   “นี่เจ้าฟังข้าอยู่รึเปล่าน่ะดาวิส” เสียงเอ่ยถามของบิดาดึงสติของเขากลับมาสู่ปัจจุบัน กลับมาที่ห้องทำงานของรองเจ้าเมืองณ ที่ว่าการเจ้าเมือง

   “...” ดาวิสหันหลังกลับเข้ามาในห้องกรอกตาขึ้นมองข้างบนนึกทวนดู ว่าเมื่อครู่เขาได้ยินว่าบิดาของตนเอ่ยอะไรออกไปบ้าง

   “เมื่อครู่นี้ท่านพ่อพูดถึงหน่วยที่ดูแลพื้นที่เบอร์สี่….ขออภัยท่านพ่อตอนนี้ข้าไม่มีสมาธิจริงๆ...มีอะไรหรือขอรับ?” ดาวิสกำลังไล่ฟังเนื้อหาที่บิดาพูดถึงเมื่อครู่จากความทรงจำระยะสั้น เขาต้องยอมรับว่าเมื่อครู่นี้เขาใจลอยคิดไปเรื่องอื่นจริงๆ แต่บิดาก็ไม่น่าจะต้องมองเขากลับมาด้วยหน้าตกใจขนาดนั้น

   “ข้างนอกนั่น” เรย์มอนต์ชี้ไปที่นอกหน้าต่างข้างหลังดาวิส เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้มพวยพุ่งขึ้นมาจากอีกฝั่งหนึ่งของเขตชุมชนแล้วก็ดับวูบหายไป ทิ้งไว้แต่ควันสีเทาลอยฟุ้งตามขึ้นมา
   “...ซีมัส ?” ดาวิสเอ่ยชื่อคนๆเดียวที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ขึ้นมา ในสมองเขารีบคิดหาเหตุผลต่างๆนานาว่าเกิดอะไรขึ้นกัน และสิ่งต่อมาที่เขาคิดถึงคือคนที่เดินตามเจ้าตัวไปเมื่อครู่

   อยู่ๆประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดพรวดเข้ามาอย่างรีบร้อน ทำให้สองพ่อลูกพร้อมใจกันหันกลับไปมองผู้ที่เข้ามา เฮมิสยืนนิ่งอยู่ที่ประตูห้องสีหน้าซีดเซียว สภาพอันรีบร้อนของเฮมิสทำให้ดาวิสรู้สึกมือเย็นวาบขึ้นมาทันที สิ่งแรกที่เขาทำคือภาวนาอยู่ในใจ ว่าขออย่าได้มีอะไรเกิดขึ้นกับลีนัสเลย

   “เมื่อครู่นี้มาจากถนนที่วิ่งเข้าสู่ป่าเขตตะวันตก ส่งคนเข้าไปในพื้นที่ด่วนเลย แล้วก็…” แววตาสีเขียวใสจ้องมองไปที่เรย์มอนต์เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่กลับไม่เอ่ยอะไรออกมา เจ้าเมืองวัยกลางเบือนหน้าหลบไปมองทางอื่นทำสีหน้ากลัดกลุ้มออกมาก่อนจะยอมเอ่ยขึ้นมา

   “...ลูกชายท่าน...อยู่กลางกองเพลิงเมื่อครู่นี้...” ดาวิสไม่ได้รู้สึกโล่งอกแต่อย่างใดที่เฮมิสไม่ได้พูดถึงลีนัส เขาตอนนี้เขารู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นไปชั่วขณะทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เฮมิสพูดออกมา

   “...แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ” เพลิงที่พุ่งขึ้นมาสูงลิ่วขนาดนั้น จริงๆแล้วเขาไม่จำเป็นต้องถามคำถามนี้ก็พอจะรู้คำตอบอยู่แล้วในใจ หากแต่เขายังคงหวังอยู่น้อยๆ ว่าน้องชายที่เติบโตมาด้วยกันอาจจะยังมีโอกาสอยู่บ้าง
   “...ข้าเสียใจด้วย” ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัดทันทีที่เฮมิสจบประโยค แม้พักหลังๆมานี้ ดามอนต์จะทำเรื่องให้เขาปวดหัวอยู่บ้างก็ตาม แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นน้องชายที่เขาเฝ้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กๆ และทำอะไรด้วยกันหลายต่อหลายอย่าง อยู่ๆจะมาบอกว่าน้องชายของเขาได้จากไปแล้วนั้น เป็นเรื่องที่เจ้าตัวยอมรับไม่ได้

   “....ลีนัสอยู่ตรงนั้นด้วยใช่ไหมขอรับ” ดาวิสเดาลีนัสน่าจะอยู่ตรงนั้นด้วย ในเมื่อเจ้าตัวเป็นคนออกตามหาซีมัสตั้งแต่เมื่อครู่
   
        “...อืม แต่ยังปลอดภัยดีอยู่” เฮมิสตอบเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจในส่วนของลีนัสเพราะคิดว่าเขาน่าจะเป็นห่วงอยู่ แต่ที่ดาวิสถามเพราะสงสัยว่า ทำไมลีนัสที่อยู่ตรงนั้นถึงได้ยอมปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

   “ข้าขอตัวตรงไปที่เกิดเหตุก่อนนะขอรับ” ดาวิสรีบปลีกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

   “ดาวิสเดี๋ยว!!.......อา ใจร้อนจริงๆเด็กคนนี้” เรย์มอนต์จะเอ่ยรั้งบุตรชายเอาไว้เพื่อจะให้มาช่วยจัดกำลังคนเสียหน่อย แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

   “ข้าเข้าใจนะเรย์มอนต์ นั่นก็น้องชายทั้งคน ที่ข้าว่าที่แปลกน่าจะเป็นท่านมากกว่า” เฮมิสเอียงคอเอ่ยถามด้วยความสงสัย ถึงแม้เรย์มอนต์จะเป็นคนที่สามารถลงมือปลิดชีวิตโลแกนให้เขาได้โดยไม่ลังเล แต่กับเรื่องของบุตรชายทั้งคนทำไมถึงได้เย็นชาได้ขนาดนี้ เรย์มอนต์ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป

   “....จะไปเร็วไปช้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรได้ไม่ใช่รึไง ไปเถอะ ข้าต้องไปเตรียมกำลังคนไปลงที่พื้นที่อีก” เรย์มอนต์ว่าแล้วก็เดินสวนผ่านเฮมิสออกจากห้องไป
   


   
   หลังจากที่ลีนัสใช้แรงเฮือกสุดท้ายของเขาเรียกภูติออกมาเพื่อจะพาซีมัสไปจากที่เกิดเหตุ เขาก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะทำอย่างอื่นอีกแล้ว ปลายนิ้วทุกนิ้วของเขาเย็นเฉียบจนยากที่จะขยับได้ สมองของเขาเริ่มจะเบลอจนคิดอะไรไม่ออก ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ยังไม่ได้รับการรักษาค่อยๆชาหายไปเพราะสติที่กำลังจะดับไป หนังตาอันหนักอึ้งกำลังจะปิดลงโดยไม่สนใจคำสั่งของเจ้าของเลยสักนิด

   “ท่านลีนัส!!” เสียงใสๆที่ไม่คุ้นหูของเด็กสาวคนหนึ่งตะโกนเรียกชื่อเขาขึ้นมา ลีนัสรู้สึกประหลาดใจ จึงได้ฝืนลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้ง เห็นเด็กสาววัยประมาณสิบสามสิบสี่หน้าตาไม่คุ้นหน้าคนหนึ่ง วิ่งตรงเข้ามาหาเขาด้วยหน้าตาตื่นๆ

   “มีภูติเรียกให้ข้ามาหาท่านที่นี่ ท่านโดนอะ……..!!” เมื่อลีนัสได้ยินว่ามีภูติเรียกให้เธอมาที่นี่ ก็รู้สึกเบาใจนับว่าป็นโชคดีของเขาที่มีลีบลาอยู่แถวนี้พอดี แต่เมื่อเธอทรุดตัวนั่งลง และเห็นมีดเล่มหนาปักอยู่ที่สะบักซ้ายของว่าที่เจ้าเมืองหนุ่มก็หน้าซีดขึ้นมาทันที เพราะเสื้อสีดำที่อำพรางคราบเลือดเอาไว้ ทำให้เธอไม่คิดว่าลีนัสจะบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ พอยิ่งสังเกตเห็นคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าซีดเซียวก็ยิ่งวิตกกังวลหนักเข้าไปอีก

   “...ท่านลีนัส...ข้าต้องทำยังไงดีคะ” น้ำเสียงเอ่ยถามอย่างตื่นๆของเด็กสาว ทำให้ลีนัสได้เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองแล้วว่า จริงๆเขาไม่ได้โชคดีขนาดนั้น แต่กำลังประสบโชคร้ายบนความโชคดีของเขาอยู่ ที่ดันมาเจอลีบลาขาดประสบการณ์คนนี้
   “ข้าเรียกภูติรักษาเลยนะคะ” ลีนัสที่กำลังจะหมดเรี่ยวแรงจนหนังตาหนักอึ้ง ไม่สามารถจะประมวลความคิดตามเด็กสาวได้ทันจึงยังไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกไป กระทั่งเด็กสาวใช้เวทย์รักษาบาดแผลของเขา ความรู้สึกร้อนผ่าวแสบแปลบพุ่งเข้าจู่โจมโสตประสาทของเขาทันที

   “อ๊าาาก!! หยุด!! เจ้าทำอะไรของเจ้า!! ใครสั่งสอนให้เจ้ารักษาแผลโดยที่ไม่เอาสิ่งแปลกปลอมออกไปก่อนแบบนี้ นี่มันเหล็กนะ เจ้าจะฆ่าข้าเหรอ!!” ความเจ็บปวดเรียกให้สติของลีนัสกลับมาได้มากพอ ที่จะคำรามสั่งสอนลีบลามือใหม่ไปชุดใหญ่ ทำเอาเด็กสาวรีบหดมือกลับไปอย่างลนลาน ส่วนลีนัสก็ทรุดลงไปนอนหน้ามืดทันทีหลังจากที่ใช้แรงมากเกินไป

   “ขะ...ข้าขอโทษท่านลีนัส...ข้าต้องดึงมีดออกก่อนใช่ไหม” เด็กสาวระล่ำระลั่กเอ่ยขอโทษ แล้วเอื้อมมือไปจับด้ามมีดอย่างไม่มั่นใจ

   “เดี๋ยว...เจ้าอยู่เฉยๆให้ข้าคิดพักนึง..” ลีนัสรีบเอ่ยห้ามไว้ก่อนที่เขาจะต้องเจออะไรที่เลวร้ายไปกว่านี้ ตอนนี้เขาถอนความคิดเมื่อครู่ที่ว่าเขาโชคร้ายบนความโชคดี สู้ปล่อยให้เขาหลับไปเมื่อครู่จะดีเสียกว่าจริงๆ อีกเดี๋ยวเฮมิสจะต้องตามมาหาเขาที่นี่แน่นอน และดาวิส…. ลีนัสหยุดคิดไปแล้วนึกเกลียดตัวเองที่เผลอคิดถึงดาวิสขึ้นมาในเวลานี้ ก่อนหน้านั้นเขาเพิ่งจะทำปากดีว่าดูแลตัวเองได้อยู่หลัดๆ เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็สูดหายใจลึกๆหนึ่งครั้งเพื่อรวบรวมสติ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะจัดการเรื่องนี้โดยไม่ต้องพึ่งดาวิส

   “....เจ้าชื่ออะไรนะ” ลีนัสพยายามหาวิธีทำให้เด็กสาวสงบสติอารมณ์ให้ได้เสียก่อน ที่จะลงมือดึงมือเล่มใหญ่ที่ปักลึกอยู่ที่สะบักของเขาออกไป เขาไม่อยากจะสัมผัสความเจ็บปวดจากการขยับมีดเล่มนี้หลายรอบนัก

   “เอ่อ..เรเชลค่ะ” เด็กสาวตอบด้วยสีหน้างุนงงว่าทำไมถึงถามขึ้นมาตอนนี้

   “...เรเชล…”

   “คะ”

   “ตั้งใจฟังข้านะ”

   “....ค่ะ” เด็กสาวหายใจเข้าออกลึกๆหนึ่งทีก่อนจะเอ่ยตอบกลับมา

   “ดีมาก มีดเล่มนี้ปักเข้าไปลึกพอสมควร ถ้าเจ้าจะดึงเจ้าต้องใช้แรงเยอะหน่อย ข้าอยากได้ครั้งเดียว ถ้ามากกว่านี้ข้าไม่แน่ใจว่าจะยังเหลือสติไว้คุยกับเจ้าอยู่ไหม”

   “....ค่ะ” เรเชลหน้าเสียเล็กน้อย ถ้าลีนัสคุยกับเธอต่อไม่ได้เธอก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

   “เจ้าดูองศาของมีดดีๆ ถ้าเจ้าดึงออกมาแล้วให้รีบใช้เวทย์รักษา เข้าใจไหม”

   “...เข้าใจ…”เรเชลทวนคำพลางมองไปที่ด้ามมีดที่สลักด้ามไว้สวยงามด้วยความกังวลใจ

   “...เรเชล” ลีนัสเอ่ยเรียกพร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือของเด็กสาวเอาไว้เบาๆเท่าที่เรี่ยวแรงจะมีหลงเหลืออยู่ตอนนี้

   “คะ?” มือที่เย็นเชียบทำให้เด็กสาวตอบรีบหันไปมองหน้าอันซีดเผือดของผู้ที่เอ่ยเรียกทันที

   “ขอบใจนะที่มาช่วยข้า ถ้าเจ้าพร้อมแล้วก็ดึงออกมาเลย เจ้าทำได้อยู่แล้ว” ลีนัสคลี่ยิ้มจางๆให้กำลังใจเด็กสาวก่อนจะก้มลงเตรียมรับความเจ็บปวดที่จะตามมา


   
   หลังจากที่ได้นำข่าวร้าย ดาวิสก็รีบควบม้านำไปก่อนทันทีที่รู้ว่าที่เกิดเหตุอยู่ตรงไหนโดยไม่ฟังเสียงท้วงติงใดๆจากบิดา ถึงเขาไปถึงช้าหรือเร็วก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ก็จริง แต่ตราบใดที่เขายังไม่ได้เห็นกับตา เขาก็ยังมีความหวังอยู่น้อยๆว่าเฮมิสอาจจะเข้าใจผิดไปก็ได้ จริงๆแล้วลีนัสอาจจะช่วยน้องชายของเขาไว้ได้ทัน

        แต่เมื่อเขามาถึงที่เกิดเหตุ เขาก็เห็นผู้ที่เป็นความหวังเล็กๆของเขานั่งทรุดอยู่กลางผืนหญ้าที่ไหม้เกรียมเป็นวงกลมใหญ่ มีเด็กสาวหน้าตาไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ห่างๆมองมาที่เขาด้วยความสงสัย แต่ดาวิสไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเอ่ยถามที่มาที่ไปของใครในตอนนี้

      ร่างที่ดำไหม้ส่งกลิ่นเหม็นคลัคลุ้งสามร่างตรงหน้าลีนัสนั้น ทำให้ดาวิสเข่าอ่อนจนแทบจะไม่มีแรงทรงตัวอยู่ได้ หลังจากที่กระโดดลงจากอาชาร่างสูงใหญ่ของตน

      “ท่านดาวิส…” ลีนัสหันกลับมามองดาวิสที่เดินตรงเข้ามาอย่างร่องลอย นี่มันแย่กว่าที่ดาวิสคิดเอาไว้มาก นอกจากว่าเขาจะไม่เหลือให้คาดหวังว่าน้องชายจะยังมีชีวิตอยู่แล้ว เขาแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าร่างไหนคือร่างของดามอนต์

      “ข้าขอโทษ ถ้าข้าไม่ออกมาตามซีมัส เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น” ลีนัสเอ่ยขึ้นมาอย่างสำนึกผิด

      “...ใช่ มันเป็นความผิดของเจ้า” ดาวิสตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ถึงปากจะยอมรับว่าตัวเองผิด แต่เมื่ออีกฝ่ายบอกเห็นด้วยขึ้นมาจริงๆ กลับทำให้เจ้าของคำพูดนั้นเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ

      “แล้วซีมัสอยู่ที่ไหน หนีไปแล้วเหรอ” ดาวิสคาดคั้นเสียงต่ำราบเรียบ ลีนัสรู้ดีว่านั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าพายุใหญ่กำลังจะโหมเข้ามา

      “...ข้าไล่ซีมัสไปอยู่กับภูติขอรับ” ลีนัสยอมรับกลับมาเบาๆ
   
      “ถึงขนาดนี้เจ้าก็ยังปกป้องมันอยู่อย่างนั้นเหรอ!!” ดาวิสหันมาขึ้นเสียงใส่ด้วยความโมโห

      “ไม่ใช่อย่างนั้น ข้ามีเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้นะขอรับ” ลีนัสขึ้นเสียงเถียงกลับมาบ้าง

      “ไม่ว่าจะเหตุผลไหนเจ้าก็ปกป้องมันอยู่ดี แล้วเจ้ามาบอกว่าข้าปกป้องน้องชายมากเกินไปอย่างนั้นเหรอ นี่ไง ชัดพอไหมว่าใครที่ปกป้องน้องชายมากเกินไป เจ้าอยากจะรับผิดชอบความผิดทุกอย่างเองคนเดียวขนาดนั้นใช่ไหม บอกข้าสิว่าเจ้าจะรับผิดชอบมันยังไง!!” ดาวิสที่เส้นกั้นอารมณ์ขาดผึ่งออกมาเพราะถูกเถียงด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น จับคอเสื้อของอีกฝ่ายยกตัวขึ้นมาตวาดใส่ ถึงตรงนั้นเองทำให้ดาวิสเพิ่งสังเกตเห็นคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าซีดเซียว และสัมผัสชื้นๆและกลิ่นคาวเลือดมาจากเสื้อสีดำของเจ้าตัว

       “หยุดนะ!!” เด็กสาวที่เมื่อครู่ยืนมองอยู่ห่างๆก็วิ่งเข้ามาผลักดาวิสให้ปล่อยลีนัสไปอย่างสุดแรง ถ้าเป็นเวลาปกติ ดาวิสคงไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไร หากแต่สีหน้าของลีนัสที่ทำสีหน้าเจ็บปวดออกมา ทำให้ดาวิสรีบปล่อยมือแต่โดยดี เมื่อปล่อยมือออกมาเขาก็เห็นว่ามือของเขาเลอะคราบเลือดเต็มไปหมด สัมผัสชื้นๆจากเสื้อของลีนัสนั้นเป็นเลือดจริงๆ

      “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” อารมณ์โมโหเมื่อครู่นี้ดับวูบไปในฉับพลัน

      “จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ข้าเพิ่งจะรักษาแผลให้ท่านลีนัสไปเมื่อครู่ เรี่ยวแรงของท่านลีนัสยังไม่กลับมาด้วยซ้ำ แผลก็ยังไม่สมานดีนักด้วย จะทำอะไรคิดหน่อยสิ!!” เรเชลใส่ไปชุดใหญ่อย่างเป็นเดือดเป็นร้อน แผลที่เธอต้องแลกด้วยความกล้าที่ไม่ค่อยจะมีของเธอรักษาจนสำเร็จไปเมื่อครู่ อยู่ๆก็จะโดนดาวิสทำให้พินาศไปอีกครั้ง

      “อ่ะ ท่านลีนัส!!” ลีนัสที่อยู่ถูกฉุดขึ้นมายืนแล้วก็ปล่อยไปเมื่อครู่ รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาอีกครั้งจนจะล้มพับลงไป เรเชลจึงรีบเข้าไปพยุงร่างเอาไว้ พอดาวิสจะยื่นมือเข้าไปช่วย เด็กสาวก็ปัดมือของเขาทิ้งแล้วมองตาขวางกลับมา ทำให้เขาชักสงสัยขึ้นมาแล้วว่าเด็กคนนี้เป็นใคร

      “ว้าย!!” เรเชลร้องขึ้นมาอย่างตกอกตกใจ เมื่ออยู่ๆก็มีภูติสาวร่างสูงใหญ่ผมยาวสีขาวตัดกับสีผิวสีน้ำเงินเข้มในชุดพริ้วสลวบสีเขียวอ่อนโผล่มาจากข้างหลัง และช้อนร่างอันปวกเปียกของลีนัสขึ้นมาอุ้มไว้ สัมผัสอุ่นสบายจากเวทย์ของภูติทำให้ลีนัสผล่อยหลับไปในทันทีเหมือนเด็กน้อยในอ้อมอกมารดา

      “ดาวิส เจ้าต้องหัดฟังการตัดสินใจของว่าที่เจ้าเมืองบ้างนะ” เฮมิส ผู้ที่เรียกภูติสาวออกมา เพิ่งจะควบม้ามาถึงพร้อมเรย์มอนต์ เอ่ยตำหนิชายหนุ่มเสียงแข็ง

      “....ข้าขออภัยขอรับ” ดาวิสตอบกลับมาเสียงแผ่วๆ

      “แล้วก็ ถึงน้องชายเจ้าจะไม่ตายที่นี่ ข้าก็ต้องตัดสินโทษน้องชายเจ้าที่มีเจตนาฆ่าว่าที่เจ้าเมืองอยู่ดี” เฮมิสว่าพลางหันไปมองมีดสั้นเปื้อนคราบเลือดที่ตกอยู่บนพื้นหญ้าข้างๆ ดาวิสหันไปมองตามก็ตัวเย็นวาบขึ้นมา มันคือมีดเล่มเดิมที่เขาเอาไปคืนให้ดามอนต์เมื่อคืนนี้ เขาตั้งใจจะตำหนิน้องชายและเผลอลืมไว้เพราะหงุดหงิดที่มารดาเข้ามาขัดขวาง เขาไม่ทันได้คิดว่าน้องชายจะทำเรื่องแบบนี้กับลีนัส

      “ซีมัสทำเกินกว่าเหตุก็จริงอันนี้ข้าเข้าใจ แต่ข้าไม่โทษซีมัสหรอกนะดาวิส แล้วที่ลีนัสไล่ซีมัสไป เพื่อป้องกันไม่ให้ซีมัสที่จะถูกคนที่คิดอย่างเจ้าตัดสิน แล้วซีมัสไม่ใช่เด็กที่จะทนรับคำตัดสินแบบนั้นได้อย่างสุขุมหรอกนะ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าถ้าซีมัสระเบิดอารมณ์ออกมากลางเมืองจะเกิดอะไรขึ้น” ทุกคำบอกกล่าวของเฮมิส เหมือนจะทิ่มแทงดาวิสให้ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นทุกขณะ ดาวิสหันไปมองร่างบางที่หลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของภูติร่างใหญ่อย่างรู้สึกผิด เขาอยากจะเอ่ยขอโทษเจ้าตัวเสียตรงนั้น แต่เมื่อรถม้ามาถึง พร้อมกับนายทหารกลุ่มหนึ่งที่ตามมาเพื่อเก็บพื้นที่ เรย์มอนต์ก็อาสารับลีนัสมาจากภูติเพื่อจะอุ้มเขาเข้าไปนอนต่อในรถม้า

      “เจ้าจะตามไปด้วยไหม” เฮมิสหันไปถามเด็กสาวที่กำลังลังเลกล้าๆกลัวอยู่ตรงนั้น

      “ข้าไปด้วยได้หรือคะ” เรเชลถามกลับด้วยความตื่นเต้น เฮมิสคลี่ยิ้มจางๆกลับไปให้
 
      “ถ้าไม่เป็นการรบกวนเวลาของเจ้ามากไป ข้าฝากเจ้าดูแลว่าที่เจ้าเมืองต่ออีกหน่อยได้ไหม ข้าคิดว่าลีนัสคงอยากจะคุยกับเจ้าหลังจากนี้”

      “ได้ค่ะ” เรเชลรีบเอ่ยรับแล้วเดินเข้าไปในรถม้า เมื่อเฮมิสหันกลับมาเจอดาวิสที่ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่เรย์มอนต์เดินมาตบไหล่บุตรชายของตนเพื่อเรียกสติของเขากลับมา

      “ไปทำงานๆ พรุ่งนี้เจ้าค่อยไปหาเวลาคุยกับลีนัสเอาอีกที ลีนัสไม่ได้หายไปไหนหรอก” เมื่อโดนบิดาเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้นก็ต้องยอมละสายตากลับมาที่ภาพความวินาศตรงหน้าอีกครั้ง ภาพของร่างสามร่างที่นอนนิ่งดำสนิทอยู่บนพื้น ที่เขาไม่อาจจะแยกออกได้ว่าใครเป็นใคร ต้องอาศัยเฮมิสเป็นผู้ชี้แจงผ่านสายตาของภูติที่อาศัยอยู่แถบนั้น ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ดาวิสรู้สึกแปลกใจ ก็คือความสุขุมของบิดาที่ไม่ได้ดูทุกข์ร้อนใดๆกับการจากไปของดามอนต์เลยสักนิด 



       ฟูกนุ่มๆกับกลิ่นหอมจางๆจากผ้าห่มหนานุ่มไม่คุ้นสัมผัส เรียกให้สติของร่างที่นอนซุกอยู่บนเตียงหลังใหญ่ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา เขาไม่เคยรู้สึกหลับสบายขนาดนี้มาก่อนจนยังไม่อยากจะลุกขึ้น แต่เมื่อสายตาค่อยๆปรับแสงสว่างได้แล้วก็พบกับภาพห้องนอนห้องใหญ่ที่ไม่คุ้นตา และแสงสว่างจากนอกหน้าต่างที่เจิดจ้าเกินกว่าจะเป็นเวลาในตอนเช้าแล้ว ความทรงจำก่อนที่สติเขาจะดับวูบไปเมื่อคืนนี้ก็หวนกลับเข้ามา สาเหตุที่ทำให้เขามานอนบนเตียงนุ่มสบายหลังนี้ช่างน่าขมขื่น
ลีนัสถอนหายใจออกมา เมื่อนึกถึงภาระและปัญหามากมายที่เกิดขึ้นช่วงวันสองวันนี้ ก่อนที่เขาจะคิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นสองสามครั้งก่อนจะแง้มเปิดออกมา ตามด้วยใบหน้าหวานของเด็กสาวเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวปะบ่า เมื่อแววตาสีฟ้าใสสบเข้ากับว่าที่เจ้าเมืองหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียงก็คลี่ยิ้มหวานทักทาย

      “เป็นยังไงบ้างคะท่านลีนัส”

       “เจ้านี่เอง เมื่อวานนี้ขอบใจเจ้ามากนะเรเชล อุตส่าห์มาส่งข้าที่นี่ แถมยังช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดตัวให้ข้าอีก ข้าไม่รู้จะขอบใจเจ้าอย่างไรดี” ลีนัสเดาว่าเด็กสาวน่าจะเป็นผู้ที่จัดการเปลี่ยนเสื้อและเช็ดตัวให้เขาเมื่อมาถึงที่นี่เมื่อคืนนี้

      “ไม่เป็นไรค่ะข้าก็ไม่ค่อยจะทำประโยชน์ได้สักเท่าไหร่ข้าไม่ได้เป็นคนเปลี่ยนเสื้อให้ท่านหรอกนะคะ แค่พามาส่งเฉยๆ” เด็กสาวปฏิเสธกลับมา ทำให้ลีนัสเผลอถึงคนอื่นอีกคนหนึ่งที่อาจจะเป็นผู้เปลี่ยนเสื้อและเช็ดตัวให้แล้วก็พาลหน้าแดงออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

      “ข้าให้หัวหน้าแม่บ้านเป็นคนจัดการให้น่ะค่ะ รวมทั้งเสื้อผ้าในตู้ก็ด้วย” เรเชลอธิบายพร้อมหัวเราะแห้งๆกลับมา ลีนัสนึกตำหนิตัวเองที่มัวแต่คิดเรื่องอะไรไร้สาระอยู่ เรื่องเกิดขึ้นมากมาย น้องชายเพิ่งจะเสียไปทั้งคนจะมีเวลามาดูแลเขาได้อย่างไร

      “ว่าแต่เจ้ามาที่นี่ที่บ้านไม่เป็นห่วงหรือเรเชล บอกที่บ้านไปรึยัง” ลีนัสรีบย้ายหัวข้อสนทนาพลางลุกขึ้นมาจากเตียง เมื่อถูกถามขึ้นมาเช่นนั้นเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมองเพดานทำท่านึก

      “...นั่นสินะ ลืมไปเลย ข้าควรจะบอกเสียหน่อยสินะ” คำตอบนั้นทำให้ลีนัสรู้สึกสงสัยที่มาที่ไปของลีบลาคนนี้ขึ้นมา ทำไมเด็กสาวคนนี้ถึงดูไม่ได้ใส่ใจกับคนที่บ้านขนาดนี้

      “...เจ้าจะบอกว่าไม่มีคนเป็นห่วงเจ้าสักเท่าไหร่หรือไง หนีออกจากบ้านมารึเปล่าเนี่ย” ลีนัสขมวดคิ้วยกมือขึ้นกอดอกเอียงคอถาม

      "มะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ข้าก็แค่...." เด็กสาวระล่ำระลักปฏิเสธ แต่เมื่อจะอธิบายก็ทำเสียงแผ่วลงเหมือนไม่อยากจะพูดถึง

      "เอาอย่างนี้ เจ้าไปบอกที่บ้านเจ้าเสียให้เรียบร้อย แล้วค่อยกลับมาหาข้าที่นี่อีกทีละกัน ข้ายังมีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้าอยู่" ลีนัสตัดบทให้พร้อมกับยกมือขึ้นขยี้เรือนผมสีน้ำตาลเข้มของเด็กสาวด้วยความเอ็นดู

      "ตกลงไหม" น้ำเสียงอันอ่อนโยนของลีนัสทำให้เด็กสาวหน้าอุ่นซ่านขึ้นมา

      "...ค่ะ" เรเชลพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

      "อ่ะ ไปได้ละ ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ยังมีเรื่องต้องทำเยอะเลยวันนี้"

      "ถ้างั้นข้าจะรีบไปรีบกลับมานะคะ" เรเชลได้ยินว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็รีบปลีกตัวออกจากห้องไปในทันที ลีนัสมองตามปรตูห้องที่ปิดลงไปแล้วก็ขำออกมาเบาๆในความใสซื่อของเด็กสาว

      ลีนัสเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าในห้องออกมา เสื้อผ้าของตัวเองถูกขนมาจากบ้านวางเรียงในตู้ไว้อย่างเป็นระเบียบ ไม่ต้องสงสัยว่ามารดาน่าจะรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ปลายนิ้วเรียวจัดการปลดกระดุมเสื้อนอนถอดออก เขายกมือขึ้นลูบที่สะบักข้างซ้ายตัวเองที่ตอนนี้กลับมาเรียบเนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความรู้สึกเจ็บปวดยังคงฝั่งลึกอยู่ในใจ เจ็บที่รู้ว่ามีคนเกลียดและต่อต้านเจ้าเมืองที่เป็นลีบลา และต้องจบลงอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้

      "ท่านลีนัส...อย่าลืมทานอะไรก่อนออกไปนะคะ....." อยู่ๆเรเชลก็เปิดประตูห้องพรวดพราดเข้ามาเนื่องจากนึกถึงสิ่งที่เฮมิสกำชับเอาไว้เธอเอาไว้ก่อนจะออกไปทำธุระขึ้นมาได้ แต่เมื่อเปิดเข้ามาเห็นแผ่นหลังขาวเนียนของอีกฝ่ายที่ปลดเสื้อลงมาครึ่งตัว ก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที

      "ขะขอโทษค่ะ!!" เรเชลรีบปิดประตูหนีหายไปในทันที ทิ้งให้เจ้าของห้องมองตามหลังไปด้วยความงุนงง



ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act 6 Grew up :2/3) 30 Oct.2015
«ตอบ #18 เมื่อ30-10-2015 14:45:16 »

Grew up (2/3)



          งานศพที่เพิ่งจะจบลงไปตอนช่วงเย็น แขกที่เข้ามาร่วมกันก็ค่อยๆทยอยกลับกันไป ลีนัสที่เพิ่งก้าวเข้ามาถึงงาน พบกับบรรยากาศเดิมๆ เสียงพูดคุยแผ่วเบาฟังดูน่าอึดอัด และเศร้าสร้อยของผู้คนในเสื้อผ้าสีดำทั่วบริเวณ เหมือนเวลาของเขายังไม่ได้ขยับไปไหน ยังหยุดอยู่ที่งานศพเมื่อวานนี้ของโลแกน เพียงแต่วันนี้เป็นงานของดามอนต์และนายทหารอีกสองคนที่ถูกซีมัสเผาทั้งเป็นไปเมื่อคืนนี้

         ลีนัสรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันทีที่ยืนอยู่ตรงหน้าหลุมศพของดามอนต์ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่องราวครั้งนี้อย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งคิดถึงสิ่งที่ดาวิสพูดใส่เขาเมื่อคืนนี้ ก็ยิ่งรู้สึกผิด ถึงจะไม่ได้เป็นคนลงมือเอง แต่เขาก็เป็นคนที่พาซีมัสหนีไป ถ้าคิดถึงมุมมมองของดาวิสบ้างก็ไม่น่าแปลกใจนักที่เจ้าตัวจะโกรธเขาขนาดนี้

      “ท่านลีนัส” เสียงเอ่ยทักแว่วมาจากข้างหลัง เมื่อหันกลับไปก็พบกับหญิงวัยกลางคนผมสีน้ำตาลทองที่มักจะดูแลตัวเองดี จนดูสาวกว่าวัยจริงของเจ้าตัวไปเยอะ แต่ทว่าวันนี้ไม่ได้ดูสดใสเหมือนทุกๆวัน เพราะความเศร้าหมองที่เพิ่งสูญเสียบุตรชายที่รักไป เธอพยายามคลี่ยิ้มทักแขกที่มาเอาตอนงานเลิกของเธอด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ แววตาที่เศร้าหมองและรอยคล้ำบวมใต้ตา บ่งบอกว่าเธอนั้นไม่ได้หลับไม่ได้นอน และร้องไห้หนักเพียงไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น ความรู้สึกผิดยิ่งถาโถมจู่โจมใส่ลีนัสเข้าไปอย่างหนักหน่วง จนเจ้าตัวรู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง

      “ท่านโรเซ่ ข้าเสียใจกับการสูญเสียของท่านด้วยขอรับ” ลีนัสพยายามปิดบังความรู้สึกที่แสนอึดอัดใจเอาไว้ และเอ่ยกลับไปอย่างเป็นปกติ

      “ได้ยินว่าดามอนต์ตั้งใจทำร้ายท่าน ข้าไม่คิดว่าท่านจะแวะเข้ามาแสดงความเสียใจ ขอบคุณท่านมาก”

       “...ไม่เป็นไรขอรับ” ลีนัสเอ่ยตอบแล้วหันกลับมาจ้องมองที่ป้ายหน้าหลุมศพอีกครั้งอย่างทำตัวไม่ถูก เขาไม่เคยได้คุยกับโรเซ่มาก่อน เขาไม่รู้ว่าโรเซ่คิดยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนร้ายที่แกล้งทำตัวเป็นคนดีอย่างไรอย่างนั้น ไหนเอยจะความสัมพันธ์ของเขากับบุตรชายคนโตอีก อะไรหลายๆอย่างทำให้ลีนัสรู้สึกวางตัวไม่ถูก ไม่คิดว่าการมาที่งานศพของดามอนต์จะเป็นเรื่องที่หนักหน่วงขนาดนี้

      “ข้าหวังว่าท่านจะให้อภัยเด็กคนนี้นะ จริงๆแล้วดามอนต์ก็เป็นเด็กที่น่ารักนะ เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครเห็นสักเท่าไหร่ จึงต้องพยายามทำอะไรบางอย่างเพื่อเรียกร้องความสนใจ ซึ่งมันอาจจะมากเกินไป...ข้า น่าจะใส่ใจเขาให้มากกว่านี้” โรเซ่ว่าพลางทำท่าจะสะอื้นไห้อีกรอบ ทำให้ลีนัสยิ่งรู้สึกลำบากใจเข้าไปอีก เขารีบกวาดสายตามองรอบตัว หวังอยู่นิดๆว่าดาวิสจะผ่านเข้ามาแถวนี้เพื่อเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์อันน่าตรึงเครียดนี้ที แต่แล้วลีนัสก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่ไม่เห็นวี่แววของเจ้าตัวเลยตั้งแต่มาถึง ดูเหมือนเขาจะต้องรับมือกับเรื่องนี้เองจริงๆ

      “ท่านโรเซ่ ข้าเข้าใจ ข้าเสียใจด้วยจริงๆ ข้าไม่คิดโทษดามอนต์ที่แค่หลงผิดไปชั่ววูบเช่นนั้นหรอกขอรับท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น...” ลีนัสเอื้อมมือไปยกมืออันสั่นเทาของผู้ที่สูญเสียบุตรชายขึ้นมากุมไว้

      “ท่านช่างใจดีนัก แต่ข้าไม่อาจจะให้อภัยน้องชายของท่านได้หรอกนะ ที่สร้างความปวดร้าวให้ข้าแล้วหนีไปเช่นนั้น” น้ำเสียงตัดพ้อของผู้เป็นแม่ ทำให้ลีนัสรู้สึกเหมือนโดนเข็มเล่มยาวทิ่มแทงลึกเข้าไปกลางอก ลีนัสไม่ถูกใจกับการที่เฮมิสสรุปบิดเบือนเรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นว่าซีมัสหนีความผิดไปเอง โยนความผิดไปให้คนที่ไม่อยู่ตรงนี้ตอนนี้ ทั้งๆที่สิ่งนั้นเป็นการตัดสินใจของเขา แต่ก็เข้าใจสิ่งที่เฮมิสทำลงไป เพื่อรักษาชื่อของเขาเองที่กำลังจะเป็นเจ้าเมืองคนต่อไป

      “...ท่านโรเซ่ ข้าต้องขอโทษแทนสิ่งที่น้องชายของข้าทำลงไปด้วยขอรับ หากข้าสามารถจะช่วยเหลือในด้านไหนแทนได้ ข้าก็ยินดี” ลีนัสที่อดไม่ได้ที่จะเสนอรับผิดชอบเองแทนน้องชาย จังหวะนั้นลีนัสรู้สึกเหมือนจะเห็นว่าอีกฝ่ายคลี่ยิ้มมุมปากขึ้นมานิดๆ มือที่ลีนัสกุมเอาไว้ ตอนนี้กลายเป็นเขาเป็นฝ่ายที่ถูกจับเอาไว้เสียแน่นไม่ยอมปล่อย

      “ในฐานะที่ท่านกำลังจะเป็นเจ้าเมือง ท่านสัญญากับข้าได้ไหม ว่าจะจับเด็กคนนั้นมาลงโทษให้สมกับสิ่งที่เขาทำไว้” แววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดแค้นของโรเซ่ ทำให้ลีนัสไม่กล้าที่จะเอ่ยอะไรออกไป เพราะเขาเองไม่กล้าที่จะเอ่ยรับปากในสิ่งที่เขาไม่อาจจะทำได้ ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อาจจะเอ่ยปฏิเสธออกไปได้

      “.....” เมื่อเห็นความลำบากใจของลีนัสเช่นนั้น โรเซ่ก็ถอนหายใจออกมาพร้อมปล่อมมือของลีนัสลง

      “....ท่านทำไม่ได้สินะ…..ก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจท่านหรอกนะ คนที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนโต ถึงจะทำผิดยังไงก็รัก ต่อให้เป็นเจ้าเมืองที่ต้องตัดสินทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมาก็ตาม” โรเซ่หันไปทอดสายตามองไปยังหินหน้าหลุมศพของดามอนต์อีกครั้งด้วยแววตาที่อาลัยอาวรณ์ พร้อมพูดเสียดแทงตำแหน่งหน้าที่ของลีนัสอย่างนุ่มนวล ทำเอาเขารู้สึกเหมือนตัวเองไร้ซึ่งคุณสมบัติไปในทันที

      “แต่ข้าขออย่างหนึ่งได้ไหมท่านลีนัส” แววตาสีเขียวใสที่ยังคงมีคราบน้ำตาลเอ่อคลออยู่ในดวงตา หันมาจับจ้องลีนัสอย่างจริงจัง

      “ลูกชายข้า เหลืออยู่คนเดียวแล้ว คืนเขาให้ข้าได้ไหม”

       “.....” ลีนัสรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่าโรเซ่จะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขา แต่ไม่ว่าจะคิดยังไง เขาก็ไม่อาจจะตีความหมายของผู้เป็นมารดาเป็นอย่างอื่นไปได้

      “ข้าไม่ได้รังเกียจท่านเป็นการส่วนตัวหรอกนะท่านลีนัส หากท่านเป็นผู้หญิงข้าก็ยินดีจะยกบุตรชายให้ ตระกูลเฮนดริคเซ่นเองก็มีหน้ามีตาที่ต้องรักษา ท่านเองก็เช่นกัน”

      “.......” อีกครั้งที่โรเซ่ทำให้เขาไม่อยากที่จะเอ่ยรับปาก แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธความจริงได้

      “ข้าหวังว่าข้าคงไม่ได้ขอเยอะเกินไป“ หลังจากที่ไม่อาจจะตอบรับคำขอร้องแรกได้ ลีนัสก็ยิ่งไม่อาจจะปฏิเสธคำขอร้องที่สองนี้ได้เข้าไปใหญ่ ถ้าเรื่องนี้เขาไม่อาจจะรับปากได้อีกเรื่องหนึ่ง ก็ดูเหมือนเขาจะไร้ซึ่งคุณสมบัติของการเป็นเจ้าเมืองจริงๆ
ที่ผ่านมาลีนัสเองก็ใช่ว่าจะไม่คิดว่าวันหนึ่งเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้น เฮมิสเองถึงจะไม่ขัดขวางเรื่องนี้ แต่ก็เฝ้าเสี้ยมสอนบอกอยู่บ่อยครั้ง ว่าเป็นเจ้าเมืองต้องพร้อมที่จะสละความรู้สึกส่วนตัวทิ้งไปให้หมด

       “...ข้าเข้าใจแล้วขอรับ” ลีนัสตัดสินใจแล้วน้อมศีรษะตอบโรเซ่กลับไป ทำให้อีกฝ่ายคลี่ยิ้มพอใจขึ้นมาจางๆ แม้ลีนัสจะเฝ้าเตือนตัวเองในเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อต้องตัดใจขึ้นมาจริงๆกลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

       “ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” หลังจากที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว อยู่ๆคำกระซิบบอกรักของดาวิสที่เขาเพิ่งได้ยินครั้งแรกเมื่อวันก่อนก็แว่วขึ้นมาให้ได้ยิน รู้สึกว่าตาของตนร้อนผ่าวขึ้นมาฉับพลัน เขาจึงรีบขอตัวแล้วเดินจากไปให้ไกลจากผู้คนตรงนั้นทันที เหลือเพียงโรเซ่ที่เพียงปลายตามองตามแผ่นหลังของลีนัสไปอย่างผู้มีชัย

      “ตระกูลยังมีหน้าตาให้รักษาอยู่ด้วยหรือโรเซ่ ไม่น่าเชื่อว่าคำๆนี้จะหลุดออกมาจากปากเจ้าได้” เรย์มอนต์เดินเข้ามาเอ่ยประชดภรรยาหลังจากที่ลีนัสเดินจากไปแล้ว ทำให้แววตาสีเขียวปลาดมองสามีอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที

      “พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงคะ”

      “ที่พูดออกมาน่ะคิดถึงสิ่งที่เจ้าทำไว้กับข้าบ้างไหมล่ะโรเซ่ ยี่สิบสามปีที่ข้าถูกเจ้าหยามเหยียดข้า แต่ก็ข้าต้องอดทนเพื่อหน้าตาของตระกูล ข้าว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่มีสิทธิ์พูดคำนั้นออกมาหรอกนะ” เรย์มอนต์ยกมือขึ้นกอดอกพลางทอดสายตามองไปยังป้ายหลุมศพของดามอนต์

      “....ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่…” โรเซ่เอ่ยถามเสียงสั่นเครือ แววตาสีน้ำเงินเข้มของสามีหันมามองใบหน้าคนถามอย่างเย็นชา

     “นี่เจ้าคิดว่าข้าทำงานหนักจนนับวันนับเดือนไม่ได้เลยจริงๆน่ะหรือ ให้ตายเถอะ ข้าไม่น่าเห็นแก่หน้าตาของตระกูลและปล่อยให้มันโตขึ้นมาสร้างปัญหาขนาดนี้เลยจริงๆ”

      “....” โรเซ่ทรุดลงไปทันทีเมื่อรู้ว่าสามีรู้ความจริงมาตั้งนานแล้ว เรย์มอนต์ไม่เคยพูดอะไรออกมา เพียงแต่เริ่มกลับบ้านน้อยลงเรื่อยๆโดยอ้างว่าติดงานตั้งแต่ดามอนต์เกิดขึ้นมา เพราะเขารู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยามทุกครั้ง ที่กลับบ้านมาเจอหน้าบุตรชายที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคนที่เขาเองก็รู้จักดี

       “นับวันก็ยิ่งหน้าเหมือนเจ้าบ้านั่นขึ้นทุกวัน ข้าขอโทษที่ต้องบอกเจ้านะโรเซ่ ว่าข้าดีใจที่มันจบลงเสียที” เรย์มอนต์เอ่ยทิ้งไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ภรรยานั่งสำนึกผิดอยู่หน้าหลุมศพของบุตรชายที่ไม่เคยได้รับความรักที่จริงใจจากบิดาแม้เพียงสักครั้ง



     



        “ลีนัส” น้ำเสียงทุ้มคุ้นหูเอ่ยเรียกเจ้าตัวดังมาจากโถงชั้นสอง ทันทีที่เดินกลับเข้ามาถึงที่ว่าการฯ ต้นเสียงนั้นมาจากคนที่เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ามากที่สุดในเวลานี้ ว่าที่รองเจ้าเมืองที่อีกไม่นานเขาต้องทำงานร่วมกัน ก่อนหน้านั้นมันยังเป็นเรื่องที่เขาเฝ้ารอให้เกิดขึ้น ทว่าตอนนี้กลับเป็นเรื่องที่ทำให้ลีนัสรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา ณ ตอนนี้เขายังไม่พร้อมจะคุยอะไรกับอีกฝ่ายไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม หลังจากที่เขาเพิ่งจะรับปากที่จะ”ปล่อย”อีกฝ่ายไปเมื่อครู่ เขาจึงตัดสินใจเดินหลบไปทางปีกซ้ายของคฤหาสน์ ทำเหมือนไม่ได้ยินที่ดาวิสเอ่ยเรียก

        “เดี๋ยวก่อน เป็นอะไรของเจ้าน่ะ” เมื่อเห็นว่าร่างบางเดินเบี้ยงหลบไปทางอื่น ดาวิสจึงรีบเดินลงบันไดที่โถงหลักตามไปในทันที

        “ดาวิส” เฮมิส เจ้าเมืองผู้เป็นใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ เปิดประตูห้องทำงานออกมาพร้อมกับเอ่ยเรียกชายหนุ่มเอาไว้ ทำให้เจ้าตัวต้องหยุดเดินตามร่างบางไปในทันที

      “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า เข้ามาคุยกับข้าครู่หนึ่งสิ” เฮมิสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบๆ ทำให้ดาวิสบอกไม่ถูกว่าเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนขนาดไหน

      หลังจากที่เฝ้ารอลีนัสฟื้นกลับขึ้นมาทั้งเช้าเย็น และรีบเร่งขอตัวกลับออกมาจากงานศพของน้องชายตัวเอง เพื่อจะได้เอ่ยขอโทษกับเจ้าตัวที่ไม่ได้เอ่ยไปเมื่อคืนนี้ ก็ดันสวนทางกันอีก พอถูกดักขึ้นมาตอนนี้ ดาวิสก็รู้สึกขัดใจ ทำสีหน้าลำบากใจออกมาพลางมองเฮมิสสลับกับแผ่นหลังของลีนัสที่ค่อยๆเดินห่างจากออกไป

      “ข้าหมายถึงตอนนี้” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเจ้าเมืองทำให้ดาวิสต้องตัดใจปล่อยลีนัสไปก่อน และยอมเดินกลับขึ้นไปหาเฮมิส

      “...มีเรื่องอะไรหรือขอรับ” ดาวิสเดินตามหลังเฮมิสเข้ามาในห้องทำงานแล้วเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ปิดประตูลง เฮมิสก็หันกลับมายกมือขึ้นกอดอกพร้อมเริ่มต้นสั่งสอนชุดใหญ่

      “พรุ่งนี้ข้าจะทำการมอบตำแหน่งเจ้าเมืองให้ลีนัส ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้าสนิทกัน แต่ก็อยากให้เจ้าระวังกิริยาของเจ้าที่ปฏิบัติกับเจ้าเมืองด้วย อย่างน้อยก็ต่อหน้าคนอื่นๆทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนในที่ว่าการฯเองก็ตาม เจ้าเข้าใจไหม ต่อไปนี้ไม่มีการเรียกห้วนๆกันกลางที่ว่าการฯแล้วนะ”

      “...ขออภัยขอรับ” ดาวิสทำหน้าสำนึกผิดออกมาเมื่อครู่นี้เขาเองก็ลืมตัวไปจริงๆ

      “บางทีเราก็ต้องทำเรื่องที่ไม่ถูกใจบ้าง ข้าก็ไม่ชอบเท่าไหร่หรอกที่ชาวเมืองบางกลุ่มเองก็ยกให้เจ้าเมืองอยู่สูงจนแตะต้องไม่ได้ก็มี แต่มันก็ทำให้ปกครองได้ง่ายขึ้น เจ้าเข้าใจใช่ไหม”

      “เข้าใจขอรับ” ดาวิสตอบรับอย่างว่าง่าย

       “เอาล่ะๆเข้าใจก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องต้องบอกเจ้าแค่นั้นแหละ จากนี้ข้าก็ฝากลีนัสไว้ที่เจ้าด้วยก็แล้วกัน”

       “ขอรับ” ดาวิสน้อมศรีษะรับแล้วหันกลับไปเตรียมจะออกจากห้อง แต่ก็ถูกเอ่ยดักขึ้นมาอีกครั้ง

       “อ้อ...ช่วงนี้ลีนัสอาจจะเครียดเรื่องตำแหน่งและอะไรหลายๆอย่าง เจ้าก็อดทนหน่อยแล้วกัน” ดาวิสหักลับไปมองหน้าเจ้าเมืองด้วยสีหน้างุนงง เขาต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม แต่เฮมิสเพียงแค่คลี่ยิ้มจางๆกลับมา พร้อมทำท่าปัดมือเบาๆบอกให้ดาวิสออกไปทำธุระของเขาต่อ

      ดาวิสเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าครุ่นคิด หรือที่ลีนัสวิ่งหนีเขาเมื่อครู่ก็เป็นผลของความเครียดที่ว่า คิดแล้วดาวิสก็ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจเหตุผล






       หลังจากที่หนีดาวิสออกมาได้สำเร็จ ลีนัสก็เดินมาหาเรเชลที่ห้องรับรองแขกตามที่ได้รับแจ้งจากแม่บ้าน เด็กสาวนั่งรอเขาอยู่บนโซฟาตัวยาวกลางห้องรับรองแขก แววตาสีเขียวเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่าง เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างที่ทำให้แววตาคู่นั้นดูเศร้าๆ

       “...เรเชล?”

       “คะ?” เด็กสาวสะดุ้งขึ้นมาแล้วรีบหันกลับมาตีหน้ายิ้มหวานให้ลีนัสทันที

       “เจ้ากลับไปบอกที่บ้านมาแล้วหรือ” ว่าที่เจ้าเมืองหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ

      “เรียบร้อยค่ะไม่มีปัญหา” เรเชลพยายามปั้นหน้ายิ้มสดใสกลับมา แต่สำหรับลีบลาด้วยกันอย่างลีนัส ที่มองเห็นภูติรอบข้างตัวเล็กๆที่แสดงอารมณ์หดหู่ออกมา ก็รู้ทันทีว่ามีอะไรบางอย่างไม่ค่อยดีเกิดขึ้น

       “ขอโทษนะเรเชล ข้าว่ามันไม่ได้ไม่มีปัญหาอย่างที่เจ้าว่านะ มีอะไรเล่าให้ข้าฟังได้ไหม” ลีนัสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้เด็กสาวขมวดคิ้วและเม้มริมฝีปากแน่น พร้อมจะระเบิดบ่อน้ำตาตัวเองออกมาได้ทุกเมื่อ

      “มานี่มา” ลีนัสเอื้อมมือไปโน้มไหล่บอกบางของเด็กสาวเข้ามากอด ทำให้เรเชลร้องไห้ยกใหญ่ พร้อมพรั่งพรูสิ่งต่างๆที่อัดอั้นเอาไว้ในใจออกมา

       “ข้าทนครอบครัวนี้ไม่ไหวแล้วท่านลีนัส ข้าเป็นแค่คนนอกคนหนึ่งที่ต้องอยู่บ้านเดียวกัน ท่านแม่ข้าจากไปได้สักพักพ่อเลี้ยงข้าก็แต่งงานใหม่กับแม่หม้ายลูกติด ไม่มีใครสนใจข้าสักคนเดียว….ข้าไม่อยู่คืนเดียว….แม่เลี้ยงข้าเก็บของๆข้าออกจากห้องทิ้งไปหมดแล้ว….” ลีนัสนึกสงสัยตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วว่า เด็กสาวคนนี้ดูเหมือนจะมีปัญหากับทางบ้าน ที่แท้ก็เป็นเรื่องแบบนี้นี่เอง

       “ไม่เป็นไรนะเรเชล เจ้ามาอยู่กับข้าที่นี่ก็ได้” ว่าพลางยกมือขึ้นมาลูบหัวเด็กสาวเบาๆเพื่อปลอบประโลม เมื่อเด็กสาวได้ยินเรื่องที่ไม่น่าจะเชื่อหูตัวเองก็เงยหน้าขึ้นมองผู้พูดด้วยความประหลาดใจ แต่ด้วยตำแหน่งที่เจ้าตัวซบไหล่ของอีกฝ่ายอยู่ตรงนั้น ทำให้หันไปเจอใบหน้าเนียนอยู่ห่างไม่ถึงคืบ  ทำเอาเด็กสาวลืมเรื่องที่จะถามไปเสียสนิท

       อยู่ๆประตูห้องรับแขกก็ถูกเปิดพรวดเข้ามาโดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า ทำให้ทั้งคู่ต้องหันไปมองผู้ที่เข้ามา

       “...ขออภัย ข้าไม่คิดว่ามีคน....อยู่…” ดาวิสที่เดินตามหาลีนัสทั่วคฤหาสน์มาจบลงที่ที่ไม่คิดว่าจะอยู่ เลยเปิดประตูเข้ามาโดยที่ไม่ทันได้เคาะก่อน และภาพที่เห็นตรงหน้าเขาตอนนี้ ทำให้เจ้าตัวเอ่ยสะดุดไป แววตาสีน้ำเงินเข้มที่ทอดมองมายังเด็กสาวในอ้อมแขนของลีนัสดูเยียบเย็นพิกล จนทำให้เรเชลตัดสินใจขยับตัวห่างออกมาจากลีนัสช้าๆอย่างไม่เข้าใจเหตุผลสักเท่าไหร่

       “ไหนๆท่านก็มาแล้ว นี่เรเชล ผู้ช่วยข้า แล้วก็ข้ายังคุยกับเรเชลไม่เสร็จรบกวนท่านออกไปก่อนได้ไหมขอรับ” ลีนัสลุกขึ้นยืนแนะนำเรเชลเหมือนว่าไม่มีอะไรที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น

       “คะ?” เรเชลที่ยังไม่ทันได้รับรู้เรื่องที่ลีนัสพูดถึงเมื่อครู่หันไปมองหน้าลีนัสด้วยสีหน้างุนงง ดาวิสที่รอคุยกับลีนัสมาทั้งวัน ไม่คิดจะยอมปล่อยโอกาสนี้ไปง่าย จึงเดินตรงเข้าไปหาเรเชลทำให้ลีนัสต้องขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

      “ข้าดาวิส ว่าที่รองเจ้าเมือง ขอโทษด้วยที่เมื่อวานนี้เสียมารยาทไปหน่อย จากนี้ไปยังไงก็ต้องทำงานด้วยกัน หวังว่าเจ้าคงไม่ถือสาว่าความกัน” ดาวิสแนะนำตัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรพร้อมยื่นมือออกไปหาเด็กสาวที่กำลังทำอะไรไม่ถูก พอมือแกร่งยื่นเข้ามาหา เธอก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือกลับไปจับพอเป็นมารยาท

      “...ค่ะ”

      “ข้าขอโทษนะเรเชล แต่ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องคุยกับว่าท่านว่าที่เจ้าเมืองสักครู่ ข้าขอเวลาได้ไหม” ดาวิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สุภาพและรอยยิ้มที่เป็นมิตร แต่อะไรบางอย่างทำให้เรเชลรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา มือแกร่งที่จับมือเธอไว้ไม่ได้ออกแรงอะไรเยอะ แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือเธอออก

     “ท่านดาวิส ข้าบอกว่าข้ายังคุยกับเรเชลไม่เสร็จไงล่ะ ไม่เข้าใจหรือขอรับ” ลีนัสยกมือขึ้นกอดอกเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียงแข็ง ทำให้เรเชลหันกลับไปมองลีนัสที แล้วก็กลับไปมองที่ดาวิสอีกที

     “...เอ่อ...ข้าออกไปรอข้างนอกครู่หนึ่งก็ได้ค่ะ” เรเชลตัดสินใจเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจ

    “เรชะ..”

    “ขอบใจเจ้ามาก” ดาวิสเอ่ยแทรกลีนัสที่กำลังจะเอ่ยรั้งเด็กสาวขึ้นมา พร้อมปล่อยมือเธอออก

      “ข้ารออยู่ข้างนอกนะคะ” เรเชลหันไปบอกลีนัสแล้วรีบเดินออกจากห้องไปในทันที
เมื่อคนในห้องเหลือเพียงสองคน ลีนัสก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทันที ร่างบางตัดสินใจเดินหนีออกห่างจากอีกฝ่ายออกไปยืนข้างหน้าต่างห้อง เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะฝืนขัดใจตัวเองได้นานแค่ไหนเมื่อถูกแววตาคมคายจ้องมองเช่นนั้น จึงเบือนหน้าหนีหันออกไปมองข้างนอก

      “...ท่านมีเรื่องอะไรจะคุยกับข้าขอรับ” ลีนัสเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่หันมองคู่สนทนา

      “.....................” ดาวิสไม่เอ่ยตอบกลับมา ความเงียบงันยาวนานทำให้ชายหนุ่มร่างบางจำต้องหันกลับมามองคู่สนทนาด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

     “ข้าขอโทษที่ข้าว่าเจ้าไปเช่นนั้นเมื่อคืนนี้ ข้าจะไม่ทำตัวใจร้อนแบบนั้นอีก ยกโทษให้ข้าเถอะลีนัส” ดาวิสรอจังหวะที่ลีนัสหันมาสบตาค่อยเอ่ยขึ้นมา คำขอโทษนั้นทำให้ลีนัสรู้สึกปวดใจขึ้นมา ทำไมดาวิสถึงต้องดีกับเขาเช่นนี้ เมื่อเริ่มรู้สึกข่มกลั้นความรู้สึกเอาไว้ไม่ไหว ลีนัสก็เบือนหน้าหลบไปมองข้างนอกอีกครั้ง

      “ข้าไม่โทษท่านหรอกขอรับ จริงๆแล้วเรื่องนี้ข้าผิดเองขอรับ”

      “เจ้าอย่าพูดแบบนั้นได้ไหมลีนัส เจ้าจะแบกภาระไว้คนเดียวแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ” ดาวิสก้าวเท้าเข้าไปหา ตั้งใจจะเข้าไปโอบกอดร่างบางตรงหน้าเอาไว้ แต่เขากลับชนเขตกั้นเวทย์ที่มองไม่เห็นของเจ้าตัว

      “ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอกขอรับ ถ้ามีเรื่องพูดแค่นี้ก็กลับไปได้แล้วขอรับ” ลีนัสเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาโดยไม่หันมามองดาวิสแม้แต่น้อย ดาวิสจึงยอมก้าวถอยออกมาหนึ่งก้าว แต่เมือสังเกตเห็นเงาสะท้อนจะแสงแดดยามเย็นนอกหน้าต่างตกกระทบกับเขตกั้นเห็นเป็นเงาจางๆ ดาวิสตัดสินใจกำหมัดแน่นแล้วพุ่งหมัดตรงเข้าใส่ฉากกั้นใสๆเต็มแรง
ลีนัสได้ยินเสียงกระแทกอย่างแรงดังขึ้นก็รีบหันกลับไปดู เห็นฉากกั้นของตัวเองแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ แล้วฟุ้งกระจายหายไปกับอากาศรอบๆ หลังมือแกร่งข้างที่ต่อยเมื่อครู่ขึ้นรอยแดงช้ำขึ้นมา ลีบลาหนุ่มที่มัวแต่เป็นห่วงรอยฟกช้ำนั้นไม่ทันได้ระวังตัว ถูกร่างสูงเอนร่างลงมาพิงคร่อมตัวเองไว้กับกำแพงห้อง

      “ถ้าเจ้าหลบหน้าข้าแบบนี้ ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าอภัยให้ข้าจริง”ดาวิสโน้มตัวลงมาคุยกับลีนัสระยะประชิด ทำเอาเจ้าของใบหน้าหวานใจเต้นแรงขึ้นมา ตอนนี้เขาไม่เหลือหนทางจะหนีไปไหนแล้ว ทั้งซ้ายขวาก็มีท่อนแขนแกร่งขวางกั้นเขาอยู่ ตรงหน้าก็เป็นใบหน้าคมกับแววตาที่แน่วแน่จ้องมองมา พร้อมจะทำให้เขาล้มเลิกความตั้งใจของตัวเองได้ทุกเมื่อ

       “อย่า…!!” ลีนัสรีบปัดปลายนิ้วของดาวิสที่กำลังจะเชยคางของเขาให้หันมาสบตามอง พร้อมกับเบือนหน้าหลบ

      “ลีนัส...เจ้าโกรธข้าอยู่ใช่ไหม ถึงต้องลงโทษข้าแบบนี้ ข้าอาจจะผิดเองที่ไม่ได้ตั้งใจดูแลน้องชายตัวเองจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทำให้เจ้าต้องไล่ซีมัสไป ข้าขอโทษ อย่าทำแบบนี้ได้ไหม” ลีนัสให้อภัยดาวิสตั้งแต่ยังไม่ทันได้ฟังคำขอโทษของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่หากว่าเหตุผลนี้จะทำให้ดาวิสยอมห่างเขาได้ ก็ขอข่มกลั้นใจตัวเองที่อยากจะยกมือขึ้นโอบกอดอีกฝ่ายและเข้าไปออดอ้อนอย่างสุดความสามารถ

      “....!!” มือแกร่งยกขึ้นจะไล้ปลายนิ้วลงบนเรือนผมนุ่มที่ปรกลงมาบังหน้าหวานขึ้น แต่เมื่อเห็นว่าลีนัสขมวดคิ้วยืนตัวเกร็งเหมือนกลัวการสัมผัสจากเขา ทำให้ดาวิสหยุดมือของเขาไว้เพียงเท่านั้น แล้วถอนใจออกมา

      “...ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไม่แตะต้องเจ้าจนกว่าเจ้าจะให้อภัยข้าแล้วกัน” ดาวิสเอ่ยจบก็เดินจากออกไปในทันที ลีนัสต้องข่มกลั้นใจตัวเองไม่ให้เอ่ยรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วมองแผ่นหลังนั้จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์



End Act 6 : Grew up 2/3

ช่วงนี้ใครมันโพสรูป 壁ドンไว้น้า เลยเอามาใช้ซะเลย......นี่มันช่างต่างจากที่ร่างโครงไว้จริงๆ  = =''
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-11-2015 09:47:38 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act 6 Grew up :3/3) 3 Nov.2015
«ตอบ #19 เมื่อ03-11-2015 18:08:51 »

Act:6  Grew up (3/3)



          พิธีส่งมอบตำแหน่งเจ้าเมืองจบลงได้ด้วยดี ไม่มีใครกล่าวถึงเรื่องเลวร้ายต่างๆที่เพิ่งเกิดขึ้นไป หรือต้องเรียกว่าไม่กล้าที่จะเอ่ยถึงเสียมากกว่า ข่าวที่ซีมัสผู้เป็นลูกครึ่งภูติได้แสดงวีรกรรมทิ้งเอาไว้ยังคง หลอกหลอนชาวเมืองอยู่ไม่ใช่น้อย เฮมิสเองกลับใช้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นข้อดีที่ช่วยให้ชาวเมืองทำตัวอยู่ในกรอบมากขึ้น

          เด็กสาวที่เพิ่งเริ่มทำงานเป็นผู้ช่วยเจ้าเมือง เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องรองเจ้าเมืองที่ตัวเองไม่ค่อยจะถูกชะตาด้วยสักเท่าไหร่ ในเมื่อการเจอหน้ากันแต่ละครั้งที่ผ่านมาอีกฝ่ายเหมือนพร้อมจะฆ่าเธอได้ถูกเมื่อย่างบอกไม่ถูก ถึงจะไม่อยากจะคุยด้วยเท่าไหร่นัก แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเนื้องานหลักของเธอก็ว่าได้ เพราะเจ้าเมืองดูจะเป็นคนที่ไม่อยากจะคุยด้วยเองมากที่สุด ถึงได้ส่งเธอมาคุยให้ทุกครั้งไป

          ถึงจะไม่ชอบเนื้องานแค่ไหน แต่จะว่าเธอคิดผิดที่รับงานนี้ก็ไม่ถูก ยังไงก็ยังดีกว่าต้องกลับไปเป็นบุคคลไร้ตัวตนในบ้านหลังเดิมเป็นไหนๆ ซ้ำลีนัสยังอุตส่าห์ไปที่บ้านของเธอเพื่อจะเอ่ยขอตัวเธอไปทำงานด้วยตัวเองอีกต่างหาก แค่นึกถึงสีหน้าของทั้งพ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงตนที่ทำหน้าประหลาดใจออกมาก็อดไม่ได้ที่จะขำขึ้นมา ตอนนั้นเธอรู้สึกเหมือนเป็นนางซินเดอรเรอล่าที่มีเจ้าชายมาสวมรองเท้าแก้วให้ แล้วพากลับเข้าวังหยามหน้าแม่เลี้ยงและบรรดาลูกติดของนางยังไงอย่างนั้น

          ประตูห้องทำงานของรองเจ้าเมืองเปิดออกมาโดยที่เรเชลยังไม่ทันได้เคาะ เบื้องหลังประตูบานนั้นปรากฏใบหน้าคมเข้าขมวดคิ้วมองมาที่เธอด้วยแววตาสงสัย

          “เป็นอะไร จะเคาะประตูก็ไม่เคาะ มายืนอมยิ้มอยู่หน้าห้องอยู่คนเดียว ไหวไหม” รอยยิ้มเพ้อฝันของเธอเมื่อครู่หุบหายไปในทันทีเมื่อเห็นสีหน้ายุ่งๆของอีกฝ่ายเข้า

          “...ท่านดาวิสจะออกไปข้างนอกเหรอคะ” เรเชลรีบถามกลับเพื่อบ่ายเบี่ยงประเด็น

          “เจ้ามีเรื่องอะไรด่วนรึเปล่า”

          “ไม่ค่ะ ท่านลีนัสฝากเอกสารมาให้ตรวจสอบอีกทีค่ะ” เรเชลยื่นเอกสารกองหนึ่งในมือส่งให้ ดาวิสปลายตามองแล้วถอนใจออกมาเบาๆก่อนจะรับไปแล้วเดินวกกลับไปวางไว้บนโต๊ะในห้อง

         “อ้อ เรเชล รอข้าเดี๋ยวนึง” เด็กสาวที่ทำท่าจะเดินหนีไปเมื่อเสร็จธุระถูกเรียกตัวก็ทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วถอนหายใจออกมา  ก่อนจะกลับไปตีหน้ายิ้มแย้มกลับไปเป็นปกติ

         “มีอะไรให้นำกลับไปให้ท่านลีนัสหรือคะท่านดาวิส” เรเชลเตรียมรับเอกสารกลับ เธอเริ่มจะเคยชินกับหน้าที่คนส่งสารและส่งของไปมาระหว่างสองคนนี้เข้าไปทุกที

        “อ่ะ ข้าฝากกลับไปที แล้วก็….” ดาวิสหยิบเอกสารอีกกองกลับไปให้เด็กสาว

         “คะ?” เรเชลเอ่ยถามรองเจ้าเมืองที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ลังเล

        “ข้ารบกวนเจ้านิดนึงสิ อีกสักสิบนาทีเจ้าลงไปตามข้าที่หน้าประตูทางเข้าใหญ่ทีสิ บอกว่าท่านเจ้าเมืองมีเรื่องด่วนหรืออะไรก็ได้ ช่วยหน่อยได้ไหม” เรเชลได้ยินคำขอร้องประหลาดๆนี้ก็ขมวดคิ้วกลับไป ฟังดูเหมือนเป็นงานที่ต้องทำให้ใครไม่พอใจแน่ๆ สีหน้าแสดงความไม่ไว้วางใจของเด็กสาวทำให้ดาวิสถอนใจออกมา

         “เอาเถอะ ไม่ต้องก็ได้ ขอโทษด้วยที่ขอให้ทำอะไรแปลกๆ” ดาวิสผ่านเรเชลลงบันไดไปชั้นล่างอย่างเงียบๆ เด็กสาวไปแต่มองตามด้วยความงงงวยก่อนจะหันกลับ แล้วเดินไปที่ห้องทำงานของเจ้าเมือง

         “เอกสารถึงมือท่านดาวิสแล้วนะคะ แล้วก็อันนี้ท่าดาวิสฝากกลับมา” เรเชลเอ่ยรายงานผล”งานส่งเอกสาร”ของเธอให้ลีนัสฟัง พร้อมวางเอกสารชุดใหม่ลงบนโต๊ะ ทว่าเจ้านายของเธอไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะรับฟังเธอเลยสักนิด แววตาสีเพลิงทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่างห้องทำงานอย่างล่องลอยออกไปข้างนอก

         “ท่านลีนัส มีอะไรหรือคะ?” เรเชลเอ่ยถามพลางชะเง้อหน้ามองออกไปข้างนอกบ้าง เห็นหญิงสาวผมสีบลอนทองแต่งตัวดีผิวขาวสวยตัดกับริมฝีปากสีแดงสดคนหนึ่งยืนรอใครบางคนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าที่ว่าการด้วยใบหน้าสดใส เหมือนหญิงสาวที่เพิ่งจะเริ่มมีความรัก กำลังเฝ้ารอที่จะเจอคนรักอย่างอารมณ์ดี

        “โฮ่...” เรเชลร้องอุทานขึ้นมาเพราะกำลังตะลึงในความงามของหญิงสาวข้างนอกนั่น ทำเอาลีนัสสะดุ้งแล้วละสายตากลับมา ยังเด็กสาวที่เขย่งเท้าชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความสนอกสนใจ

       “ใครหรือคะ?” ตากลมโตของเด็กสาวกรอกกลับมาถามเจ้านายของเธอด้วยความสนอกสนใจ

      “ท่านดาวิสฝากอะไรกลับมานะ” ลีนัสแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของเรเชล แล้วทำทีเป็นหยิบเอกสารที่เรเชลหยิบมาวางเมื่อครู่ขึ้นมาเปิดดู

       “......” เรเชลรู้ดีว่าการที่ลีนัสแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินก็เพราะไม่อยากจะพูดถึง จึงไม่เซ้าซี้ที่จะถาม ทว่าอาการใจลอยแปลกๆของลีนัสพอจะทำให้เด็กสาวเดาอะไรไปเองได้อยู่ ปกติลีนัสไม่ใช้เวลานั่งจ้องเอกสารหน้าแรกนานขนาดนี้ เธอรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ

       “อ้อ….วันนี้ก็เย็นแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าไม่มีอะไรที่จะต้องให้เจ้าช่วยแล้ว” ลีนัสเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าปล่อยให้เรเชลยืนรออยู่

       “อา..ค่ะ ถ้านั้นข้าขอตัวแค่นี้นะคะ” เรเชลที่ปกติไม่ได้มีอะไรทำหลังเลิกงาน ปกติลีนัสมักจะจัดเวลาสอนทักษะการเป็นลีบลาให้ แต่วันนี้ดูเหมือนเรื่องนั้นจะไม่เกิดขึ้น เธอตัดสินใจปล่อยให้เจ้านายของเธอได้มีเวลากับตัวเองบ้างสักพัก เธอเลยขอตัวเเอกมาก่อน ระหว่างที่ปิดประตูห้องลงเธอก็เห็นว่าลีนัสวางเอกสารลง แล้วหันกลับออกไปมองที่ข้างนอกหน้าต่างอีกครั้ง

       ………..ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?? เรเชลสงสัยขึ้นมาตงิดๆ จะว่าเจ้านายเธอจะแอบหลงรักหญิงสาวคนนั้นก็แล้วทำไมไม่ออกไปหาเสียให้สิ้นเรื่อง เป็นถึงเจ้าเมืองมีหรือจะถูกเมินเฉย เธอตัดสินใจเดินออกไปดูด้วยตัวเอง แต่เมื่อจะเดินออกไปข้างนอกก็เห็นว่า มีคนเดินเข้าไปคุยกับหญิงสาวคนนั้นแล้ว แววตาสีฟ้าใสที่มองอีกฝ่ายดูเปล่งประกายออกมา จนเรเชลสัมผัสได้ ว่านี่แหละคือคนที่เธอรออยู่

      …..ท่านรองเจ้าเมือง...ยังไงล่ะทีนี้….เด็กสาวเริ่มงุนงงในข้อสันนิษฐานของตัวเอง ถ้าเมื่อครู่ที่ดาวิสขอให้เธอไปเรียกเขากลับมา โดยอ้างว่าเป็นธุระด่วน ก็เพื่อจะปลีกตัวออกมาจากหญิงสาวผู้น่ารักเพรียบพร้อมคนนี้ เรเชลเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงตัดสินใจที่จะแอบฟังอยู่ห่างๆเพื่อประเมินสถานการณ์ใหม่

       “ขออภัยด้วยที่ท่านแม่ข้าทำให้ท่านต้องลำบากมาถึงนี่” ดาวิสรับห่อขนมอบที่มารดาของเขาเพียงใช้อ้างให้หญิงสาวผู้นี้มาส่งให้เขากับมือ เพื่อให้ดาวิสได้เจอหน้ากับเธอสักครั้ง ซึ่งก็ไม่แปลกใจอะไรนักที่มารดาต้องการให้เขาได้เจอหน้ากันสักครั้งให้ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นหญิงสาวที่งดงามเหมือนตุ๊กตาที่ประณีตบรรจงปั้นขึ้นมาขนาดนี้ หากเขายังไม่มีใครอยู่ในใจก็คงจะหวั่นไหวได้อยู่เหมือนกัน

         “ไม่เลยท่าดาวิส ข้าเต็มใจที่จะมาเอง ดีเสียอีกที่นานๆข้าจะได้ออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง ว่าแต่ว่าข้ารบกวนเวลาของท่านมากเกินไปไหมที่แวะเข้ามาหาแบบนี้” หญิงสาวคลี่ยิ้มหวานแฝงด้วยแววตาข่มขื่นเล็กน้อย ดาวิสก็พอจะเข้าใจว่าเกิดเป็นลูกสาวตระกูลผู้ดี มักจะไม่ได้ปล่อยออกไปนอกบ้านสักเท่าไหร่ จนกว่าจะได้ลงหลักปักฐานกับตระกูลอื่น ซึ่งก็ไม่ได้รับรองได้ว่าเธอจะได้รับการปฏิบัติอย่างไรต่อ แต่ทว่านั่นก็ไม่ใช่ปัญหาที่เขาจะต้องช่วยอีกฝ่ายแก้ไขแต่อย่างใด
   
         “ถ้าวันที่งานไม่เยอะเท่าไหร่อย่างวันนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรขอรับ” ดาวิสเอ่ยดักไม่ให้อีกฝ่ายตั้งความหวังอย่างถนอมน้ำใจอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด

         “ถ้าเช่นนั้น หลังจากกนี้ท่านพอจะมีเวลาไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาเหมือนไม่ค่อยกล้าที่จะเอ่ยนัก

        “อา….” ดาวิสเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเผลอหลุดปากพูดออกไปแล้วว่าวันนี้งานไม่เยอะ จะเอ่ยปฏิเสธไปตอนนี้ก็ดูจะเสียมารยาท ดูเหมือนเขาจะไม่มีทางเลี่ยงเสียแล้ว

        “เอ่อ...ท่านดาวิสคะ” เรเชลตัดสินใจเดินเข้าไปหา แววตาสีฟ้าของหญิงสาวจ้องมองมาที่เด็กสาวเหมือนกำลังอ้อนวอนอย่าให้เธอได้พาดาวิสไปที่ไหนเลย แววตาคู่นั้นทำให้เด็กสาวต้องกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ ส่วนแววตาสีน้ำเงินเข้มนั้นจ้องมองเธอมาอย่างมีความหวัง เด็กสาวเริ่มจะรู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงลีนัสที่นั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องทำงานเมื่อครู่นี้ขึ้นมา ทำให้เธอตัดสินใจเอ่ยขึ้นมา

       “...ท่านเจ้าเมือง มีเรื่องด่วนอยากจะปรึกษาท่านค่ะ” พอได้ยินที่เรเชลเอ่ยขึ้น ดาวิสก็กระตุกยิ้มมุมปากขึ้นนิดๆ แล้วขยับปากเอ่ยขอบคุณเรเชลก่อนที่จะหันกลับไปคุยกับหญิงสาว

       “ข้าขอโทษด้วยนะขอรับท่านเมดิลิน ดูเหมือนข้าจะไม่ว่างเสียแล้ว ข้าให้คนไปส่งท่านที่บ้านไหมขอรับ” ดาวิสรีบฉวยโอกาสนี้ปิดช่องทางของอีกฝ่ายทันที

       “อา...ไม่เป็นไรค่ะ เอาไว้โอกาสหน้าก็ได้ค่ะ” เมดิลินเอ่ยตอบกลับมาด้วยแววตาเศร้าๆก่อนจะก้มศีรษะและย่อตัวนิดๆก่อนจะลาจากไป

       “....ข้ารู้สึกเหมือนทำบาปอันใหญ่หลวงลงไปอย่างไรอย่างนั้น…” เรเชลบ่นขึ้นหลังจากที่เมดิลินเดินจากไปได้สักพัก

      “ขอบใจนะเรเชล ขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้ารู้สึกผิดแบบนี้ เอาไว้เจ้าอยากให้ข้าช่วยเรื่องอะไรก็บอกแล้วกัน” ดาวิสคลี่ยิ้มพลางตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ

        “ข้าว่านางก็น่ารักดีนี่นา ทำไมถึงต้องเย็นชากันขนาดนั้นด้วย”

        “ข้ามีคนที่ชอบอยู่แล้วก็แค่นั้นแหละ” พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็นึกขึ้นได้ว่าห้องทำงานของลีนัสมองลงมาถึงตรงนี้ได้ จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่หน้าต่างห้องทำงานของเจ้าเมือง ก็สบตาเข้ากับคนที่ตนกำลังคิดถึงอยู่พอดี ลีนัสที่แอบมองมาจากชั้นบนเห็นว่าดาวิสมองกลับมาก็รีบลุกเดินหนีออกห่างไปจากหน้าต่างทันที

       “เอ๋!!? ” เด็กสาวร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินดาวิสที่ยอมรับเรื่องนี้ออกมาอย่างง่ายดาย

       “อ่ะ คุ๊กกี้ ข้าว่าน่าจะอร่อยนะ ข้ายกให้” อยู่ๆดาวิสก็ยกห่อขนมให้เธอทั้งห่อ แล้วรีบเดินกลับเข้าไปข้างในทันที

      “อ้าว ท่านดาวิส...เดี๋ยวสิ…” เรเชลหันไปมองแผ่นหลังกว้างที่เดินจากไปอย่างงุนงง สลับกับห่อขนมในมือ

      “....จะว่าไป...นี่มันหอมดีจัง”


           ดาวิสรีบเดินกึ่งวิ่งกลับเข้าไปข้างในส่วนของคฤหาสน์ เพื่อจะไปหาลีนัสที่มองเขาลงมาจากในห้องทำงาน ถึงแม้ตอนนี้ดาวิสจะพยายามเลี่ยงไม่พูดคุยกับลีนัสจนกว่าลีนัสจะยอมคุยกับเขาก็ตาม แต่เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไป ซ้ำแววตาที่มองลงมาเมื่อครู่ทำให้เขามีความหวังขึ้นมานิดๆว่าลีนัสจะยอมกลับมาคุยกับเขาอีกครั้ง
แต่เมื่อเขาเคาะประตูและถือวิสาสะเปิดประตูห้องทำงานเข้าไป ก็พบกับเอกสารต่างๆที่ถูกจัดเก็บไว้อย่างลวกๆบนโต๊ะ และห้องที่ว่างเปล่า ไม่เหลือร่องรอยของเจ้าของห้องแม้แต่นิดเดียว ลีนัสรู้ว่าเขาจะมาจึงได้รีบหนีออกไปเสียก่อน เพื่อเลี่ยงการสนทนา

          “.....” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวังก่อนจะถอยกลับออกมาแล้วปิดประตูห้องลง
สิ้นเสียงปิดประตูห้องและฝีเท้าที่เดินจากไปได้สักพัก ก็มีเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกแว่วออกมาจากใต้โต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดหน้าต่างห้อง ชายหนุ่มร่างบางผู้เป็นเจ้าเมืองนั้น นั่งขดตัวแอบอยู่ใต้โต๊ะ หลังจากที่รู้ว่าดาวิสกำลังจะขึ้นมาหา เขาก็รีบเก็บของบนโต๊ะให้เรียบร้อยและเตรียมจะหนีออกไปข้างนอก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายเดินตรงเข้ามาหาแล้ว ทางออกสุดท้ายของเขาคือใต้โต๊ะทำงานตรงนี้นั่นแหละ

         …......ทำไมข้าต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย



           สุดท้ายแล้ววันนี้ดาวิสก็หาลีนัสไม่เจอ อยู่ๆก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยกระทั่งตกดึก ดาวิสตัดใจที่จะออกตามหาแล้ว เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะหลบหน้าเขา พอคิดว่าลีนัสยังจะตั้งใจหลบหน้าเขาแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆเขาก็ถอนหายใจออกมา แววตาเหม่อมองออกไปที่สวนข้างหลังคฤหาสน์ในยามค่ำคืน ทันใดนั้นเองที่เขาเห็นเด็กหนุ่มร่างบางในเสื้อผ้ารัดกุมสีดำ มีผ้าคลุมหัวเดินกึ่งวิ่งเลาะกำแพงคฤหาสน์ออกไปทางป่าด้านหลัง ลักษณะท่าทางที่ดูคุ้นตาทำให้ดาวิสรีบออกจากห้องนอนตัวเอง ลงไปชั้นล่างและออกตามร่างบางไปที่สวนด้านหลังทันที

         ดาวิสค่อยๆเดินตามรอยเท้าที่เหลือทิ้งไว้ให้เห็นบนพื้นดินที่เปียกชื้นจากฝนที่ตกลงมาเมื่อช่วงเย็น แต่เมื่อเข้าไปลึกเข้าไปเรื่อยๆ เงาต้นไม้ใหญ่ก็เริ่มจะกลบแสงจันทร์จนมองไม่เห็นร่องรอยอะไรแล้ว ดาวิสจึงย่อตัวลง หลับตาเงี่ยงหูฟังหาทิศทางของเสียงย่ำเท้าอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้ยินอะไรเหมือนว่าอีกฝ่ายหยุดเคลื่อนที่ไปแล้ว
ขณะที่กำลังคิดว่าจะต้องถอดใจเดินสุ่มหาดูแล้ว อยู่ๆก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมาจากมุมป่าฝั่งที่เข้าไปใกล้เขตของภูติ ดาวิสจึงค่อยๆย่องเข้าไปหาเงียบๆ

        เมื่อเดินมาถึงลานหินกว้างที่ตรงนี้ไม่มีเงาต้นไม้ใหญ่บังแสงจันทร์เลย ปรากฏร่างภูติกึ่งกกระทิงร่างใหญ่ยืนเด่นสง่าอยู่ ที่ตรงหน้ามีร่างของชายหนุ่มที่ดาวิสตามมาเมื่อครู่ยืนอยู่ เมื่อเปิดผ้าคลุมหัวสีดำออกมาก็เห็นเรือนผมสีน้ำตาลแดงสะท้อนแสงจันทร์ออกมาชัดเจน ใช่คนที่เขาคิดไว้ไม่ผิดจริงๆ
แววตาคมสีแดงเข้มของภูติร่างใหญ่ปลายตามองมายังดาวิสทันทีที่เขาเข้ามาถึง เจ้าตัวจึงรีบพลิกตัวหลบไปหลังต้นไม้ใหญ่ทันที ผู้ที่ปลายตามองเมื่อครู่ก็เพียงยักไหล่เบาๆแล้วหันกลับมาที่คู่สนทนาของตนอีกครั้ง

         “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ซีมัสสบายดี แค่ไม่พร้อมจะเจอเจ้าเท่านั้นเอง” กระทิงร่างสูงใหญ่กว่าลีนัสสามเท่าเอ่ยพูดขึ้นมา

        “.....ข้าขอโทษด้วยที่ต้องรบกวนท่าน” ลีนัสเอ่ยอย่างรู้สึกผิด อาการซึมเศร้าของเจ้าเมืองหนุ่มทำให้ภูติรู้สึกอึดอัดจนต้องถอนใจออกมา กล้ามเนื้ออกหนากระเพื่อมจากการถอนหายใจหนักของภูติร่างใหญ่ ควันร้อนลอยฟุ้งออกมาจากปลายจมูก

       “ข้ามีส่วนต้องรับผิดชอบชีวิตเด็กคนนี้เหมือนกัน เจ้าอย่าได้คิดมากนัก เจ้าเป็นเจ้าเมืองแล้ว มีภาระสำคัญที่ต้องดูแลมากมาย” ภูติร่างยักษ์ว่าพลางตวัดสายตากลับมาตรงที่ดาวิสแอบอยู่อีกครั้ง

      “รีบกลับไปได้แล้วอย่าทำให้คนอื่นเป็นห่วงเจ้านักเลย” คำพูดทิ้งท้ายของภูติก่อนที่จะสลายตัวกลายเป็นแสงสว่างดวงเล็กๆกระจายตัวหายจากไปนั้น ทิ้งให้ลีนัสงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร คิดว่าพูดรวมๆถึงทั้วชาวเมืองและชาวภูติที่ต้องพึ่งพาเขา แต่ดาวิสที่แอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่นั้นพอจะเดาได้ว่าตัวเองถูกพาดพิงถึง เขารู้ดีว่าถึงตัวเองจะหลบยังไงก็ไม่พ้นสายตาของภูติไปได้อย่างแน่นอน และดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ต้องการจะแจ้งให้ลีนัสได้รู้ด้วยจึงไม่เปิดเผยตัวออกมา ไหนเลยลีนัสก็ยังหลบหน้าเขาอยู่ ออกไปตอนนี้มีแต่สร้างความอึดอัดใจให้อีกฝ่ายหนักขึ้นไปเท่านั้น

       “อ่ะ…” เสียงร้องอุทานขึ้นมาของลีนัสทำให้ดาวิสต้องชโงกหน้าออกไปดู เห็นหมาป่าร่างสูงใหญ่ขนสีดำขลับเดินเข้ามาหาลีนัสช้าๆ ดาวิสเตรียมจะลุกขึ้นไปขวางแต่เมื่อเห็นว่าลีนัสย่อตัวลงแล้วแบมือยื่นไปหาหมาป่าขนดกดำก็ทำให้เขานึกขึ้นได้

       “....ลูลู่…” ลีนัสเห็นนัยน์ตาข้างนึงสีแดงข้างนึงสีม่วงของหมาป่าร่างใหญ่ก็ร้องขึ้นมา เขาจำได้ว่าชื่่อนี้เป็นชื่อที่เด็กหญิงตัวน้อยเป็นคนเอ่ยตั้งให้ โดยที่เขาเองก็คิดว่าไม่ได้เข้ากับเจ้าตัวเลยสักนิด แต่เพราะเขาไม่รู้จะเอ่ยเรียกอะไรออกมาเลยต้องใช้ชื่อนี้ไปโดยปริยาย หมาป่าร่างใหญ่ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเรียกชื่อก็ค่อยๆกระดิกหางฟูๆของตัวเองไปมา แล้วเดินมาเลียมือของลีนัสชุดใหญ่ ก่อนจะลามไปเลียแก้มเลียหน้าอย่างดีอกดีใจ ดาวิสเห็นเช่นนั้นก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก

       “จะว่าไปชื่อนี้ก็เข้ากับเจ้าอยู่นะ ว่าไง” ลีนัสใช้มือสองข้างขยี้แผงคอนุ่มหนาของเจ้าหมาป่าร่างใหญ่อย่างสนุกสนาน ดาวิสแอบนั่งดูลีนัสที่นั่งเล่นอยู่กับหมาตัวใหญ่อย่างสนุกสนานอยู่ก็คลี่ยิ้มออกมา หลายวันมานี้เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มของลีนัสเลยตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น นึกๆแล้วก็แอบอิจฉาลูลู่ขึ้นมา
แต่ไม่นานนักรอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆจางหายไป ลีนัสขยี้หัวลูลู่เบาแล้วก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืน

        “ขอบใจนะลูลู่ ข้าต้องกลับแล้วล่ะ ไว้ข้าจะมาใหม่นะ” หมาป่าตัวใหญ่ที่นอนหงายท้องอยู่ เห็นว่าลีนัสลุกขึ้นยืนก็รีบพลิกตัวลุกขึ้นแล้วเดินตามไปส่งอย่างอารมณ์ดี ดาวิสรอให้ลีนัสเดินนำกลับไปก่อนสักพักหนึ่งจึงค่อยลุกขึ้นเพื่อจะเดินกลับไปบ้าง

     
   
      “เกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกท่านหรือขอรับ” เสียงยียวนที่คุ้นหูดังแว่วออกมาจากบนต้นไม้สูงระหว่างทางที่ดาวิสจะเดินกลับ ทำให้เขาหยุดฝีเท้าลงไปในทันที

      “...ข้าว่า เจ้าจัดการปัญหาของตัวเจ้าเองก่อนดีไหม เข้าสู่วัยต่อต้านผู้ปกครองแล้วหรือไงซีมัส แม่อุตส่าห์มาตามถึงที่ไม่ยอมออกมาหาน่ะ” ดาวิสที่ถูกเอยจี้ใจดำขึ้นมาก็ยียวนอีกฝ่ายกลับไปบ้าง ทำให้เจ้าตัวกระโดดลงมาตรงหน้าพร้อมออกหมัดต่อยเข้าที่หน้าของเขาทันที จึงรีบเบียงตัวหลบพร้อมตีเข่าอีกฝ่ายกลับไปอย่างแรง ทำเอาเด็กหนุ่มเซไปเล็กน้อยก่อนจะกระโดดถอยไปตั้งหลักเสียใหม่

      “นี่จะไม่คิดจะคุยกันดีๆบ้างรึไง” ดาวิสขมวดคิ้วถาม แต่ยกมือขึ้นตั้งท่าเตรียมรับการโจมตีของอีกฝ่ายเต็มที่

      “ไม่ล่ะ ทุกอย่างมันเป็นเพราะท่านนั่นแหละ ที่ข้าไม่เหลือจุดให้ข้ายืนในสังคมก็เพราะท่าน” ซีมัสเอ่ยโทษดาวิสอย่างหงุดหงิดพร้อมกับกระโดดเตะใส่ แต่ดาวิสยกแท่นแขนแกร่งขึ้นมากันไว้ แต่แรงเตะของอีกฝ่ายก็แรง จนทำให้ดาวิสต้องถอยหลบไป

      “เดี๋ยวก่อนซีมัส มันเป็นความผิดของข้าไปได้ยังไง” ดาวิสค่อยๆถามอย่างใจเย็น อย่างน้อยสภาพของซีมัสตอนนี้ก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาอยู่ ยังไม่ได้มีตราเวทย์ปรากฏขึ้นตามร่างกาย มีเพียงผมสีบลอนที่ยาวลงมาดูเกะกะรุงรังเท่านั้น แปลว่าซีมัสยังไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าเขา อย่างน้อยๆก็ตอนนี้
   
      “มันไม่มีทางหรอกที่ท่านจะไม่รู้ว่ามีดที่แทงข้าวันนั้นเป็นของใคร แล้วทำไมมันกลับไปอยู่กับดามอนต์อีกครั้ง มีแต่ท่านเท่านั้นแหละที่ทำได้” ซีมัสตรงหมัดพุ่งเข้าใส่ดาวิสอีกครั้ง รอบนี้ดาวิสยกแขนขึ้นบังพร้อมตวัดแขนอ้อมมายึดท่อนแขนของอีกฝ่ายเอาไว้

     “ซีมัส ถ้าเจ้าจะโทษข้าเรื่องนั้น ข้าขอโทษ ข้าคาดไม่ถึงจริงๆว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ข้าไม่ได้ต้องการให้มันลงเอยแบบนี้หรอกนะ…!!” ระหว่างที่ยึดท่อนแขนของซีมัสไว้ เด็กหนุ่มก็ใช้แขนอีกข้างจับไหล่ของดาวิสแล้วพลิกตัวทุ่มร่างหนาลงกับพื้น

      “ชิส์!!” ดาวิสรีบพลิกตัวลุกขึ้นมาก่อนที่ซีมัสจะลงมาซ้ำอีกรอบ

     “ท่านจะพูดตอนนี้ว่ายังไงมันก็ได้ทั้งนั้นแหละ"  ซีมัสตรงเข้าไปพุ่งหมัดเข้าไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ดาวิสเพียงแค่เอียงหน้าไปด้านข้าง ปล่อยให้หมัดหนักๆของเด็กหนุ่มกระแทกเข้าที่หน้าฝั่งซ้ายของตัวเองอย่างเต็มแรง ทำให้ร่างสูงเซถอยไปพิงกับต้นไม้ใหญ่ข้างหลัง

    “......” ซีมัสที่อารมณ์เดือดดาลอยู่เมื่อครู่ พอต่อยอีกฝ่ายได้สำเร็จกลับรู้สึกผิดขึ้นมา

    “ดีขึ้นไหม” ดาวิสเอ่ยถามหลังจากที่ถ่มน้ำลายผสมคราบเลือดตัวเองทิ้งแล้วยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปากออกลวกๆ

    “ทำไมถึงยอมให้ข้าต่อย…” ยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจปล่อยให้เขาต่อยก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปอีก

    “ถ้าเจ้าโทษข้าแล้วมันรู้สึกดีขึ้นข้าก็ปล่อยให้เจ้าโทษข้านี่ไง รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม ข้าจะได้โทษที่เจ้าฆ่าน้องชายข้าบ้าง”

     “...................” คำตอบของดาวิสทำให้ซีมัสเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง สิ่งที่เขาพรากไปจากดาวิสนั้นมากกว่าสิ่งที่เขาถูกพรากออกไปเยอะนัก ยิ่งเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อให้เขาเข้าใจ ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บใจ ที่รู้ว่าตัวเองเทียบกับอีกฝ่ายไม่ได้เลยจริงๆ

      “ซีมัส…” ดาวิสเดินเข้ามาวางมือลงบนไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ

     “ถ้าวันนั้นเป็นข้าที่อยู่ตรงนั้น ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรลงไปกับน้องชายตัวเองเหมือนกัน ฉะนั้นข้าไม่โทษเจ้าเรื่องนี้หรอกนะ” ซีมัสได้ยินสิ่งที่ดาวิสเอ่ยขึ้นมาก็รู้สึกว่าควาอึดอัดใจของตนเองเบาลงไปในทันที นี่นับเป็นคำให้อภัยคำแรกที่เขาได้รับหลังจากวันที่เขาถูกคนทั้งเมืองตราหน้าว่าเป็นฆาตกร

     “ลีนัสเองก็ไม่ได้โกรธเจ้าขนาดนั้นหรอก ไม่งั้นคงไม่ออกมาตามหาเจ้าถึงในนี้ ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อตัวเจ้าทั้งนั้น เข้าใจไหม” พอดาวิสเอ่ยถึงลีนัสขึ้นมา ทำให้เด็กหนุ่มที่รู้สึกเหมือนกำลังถูกปฏิบัติเหมือนเป็นเด็กน้อยอีกครั้ง จึงรีบปัดมือของดาวิสออกแล้ววิ่งหายกลับเข้าไปในป่าลึกอีกครั้ง

      “....โรคเข้าใจยากนี่มันเป็นกันทั้งพี่ทั้งน้องรึไงเนี่ย….เฮ้อ พรุ่งนี้จะอ้างว่าไปโดนอะไรมาดีล่ะ” ดาวิสบ่นขึ้นมากับตัวเองพลางยกมือขึ้นขยับกรามตัวเองเบาๆ

      “....หมัดหนักเป็นบ้าเลย” 







โยสสสสสส ตอนหน้าเฟริคคุงกลับมาแล้วนะ (ซะที) อ่านๆมาถึงตรงนี้ก็คอมเม้นกันบ้างก็ได้นะ คือเหงาอ่ะ ถึงเราจะปลงตกไปแล้วก็ตาม 55555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2015 21:40:08 โดย hayeebaba »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Libra's Heart (Act 6 Grew up :3/3) 3 Nov.2015
« ตอบ #19 เมื่อ: 03-11-2015 18:08:51 »





ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act:6 special fan service) 4 Nov.2015
«ตอบ #20 เมื่อ04-11-2015 18:28:56 »

Act 6 : Special fan service

เอาจริงๆมันคือ writer service  บทนี้ออกมาสนองนิ๊สคนเขียนค่ะ เก็บกดเล็กน้อย  5555 :hao6:








Act 6.5 :  Special fan service (writer service)


   เสียงประตูห้องที่ถูกปิดลงอย่างเบามือ ตามด้วยเสียงบิดกลอนประตูลง ทำให้ร่างบางที่นั่งกอดเข่าแอบอยู่ใต้โต๊ะสะดุ้งตัวน้อยๆ เสียงส้นรองเท้าหนังกระทบพื้นไม้เป็นจังหวะการก้าวย่างอย่างใจเย็น เสียงกระทบนั้นดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

   เก้าอี้ที่วางบังอยู่ถูกลากถอยออกไปข้างหลัง ฝีเท้าคู่นั้นในรองเท้าหนังสีน้ำตาลไหม้เดินมาข้างหน้า แล้วทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น ร่างสูงยกมือขึ้นประสานไว้บนตักก่อนจะโน้มตัวลงมาหาผู้ที่นั่งแอบอยู่ใต้โต๊ะตัวนั้น

   “ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้นะท่านเจ้าเมือง” เจ้าของน้ำเสียงทุ้มลอบขำออกมาน้อยๆก่อนจะเอ่ยทักผู้ที่นั่งกอดเข่าหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายอยู่ข้างล่างนั่น

   “ออกมาเถอะ” แววตาสีน้ำเงินเข้มทอดมองอีกฝ่ายแล้วคลี่ยิ้มจางๆออกมาพร้อมกับยื่นมือแกร่งส่งให้ ใบหน้าหวานขมวคคิ้วทำหน้ามุ่ยใส่อีกฝ่ายกลับมา ก่อนจะคลานออกมาแล้วลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง มือสองข้างขยับจัดเครื่องแบบอันทรงเกียรติของตนให้เข้าที่เข้าทาง
   “อ่ะ!!” ไม่ทันไรข้อมือบางก็ถูกอีกฝ่ายที่นั่งดูอยู่อย่างใจเย็นคว้าไว้ได้แล้วออกแรงดึงร่างบางเข้ามานั่งคร่อมร่างหนาบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน

   “....” ท่อนขาที่ไม่มีที่ค้ำยัน จำต้องทิ้งน้ำหนักสะโพกลงบนท่อนขาแกร่งที่นั่งอยู่ข้างล่าง เป็นตำแหน่งที่ทำให้ลีนัสรู้สึกอึดอัดเป็นที่สุด ไหนเอยจะท่าบังคับที่ทำให้ร่างบางต้องประชันหน้ากับแววตาคมสีน้ำเงินเข้ม ที่เหมือนจะมองทะลุทุกความคิดของเขาได้โดยไม่ต้องเอ่ยถาม ลีนัสจึงรีบเบือนสายตาหลบ

   “เจ้าหลบหน้าข้าแบบนี้ตั้งใจจะยั่วข้ารึไงลีนัส” ดาวิสกระซิบถามที่ร่างบางที่ข้างหูก่อนจะฝั่งหน้าลงบนพวงแก้มเนียนนุ่มที่ตอนนี้แดงเป็นลูกมะเดื่อ แล้วไล้ลงมาที่ซอกคอ สัมผัสหยาบกร้านจากเคราที่สั้นคมไล้ไปตามซอกคอทำให้ร่างบางเริ่มสั่นเทิ้มขึ้นมา

   “อ๊ะ!! ท่านดาวิส!!” ลีนัสร้องปรามขึ้นมาพร้อมยกมือขึ้นมาจับข้อมืออีกฝ่าย ที่ไล่ลงมาเค้นคลึงที่สะโพกบาง แล้วลากปลายนิ้วแกร่งลงลึกไปหยอกล้อเบื้องล่างผ่านเนื้อผ้านุ่ม

   “หืม? มีอะไรหรือลีนัส” ร่างหนาทำเสียงทุ่มต่ำถามผ่านลำคอเบาๆพลางไล้สันจมูกไปตามซอกคออีกฝ่ายเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น

   “อย่าทำแบบนี้สิ นี่มันห้องทำงาน….ย๊ะ…” อยู่ๆร่างบางก็นั่งตัวเกร็งขึ้นมาเมื่อถูกริมฝีปากของอีกฝ่ายขบเม้มเบาๆที่ใบหู

   “เจอจุดอ่อนเจ้าเมืองแล้วจุดที่หนึ่ง” ดาวิสกระซิบบอกเจ้าตัวเบาๆที่ข้างหูพลางไล่ปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ดจนหมด เผยให้เห็นผิวขาวเนียนไม่แพ้สีเครื่องแบบสีขาวของเจ้าตัว

   “ท่านดาวิส?” ลีนัสเห็นว่าอีกฝ่ายยกมือขึ้นมาอังปากพ่นลมออกมาแล้วถูมือตัวเองให้อุ่น ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
ดาวิสคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไร เมื่อรู้สึกว่ามือของตนอุ่นได้ที่แล้ว ก็ล้วงมือเข้าไปสัมผัสหน้าท้องเนียนขาวตรงหน้าเบาๆ ถึงแม้สัมผัสที่แตะลงมาไม่ได้เย็นเฉียบ แต่ก็ทำให้ลีนัสสะดุ้งหลบไปนิดๆอยู่ดี

        “ขอโทษๆ ยังเย็นอยู่หรือ”

        “.....” เจ้าเมืองหนุ่มที่ตอนนี้เสื้อผ้าหลุดลุยไม่เหลือสถาพเจ้าเมืองอีกต่อไป ส่ายหน้าที่แดงระเรื่อกลับมาเบาๆ เขาไม่ได้สะดุ้งเพราะความเย็น แต่สะดุ้งเพราะพื้นที่ตรงนั้นไม่เคยโดนคนอื่นสัมผัสโดยตรงมาก่อน ท่าทางของร่างบางทำให้ดาวิสหัวเราะออกมาจากลำคอเบาๆอย่างพออกพอใจ ก่อนจะลากฝ่ามือกร้านขึ้นมาขยี้ยอดอกสีชมพูช่วงบน

        “ฮ้า!!...” เสียงหวานหลุดครางออกมาด้วยความตกใจจากสัมผัสวาบหวามที่ได้รับ

        “จุดที่สองสินะ” ดาวิสเอ่ยขึ้นเบาๆก่อนจะก้มลงประจงบดริมฝีปากขยี้ยอดอกตรงหน้าอย่างหนักหน่วง

        “อ๊าา !! ดะ..ดาวิส พอ.ละ.วว.อื้อออ.. “ ร่างบางครางเสียงกระเส่าพยายามบิดร่างหนีสัมผัสอันรุนแรงที่ทำให้สติของตนกระจุยกระจายแทบจะไม่เหลือชิ้นดี แต่อ้อมแขนแกร่งของดาวิสไม่ยอมปล่อยให้เขาขยับหนีไปไหนได้
 
       เสียงเปียกชื้นจากปลายลิ้นที่โลมเลียดูดกลืนยอดอกดังแทรกเสียงครางกระเส่าขึ้นมา กระตุ้นให้ผู้ถูกโลมเลียรู้สึกเสียวซ่านขึ้นมาที่หว่างขา เมื่อลุกหนีสัมผัสอันวาบหวามนี้ไปไม่ได้ ท่อนแขนเรียวจึงตวัดมาเกาะที่แผ่นหลังแกร่งไว้แน่น ปลายนิ้วเรียวเกร็งแน่นจิกลงบนแผ่นหลังเพื่อข่มกลั้นความเสียวซ่านนั้นไว้

         “อา...แดงหมดแล้ว น่ารักจริงๆ” แววตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองดูผลงานของตัวเองอย่างพอใจ ก่อนจะเงยขึ้นมองใบหน้าหวานที่แดงไม่แพ้รอยที่เขาทำทิ้งไว้

          “เอาล่ะ ตรงนี้มันชักจะดูอึดอัดขึ้นมาแล้วสิ” มือแกร่งลากปลายนิ้วจากมาตามขอบเอวบางมาหยุดที่ตะขอกางเกงตรงกลาง ลีนัสก็รีบยกมือขึ้นมาขวางไว้ เจ้าของปลายนิ้วเงยหน้ากลับขึ้นมองใบหน้าหวานที่ขมวดคิ้วทำหน้าลำบากใจอยู่ ก็กระตุกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก

         “ข้าชักไม่แน่ใจว่านี่เจ้าจะห้ามข้าหรือจะยั่วข้ากันแน่ลีนัส เพราะถ้าเจ้าตั้งใจจะยั่วข้า ข้าจะบอกว่ามันได้ผลทีเดียวล่ะ” ดาวิสคว้ามือเรียวที่เข้ามาขวางทางเขาเมื่อครู่ยกขึ้นจุมพิตทั้งที่หลังมือและหน้ามืออย่างเอ็นดู

         “เจ้าไม่ต้องอายหรอกนะลีนัส ตอนนี้ข้าก็ไม่ต่างไปจากเจ้าหรอก” ริมฝีปากหนาขยับเข้ามากระซิบบอกที่ข้างหูลีนัสเบาๆ พร้อมทั้งจับมือเรียวมาวางลงมาที่หว่างขาของตน ขนาดและสัมผัสอุ่นๆจากสิ่งที่อยู่ใต้เนื้อผ้านั่นทำให้ร่างบางสะดุ้งตกใจและรีบชักมือตัวเองกลับเข้ามา

            นัยน์ตาสีเพลิงเบิกโพลงขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด เสียงนกตัวน้อยใหญ่แว่วดังเข้ามากระทบหู บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นเวลาเช้ามืดแล้ว ร่างบางเหยียดกายลุกขึ้นมานั่งบนเตียงหลังใหญ่ ภาพที่เกิดขึ้นในความฝันย้อนขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง ใบหน้าหวานก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึง

             …..เลวร้าย….ทำไมอยู่ๆถึงเอาเรื่องที่เขาแอบใต้โต๊ะห้องทำงานตัวเองเมื่อสามปีที่แล้ว กลับมาฝันเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้ ซ้ำร้ายยังละเอียดชัดเจนเสียราวกับเพิ่งจบลงไปหมาดๆ สัมผัสอุ่นๆที่เมื่อครู่ยังหลงเหลืออยู่ด้วยซ้ำ เขาก้มลงมองที่ฝ่ามือตัวเองข้างนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเผลอคิดถึงขนาดที่เต็มไม้เต็มมือของสิ่งที่เขาเพิ่งจะได้สัมผัสไป
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนฉ่าขึ้นมา ชายหนุ่มรีบสะบัดหน้าตัวเองแรงๆเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไป พร้อมลุกขึ้นจากเตียงเดินออกไปเปิดหน้าต่างห้องสูดอากาศในยามเช้าให้เต็มปอด

              แววตาทอดมองออกไปที่ขอบฟ้าสีส้มจางๆ พลางนึกย้อนขึ้นมาว่าเขาได้ยืนอยู่บนตำแหน่งเจ้าเมืองได้ครบสามปีกว่าแล้ว และที่น่าตกใจกว่านั้นคือเขาไม่ได้พูดกับรองเจ้าเมืองเรื่องอื่นที่นอกเหนือจากเรื่องงานมากว่าสามปีแล้ว...ทำไมถีงฝันเช่นนั้นออกมาได้

               ร่างบางถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดที่ไม่สามารถจะสลัดเรื่องนี้ออกจากหัวไปได้ แล้วก็เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เมื่อหยิบเครื่องแบบสีขาวมาคลุมทับร่างและบรรจงติดกระดุมอยู่นั้น ภาพมือกร้านไล่ปลดกระดุมออกก็หวนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
…...จะมีอะไรเลวร้ายกว่านี้อีกไหม เครื่องแบบที่เขาต้องใช้ประจำได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้เขานึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาไปเสียแล้ว….นี่ยังไม่รวมถึงเก้าอี้ที่เจ้าตัวต้องใช้นั่งทำงานทุกวันตัวนั้นด้วย

                 “...บ้าที่สุด”











  :katai3: :katai3: :katai3: :katai3: :katai3: :katai3: :katai3: :katai3: :katai3:




ปล.อันนี้ยังไม่นับว่าทะลุไปเรทเอ๊กซ์ใช่มั้ย (ถ้าทะลุไปบอกได้นะ จะตัดออก)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2015 09:31:50 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act:7 Decision 1/4) 10 Nov.2015
«ตอบ #21 เมื่อ10-11-2015 14:36:00 »

Decision (1/3)


            “ตารางงานวันนี้ช่วงบ่ายท่านลีนัสจะออกไปเรียกฝนตามที่แจ้งไว้ก่อนหน้านั้นนะคะ แล้วก็วันนี้องค์ชายจากบริงไฮด์น่าจะเดินทางมาถึงช่วงบ่ายเช่นกัน ยังไงคงจะเผื่อเวลาฝนไว้ให้แขกเดินทางมาถึงเรียบร้อยก่อน” เรเชลเอ่ยสรุปตารางงานเจ้าเมืองให้ดาวิสฟังอย่างคล่องแคล่ว เธอทำแบบนี้มาสามปีแล้ว ถึงแม้ช่วงแรกเธอจะไม่ค่อยถูกชะตากับรองเจ้าเมืองที่ชอบแผ่รังสีอำมหิตออกมาขู่เธออยู่บ่อยๆ ไม่แปลกใจที่ลีนัสไม่ยอมคุยงานด้วยโดยตรง ชอบใช้ให้เธอเป็นคนส่งสารให้อยู่บ่อยๆ แต่ทำงานด้วยนานๆเข้าก็ยิ่งรู้จักตัวตนที่แท้จริงที่ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้น

             “แล้วก็รบกวนท่านดาวิสช่วยต้อนรับแขกแทนสำหรับวันนี้ทีนะคะ ท่านลีนัสจะรับช่วงต่อให้ในวันถัดไปเอง” เรเชลเสริมท้ายด้วยใบหน้าที่พยายามปั้นยิ้มขึ้นมา

            เมื่อได้ยินสิ่งที่เด็กสาวเอ่ยเสริม หัวคิ้วของดาวิสก็ขยับเข้ามาชนกันทันที นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มหรี่ลงอย่างไม่สบอารมณ์…….พายุเริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างที่คาดไว้จริงๆ

            “นี่องค์ชายจากบริงไฮด์ ยังจะแบ่งวันเจออีกเนี่ยนะ ฝากถามกลับไปด้วยนะว่าคิดดีแล้วใช่ไหม”

           “นี่เป็นเรื่องที่ท่านลีนัสตัดสินใจไปแล้วค่ะ ไม่อนุญาตให้เอามาทบทวนใหม่ค่ะ” เรเชลตอบกลับไปด้วยประโยคที่เธอพูดออกมาบ่อยจนจะกลายเป็นคำพูดที่ติดปากไปแล้ว ดาวิสได้ยินประโยคอาญาสิทธิ์นี้ก็ถอนหายใจออกมาพร้อมทิ้งแผ่นหลังหนาลงไปกับพนักพิงเก้าอี้
 
           “มีอะไรอีกไหม” ดาวิสเอ่ยถามอย่างจำยอม เรเชลคิดว่าการที่ดาวิสต่อรองอะไรผ่านเธอไม่ได้ก็ดูจะเป็นอีกเหตุผลที่ลีนัสเลือกใช้วิธีนี้ แต่ที่น่าแปลกก็คือมีเพียงงานที่ติดต่อกับรองเจ้าเมืองเท่านั้นที่ลีนัสใช้ให้เธอมา กับเรื่องงานที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายอื่น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการคลังหรือแม้แต่หน่วยลาดตระเวนเล็กๆ บางทีลีนัสก็เดินเข้าไปหาด้วยตัวเองเสียอย่างนั้น ทำเอาคนในฝ่ายตกอกตกใจกันไป

           “หมดแล้วค่ะ...ข้าถามอะไรท่านได้ไหม”

           “ว่ามา” ดาวิสว่าพลางเปิดสมุดบันทึกของตัวเองออกมาตรวจสอบตารางงาน

           “ท่านไปทำอะไรท่านลีนัสไว้หรือคะ ทำไมถึงมีแต่ท่านที่ท่านลีนัสไม่ยอมคุยด้วย” ปลายนิ้วที่กำลังพลิกเปิดสมุดสะดุดกึกไปในฉับพลัน ดาวิสพลิกมือปิดสมุดเล่มนั้นลงแล้วขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองผู้ถามช้าๆ ทำเอาเรเชลขนลุกซู่ขึ้นมา

           “เจ้าไม่ต้องมาตอกย้ำเรื่องนี้ให้ข้าฟังได้ไหม”

           “...ขะ ขออภัย ข้าไม่ถามก็ได้ค่ะ” เรเชลรีบก้มหัวขอโทษของโพยยกใหญ่ ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ดูอารมณ์เสียขนาดนั้น

           “ไม่มีธุระอะไรก็ไปได้แล้ว”

          “ค่า” เรเชลรีบสบโอกาสหนีออกจากห้องไปในทันที เห็นดาวิสที่น่ากลัวแบบนี้ แต่กลับไม่มีใครเกลียดเจ้าตัวสักคน อาจเพราะไม่มีใครได้เห็นมุมอารมณ์เสียของเจ้าตัวบ่อยๆเหมือนเรเชล กลับกัน เวลาที่เจ้าตัวอารมณ์ดียิ้มแย้มขึ้นมา ก็ทำเอาสาวๆในที่ว่าการฯเคลิ้มกันไปเป็นวันๆเหมือนกัน เรเชลเองก็พอจะเข้าใจเหตุผลของสาวๆพวกนั้นอยู่บ้าง แต่กับเธอที่มักจะเจอตอนพายุเข้า ไม่กล้าที่จะเคลิ้มตามด้วยเลยสักนิด ซ้ำยังรู้ดีว่าเจ้าตัวมีคนรักอยู่แล้วอีกต่างหาก แต่ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ เรเชลก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนรักที่ว่าเลยสักนิด

          เสียงถอนหายใจหนักๆแว่วขึ้นมาเมื่อเด็กสาวเดินจากออกไปแล้ว ดาวิสไม่ได้ใส่ใจในประเด็นของมารยาทในการรับแขกระดับองค์ชายสักเท่าไหร่นัก แต่ประเด็นที่เจ้าเมืองหนุ่มทำทุกวิถีทางเพื่อจะเลี่ยงการเจอหน้ากันให้ได้มากที่สุด ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจ

           “สามปีเข้าไปแล้วหรือนี่…” แววตาคมเคลื่อนไปมองปฏิทินตารางงานที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้นมาเบาๆ เขาไม่คิดว่าลีนัสจะหลบหน้าเขานานขนาดนี้ ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ยอมอภัยให้เขาเลยจริงๆ











            ณ ลานกว้างบนเนินเขาสูงแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไปพอสมควร ที่กลางลานกว้างนั้นปรากฏร่างของชายหนุ่มยืนหลับตากุมมือตั้งสมาธิในชุดสีขาวคลุมยาวลงมาถึงข้อเท้า ตัดด้วยผ้าสีแดงชาดเนื้อดีบนไหล่ผืนหนึ่ง

           ก้อนเมฆสีเทาที่อยู่เหนือหัวค่อยๆขยับรวมตัวแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้มขึ้นเรื่อยๆ แสงแดดในยามบ่ายที่ร้อนแรงเมื่อครู่ถูกกลุ่มเมฆก้อนใหญ่บดบังไปจนพื้นดินเบื้องล่างมืดมนลงไป

          ไม่นานนักเม็ดฝนเม็ดใหญ่ก็ตกลงมากระทบพวงแก้มเบาๆ เจ้าเมืองหนุ่มก็ลืมตากลับขึ้นมาช้าและคลี่ยิ้มจางๆ พร้อมแบมือออกไปเพื่อรอรับเม็ดฝนอันเย็นชุ่มฉ่ำ

           ขณะที่กำลังจะเงยหน้าขึ้นเพื่อรอรับเม็ดฝนเย็นๆ เสียงกางร่มพรึ่บก็ดังขึ้นที่ข้างหู เงาร่มคันใหญ่เคลื่อนมาขวางกั้นภาพท้องฟ้าเบื้องบนในฉับพลัน

           “กลับกันเถอะขอรับท่านลีนัส ก่อนที่ฝนจะลงหนักกว่านี้ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา” เด็กหนุ่มในเครื่องแบบทหารคลี่ยิ้มเอยออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทว่าผู้ที่ได้รับความเป็นห่วงนั้นกลับมองมาอย่างไม่สบอารมณ์

            “ลุคซ์…” น้ำเสียงโทนต่ำที่เปล่งออกมาทำเอาเจ้าของชื่อขนลุกขึ้นมาทันที

            “ขะขอรับ?” 

            “ใครสั่งให้เจ้ากางร่ม”

            “ท่านดาวิสสั่งให้ข้าดูแลความปลอดภัยท่านลีนัสทุกย่างก้าวขอรับ ห้ามไม่ให้ท่านลีนัสตากฝนแล้วเป็นหวัดด้วยขอรับ” เด็กหนุ่มตอบกลับมาเสียงดังฟังชัดราวกับท่องไว้อย่างดี

            ลีนัสได้ยินชื่อเจ้าของความคิดนี้เข้าก็เผลอยิ้มออกมานิดๆ ดาวิสรู้จักเขามานาน รู้ดีว่าทุกครั้งที่ฝนตกเขามักจะหาโอกาสแอบออกไปเดินเล่นอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้กลับมาแล้วเป็นหวัดทุกครั้งไปอย่างที่เป็นห่วงขนาดนั้น…….ชอบห่วงเกินเหตุอยู่เรื่อย

            “กลับกันเถอะขอรับ” เมื่อเห็นรอยยิ้มจางๆของเจ้าเมืองหนุ่ม ลุคซ์ก็รู้สึกเบาใจ นึกว่าอีกฝ่ายยอมเข้าใจแต่โดยง่าย แต่รอยยิ้มนั้นอยู่ๆก็ดูท้าทายขึ้นมา ลีนัสยิ่งไม่ชอบให้อีกฝ่ายปฏิบัติกับเขาเหมือนไข่ในหินมาแต่ไหนแต่ไร

             “พนันกันไหมลุคซ์”

            “ขอรับ?”

            “ถ้าข้าตากฝนแล้วไม่เป็นหวัดข้าไม่เอาอะไรหรอก แต่ถ้าพรุ่งนี้ข้าเป็นหวัดข้าจะให้เจ้าขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง” ข้อเสนอของลีนัสทำให้เด็กหนุ่มเผลอจินตนาการข้อแลกเปลี่ยนที่ตนจะขอได้อย่างลืมตัว แต่เมื่อใบหน้าอันเคร่งครัดของดาวิสลอยขึ้นมา เขาก็สะบัดหน้าปฏิเสธไปทันที

            “ไม่ได้หรอกขอรับ ถ้าเป็นแบบนั้นข้ามีหวังต้องขอชีวิตตัวเองคืนจากท่านดาวิสน่ะสิขอรับ!!”

            “ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า คิดดีๆนะลุคซ์ เจ้าจะขออะไรก็ได้จากเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่านะ” ลีนัสตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆก่อนจะขยับเข้าไปเอ่ยกระซิบใกล้ๆ การได้เห็นใบหน้าเนียนหวานของอีกฝ่ายระยะประชิด ทำเอาเด็กหนุ่มเผลอปล่อยให้ร่มในมือหลุดลงไปกับพื้นสมองชาไปชั่วขณะ กว่าจะรู้ตัวอีกที เจ้าเมืองหนุ่มก็วิ่งไปกระโดดขึ้นม้าของตนที่ควบประกบรถม้าของเจ้าเมืองเมื่อครู่ตอนขามา

           “ว้าก!! ฮิวส์!! ออกรถ!!” ลุคซ์ร้องลั่น ตะโกนบอกเพื่อนที่เป็นคนคุมรถม้าด้วยความตกใจ รีบเก็บร่มแล้ววิ่งไปหารถม้าที่กำลังออกตัวในทันที

           ลีนัสที่กระโดดขึ้นอาชาสีดำของลุคซ์ได้ก็ควบหนีไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งวิ่งเร็วเท่าไหร่ เม็ดฝนที่ตกลงมากระทบใบหน้าก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น แต่เจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย ในใจของเขายังเฝ้าตำหนิตัวเองที่เผลอรู้สึกดีที่ดาวิสยังใส่ใจและเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ

           ….เมื่อไหร่จะตัดใจไปจากเขาเสียที วันเวลาที่ยิ่งผ่านไปแทนที่ลีนัสจะรู้สึกเคยชินกับการห่างเหิน เขากลับยิ่งรู้สึกว่าอยากจะครอบครองอีกฝ่ายมากขึ้นทุกวัน หนำซ้ำการกระทำของอีกฝ่ายที่ยังคงเป็นห่วงและคอยดูแลอยู่ห่างๆตลอดเวลาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้ตัวเขาเองจะกลายเป็นฝ่ายที่ตัดใจจากไปไม่ได้เช่นกัน

            อาชาฝีเท้าเร็ววิ่งเข้ามาถึงที่ว่าการฯในเวลาที่ไม่นานนัก ลีนัสก็กระโดดลงจากหลังม้าแล้วเอ่ยชมอาชาสีดำพร้อมกับขยับไปจุมพิตที่กลางหน้าผากของเจ้าม้าด้วยความเอ็นดู ระยะทางที่ยาวไกลกับสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักหน่วง ทำให้ร่างกายเปียกโฉกไปตั้งแต่หัวจรดเท้า สภาพที่เหมือนเด็กๆที่เพิ่งไปเล่นซนกลับมาไม่มีผิด

           ตั้งแต่ขึ้นเป็นเจ้าเมือง ลีนัสต้องคอยรักษาภาพพจน์ของตัวเองตลอดเวลา นานๆทีได้ทำอะไรแบบนี้บ้างก็เหมือนได้ปลดปล่อย ขณะที่กำลังคิดว่าจะต้องรีบกลับไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ ให้ดูเหมาะสมกับตำแหน่งก่อนที่จะมีใครมาเห็นเข้า ก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่ามีใครบางคนยืนมองเขาอยู่ได้สักพักหนึ่งแล้ว เมื่อหันกลับไปมองผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกเหมือนหัวใจเขาหยุดเต้นไปชั่วขณะ

           “...ซีมัส” ลีนัสหลุดปากเอ่ยชื่อที่ไม่ได้เอ่ยขึ้นมานานมากแล้ว ชายหนุ่มผิวสีและเรือนผมยาวสีเทาทำให้เขาเข้าใจผิดไปชั่วขณะ นึกถึงน้องชายตัวเองที่ตนไล่ออกจากเขตมนุษย์ไปเองกับมือ และไม่เคยได้เห็นหน้ากันมาสามปีกว่า

           “อะไรนะ” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ไม่คุ้นหูเอ่ยถามเขากลับมา ทำให้ลีนัสได้สติขึ้นมา เป็นไปไม่ได้ที่อยู่ๆน้องชายของเขาจะโผล่มาที่นี่ได้ เขายกมือเสยผมเปียกชื้นขึ้นเพื่อให้มองเห็นอีกฝ่ายให้ชัดขึ้น พลางคิดว่าชายหนุ่มที่หน้าตาไม่คุ้นหน้าคนนี้จะเป็นใคร

           ….คนแรกที่ได้เห็นสภาพที่ดูไม่ได้ของเจ้าเมืองคนแรกคนนี้ ดูจะเป็นแขกคนสำคัญระดับองค์ชายจากเมืองหลวงบริงไฮด์นั่นเอง

           “ขออภัย ท่านคงจะเป็นองค์ชายเฟริค ข้าทำให้ท่านเปียกรึเปล่า” ลีนัสคลี่ยิ้มทักทายซ่อนความกลุ้มอกกลุ้มใจเอาไว้เบื้องลึก

           “ไม่เป็นไรหรอก นิดเดียวเท่านั้นแหละ ว่าแต่ท่านคือ?” ลีนัสเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจริงๆแล้วเขาไม่น่ารีบเข้ามาแนะนำตัวให้ดูแย่เอาเสียเลยจริงๆ ตอนนี้เขาอาจจะบ่ายเบี่ยงเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าเมืองไปก่อนน่าจะดีอยู่ไม่น้อย

            “ท่านลีนัส ทำไมถึงกลับมาคนเดียวก่อนล่ะคะ ทิ้งลุคซ์ไว้แบบนั้นก็แย่สิ” โอกาสแก้ตัวของเขาหมดไปอย่างสิ้นเชิงทันทีที่เรเชลเปิดประตูออกมาพร้อมผ้าผืนใหญ่ผืนหนึ่ง

            “อ้าว ท่านเฟริค กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้านึกว่าท่านติดฝนอยู่ข้างนอกเสียอีก” เรเชลหันไปเอ่ยถามองค์ชายพร้อมกับยื่นส่งผ้าให้ลีนัส

             “ขอบคุณเรเชล” ลีนัสแอบนึกอยู่ในใจว่าเขาได้สอนให้เด็กสาวคนนี้ทำงานได้คล่องแคล่วขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เมื่อมาถึงขนาดนี้คงไม่มีทางเลี้ยงอื่นอีกต่อไป เจ้าเมืองหนุ่มรีบหยิบผ้ามาซับน้ำฝนออกอย่างลวกๆก่อนจะยื่นมือออกไปเอ่ยทักทายแขกคนสำคัญของเขา

             “อาจจะตะกุกตะกักไปนิดนึงท่านคงไม่ถือสา ข้าลีนัส เจ้าเมืองเวลเฮมมิน่า ยินดีต้อนรับขอรับ” ลีนัสไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายมีท่าทางประหลาดใจเช่นนั้น ใจจริงเขาก็ไม่ได้อยากจะมาแนะนำตัวในสภาพนี้เอาเสียเลยจริงๆ

            “อ่า...ขอบคุณสำหรับการเตรียมการอะไรให้หลายๆอย่าง” มือแกร่งของอีกฝ่ายยื่นกลับมาจับมือทักทาย แต่แล้วอยู่ๆก็เอามืออีกข้างมากุมมือของเขาเอาไว้

           “!!?” ลีนัสตกใจนึกว่าเขาทำอะไรผิดไป การทักทายองค์ชายจากเมืองหลวงไม่ควรจะทำแบบนี้หรืออย่างไร เขาเริ่มรู้สึกลนลานอยู่ในใจแต่เพียงตีประหลาดใจออกไปนิ่งๆ

          "มือท่านเย็นมาก กลับเข้าไปแช่น้ำอุ่นเสียก่อนเถอะเดี๋ยวจะเป็นหวัด” ลีนัสได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่ยังคงประหลาดใจกับการกระทำขององค์ชายอยู่

           “เอ่อ ข้าขอโทษ….แต่ท่านควรจะรีบเข้าไปข้างในได้แล้ว” เห็นเฟริคที่รีบปล่อยมือเขาออกแบบเก้อๆเขินๆ ลีนัสก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา เขาจะมัวกังวลเรื่องมารยาทอะไรทำไมนักหนา ในเมื่ออีกฝ่ายดูจะไม่ใช่คนที่ติดพิธีรีตรองอะไรอย่างที่เขากังวลสักนิด

            “ ท่านเฟริคนี่ใจดีจังนะขอรับ ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าขอตัวก่อน” เมื่อเอ่ยจบสายตาก็ไปชนเข้ากับดาวิสที่เพิ่งเดินตามออกมาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ดาวิสเป็นคนสุดท้ายที่ลีนัสไม่อยากให้เห็นเขาในสภาพนี้ที่สุด สีหน้านิ่งเรียบที่มองมาบ่งบอกได้ว่าไม่พอใจที่เขาแอบหนีลุคซ์มาอย่างแน่นอน เขาถอนหายใจออกมานิดๆก่อนจะรีบเดินผ่านดาวิสไปโดยพยายามที่จะไม่สบตา





           ลีนัสยืนอยู่กลางบ้านไม้หน้าตาคุ้นตาหลังหนึ่ง ที่ตรงหน้ามีโต๊ะกินข้าวสำหรับครอบครัวขนาดเล็กตั้งอยู่ รอบๆโต๊ะมีเก้าอี้ตั้งอยู่สามตัว แต่มีเพียงเด็กชายตัวเล็กที่นั่งหันหลังให้เขาอยู่ตรงนั้นคนเดียว

          “ซีมัส...” ลีนัสเอ่ยขึ้นมาเบาๆ เด็กชายตัวน้อยก็หันกลับมา

          “พี่ชาย!!” เด็กชายตัวน้อยหันกลับมายิ้มกว้างด้วยความดีใจ ลีนัสก็คลี่ยิ้มกลับไปพร้อมเดินเข้าไปหา แต่แล้วอยู่ๆก็มีเปลวเพลิงสีฟ้าเข้ามาขวางหน้า แล้วเริ่มขยายวงกว้างไปจนคลุมไปทั่วบ้าน

          “ท่านพี่แน่ใจแล้วเหรอ” เสียงชายหนุ่มแว่วดังมาจากเบื้องหลัง เมื่อลีนัสหันกลับไป ก็เห็นซีมัสอีกคนที่อยู่ในร่างเด็กหนุ่มผิวสีน้ำตาลแดง นัยน์ตาสีเทาผมสีขาวยาวลงมาถึงเอว

          “...ซีมัส ??” ลีนัสหันกลับไปมองเด็กชายตัวน้อยเมื่อครู่อีกครั้งหนึ่ง ก็เห็นแววตาเว้าวอนขอความช่วยเหลือสีฟ้าใสสบมองมาด้วยความหวาดกลัว

          "อย่าเลย ท่านพี่" ท่อนแขนแกร่งคว้าต้นแขนของลีนัสเอาไว้เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเดินเข้าไปหาเด็กชายตัวเล็ก

           "ปล่อยข้าซีมัส!!" เรี่ยวอันน้อยนิดของลีนัสไม่อาจจะต้านทานแรงยึดอันเหนียวแน่นของเด็กหนุ่มได้เลย

         "พี่ชาย ช่วยข้าด้วย!!" เด็กชายตัวน้อยร้องเสียงแหลมขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว เมื่อลีนัสหันไปมองอีกที เด็กชายตัวเล็กก็อยู่กลางกองเพลิงสีฟ้าเข้มนั้นแล้ว และค่อยๆสลายหายไปกับตา แรงจับยึดที่ท่อนแขนของเขาก็เบาบางลงไป

          "ให้มันจบแบบนี้แหละ ข้าเจ็บปวดน้อยกว่า" ซีมัสในร่างเด็กหนุ่มเอ่ยทิ้งไว้ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อยๆจางหายไป


           "ซีมัส!!!" ลีนัสตะโกนเรียกซีมัสพร้อมกับลืมตาขึ้นมาจากความฝัน เสียงน้ำในอ่างน้ำกระเพื่อมไหวจากการที่ร่างบางสะดุ้งตัวลุกขึ้นมากระทันหัน

           ลีนัสเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเผลอหลับไปทั้งๆที่นอนแช่น้ำหลังจากที่กลับมาเมื่อสักครู่ ไม่คิดว่าการเรียกภูติเพื่อทำฝนจะทำให้เขาเพลียได้ขนาดนี้ ร่างบางขยับลุกขึ้นออกจากอ่างอาบน้ำไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาคลุมร่างอันเปลือยเปล่าเอาไว้ แล้วเดินไปยืนมองที่นอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าที่มืดสนิทขับแสงจันทร์ดวงกลมที่ส่องสว่างออกมาให้เห็นเด่นอยู่กลางท้องฟ้า ตำแหน่งของดวงจันทร์ตอนนี้บอกเวลาให้ลีนัสได้รับรู้ ว่าเขาเผลอหลับไปนานทีเดียว

            "....ซีมัสอย่าทำแบบนี้กับข้าได้ไหม" ลีนัสเอ่ยขึ้นแล้วก็ถอนใจออกมาหนักๆก่อนจะเดินกลับเข้าไปแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าทะมัดทะแม่งสีดำทั้งชุด เตรียมตัวจะแอบเข้าไปในป่าอีกครั้ง







               "......ลูลู่" ลีนัสเอ่ยขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเมื่อมาหยุดประชันหน้ากับหมาป่าตัวใหญ่ขนสีดำขลับ ที่กำลังพองขนขู่ขึ้นมา เขาจึงเปิดผ้าที่คลุมหัวตัวเองออกมา แต่ก็ไม่คิดว่าลูลู่จะจำเขาไม่ได้เพียงเพราะผ้าคลุมหัว

               "ท่านลีนัสหลบไป" เสียงร้องของใครบางคนดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง เมื่อหันไปก็พบกับองค์ชายเฟริค แขกคนสำคัญของเขาผู้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูลู่ทำตัวดุร้ายขึ้นมา

               "ลูลู่…..!!" ลีนัสรีบหันกลับไปห้าม แต่เจ้าหมาป่าร่างใหญ่ก็กระโดดพุ่งตัวออกไปเพื่อจู่โจมองค์ชายทันที ลีนัสจึงรีบยกมือจะคว้าตัวลูลู่เพื่อจะกันไม่ให้เข้าไปทำร้ายเฟริค แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่ของอีกฝ่ายทำให้ลีนัสเสียหลักล้มลง

              เมื่อหมาป่าร่างใหญ่รู้ว่าตัวเองถูกลีนัสเข้ามาขวางและล้มลง ก็หันกลับมามองด้วยความเป็นห่วง ลีนัสก็ทำหน้าดุใส่และปัดมือทำท่าไล่กลับไป เป็นจังหวะเดียวกับที่องค์ชายชักดาบออกมาจากฝักเพื่อเตรียมจะจัดการลูลู่ เจ้าหมาป่าร่างใหญ่จึงรีบวิ่งหนีหายไปในทันที

               “เป็นอะไรมากไหมท่านลีนัส” เมื่อถูกเอ่ยถามขึ้นมาเช่นนี้ ลีนัสก็เพิ่งจะก้มไปมองบาดแผลที่ต้นขาของตัวเองที่รู้สึกเจ็บจนชาอยู่เมื่อครู่ เขาดันล้มลงไปทับกิ่งไม้คมที่บาดลึกลงไป ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะทันได้ตั้งตัวรักษาแผลตัวเอง องค์ชายก็ลงมาจัดการฉีกขากางเกงที่เป็นบาดออกมาเพื่อดูบาดแผล ทำเอาร่างบางเผลอสะดุ้งโหยงขึ้นมา

           “แผลท่าจะลึกพอสมควร ท่านอยู่นิ่งๆก่อนนะ” เฟริคจัดการปลดกระดุมเสื้อแล้วถอดเสื้อของตัวเองออกมา

           “เอ่อ ท่านไม่ต้อง…” ลีนัสรีบเอ่ยรั้งเอาไว้ แต่ยังพูดไม่ทันจบเสียงฉีกเสื้อขาดก็ดังแทรกขึ้นมา เฟริคใช้เศษผ้าผืนหนึ่งเอามาพันรอบมือตัวเองให้เป็นก้อนแล้วประกบรอยบาดแผลเอาไว้ แล้วเอาอีกผืนหนึ่งพันรัดเอาไว้ให้แน่น ความช่ำชองของอีกฝ่ายทำให้ลีนัสไม่กล้าที่จะขัดไปมากกว่านี้ ถ้าเขาจะรักษาแผลตัวเองตรงนี้ก็กลัวจะทำให้แขกเขาเสียหน้าเอาเปล่าๆ จึงยอมปล่อยเลยตามเลยไป

            “ทนหน่อยนะ ข้าจะพาท่านกลับเดี๋ยวนี้แหละ” เฟริคช้อนร่างบางขึ้นอุ้มอย่างเบามือ

            “....ขอบคุณท่านเฟริค” ลีนัสไม่คิดอยากจะลำบากอีกฝ่ายที่มียศเป็นองค์ชายขนาดนี้เลย แต่ต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องเจ็บตัวแบบนี้ก็เพราะเจ้าตัวนั่นแหละที่แอบตามเขามา ทำแผนการเขาพังไม่เป็นท่า


           “ท่านออกมาทำอะไรดึกๆดื่นๆในที่แบบนี้น่ะ” ลีนัสคิดไว้แล้วว่าต้องถูกถาม ตลอดสามปีที่ผ่านมาเขาเองก็แอบเข้าไปในป่าบ่อยๆ ไม่มีครั้งไหนที่มีปัญหาเลยสักนิด ใครจะคิดว่าแขกที่เข้ามาวันแรกจะสร้างปัญหาให้เขาได้

            “...ข้าขออภัย เรื่องนี้ข้าไม่อาจจะบอกท่านได้” ลีนัสไม่รู้จะสรรหาเหตุผลอะไรมาตอบ หรือถ้าจะตอบความจริงไปคงต้องเล่ากันยาว

            “ฮึ...แล้วข้าต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยสินะ” ลีนัสพยักหน้าตอบกลับเบาๆ

            “เอาอย่างนี้ ท่านบอกข้าว่าท่านออกมาทำอะไร แล้วข้าสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ” อีกฝ่ายยื่นข้อเสนอขึ้นมา ลีนัสก็คิดเอาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆแน่ ร่างบางขมวดคิ้วครุ่นคิดหาเหตุผลมาอ้าง แต่ก็คิดหาเรื่องที่จะมาเล่าไม่ได้ หนำซ้ำก็รู้ตัวดีอยู่ว่าโกหกไม่เก่ง

             “ข้าเป็นคนช่วยท่านออกมานะ สมควรที่จะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นสิ”

             “.......” ลีนัสนึกหงุดหงิดอยู่ในใจ ถ้าอีกฝ่ายไม่ตามเขามาเรื่องแบบนี้มันจะไม่เกิดขึ้นเลยต่างหาก

             “หรือข้าควรจะเล่ารื่องนี้ให้ท่านรองเจ้าเมืองฟังดี” ผู้ที่ถูกเอ่ยอ้างขึ้นมาทำให้ลีนัสหน้าถอดสีไป คนเดียวที่ไม่อยากให้ยุ่งกับเรื่องนี้มากที่่สุดก็คือดาวิสนั่นแหละ ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเขายังแอบออกมาหาซีมัสอยู่บ่อยๆแบบนี้ มีหวังโดนหาว่าตามโอ๋น้องชายเกิดเหตุอีกเป็นแน่แท้ ลีนัสเบือนหน้าหนีกัดริมฝีปากตัวเองแน่นก่อนจะตัดใจยอมเอ่ยตอบกลับมา

             “ตามใจท่านเถอะ” เขาคิดไว้แล้วว่าถึงจะแย่ยังไงก็ดีกว่าให้คนนอกรับรู้เรื่องของเขา

             “เอาเถอะ ข้าไม่บอกใครก็ได้ แต่พรุ่งนี้ยังไงก็ต้องมีคนถามถึงบาดแผลของท่านอยู่ดี”

            “เรื่องนั้นข้าจัดการเองได้ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก” ลีนัสตอบกลับมาอย่างมั่นใจ เขาเหนื่อยจะตอบคำถามอีกฝ่ายแล้ว จึงแกล้งพิงศีรษะลงบนแผ่นอกหนาของอีกฝ่ายแล้วหลับตาลงทำเป็นพักผ่อนไป




End Decision part :1/3


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2015 13:52:39 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act:7 Decision 3/3) 18 Nov.2015
«ตอบ #22 เมื่อ17-11-2015 15:30:54 »

Decision 2/3


              ดาวิสมักจะมองลงมาจากหน้าต่างห้องตัวเองแล้วเห็นลีนัสที่แอบหนีออกไปตอนกลางคืนอยู่บ่อยครั้ง จนเห็นเป็นเรื่องปกติ เขาเลิกเป็นห่วงและเลิกตามไปตั้งแต่ครั้งแรกสุด แต่คราวนี้ดันมีองค์ชายเฟริคแอบตามไปเช่นนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงรีบเดินลงไปดูที่สวนด้านหลัง และเดินวนไปวนไปด้วยความลังเลใจว่าจะตามเข้าไปดีหรือจะรอตรงนี้ดี ระหว่างที่คิดอยู่ตอนนั้นเอง ก็เห็นว่าองค์ชายเฟริคเดินกลับมาแล้ว ในสภาพเปลือยท่อนบน พร้อมกับอุ้มลีนัสที่มีบาดแผลที่ขาอยู่ในอ้อมกอด

           “เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ดาวิสรีบวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายในทันที ภาพลีนัสที่หันมามองเขาด้วยความตกใจแล้วรีบหลบหน้าไปซุกกับแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย ทำให้ดาวิสรู้สึกเหมือนเลือดขึ้นหน้า แต่ก็พยายามจะข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เพื่อไม่ให้ทำตัวเสียมารยาทกับแขกออกไป

           “ขออภัยองค์ชายที่ทำให้เดือดร้อน ข้ารับท่านลีนัสไปดูแลต่อเองขอรับ ท่านกลับไปล้างเนื้อล้างตัวที่ห้องพักก่อนเถอะขอรับ” ดาวิสว่าพลางเดินเข้าไปช้อนร่างของลีนัสกลับมาโดยไม่รอฟังความเห็นใดๆจะอีกฝ่าย

           “ไม่เป็นไรหรอก มาถึงนี่แล้วข้ายินดีช่วย” ถึงแม้เฟริคจะพยายามเอ่ยรั้งเอาไว้ แต่ดาวิสไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะหยุดฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้นในตอนนี้

            “ท่านเป็นแขกของเรา อย่าได้ลำบากเลย ขอบคุณน้ำใจท่านมาก” ดาวิสพยายามทำตัวให้สุภาพที่สุดถึงพร้อมอุ้มลีนัสขึ้นมาแล้วรีบเดินจากเฟริคไปในทันที

             “รักษาแผลเสร็จแล้วช่วยกรุณาเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังด้วยนะขอรับท่านเจ้าเมือง” ดาวิสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำเอาร่างบางรู้สึกเสียววาบไปทั้งตัว

             “...ท่านปล่อยข้าได้แล้วล่ะข้าเดินเองได้” หลังจากที่พ้นสายตาของเฟริคมาแล้วลีนัสก็ใช้เวทย์รักษาบาดแผลที่ขาตัวเอง แล้วรีบหาวิธีหลีกหนีดาวิสไปให้เร็วที่สุด แต่ท่อนแขนแกร่งที่อุ้มเขาอยู่นั้นไม่มีทีท่าว่าจะยอมคลายลงเลยแม้แต่น้อย

            “ก็แล้วทำไมไม่เดินเองตั้งแต่เมื่อครู่ล่ะ หรือจะเป็นแผนเชื่อมสัมพันธ์กับบริงไฮด์ของท่าน” ดาวิสยังคงตอบมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ บ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังข่มกลั้นอารมณ์โกรธที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ

           “พูดอะไรของท่าน ข้าไม่อยากให้คนนอกเห็นพลังของลีบลาต่างหาก หนำซ้ำองค์ชายมาที่นี่เพื่อหากำลังเสริมมิใช่หรือ ถ้าบริงไฮด์อยากจะได้เจ้าเมืองเข้าไปร่วมรบขึ้นมาจะให้ข้าทำยังไงเล่า” ลีนัสรีบแก้ตัวออกมาทันทีเที่รู้ว่าอีกฝ่ายชักจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่

            “....” ดาวิสมองร่างบางในอ้อมแขนของตนด้วยสีหน้าประหลาดใจ

            “ข้าพูดอะไรผิดรึไง?” ใบหน้าหวานขมวดคิ้วถามกลับไป

            “เปล่า ข้าแค่คิดว่าท่านจะบอกว่า นั่นมันเรื่องของข้า เสียอีก” ดาวิสว่าพลางขำออกมาเบาๆจากลำคอ ทำให้ลีนัสนึกขึ้นได้ ว่าเขาไม่น่าจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแก้ความเข้าใจผิดของอีกฝ่ายเอาเสียเลย

           “ขอบคุณที่ช่วยอธิบายให้ข้าได้เข้าใจ” ดาวิสยิ่งตอกย้ำลีนัสก็หน้าแดงขึ้นมา แล้วดาวิสก็ขยับร่างบางในอ้อมแขนเข้ามาใกล้แผ่นอกแกร่งมากขึ้น ก่อนที่จะอุ้มขึ้นบันไดไปชั้นบน

           “...ข้าบอกว่าเดินเองได้ไงเล่า ปล่อยข้าได้แล้ว” ลีนัสท้วงขึ้นมาเบาๆ

           “ไม่เป็นไรแค่นี้เอง ปกติข้าฝึกกับอย่างอื่นที่หนักกว่านี้เยอะ” ดาวิสดูอารมณ์ดีขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้เห็นสีหน้าเขินอายขของอีกฝ่ายที่ไม่ได้เห็นมานาน

           “...ขี้อวด” ลีนัสบ่นออกมาเบาๆด้วยความหมั่นไส้ ทำให้อีกฝ่ายขำออกมาอย่างถูกใจ เขาไม่ได้คุยกับดาวิสแบบนี้มานานมากแล้ว การได้กลับมาพูดคุยกันอีกครั้งแบบนี้ทำให้หัวใจของเขารู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมา

            ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก กระทั่งดาวิสพาลีนัสเข้ามาถึงในห้องและวางร่างบางลงไปนั่งโซฟานุ่มหน้าเตียงนอน แล้วก็รีบลุกเดินหายเข้าไปในส่วนห้องน้ำทันที

            “ท่านดาวิส?” ลีนัสหันไปเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขาตกอยู่ในสถาพที่ทำอะไรไม่ถูก จะไล่อีกฝ่ายกลับไปอย่างทุกครั้งก็ทำไม่ลง ไหนเอยจะรู้สึกผิดที่แอบหนีออกไป ไหนจะลำบากให้อีกฝ่ายอุ้มขึ้นมาส่งถึงที่ห้องอีก ไม่นานนักดาวิสก็กลับมาพร้อมกับชามใส่น้ำใบใหญ่ใบหนึ่งและผ้าหนึ่งผืน

           “....ข้าจัดการเองได้ ท่านกลับไปเถอะ” ลีนัสรีบเอ่ยปรามไว้เมื่อดาวิสเดินมาทรุดตัวนั่งลงกับพื้นตรงหน้าเขา พร้อมจัดแจงเอาผ้าชุบน้ำเอาขึ้นมาบิด มือที่ยกขึ้นมาห้ามถูกอีกฝ่ายคว้าไปเช็ดคราบเลือดออกอย่างทะนุถนอม

             “นี่ฝีมือลูลู่สินะ” อยู่ๆดาวิสก็เอ่ยสรุปเหตุการณ์ขึ้นมาอย่างเรียบง่าย ทำเอาลีนัสสะดุ้งโหยง

            “...!?” หน้าตาตกอกตกใจของลีนัสทำให้ดาวิสกระตุกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก พร้อมหยิบขนสุนัขป่าสีดำที่ติดมากับแขนเสื้อออกมาให้ดู แต่นั่นก็ไม่ได้ตอบคำถามได้ว่าทำไมดาวิสถึงรู้ว่าเป็นลูลู่ได้

           “ข้าเดาถูกสินะ” ลีนัสเกลียดดาวิสที่อ่านสีหน้าของเขาได้ทะลุปรุโปร่งเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกสอบสวนโดยที่เขายังไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ

             “ท่านรู้ได้ยังไงว่าเป็นลูลู่...เดี๋ยวท่านจะทำอะไรน่ะ” ลีนัสขมวดคิ้วถามขณะที่ดาวิสบรรจงถอดรองเท้าบู๊ทหนังของอีกฝ่ายออกอย่างช่ำชอง

              “นี่ท่านรู้รึเปล่าว่าจากหน้าต่างห้องนอนข้ามองลงมาเห็นสวนข้างหลังน่ะ” คำถามสั้นๆของดาวิสทำให้ลีนัสสมองว่างเปล่าไปในฉับพลัน เขาไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายจะรู้ ว่าเขาแอบหนีเข้าไปในป่ามาโดยตลอดแต่ไม่ได้พูดอะไร

              “ไม่ใช่แค่ข้าหรอกนะ ทหารการ์ดเองก็เห็นจะเป็นเรื่องปกติแล้วเหมือนกัน ข้าเป็นคนบอกเองว่าปล่อยท่านเจ้าเมืองได้ออกไปวิ่งเล่นบ้าง” ยิ่งตอกย้ำลีนัสก็หน้าแดงขึ้นมาเพราะอับอาย โดยเฉพาะที่ดาวิสแกล้งใช้คำว่า”ออกไปวิ่งเล่น”เหมือนว่าเขาเป็นเด็กตัวเล็กๆ เมื่อครู่นี้เขากลัวที่จะต้องบอกความจริงกับดาวิสอยู่แทบแย่ แต่อีกฝ่ายกลับรู้ดีอยู่แล้วเสียอีก ช่างเป็นเรื่องที่น่าอายนัก

              ลีนัสที่มัวแต่รู้สึกอับอายไม่เหลือหน้าจะสู้กับอีกฝ่าย ไม่ทันได้รู้ตัวว่ารองเท้าทั้งสองข้างของเขาถูกถอดออกมาแล้ว ไม่ทันได้คิดตามว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อไปสักนิด

               “ดูเป็นองค์ชายที่ทำอะไรเองเป็นหลายอย่างอยู่นะขอรับ” ดาวิสเอ่ยชมองค์ชายขึ้นมาขณะที่แกะเสื้อที่พันแผลเอาไว้อย่างมืออาชีพ ลีนัสรู้สึกว่าเขาไม่ต้องเล่าอะไรให้มากความเลย ในเมื่อดาวิสค่อยๆวิเคราะห์เรื่องราวได้เองตามทุกอย่างที่เขาเห็น ซ้ำยังจะดูเหมือนว่ารู้ไปหมดทุกอย่างอีก

              “ขออนุญาตนะขอรับท่านลีนัส” อยู่ๆดาวิสก็ลุกขึ้นแล้วโน้มตัวเข้ามาหาพร้อมกับเคลื่อนมือมาปลดกระดุมกางเกงของเขาออก

              “เดี๋ยว!! ท่านดาวิส...ตรงนี้ปล่อยข้าจัดการเองเถอะขอรับ...ขอบคุณท่านมาก...” ลีนัสรีบจับมือทั้งสองข้างของดาวิสออกมาให้ห่างจากขอบกางเกงของเขาอย่างว่องไว

            “ข้าบอกแล้วว่าจะให้ท่านเล่ารายละเอียดให้ฟังไงล่ะขอรับ” ดาวิสเอ่ยตอบกลับมาเบาๆที่ข้างหูของอีกฝ่าย ทำเอาร่างบางขนลุกซู่ขึ้นมา

             “แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหนขอรับ!!”

             “ก็ในเมื่อท่านไม่เล่าให้ข้าฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ต้องค่อยๆสืบเอาเองน่ะสิ” ดาวิสไม่พูดเปล่า เคลื่อนมือหนาเข้าไปจับขอบกางเกงของร่างบางอีกครั้ง

              “ก็ได้ๆ ข้าเข้าไปหาซีมัส แต่องค์ชายเฟริคแอบตามข้าไป ลูลู่ก็เลยจะจู่โจมองค์ชายแต่ข้าเข้าไปกันไว้ ก็เลยล้มเป็นแผล พอใจรึยังขอรับ…..ให้ตายสิข้าไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกันตรงไหนเลย”  ลีนัสรีบอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดาวิสจึงถอนกำลังออกไปแต่โดยดี ทำให้ร่างบางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

              “ซีมัสยังไม่ยอมออกมาเจอหน้าท่านสินะ” คำถามนั้นทำให้ลีนัสขมวดคิ้วมองคนถามด้วยความประหลาดใจ

              “ทำไมท่านถึงรู้?” ดาวิสคลี่ยิ้มอย่างผู้เหนือกว่าขึ้้นมา

             “ก็บอกว่าห้องนอนข้ามองลงมาเห็นสวนข้างหลัง เห็นท่านเดินมาทำหน้าผิดหวังทุกครั้งนั่นแหละ” ลีนัสนึกโทษตัวเองที่ไม่รู้จักคิดอะไรให้รอบคอบ ปล่อยให้ดาวิสเห็นการเคลื่อนไหวของเขาได้ละเอียดขนาดนี้ รู้สึกเหมือนพ่ายแพ้ยับเยิน

             “ข้าจะบอกอะไรเกี่ยวกับซีมัสให้เจ้าฟังเอาไหมลีนัส แต่เจ้าต้องปล่อยให้ข้าตรวจดูบาดแผลที่ต้นขาของเจ้าก่อน” ข้อเสนอของดาวิสทำให้ลีนัสรู้สึกลำบากใจขึ้นมา ดาวิสไม่พูดเปล่า หยิบเศษเสื้อของเฟริคที่ทำเป็นผ้าพันแผลเมื่อครู่ขึ้นมาคลี่ออก แล้ววางคลุมช่วงเอวอีกฝ่ายเอาไว้

             “ข้าบริการให้สำหรับคนหน้าบางเช่นท่านก็แล้วกัน” หลังจากที่คลุมผ้าลงมาก็ล้วงมือเข้าไปข้างใต้ผ้าผืนนั้นเพื่อปลดกางเกงอีกฝ่ายออกแล้วรูดลงมาทันที

             “ท่านดาวิส!!?” ลีนัสรีบจับข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่นเพื่อขัดขืน แต่แล้วดาวิสขยับตัวเข้ามากระซิบเสียงแผ่วๆที่ข้างหู

             “รบกวน ยกสะโพกขึ้นให้หน่อยได้ไหมขอรับ” เสียงทุุ้มต่ำที่กระซิบบอกที่ข้างหูฟังดูกำกวม ทำเอาใบหน้าหวานแดงซ่านขึ้นไปถึงใบหู ในหัวของเขารู้สึกสับสนขึ้นมาจนยอมขยับยกสะโพกขึ้นมาแต่โดยดี

ช่วงเวลาสั้นๆที่ลีนัสเหมือนโดนสะกดจิตให้ทำตาม มากพอที่ดาวิสจะรูดกางเกงลงมาได้อย่างฉับไว ลีนัสก็รีบเลื่อนมือตัวเองมาปิดจุดสำคัญของตัวเองทันที ดาวิสเห็นท่าทางของอีกฝ่ายเช่นนั้นก็อดขำออกมาไม่ได้

                “ขำอะไรของท่านเล่า จะทำอะไรก็รีบๆทำ” ลีนัสเบือนหน้าหลบสายตาคมของอีกฝ่ายไปทางอื่นแล้วโวยวายออกมา

                “อนุญาตข้าแบบนี้จะดีหรือท่านลีนัส” ดาวิสแกล้งพูดให้ฟังดูมีนัยะแฝง พลางกลับลงไปนั่งชันเข่ากับพื้นอีกครั้งเพื่อที่จะบิดผ้าขึ้นมาเช็ดคราบเลือดที่ต้นขาของอีกฝ่ายออก

             “ข้าหมายถึง….อะ!!” ร่างบางพยายามจะแก้คำพูดตัวเอง แต่เมื่อสัมผัสเย็นๆจากผ้าในมือของดาวิสแตะลงมาที่ต้นขาเนียนขาว เขาก็ต้องสะดุ้งตัวขึ้นมาด้วยความตกใจ     

              “อย่ายั่วข้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวก็ไม่เสร็จเสียที” ดาวิสยังคงสนุกสนานกับการแกล้งร่างบางตรงหน้า

             “ข้าไม่ได้จะยั่วเสียหน่อย หยุดพูดแบบนั้นเสียทีได้ไหม….” ลีนัสหันมาขมวดคิ้วบ่นอีกฝ่ายกลับไป ในจังหวะที่ดาวิสกำลังก้มลงเอาผ้าไปชุบน้ำในชามแล้วเงยหน้ากลับขึ้นมาพอดี

              “.......” แววตาทั้งสองสบมองกันแล้วนิ่งไป ด้วยตำแหน่งที่ดาวิสนั่งลงกับพื้นตรงหน้าลีนัสนั้นดูวาบหวาบนัก ทำให้ลีนัสเผลอขยับขาทั้งสองข้างให้เข้ามาชิดกันมากขึ้น ปฏิกิริยาของลีนัสทำให้ดาวิสกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

            “มุมนี้นี่ไม่เลวเลยทีเดียว” ดาวิสเอ่ยแซวขึ้นเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

             “...อะ!!” ดาวิสหยิบผ้าชุบน้ำขึ้นมาเช็ดต้นขาขาวของอีกฝ่ายอีกครั้ง และแกล้งรูดปลายนิ้วไปตามซอกขาด้านล่าง ทำให้ร่างบางเผลอจิกปลายเท้าลงกับขอบโซฟาแน่น

             “พอแล้ว!! ตกลงท่านจะเล่าอะไรให้ข้าฟังเกี่ยวกับซีมัสก็รีบๆเล่ามาได้แล้ว แค่นี้น่าจะพอใจท่านแล้วนะ” ลีนัสรีบผลักแขนของดาวิสออก แล้วรีบดึงหัวข้อสนทนากลับมาก่อนที่เขาจะถูกอารมณ์พาไปไกลกว่านั้น ส่วนดาวิสนั้น เมื่อได้ยินชื่อนี้ขึ้นมาก็ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ

               “ก็ไม่มีอะไรมาก ข้าก็แค่พอจะเข้าใจเด็กหนุ่มวัยกำลังต่อต้าน ท่านไม่ต้องคิดอะไรมากนักหรอก”

               “....นี่มันสามปีกว่าเข้าไปแล้วนะขอรับ ซีมัสคงจะโกรธข้าจริงๆ” ลีนัสขมวดคิ้วทำสีหน้ากังวลใจออกมา

              “ก็นั่นน่ะสิ สามปีกว่าแล้ว ข้าเองก็สงสัยเหมือนกัน...” ดาวิสทิ้งผ้าลงไปในชามแล้วลุกขึ้นยืน

               “...ว่าตกลงเจ้ายังโกรธข้าอยู่ หรือจะทดสอบอะไรข้ากันแน่” ดาวิสเอ่ยพลางเชยคางมนขึ้นมองสบตา แต่แล้วนัยน์ตาสีเพลิงก็รีบหลบไปทันที ท่าทีของลีนัสทำให้ดาวิสต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

              “ดึกมากแล้วข้ารบกวนท่านเพียงเท่านี้แล้วกันขอรับ” ดาวิสปล่อยคางมนให้เป็นอิสระแล้วเดินจากไปแต่โดยดี ทิ้งให้ร่างบางที่ใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะอยู่บนโซฟา

              สิ้นเสียงปิดประตูห้องลง ร่างบางก็ทิ้งตัวลงไปนอนบนโซฟาแล้วซุกหน้าลงกับหมอนนุ่มใบใหญ่ทันที…..ทำไมท่านไม่ปล่อยข้าไปเสียที








                 “อ้าว ท่านดาวิส เพิ่งตื่นเหรอคะ วันนี้แปลกจัง” น้ำเสียงหวานใสที่เอ่ยทักขึ้นมาตั้งแต่เขายังไม่ทันได้ก้าวเท้าลงมายังชั้นล่าง ราวกับประกาศให้คนในที่ว่าการได้รับทราบถึงการตื่นสายของเขา ทุกทีดาวิสจะตื่นออกไปออกกำลังตอนเช้าที่สนามฝึกตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แต่เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ทำให้เขากลับมานึกย้อนกลับไปด้วยความเสียดายจนนอนไม่หลับแทบทั้งคืน

                 นานๆทีลีนัสจะยอมเปิดโอกาสให้เขาเข้าใกล้ได้ขนาดนี้ เขาไม่น่ายอมปล่อยลีนัสออกมาง่ายๆแบบเมื่อคืนนี้เลยจริงๆ คิดพลางก็นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะนอนหลับได้ปกติดีหรือไม่ จึงแกล้งเอ่ยถามเรเชลไป

                “อืม โทษที ท่านลีนัสตื่นรึยังน่ะ”

                “ท่านลีนัสเคยตื่นสายด้วยเหรอคะ” เด็กสาวขมวดคิ้วถามกลับมา ทำให้ดาวิสแอบคิดอยู่ในใจว่าเขาจะทำให้เจ้าเมืองตื่นสายให้ดูสักวันเป็นขวัญตาเสียนี่
             
               “อืม นั่นสินะ ข้าออกไปข้างนอกก่อนนะเดี๋ยวเข้ามา” ดาวิสทำเป็นตอบกลับมาเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรนักก่อนจะปลีกตัวออกไปจัดการธุระตามตารางงานของตน

               ทว่าวันนี้ดูจะมีเรื่องวุ่นวายแต่เช้า เมื่อมีคนวิ่งเข้ามาแจ้งเรื่องเหมืองที่อยู่ๆก็ถล่มลงมา ทำให้ดาวิสต้องรีบเกณฑ์คนลงพื้นที่ไปดูสถาณการณ์เบื้องต้น เมื่อพบว่าประตูเหมืองที่ถล่มยับลงมาสาหัสเกินกว่าที่กำลังทหารแกร่งของเขาจะทำอะไรได้ ยิ่งต้องแข่งขันกับเวลาที่อากาศข้างในจะหมดไปก่อนด้วยแล้ว ดาวิสจึงตัดสินใจส่งคนไปเรียกเจ้าเมืองมาทันที

              ดาวิสยืนมองเจ้าเมืองหนุ่มร่างบางร่ายเวทย์เรียกภูติร่างยักษ์ออกมาคลี่คลายสถานการณ์ไปอย่างง่ายดาย เขาแค่นยิ้มออกมานิดๆเมื่อคิดว่า สุดท้ายแล้วคนที่แกร่งที่สุดในเมืองเวลเฮมมิน่า กลับเป็นเพียงชายหนุ่มร่างบางเบาที่เมื่อคืนนี้เขาอุ้มเดินขึ้นบันไดได้อย่างสบายๆคนนึงเท่านั้นเอง

               ระหว่างที่ภูติร่างยักษ์ปรากฏตัวขึ้นมานั้น บรรดาชาวบ้านก็ต่างเข้ามามุงดูกันยกใหญ่ ทำเอาบรรดาทหารต้องเข้ามากันพื้นที่เอาไว้ ขณะที่ดาวิสกวาดสายตามองสถานการณ์รอบๆอยู่นั้น ต้องสะดุดไปเมื่อเห็นแขกคนสำคัญของเขาอยู่ในบริเวณนั้นด้วย

               นัยน์ตาสีทองขององค์ชายจ้องมองภูติร่างยักษ์ที่ลีนัสเรียกออกมาอย่างชื่นชม ก่อนจะคลี่ยิ้มกริ่มขึ้นมา ทำให้ดาวิสรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา

              “ท่านดาวิส” เสียงลุคซ์เอ่ยเรียกเมื่อปากเหมืองถูกเปิดออกแล้ว ดาวิสจึงละสายตาออกมาจากเฟริคแล้วเดินนำนายทหารกลุ่มเล็กๆเข้าไปข้างใน เพื่อนำผู้ที่ติดอยู่ข้างในออกมา

              เมื่อเดินกลับออกมาจากเหมืองแล้วดาวิสก็รีบกวาดสายตามองหาเฟริคอีกครั้ง แล้วก็เห็นว่ากำลังคุยอะไรบางอย่างกับลีนัสอยู่ นอกจากองค์ชายจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจที่ทำตัวเหมือนจะมีแผนการอะไรบางอย่างแล้ว ยังจะทำตัวลุ่มล่ามกับลีนัสของเขาอีก

             “เอ่อท่านดา...วิส…”ลุคซ์ที่เดินเข้ามาเพื่อจะขอเวลาให้ญาติของคนที่ดาวิสเพิ่งจะช่วยออกมาได้เอ่ยขอบคุณ แต่เมื่อเห็นแววตาที่หรี่มองยังที่เฟริคกับลีนัสอย่างไม่สบอารมณ์เช่นนั้น ก็รีบผ่อนเสียงเบาลงไม่กล้าเข้าไปรบกวน เด็กหนุ่มรีบเดินวกกลับไปแจ้งว่าเจ้าตัวไม่สะดวกคุยด้วยทันที

           ดาวิสต้องข่มกลั้นตัวเองไม่ให้เดินเข้าไปผลักเฟริคให้ออกไปจากลีนัส ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นองค์ชายจากบริงไฮด์ ถ้าเขาปล่อยตัวเองเข้าไปทำเรื่องเสียมารยาทขึ้นมา คงจะทำให้เกิดปัญหาปวดหัวตามมาให้ลีนัสไม่น้อย เขาจึงรอจนกระทั่งลีนัสเดินจากองค์ชายออกมา

             แต่เมื่อแววตาของลีนัสสบเข้ากับดาวิส ร่างบางก็รีบเปลี่ยนทิศทางเดินไปหาม้าที่ตนควบมาเมื่อครู่ทันที ดาวิสจึงรีบเดินเข้าไปหาและรั้งแขนของลีนัสเอาไว้

            “ท่านลีนัส…..” แววตาสีเพลิงหันกลับมองอย่างหน่ายระอา แล้วปลายตามองลงไปยังมือของดาวิสที่จับท่อนแขนของเขาอย่างตำหนิ ทำให้ดาวิสชะงักไป และเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาไม่ควรจะจับตัวลีนัสในที่ชุมชนตามอำเภอใจแบบนี้จึงรีบปล่อยมือ

            “มีปัญหาอะไรที่ข้าควรจะทราบไหมขอรับ”

             “ไม่เป็นไร ข้าจัดการเองได้ ถ้ามีอะไรจะให้เรเชลแจ้งให้ทราบ” ลีนัสเอ่ยตัดบทก่อนจะกระโดดขึ้นม้าแล้วควบหนีกลับไป ดาวิสอดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจหนักออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปมององค์ชายที่ยืนยิ้มกริ่มอย่างสบายใจอยู่ตรงนั้น ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา








              กลางดึกสงัดคืนนั้น หลังจากที่องค์ชายเข้ามาแจ้งว่าจะเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ พร้อมทั้งประกาศจุดประสงค์ของตัวเองด้วยความั่นใจ

               “อยากจะรู้นักว่า ถ้าอยู่ๆท่านตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ในบริงไฮด์แล้วท่านจะยังปากดีแบบนี้อยู่ไหม” ลีนัสนั่งขมวดคิ้วจ้องมองแสงเทียนในห้องทบทวนสิ่งที่เฟริคได้เอ่ยไว้ มือสองข้างประสานวางไว้บนโต๊ะกุมมือตัวเองไว้แน่น ก่อนที่จะตัดสินใจยันมือลุกขึ้นยืน เดินไปหยิบเสื้อคลุมมาคลุมร่างในชุดนอนสีขาวตัวยาว แล้วเดินออกจากห้องไป

                 ร่างบางเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องพักของรองเจ้าเมือง เขาหายใจเข้าลึกๆทีหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นมาทำท่าจะเคาะประตูห้อง แต่แล้วก็หยุดมือไว้แค่ตรงนั้นแล้วถอนหายใจออกมา

                 แต่แล้วอยู่ๆประตูห้องก็เปิดออกโดยเจ้าของห้องเอง ทำให้ลีนัสสะดุ้งตกใจรีบถอยหลังออกมาสองก้าว เจ้าของห้องก็เลิกคิ้วขึ้นมองผู้ที่ยืนอยู่ข้างหน้าด้วยความงุนงง

                  “...ท่านลีนัส?”

                 “ท่านจะออกไปข้างนอกหรือขอรับ?” ลีนัสถามกลับไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแต่งตัวนอกเครื่องแบบเหมือนเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก

               “อ้อ...เอ่อ...ข้านอนไม่หลับน่ะ เลยว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอกเสียหน่อย แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องแล้ว”

               “...เอ่อ ยังไงนี่ก็ไม่ใช่เวลางานอยู่ดี ข้าไม่รบกวนท่านดีกว่าขอรับ” ลีนัสตัดสินใจปลีกตัวกลับไป แต่ถูกแขนแกร่งของอีกฝ่ายคว้าข้อมือของเขาเอาไว้เสียก่อน

               “ถ้ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ท่านคงไม่มาหาข้าเวลาแบบนี้ ข้าปล่อยท่านไปแบบนี้ไม่ได้หรอกขอรับ” ดาวิสเคลื่อนมือลงมาจับที่อุ้งมือนุ่มของอีกฝ่ายแล้วดึงเข้ามาหาตัวเองเบาๆ

                 “เข้ามาคุยข้างในก่อนเถอะขอรับ” เมื่อลีนัสถูกมือที่อ่อนโยนของอีกฝ่ายจูงเข้ามาในห้องอย่างง่ายดาย

                “เชิญท่านเจ้าเมือง” ดาวิสผายมือไปที่โซฟาตัวยาวในห้อง ส่วนตัวเองนั้นเดินไปลากเก้าอี้ทำงานมาจากโต๊ะทำงานเล็กๆในห้องมานั่งลงข้างๆ เขาตั้งใจเรียกชื่อตำแหน่งของอีกฝ่ายเพื่อให้รู้สึกว่าเขาพร้อมจะรับฟังเรื่องงาน ไม่คิดจะลามปามไปเรื่องส่วนตัวที่เขายังมีเรื่องค้างคากับอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย

               “เรื่องที่เหมืองวันนี้น่ะ เป็นฝีมือขององค์ชายเฟริคเอง” ลีนัสเริ่มต้นเล่าดาวิสก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เขามีลางสังหรณ์แปลกๆกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าอยู่ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นฝีมือของเฟริค ดูเหมือนว่าเขาต้องระวังองค์ชายมากขึ้นกว่านี้

               “เพื่อจะทดสอบความสามารถของท่านน่ะหรือขอรับ” ดาวิสเอ่ยถาม ลีนัสจึงพยักหน้ารับช้าๆ

               “ดูเหมือนองค์ชายต้องการจะยืนยันแค่นั้นจริงๆ เพราะพรุ่งนี้องค์ชายจะเดินทางกลับ ข้าไม่รู้ว่าองค์ชายรู้เกี่ยวกับลีบลามากแค่ไหน และข้าเองก็ไม่รู้ว่าข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบริงไฮด์ ข้าไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้องค์ชายดูมั่นใจนักว่าข้าจะต้องยอมไปบริงไฮด์” ลีนัสขมวดคิ้วทอดสายตาไปยังพื้นตรงหน้าที่ว่างเปล่าอย่างครุ่นคิด

               “แต่ในเมื่อองค์ชายต้องการกำลังเสริมทัพหลัก หากท่านไม่คิดจะร่วมมืออยู่แล้ว ก็ไม่มีความหมายอะไรมิใช่หรือ”

               “เรื่องนั้นข้าเองก็สงสัย...ท่านดาวิส” ลีนัสสะดุดเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

                “ขอรับ?”

               “ข้าฝากท่านส่งคนไปดูแลครอบครัวข้าได้ไหม แล้วก็ข้าอยากได้คนดูแลเรเชลใกล้ๆด้วยในช่วงนี้…” ลีนัสเริ่มนั่งไม่ติด ต้องลุกขึ้นมาแล้วเดินวนไปรอบๆพลางไล่คิดถึงความเป็นไปได้ที่เฟริคจะใช้อะไรมาบีบบังคับให้เข้ายอมร่วมรบ พอคิดขึ้นมาก็ต้องคำรามออกมาอย่างหงุดหงิด

                “อา….ให้ตายเถอะ ให้ข้าไล่ทวนดูว่าข้าจะเหลือจุดอ่อนตรงไหนบ้าง ที่องค์ชายจะเอามาบีบข้า ก็เป็นไปได้ทุกอย่างนั่นแหละแม้แต่ท่านก็ใช่” ลีนัสพล่ามออกมายาวจนหลุดปากออกมา พอหันกลับมามองหน้าคู่สนทนาที่กำลังเลิ่กคิ้วขึ้นมองมา ก็รีบเบือนหน้าหันไปทางอื่น

                 “...ข้าหมายถึงทุกคนในเวลเฮมมิน่านั่นแหละ” ลีนัสรีบกลบเกลื่อนไปเหมือนเป็นเรื่องปกติ ดาวิสไม่คิดว่าคำพูดที่หลุดออกมาจากปากอย่างไม่ตั้งใจของอีกฝ่ายนั้น จะทำให้เขารู้สึกเขินขึ้นมาได้เหมือนกัน ดีว่าอีกฝ่ายหลบหน้าเขาไปก่อน จึงกระแอมไอขึ้นมาแล้วพยายามเอ่ยสรุปให้เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น

               “....เอาเป็นว่าช่วงนี้ข้าจะจัดคนดูแลให้เป็นพิเศษแล้วกันขอรับ”

              “ข้าฝากท่านอีกเรื่องหนึ่งได้ไหมท่านดาวิส” ลีนัสหยุดเดินวนแล้วหันกลับมาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

              “ถ้าข้าต้องไปบริงไฮด์จริงๆ ข้าฝากดูแลเวลเฮมมิน่าด้วย ท่านอาจจะต้องไปรบกวนท่านเฮมิสอีกครั้งนึง แต่ข้าคิดว่าท่านเฮมิสจะเข้าใจ”

               “....ทำไมท่านถึงได้พูดแบบนั้นขอรับ” ดาวิสลุกขึ้นยืนบ้าง เหมือนจะคัดค้านในสิ่งที่ลีนัสฝากฝั่ง

              “ถ้าข้าถูกบังคับให้ต้องเป็นเครื่องมือเพื่อสงครามขึ้นมา ข้ายอมตายเองเสียดีกว่าน่ะสิ…!!” ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรจบดีนัก ดาวิสก็เข้ามากอดเขาไว้แน่น

             “อย่าแม้แต่จะคิดที่จะทำแบบนั้นเลยได้ไหม” ดาวิสกอดลีนัสไว้แน่นเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะหลุดหายไปตรงหน้า

             “ท่านดาวิส?”

             “ถึงท่านถูกพาไปบริงไฮด์ ข้าก็จะตามท่านกลับมา ข้าสัญญา” ดาวิสเอ่ยกระซิบบอกร่างบางที่ข้างหู ทำให้หัวใจของลีนัสรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมา นานมากแล้วที่เขาไม่ได้อยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นนี้

              “.....ข้าบอกท่านให้ดูแลเวลเฮมมิน่าแทนข้า ไม่ใช่มาตามข้า ตั้งใจฟังข้าบ้างไหม” ลีนัสรีบผละตัวเองออกจากอ้อมอกแกร่งก่อนที่ตัวเองจะเผลอจมเข้าไปสู่ความอบอุ่นนั้น และไม่อาจจะถอนตัวออกมาได้อีก

            “ข้ามีเรื่องจะรบกวนท่านเพียงเท่านี้แหละ ข้าขอตัว” ลีนัสรีบเอ่ยลาแล้วเดินไปที่ประตูห้องจะเปิดออก แต่แล้วอยู่ๆคำพูดของเฟริคก็หวนขึ้นมาในความคิด ถ้าคืนนี้เขาหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาอยู่ที่บริงไฮด์จริงๆ เขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าดาวิสอีก นึกขึ้นได้เช่นนี้มือข้างที่จับลูกบิดประตูห้องก็นิ่งไป ระหว่างนั้นท่อนแขนแกร่งของเจ้าของห้องก็เท้าลงมาพิงที่บานประตูห้อง แล้วโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูเจ้าเมืองร่างบางที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

            “อย่าลังเลให้ข้าเห็นแบบนี้สิขอรับ” เสียงทุ้มๆนุ่มหูกระซิบขึ้นมาเบาๆ ทำเอาหัวใจของลีนัสเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล






End 2/3

ไม่อยากจะบอกเลยว่าเกินมา200ตัว ขอตัดฉากต่อไปไปก่อนนะ ให้เวลาเตรียมทิชชู่ไว้รอซับเลือดก่อน   :hao3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2015 13:51:43 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act:7 Decision 3/3) 18 Nov.2015
«ตอบ #23 เมื่อ18-11-2015 15:34:48 »

Act 7 Decision (3/3) เตรียมทิชชู่ซับเลือดกับสภาพแวดล้อมในการอ่านที่ห่างจากผู้คนด้วยนะ เดี๋ยวจะยิ้มหื่นๆออกมากลางที่ชุมชนแล้วเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน 555         





            แววตาสีเพลิงค่อยๆช้อนขึ้นมองอีกฝ่ายกลับมาช้าๆ สายตาที่ดูออดอ้อนทำให้ดาวิสอดไม่ได้ที่จะรวบเอวบางตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่น และก้มลงบดเบียดริมฝีปากบางตรงหน้าทันที แขนอีกข้างที่ค้ำยันประตูไว้ เลื่อนลงมาขยับลงกลอนประตูห้องอย่างว่องไว ก่อนจะเคลื่อนมาโอบรอบเอวบางโดยสอดมือเข้าไปข้างใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่ เนื้อผ้าของชุดนอนอีกฝ่ายที่บางเบา ทำให้ดาวิสสัมผัสได้ถึงอุณภูมิร่างกายอุ่นๆที่อยู่ใต้เนื้อผ้า สัมผัสเพียงเล็กน้อยนั้นไปกระตุ้นให้ร่างหนารู้สึกตะกละตะกลามอยากจะสัมผัสให้มากขึ้น มือแกร่งลูบไล้จากเอวบางขึ้นมาช่วงไหล่ ปัดเสื้อคลุมสีแดงเข้มที่เย็บปักอย่างงดงามปราณีตทิ้งลงไปกองกับพื้นอย่างไม่ใยดี

             สัมผัสอันหนักหน่วงจากริมฝีปากหนา สัมผัสวาบหวามจากท่อนแขนแกร่งที่ลูบไล้เรือนร่างของเขาไปจนทั่ว อุณหภูมิร่างกายอุ่นๆของอีกฝ่ายที่ทาบทับ และปลายลิ้นที่ถูกอีกฝ่ายดูกลืนอย่างหิวกระหาย ทำให้ลีนัสถูกคลื่นอารมณ์พัดพาไปจนยอมละทิ้งตำแหน่งและภาระความรับผิดชอบของตนทิ้งไปจนหมดสิ้น แล้วยกแขนเรียวสองข้างขึ้นโอบรอบคอหนาของอีกฝ่ายกลับไปทันที

            “ฮ้า..!!” ลีนัสสะดุ้งตัวรีบถอนริมฝีปากตัวเองออกมาจากรสจูบที่หนักหน่วง ถอยตัวหลบสัมผัสเสียวซ่านจากปลายนิ้วแกร่ง ที่ลูบไล้เรือนร่างของเค้าขึ้นมาหยอกเย้ากับยอดอกผ่านชุดนอนสีขาวเนื้อบาง

            “ย้ายที่เถอะขอรับ เดี๋ยวเสียงจะหลุดออกไปข้างนอก” ดาวิสเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังก้มลงไซร้ซอกคอขาว ลีนัสที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงระเรื่อขึ้นมา

             “....อ่ะ!?” ดาวิสช้อนร่างบางลอยขึ้นมาอย่างง่ายดาย แล้วเดินเข้ามาในห้องผ่านโซฟาไป ตรงไปวางร่างในอ้อมแขนลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล แล้วรีบก้มลงถอดรองเท้าหนังของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว

          “....ท่านดาวิส…” ลีนัสรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาเมือถูกวางลงบนเตียงนุ่มที่เต็มไปด้วยกลิ่นของดาวิส เขาเอ่ยท้วงขึ้นมาเบาๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาได้รับปากไว้กับมารดาของอีกฝ่าย

         “มีอะไรขอรับ” ดาวิสที่เพิ่งถอดรองเท้าทิ้งไว้ข้างเตียงเงยหน้ากลับขึ้นมาถาม หลังจากที่ยกมือเรียวของอีกฝ่ายขึ้นมาจุมพิตเบาๆอย่างนุ่มนวล

         “....” ลีนัสรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะปล่อยให้เรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นให้เกิดขึ้น แต่เมื่อสบตาเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคมคายตรงหน้าแล้ว เขาอยากจะจมกลืนหายไปกับอารมณ์ที่พลุ่นพล่านอยู่ในตอนนี้เสียเหลือเกิน

ร่างบางตัดสินใจหลบสายตาลงกลั้นใจจะเอ่ยปฏิเสธออกไป แต่กลับถูกริมฝีปากหนาประกบปิดลงมาเสียก่อน รสจูบที่เร่าร้อนบดเบียดริมฝีปากบางลงมาอย่างรุนแรง จนสติสำนึกทุกอย่างโดนคลื่นอารมณ์ซัดกระเจิดกระเจิงหายไปจนหมดสิ้น

           เมื่อริมฝีปากหนายอมปล่อยให้ร่างบางได้หายใจหายคอบ้าง ก็เคลื่อนไปพรมจูบทั่วไปใบหน้าหวาน สันจมูกโด่งไซร้ไล่ลงมาตามซอกคอขาว สูดกลิ่นกายหอมระคนกลิ่นไพรอ่อนๆจากการที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ทำเอาร่างหนาไม่สามารถจะคุมสติของตัวเองต่อไปได้อีก เขาจึงเคลื่อนใบหน้าขึ้นมากระซิบเบาๆบอกที่ข้างหูของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

           “.....พอ...หมดเวลาแล้วขอรับ”





 




                ร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มร่างสูงค่อยๆลงมาจากเตียงหลังใหญ่อย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเกรงว่าจะทำให้ชายหนุ่มร่างบางที่นอนหลับสนิทอยู่จะตื่นขึ้นมา เขาเดินไปคว้ากางเกง เสื้อ ชิ้นส่วนต่างๆของตนที่กองกระจัดกระอยู่ปลายเตียง และบริเวณพื้นข้างเตียงรอบๆขึ้นมาสวมใส่ให้เรียบร้อย

                 ดาวิสหันกลับมามองชายหนุ่มที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงของตน แพขนตาหนาและเสียงหายใจเบาๆทำให้เขาอยากจะก้มลงไปจุมพิตที่หน้าผากเนียน แต่ก็ต้องรั้งความต้องการของตัวเองไว้ เพราะกลัวจะไปรบกวนเวลาพักผ่อนอันน้อยนิดของอีกฝ่าย เขาเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มหนาขึ้นมาคลุมหัวไหล่เปลือยเปล่าตรงหน้าอย่างเบามือ ก่อนจะก้มไปหยิบรองเท้าหนังที่ถอดใส่ลำบากของเขาจากพื้นข้างเตียง เดินไปใส่ที่หน้าประตูห้อง แล้วค่อยๆปลดกลอนประตูห้องและเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบกริบ


                  “...ลีนัส….ท่านลีนัส” เสียงนุ่มๆเรียกสติให้เจ้าเมืองหนุ่มตื่นขึ้นมา แพขนตาหนาค่อยๆกระพริบลืมขึ้นมาช้าๆ เจอแสงสว่างยามเช้าเข้าไปก็ต้องหรี่ตากลับลงมาอีกครั้ง

                 คิ้วบางขมวดเข้าหากันอย่างงัวเงีย เขารู้สึกแปลกใจที่ทุกอย่างมันแปลกไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดยามเช้าที่สว่างเกินไป เขาไม่เคยตื่นขึ้นมาในเวลาแบบนี้นานมากแล้ว สัมผัสของผ้าปูเตียงก็ต่างจากเดิม กลิ่นที่ไม่คุ้นเคย ร่างกายที่รู้สึกหนักแปลกๆ

                   …..ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าอยู่ที่บริงไฮด์แล้วท่านจะยังปากดีแบบนี้อยู่ไหม…..สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นมาในหัว ทำให้ลีนัสรีบตื่นขึ้นมาเต็มตา และลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว แต่หัวกลับขึ้นมากระแทกกับอะไรแข็งๆข้างบนอย่างแรง ทำให้เขาล้มตัวลงไปนอนอีกครั้ง

                  “...อือ….” ลีนัสครางโอดครวญออกมาเบาๆพร้อมยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเอง

                  “....ไปเรียนรู้วิธีจู่โจมแบบนี้มาจากไหนขอรับ” เสียงบ่นดังมาจากคนที่ยืนกุมหน้าผากตัวเองอยู่ข้างๆเตียงเช่นกัน

                 “...ท่านดาวิส…ข้าขอโทษ...” ลีนัสรู้แล้วว่าที่แปลกไปจากปกติทุกครั้ง เพราะที่นี่คือห้องนอนของรองเจ้าเมืองนั่นเอง เขายังไม่ได้ตื่นขึ้นมาแล้วไปโผล่ที่บริงไฮด์แต่อย่างใด นึกขึ้นได้ก็โล่งอก แต่เมื่อนึกไปถึงสาเหตุที่ทำให้เขามานอนอยู่บนเตียงของดาวิส ในสภาพเปลือยเปล่าทั้งตัวแบบนี้ ก็ต้องหน้าแดงขึ้นมา

                  “...กี่โมงแล้วขอรับ” ลีนัสพยายามจะไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้

                 “สายนิดหน่อยขอรับ ข้าไปหยิบเสื้อผ้าของท่านมาให้แล้ว ใช้ห้องน้ำข้าไปก่อนก็ได้ขอรับ ข้าเตรียมน้ำไว้ให้แล้ว” ดาวิสหันไปมองกองเสื้อที่พับวางไว้อย่างดีบนโต๊ะตัวเล็กหน้าห้องน้ำ

                 “....ขอบคุณ” ลีนัสทั้งอายทั้งรู้สึกผิดทำอะไรไม่ถูก พอจะขยับตัวลุกขึ้นก็รู้สึกถึงของเหลวบางอย่างที่ไหลออกมาจากเบื้องล่างขณะที่จะพลิกตัว เขาก็ทรุดกลับลงมานั่งที่เดิมทันทีด้วยความตกใจ

                “เจ็บตรงไหนรึเปล่าขอรับ ขอโทษด้วยที่เมื่อคืนนี้รุนแรงไปหน่อย ข้าอุ้มไปที่ห้องน้ำไหม…” ดาวิสขยับเข้ามาทำท่าจะอุ้มด้วยความเป็นห่วง แต่ลีนัสรีบยกมือทำท่าห้ามขึ้นมาแล้วก้มหน้าส่ายหัวปฏิเสธกลับมา

                “ข้า...ไม่เป็นอะไร ท่านออกไปก่อนเถอะ ปล่อยข้าจัดการเอง...” ใบหน้าหวานตอนนี้แดงก่ำไปทั้งหน้าไปจนถึงใบหู

                “หืม ?” ดาวิสเลิ่กคิ้วขึ้นมองลีนัสอย่างงุนงง แต่แล้วเขาก็เข้าใจอะไรบางอย่าง แล้วร้องอุทานออกมา

                 “อ้อ!!”

                “หยุดเลย ท่านไม่ต้องเดาอะไรทั้งนั้น ออกไปได้แล้ว!!” ลีนัสโวยวายไล่อีกฝ่ายออกจากห้อง แต่เขากลับได้ผลที่กลับกัน ดาวิสสะบัดผ้าห่มที่คลุมร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายออกอย่างว่องไว แล้วเข้าไปช้อนร่างบางอุ้มขึ้นมาจากเตียงเดินไปที่ห้องน้ำ

                “ท่านจะอายทำไมนักหนา คนที่ทำทิ้งไว้ก็เป็นตัวข้าเอง ให้ข้าช่วยรับผิดชอบเถอะขอรับ”









               ช่วงสายของวัน ดาวิสลงมาช่วยดูแลแขกต่างเมืองที่มาพักทยอยเก็บข้าวของเตรียมตัวจะเดินทางกลับ ดาวิสสังเกตดูตั้งแต่วันที่มาแล้วว่า ผู้ติดตามขององค์ชายเฟริค เป็นทหารองครักษ์ล้วนๆ ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาดนักสำหรับการเดินทางมาเพื่อคุยเรื่องงานในเวลาสั้นๆ หากแต่เรื่องที่ทำให้ลีนัสรู้สึกหนักใจ ก็ทำให้ดาวิสต้องคิดมากขึ้นมาด้วยเสียไม่ได้ องค์ชายที่ทำอะไรเองเป็นหลายอย่าง และไม่ค่อยชอบให้มีผู้ติดตามไปไหนอย่างเฟริค ทำไมถึงได้มีองครักษ์ตามมาเยอะขนาดนี้

               หลังจากที่ดูความเรียบร้อยของผู้ติดตามเสร็จ เขาก็เดินกลับเข้ามาที่อาคารหลักของที่ว่าการฯ เห็นองค์ชายเดินหายเข้าไปในห้องทำงานของลีนัสที่ชั้นบน จึงเดินตามขึ้นไปด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ลีนัสจะกำชับเอาไว้ว่าไม่ต้องกังวลเกินเหตุก็ตาม

               “ท่านดาวิส มีธุระอะไรกับท่านลีนัสรึเปล่าคะ ฝากข้าไปไหมคะ” เรเชลที่เดินถือเอกสารผ่านมาเอ่ยถามดาวิสที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา เมื่อถูกเอ่ยทักขึ้นดาวิสก็ก้มมองไปที่เอกสารในมือของเด็กสาวกลับไป

                “นั่นเอกสารจะให้ท่านลีนัสใช่ไหม?”

                “ใช่ค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ”

                “งั้นข้าเอาเข้าไปให้เอง ข้ามีเรื่องต้องคุยกับท่านลีนัสพอดี เจ้าไปได้แล้วไป” ดาวิสว่าพลางคว้าเอกสารในมือของเรเชลขึ้นมาทันที

                “เอ๋!?”

                “มีอะไรจะฝากอีกไหม”

                “...ไม่มีค่ะ...ขอบคุณค่ะ” เรเชลตอบกลับมาตะกุกตะกักเพราะรู้สึกไม่คุ้นกับสถานการณ์แบบนี้ เธอไม่เข้าใจว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้น อะไรหลายๆอย่างดูแปลกไปหมด ตั้งแต่เห็นดาวิสเดินอมยิ้มออกมาแต่เช้า ทำเอากลุ่มแม่บ้านถึงกับรวมกลุ่มกันเพื่อคุยเรื่องนี้โดยเฉพาะ แล้วยังจะมาเสนอตัวช่วยงานเธออีก

               “ขอบใจ” ดาวิสคลี่ยิ้มแตะไหล่เธอเบาๆแล้วเดินตรงไปยังหน้าประตูห้องทำงานของเจ้าเมือง เรเชลทำหน้างุนงงว่าทำไมดาวิสถึงเป็นฝ่ายเอ่ยขอบคุณ และการได้เห็นรอยยิ้มของดาวิสระยะใกล้ๆแบบนี้ทำเอาให้เธอยืนตะลึงไปพักใหญ่

                เรเชลเดินลงบันไดไปชั้นล่างด้วยสมองเบลอๆ รอยยิ้มเมื่อครู่นี้มันสว่างไสวเกินไปจนสมองของเธอพล่าไปหมด

               “ท่านเรเชลหลีกไป เร็วเข้า!!” เสียงลุคซ์ตะโกนมาแต่ไกลด้วยน้ำเสียงร้อนรนเมื่อเธอก้าวลงมาถึงโถงชั้นล่าง

              “อะไรนะ” เรเชลหันไปถามเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน แต่พอหันไปเห็นว่าข้างหลังลุคซ์ มีนายทหารวิ่งตามออกมาให้วุ่นไปหมด เสียงร้องโวยวายแว่วเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ทำเอาเรเชลได้แต่ยืนงงอยู่กับที่

              “ก็บอกให้เร็วๆไงเล่า มานี่” ลุคซ์วิ่งเข้ามาหาคว้าข้อมือของเรเชลได้ก็รีบดึงเธอให้วิ่งตามออกไปที่ปีกตึกฝั่งทิศตะวันตก

               “เดี๋ยวก่อน!! เจ้าไม่ได้ต้องวิ่งขึ้นไปคุ้มกันท่านลีนัสก่อนหรอกรึ!!” เรเชลนึกขึ้นได้ก็ดึงมือตัวเองกลับมา

                “ก็ท่านนั่นแหละ มัวแต่ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นล่ะขอรับ บอกให้หลบไปตั้งนานแล้ว” ลุคซ์ขึ้นเสียงกลับมา ทำเอาเรเชลเงียบไปครู่หนึ่ง

               “...เอ่อ ขอโทษ...จริงๆท่านดาวิสก็อยู่ด้วยคงไม่เป็นอะไรล่ะมั้ง” ลุคซ์ได้ยินชื่อนี้ขึ้นมาก็หน้าซีดไปทันที “เป็นการ์เดี้ยนภาษาอะไรทำไมเกิดเรื่องแล้วไม่อยู่กับเจ้าเมือง” น้ำเสียงตำหนิของดาวิสดังก้องขึ้นมาในสมองเด็กหนุ่มพลัน

               “อ่า!!….ท่านอยู่ห่างๆผู้บุกรุกด้วยนะขอรับ ข้าต้องรีบไปหาท่านลีนัส” ลุคซ์คำรามออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนจะรีบวิ่งกลับไปที่ห้องโถง

               กลับมาที่ห้องโถงตอนนี้เพื่อทหารของเขาหลายคนนอนล้มบาดเจ็บอยู่ที่หน้าประตูเต็มไปหมด ผู้บุกรุกร่างสูงหนาผมยาวสีเทาผิวสีน้ำตาลแดงคาดด้วยรอยสักประหลาดๆตามตัวเดินก้าวขึ้นบันไดอย่างใจเย็น ผู้บุกรุกคนเดียวทหารแทบทั้งกองต้านเอาไว้ไม่อยู่ ลุคซ์เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้เม็ดเหงื่อเย็นๆไหลซึมออกมาจากหน้า

              “ลีนัส!!” ผู้บุกรุกตะโกนเรียกชื่อบุคคลที่เขาต้องการจะพบเสียงดังสนั่นไปทั้งห้องโถง ทำให้คนที่มีหน้าที่เป็นการ์เดี้ยนอย่างเขาต้องรีบก้าวเท้าออกไปหาทันที

           “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ เจ้ามีธุระอะไรกับท่านเจ้าเมือง ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ” เด็กหนุ่มไม่รู้เลยจริงๆว่าจะรับมือชายประหลาดผู้นี้ได้อย่างไร แต่เขาจะไม่ยอมที่จะปล่อยให้คนอันตรายผู้นี้เข้าไปหาเจ้าเมืองได้ง่ายๆโดยที่เขาไม่ทำอะไรสักอย่าง ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจจะมองมาทางเขาเสียด้วยซ้ำ

            “ลุคซ์ ถอยไป” เสียงเจ้าเมืองตะโกนลงมาจากชั้นสองทำให้ผู้บุกรุกกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก นัยน์ตาสีเทาหันมาสบมองที่เด็กหนุ่มทันที เพียงแค่ถูกจ้องมองมาเด็กหนุ่มก็รู้สึกว่ามือตัวเองเย็นเฉียบขึ้นมา

             “....เจ้านี่เอง” ผู้บุกรุกเอ่ยพึมพำขึ้นมาสั้นๆ แล้วอยู่ๆก็มีเปลวเพลิงสีน้ำเงินก็ลุกโชนออกมาล้อมรอบตัวเด็กหนุ่ม เพลิงสีน้ำเงินที่เจ้าตัวไม่เคยพบเคยเห็น เคยแต่ได้ยินที่ชาวบ้านเล่าขานให้ฟัง หรือคนๆนี้จะเป็นเด็กปีศาจที่เขาพูดถึงกัน ความร้อนระอุจากเปลวเพลิงรอบด้านทำให้ลุคซ์เริ่มรู้สึกมึนหัวแล้วสติก็หลุดหายไปทันที

              “หยุดเดี๋ยวนี้นะซีมัส!!” ลีนัสตะโกนลั่นลงมาด้วยเสียงดังกังวานไปทั้งห้องโถง เปลวเพลิงที่ลุกโชนเมื่อครู่ก็เบาลงไป ชายหนุ่มผู้บุกรุกหยุดยืนรอเจ้าของเสียงเผยตัวออกมาอย่างใจเย็น

              เมื่อลีนัสก้าวเท้าออกมายืนที่ระเบียงโถงชั้นบน ทอดสายตาลงมาที่น้องชายผู้ก่อเรื่อง น้องชายที่หนีหน้าเขามาตลอด จริงๆแล้วลีนัสก็แอบหวังอยู่นิดๆว่าการแต่งตั้งการ์เดี้ยนที่เขาเคยรับปากว่าจะให้กับซีมัสไว้นั้น จะทำให้ซีมัสยอมแสดงตัวออกมา แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้ผลที่ออกมาแบบนี้

               “ดูสุขสบายดีนะท่านเจ้าเมือง” แววตาสีเทาอ่อนสบมองกลับมาอย่างท้าทาย เขาคงจะทำให้ซีมัสโกรธจริงๆ ซีมัสไม่เคยเรียกชื่อเขาห้วนๆแบบนั้นมาก่อน ทำเหมือนว่าเขาไม่ยอมรับการเป็นพี่ชายอีกต่อไปแล้ว

               “สามปีสองเดือน ยี่สิบเอ็ดวันที่เจ้าหนีหายไป……...นี่คือคำพูดของน้องที่เอ่ยทักพี่ชายน่ะหรือ ซีมัส” ลีนัสตัดสินใจเอ่ยขึ้นมาอย่างน้อยใจนิดๆ

                “ถ้าพี่ชายที่โยนความขี้ขลาดให้น้องชายเพื่อจะได้ขึ้นตำแหน่งเจ้าเมืองอย่างราบรื่น ข้าไม่อยากจะนับเป็นพี่ชายหรอก” คำพูดของซีมัสเหมือนจะเหล็กแหลมคมทิ่มแทงลึกเข้ามาในใจของผู้เป็นพี่ ลีนัสรู้อยู่แก่ใจมาตลอดว่าเขาได้สร้างตราบาปให้ชาวบ้านว่าร้ายซีมัสเองกับมือ ยิ่งถูกตอกย้ำเช่นนั้นยิ่งรู้สึกเจ็บลึกเข้าไปข้างใน

             “..ซีมัส ข้าไม่ได้ต้องการให้มันลงเอยแบบนั้น แต่เจ้าจะเอาคนอื่นเข้ามาแบบนี้มันก็ไม่ถูกต้อง หยุดเถอะซีมัส”

             “มันไม่มีวิธีอื่นที่จะทำให้ท่านยอมลงมือฆ่าข้าเสีย”

            “เจ้าว่าไงนะ…”ลีนัสรู้สึกสมองชาไปชั่วขณะเมื่อรับรู้สิ่งที่ซีมัสต้องการ

              “ท่านริดรอนจุดยืนของข้าไปหมดแบบนี้ สู้ฆ่าข้าเสียยังจะดีกว่า ชีวิตของข้าอยู่ใต้ความรับผิดชอบของท่าน ฉะนั้นข้าจะอนุญาติให้ท่านเป็นคนลงมือคนเดียวเท่านั้นขอรับ”

             “ซีมัส...นี่เจ้า..”

             “ไม่งั้นข้าจะฆ่าการ์เดี้ยนที่ไม่ได้ความของท่านก่อน” ลีนัสตกอยู่ในสภาวะกดดันอย่างหนัก เมื่อเปลวเพลิงรอบๆร่างของลุคซ์ที่นอนหมดสติพุ่งสูงขึ้นมาอีกครั้งและค่อยๆขยับเข้าไปใกล้เรื่อยๆ
 
              “ซีมัส หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ลีนัสรีบกางเวทย์ป้องกันร่างที่นอนไม่ได้สติอยู่ตรงนั้นทันที แต่ซีมัสก็ยิ่งทำให้เปลวเพลิงร้อนแรงขึ้นไปอีก จนลีนัสชักจะต้านเอาไว้ไม่ไหว

              “ข้าบอกให้ฆ่าข้าไงล่ะ ท่านพี่”

              “เจ้าจะให้ข้าทำแบบนั้นได้อย่างไร ถ้าเจ้าจะบังคับข้าแบบนี้…” ลีนัสวางมือลงบนราวระเบียง จ้องมองเขม็งไปที่แววตาสีเทาของอีกฝ่ายอย่างมุ่งมั่น

               “เจ้าก็ฆ่าข้าเสียเถอะ” เจ้าเมืองหนุ่มยันตัวกระโดดลงมาจากระเบียงห้องโถงสูง ที่เบื้องล่างเต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีน้ำเงินที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกอย่างที่สัมผัสโดนทันที



End Act.7 Part 3/3 Decision
___________________________________________________________________________________________






ฮ้า.............สงสัยจะไม่มีคนอ่านจริงๆ  เลิกอัพละ งอน (ซึน)   :katai5:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-12-2015 09:54:22 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ plakz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Libra's Heart (Act:7 Decision 3/3) 18 Nov.2015
«ตอบ #24 เมื่อ20-11-2015 20:27:19 »

สนุกดีครับมาต่อไวๆนะอยากให้เพิ่มแฟนตาซีกว่านี้อีกอ่ะครับ เนื้อเรื่องเครียดไปนิดนึ่ง :katai5:

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act:7 Decision 3/3) 18 Nov.2015
«ตอบ #25 เมื่อ23-11-2015 08:34:38 »

สนุกดีครับมาต่อไวๆนะอยากให้เพิ่มแฟนตาซีกว่านี้อีกอ่ะครับ เนื้อเรื่องเครียดไปนิดนึ่ง :katai5:

อ๋า ตามเข้ามาอ่านจริงๆด้วย ขอบคุณค่า 
ทำไงดี เนื้อเรื่องหลังจากนี้จะเครียดหนักขึ้นไปอีกแหละค่ะ 555 มันใกล้ไคล์แมกซ์แล้ว

(เครียดไม่เครียดคนเขียนนั่งวางแผนแก้ไปแก้มาเป็นหน้าๆเลย555)

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act:8 Weakness 1/3) 22 Dec.2015
«ตอบ #26 เมื่อ22-12-2015 11:05:32 »

Act 8 : Weakness (1/3)


               กลางดึกสงัดท่ามกลางแมกไม้สูงใหญ่ มีเพียงเสียงแมลงแว่วเบาๆออกมาตามโพรงหญ้า เสียงฝีเท้าที่แหวกหญ้าของชายหนุ่มแว่วขึ้นมาจากเบื้องหลัง ทำให้ชายหนุ่มร่างหนาที่ยืนรออยู่หันกลับมามองที่ต้นเสียง เห็นเงาตะคุ่มของเด็กหนุ่มผมยาวเดินเข้ามาหาพร้อมเอ่ยบ่นอย่างไม่พอใจ

               “คิดว่าเป็นรองเจ้าเมืองแล้วนึกอยากจะเรียกใช้ใครตอนไหนก็ได้รึไง” น้ำเสียงยียวนของเด็กหนุ่มทำให้อีกฝ่ายต้องลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ

               “...ก็มาไม่ใช่เหรอ” โดนย้อนกลับมาเช่นนั้นเด็กหนุ่มก็มองหน้าคนพูดกลับไป พร้อมทั้งถอนหายใจยาวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

               “...มีอะไรก็ว่ามา”

              “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเรามีแขกมาจากบริงไฮด์”

             “อา...เรื่องนั้นพอจะรู้ แล้วยังไง” ซีมัสขมวดคิ้วถามกลับไปอย่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย

             “พรุ่งนี้เจ้าช่วยมาทักทายแขกที ข้าคิดว่าองค์ชายคงอยากจะเจอเจ้า” ดาวิสพูดเหมือนเรื่องที่ขอเป็นเรื่องปกติเรื่องนึง ที่พี่ชายจะขอให้น้องชายออกมาเจอแขกที่มาเยี่ยมบ้าน

            “...ฮะ? พูดเรื่องไร้สาระอะไรของท่าน ข้าไม่ได้นับรวมกับมนุษย์นานมากแล้วนะ ลืมไปรึไง” คำสั่งรวบรัดง่ายๆของดาวิสทำให้คิ้วที่ขมวดกันเมื่อครู่ ยิ่งขมวดเข้าหากันเข้าไปอีก

            “ข้าก็ไม่เห็นว่าลีนัสเลิกนับเจ้าเป็นมนุษย์นะ ไม่งั้นจะเฝ้ากลับมาตามหาเจ้าหลายต่อหลายครั้งหรอกนะ เจ้านั่นแหละที่ไม่ยอมกลับไปเอง”

           “...........” ซีมัสไม่เถียงอะไรออกมา เขารู้ว่าตัวเขาเองเป็นคนที่เลี่ยงไม่เจอหน้าลีนัสเอง เขาหวังอยู่ลึกๆว่า วันเวลาจะช่วยให้เขาลืมความรู้สึกที่ไม่ได้รับการตอบรับของตนที่มีต่อพี่ชายของเขาไปได้บ้าง ถึงแม้ว่ามันจะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสความอบอุ่นและอ่อนโยนจากลีนัส แต่เขายังไม่อาจจะลืมความรู้สึกที่ได้รับนั้นไปได้

              “ซีมัส?” ดาวิสเรียกอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะจมเข้าไปในห้วงความคิดอะไรบางอย่างอยู่ ซีมัสจึงสะบัดหน้าไล่ความคิดนั้นออก แล้วรีบทำทีเป็นกลับเข้าเรื่อง

              “....แล้วยังไง จะให้ปีศาจอย่างข้าออกไปทักทายแขกในฐานะมนุษย์หรือปีศาจล่ะ” เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงประชดประชันนิดๆ

             “ในฐานะอาวุธสงครามชิ้นนึง นั่นเป็นวัตถุประสงค์หลักขององค์ชายที่มาที่นี่” ซีมัสได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจหนักๆออกมาอีกครั้งพร้อมด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์   

             “...นอกจากข้าจะเป็นปีศาจแล้วยังจะให้ข้าเป็นอาวุธสงครามอีก นึกอยากจะใช้ข้าเป็นอะไรก็ใช้รึไงกัน“

              “เจ้าคิดว่าอยู่ๆข้าจะส่งอาวุธสงครามให้บริงไฮด์ไปใช้เล่นงั้นเหรอ อาวุธชิ้นแรกที่องค์ชายต้องการจะเอาไปน่ะ คือพี่ชายเจ้านะซีมัส ข้าให้เจ้าออกมาในฐานะอาวุธสงคราม เพื่อให้องค์ชายนำเจ้ากลับไปบริงไฮด์ด้วย”

             “เดี๋ยวก่อน ท่านพี่ตกลงจะไปบริงไฮด์หรือ” สิ่งที่ดาวิสเล่าให้ฟัง ทำให้ซีมัสเริ่มรู้สึกกังวลใจขึ้นมา

              “ไม่ ลีนัสไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แต่กังวลว่าจะต้องลงเอยแบบนั้น”

             “....จะเป็นไปได้ยังไง” 

             “ข้าก็ไม่รู้ แต่ลีนัสมาสั่งเสียกับข้าเมื่อครู่ข้าก็ยิ่งปล่อยผ่านไปไม่ได้ ก็เผื่อเอาไว้สำหรับสถาณการณ์เลวร้ายที่สุดแล้วกัน อย่างน้อยก็มีเจ้าที่ข้าพอจะไว้ใจได้อยู่ไม่ห่าง เจ้าน่าจะดีใจนะ ข้ากำลังขอให้เจ้ากลับมาในฐานะการ์เดี้ยนที่เหมาะสมกับเจ้าเมืองที่สุดอยู่ตอนนี้นะซีมัส” คำว่า”การ์เดี้ยนที่เหมาะสมที่สุด”ของดาวิส ทำให้ซีมัสหัวใจพองโตขึ้นมา นั่นเป็นสิ่งที่เขาเฝ้าหวังจะเป็นมาตลอด หากไม่เกิดเรื่องเมื่อสามปีก่อนขึ้น แต่ขณะเดียวกัน เขาก็พยายามจะลืมความหวังลมๆแล้งๆนี้ไปตลอดเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่นั้น
 
            “แล้วการ์เดี้ยนที่ท่านพี่เพิ่งจะแต่งตั้งไปล่ะ” ซีมัสเอ่ยอย่างน้อยใจอยู่นิดๆ ดาวิสคิดถึงการ์เดี้ยนคนปัจจุบันก็อดกรอกตามองไปทางอื่นอย่างหน่ายระอาขึ้นมาไม่ได้ ที่ลีนัสแต่งตั้งขึ้นมาเพียงเพราะว่า เป็นเด็กหนุ่มที่แกล้งแล้วสนุกดีเท่านั้นจริงๆ แต่ดาวิสไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่นัก

            “ลีนัสแค่แต่งตั้งขึ้นมาให้จบๆไปเท่านั้นแหละ….สถานการณ์ตอนนี้ ถ้าข้าให้การ์เดี้ยนไปด้วยได้ ข้าคงไปเองแล้วล่ะซีมัส ตอนนี้มีแต่เจ้าเท่านั้นแหละที่เหมาะกับอาวุธสงครามอีกชิ้นที่องค์ชายต้องการ”

            “............” ท่าครุ่นคิดของเด็กหนุ่ม ทำให้รองเจ้าเมืองต้องพูดแทงใจอีกฝ่ายออกมา

            “แล้วก็เรื่องการ์เดี้ยนคนใหม่ ลีนัสคงคิดจะตัดใจเลิกตามหาเจ้าไปแล้วล่ะซีมัส เพราะเจ้ามัวแต่ทำตัวเป็นเด็กวัยต่อต้านผู้ใหญ่ไม่ยอมโตเสียทีไงล่ะ”

            “ว่าไงนะ ข้าไม่ใช่เด็กไม่ยอมโตนะ!!” ซีมัสเถียงกลับไปทันที ดาวิสก็กระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วเอ่ยตอบไป

            “ถ้าโตแล้วก็ช่วยเข้าใจ แล้วพรุ่งนี้ก็ออกมารับบทอาวุธสงครามให้ข้าหน่อยแล้วกัน ข้าจะเตรียมคนไว้เล่นกับเจ้าส่วนนึง เพลาๆมือหน่อยล่ะ อย่าให้ช้ำมากนัก ข้ากลับไปดูแลเจ้าเมืองต่อล่ะ” ดาวิสเอ่ยสรุปและคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ทิ้งท้ายกวนประสาทอีกฝ่ายไปอย่างตั้งใจ ก่อนจะหลังหลังเดินจากไปอย่างใจเย็น

            “...!!” ซีมัสรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้วตั้งแต่ถูกดาวิสเรียกออกมา การมีประสาทรับรู้ทั้งหูทั้งจมูกที่ดีกว่าคนทั่วไป ทำให้ซีมัสพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่ดาวิสจะออกมาหาเขา จากกลิ่นของพี่ชายตัวเองที่เขาสัมผัสได้ เขาคิดว่าลีนัสออกมาด้วยกันเสียด้วยซ้ำไป ยิ่งถูกตอกย้ำเช่นนั้นก็ยิ่งเจ็บใจ

           “ข้ายังไม่ได้บอกตกลงเล่นด้วยกับท่านเสียหน่อย!!” ซีมัสตะโกนไล่หลังดาวิสไปอย่างไม่พอใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะช่วยพี่ชายตัวเอง แต่เพราะรู้สึกหมั่นไส้อีกฝ่ายที่ได้ทุกอย่างตามที่เขาต้องการทั้งหมด

             “ซีมัส…” ดาวิสหยุดหันกลับมาเอ่ยกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง

             “ข้าก็ไม่รู้จะเสียเวลาฝึกสอนเจ้ามาขนาดนี้ทำไม ถ้าจะทิ้งให้เจ้าทำตัวไร้ประโยชน์อยู่ในป่าในดงแบบนี้  รึเจ้าไม่ได้คิดอย่างที่ข้าคิด ข้ารู้ว่าเจ้าโตพอจะแยกแยะได้นะ”







   ซีมัสไม่เข้าใจคำว่าเตรียมคนไว้เล่นด้วยของดาวิสเลยสักนิด เขาไม่เห็นว่าดาวิสจะต้องเตรียมอะไรเลย แค่เขาโผล่เข้ามาในร่างกึ่งภูติก็สร้างความโกลาหลได้มากพอแล้ว หน้าตาแตกตื่นตกใจของทหารที่เฝ้าบริเวณที่ว่าการฯทุกคนไม่ได้เสแสร้ง ทุกคนมองเขาเป็นปีศาจที่อันตรายตัวหนึ่งอย่างไม่มีข้อกังขา

   แววตาหลายต่อหลายคู่ที่มองเขามาด้วยความหวาดกลัวและความแค้นเคือง ยิ่งตอกย้ำการไม่มีจุดยืนในพื้นที่ของมนุษย์ของตัวเองอย่างชัดเจน ซีมัสรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นทุกขณะที่ได้เห็นทุกคู่สายตาที่มองปีศาจอย่างเขา

             ทุกคนที่เข้ามา มีหน้าทีกำจัดเขาก่อนที่จะเขาไปถึงที่ว่าการฯได้สำเร็จ แต่ไม่มีใครเอะใจเลยสักนิด ว่าเขาไม่ได้เริ่มทำร้ายใครก่อนเลยถ้าไม่จำเป็น และถึงจำเป็นก็ไม่ได้สร้างความบาดเจ็บที่ร้ายแรงเลยสักนิด

             ทั้งความน้อยใจความโกรธแค้น ถาโถมเข้ามาจุกอยู่ในอกของเด็กหนุ่มที่ไม่มีใครต้อนรับ ทันทีที่เดินเข้ามาถึงห้องโถงกลางของที่ว่าการฯ ซีมัสก็ตะโกนเรียกชื่อของผู้ที่เป็นต้นเหตุของทุกอย่างที่เขาต้องเจอวันนี้อย่างอัดอั้น

              “ลีนัส!!” เสียงกังวาลสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ การที่ได้ตะโกนออกมาแบบนี้สักครั้งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย

              “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ เจ้ามีธุระอะไรกับท่านเจ้าเมือง ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ” ซีมัสหันกลับไปมองที่ต้นเสียง เห็นเด็กหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งพยายามตะเบ็งเสียงดังทำตัวให้ดูน่ากลัว ภาพที่เขาเห็นเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆที่เห่าเสียงดังแต่หางลู่จุกตูดอยู่ตัวหนึ่ง

               “ลุคซ์ ถอยไป” เสียงลีนัสตะโกนบอกมาจากชั้นบนทำให้ซีมัสรู้ว่าเด็กคนนี้คือการ์เดี้ยนคนใหม่ที่ถูกพูดถึงนั่นเอง

               “....เจ้านี่เอง” ซีมัสพิจารณาเด็กหนุ่มที่ดูหน่วยก้านไม่ได้เหมาะสมกับการเป็นทหารสักเท่าไหร่นัก พอคิดว่าตำแหน่งที่มันควรจะเป็นของเขา โดนเด็กไม่เอาไหนคนนี้แย่งไปแล้วแค้นใจนัก หนำซ้ำลีนัสยังจะมาทำตัวเป็นห่วงเป็นใยปกป้องการ์เดี้ยนตัวเองอีก ด้วยความโกรธแค้นจึงอยากจะสั่งสอนเด็กใหม่ให้รู้จักรุ่นพี่เสียบ้าง จึงเรียกเพลิงสีน้ำเงินออกมาล้อมรอบตัวเด็กหนุ่ม ไม่นานนักความร้อนระอุก็ทำให้เด็กหนุ่มหมดสติไป

               “อ่อนแอเป็นบ้าเลย” ซีมัสพึมพำออกมาเบาๆ ยิ่งคิดถึงสิ่งคำพูดของดาวิสที่ว่าเขาทำตัวเป็นเด็กไม่ยอมโต แล้วมาเจอการ์เดี้ยนที่ดูไม่ประสีประสาคนนี้มาแทนที่เขายิ่งรู้สึกหงุดหงิดหนัก

               “หยุดเดี๋ยวนี้นะซีมัส!!” เสียงลีนัสตะโกนลงมาเขาจึงยอมลดความแรงของเวทย์ลง ยังไงเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใครอยู่แล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นมองข้างบนก็พบกับใบหน้าของคนที่เขาอยากจะเจอมากที่สุด แต่ก็กลัวที่จะเจอมากที่สุดเช่นกัน

               “ดูสุขสบายดีนะท่านเจ้าเมือง” ซีมัสเอ่ยประชดประชันออกมา หลังจากที่ต้องฟันฝ่าทหารที่ปกป้องลีนัสที่แสนจะเกลียดชังเขาหลายสิบคนเข้ามา

              “สามปีสองเดือน ยี่สิบเอ็ดวันที่เจ้าหนีหายไป……...นี่คือคำพูดของน้องที่เอ่ยทักพี่ชายน่ะหรือ ซีมัส” น้ำเสียงที่น้อยอกน้อยใจของพี่ชายทำให้ซีมัสหวั่นใจอยู่ไม่น้อย แต่เขายังมีเรื่องที่อยากจะกล่าวโทษลีนัสอยู่ ที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้

               “ถ้าพี่ชายที่โยนความขี้ขลาดให้น้องชายเพื่อจะได้ขึ้นตำแหน่งเจ้าเมืองอย่างราบรื่น ข้าไม่อยากจะนับเป็นพี่ชายหรอก”

              “..ซีมัส ข้าไม่ได้ต้องการให้มันลงเอยแบบนั้น แต่เจ้าจะเอาคนอื่นเข้ามาแบบนี้มันก็ไม่ถูกต้อง หยุดเถอะซีมัส” ซีมัสเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันลงเอยแบบนี้เหมือนกัน แต่ทุกคู่สายตาของเหล่าทหารที่นอนบาดเจ็บอยู่รอบๆมองมาด้วยความหวาดกลัวนั้น ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้สวมบทตัวร้ายไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ จึงได้ตัดสินใจเอ่ยอะไรบางอย่างออกมาหวังจะวัดใจผู้เป็นพี่

               “อยากให้ข้าหยุดก็ฆ่าข้าเถอะ”

                “เจ้าว่าไงนะ…” เห็นใบหน้าที่ถอดสีของพี่ชายทำให้ซีมัสรู้สึกอุ่นใจขึ้นมานิดๆ และรู้สึกอยากจะเรียกร้องทำตัวเอาแต่ใจเพิ่มมากขึ้นอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่

               “ท่านริดรอนจุดยืนของข้าไปหมดแบบนี้ สู้ฆ่าข้าเสียยังจะดีกว่า ชีวิตของข้าอยู่ใต้ความรับผิดชอบของท่าน ฉะนั้นข้าจะอนุญาติให้ท่านเป็นคนลงมือคนเดียวเท่านั้น” ถึงจะเป็นเพียงอารมณ์ที่ต้องการเรียกร้องความสนใจ หากคนๆเดียวที่ยังเปิดพื้นที่ยอมรับในตัวเขาอยู่ตัดสินใจลงมือฆ่าเขาขึ้นมาจริงๆ ซีมัสก็คิดว่าสมควรที่เขาจะจากโลกนี้ไปจริงๆอย่างที่ขู่เอาไว้

                “ซีมัส...นี่เจ้า..” ท่าทางอึดอัดลังเลใจของลีนัสทำให้ผู้เป็นน้องตัดสินใจบีบครั้นด้วยการร่ายเปลวเพลิงให้แรงขึ้น

                 “ไม่งั้นข้าจะฆ่าการ์เดี้ยนที่ไม่ได้ความของท่านก่อน”
 
                “ซีมัส หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ลีนัสรีบกางเวทย์ป้องกันการ์เดี้ยนหนุ่มที่ไม่ได้เรื่องตรงหน้า

               “ข้าบอกให้ฆ่าข้าไงล่ะ ท่านพี่” ซีมัสที่ถูกอารมณ์ทั้งโกรธทั้งน้อยใจพัดพาตอนนี้ รู้สึกไม่อยากจะยอมแพ้ง่ายๆจึงตะโกนกลับไปให้ลีนัสเลือกอีกครั้ง


              “เจ้าจะให้ข้าทำแบบนั้นได้อย่างไร ถ้าเจ้าจะบังคับข้าแบบนี้…เจ้าก็ฆ่าข้าเสียเถอะ” ซีมัสไม่คิดว่าความงี่เง่าของตัวเองจะลงเอยด้วยการที่เห็นร่างของคนรักร่วงลงมาจากชั้นบน

             “ลีนัส!!!” ดาวิสรีบวิ่งเข้าไปเพื่อจะคว้าร่างที่กระโดดลงไปโดยไม่บอกไม่กล่าว แต่ก็คว้าเอาไว้ไม่ทัน ร่างบางทิ้งดิ่งลงมากลางเปลวเพลิงสีน้ำเงินเบื้องล่าง แต่พลันเปลวเพลิงก็ดับวูบหายไปจนหมดสิ้น ซีมัสที่ยืนอยู่บนบันไดรีบถลาตัวเข้ามารับร่างที่ทิ้งดิ่งลงมาทันที

   เมื่อมือแกร่งคว้าร่างที่ร่วงลงมาไว้ได้ ซีมัสก็รีบดึงร่างบางเข้ามากอดไว้แน่น เอาท่อนแขนตัวเองบังศีรษะอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะล้มลงเอาไหล่ตัวเองลงกระแทกกับพื้น

   “อ่า….” ร่างหนากัดฟันคำรามเสียงต่ำออกมาเบาๆเพราะรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวไหล่ แต่พอรู้สึกว่าร่างที่เขากอดเอาไว้นั้นยังอนอนนิ่งอยู่ เขาก็รีบคลายมือออกแล้วยันร่างลุกขึ้นนั่ง

   “ท่านพี่...” ซีมัสเรียกผู้ที่นอนหมดสติอยู่เบาๆน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความกังวลใจ รอยสักตามร่างของเจ้าตัวค่อยๆจางหาย สีผิวกลับมาเป็นสีปกติ เขายาวกลางหน้าผากก็สลายหายไป กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มร่างหนาธรรมดาคนหนึ่ง

เสียงฝีเท้าของทั้งดาวิสและองค์ชายเฟริครีบวิ่งลงบันไดมาหาด้วยสีหน้าตื่นๆ ดาวิสเห็นร่างบางที่นอนแน่นิ่งที่พื้นก็แทบจะลืมหายใจไปในทันที

              อยู่ๆร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นก็ค่อยลุกขึ้นมานั่ง แววตาสีเพลิงจ้องเขม็งไปยังหน้าของน้องชายอย่างโกรธเคือง แล้วยกมือขึ้นมาตบหน้าของน้องชายตัวเองอย่างแรง เสียงตบดังก้องไปทั้งโถงกว้างที่เงียบกริบอยู่ ณ ตอนนี้

              “ถ้าจะให้ข้ารับผิดชอบชีวิตเจ้าน่ะ ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้าตายเจ้าห้ามตาย เข้าใจไหม!!” ลีนัสตวาดใส่น้องชายอย่างโมโหจนใบหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า

             “...ท่านพี่” ซีมัสรู้สึกเหมือนสติของตนได้กลับมาอย่างสมบูรณ์ หลังจากเสียงตบหน้าที่ดังสนั่นโถงเมื่อครู่

             “คำตอบล่ะ!!”

             “เข้าใจ..ขอรับ” ซีมัสที่ไม่เคยเห็นพี่ชายตัวเองโกรธขนาดนี้มาก่อน ถึงกับทำตัวไม่ถูก ตอบกลับมาอย่างไม่มั่นใจนัก ไม่ได้มีแต่ซีมัสคนเดียวที่ประหลาดใจกับเจ้าเมืองหนุ่มผู้อ่อนโยนแสนใจดี ที่ตอนนี้เปลี่ยนไปราวคนละคน ทั้งดาวิสและเรเชลเองก็ยืนตะลึงงันอยู่ไม่แพ้กัน

               ท่าทางที่ตอบรับอย่างว่าง่ายของน้องชายทำให้ลีนัสอารมณ์เย็นลง ร่างบางๆที่สั่นเทิ้มจากการหายใจหนักๆด้วยความโกรธเคืองค่อยๆนิ่งสงบลง เขาหลับตาลงหายใจเข้าออกลึกๆช้าๆสองสามทีก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆอีกครั้ง

              “เอาแขนมาดูสิ” หลังจากปรับอารมณ์ตัวเองกลับมาได้ ลีนัสก็ดึงแขนของน้องชายเข้ามาดูไหล่ข้างที่ลงไปกระแทกกับพื้นเมื่อครู่ มือเรียวลูบผ่านรอยช้ำเบาๆเพื่อรักษา

              “.....” ลีนัสที่กลับมาเป็นพี่ชายผู้ใจดีเหมือนปกติ ทำให้ซีมัสปรับอารมณ์ตามไม่ถูก เขายอมปล่อยให้พี่ชายรักษารอยช้ำให้อย่างเกร็งๆ

              “อย่าทำแบบนี้อีกนะ” ลีนัสกำชับขึ้นมาอีกครั้งต้องน้ำเสียงต่ำราบเรียบ เมื่อซีมัสหันไปมองที่ต้นเสียงก็เห็นสีหน้านิ่งเรียบของใบหน้าหวานที่อยู่ห่างกันเพียงคืบเดียว ทำให้หัวใจของเจ้าตัวเต้นรัวขึ้นมา จึงรีบหลบสายตากลับไป

             “...ขอรับ” ซีมัสตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

            “ท่านลีนัส…” ดาวิสที่เดินลงมาเอ่ยเรียกเจ้าตัวเบาๆ ทำให้ลีนัสปล่อยท่อนแขนหนาของน้องชายออกไปหันมองดูสภาพรอบๆแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

           “เจ้าอยู่ตรงนี้นะ” ลีนัสหันมากำชับซีมัสก่อนจะหลับตาลง วางมือทั้งสองข้างประกบกันลงบนพื้น แล้วตราเวทย์วงกลมสีเขียวก็ปรากฏขึ้นที่พื้นห้อง เส้นสีเขียวกระจายตัวออกมาจากวงเวทย์นั้นทอดยาวออกไปเหมือนเถาวัลย์ที่เลื้อยไปตามพื้นห้อง

             จุดแรกที่รอยเวทย์สีเขียวขยับไปถึงคือการ์เดี้ยนหนุ่มที่นอนสลบเหมือดอยู่ แสงสว่างสีเขียวอ่อนสว่างวาบขึ้นมารอบๆร่างของเด็กหนุ่ม แล้วเส้นสีเขียวนั้นก็เลื้อยไปต่อ ผ่านปลายเท้าขององค์ชายที่ยืนมองอยู่ความสนอกสนใจ ผ่านไปหาร่างทหารคนอื่นที่นอนเจ็บอยู่และก็มีแสงสีเขียวอ่อนสว่างวาบขึ้นมาเหมือนเดิม ไม่นานนักผู้ที่ได้รับบาดเจ็บต่างก็มีแรงลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง เฟริคเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มกริ่มออกมาอย่างถูกใจ เขารู้สึกดีใจจริงๆที่ได้มาเวลเฮมมิน่าในครั้งนี้

              “ซีมัส ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ” ลีนัสหันมากำชับน้องชายที่หนีหายไป3ปีอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทำหน้าที่เจ้าเมืองที่ได้ทำค้างไว้ต่อ

               “ขออภัยด้วยองค์ชาย ที่ทำให้ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น” ลีนัสเดินไปโน้มตัวลงขอโทษแขกผู้สูงศักดิ์ของตน

                “หากมีผู้ติดตามที่ได้รับบาดเจ็บหรือข้าวของที่เสียหายขอให้บอกข้าได้ทันทีขอรับ” ดาวิสเดินมายืนข้างๆแล้วเสนอตัวออกมา เขารู้สึกไม่ไว้วางใจที่จะปล่อยให้เฟริคเข้าใกล้ลีนัส ถึงแม้จะยังอยู่ในสายตาของเขาเองก็ตาม เฟริคเห็นเช่นนั้นก็กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

               “วันนี้ดูท่านรองจะเป็นห่วงท่านเจ้าเมืองเป็นพิเศษนะ เป็นผลจากการปรึกษางานของพวกท่านเมื่อคืนนี้รึเปล่านะ ข้าชักจะสงสัย” คำพูดแฝงนัยขององค์ชายทำให้ลีนัสหน้าแดงขึ้นมานิดๆ

               “ต้องขออภัยด้วยถ้าการปรึกษางานของข้าจะไปรบกวนการพักผ่อนของท่าน” ดาวิสยิ้มมุมปากเอ่ยตอบกลับไปอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมองว่าอย่างไร

              “ข้าก็แค่บังเอิญเห็นว่าท่านเจ้าเมืองออกมาจากห้องท่านเมื่อเช้าเท่านั้นเอง ห้องข้าห่างไปตั้งสองห้องจะไปรบกวนได้ยังไงกัน พวกท่านปรึกษากันเสียงดังขนาดนั้นเลยเหรอ” คำตอบของเฟริคทำให้ซีมัสที่ยืนอยู่เบื้องหลังชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ส่วนเรเชลที่เข้ามาดูแลคนเจ็บตรงนั้นก็ต้องหันมามองที่วงสนทนาด้วยความสงสัย

               ลีนัสรู้สึกว่าเฟริคเพียงแค่แกล้งเดาถามไปกว้างๆ แต่เจอคนขี้อวดอย่างดาวิสเข้าไป ยิ่งถูกพาไปตามที่เฟริคต้องการ มือเรียวกระตุกชายแขนเสื้อดาวิสเพื่อรั้งเอาไว้เบาๆ

             “ท่านเฟริค ถ้าไม่มีปัญหาอะไร…” ลีนัสเอ่ยตัดบทขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยจบดี เฟริคก็เอ่ยแทรกกลับขึ้นมาเสียก่อน

             “ว่าแต่นั่นคือลูกครึ่งภูติที่ชาวบ้านพูดถึงกันนะเหรอ” สีหน้าของเจ้าที่แสนใจดีก็ดูเย็นชาขึ้นมาทันที

              “ท่านพูดเรื่องอะไรขอรับ”

              “ข้าบังเอิญได้ยินเข้าน่ะ ว่าท่านเจ้าเมืองเลี้ยงเอาไว้ ไม่คิดว่าจะเลี้ยงไว้ได้เชื่องขนาดนี้เลยจริงๆ” เฟริคแสร้งทำเป็นไม่สนใจทีท่าที่ไม่ต้องการจะพูดถึงของลีนัส ทางด้านซีมัสที่ถูกกล่าวถึงก็เดินก้าวเท้าเข้ามาหาเฟริค ยืนหรี่ตามองสบตากลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ในระยะประชิด

              “ท่านพี่ ถ้าแขกของท่านไม่ยอมกลับไปดีๆ จะให้ข้าฝั่งไว้ที่นี่ไหมขอรับ” ซีมัสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตายังไม่ยอมละออกไปจากเฟริค ทว่าอีกฝ่ายกลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

               “ฮะๆ ข้าเชื่อแล้วว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆ ขู่เก่งเหมือนกันทั้งคู่” ท่าทางดูไม่ทุกข์ร้อนของเฟริคทำให้ซีมัสรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม ลีนัสจึงต้องจับต้นแขนของน้องชายเอาไว้ เพื่อเตือนว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามออกไป

               “ขออภัยที่น้องชายของข้าเสียมารยาท ยังไงขอให้ท่านเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพขอรับ” ลีนัสพยายามจะตัดบทสนทนาให้จบลงอีกครั้ง พร้อมยื่นมือออกไปจะจับมือของเฟริคเพื่อร่ำลา แต่เมื่อเฟริคยื่นมือจะจับกลับไป ดาวิสก็เข้ามาขวางเสียก่อน

               “ขอให้เดินทางปลอดภัยขอรับองค์ชาย” ดาวิสเอ่ยร่ำลาด้วยสีหน้าปกติ เหมือนไม่ได้ทำอะไรผิดปกติออกไป

                “ช่างระมัดระวังเหลือเกินนะท่านรอง” เฟริคเอ่ยประชดประชันหน้าเป็นกลับไป แล้วหันไปทางซีมัสที่ทำหน้าเหมือนพร้อมจะเอาเรื่องเขาได้ทุกเมื่อ แต่เฟริคกลับคลี่ยิ้มยียวนกวนประสาทกลับไปได้อย่างไม่สะทกสะท้านอะไร

                “เจ้าคือซีมัสสินะ ไหนๆก็ไหนๆ ยินดีที่ได้รู้จัก สนใจจะไปทำงานที่บริงไฮด์กับข้าไหม ข้ายินดีจ้างเจ้าในราคาสูงทีเดียว” เฟริคยื่นมือไปทำความรู้จักซีมัสพร้อมยื่นข้อเสนอออกมาหน้าตาเฉย

               “ท่านเฟริค ข้าไม่อนุญาตให้น้องชายข้าไปไหนทั้งสิ้น เชิญกลับไปได้แล้วขอรับ” ลีนัสเดินเข้ามาขวางพร้อมยกมือผลักมือของเฟริคกลับออกไป จังหวะนั้นเองที่เฟริคกระตุกยิ้มขึ้นมาพร้อมคว้าข้อมือบางของลีนัสเข้าหาตัว ร่างบางถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเฟริคทันที พลันมืออีกข้างที่ว่างอยู่ของเฟริคก็หยิบเข็มฉีดยาเล็กๆที่เหน็บแอบไว้ที่เอวขึ้นมา ปักปลายเข็มลงที่คอของลีนัสอย่างรวดเร็ว

              “ข้าถามใหม่อีกทีแล้วกันซีมัส เจ้าจะไปทำงานกับข้า แลกกับยาแก้พิษให้พี่ชายเจ้าไหม” เฟริคก้าวถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว ปล่อยให้ร่างเล็กๆของเจ้าเมืองทรุดร่วงลงไปนั่งกับพื้นทันที ดาวิสก็รีบเข้าไปรับร่างอันปวกเปียกนั้นทันที

               “ทำอะไรของเจ้าน่ะ!?” ซีมัสนั้นพุ่งตัวเข้าไปจับตัวเฟริคไว้ทันที พร้อมทั้งชักดาบของอีกฝ่ายขึ้นมาจ่อที่คอ บรรดาผู้ติดตามองค์ชายต่างก็กรูกันเข้ามาล้อมรอบซีมัสในทันที เช่นเดียวกันกับทหารที่ดูแลที่ว่าการฯ หลังจากที่ได้รับการรักษาและเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็รีบลุกขึ้นยืนตั้งท่าเตรียมรับมือกับความอลม่านที่กำลังจะเกิดขึ้น เฟริคกลับยกมือขึ้นห้ามทหารฝ่ายตัวเองเอาไว้อย่างใจเย็น

               “ลีนัส…..” ดาวิสที่ประครองศีรษะของคนรักเอาไว้อย่างระมัดระวัง มือหนากุมมืออันเย็นเฉียบของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ก้มมองดูใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความทรมานจากพิษร้ายเมื่อครู่ด้วยความเจ็บปวดใจ

              “...ท่านดาวิส...ข้าขอโทษ..” ลีนัสพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดที่กระจายวงกว้างจากต้นคอไปทั้งร่าง ทั้งๆที่เมื่อครู่ดาวิสพยายามปกป้องเขาขนาดนั้น เขากลับโดนเฟริคหลอกล่อเอาเสียง่ายๆเช่นนั้น

              “… ไม่เป็นไรลีนัส เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด” ดาวิสลูบผิวแก้มอันเย็นเฉียบของลีนัสเบาๆ หวังอยากจะแบ่งเบาความเจ็บปวดมาจากอีกฝ่ายบ้าง

             “ท่านลีนัส!!” เรเชลรีบวิ่งเข้ามาหาลีนัสเพื่อจะดูอาการ แต่อยู่ๆก็มีภูติในชุดเกราะร่างสูงใหญ่กระโดดลงมาขวางไว้

              “เรเชลอย่าเข้ามา เจ้าแก้พิษจากศาสตร์มืดของพ่อมดไม่ได้…” ลีนัสแค่นเสียงเอ่ยห้ามผู้ช่วยสาวของตนเอาไว้

              “โฮ่ ขนาดนี้ยังเรียกภูติออกมาได้อีก ไม่ธรรมดาจริงๆท่านเจ้าเมือง” เฟริคเอ่ยชมลีนัสอย่างไม่สนใจว่ามีคมดาบของตัวเองจ่ออยู่ที่คอ

               “เอายาแก้พิษออกมาเดี๋ยวนี้!!” ซีมัสตวาดออกคำสั่งใส่แขกผู้สูงส่งอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร

              “โทษที ข้าไม่ได้พกมาด้วย แน่นอนว่าข้าก็ยินดีจะรักษาให้ทันทีที่ท่านเจ้าเมืองเดินทางถึงบริงไฮด์ แต่ระหว่างนี้ ข้ามีแค่ยานอนหลับเท่านั้น” เฟริคหยิบเข็มฉีดยาอีกกระบอกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

              “เจ้ายังจะให้ข้าฉีดยาบ้าๆนั่นใส่ท่านพี่อีกหรือ!!” ซีมัสกัดฟันแน่นอย่างโกรธแค้น มือขยับคมดาบเข้ามาใกล้คอของเฟริค จนคมดาบบาดผิวคออีกฝ่ายเป็นรอยบางๆ

               “ว่าไงท่านรองเจ้าเมือง ข้าไม่ได้อยากจะให้อาวุธสงครามของข้าตายไปอย่างนั้นหรอกนะ ท่านก็น่าจะรู้ดี” เฟริคเหลือบสายตาลงมาถามดาวิสที่นั่งประครองลีนัสอยู่กับพื้น เมื่อดาวิสเงยหน้าขึ้นสบตาเฟริคก็สะบัดข้อมือโยนเข็มฉีดยากระบอกเล็กในมือลงมาให้ มือหนายกขึ้นมารับไว้ในทันที

              “ข้าสัญญาว่าจะตามไปรับเจ้ากลับมานะลีนัส” ดาวิสกระซิบบอกร่างที่นอนพิงตัวเองอยู่ก่อนจะดึงฝาเข็มฉีดยานั้นออกมาแล้วปักเข็มลงไปที่ต้นคอของลีนัส







............ทำไมต้องเกินด้วยนะ จะเอาให้ครบฉากซะหน่อยก็ไม่ได้  :ling1:

           

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act:8 Weakness 2/3) 24 Dec.2015
«ตอบ #27 เมื่อ24-12-2015 15:28:51 »

   8. Weakness (2/3)


         

            มือเย็นๆที่จับมือหนาเอาไว้แน่นเมื่อครู่ค่อยๆผ่อนแรงลง แล้วปล่อยมือตกลงไปกองกับพื้น คิ้วที่ขมวดแน่นก็คลายออกแล้วหนังตาก็ค่อยๆปิดลง ร่างที่ขยับไหวจากการหายใจหอบก็นิ่งสงบไป ระดับการหายใจก็กลับเป็นปกติอีกครั้ง ดาวิสเห็นเช่นนั้นก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก

              “ยานี้ช่วยให้อยู่ในสภาพนี้ได้แค่ครึ่งวัน ถ้ายังไม่ปล่อยข้ากลับไปบริงไฮด์ตอนนี้ ข้าไม่รับประกันชีวิตของท่านเจ้าเมืองหรอกนะ” เฟริคอธิบายน้ำเสียงสบายใจ

               “เจ้าคิดจะจะหลอกอะไรข้าอีก!!” ซีมัสยังคงถือดาบจ่อคออีกฝ่ายไว้มั่น ทำให้เฟริคกรอกตามองขึ้นข้างบนด้วยความเหนื่อยระอา

              “ให้ตายเหอะ ข้าหลอกอะไรเจ้าบ้างรึยัง นี่ข้ายังไม่ได้พูดโกหกเลยสักอย่างนะ ไม่ว่าจะเป็นจุดประสงค์หลักของข้า ฤทธิ์ยา เรื่องที่ข้าจะจ้างเจ้าข้าก็พูดจริง แค่ไม่เข้าหูเจ้าเท่านั้นเอง”

             “......” ซีมัสนิ่งคิดไปพลางหันไปสบตามองที่ดาวิสครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด เด็กหนุ่มยอมคลายคมดาบออกจากต้นคอองค์ชายแล้วเสียบคืนกลับเข้าฝักไปอย่างรวดเร็ว

             “ก็แค่ไปบริงไฮด์ใช่ไหม รีบไปจะได้รีบกลับ” ซีมัสบ่นอย่างหงุดหงิดพลางเดินไปอุ้มลีนัสที่นอนนิ่งขึ้นมาจากดาวิส

             “ดี ข้าชอบคนเข้าใจอะไรง่ายๆ คาวิว พาแขกไปที่รถสิ” เฟริคออกคำสั่ง บรรดาผู้ติดตามต่างก็เก็บอาวุธตัวเองกลับลงไป ในขณะที่ทหารของเวลเฮมมิน่ายังคงยืนเตรียมพร้อมรอรับคำสั่งจากดาวิสอยู่

              “ข้าสัญญาว่าจะใช้งานอย่างทนุถนอมนะท่านรอง เรียบร้อยแล้วจะพามาคืนอย่างแน่นอน” เฟริคตั้งใจเอ่ยอย่างมีนัยยั่วให้อีกฝ่ายโกรธก่อนจะเดินหายตามซีมัสที่อุ้มลีนัสจากออกไป

               “ท่านดาวิส ?” ลุกซ์ที่ตอนนี้ฟื้นกลับขึ้นมาได้สักพักแล้ว หันมาเอ่ยถามหัวหน้าตัวเองอีกครั้งด้วยความข้องใจ ดาวิสไม่คาดคิดเลยจริงๆว่าเขาจะกลายเป็นคนที่อนุญาตให้เฟริคพาลีนัสไปที่บริงไฮด์เสียเอง









              เฟริคที่นั่งเอินร่างพิงหน้าต่างรถม้าที่กำลังเคลื่อนไปตามทาง ทอดสายตามองไปยังแขกคนพิเศษของเขาทั้งสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม โดยซีมัสนั่งชิดริมหน้าต่างวางศีรษะของพี่ชายนอนหนุนที่ตักตัวเอง แววตาสีฟ้าใสทอดมองใบหน้าหวานที่นอนหลับอย่างสงบนิ่ง เฝ้ามองกระบังลมที่ขยับน้อยๆจากการหายใจอย่างเป็นปกติไม่ยอมละสายตาออกมา

              “เจ้านี่ ท่าจะรักพี่ชายเจ้าน่าดู” เมื่อถูกเอ่ยทักขึ้นมา ซีมัสก็เงยหน้าขึ้นมองผู้พูดด้วยแววตาที่ไม่สบอารมณ์ แล้วก็เบือนหน้ามองออกไปที่นอกหน้าต่างแทน

             “ถ้ารักกันขนาดนี้แล้วจะหนีหายออกไปทำไมตั้งสามปีกว่า” เฟริคยิงคำถามต่อไป แต่ซีมัสยังคงนิ่งอยู่เหมือนไม่ได้ฟัง

              “ให้ข้าเดาเจ้าคงจะรับความสัมพันธ์ของพี่ชายเจ้ากับรองเจ้าเมืองไม่ได้สินะ” เจอคำถามนี้เข้าไปทำให้หัวคิ้วของซีมัสขยับเข้าหากัน แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบที่เฟริคต้องการ

               “ไหนๆเจ้าก็จะทำงานให้ข้าแล้วจะไม่ทำความรู้จักกันเสียหน่อยเหรอ” เฟริคยังไม่ละความพยายามที่จะเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่าย ซีมัสเริ่มทนไม่ไหวก็ถอนหายใจออกมา

              “ข้อแรกข้าไม่ทำงานให้เจ้า ทันทีที่เจ้าถอนพิษพี่ชายข้า ข้าก็จะพากลับ ข้อที่สอง ข้ารู้จักท่านดีพอแล้ว จากคำนินทาของผู้ติดตามของเจ้าจากรถคันข้างหน้า เจ้าชายแกะดำสินะ คิดว่าการเอาชนะกรีฟิทจะทำให้ชื่อแกะดำนั้นหายไปได้น่ะเหรอ” คำตอบของซีมัสสร้างความประหลาดใจให้กับเฟริคเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้แปลกใจถ้าผู้ติดตามของเขาจะพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะได้ยินทุกอย่าง พอได้รู้ความสามารถนี้ของซีมัสเฟริคก็ยิ้มกริ่มที่มุมปากขึ้นมา

              “ในที่สุดก็ยอมปริปาก ไม่ธรรมดาจริงๆ งั้นข้าบอกเป็นข้อบ้างนะ ข้อแรก ถ้าเจ้าไม่ต้องคิดเลยว่าข้าจะยอมปล่อยพวกเจ้ากลับไปง่ายๆตราบใดที่ยังทำงานให้ข้าไม่เสร็จ ข้อที่สองข้าไม่ได้ต้องการจะลบชื่อแกะดำของข้าออก ข้าจะเป็นแกะดำที่ทุกคนต้องจดจำต่างหาก ว่าแต่เจ้าเถอะ พยายามจะลบภาพลักษณ์การเป็นปีศาจของเจ้าออกไปอยู่รึเปล่าล่ะ” เฟริคถามกลับไปโดยที่ไม่ละสายตาออกจากคู่สนทนาแม้แต่น้อย ตอนนี้เขาสามารถดึงความสนใจของซีมัสมาได้สำเร็จแล้ว

               “ข้าว่าเรามีอะไรที่เหมือนกันนะซีมัส ไม่ค่อยเป็นที่ต้องการของสังคมเท่าไหร่ เราน่าจะเข้ากันได้ดีนะ”

               “อย่าเอาข้าไปเทียบกับคนอย่างเจ้า ข้าไม่มีวันทำเรื่องต่ำๆแบบนี้เหมือนเจ้าเป็นอันขาด” ซีมัสสบตามองเฟริคกลับไปด้วยความเกลียดชัง

               “....เจ้าพูดแบบนี้ข้าก็เจ็บเป็นเหมือนกันนะ” เฟริคยกมือขึ้นกุมอกแกล้งทำสีหน้าเจ็บปวด แล้วพูดติดตลกกลับมา ยียวนทำให้ซีมัสรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ถ้าไม่ติดปัญหาอะไรเขาอยากจะเผาคนตรงหน้านี้ให้แหลกสลายไปเสียเดี๋ยวนี้







                 เมื่อเดินทางเข้าสู่เขตราชวังของเมืองบริงไฮด์อันยิ่งใหญ่ ซีมัสก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่เคยเห็นสถาปัตยกรรมที่ไหนที่สร้างออกมาได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้มาก่อน ไม่เคยเห็นเมืองใหญ่ๆและจำนวนประชากรที่มากมายขนาดนี้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาชื่นชมเรื่องพรรค์นี้ ซีมัสพยายามจะเก็บอาการของตนเอาไว้ อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้เฟริคเอามาเป็นหัวข้อเอ่ยแซวให้เสียอารมณ์

                 “เจ้าไม่เคยเข้ามาบริงไฮด์สินะ” ยังไม่ทันไรเฟริคก็ดึงหัวข้อสนทนานี้ขึ้นมาทันที ทำให้ซีมัสต้องถอนหายใจออกมา

                   “เจ้าจะถามทำไม ข้าไม่มีธุระอะไรข้างนอกเวลเฮมมิน่าหรอกนะ” ซีมัสตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด

                  “จะว่าไป…” เฟริคว่าพลางลุกขึ้นเปิดช่องเก็บของในรถม้าออกมา รื้อหาเสื้อออกมาจากกล่องตัวนึงโยนส่งให้ซีมัส

                 “ช่วยใส่อะไรบ้างจะได้ไหม เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าข้าจับคนบ้านป่าเมืองเถื่อนเข้าวัง”

               “.....” ซีมัสมองเสื้อในมือเหมือนไม่อยากจะใส่ เขาไม่ได้มีปัญหากับการใส่เสื้อ เพียงแค่ไม่อยากจะทำตามคำสั่งของเฟริคเท่านั้น

             “เจ้าอย่าทำให้ข้าพาเจ้าเข้าวังยากนักจะได้ไหม จะได้รีบๆรักษาพี่เจ้า” เฟริคทอดสายตาลงไปมองลีนัสที่นอนหลับอยู่บนตักของซีมัส ทำให้เด็กหนุ่มต้องยอมทำตามแต่โดยดี

              “ก็แค่นั้น” เฟริคยักไหล่มองดูซีมัสที่ยอมทำตามอย่างภาคภูมิใจ เป็นจังหวะที่รถม้ามาจอดเทียบหน้าราชวังพอดี เฟริคก็เปิดประตูลงมา แล้วเดินนำซีมัสที่อุ้มร่างอ่อนปวกเปียกของพี่ชายตามลงมา

              “อ้าว ไงเฟริค กลับมาแล้วเหรอ” ระหว่างทางที่ยังไม่ทันได้ไปไหนไกล เฟริคก็ถูกเอ่ยทักขึ้นมาเสียก่อน คนที่เดินสวนมาเป็นชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวผมสีทองเหยียดตรงยาวประบ่า ในชุดสีขาวที่ตัดเย็บอย่างปราณีตปักฉะลุสวยงาม

              “...ท่านพี่วินเฟรด..” เฟริคปั้นหน้ายิ้มเอ่ยกลับไป

            “ได้ข่าวว่าไปเมืองเทพนิยายมาเอาอะไรกลับมาล่ะ” ผู้เป็นพี่คลี่ยิ้มกว้างถามพลางหันไปมองเด็กหนุ่มผมทองผมยาวยุ่งเหยิงลงมาถึงเข่า ที่อุ้มชายหนุ่มร่างบางที่นอนหลับไม่รู้เรื่องใว้ในอ้อมแขนแกร่ง

              “.....” เฟริคถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย

             “ฮานเซลกับเกรเทลเหรอ หรือเจ้าหญิงนิทรา” องค์ชายคนพี่หันมาถามน้องชายต่างมารดาอย่างติดตลก

             “เฮ้ อะไรนะ เฟริคเอาฮานเซลกับเกรเทลกลับมางั้นเหรอ” เสียงร้องทักขององค์ชายอีกคนแว่วดังลงมาจากทางเดินอีกฝั่งหนึ่ง

            “นี่เจ้าอย่าบอกนะว่าจะเอามารบกับกรีฟิท อย่าทำให้กองทัพข้าขำจนหมดแรงดีกว่าน่า”

             “....ข้ามีธุระที่ต้องจัดการ ข้าขอตัวก่อน ไว้ข้าจะเล่านิทานก่อนนอนให้พวกท่านฟังทีหลังนะขอรับ” เฟริคเอ่ยขอตัวก่อนที่จะมีองค์ชายน่ารำคาญมารวมตัวกันมากกว่านี้

              “เจ้าก็ช่างพูดนะเฟริค เจ้าน่าจะดีใจที่ข้าใส่ใจเป็นห่วงน้องชายของข้านะ” วินเฟริดยกมือขึ้นจับไหล่เฟริคไว้

               “ถ้าใส่ใจก็ช่วยหลีกทางไปได้ไหม คนกำลังรีบ” ซีมัสที่ยืนรออยู่ได้พักหนึ่งเริ่มจะทนไม่ได้ เรียกเพลิงสีน้ำเงินออกมาขู่

               “ว้าก!!” วินเฟรดรีบสบัดมือและถอยหลังหลบเปลวเพลิงหน้าตาประหลาดด้วยความตกใจ เมื่อหันไปมองที่ต้นเสียงก็ยิ่งตกใจเข้าไปอีก เมื่อเห็นซีมัสในร่างภูตผิวสีแดงส้มยืนอยู่

                เฟริคเห็นใบหน้าแสดงความตกอกตกใจของพี่ชายตนเองเช่นนั้นก็ขำออกมา ก่อนจะหันไปยิ้มขอบคุณซีมัส แต่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสนุกด้วยสักนิด

                 “ข้าเมื่อยแล้ว อย่ามัวแต่ชักช้าได้ไหม เอายาแก้พิษมาเร็วๆเข้า” ซีมัสชักสีหน้ารำคาญใจกลับมา

                 “รับทราบขอรับท่านซีมัส” เฟริคแกล้งรับบทเป็นผู้ตามอย่างนึกสนุกขึ้นมา ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเล่นด้วยเลยสักนิด

เฟริคเดินนำซีมัสเข้ามาถึงห้องพักอันโอ่อ่าของตน เขาเดินนำเข้ามายืนที่ข้างเตียงหลังใหญ่แล้วผายมือเชิญให้ซีมัสวางลีนัสลง

             “...ยาแก้พิษอยู่ไหน” ซีมัสที่ยืนอุ้มลีนัสไว้ ไม่มีทีท่าว่าจะยอมวางพี่ชายตัวเองลงบนเตียงนอนของคนอื่น โดยเฉพาะเตียงของคนที่ไม่น่าไว้ใจมากที่สุดอย่างเฟริค

                “เมื่อครู่เห็นบ่นว่าเมื่อยอยู่ไม่ใช่เหรอ” เฟริคยกมือขึ้นกอดอกยักไหล่ปลายตาไปมองที่เตียง ซีมัสหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ แต่แล้วก็ตัดสินใจบรรจงวางร่างของลีนัสลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง

                “อา!!” ซีมัสคำรามเสียงต่ำออกมาเมื่อสัมผัสถึงปลายเข็มเล็กๆที่แทงลงมาที่ต้นคอของตน ขณะที่วางร่างของลีนัสลงบนเตียง เมื่อหันกลับไปมองที่เฟริคก็เห็นว่าเขากำลังหยิบเข็มที่เพิ่งฝังลงไปที่ต้นคอของซีมัสขึ้นมา ตรวจดูว่ายานอนหลับของเขาฉีดออกไปจนหมดครบทั้งหลอด

                “เจ้า!!” ฝ่ามือแกร่งวางลีนัสลงแล้วก็ไปกุมคอหนาของเฟริคไว้ทันที

               “!!!!” แรงบีบอันมหาศาลของเด็กหนุ่มทำให้เฟริคตกใจ เขากำลังคิดว่ายานอนหลับของเขาจะทำอะไรเด็กปีศาจคนนี้ไม่ได้เสียแล้ว แต่แล้วแรงบีบนั้นก็อ่อนแรงลงแล้วคลายมือออกไปในที่สุด เด็กหนุ่มร่างหนาทรุดลงไปนอนกองกับพื้นในทันที

               เฟริคเขาคิดว่าจะพลาดท่าเสียแล้วซะอีก เขาถอนใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมยกมือขึ้นลูบคอตัวเอง อย่างรู้สึกใจหายอยู่นิดๆ แต่เมื่อหันไปมองดูชายหนุ่มที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงก็กลับมาคลี่ยิ้มอารมณ์ดีออกมาได้อีกครั้ง เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงแล้วลูบเรือนผมนุ่มของอีกฝ่ายอย่างทนุถนอม

                 “ทีนี้ก็ไม่มีใครมาขวางระหว่างเราละนะ ท่านลีนัส”







                กลิ่มหอมของน้ำหอมที่ถูกรนไฟอ่อนๆโชยมาแตะจมูก เป็นอย่างแรกที่ประสาทสัมผัสได้รับรู้ แพขนตาหนากระพริบลืมขึ้นช้าๆเห็นเป็นแสงสลัวๆสีส้ม ร่างบางขยับแขนของตัวเองลงมาเพื่อจะขยี้ตาตัวเองแต่กลับดึงแขนลงมาไม่ได้ กลับมีเสียงกระทบกันของโซ่เส้นเล็กๆแว่วมากระทบหู

              “!!!” ลีนัสสะดุ้งตื่นขึ้นมาเต็มตา เงยหน้าขึ้นมองที่ข้อมือของตัวเอง เห็นสายหนังรัดข้อมือทั้งสองข้างคล้องด้วยโซ่เกี่ยวพันไว้กับหัวเตียง ก้มกลับมาพิจารณาสภาพของตัวเองอีกทีที่ตอนนี้อยู่ในชุดนอนสีขาวบางๆตัวหนึ่ง

             “ตื่นเสียที นึกว่าต้องให้เจ้าชายจุมพิตปลุกขึ้นมาเสียแล้ว” น้ำเสียงที่คุ้นเคยแว่วดังจากมุมห้องฝั่งหนึ่ง ลีนัสหันไปเห็นชายหนุ่มผมยาวสีเทาอ่อนผิวสีค่อยๆย่างเท้าเข้ามาหาอย่างใจเย็น จึงออกแรงกระชากพันธนาการของตัวเองให้หลุด แต่โซ่เส้นบางๆไม่ยอมหลุดออกไปได้อย่างใจคิด

              “...ท่านเฟริค…จับข้าไว้แบบนี้ไม่ได้ช่วยให้ข้ายอมร่วมรบกับท่านหรอกนะ” ลีนัสขมวดคิ้วขู่อีกฝ่ายกลับไป ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะขู่ได้เลยสักนิด

               “อา..เรื่องนั้นน่ะพักเอาไว้ก่อนก็ได้ ตอนนี้ข้าขอรางวัลสำหรับความเหนื่อยยากในการพาท่านมาที่นี่ก่อนได้ไหม” เฟริคนั่งลงบนเตียงนุ่มพลางลากปลายนิ้วลงบนแก้มเนียน เรื่อยลงมาถึงริมฝีปากบาง ลีนัสพลิกหน้าหลบแต่ก็หลบไปได้นิดเดียวเพราะแขนทั้งสองข้างถูกพันธนาการให้อยู่ตรงนั้น ปลายนิ้วขยับตามมารุกรานเข้ามาข้างใน ลีนัสจึงกัดเข้าเต็มแรง เจ้าของนิ้วจึงรีบชักมือกลับมาสะบัดเบาๆ แต่ยังคงคลี่ยิ้มอารมณ์ดีอยู่

                  “ท่านจะสู้ไปทำไมในเมื่อก็รู้ๆอยู่ว่าผลมันจะเลวร้ายไปกว่าเดิม” เฟริคยกมือล้วงกระเป๋าเสื้อตัวเองหยิบเม็ดยากลมๆสีนวลเม็ดเล็กๆเม็ดหนึ่งออกมา ลีนัสเห็นก็สังหรณ์ใจไม่ดีขมวดคิ้วมองยาเม็ดนั้นอย่างกังวล

                  “ท่านจะทำอะไร…”

                “ข้าทำให้ดูเลยดีกว่า” มือแกร่งจับคางของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น มืออีกข้างก็ยัดยาเม็ดเล็กๆนั่นลงไปพร้อมกดโคนลิ้นบังคับให้ลีนัสกลืนลงไปอย่างช่ำชอง ร่างบางพลิกตัวพยายามจะเอายาเม็ดนั้นกลับออกมา แต่ก็สายไปเสียแล้ว

“เก่งมาก” เฟริคเอ่ยพลางลูบผมนุ่มของอีกฝ่ายเหมือนเอ่ยชมเด็กตัวเล็กๆที่กินยาลงไปสำเร็จ ลีนัสหายใจหอบหนักจากการพยายามขัดขืนเมื่อครู่ จ้องมองใบหน้าอารมณ์ดีของอีกฝ่ายอย่างโกรธแค้น

                 “...!!” ไม่นานนักลีนัสก็รู้สึกว่าร่างกายร้อนลุ่มขึ้นมา แววตาโกรธเคืองเมื่อครู่ก็ค่อยจางหายไป แทบที่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ ท่อนขาเรียวทั้งสองข้างขยับแนบชิดเข้าหาเสียดสีกันเบาๆเพื่อระงับความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นมา เห็นปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปของลีนัสเช่นนั้น เฟริคก็คลี่ยิ้มกริ่มออกมาอีกครั้ง

                 “โทษฐานที่กัดนิ้วข้าเมื่อครู่่นี้ ข้าจะปล่อยท่านไว้แบบนี้ดีไหมนะ”

               “อ๊ะ!!” เพียงแค่เฟริคใช้ปลายนิ้วสัมผัสพวงแก้มที่อุ่นซ่านเบาๆ ก็ทำให้ร่างบางสะดุ้งขึ้นมา หลังจากหลุดเสียงครางหวานๆออกไปเมื่อครู่ ลีนัสก็รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ตัวเองทำไปเมื่อครู่

               “ชักจะสนุกแล้วสิ” เฟริคปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนตัวเองออกพลางทอดมองใบหน้าที่แดงระเรื่อหายใจหนักๆอยู่บนเตียง

                “..ท่านทำแบบนี้ข้าก็ไม่ยอมเป็นอาวุธให้ท่านฆ่าคนระ...อื้อ..!!...อย่า…ฮ้า !!” ยังไม่ทันที่ลีนัสจะพูดได้จบ เฟริคก็ลากปลายนิ้วลงมาตามสันคอ เรื่อยลงมาที่ไหปลาร้า แล้วมาจบลงที่ยอดอก

                 “ข้าบอกแล้วไงว่าเรื่องนั้นพักเอาไว้ก่อน” เฟริคเอ่ยไปพลางวนปลายนิ้วไปรอบๆยอดอกของอีกฝ่ายช้าๆผ้าเนื้อผ้าบาง ทำให้ร่างบางเบียดเรียวขาแนบชิดเข้าหากันมากขึ้น ปลายเท้าจิกลงกับฟูกนุ่ม

                  “...ท่านเฟริค…” ลีนัสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระเส่าปนเสียงหอบอ่อนๆ

                 “ว่าไงท่านลีนัส ต้องการอะไรขอรับ” เฟริคก้มลงกระซิบถามที่ข้างหู

                 “ปะ..ปล่อยข้า….ยะ..อ๊าา!!” จมูกโด่งไล่โลมเลียลงมาตั้งแต่หลังหู จนมาหยุดที่แผ่นอกที่หอบไหวตามแรงหายใจ เฟริคขบเม้มยอดอกที่ชูชันขึ้นมาเบาๆ เรียกเสียงหวานครางกระเส่าออกมา

               “แน่ใจเหรอว่าอยากให้ข้าปล่อย” เฟริคยันร่างลุกกลับขึ้นมาทอดสายตามองลงไปยังเจ้าเมืองหนุ่มที่ไม่ยอมทิ้งฐานะและความเย่อหยิ่งไปแต่โดยดี แม้จะหายใจเหนื่อยหอบหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า ก็ยังคงมองเฟริคกลับมาด้วยแววตาแข็งกร้าว

                  “...ปล่อย”

                “ได้ ข้าเริ่มจากตรงนี้ก่อนแล้วกัน” เฟริครับคำพลางเลื่อนมือมาปลดกระดุมเสื้อของอีกฝ่ายออก เผยแผ่นอกเนียนขาวปรากฏออกมา มือแกร่งยังคงไล่ปลดกระดุมเรื่อยลงมาถึงหน้าท้อง

               “อย่า..” ร่างบางดีดดิ้นหลบ ทั้งเตะทั้งถีบให้อีกฝ่ายหลบไป แต่ไม่ทันไรเฟริคก็คว้าข้อเท้าของเขาเอาไว้ได้

               “ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้นะท่านเจ้าเมือง” เฟริคบรรจงจุมพิตลงบนข้อเท้า แล้วค่อยๆไล่สูงขึ้นมาจนถึงใต้ขาอ่อนเนียนขาว

               “อึก..!! หยุดเถอะ อือ…อย่าลงไป...อา อ๊าา” สัมผัสนุ่มนวลยิ่งไต่เข้าใกล้จุดอ่อนไหวมากเท่าไหร่ ร่างบางก็เริ่มครางออกมาจนพูดไม่รู้เรื่อง

               “ย้า….!!” เฟริคจับเรียวขาทั้งสองข้างที่พยายามเบียดบังจุดสำคัญแยกออก เมื่อจุดที่ตัวเองพยายามปิดบังถูกเผยออกมาตรงหน้า ร่างบางก็ซุกหน้าหลบลงไปที่หมอนด้วยความอับอาย

               “ท่านลีนัส ปล่อยไว้แบบนี้จะดีเหรอ” ถึงแม้ลีนัสจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองก็พอจะรู้ได้ ว่าผู้พูดนั้นกำลังจ้องมองอยู่ที่จุดๆนั้น

               “...ปะ ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ” ร่างบางเอ่ยเสียงอู้อี้ผ่านหมอนที่ตนเอาหน้าซุกไว้กลับมา

               อีกฝ่ายนิ่งเงียบไป ไม่มีเสียงตอบกลับมาหรือการเคลื่อนไหวใด แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้ดีอยู่ นั่นคือเขายังถูกจ้องมองจุดๆนั้นอยู่ หลังจากความเงียบงันชั่ววูบได้ผ่านพ้นไป เขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของอีกฝ่ายกลับมา

              “ข้าปล่อยเอาไว้ไม่ได้จริงๆท่านลีนัส”

             “...อ่ะ...อ้า!!! ฮ้า…!!” เอวบางสะดุ้งเกร็งแอ่นกายขึ้นพลัน เมื่อสัมผัสอุ่นๆเปียกชื้นเข้ามาครอบครองจุดอ่อนไหว ณ จุดที่สติกันความหยิ่งผยองอันน้อยนิดของลีนัสกำลังจะขาดวิ่นสลายหายไป เพราะรสอารมณ์อันเร่าร้อนที่โหมกระหน่ำเข้ามา แต่แล้วอยู่ทุกอย่างก็หยุดลงไปอย่างฉับพลัน

              “เอาล่ะ ได้เวลาปล่อยเจ้าแล้วล่ะ” เฟริคว่าพลางลุกออกมาเสียอย่างนั้น ความเร่าร้อนที่ก่อตัวขึ้นมาแต่ไม่ได้รับการปลดปล่อย ทำให้ร่างบางที่ถูกพันธนาการแขนไว้ทั้งสองข้าง ทำได้เพียงบิดเบียดเรียวขาเข้าหากัน

              “....ท่านเฟริค...” ลีนัสเอ่ยเรียกเสียงกระเซ่ามองตามเฟริคที่ลุกจากไปอย่างหวั่นใจ เฟริคคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์มองใบหน้าหวานที่แดงเป็นลูกมะเดื่อ มองเขากลับมาด้วยแววตาปรือๆพลางหัวเราะออกมาจากลำคออย่างถูกใจ

             “มีอะไรก็พูดออกมาท่านลีนัส” เฟริคแกล้งถามเหมือนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ลีนัสเบือนหน้าหลบเลี่ยงสายตาคมกริบสีทองของอีกฝ่าย แล้วค่อยๆกั้นใจเอ่ยกลับมา

                 “...อย่า...อย่าปล่อยข้าไว้แบบนี้…ข้าขอรัอง...”


End Weakness 2/3
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2016 16:08:06 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act:9 Mastermind 2/3) 4 Feb. 2016
«ตอบ #28 เมื่อ04-02-2016 16:13:32 »

Weakness 3/3



           “ท่านพี่!!” ร่างหนาสะดุ้งตื่นขึ้นมา นัยน์ตาสีฟ้าเบิกโพลงขึ้นมาท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ แผ่นหลังไหวกระเพื่อมเพราะหายใจหอบหนักหลังจากที่ตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ประสาทสัมผัสค่อยๆรับรู้ถึงกลิ่นชื้นๆจากพื้นหินเย็นๆที่ร่างของเขานอนอยู่

            ซีมัสขยับตัวจะลุกขึ้น ก็รู้สึกได้ว่ามีเชือกเส้นใหญ่พันรัดแขนทั้งสองข้างและขาทั้งสองข้างไว้อย่างหนาแน่น ซีมัสชักสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาก่อนที่จะเปลี่ยนร่างเป็นภูติแล้วเผาเชือกให้ขาดอย่างง่ายดาย

            ซีมัสลุกขึ้นยืนแล้วรู้สึกมึนหัวจากพิษยาที่ยาไม่สร่างดี ก็เดินเซไปพิงเข้ากับกรงเหล็กเย็นๆ เขายาวๆที่งอกออกมาก็ไปเกี่ยวชนกับซี่กรง เสียงแหลมๆดังสะท้อนก้องแทรกความเงียบสงัดของคุกใต้ดิน

           “อา…” ทั้งอาการมึนหัวทั้งเสียงแหลมๆที่สะท้อนก้องอยู่ในหู ทำให้ซีมัสคำรามออกมาเบาๆด้วยความหงุดหงิด

           “เสียงอะไรน่ะ เหวอ!!” นายทหารที่คุมคุกเดินเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอเห็นชายหนุ่มในร่างภูติก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ แววตาสีเทาหันไปมองที่ผู้คุมที่กำลังจะวิ่งหนีไป ก็เรียกเพลิงสีน้ำเงินออกมาขวางหน้าทันที

              “ว้าก!!”

              “เอากุญแจมา” ซีมัสแค่นเสียงออกคำสั่ง

              “ขะ ข้าไม่ได้เอามาด้วย…!!”

              “ไปเอามาเซ่!!” ซีมัสตวาดออกมาอย่างหงุดหงิด และปล่อยให้นายทหารวิ่งหายไป

             “....อา...น่ารำคาญจริงๆ” เงียบหายไปสักพัก ซีมัสก็ค่อยๆมีสตินึกขึ้นได้ว่าตัวเองยืนรออะไรไร้สาระอยู่ ก็เรียกเพลิงออกมาเผากลอนเหล็กจนแดงแล้วถีบประตูเปิดออกมา เขาเดินตามผู้คุมคนเมื่อครู่ออกไปก็เจอเจ้าตัวกำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้ผู้คุมอีกคนนึง

           “เหวอ!!” นายทหารทั้งสองเห็นปีศาจที่แหกคุกก็มาก็พากันทำอะไรไม่ถูก ผู้คุมคนแรกที่ซีมัสเพิ่งปล่อยตัวออกมาก็รีบเปิดลิ้นชักออกมาแล้วโยนกุญแจส่งให้

           แกร้ง!!...เสียงลูกกุญแจร่วงกระทบลงกับพื้น เป็นจังหวะเดียวกับที่หางคิ้วของซีมัสกระตุกขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์

            “เจ้านี่มัน...บ้ารึเปล่าเนี่ย” ซีมัสคิดว่าน่าจะมีแต่เขาที่เมาพิษยาของเฟริคคนเดียวเสียอีก ไม่คิดว่าจะลามมาถึงผู้คุมด้วย

           “ขะ ขอโทษขอรับ ไว้ชีวิตพวกข้าเถอะ ข้ามีลูกมีเมียต้องดูแล!!” ผู้คุมรีบลงไปคุกเข่าวอนขอชีวิตยกใหญ่

           “โว้ย หนวกหู!!” ซีมัสคำรามลั่นออกมา ทั้งสองก็เงียบกริบไปทันที เด็กหนุ่มหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อเรียกสติตัวเองกลับมา

           “...ถ้าไม่อยากตายก็ถอดเสื้อออกมา”

         “ขะ ขอรับ!?”








            ระเบียงทางเดินกว้างหน้าห้องส่วนตัวขององค์ชายเฟริค มีทหารองครักษ์ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย และรักษาความเป็นส่วนตัวให้แก่องค์ชาย งานที่แสนน่าเบื่อนี้ทำให้นายทหารหนุ่มแอบพักไปคิดถึงเรื่องอื่นบ้างเป็นพักๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงส้นเท้าแข็งที่กระทบพื้นหิน ก้าวย่างเข้ามาหาก็รีบยืดตัวตรงขึ้นมาทันที เมื่อหันไปมองที่ต้นเสียงก็เห็นนายทหารหนุ่มผมทองหน้าใหม่คนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา

            “ข้ามาผลัดเวร เจ้าไปได้แล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น

            “หา...เจ้านี่ บ้ารึเปล่า” องครักษ์ชักดาบออกมาวางพาดจ่อคอของนายทหารหนุ่มกลับไปทันที

           “แถบสีทหารคุมห้องขังมาทำอะไรแถวนี้ เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไร” องครักษ์คาดคั้น เด็กหนุ่มก็กรอกตาทำท่าเบื่อหน่ายออกมา เขาไม่คิดว่าจะโดนคำถามที่ตัวเองเพิ่งจะถามผู้คุมนั้นย้อนกลับมาหาตัวเองแบบนี้

          “ถ้าข้าบอกว่าข้าต้องการอะไรเจ้าจะทำให้ข้าไหมล่ะ”

           “เรื่องอะไรข้าจะทำให้ เจ้านี่บ้ารึเปล่า” ซีมัสโดนถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้ง ก็ถอนใจออกมาอย่างหงุดหงิด แล้วรีบก้มตัวหลบคมดาบ วางมือลงกับพื้นหมุนตัวเตะข้อเท้าอีกฝ่ายล้มลงอย่างรวดเร็ว

           “เจ้า!!” ทหารองครักษ์รีบยันตัวลุกขึ้นกลับขึ้นมา แต่ซีมัสก็ลงไปตีข้อศอกซ้ำที่กลางท้ายทอย ทำให้อีกฝ่ายหมดสติไปในทันที

            “ก็แล้วจะถามทำไม บ้ารึเปล่า” ซีมัสพูดเกทับทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินเปิดประตูเข้าห้องไป



   กลับเข้ามาที่ห้องๆเดิมที่เขาพลาดท่าโดนเฟริควางยาสลบไป ทำให้เข้าหลับไปถึงหนึ่งวันเต็มๆจากคำบอกเล่าของผู้คุมขัง บรรยากาศในห้องที่แสงแดดข้างนอกส่องผ่านผ้าม่านสีส้มเข้ามา ผสานกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่ลอยมาแตะจมูก ทำให้เขานึกถึงความฝันอันเลวร้ายเมื่อครู่ขึ้นมา

   ซีมัสเดินตรงไปที่เตียงหลังใหญ่กลางห้อง เห็นร่างของลีนัสนอนหลับสนิทในสภาพเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นตั้งแต่ที่เขาวางร่างนี้ทิ้งไว้คราวก่อน

   “ท่านพี่…” เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง เอื้อมมือไปสัมผัสต้นแขนของพี่ชายและเอ่ยเรียกเบาๆ ในใจนั้นเต็มไปด้วยความกังวลใจมากมาย ไม่รู้ว่าพี่จะยอมตื่นขึ้นมาไหม พิษที่ได้รับนั้นหมดไปแล้วหรือยัง เฟริคไม่น่าจะยอมปล่อยอาวุธสงครามของเขาเอาไว้เฉยๆแบบนี้แน่ ทว่าอยู่ๆสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆลีนัสก็ลืมตาขึ้นมา

   “...ซีมัส…” น้ำเสียงที่เรียกชื่อเขากลับมาทำให้เด็กหนุ่มใจชื้นขึ้นมาทันที ลีนัสยันตัวลุกขึ้นมาแล้วสวมกอดน้องชายไว้แน่น

   “ท่านพี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ซีมัสกระซิบถามขณะที่กอดอีกฝ่ายกลับไป ลีนัสก็ส่ายหน้าตอบกลับไป

   “ถ้างั้นเรารีบกลับกันเถอะขอรับ” ซีมัสคลายอ้อมกอดออกมา เขาไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีคนเดินมาเห็นทหารองครักษ์ที่นอนสลบอยู่หน้าห้อง หรือเมื่อไหร่ที่ผู้คุมขังจะฟื้นขึ้นมาแล้วประกาศตามหาเขา

   “...ซีมัส” ปลายนิ้วเรียวเอื้มมาแตะที่แก้มของซีมัสเบาๆ แล้วเจ้าตัวก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ ใบหน้าหวานที่แววตาดูล่องลอยขยับมาใกล้ขึ้น จนซีมัสไม่กล้าขยับตัว แล้วริมฝีปากนุ่มๆของพี่ชายก็บดเบียดลงมาที่ริมฝีปากของเขา

   “...ท่านพี่...ดะ..อื้อ!!?” ซีมัสที่ไม่กล้าออกแรงผลักพี่ชายที่ตอนนี้ทำตัวผิดปกติออก กลับถูกอีกฝ่ายรุกรานหนักขึ้น ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น แต่การที่ได้สัมผัสริมฝีปากนุ่มๆนั้น ทำให้ให้สมองของเขาปั่นป่วนไม่ใช่น้อย ยิ่งเมื่อลิ้นอุ่นๆลุกล้ำแทรกเข้ามาแล้ว ทำให้สมองของเขาขาวโพลนไปวูบหนึ่ง

   “เหวอ!!?” มือเรียวยึดแผ่นหลังหนาของซีมัสได้ก็ทิ้งตัวลงนอนพร้อมกับดึงร่างของอีกฝ่ายลงมาคร่อมทับตัวเอง

   “...ท่านพี่...เกิดอะไรขึ้น” ซีมัสขมวดคิ้วมองนัยน์ตาสีเพลิงของพี่ชายที่ดูล่องลอยด้วยความกังวลใจ ระหว่างนั้นมือของลีนัสก็เลื่อนลงมาจับที่หัวเข็มขัดของเขาเพื่อจะปลดออก ซีมัสจึงรีบยันตัวลุกออกมาจากเตียงทันที พลันประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาโดยเจ้าของห้อง องค์ชายประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็ถอนหายใจและส่ายหัวกลับมาทำหน้าเสียดาย

   “โธ่ ข้าอุตส่าห์เตรียมรางวัลที่เจ้าหนีออกจากคุกมาได้ไว้ให้เจ้าแท้ๆ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆหรอกนะ ไม่สิ คงไม่มีอีกเลยถ้าปล่อยให้กลับไปอยู่ในอ้อมอกของท่านรองเจ้าเมืองอีกครั้งน่ะ ใช่ไหม”

   “...เจ้าทำอะไรลงไป” ซีมัสรู้สึกพ่ายแพ้ที่ตามเกมส์ของเฟริคไม่ทัน ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอ่านการเคลื่อนไหวของเขาได้ขาดขนาดนี้ ซ้ำยังรู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับพี่ชายตัวเองอีก

   “ข้าทำอะไรน่ะเหรอ ลีนัสมานี่สิ” เฟริคหันไปกวักมือเรียกลีนัสให้ลุกขึ้นเดินมาหาอย่างว่าง่าย เมื่อเดินมาถึงเฟริคก็โอบเอวบางของเจ้าเมืองหนุ่มเข้ามากอดไว้แล้วคลี่ยิ้มยียวนส่งให้

   “ข้าก็ยืมมาใช้งานไงล่ะ”

   “ท่านเฟริค ท่านก็อย่าได้แกล้งเด็กนักเลยน่า” หญิงสาวร่างอรชรอ้อนแอ้นแววตาคมกริบในชุดกระโปรงยาวสีดำเข้ารูป เน้นรูปร่างที่โค้งเว้าและช่วงอกที่อวบอิ่มไว้อย่างชัดเจน เดินตามเฟริคเข้ามาในห้องทีหลัง พูดจาเหมือนสาวใหญ่ที่เอ่ยปรามน้องชาย

   “นิดๆหน่อยๆทำเป็นบ่น เจ้าก็เห็นเด็กหนุ่มๆเป็นไม่ได้ รีบเข้าข้างเชียว” เฟริคหันไปทำหน้าหน่ายๆถอนหายใจออกมาเอ่ยใส่ผู้ที่เดินตามเข้ามา

   “แน่นอน ทั้งหนุ่มทั้งแน่นกว่าเจ้า ข้าก็ต้องเข้าข้างบ้างเป็นธรรมดา เจ้าชื่อซีมัสสินะ ส่วนข้าเฮลีเวีย” หญิงสาวหันไปโปรยยิ้มหวานทำตาพริ้มเอ่ยแนะนำตัวกับเด็กหนุ่ม 

   “...เจ้าเป็น...ตัวอะไร” ซีมัสขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายอยู่สักพักหนึ่ง แล้วตัดสินใจเอ่ยถามออกมา

   “....” เฟริคที่ยืนอยู่ข้างๆก็พ่นเสียงหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น ส่วนเจ้าตัวที่ถูกถามนั้นก็หายใจเข้าปอดไปฟอดใหญ่เพื่อจะตวาดเสียงดังกลับมาอย่างหัวเสีย

   “นี่ไม่มีใครสอนมารยาทเจ้ารึไงกัน ใครให้ถามคำถามสุภาพสตรีกันอย่างนั้นยะ!!” สำหรับเฮลีเวียที่เดินผ่านผู้ชายสิบคนก็ต้องหันกลับมามองสิบคน เจอคำถามเช่นนี้ของซีมัสเข้าไปก็ต้องระเบิดกลับออกมาอย่างไม่พอใจทันที

   “นี่เจ้าไม่ชินกับคำถามนี้หรอกหรือ ในเมื่อกลิ่นตัวเจ้าเหม็นเน่าแรงกว่าคนทั่วๆไป ข้าถึงต้องถามว่าเจ้าเป็นตัวอะไร” ซีมัสเอียงคอถามอีกฝ่ายกลับไป อย่างไม่เข้าใจว่าเขาถามอะไรผิดไป ทำให้เฟริคสงสัยจึงเอนตัวยื่นจมูกเข้าไปทำท่าดมดูบ้าง แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไร นอกเหนือไปจากกลิ่นเครื่องหอมที่เจ้าตัวพรมใส่เป็นประจำ

   “......” แววตาคมกริบของหญิงสาวปรายตาจิกมองเฟริคกลับไปอย่างหงุดหงิด ทำให้เจ้าตัวเอนตัวกลับไปช้าๆแล้วคลี่ยิ้มหน้าเป็นกลับมา

   “อ่ะ ไหนๆก็ไหนๆ นี่เฮลีเวียเป็นแม่มดประจำตัวข้า ส่วนนี่ซีมัสลูกครึ่งภูติ อาวุธลับของข้า” เฟริคแนะนำตัวแต่ละคนให้อีกครั้ง

   “ต้นเหตุอยู่นี่นี่เอง มิน่ากลิ่นเหมือนซากศพ อยู่มากี่ร้อยปีแล้วล่ะ” ซีมัสหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความเกลียดชังทันที

   “อ้าย นังเด็กนี่ ข้าเพิ่งจะร้อยนิดๆ ปากเสียจริงๆ” เฮลิเวียเถียงเด็กหนุ่มกลับไปอย่างหัวเสีย เฟริคที่ไม่เคยถามอายุที่แท้จริงของอีกฝ่าย ก็เลิกคิ้วขึ้นมองเจ้าตัวด้วยสีหน้าประหลาดใจนิดๆ

         “งั้นก็อย่าปล่อยให้อยู่นานกว่านี้เลยละกัน!!” ซีมัสไม่รอช้า เปลี่ยนร่างตัวเองแล้วเรียกเพลิงสีน้ำเงินออกมาหวังจะเผาแม่มดร้ายในทันที

          “ว้าย!!” เฮลีเวียร้องออกมาอย่างตกใจ ลีนัสเดินเข้ามายืนขวางพร้อมร่ายเวทย์ออกมาป้องกันทันที ซีมัสจึงรีบหยุดมือ

          “...ท่านพี่...” ซีมัสเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด

          “ฮิๆๆ ไม่คิดเลยว่าวันที่ลีบลาออกมาปกป้องแม่มดอย่างข้าจะมาถึง นี่มันสุดยอดจริงๆ ข้าคิดไม่ผิดที่เข้าหาท่านจริงๆ ท่านเฟริค” แม่มดสาวหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจ ในขณะที่ซีมัสขมวดคิ้วจนเกิดร่องลึกกลางหน้าผาก

         “แย่หน่อยนะซีมัส ถ้าเจ้าจะฆ่าเฮลิเวีย เจ้าต้องข้ามศพพี่ชายเจ้าไปก่อน เพราะตุ๊กตาตัวนี้ไม่ยอมปล่อยให้ใครทำอันตรายมาสเตอร์ของมันหรอก อ้อ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าลีบลาสามารถแลกชีวิตตัวเองให้กับคนที่เพิ่งตายได้น่ะ” เฟริคยกมือเชยคางมนของลีนัสที่แววตาดูล่องลอยขึ้นเบาๆ พร้อมคลี่ยิ้มออกมาอย่างผู้มีชัย

           “เจ้า!!”  ซีมัสเดินเข้าไปคว้ามือเฟริคออกมาทันที ในขณะที่ลีนัสก็จับข้อมือของเขาเอาไว้แน่นเช่นกัน ซีมัสจึงยอมคลายมือออกมา

           “อ้อ ข้าลืมบอกไปว่าข้าเองก็เป็นมาสเตอร์เหมือนกัน...เจ้าทำอะไรน่ะ?” เฟริคเห็นซีมัสจับมือลีนัสไว้แล้วถกแขนเสื้ออีกฝ่ายออกมาเพื่อตรวจดูอะไรบางอย่าง

           “....เปล่า” ซีมัสเห็นข้อมือขาวไร้ร่องรอยก็ปล่อยออกแล้วถอนใจออกมาอย่างโล่งอก

           “อะไร คิดว่าข้าจะทำอะไรพี่ชายเจ้ารึไง ข้ายังไม่ได้ทำอะไรหรอกน่า ตอนนี้น่ะนะ ถ้าเจ้าทำตัวดีๆข้าอาจจะไม่ทำอะไรก็ได้” คำตอบกำกวมของเฟริคทำให้ซีมัสหันไปทำตาขวางใส่ผู้พูด

           “หมายความว่ายังไง”

           “เอาล่ะๆเราค่อยๆมานั่งคุยธุระของเรากันดีกว่านะ” เฟริคเดินนำมานั่งลงที่ชุดโซฟาในห้องอย่างใจเย็น โดยมีลีนัสเดินตามไปติดๆ เฮลิเวียก็เดินไปนั่งประกบแนบชิดเฟริคคนละฝั่งกับลีนัส

          “มานั่งนี่มาซีมัส ยืนนานเมื่อย” เฟริคชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆ แต่ซีมัสยังคงยืนกอดอกนิ่งทำหน้าไม่สบอารมณ์กลับมา

         “ลีนัส ไปเรียกน้องมานั่งสิ” เฟริคเอ่ยขึ้นลีนัสก็ลุกขึ้นเดินมาทางเขาทันที

          “อา..!!!” ซีมัสคำรามออกมาอย่างหงุดหงิดแล้วเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ที่เฟริคชี้ โดยที่ไม่ปล่อยให้ลีนัสเดินมาถึงตัว เดินมาถึงเก้าอี้ก็ทิ้งตัวลงนั่งแล้วยกมือขึ้นกอดอกอย่างไม่พอใจ และทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ เฟริคเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะถูกใจออกมา

           “ซีมัส ประเด็นก็คือว่า ข้ารู้ว่าเจ้ารักพี่ชายเจ้ามากแค่ไหน ข้าสัญญาว่าข้าจะคืนพี่ชายให้เจ้าแน่นอน ถ้าเจ้านำชัยชนะมาให้ข้า ตกลงไหม” เฟริคอธิบายพลางลากปลายนิ้วลูบเรื่อนผมนุ่มสีน้ำตาลแดงของลีนัส ที่เดินกลับมานั่งข้างๆอย่างสบายใจ

           “ข้าไม่คิดว่าคำสัญญาจากคนอย่างเจ้าจะเชื่อถือได้หรอกนะ” ซีมัสตอบกลับหน้านิ่งๆ

           “ใช่แล้ว ข้าเองก็ไม่เชื่อเจ้าเท่าไหร่นักหรอก ข้าถึงต้องพึ่งเฮลิเวียนี่ไงล่ะ” เฟริคหันไปสบตาเฮลิเวียที่นั่งเบียดแนบชิดอยู่ข้างๆ เจ้าตัวก็คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาแล้วลุกขึ้นไปหยิบกล่องใส่อะไรบางอย่างกลับมา วางลงบนโต๊ะเล็กหน้าชุดโซฟา

           “รู้จักบลอทัน มิแยร์ไหมซีมัส” เฟริคเอ่ยถามขณะที่แม่มดสาวเปิดฝากล่องออก อีกฝ่ายเริ่มขมวดคิ้วเข้ามาอีกครั้ง เขาไม่เคยได้ยินคำๆนี้มาก่อน และเขาก็รู้สึกไม่ดีกับคำๆนี้เสียด้วย ยิ่งเห็นมีดเล่มเล็กๆที่มือเรียวของแม่มดสาวหยิบออกมาวางลงบนโต๊ะ ก็ยิ่งรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

         “โธ่เด็กน้อยจะรู้จักได้อย่างไรกันท่านเฟริค ให้พี่สาวคนนี้อธิบายให้ฟังดีกว่า” เฮลิเวียหัวเราะคิกคักเสียงแหลมออกมา ขณะที่ค่อยๆวางแผ่นกระดาษสีน้ำตาลเก่าๆแผ่นหนึ่งคลี่กางออกมา แล้ววางเชิงเทียนทับไว้ทั้งสี่มุม

          “บลอทัน มิแยร์ คือการทำสัญญาด้วยเลือด ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา คู่สัญญามีสิทธิ์เลือกที่จะทำโทษหรือสั่งให้ตายไปเลยได้” เจ้าของมือเรียวอธิบายไปพลางไล่จุดเทียนไปทีละเล่มจนครบ ซีมัสก็มองตามไปอย่างระแวงระวังทุกๆอริยาบถ

           “ฟังดูดีไหมล่ะซีมัส นี่ข้ายอมแลกขนาดนี้เลยนะ เจ้าน่าจะดีใจ” เฟริคคลี่ยิ้มถาม ซีมัสยังคงไม่ละสายตาออกไปจากเฮลิเวีย ที่กำลังหยิบมีดเล่มเล็กขึ้นมากรีดที่ฝ่ามือตัวเองเบาๆ พร้อมทั้งพึมพำอะไรบางอย่างเป็นภาษาที่ฟังไม่ออก หยดเลือดสีแดงเข้มหยดลงบนพื้นกระดาษที่ปูกางเอาไว้

            หยดเลือดนั้นซึมลงบนกระดาษอย่างรวดเร็วและหายไปในทันที ไม่นานนักก็มีอัครอักษรประหลาดๆปรากฏขึ้นที่หัวกระดาษแผ่นนั้น แววตาคมของแม่มดสาวพินิจพิจารณาข้อความตรงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยื่นมือทั้งสองข้างส่งให้เฟริคและซีมัส

           “จับมือข้าแล้วค่อยตกลงเนื้อหาพันธะสัญญาของพวกท่าน สัญญาจะมีผลหลังจากที่พวกท่านกรีดเลือดลงบนกระดาษแผ่นนี้ด้วยตัวท่านเองเท่านั้น” เฮลิเวียเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่ซีมัสยังคงขมวดคิ้วแน่น ไม่ยอมขยับตัวไปไหน

           “เจ้าจะหลอกอะไรข้าอีก” เฟริคได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจออกมา

           “ข้าก็บอกแล้วนี่ ว่าข้าไม่เคยโกหก”

           “ใช่เจ้าก็แค่ไม่พูดความจริงทั้งหมด”

           “ได้ ข้าจะอธิบายให้ฟังว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ข้าสั่งให้พี่ชายเจ้าทำอะไรก็ได้ แต่ข้าไม่สามารถจะสั่งให้เรียกภูติระดับสูงออกมาได้ ดูเหมือนข้าจะคำนวณตรงนี้พลาดไป แต่ข้ามีแผนสอง เพราะดันมีเจ้าที่เป็นน้องผู้มีปมพี่ชายที่พร้อมจะทำได้ทุกอย่างเพื่อพี่ชาย ข้าก็แค่ต้องการให้เจ้าสัญญาว่าจะทำตามคำสั่งข้าทุกอย่าง แลกกับความปลอดภัยของพี่ชายเจ้า และจะส่งคืนให้ทันทีที่เจ้าทำงานให้ข้าเสร็จสมบูรณ์ ถ้าเจ้าไม่ทำบลอทัน มิแยร์กับข้า ก็ถือซะว่าข้าได้ตุ๊กตาน่ารักๆมาตัวหนึ่งก็แล้วกัน ถ้าข้าเบื่อแล้วอาจจะส่งไปลงสนามรบเล่นๆ” เฟริคอธิบายพลางสอดแขนเข้าไปรวบเอวของลีนัสเข้ามากอดไว้ เอนร่างบางลงมาซบลงที่อก พร้อมทั้งคลี่ยิ้มยียวนกลับไปมองซีมัส

          “ปล่อยมือของเจ้าออกไปจากท่านพี่เดี๋ยวนี้นะ” ซีมัสลุกพรวดขึ้นมาอย่างเดือนดาล

           “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ระบุลงไปในบลอตัน มิแยร์สิซีมัส” เฟริคว่าพลางยื่นมือไปจับมือข้างหนึ่งของเฮลิเวีย ซีมัสถลึงตามองเฟริคด้วยความโกรธเคืองก่อนจะยกมือขึ้นมาจับมืออีกข้างของเฮลิเวียบ้าง

           “ฮิฮิ แน่นจริงๆ อยากจะจับดูทั้งตัวจริงๆ” เฮลิเวียอมยิ้มหัวเราะออกมาเบาๆ ดูถูกอกถูกใจที่ได้จับมือของเด็กหนุ่ม แต่อีกฝ่ายทำเป็นไม่สนใจ

        “เจ้าต้องไม่แตะต้องท่านพี่แม้แต่ปลายเส้นผม แล้วก็ห้ามออกคำสั่งกับท่านพี่อีกเป็นอันขาด” ซีมัสเอ่ยออกมา พลันก็มีตัวอักษรปรากฏขึ้นมาบนกระดาษแผ่นนั้นในฝั่งของซีมัส

        “หึ หึ เจ้านี่หวงพี่จริงๆเลยนะ ได้ ไม่มีปัญหา ถ้าเจ้ายอมฟังคำสั่งของข้าแทนพี่ชายเจ้า เจ้าไปนั่งตรงนั้นไปลีนัส” เฟริคเอ่ยรับแล้วปล่อยมือออกจากเอวบาง ลีนัสก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่งที่ว่างอยู่ ทันทีที่เฟริคเอ่ยตอบ ก็ปรากฏตัวอักษรขึ้นที่ฝั่งของเฟริค

         “อย่าลืมคลายคำสาปออกจากท่านพี่ด้วย” ซีมัสเอ่ยเงื่อนไขออกมาเพิ่มเติม หลังจากที่ค่อยๆเข้าใจหลักการ

          “แน่นอน ทันทีที่เจ้าได้รับชัยชนะที่กรีฟีท” เฟริคตอบด้วยเงื่อนไขกลับมาเหมือนเคย

          “เดี๋ยวนะ ถ้าเกิดข้าตายในสนามรบขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น” ซีมัสนึกขึ้นมาได้หันไปเอ่ยถามเฮลิเวีย

          “ข้อผูกพันทุกอย่างในบลอตัน มิแยร์จะจบลงทันที” แม่มดสาวอธิบาย

         “โอ้ ถ้างั้นเจ้าต้องไม่ฆ่าข้า ไม่งั้นเจ้าจะตายทันที แล้วข้าก็จะไม่ฆ่าเจ้า แต่ถ้าเจ้าเซ่อซ่าตายในสนามรบก็อีกเรื่องนึง พยายามอย่าตายก็แล้วกันซีมัส ไม่งั้น พี่ชายเจ้าจะตกเป็นของข้าโดยสมบูรณ์แบบ” เฟริคสรุปให้พร้อมเสนอเงื่อนไขอีกรอบ

          “ข้าตายเจ้าก็ต้องถอนคำสาป”

          “เอ๋ ถ้าเจ้าแกล้งเซ่อซ่าตายขึ้นมาข้าก็ขาดทุนสิ นี่ข้ายอมไม่แตะต้องพี่ชายเจ้าแล้วนะ ถ้าเจ้าจะให้ข้ายอมรับข้อนั้นเจ้าต้องยอมให้ข้าแตะต้องพี่ชายเจ้า เอาไหมล่ะ ข้าจะได้ดูแลอย่างดีทุกคืนหลังจากนี้ไป ถือว่าเจ้าอนุญาตแล้ว” ระหว่างที่ถกเถียงอยู่นั้น ข้อความบนกระดาษก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ รอยยิ้มที่แฝงความนัยบางอย่างของเฟริค ทำให้ซีมัสอารมณ์เดือดขึ้นมาอีก

          “ก็ได้!! ก็แค่ไม่ตายใช่ไหมล่ะ เจ้าห้ามแตะต้องท่านพี่เป็นอันขาด” เฟริคคลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจเมื่อทำให้อีกฝ่ายยอมตกลงได้สำเร็จ

          “ก็แค่นั้นแหละพ่อน้องชายที่แสนดี” เฟริคว่าแล้วก็ปล่อมมือเฮลิเวียออกแล้วหยิบมีดเล่มเล็กขึ้นมากรีดที่ฝ่ามือตัวเอง ยื่นมือออกไปปล่อยให้เลือดสีแดงสดหยดลงบนกระดาษ เสร็จแล้วก็ส่งมีดเล่มนั้นให้ซีมัส

          ซีมัสรับมาแล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หันไปมองลีนัสที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมา

          “เจ้าจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ แต่แน่นอนว่าข้าจะไม่คืนพี่ชายให้เจ้า”


End weakness 3/3

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act:9 Mastermind 2/3) 4 Feb. 2016
«ตอบ #29 เมื่อ04-02-2016 16:19:17 »

Mastermind 1/3


   เสียงแว่วบรรดานกตัวน้อยใหญ่ที่หากินในตอนเช้าประสานกับเสียงหัวเราะคิกคักสนุกสนานของบรรดาเด็กตัวเล็ก ที่วิ่งเล่นกับเพื่อนๆรอมารดาและพี่สาวที่นำเสื้อผ้ามาซักข้างลำธารใหญ่ กิจกรรมยามเช้าอันรื่นเริงสนุกสนานของชาวเมืองบริงไฮด์ดำเนินไปอย่างปกติเหมือนเช่นทุกวัน

   “เจ้าว่าวันนี้น้ำมันเย็นกว่าปกติรึเปล่า” แม่บ้านสาวนางหนึ่งเอ่ยถามกลุ่มเพื่อนที่ซักผ้าอยู่ด้วยกันข้างๆ

   “นั่นน่ะสิ ข้าไม่ได้รู้สึกไปเองคนเดียวใช่ไหม”

   “ต้นฤดูร้อนแท้ๆ ทำไมน้ำเย็นขนาดนี้”

   “นี่มันเย็นขึ้นอีกรึเปล่าเนี่ย เย็นจนมือข้าแข็งไปหมดแล้วนะ”

   “ข้าว่ามันแปลกๆนะ”

   “แม่!!” เสียงเด็กชายตัวน้อยตะโกนเรียกมารดาเสียงแหลมขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ทำให้กลุ่มแม่บ้านหันไปที่ต้นเสียง เห็นเด็กชายตัวเล็กชี้ให้ดูที่พื้นขอบลำธาร สักพักก็ก้มลงไปหยิบก้อนอะไรบางอย่างขึ้นมา

   “มีน้ำแข็งด้วย หน้าหนาวอีกแล้วเหรอแม่?” เด็กน้อยหยิบก้อนน้ำแข็งใสๆที่เกาะอยู่ที่ริมลำธารขึ้นมาโชว์ให้แม่ดูด้วยความตื่นเต้น ทำให้บรรดาแม่บ้านพร้อมใจกันร้องขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

   “เอ๋!!?”



   
   “จากที่ลูกตรวจสอบดูจากรายได้และเงินกองคลังในตอนนี้ หักด้วยค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนนี้ และค่าใช้จ่ายใหญ่ๆที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนี้แล้ว ลูกเห็นว่า เราค่อนข้างจะเหลืองบประมาณมากพอที่จะสนับสนุนกองทัพให้แกร่งขึ้น เผื่อรับสถานการ์ณที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอีกไม่นานกับกรีฟิท” วินเฟรด องค์ชายคนโตแห่งบริงไฮด์ เอ่ยสรุปสถานการณ์ทางการเงินให้บิดาฟัง ณ ห้องว่าราชการอันโอ่โถงของกษัตริย์แห่งบริงไฮด์

   “ไหนขอข้าดูรายงานของเจ้าสิ” เอลลอนกษัตริย์วัยย่างเข้าเลขหกที่ยังดูแข็งแรงกำยำ นั่งฟังบุตรชายสรุปเนื้อหาอย่างตั้งใจที่โต๊ะทรงงานตัวใหญ่เอ่ยขึ้น

   “ขอรับ” วินเฟรดวางเอกสารที่ตนได้จัดเตรียมมาอย่างดียื่นส่งให้บิดา เจ้าตัวหยิบแว่นตาขึ้นมาสวมแล้วตรวจตรารายละเอียดในเอกสารอย่างตั้งใจ จังหวะนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ทำให้กษัตริย์เอลลอนต้องถอดแว่นออกมาพร้อมขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด

   “ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนอย่าเข้ามารบกวน” เอลลอนถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นบอกผู้ที่อยู่หน้าห้อง

   “ขออภัยท่านเอลลอน เรื่องนี้ด่วนมากขอรับ” เสียงที่ตอบกลับมามีมากกว่าหนึ่งคน ทำให้สองพ่อลูกเลิกคิ้วมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องด่วนจริงๆ

   “งั้นก็เข้ามา”

   “ท่านเอลลอน ตอนนี้แหล่งน้ำทุกแหล่งในบริงไฮด์กลางเป็นน้ำแข็งหมดแล้วขอรับ” เมื่อประตูห้องถูกเปิดเข้ามา มีขุนนางกรูกันเข้ามาถึงสามคน โดยที่คนที่ก้าวเข้ามาคนแรกรีบอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในทันที

   “หา...เป็นไปได้ยังไง นี่มันต้นฤดูร้อนไม่ใช่เหรอ” วินเฟรดขมวดคิ้วถามด้วยสีหน้างุนงง

   “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบขอรับ เหวอ!!” ขณะที่ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยตอบมานั้น ที่นอกหน้าต่างก็ปรากฏฝูงนกพิราบสีขาวปรอดฝูงใหญ่บินถลาเข้ามาในห้อง แล้วมารวมตัวกันที่หน้าโต๊ะทรงงานของกษัตริย์ กลายร่างออกมาเป็นภูติสาวร่างสูงในชุดสีขาวสะอาดยาว มีปีกสีขาวอยู่ในตำแหน่งของหูสามคู่ เรือนผมสีเงินยาวดูนุ่มละมุน

   ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ทุกคนในห้องยืนนิ่งขาแข็งทำอะไรไม่ถูก ความงามของภูติสาวที่เป็นผู้บุกรุกนั้นเป็นที่ตรึงตาบุรุษทุกคนในห้อง จนไม่มีใครคิดว่าจะต้องขับไล่กลับออกไป

   ปลายเท้าเรียวยาวย่างกรายประหนึ่งลอยเคลื่อนกายอันเบาบางเข้าไปหากษัตริย์ที่ยืนตาค้างอยู่ นางวางกระดาษจดหมายสีขาวที่ม้วนผูกริบบิ้นสีทองอร่ามลงบนโต๊ะ คลี่ยิ้มหวานหยดย้อยให้ครู่หนึ่งก่อนจะสลายร่างกลายเป็นดวงไฟดวงเล็กๆที่ลอยหายไปในอากาศ

   “.....” เหล่าขุนนางทั้งสามต่างก็อ้าปากค้างงวยงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ผู้เป็นกษัตริย์นั้นดึงสติตัวเองกลับมาแล้วหยิบจดหมายม้วนนั้นขึ้นมาอ่าน

   “มีอะไรขอรับท่านพ่อ” วินเฟรคเห็นหัวคิ้วสีทองที่แซมสีขาวขมวดชิดเข้าหาจนเกิดร่องลึกกลางหน้าผากของบิดาก็เอ่ยถามขึ้น

   “พวกเจ้าสามคน” เอลลอนถอนหายใจหนักออกมาก่อนจะหันไปหาขุนนางทั้งสาม

   “ขอรับ”

   “ช่วยไปรับแขกที่มาจากเวลเฮมมิน่าที่หน้าประตูวังเข้ามารอที่ห้องรับรองใหญ่ที ดูแลแขกให้ดีที่สุดด้วย” คำสั่งของกษัตริย์ทำให้ขุนนางทำหน้างุนงงกลับมา

   “ท่านเอลลอน แล้วเรื่องแหล่งน้ำ…”

   “นั่นแหละ เรื่องเดียวกัน ทำตามที่ข้าบอกก็พอ”

   “รับทราบขอรับ” ทั้งสามตอบรับพร้อมกัน แล้วรีบหายไปจากห้องทันที

   “เกิดอะไรขึ้นขอรับ” ผู้เป็นบุตรชายเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ แต่ผู้เป็นบิดาไม่มีเวลาที่จะอธิบาย เขาเดินออกมาจากโต๊ะทรงงานแล้วเอ่ยถามบุตรชายกลับไปด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่วินเฟรดรู้ดีว่าน้ำเสียงโทนต่ำของบิดา บ่งบอกว่าพายุใหญ่กำลังจะก่อตัวขึ้นมา

   “เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้เฟริคอยู่ที่ไหน”









   หยดเลือดสีแดงข้นหยดลงบนแผ่นกระดาษสัญญาสีน้ำตาลอ่อน ซึมหายไปปรากฏข้อความขึ้นที่ปลายกระดาษครบทั้งสองฝั่ง เปลวเพลิงบนเชิงเทียนก็ดับวูบหายไปพร้อมกันทั้งๆที่ไม่มีกระแสลมเข้ามาแม้แต่น้อย

   “เอาล่ะเรียบร้อย” เฮลิเวียพึมพำอะไรบางอย่างเบาๆก่อนจะเอ่ยขึ้นมา พร้อมกับคลายมือคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายออก ซีมัสรู้สึกเหมือนได้ทำอะไรบางอย่างผิดไปหลังจากที่ได้ยินคำๆนั้นของนางแม่มด เขาเฝ้าทบทวนแล้วทบทวนอีก ว่าเขาเพียงแค่โดนเฟริคยั่วโมโหให้ต้องทำบลอตัน มิแยร์ลงไปรึเปล่า ทั้งๆที่ทุกอย่างจบลงแล้ว

   ซีมัสหันไปสบตาลีนัสเพื่อจะหาคำตอบว่าเขาได้ตัดสินใจทำอะไรที่ถูกต้องลงไปหรือไม่ แต่สิ่งที่เขาได้รับ มีเพียงความว่างเปล่าในดวงตาสีเพลิงคู่นั้น

   “ถ้าอย่างนั้นข้อแรกที่ข้าจะสั่งเจ้านะซีมัส ไหนๆข้าเองก็เป็นองค์ชายเจ้าช่วยให้เกียรติข้าบ้าง ข้ารู้ว่าพี่เจ้าสอนมาดี ต่อไปนี้เรียกข้าว่าท่านเฟริคนะ เข้าใจไหม” เฟริคเอ่ยขึ้นอย่าอารมณ์ดี

   “เจ้า!!...อั่ก!!” ซีมัสที่เผลอสบถออกมาก็คำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด ทรุดตัวยกมือขึ้นมากุมที่หน้าอกตัวเองหลังจากที่รู้สึกแสบร้อนขึ้นมา เมื่อถลกคอเสื้อตัวเองออกมาก็เห็นรอยไหม้สีแดงปรากฏขึ้นเป็นตราเวทย์

   “เจ้านี่ขี้ลืมจริงๆ สัญญาอะไรกับข้าไว้ลืมเสียแล้ว ถ้าเจ้าตายก่อนเพราะผิดสัญญาตอนนี้พี่ชายเจ้าก็ตกเป็นของข้านะซีมัส” เฟริคแบมือข้างที่ปรากฏตราเวทย์สีน้ำเงินยกขึ้นมาให้ดู พลางเอ่ยเตือนความจำคู่สัญญาของเขา

   “หรือเจ้าแค่อยากจะลองดูว่าได้ผลจริงรึเปล่า ไหนเรียกข้าใหม่อีกทีสิ” คำสั่งของเฟริคทำให้ซีมัสต้องกัดฟันเอ่ยขึ้นมา

   “......ท่านเฟริค” เมื่อเอ่ยจบความรู้สึกแสบร้อนเมื่อครู่ก็หายไป พร้อมๆกับตราเวทย์บนฝ่ามือของเฟริค

   “เก่งมาก ต้องแบบนั้นสิ ว่าง่ายๆ แบบนี้ค่อยทำงานง่ายหน่อยนะท่านแม่ทัพคนใหม่” เฟริคเอ่ยชมพร้อมยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู ทำให้ซีมัสกัดฟันแน่น หักห้ามใจไม่ให้ลุกขึ้นมาบีบคอคนตรงหน้า

   อยู่ๆประตูห้องเปิดพรวดพราดเข้ามาอย่างรีบร้อน ห้องขององค์ชายเฟริคไม่น่าจะมีใครกล้าเปิดประตูเข้ามาโดยไม่เคาะเพื่อเอ่ยขออนุญาตเช่นนี้ ทำให้ทุกคนในห้องหันไปมอง

         นายทหารสี่นายวิ่่งกรูเข้ามาก่อน แล้วยืนล้อมคนในห้องไว้ แถบสีสัญลักษณ์บนเครื่องแบบทหารที่บ่งบอกว่าเป็นทหารอารักขากษัตริย์แห่งบริงไฮด์ ทำให้เฟริคยืนนิ่งไม่ขัดขืนใดๆ

           “ท่านพ่อ ลมอะไรหอบให้ท่านแวะมาหาลูกชายผู้ต่ำต้อยถึงที่นี่ขอรับ” เฟริคน้อมศีรษะลงเคารพบิดาที่เดินตามทหารอารักขาเข้ามาพร้อมๆกับวินเฟรด น้ำเสียงกึ่งประชดประชันของบุตรชาย ทำให้เอลลอนถอนหายใจหนักๆออกมา

          “เฟริค...เจ้าทำอะไรลงไปน่าจะรู้ตัวดี” เอลลอนไม่อยากจะอธิบายอะไรให้มากความนัก จึงได้ยื่นสารที่ตนได้รับมาเมื่อครู่ส่งให้เฟริคอ่านเอาเอง

           “อา..เท่ากับว่าแหล่งน้ำตอนนี้ใช้ไม่ได้สินะขอรับ แล้วก็หืม ? จะเผาคลังเสบียงถ้าไม่คืนเจ้าเมืองให้ดีๆ อา นุ่มนวลน่ารักสมเป็นเวลเฮมมิน่าจริงๆ” เฟริคอ่านไปพลางออกความเห็นไปพลางอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร ทำให้วินเฟรดเดินมาดึงสารนั้นออกจากมือเฟริคแล้วตวาดเสียงดังกลับไปอย่างหงุดหงิด

            “นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะเฟริค กับสถานการณ์กับกรีฟิทตอนนี้ก็เป็นปัญหามากพอแล้ว เจ้าอย่าสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมาจะได้ไหม” ซีมัสที่ยืนกอดอกฟังอยู่เงียบๆ ก็แอบพยักหน้าเห็นด้วยกับองค์ชายคนโตอยู่ในใจ ดูเหมือนดาวิสจะเลือกใช้วิธีที่ถูกต้องและไม่มีใครเจ็บตัว เขาเห็นว่าปัญหาต่างๆกำลังจะคลี่คลายไปในทางที่ดี ถ้าไม่ติดตที่เขาดันตกลงทำบลอทัน มิแยร์กับเฟริคไปเมื่อครู่

           “ใจเย็นๆน่า ข้าก็ไม่ได้บอกว่าจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นเสียหน่อย ข้าก็ไม่ได้งี่เง่าเป็นเด็กๆขนาดนั้นนะ” เฟริคขมวดคิ้วเถียงกลับไปอย่างหงุดหงิด

             “เฟริค...เวลเฮมมิน่าก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่จะทำให้เวลเฮมมิน่าแข็งกร้าวขึ้นมานะ ข้าไม่อยากเห็นเวลเฮมมิน่าที่ก้าวร้าวหรอกนะ เจ้าเข้าใจความหมายของข้าใช่ไหม รีบๆคืนของที่ไม่ใช่ของเจ้าไปเสีย อย่างให้ข้าต้องคอยตามเก็บตามเช็ดอะไรที่เจ้าทำไว้ล่ะ” เอลลอนว่าหันไปมองเจ้าเมืองหนุ่มที่บุตรชายพากลับมาด้วย สภาพที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาด้วยแววตาที่ไร้แววก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา

            “รับทราบขอรับท่านพ่อ ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่เหลืออะไรให้ท่านต้องเก็บกวาดทั้งสิ้นขอรับ”

            “ท่านพ่อ” โลคัส เด็กหนุ่มวัยกำลังโตน้องชายต่างมารดาอีกคนหนึ่งของเฟริค กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเข้ามาในห้อง เอ่ยเรียกบิดาด้วยน้ำเสียงตื่นๆ

           “ท่านพี่” เมื่อเข้ามาถึงห้องก็หันไปเอ่ยทักวินเฟรด แล้วมาหยุดมองที่เฟริคด้วยสายตาที่แสดงความน่ารังเกียจครู่หนึ่ง ก่อนจะเชิดหน้าเบือนหนีกลับไปคุยกับบิดา

           “ตอนนี้ที่หน้ารั้ววังวุ่นวายมากขอรับ ประชาชนกรูกันออกมาเพื่อรอฟังคำอธิบาย ดูเหมือนจะมีข่าวลือว่าต้นเหตุที่แหล่งน้ำใช้ไม่ได้ เป็นเพราะคนในวัง เราควรจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงดีขอรับ”

            “อา...มาแล้วไงงานเก็บกวาด ” วินเฟรดได้ยินน้องชายอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นก็ยกมือขึ้นมากุมขมับทันที พร้อมคำรามเสียงต่ำออกมาอย่างหงุดหงิด เฟริคลืมคิดถึงจุดที่ดาวิสจะเล่นกับเขาแบบนี้ได้ เพราะถึงเขาจะคลี่คลายเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ข่าวลือนี้จะอยู่ต่อไปอีกพักใหญ่ทีเดียว

           “วินเฟรด ข้าฝากเจ้าไปดูสถานการณ์ข้างหน้าหน่อยแล้วกัน อีกไม่นานแหล่งน้ำจะกลับมาใช้ได้เองนั่นแหละ ใช่ไหมเฟริค” เอลลอนหันไปสั่งบุตรชายคนโตแล้วก็หันมาเอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่งเรียบกับบุตรชายเจ้าของปัญหา

            “ท่านจะรับว่าต้นเหตุมาจากข้าก็ได้นะท่านพี่ ข้าว่าน่าจะเป็นคำตอบที่ฟังดูชาวบ้านน่าจะชอบ ท่านจะได้เก็บกวาดน้อยลงหน่อย” เฟริคเสนอขึ้นมา ไหนๆชาวบ้านก็ไม่ค่อยชอบหน้าเขาเท่าไหร่อยู่แล้ว สู้รับข้อครหาไปเลยอาจจะดีกว่า จะได้สบายใจกันไปทุกฝ่าย

           “เฟริค...เจ้านี่มันพูดมากจริงๆ...รีบๆไปขอโทษเวลเฮมมิน่าเร็วๆก็แล้วกัน” วินเฟรดเดินเข้าไปเหมือนจะเอาเรื่อง แต่ก็เปลี่ยนใจรีบเดินออกไปเพื่อดูสถานการณ์ข้างหน้าตามที่บิดาสั่ง โดยมีน้องชายที่เข้ามาเมื่อครู่รีบวิ่งตามไปติดๆ แต่ก่อนจะไปก็ไม่วายที่จะหันมามองเฟริคอย่างโกรธเคือง เฟริคก็คลี่ยิ้มเยาะกลับไปเสีย

             โลฮานเป็นน้องชายต่างมารดาของเฟริค และก็ไม่ใช่น้องชายที่มาจากมารดาเดียวกันกับวินเฟรดเช่นกัน แต่กลับเชื่อฟังวินเฟรดทุกคำพูดเหมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ อย่างที่วินเฟรดไม่ต้องพยายามอะไรเลย ในขณะที่เฟริคเองยังไม่ต้องทำอะไรก็ทำให้พี่น้อง รวมไปถึงขุนนางและชาวบ้านเกลียดได้เช่นกัน เพียงเพราะมีสีผิวที่ไม่เหมือนคนอื่นเขา นั่นอาจจะเป็นเหตผลที่เขาอยากจะลองทำอะไรแย่ๆดูสักครั้ง เพราะผลมันก็คงไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไหร่

            “....เจ้าคงไม่ต้องให้ข้าเข้าไปเอ่ยขอโทษเวลเฮมมิน่ากับเจ้าหรอกนะ ใช่ไหม” เอลลอนเอ่ยขึ้นเมื่อวินเฟรดหายไปจากห้องแล้ว

           “ไม่ต้องขอรับท่านพ่อ ข้าจัดการได้ ท่านไม่ต้องห่วง” เฟริคตอบกลับพลางคิดในใจว่าจะเอาคืนดาวิสให้สาสมกับที่ทำให้ในวังต้องปั่นป่วนขนาดนี้

           “.............” เอลลอนจ้องมองบุตรชายกลับไปด้วยใบหน้านิ่งเรียบ

“ขอรับ?” เฟริคเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าบิดาไม่ยอมเลิกจ้องหน้าเขาเสียที เหมือนกำลังประเมินอะไรบางอย่างอยู่

            “.....เอาเป็นว่าครั้งนี้ข้าจะเชื่อใจเจ้าดูก็แล้วกัน” ผู้เป็นพ่อเอ่ยทิ้งไว้แล้วเดินออกจากห้องไป ตามไปด้วยทหารองครักษ์สองคน

            คนที่ไม่เคยตัดสินเฟริคก่อนจากรูปลักษณ์ภายนอกก่อน ก็มีแต่บิดา และอีกคนที่เจ้าตัวไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไหร่นัก ก็คือพี่ชายคนโตผู้เพียบพร้อมของบิดาจนน่าหมั่นไส้อย่างวินเฟรด ที่นับวันยิ่งโตขึ้นมาก็ยิ่งเหมือนบิดาขึ้นทุกวัน ถึงแม้จะปากคอเราะรายผิดกับบิดาไปมาก แต่ก็ไม่เคยว่าร้ายเขาอย่างไม่มีเหตุผลเลยสักครั้ง

            “ท่านเฟริค ท่านคงไม่ยกเลิกแผนการของท่านเอาง่ายๆหรอกนะ ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว” เฮลิเวียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวานใส เมื่อสถานการณ์ในห้องกลับเข้าสู่ปกติ เฟริคได้ยินเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

            “อะไรๆมันกำลังลงตัวขนาดนี้ คิดว่าข้าจะยอมถอยง่ายๆรึไง” ซีมัสที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ ก็พอจะเดาได้ว่าอะไรๆมันคงไม่จบลงง่ายๆอย่างนั้น ไม่เช่นนั้นดาวิสคงไม่ขอให้เขาเสนอตัวออกมาแบบนี้ หรือบางทีนั่นอาจะเป็นทางเลือกที่ผิดก็เป็นได้









 

               ดาวิสถูกเชิญเข้านั่งรอในห้องรับรองในวังอันโอ่อ่า ตกแต่งห้องด้วยวัสดุชั้นดี สวยงามหรูหราและฟุ่มเฟือยมากในสายตาของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในห้อง เบื้องหลังใบหน้าอันสงบนิ่งและท่านั่งรอที่ดูใจเย็นนั้น แท้จริงแล้ว เขาเฝ้าสังเกตดูทุกอย่างที่อาจจะผิดปกติอยู่ตลอดเวลา

               รอบนี้เขาต้องไปรบกวนเฮมิสให้กลับเข้ามาช่วย และส่งทหารตามปกป้องเฮมิสที่แอบจู่โจมต้นน้ำอย่างระมัดระวัง ดาวิสยังคงคำนวณหาจุดบ่งพร่องของแผนการของเขาตลอดเวลา เขาไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เฟริคมั่นใจนักว่าเขาจะสามารถยืมพลังของลีนัสไปใช้ได้

              เสียงคนวิ่งผ่านห้องรับรองไปอย่างรีบร้อน ทำให้ดาวิสพอจะเดาได้ว่าในวังเองก็เริ่มจะวุ่นวายพอสมควร เมื่อมีข่าวลือแปลกๆกระจายออกมาจากปากชาวบ้าน เรื่องข่าวลือนี้เป็นความคิดของลุคซ์เองที่อยากจะเอาคืนเฟริคบ้าง เขาจึงปล่อยให้เจ้าตัวเป็นคนรับผิดชอบหาคนทำตัวกลมกลืนเข้ากับชาวบ้านไป แล้วยุยงให้เกิดการเคลื่อนไหวขึ้น ดาวิสเองก็ไม่คิดว่าจะเห็นผลได้รวดเร็วขนาดนี้

             เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง แต่สำหรับดาวิสแล้วมันช่างยาวนานเสียแทบจะขาดใจ เสียงฝีเท้าของคนข้างนอกที่กำลังจะเดินเข้ามา ทำให้เจ้าตัวลุกขึ้นยืนพรวดขึ้นมาเพื่อเตรียมรับกับทุกสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในเขตแดนของฝ่ายตรงข้าม

ประตูห้องเปิดออกมาตามด้วยบุคคลที่เขาไม่คาดคิดว่าจะเป็นคนแรกที่เดินเข้ามา เขาไม่คิดว่าเฟริคจะยอมแพ้แล้วปล่อยคืนคนของเขากลับออกมาง่ายๆเช่นนั้น เพราะหลังจากที่ปลีกตัวออกมาจากเฮมิสเพื่อเข้ามาในวังแล้ว ดาวิสไม่สามารถจะรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับลีนัสได้อีก เขารู้แต่เพียงสถานการณ์ล่าสุดที่ลีนัสถูกวางยาแล้วโดนคำสาปยึดร่างไปใช้ ส่วนซีมัสนั้นโดนหลอกฉีดยาสลบแล้วถูกนำไปขังในคุกใต้ดิน

           “...ซีมัส เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

           “ข้าน่ะหรือจะเป็นอะไร” ซีมัสเดินเข้ามาหาพลางยักไหล่ตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ดาวิสงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยของคนอีกคนหนึ่งเดินตามเข้ามา ดาวิสจึงรีบหันกลับไปมอง

           “ลีนัส…” สิ่งแรกที่ดาวิสเห็นคือแววตาอันว่างเปล่าของคนรัก เขารู้อยู่แล้วว่าเฟริคได้ทำอะไรลงไป แต่เมื่อได้มาเห็นแววตาคู่นั้นกับตาตัวเองแล้ว เขารู้สึกปวดใจเหมือนโดนบดขยี้หัวใจ

          “อุก!!” อยู่ๆหมัดหนักๆของซีมัสก็ซัดเข้าที่ลิ้นปี่อย่างแรง ทำให้ดาวิสทรุดลงไปกองที่พื้น

          “ข้าคิดไปเองรึเปล่า เหมือนเจ้าจะใส่อารมณ์ส่วนตัวของเจ้าลงไปด้วยนะซีมัส” เฟริคเดินตามเข้ามาพร้อมกกับโยนเชือกเส้นหนาส่งให้ซีมัสรับไว้ แล้วจับแขนทั้งสองข้างของดาวิสมาไขว้แล้วมัดเชือกเอาไว้แน่น

          “...ซีมัส...เจ้าทำอะไร….ของเจ้า…” ดาวิสเงยหน้ามองอีกฝ่ายแค่นเสียงถามหลังจากที่ไอออกมาแรงๆสองสามที ซีมัสก็ย่อตัวลงไปคว้าคอเสื้อของดาวิสขึ้นมาแล้วกัดฟันตอบอย่างโกรธเคือง

“..เพราะท่านมาช้าไปน่ะสิ” หลังจากที่ต้องเจอเรื่องเลวร้ายหลายๆเรื่อง ทำให้ซีมัสรู้สึกอยากจะระบายออกมาบ้าง และถ้าดาวิสมาถึงเร็วกว่านี้สักนิด เขาคงไม่ต้องตกลงทำบลอทัน มิแยร์ลงไปกับเฟริค เขาเชื่อว่าเรื่องนี้คงจะจบได้สวยกว่านี้

              “ฮะ นี่มันเรื่องอะไรกัน… !?” ดาวิสหันไปถามเฟริคที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับหญิงสาวร่างบางที่ดูน่าสงสัยคนหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็รู้สึกถึงคมมีดเย็นๆที่แตะลงมาที่ต้นคอ

              “....ซีมัส?” ดาวิสรู้ว่าซีมัสไม่ชอบหน้าเขาอยู่บ้างก็จริง แต่ก็ไม่ขนาดที่จะหักหลังเขาไปช่วยเฟริคด้วยการเอามีดมาจ่อที่คอเขาขนาดนี้ เฟริคเห็นสีหน้าของดาวิสที่ประหลาดใจกับสถานการณ์ตรงหน้าในตอนนี้ ก็หัวเราะออกมาอย่างถูกใจ

            “ข้าจะสรุปให้เข้าใจง่ายๆนะท่านรอง ตอนนี้ซีมัสจำเป็นต้องทำตามที่ข้าสั่งทุกอย่าง ถ้าขัดคำสั่งข้าเมื่อไหร่ข้าสามารถปลิดชีวิตซีมัสได้ทุกวินาที และข้าก็จะทำแบบเดียวกันกับเจ้าเมืองของท่าน โดยใช้ชีวิตท่านเป็นข้อแลกเปลี่ยนไงล่ะ” เฟริคอธิบายอย่างสบายใจพลางเดินมานั่งลงที่ชุดรับแขก ขณะที่หญิงสาวร่างบางระหงเดินจูงมือลีนัสไปนั่งลงที่ชุดรับแขก แล้ววางอุปกรณ์ต่างๆเรียงลงบนโต๊ะเตรียมทำพิธีกรรมอะไรบางอย่างที่ทำให้ดาวิสรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย

             “แม้แต่ท่านเองก็เป็นจุดอ่อนด้วยเช่นกัน” ดาวิสนึกถึงคำพูดของลีนัสเมื่อวันก่อนขึ้นมา เมื่อเฟริคอธิบายให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ดาวิสเข้าใจว่าเขาไม่ควรจะพาตัวเองเข้ามาแบบนี้ แต่เพราะไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นถึงได้เข้ามา เพราะอย่างน้อยถ้าจนถึงที่สุดแล้ว เขายังคิดจะฝ่าเข้าไปลีนัสได้ง่ายกว่าอยู่นอกรั้ววัง

             เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เฮลิเวียก็หยิบรากต้นไม้ขนาดฝ่ามือที่รูปทรงเหมือนคนออกมาจากกล่องไม้เล็กๆ รากไม้ต้นนั้นถูกด้ายสีแดงสดพันเอาไว้รอบ เธอจ้องมองรากไม้ในมือเธออย่างลังเลใจ แล้วหันไปสบตามองเฟริคครั้งหนึ่ง

            “ซีมัส ถ้าเจ้าตุกติกแม้แต่นิดเดียวข้าจะฆ่าเจ้าเสีย เข้าใจไหม” เฟริคหันไปย้ำอีกครั้ง แล้วเฮลิเวียก็หันไปยิ้มหวานปนเจ้าเล่ห์ให้ซีมัสทีหนึ่ง ก่อนจะแกะด้ายสีแดงออก พร้อมกับกระซิบภาษาอะไรบางอย่างออกมาเบาๆ

End Mastermind 1/3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด