[จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:12 Finale2new prelude) 18 May. 2016
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:12 Finale2new prelude) 18 May. 2016  (อ่าน 14466 ครั้ง)

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act:9 Mastermind 2/3) 4 Feb. 2016
«ตอบ #30 เมื่อ04-02-2016 16:24:51 »

   Mastermind 2/3       


           ลีนัสที่นั่งนิ่งๆอยู่บนเก้าอี้รับแขกนั้น อยู่ๆก็หลับตาลงแล้วทิ้งร่างเอนพิงลงไปกับพนักพิงเหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่งที่ยังมีลมหายใจอ่อนๆเหลืออยู่ ทั้งดาวิสและซีมัสจ้องมองที่ลีนัสด้วยความเป็นห่วงจนแทบจะลืมหายใจทั้งคู่

           พลันมือเรียวก็ขยับวางลงบนเบาะที่นั่งแล้วยันตัวลุกขึ้นมา แล้วค่อยๆกระพริบตาลืมขึ้น นัยน์ตาสีเพลิงที่ตอนนี้กลับมาดูมีแววอย่างมนุษย์ทั่วไป ทำให้คนที่มองอยู่ทั้งสองคนหายใจได้อย่างทั่วท้องมากขึ้น รู้สึกเหมือนว่าตอนนี้ต่อให้อะไรจะเกิดกับเขาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว

           “ท่านลีนัส ชีวิตของท่านดาวิสกับน้องชายท่านตอนนี้อยู่ในมือข้าแล้ว ถ้าท่านยอมตกลงทำสัญญากับข้า...” เฟริคเริ่มอธิบาย แต่สายตาของลีนัสนั้นไม่ได้มองคู่สนทนาเลย เขากวาดสายตาไปรอบๆ ที่โต๊ะตรงหน้า มีกระดาษม้วนเก่าๆวางอยู่แล้วเทียนสี่เล่มวางยึดสี่มุม มีแม่มดสาวคนหนึ่งยืนผายมือส่งให้

           “บลอทัน มิแยร์สินะ ท่านไม่ต้องทวนหรอก ข้ารับรู้ทุกอย่าง แค่ขยับตัวเองไม่ได้เท่านั้นเอง” ลีนัสเอ่ยขึ้นมาน้ำเสียงเรียบๆ พลางปลายตามองไปยังเฟริคอย่างแค้นเคืองนิดๆ เฟริคก็ยิ้มอย่างมีนัยกลับมา เขารู้ดีว่าลีนัสไม่ได้โกรธเขาแค่เรื่องที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ

            “ท่านเฟริค!!” ดาวิสเห็นอาการเช่นนั้นของเฟริคก็พอจะเดาอะไรๆได้ จึงคำรามเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาอย่างโมโหพร้อมขยับตัวพยายามจะกระชากเชือกที่พันอยู่ข้างหลังให้หลุด แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เฟริคหันไปยิ้มให้ดาวิสนิดๆก่อนจะเบือนหน้ากลับมาคุยกับลีนัส

           “เอาล่ะ ท่านเจ้าเมือง ในเมื่อท่านรับรู้ทุกอย่างก็ดีแล้ว ท่านก็เข้าใจสินะว่าถ้าไม่ทำบลอตัน มิแยร์ ท่านดาวิสจะต้องตาย” เฟริคเอ่ยย้ำขึ้นมาอีกครั้งเป็นการเร่งเร้าให้ลีนัสยอมทำสัญญา

          “ท่านเฟริค ทำไมไม่คิดว่าข้าสามารถฆ่าท่านทิ้งได้ทันทีที่ข้าเพียงแค่คิดล่ะขอรับ” ลีนัสเอ่ยขู่อีกฝ่ายไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ทว่าเฟริคกลับไม่รู้สึกเกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น

          “ข้ารู้ว่าท่านก็ทำได้แค่ขู่ ถ้าข้าตายโดยที่ซีมัสไม่ฆ่าท่านดาวิสเสีย ซีมัสก็ตายเพราะขัดคำสั่งข้าเช่นกัน ท่านอยากจะลองวัดดูไหมล่ะ ว่าสุดท้ายแล้วจะเหลือใคร” เฟริคเอ่ยอย่างท้าทายกลับมา ทำให้ดาวิสพอจะเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น

           “ซีมัส...ถ้าอย่างนั้นแล้วจากนี้ไปข้าฝากท่านลีนัสไว้กับเจ้าก็แล้วกัน ลงมือเถอะ อย่าปล่อยให้ท่านลีนัสตกอยู่ใต้สัญญาอะไรนั่นนะ” ดาวิสตัดสินใจเอ่ยขึ้นมา เฟริคได้ยินก็คลี่ยิ้มกริ่มขึ้นมา คำพูดนั้นเป็นการเร่งเร้าให้ลีนัสยอมทำบลอทันมิแยร์ที่ได้ผล

           “เดี๋ยว...อย่านะซีมัส” อยู่ๆภาพดามอนต์ที่ถูกไฟเผาเมื่อครั้งก่อนก็โผล่ขึ้นมาในความคิดของลีนัส ทำให้เขารีบลุกพรวดขึ้นยืนเอ่ยห้ามทันที โดยที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลงมือตามนั้นหรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว นอกจากเขาจะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับโรเซ่แล้ว เขายังจะปล่อยให้ซีมัสริดรอนชีวิตบุตรชายทั้งสองของนางอีก

            ซีมัสนั้นไม่ได้มีความคิดที่จะทำตามที่ดาวิสมาเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขากลับพร้อมที่จะสละชีวิตตัวเองตั้งแต่เข้าใจแผนการของเฟริคแล้ว เขาเพียงแต่รอยืนยันอีกครั้งว่าพี่ชายของเขากลับมาแล้วจริงๆเท่านั้น และการลุกขึ้นมาปกป้องดาวิสนั้นก็เป็นการยืนยันที่เพียงพอแล้ว

           ซีมัสถอนใจออกมาอย่างนึกน้อยใจที่ลีนัสไม่ไว้ใจเขา มีหรือที่เขาจะกล้าทำอะไรดาวิส คนที่ช่วยสนับสนุนและสอนอะไรต่อมิอะไรให้มากมาย จนตัวเองมีค่าขึ้นมา เพียงพอที่จะยืนอยู่เคียงข้างลีนัสได้ทุกวันนี้

           “ท่านพี่ ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างที่ผ่านมาขอรับ” ซีมัสคลี่ยิ้มจางๆเอ่ยขึ้น พลางคลายคมมีดที่จ่อคอดาวิสออกแล้วโยนทิ้งไป

             “อะไรนะ!!?” ดาวิสรีบหันไปหาซีมัสทันที เฟริคที่นั่งไขว้ห้างกอดอกอย่างสบายใจอยู่เมื่อครู่ ได้ยินสิ่งที่ซีมัสเอ่ยออกมาก็รีบไขว้ขากลับมาเปลี่ยนอิริยาบถทันที นี่ไม่เวลามานั่งสบายใจอีกแล้ว เกมส์ที่เขาวางไว้เสียกระบวนลงไปทันที

             “ข้าพร้อมแล้วเฟริค ข้าก็แค่ต้องตายสินะ” ซีมัสหันไปเอ่ยบอกเฟริคด้วยแววตาที่ท้าทาย  ตราเวทย์ปรากฏขึ้นที่หลังมือของเฟริค แต่เจ้าตัวกลับไม่ทำอะไร ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา

             จังหวะนั้นเองที่ภูตในร่างดาบเล่มใหญ่สีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้นมาจ่อที่คอเฟริค ลีนัสเกือบจะสั่งให้ปลิดชีวิตองค์ชายตรงหน้าเสียแล้ว หากอีกฝ่ายไม่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาทำท่ายอมแพ้เสียก่อน

              “เฮ้อ...ข้ายอมแล้วท่านเจ้าเมือง” เฟริคนั่งยกแขนสองข้างทำท่ายอมแพ้ เอ่ยออกมานิ่งๆ เขายอมรับแต่โดยดีว่าคำนวณแผนการผิดพลาดไป เฟริคที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในรั้ววัง คุ้นเคยแต่การชิงดีชิงเด่นกัน ไม่คิดว่าจะมีคนที่ยอมเอาชีวิตตัวเองแลกให้คนอื่นแบบนี้ ทั้งสองคนเลยทีเดียว

             “ท่านเฟริค!?” เฮลิเวียขมวดคิ้วขึ้นเสียงนิดๆอย่างตำหนิไปที่องค์ชาย ที่ไม่ยอมลงมือทำอะไรสักอย่าง แถมยอมแพ้ง่ายๆเสียอย่างนั้น

          “เจ้าอยากให้จบแบบนี้หรือเละเทะกว่านี้ล่ะเฮลิเวีย” เฟริคเอ่ยถามกลับไป เขาพอจะเดาออกว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าเขาเผลอฆ่าซีมัสไป มันต้องไม่จบแค่ภูติที่ออกมาแค่ดาบยักษ์เล่มนี้เล่มเดียวแน่ๆ

           “ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวละกัน ยังไงก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว” หญิงสาวถอนหายใจพร้อมกรอกตาขึ้นอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะพาร่างอันอ้อนแอ้นเดินจากไป

            “กรี้ด!!” ยังไม่ทันที่เฮลิเวียจะได้ก้าวเท้าไปไหนได้ไกล เธอก็ร้องเสียงหลงขึ้นมาเมื่ออยู่ๆที่ขาของเธอก็มีก้อนน้ำแข็งเกาะขึ้นมาถึงเข่า ยึดชายกระโปรงและขาของเธอให้ติดไว้ เดินไปไหนไม่ได้

             “ข้ายังไม่ได้อนุญาตให้เจ้าไปไหนทั้งสิ้นเฮลิเวีย แม่มดที่มีอายุเป็นร้อยกว่าปีอย่างเจ้า คร่าชีวิตหญิงสาวบริสุทธิ์ไปกี่ชีวิตแล้ว ข้าจะรับเจ้าไปดูแลต่อเอง” ลีนัสยืนกอดอกปลายตามองไปยังเฮลิเวียด้วยสายตาที่เย็นชา

             สำหรับเฮลิเวียที่เป็นแม่มดนั้น เธอรู้ดีว่าในสายตาของลีบลา เธอเป็นเหมือนเชื้อโรคตัวหนึ่งที่ต้องรีบกำจัดทิ้ง ที่ยอมร่วมมือกับเฟริคเพียงเพราะอยากจะแก้แค้นลีบลาให้ได้สักครั้ง แต่เมื่อไม่สำเร็จเธอจึงพยายามปลีกตัวออกไป เมื่อถูกจับตัวไว้เช่นนั้นแม่มดสาวก็ส่งสายตาเว้าวอนไปให้เฟริคอย่างไม่มีทางเลือก

             “....โทษทีนะเฮลิเวีย ข้าคงต้องยกเจ้าให้ไปตามนั้น” เฟริคที่เพิ่งจะรู้ความจริงเกี่ยวกับเจ้าตัวก็สะดุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบสายตาเว้าวอนคู่นั้นกลับไป เฮลิเวียเห็นว่าไม่มีประโยชน์แล้วจึงพยายามจะดึงขาตัวเองออกมาจากน้ำแข็งเสียเอง

             “ร่างเจ้ามันอยู่มานานแล้ว ระวังดึงแรงเกินไปมันจะหลุดออกจากกันนะ” ซีมัสที่เห็นว่าเฟริคยอมแพ้แต่โดยดีแล้ว ก็เอ่ยเตือนเฮลิเวียขึ้นมา พลางเดินไปหยิบมีดที่ตัวเองโยนทิ้งไปเมื่อครู่ขึ้นมา แล้วเอามาตัดเชือกที่มัดแขนดาวิสออก

              “ขอบใจซีมัส” ดาวิสคลายแขนทั้งสองข้างออกมาได้ก็ลุกขึ้นมาหันกลับมาตบไหล่ซีมัสเบาๆ

               “อา...นี่ถ้าท่านพี่ไม่ห้ามไว้ข้าคงฆ่าท่านทิ้งไปแล้ว” ซีมัสทำเสียงขึ้นจมูกรับคำขอบคุณ แล้วประชดกลับไปอย่างหัวเสีย ดาวิสก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าตัวหงุดหงิดเรื่องอะไร

             “เอาเป็นว่าข้าขอโทษแล้วกันที่ขอให้เจ้าลงมือ แล้วก็ขอโทษด้วยที่มาช้าไปหน่อย” ดาวิสบอกซีมัสแล้วหันไปทางลีนัส ก็เห็นว่าอีกฝ่ายหันมาทางเขาเช่นกัน เพื่อจะดูว่าปลอดภัยดีหรือไม่ แต่เมื่อสบตาเข้ากับดาวิส เจ้าตัวก็ขมวดคิ้วแสดงสีหน้าโกระเคืองออกมาก่อนจะเบือนหน้าหนีกลับไปทางเฟริค

             “หะ?” ดาวิสเห็นท่าทางของลีนัสเช่นนั้นก็อุทานออกมาเบาๆอย่างไม่เข้าใจ ทั้งๆที่ตอนนี้เขาอยากจะเข้าไปกอดเสียแทบแย่ ทำไมเจ้าตัวถึงตีหน้าเช่นนั้นกลับมา

           “เกิดอะไรขึ้นน่ะ” อยู่ๆประตูห้องรับรองแขกก็ถูกเปิดพรวดเข้ามา เพราะเสียงร้องของเฮลิเวียเมื่อครู่ ทำให้วินเฟรดส่งทหารกรูกันเข้ามาในห้องสี่นาย ภาพดาบเล่มยักษ์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ จ่ออยู่ที่คอของเฟริคทำให้ทุกคนที่เดินเข้ามายืนงงกันไปตามๆกัน

             “....เฟริค นี่เจ้าทำอะไรลงไปอีกล่ะ” หัวคิ้วสองข้างของวินเฟรดขมวดเข้าหากันแน่น แววตาสีฟ้าสบมองน้องชายที่นั่งนิ่งยกแขนสองข้างขึ้นมีดาบเล่มยักษ์ลอยจ่ออยู่ เขาเชื่อว่าถ้าเฟริคส่งเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่าคืนให้ดีๆ เขาคงไม่ได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นแบบนี้แน่ๆ

              “อ่า ข้าจัดการได้ท่านพี่ ไม่ต้องห่วง” เฟริคขยับมือข้างหนึ่งส่งสัญญาณบอกพี่ชายว่าไม่ต้องเข้ามายุ่ง เฟริครู้ว่าการยิ่งมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ลีนัสจะยิ่งเล่นงานเขากลับได้มากขึ้น เพราะถ้าลีนัสต้องการจะเอาคืนเขาด้วยการฆ่าเขาจริงๆ ป่านนี้คงไม่ได้เป็นคนเอ่ยตอบวินเฟรดกลับไปเช่นนี้ได้

             แต่เมื่อวินเฟรดหันไปมองลีนัสที่กำลังยืนตัวตรงยกแขนขึ้นกอดอกนิ่งๆ เห็นแววตาสีเพลิงที่จ้องมองเฟริคอย่างโกรธแแค้นเช่นนั้นแล้ว ไม่เห็นว่าจะเป็นไปอย่างที่เจ้าตัวว่าสักนิด

             “ท่านเจ้าเมือง...มีอะไรที่น้องชายข้าทำให้ท่านไม่พอใจไปข้าต้องขออภัยด้วย หากมีอะไรที่ข้าพอจะชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ โปรดเสนอมาเถิด” วินเฟรดรีบยื่นข้อเสนอออกมาอย่างนอบน้อม ทำให้ลีนัสถอนหายใจหนักออกมา แล้วดาบเล่มใหญ่ที่จ่อคอของเฟริคอยู่นั้นก็หายไป

             “องค์ชายวินเฟรด ข้าเห็นแก่หน้าท่านก็แล้วกัน แต่ข้าจะปล่อยให้แหล่งน้ำของท่านใช้งานไม่ได้แบบนี้ไปอีกห้าวัน ถ้าน้องชายท่านฉลาดพอ ก็น่าจะหาวิธีเอาชีวิตคนในเมืองรอดไปได้นะขอรับ” เมื่อดาบเล่มยักษ์นั้นหายไปวินเฟรดก็โล่งอกขึ้นมาเปราะหนึ่ง แต่ข้อเสนอต่อไปของลีนัสทำให้เฟริครู้สึกจุกขึ้นมา

              “แต่ถ้าคิดว่าน้องชายท่านไม่มีค่าขนาดนั้น ท่านจะเปลี่ยนเป็นประหารทิ้งเสียตรงนี้ด้วยตัวท่านเอง ข้าจะคืนแหล่งน้ำให้ตอนนี้” เฟริคคิดว่าลีนัสจะต้องเล่นเขาคืนแน่ๆอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าลีนัสจะเอาคืนเขาขนาดนี้ เฟริคเริ่มไม่มั่นใจว่าที่ลีนัสไม่ได้ลงมือฆ่าเขาเมื่อครู่ เพียงเพราะไม่อยากฆ่า หรือไม่อยากให้มือตัวเองเปื้อนเลือดเท่านั้นกันแน่ ในขณะที่เฟริคตกอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถจะควบคุมสถานการณ์ได้นั้น เขาก็ได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำของบิดาเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย

              “ดูเหมือนข้าจะต้องเลือกอย่างหลังนะ”

              “ท่านพ่อ?” วินเฟรดหันไปหาบิดาที่เดินเข้ามาในห้องเงียบๆ

             “ห้าวันที่ไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงไร่นาที่ยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว สร้างผลกระทบกับเสบียงในระยะยาว ถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูกรีฟิทเมื่อไหร่ ข้าเชื่อว่าสงครามจะมาถึงเร็วขึ้นอีก ข้าไม่เลือกที่จะเสี่ยงขนาดนั้นหรอกนะ ข้าเสียใจด้วยนะเฟริค เจ้าทำเรื่องที่ไม่ควรจริงๆ” ผู้เป็นกษัตริย์แห่งบริงไฮด์ตัดสินสถานการณ์อย่างไม่ลังเล ทำให้เฟริคเหมือนโดนตบฉาดใส่หน้าเข้าอย่างแรง เขารู้ตัวว่าทำอะไรพลาดไป และพร้อมจะรับผิดชอบเองทุกอย่าง ไม่ได้ต้องการให้ใครเข้ามาปกป้องแต่อย่างใด แต่พอได้ยินคำตัดสินที่ไร้เยื่อใยของบิดาเช่นนั้น ก็อดที่จะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่กลางอกเสียไม่ได้

            “....ท่านพ่อ” วินเฟรดเอ่ยค้านขึ้นมา แววตาของบิดาก็เคลื่อนมาจับจ้องบุตรชายคนโต

           “หรือเจ้าจะบอกว่าเจ้ารับผิดชอบไหว” คำถามของบิดาทำให้วินเฟรดพูดต่อไม่ออก เขาไม่มีอะไรจะเถียงกลับไปจริงๆ

           “เฟริค ข้าเสียใจจริงๆที่เลี้ยงเจ้ามาจนถึงป่านนี้เจ้ายังดื้อกับข้าไม่เปลี่ยน ข้าไม่ได้เกลียดเจ้านะ แต่ในฐานะของข้า ข้าจำเป็นต้องเลือก…...โทเรส ข้าขอยืมดาบเจ้าหน่อย แล้วก็พวกเจ้าออกไปข้างนอกให้หมด” เอลลอนหันไปหาหัวหน้านายทหารที่อยู่ในห้อง แล้วยกมือขึ้นปัดเบาๆบอกให้ทุกคนออกไปจากห้องแล้วปิดประตูห้องรับรองลง

ในห้องนั้นเหลือเพียงแขกและเจ้าบ้านหกคน ห้องรับรองแห่งนี้ก็ตกอยู่ในบรรยากาศที่แสนอึดอัด โดยเฉพาะกับเฟริค

           “ท่านพ่อ ข้าว่าเรื่องนี้เรายังเจรจากันได้…” วินเฟรดมองดาบที่อยู่ในมือของบิดาอย่างหวั่นใจ ไม่คิดว่าบิดาจะพร้อมให้ลงมือเลยในทันทีขนาดนี้

           “วินเฟรด เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเด็ดขาดกว่านี้นะ ถ้าเจ้าไม่ลงมือข้าจะลงมือเอง” เอลลอนเอ่ยกลับไปพร้อมกับยื่นดาบเล่มนั้นส่งให้

          “......” วินเฟรดลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับดาบเล่มนั้นมา เพราะเขาไม่อาจจะปล่อยให้บิดาเป็นคนลงมือเองได้

          “เฟริค…” วินเฟรดเดินถือดาบเล่มยาวตรงเข้ามาหาน้องชายที่นั่งอยู่บนโซฟา ถอนหายใจออกมาหนักๆแล้วพยักหน้าเรียกให้อีกฝ่ายเดินออกมานั่งลงตรงหน้า

“ท่านลีนัส...อย่างน้อยๆอย่าให้คนของข้าเป็นคนลงมือเลย ข้าขอล่ะ” เฟริคลุกขึ้นมาเพื่อจะเดินไปคุกเข่ารับโทษตามที่พี่ชายเรียก แต่หยุดขอต่อรองกับลีนัสเสียก่อน

           “อา..นี่เป็นคำพูดของคนที่บีบให้ข้าฉีดยาสลบใส่เจ้าเมืองตัวเองแล้วปล่อยให้พาออกไปจากเมืองหรอกหรือนี่” ดาวิสที่ยืนกอดอกนิ่งๆอยู่ตรงนั้นมาตลอด ประชดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

          “.....” เฟริครู้สึกเหมือนโดนพิษของตัวเองกลับมาเมื่อได้ยินสิ่งที่ดาวิสพูด เขาถอนใจหนักๆก่อนจะเดินไปหาวินเฟรด

          “ท่านพี่ ข้าขอโทษ นี่จะเป็นงานเก็บกวาดงานสุดท้ายจริงๆ แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างที่ผ่านมา ท่านเป็นพี่ชายคนเดียวที่เห็นว่าข้าเป็นน้องคนนึง และข้าก็ดีใจที่เกิดมาเป็นน้องของท่าน” เฟริคถอดใจเอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนตาย แล้วลงไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าวินเฟรดที่ตอนนี้กัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น หลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้นของเฟริค

           “เจ้านี่มัน…..เก่งแต่สร้างปัญหาจริงๆ” วินเฟรดทิ้งดาบเล่มนั้นไปแล้วทรุดตัวลงไปคุกเข่าลงกับพื้นหันหน้าเข้าหาลีนัส

           “ท่านลีนัส ข้ารู้ดีว่าน้องชายข้านั้นทำความเสียหายให้ท่านมากมายนัก หากมีอย่างอื่นที่พอจะชดเชยความผิดในครั้งนี้ได้ ข้าก็ยินดีชดเชยให้” เฟริคเห็นพี่ชายที่ลงไปคุกเข่าเช่นนั้นก็รีบเข้าไปดึงตัวพี่ชายกลับขึ้นมายืนด้วยความรู้สึกผิด แต่อีกฝ่ายไม่ยอมขยับไปไหน

             “ท่านพี่ อย่าทำแบบนี้เลยขอรับ ท่านลีนัส ข้าขอโทษ อภัยให้ข้าเถอะ อย่าให้ท่านวินเฟรดต้องทำแบบนี้…..” เมื่อขยับเขยื้อนตัวพี่ชายไม่ได้ ก็หันไปก้มหัวขอโทษลีนัสอีกครั้งหนึ่ง

             เอลลอนเพียงทอดตามองบุตรชายทั้งสองอย่างเงียบสงบ ตอนนี้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัดที่ยาวนานและอึดอัด หลังจากที่เฟริคได้เอ่ยไปจนจบแล้ว ครู่หนึ่งลีนัสก็ถอนหายใจออกมาแล้วเดินเข้าไปหาวินเฟรด ทรุดตัวลงไปเพื่อจะยกอีกฝ่ายกลับขึ้นมายืนอีกครั้ง

              “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ และขออภัยที่ท่านต้องมาทำอะไรเช่นนี้ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดท่าน” เมื่อวินเฟรดลุกขึ้นยืนแล้ว ลีนัสก็หันไปเอ่ยกับเอลลอนอย่างนอบน้อม

              “ท่านเอลลอน ข้าคืนแหล่งน้ำให้ท่านแล้ว อีกไม่เกินสองชั่วโมง ทุกอย่างจะเป็นปกติ ขออภัยที่ต้องทำเช่นนี้”

              “ขอบคุณ” เอลลอนคลี่ยิ้มจางๆพร้อมพยักหน้าตอบกลับไป

              “ขอบคุณท่านลีนัส” วินเฟรดเอ่ยขึ้นมาอีกคน พร้อมเอื้อมมือกดหัวเฟริคที่ยังทำหน้างุนงงไม่เชื่อหูตัวเองอยู่นั้น ต้องก้มหัวตามลงไปด้วย

              “ข้าหวังว่าจะไม่มีคราวหน้า ส่วนเฮลิเวียของท่าน ข้าขอเก็บไปดูแลต่อที่เวลเฮมมิน่านะขอรับ” ลีนัสตอบกลับไปแล้วเดินไปหาเฮลิเวียที่ตอนนี้ขยับไปไหนไม่ได้ กำลังมองลีนัสด้วยสายตาที่ทั้งโกรธที่งกลัวผสมผสานกันอยู่

             “ข้าไม่ไปกับลีบลาอ่อนหัดอย่างเจ้าหรอก” เฮลิเวียโน้มตัวเข้าไปเอ่ยเหยียดลีนัสใกล้ๆเพื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่าย แต่สีหน้าของลีนัสไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อย เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาแตะที่ข้างใบหน้าของอีกฝ่ายเบาๆแล้วเอ่ยกลับไป 

            “ข้าอยากให้เจ้าลองยาพิษของเจ้าเองดูสักครั้งจริงๆ แต่ช่างเถอะ” สิ้นคำพูดของลีนัส น้ำแข็งที่เกาะกุมขาของเฮลิเวียก็มลายหายไป พร้อมกับร่างบางระหงที่ล้มลงไปนอนหลับสนิทกองอยู่ที่พื้นห้องทันที

            เจ้าเมืองหนุ่มก้าวเท้าถอยออกมา ปล่อยให้ร่างของหญิงสาวร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างไม่ใส่ใจ ชักมือตัวเองกลับมากุมไว้ในท่วงท่าที่สุขุม แววตาสีเพลิงทอดมองร่างที่นอนนิ่งตรงหน้าอย่างเย็นชา ครู่หนึ่งก็ปรากฏกลุ่มควันสีดำทมึนขึ้นมาที่พื้นห้องล้อมรอบร่างของเฮลิเวียเอาไว้

           กลุ่มควันนั้นรวมตัวกันใหญ่ขึ้น แล้วค่อยรวมร่างออกมาเป็นรูปทรงคล้ายฝ่ามือใหญ่ที่กางออก ฝ่ามือข้างนั้นตบลงมาทับร่างที่นอนหมดสติของหญิงสาว กลุ่มควันนั้นจมหายไปกับพื้นห้อง เหลือไว้เพียงพื้นห้องเปล่าๆ ร่างที่นอนอยู่เมื่อครู่หายไปกับตา

ลีนัสหยุดมองดูพื้นห้องที่ว่างเปล่าตรงหน้าครู่หนึ่งก็ละสายตาออกมา หันมามองที่เจ้าบ้านที่ยังคงมองพื้นห้องตรงนั้นอยู่ด้วยความงุนงง ว่าร่างของคนๆหนึ่งอยู่ๆจะหายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร

           “ข้าหมดธุระที่นี่แล้ว ขอตัวกลับเวลเฮมมิน่านะขอรับ” ลีนัสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่เฟริคสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มพออกพอใจที่เจ้าตัวแอบซ่อนไว้ลึกๆ หลังจากที่ได้เอาคืนแม่มดตัวแสบที่กล้าเอ่ยสบประหม่าเขาไปเมื่อครู่

           “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปส่งข้างหน้า” วินเฟรดเรียกสติของตัวเองกลับมา พร้อมทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี เดินนำแขกทั้งสามออกจากห้อง

           “ขอบคุณที่อภัยให้ลูกชายที่ไม่เอาไหนของข้า ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ยังไงข้าก็ฝากทักทายและขอโทษท่านเฮมิสด้วย ที่ทำให้ต้องลำบากมาถึงที่นี่” เอลลอนที่ยืนอยู่หน้าทางออก เดินเข้ามาจับมือลีนัสพร้อมเอ่ยลา คำพูดของบิดาบ่งบอกให้รู้ว่า เจ้าตัวนั้นรู้จักกับอดีตเจ้าเมืองพอสมควร ทำให้เฟริคพอจะได้รู้เหตุผล ที่ทำให้บิดาตัดสินและยืนมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าได้อย่างใจเย็น

           “....ท่านพ่อ ข้าถามจริงๆเถอะ ท่านไม่ได้สนใจชีวิตข้าจริงๆ หรือเพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าท่านลีนัสจะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นกันแน่ขอรับ” เมื่อห้องรับรองนั้นเหลือเพียงสองพ่อลูก เฟริคก็ลุกขึ้นยืนพร้อมเอ่ยถามบิดากลับไป เอลลอนก็คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาพร้อมหัวเราะเบาๆอยู่ในลำคอ

            “เจ้ายังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ เฟริค ถ้าคิดได้แล้วก็เลิกทำตัวมีปัญหาแล้วฟังข้ากับพี่ชายเจ้าบ้าง” เอลลอนเอ่ยทิ้งไว้เท่านั้น แล้วเดินออกไปจากห้องไป ทิ้งให้เฟริคครุ่นคิดอยู่คนเดียวต่อไป เขาไม่คิดว่าบิดาจะเดาทางของเขาและลีนัสได้ขนาดนี้

             “.....!!!” เฟริคนึกถึงคำพูดที่บอกวินเฟรดก่อนตัดสินใจรับโทษประหารเมื่อครู่ขึ้นมาได้ นอกจากเขาจะโดนบทเรียนหนักๆไปแล้ว ดูเหมือนหลังจากนี้คงจะโดนวินเฟรดเอาเรื่องนี้กลับมาอ้างถึงบ่อยครั้งเป็นแน่แท้


End Mastermind 2/3

ออฟไลน์ zeroshadaw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: Libra's Heart (Act:9 Mastermind 2/3) 4 Feb. 2016
«ตอบ #31 เมื่อ06-02-2016 00:04:48 »

ชอบมากเลย มาต่อเร็วๆน้าาาาา

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act:9 Mastermind 3/3) 15 Feb. 2016
«ตอบ #32 เมื่อ15-02-2016 14:53:05 »

Mastermind 3/3




               ดาวิสพยายามจะคิดว่าเขาอาจจะคิดไปเอง ที่เห็นว่าลีนัสเหมือนจะโกรธอะไรบางอย่าง จากที่ได้สบตากันหลังจากที่คลายคำสาปไปแล้ว แต่ระหว่างที่เดินออกมาข้างนอก เหมือนว่าลีนัสพยายามจะเลี่ยงการสบตากับเขาตลอดเวลา กระทั่งร่ำลากับเจ้าบ้านเรียบร้อยแล้ว ดาวิสจะยื่นมือส่งให้ลีนัสพยุงตัวขึ้นรถม้า ก็ถูกเมินเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น

“...ข้าต้องควบม้าตามดูข้างๆ เจ้าเข้าไปนั่งกับท่านลีนัสแล้วกัน” ดาวิสลอบถอนหายใจเบาๆก่อนจะหันไปบอกซีมัส ถึงตอนนี้เขาจะอยากคุยกับลีนัสให้รู้เรื่องมากแค่ไหน แต่หน้าที่ของเขายังไม่จบลงจนกว่าจะถึงเวลเฮมมิน่า

           “...ไม่ล่ะ ข้าเบื่อจะนั่งข้างในละ ข้าขอม้าดีกว่า” ซีมัสยักไหล่ตอบกลับมา พร้อมเดินเบี่ยงออกไปทางอาชาสีดำขลับที่ยืนรออยู่ข้างๆ

           “...ขอบใจซีมัส” ถึงซีมัสจะแกล้งพูดเหมือนเอาแต่ใจ แต่ดาวิสรู้ดีว่าซีมัสตั้งใจเปิดโอกาสให้ จึงกระซิบเอ่ยตามไปเบาๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างในรถม้า

           เมื่อก้าวเข้ามาภายในรถม้า ก็เห็นว่าลีนัสนั่งชิดริมหน้าต่างพิงขอบอยู่ฝั่งหนึ่ง เขาปลายตามองดาวิสกลับมาครู่หนึ่งก็เบือนออกไปมองนอกหน้าต่างทันที บรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ทำให้ดาวิสคิดว่า กลับไปเรียกซีมัสมาอาจจะดีกว่า แต่เขาก็อยากจะคุยให้รู้เรื่องเสียตอนนี้ ไหนๆซีมัสก็เปิดทางให้เช่นนี้แล้ว

          “ท่านเฮมิสก็เตรียมตัวเดินทางกลับเหมือนกัน คิดว่าจะได้รวมตัวกันที่นอกเมืองพอดี” ลีนัสเอ่ยขึ้นมาเสียงราบเรียบโดนที่ไม่ละสายตาออกมาจากหน้าต่าง

            “รับทราบขอรับ...ขอนั่งข้างๆได้ไหมขอรับ” ดาวิสตอบกลับไปเรียบๆเช่นกัน แล้วทรุดตัวลงไปนั่งที่นั่งข้างๆอีกฝ่ายที่ว่างอยู่ โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ ลีนัสก็หันมาขมวดคิ้วใส่ทันที

            “ข้ายัง…” ก่อนจะได้ปริปากออกมา รถม้าก็เคลื่อนออกพอดี เจ้าตัวเลยสะดุดคำพูดตัวเองไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อจะพูดต่อก็ถูกอีกฝ่ายแย่งถามกลับมา

             “ท่านเจ้าเมือง มีอะไรที่ข้าทำให้ท่านไม่พอใจไปขอรับ” เมื่อเจ้าตัวได้ยินเช่นนั้นก็เบือนหน้าหลบไปอีกครั้ง

             “....ไม่มีอะไรนี่ขอรับ” ตอบกลับมาเสียงแผ่วๆ

             “ท่านไม่พอใจที่ข้าไปรบกวนท่านเฮมิสรึเปล่าขอรับ” สิ้นคำถามเจ้าเมืองหนุ่มก็ส่ายหัวกลับมาเบาๆ ดาวิสรู้สึกว่าเขาคงต้องเล่นเกมส์ทายปัญหาไปเรื่อยๆเสียแล้ว

             “ข้าผิดเองที่อ่านเกมส์ของท่านเฟริคไม่ออก ถ้าไม่ไปรบกวนท่านเฮมิส ข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันขอรับ เรเชลก็ยังไม่เก่งขนาดนั้น”

               “หรือท่านไม่พอใจ ที่ข้ามาช้าขอรับ” ดาวิสไล่เดาต่อไปอีก

               “.....ก็บอกว่าไม่มีอะไรไงล่ะขอรับ...ขอบคุณที่มารับข้ากลับไปนะขอรับ” ลีนัสยังคงตอบกลับไปโดยเลี่ยงไม่หันไปสบตาผู้ที่อยู่ข้างๆ

               “.....หรือไม่พอใจที่ข้าเรียกซีมัสออกมาเพื่อให้ท่านเฟริคพาไปบริงไฮด์ขอรับ”

             “ท่านจะถามไปถึงไหน ข้าขอพักบ้างจะได้ไหม…..อะไรนะ ท่านเป็นคนเรียกซีมัสออกมาอย่างนั้นเหรอ” ลีนัสกำลังจะตัดบททิ้งเสีย แต่แล้วกลับต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามเสียเอง

              “อา...เรื่องนี้ท่านไม่ทราบหรอกหรือขอรับ” ดาวิสรู้สึกเจ็บใจนิดๆที่เรื่องที่ทำให้ลีนัสยอมหันหน้ากลับมาคุยกับเขาได้ ไม่เคยพ้นเรื่องของซีมัสเลยจริงๆ

             “ไม่...เพราะข้าไม่เคยถามเรื่องนี้เอาจากภูติ….หมายความว่ายังไง ท่านได้คุยกับซีมัสตั้งแต่เมื่อไหร่ขอรับ ทำไมถึงเรียกซีมัสออกมาได้” ท่าทางกระตือรือล้นในการถามของลีนัส ทำให้ดาวิสต้องถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว

             “ข้าเจอซีมัสตั้งแต่วันที่ท่านออกไปหาซีมัสวันแรกนั่นครั้งเดียวขอรับ กับคืนก่อนที่ซีมัสจะปรากฏตัว”

             “.......ทำไม....” สีหน้าของลีนัสดูเศร้าหมองลงไปทันที การที่รู้ว่าซีมัสออกมาหาดาวิส แต่ไม่ออกมาหาเขา และดาวิสก็ไม่เคยบอกให้เขาได้รับรู้ ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองถูกตีระยะห่างออกไปอยู่คนเดียว เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ทั้งดาวิสและซีมัสต่างก็พร้อมที่จะทิ้งชีวิตตัวเอง โดยไม่ถามความต้องการของเขาแม้แต่น้อย

            ลีนัสรู้ดีว่านั่นเพราะเขายืนอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญเพียงไร ถึงทำให้ทั้งสองคนพร้อมจะทิ้งชีวิตตัวเองเพื่อแลกเขากลับมา แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ทั้งคู่ไม่ได้ลังเลที่จะจากเขาไปเลยสักนิด การอยู่เคียงข้างกันดูจะไม่ใช่เรื่องที่สำคัญเลยสักนิด

             “ท่านลีนัส…” ดาวิสเห็นใบหน้าหวานขมวดคิ้วแน่น กัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมาจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

            น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ เรียกสติของเจ้าของใบหน้าหวานกลับมา เจ้าตัวส่ายหัวไล่ความคิดที่วังวนอยู่ในสมองออกไป พลันเงยหน้ากลับมาเอ่ยถามอีกฝ่าย

              “ทำไมท่านถึงไม่เคยบอกข้าเรื่องนี้เลยขอรับ” น้ำเสียงและบริบทการเอ่ยถาม ที่บ่งบอกจุดยืนการเป็นเจ้าเมืองที่สูงกว่าผู้ถูกถามนั้น ทำให้ดาวิสต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาคิดว่าเมื่อครู่นี้ลีนัสจะยอมลดกำแพงอันสูงชันของตัวเองลงมาแล้วเสียอีก ดูเหมือนเขาต้องค่อยๆทำลายกำแพงนี้ลงไปใหม่อีกครั้ง

             “ท่านลีนัส...ตลอดสามปีที่ผ่านมา ท่านเคยเปิดโอกาสให้ข้าคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวสักกี่ครั้งขอรับ ช่วยอธิบายเหตุผลตรงนี้ให้ข้าฟังสักครั้งเถอะขอรับ” เมื่อถูกดาวิสถามกลับมาเช่นนั้น ลีนัสก็ทำสีหน้าเฝื่อนออกมา จริงๆแล้วเขาไม่ได้ถูกตีตัวออกห่าง หากแต่ตัวเขาเองก็เป็นคนที่ตีตัวออกห่างเสียเอง ส่วนเหตุผลนั้นอาจจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับซีมัสเสียด้วยซ้ำ….เพราะยิ่งใกล้ก็ยิงอยากจะเอามาเป็นของตัวเอง

             “ท่านดาวิส ตำแหน่งของข้า จะทำตัวเอาแต่ใจเป็นเด็กๆไม่ได้หรอกนะขอรับ เพราะฉะนั้น...” ลีนัสไม่อาจจะบอกเหตุผลไปได้ตามตรง ได้แต่เอ่ยขึ้นมาอ้อมๆ

             “ทิ้งคำสั่งไว้ให้ข้าจัดการโดยไม่รับฟังความเห็นข้านี่เรียกว่าไม่เอาแต่ใจใช่ไหมขอรับ” ดาวิสตอบกลับมาทันทีเหมือนอัดอั้นอยากจะบ่นเรื่องนี้มานานแล้ว

              “........” ลีนัสเองไม่ทันคิด ว่าตัวเองได้ทำตัวเอาแต่ใจแค่ไหน เพียงเพื่อจะหลบเลี่ยงไม่ให้เจอหน้าอีกฝ่าย พอถูกตอบกลับมาเช่นนั้นก็ ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆจะเอ่ยอ้าง

              “เอาเถอะ ยังไงมันก็เป็นเนื้องานของรองเจ้าเมืองอยู่แล้วที่ต้องทำตามคำสั่งท่าน”

              “...ขออภัยท่านดาวิส ข้าจะพยายามไม่ทำแบบนั้นอีก…”

             “เรื่องนั้นช่างเถอะขอรับ จริงๆแล้วข้าก็รู้ดีว่า ท่านหมายถึง………..เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนสินะขอรับ” ดาวิสว่าพลางกระตุกผ้าม่านฝั่งตัวเองปิดลง แล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเอื้อมแขนไปกระตุกผ้าม่านอีกฝั่งปิดไปเช่นกัน ขณะที่โน้มตัวกลับก็กระซิบบอกเหตุผลที่พอจะเดาได้ออกไปเบาๆที่ข้างหู

              “..........” ไม่ใช่แค่เพราะระยะที่ใกล้ชิดเข้ามาของอีกฝ่าย แต่เพราะคำพูดของดาวิส ทำให้ลีนัสเผลอคิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนตามที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมา ทำให้ใบหน้าหวานแดงเป็นลูกมะเดื่อในทันที

               “ที่ท่านพยายามหลบหน้าข้าทุกครั้ง เพราะท่านไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นสินะขอรับ” ดาวิสช้อยคางมนที่พยายามจะเบี่ยงหน้าหลบสายตาของเขากลับมาเบาๆ ใบหน้าที่แดงระเรื่อกับสีหน้าลำบากใจของลีนัส ทำให้ดาวิสเข้าใจดี ว่าคนที่กำลังหักห้ามใจไม่แตะต้องคนตรงหน้านั้น ไม่ได้มีแต่เขาคนเดียว ถึงแม้เขาจะยังไม่เข้าใจเหตุผลของอีกฝ่ายก็เถอะ

                “.....ท่านดาวิส...อย่า…….ขอรับ...” น้ำหนักแผ่วเบาจากปลายนิ้วเรียวของลีนัส หยุดร่างหนาที่ค่อยๆโน้มตัวลงมาเอาไว้ ริมฝีปากหนาที่อยู่ห่างจากใบหน้าหวานไปเพียงนิดเดียว ยอมหยุดอยู่ตรงนั้นเพียงเพราะแรงต่อต้านเพียงแผ่วเบา ถึงแม้ดาวิสจะสัมผัสได้ว่านี่เป็นการต่อต้านที่ไม่ได้ออกมาจากความต้องการของเจ้าตัวจริงๆก็เถอะ

                “ถ้าจะให้ข้าหยุดตรงนี้ ก็ช่วยอธิบายเหตุผลให้ข้าเข้าใจอย่างชัดเจนด้วยขอรับ” ดาวิสกระซิบเสียงทุ้มต่ำเบาๆกลับมา ถึงแม้ร่างหนาไม่ยอมหยุดอยู่ตรงนั้น แต่ก็ไม่ยอมถอยห่างออกมาจนกว่าลีนัสจะตอบคำถามของเขา

                ความรู้สึกมากมายปนเปกันถาโถมเข้าใส่ลีนัส เหตุผลที่เขาให้สัญญาไว้กับมารดาของอีกฝ่ายนั้นก็ไม่อาจจะเอ่ยออกมาได้ แววตาสีน้ำเงินเข้มที่จ้องมองเขากลับมาในระยะประชิด กับเสียงลมหายใจอ่อนๆของอีกฝ่ายที่ได้ยินชัดเจนอยู่ตอนนี้ ทำให้เขาอยากจะลืมตำแหน่งของตัวเอง และเรื่องที่ต้องรักษาสัญญาทิ้งไป ขยับข้ามเส้นกั้นบางๆที่มองไม่เห็นนี้ไปเสียเหลือเกิน

                 “.......เพราะตระกูลของท่าน….เหลือแค่ท่านคนเดียว และนั่นเป็นเพราะข้า” ลีนัสจำต้องเอ่ยออกมาในที่สุด

                 “.........ฮะ?” ได้ยินเหตุผลที่หลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย ไม่ได้ทำให้ดาวิสรู้สึกว่าได้รับคำตอบสักนิด

                  “...ก็…” ใบหน้างุนงงของดาวิสถามกลับมาเช่นนั้น ทำให้ลีนัสต้องกลับไปทบทวนคำตอบของตัวเองอีกครั้ง ว่าเขาตอบอะไรผิดไป พยายามจะหาถ้อยคำมาอธิบายโดยที่ไม่พาดพิงถึงมารดาของอีกฝ่าย ดาวิสถอนหายใจออกมายาวๆหนึ่งที แตะพวงแก้มอุ่นๆของอีกฝ่ายเบาๆ

                 “ ท่านลีนัส ข้อแรก ข้าเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับดามอนต์ แต่การที่ดามอนต์ตายไม่ใช่ความผิดของท่าน และก็ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น ข้อที่สอง การที่ตระกูลข้าเหลืออยู่คนเดียว ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เช่นกัน หรือท่านกลัวว่าจะไม่มีรองเจ้าเมืองรุ่นต่อไปขอรับ ท่านคิดว่าข้าอยากจะมีทายาทที่ต้องทำอะไรเหมือนๆกันข้าอย่างนั้นหรือขอรับ ข้าไม่เหมือนแม่ข้านะ…..” เมื่อดาวิสเอ่ยถึงมารดาขึ้นมา ลีนัสก็หลุบสายตากลับไปอย่างลืมตัว

                 “...นี่เพราะแม่ข้าสินะขอรับ แม่ข้าไปรบกวนท่านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...” ดาวิสคาดคั้นถามต่อ ลีนัสไม่อาจจะตบตาอีกฝ่ายกลับไปได้อีกต่อไป จึงได้แต่หลบสายตาต่อไป

                  “ตั้งแต่งานศพของดามอนต์สินะ….” หัวคิ้วของลีนัสขยับเข้าหากันนิดๆเมื่อดาวิสเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

                  “....อย่าบอกนะว่าท่านรับปากจะไม่ยุ่งกับข้า เพราะคิดว่าท่านต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับดามอนต์น่ะ” ลีนัสเกลียดดาวิสที่สามารถรู้ทุกอย่างที่เขาคิดอยู่ในใจ ถึงเขาจะปฏิเสธไปอีกฝ่ายก็รู้อยู่ดีว่าเขาโกหก

             
                 “มิน่าล่ะ แม่ข้าถึงได้ส่งหญิงสาวมาหาข้าบ่อยนักหลังจากที่ดามอนต์ตาย...ท่านก็ช่างโหดร้ายนัก” ลีนัสก็รู้ดีอยู่ว่าการตัดสินใจเอาฝ่ายเดียวแบบนี้มันไม่ถูกต้อง ยิ่งถูกดาวิสโทษเขามาตรงๆด้วยแววตาที่ปวดร้าวเช่นนี้ ทำให้รู้สึกเหมือนหัวใจโดนบีบไว้แน่น ดาวิสยอมขยับตัวถอยห่างออกมาจากอีกฝ่ายเมื่อเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้น

                 แววตาที่ดูปวดร้าวตรงหน้าเมื่อครู่ ทำให้ลีนัสเผลอปล่อยมือตัวเองไปจับปลายเสื้อของอีกฝ่ายเพื่อรั้งเอาไว้เบาๆ เหมือนกลับว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะจบลงตรงนี้ หากเขาปล่อยไว้เช่นนั้น

                  “.....ท่านจะเอายังไงกันแน่ขอรับ ถ้าท่านไม่ต้องการข้าแล้ว ข้าจะได้ตัดใจไปจากท่านเสียที แค่ตำแหน่งรองเจ้าเมือง ท่านคงหาคนอื่นที่เหมาะสมมาทำแทนได้ เพราะข้าคงห้ามใจตัวเองไม่ได้ ถ้าต้องเห็นท่านทุกวัน” ข้อเสนอของดาวิสทำให้ลีนัสรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดไว้แน่นกว่าเดิม มือที่จับชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้ก็ยิ่งกำไว้แน่นอย่างลืมตัว ดาวิสเห็นมือของอีกฝ่ายที่กำชายเสื้อของตนเหมือนเด็กตัวเล็กๆก็กระตุกยิ้มมุมปากขึ้นมานิดๆ แล้วโน้มตัวกลับเข้ามาใกล้ๆอีกครั้ง

               “แต่ถ้าท่านต้องการข้า ก็บอกข้าชัดๆสักครั้งได้ไหมขอรับ ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหนทั้งนั้น” ดาวิสขยับตัวไปกระซิบบอกข้อเสนออีกทางหนึ่งให้เบาๆที่ข้างหู แล้วขยับถอยออกมาเพื่อจะรอฟังคำตอบของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ

              “....ท่านดาวิส…ข้า...” ลีนัสรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ต้องพูดในสิ่งที่ตนเองไม่สมควรจะพูด เขาหมดหนทางจะบ่ายเบี่ยงหรือหนีไปไหนได้อีก ยิ่งเมื่อถูกแววตาสีน้ำเงินเข้มตรงหน้าจับจ้องรอฟังคำตอบอยู่เช่นนี้

              “ข้า...ไม่คิดว่าจะมีคนอื่นที่เหมาะสมกับตำแหน่งรองเจ้าเมืองมากไปกว่าท่าน...อย่าให้ข้าต้องเลือกเช่นนี้ได้ไหมขอรับ” เมื่อลีนัสตั้งสติกลับมาได้ก็ยอมปล่อยมือออกจากชายเสื้อของดาวิส แล้วตอบกลับไปอย่างเป็นการเป็นงาน

              “.......รับทราบขอรับท่านเจ้าเมือง ขออภัยที่พูดอะไรไร้สาระออกไปเมื่อครู่ขอรับ” ดาวิสถอนหายใจหนักๆออกมายอมพ่ายแพ้ให้กับจุดยืนของอีกฝ่าย เขาย้ายที่กลับไปนั่งฝั่งตรงข้าม พร้อมจัดแจงเปิดผ้าม่านทั้งสองฝั่งออกเป็นปกติ

ท่าทางของดาวิสที่ดูเย็นชาขึ้นมาฉับพลัน บีบคั้นหัวใจของเจ้าเมืองหนุ่มยิ่งนัก ลีนัสไม่อาจจะปิดบังแววตาที่แสดงความเจ็บปวดของตัวเองเอาไว้ได้ ทำให้ดาวิสต้องเบือนหน้ามองไปทางอื่น ยกมือขึ้นกอดอกแล้วเอ่ยประชดกลับไป

              “ไม่ต้องห่วงไปหรอกท่านเจ้าเมือง ถ้าท่านเหงาล่ะก็ แวะเข้ามาที่ห้องนอนข้าได้ทุกคืนนะขอรับ ข้ายินดีรับใช้”

              “.......” ลีนัสได้แต่ข่มใจไม่เอ่ยแก้ตัวกลับไป ในเมื่อเขาได้ตัดสินใจปล่อยมือออกไปจากดาวิสแล้ว ถึงแม้คำพูดประชดประชันนั้นจะบาดลึกเข้าไปถึงกลางอกก็ตาม






24 Feb.2016 ขออนุญาตแก้ช่วงท้ายเล็กน้อย ของอนกันบ้างไรบ้างนะ 555


ใกล้จะจบแล้วน้าาาา (เรายังคงเรียงตัวกันอย่างสวยงามเหมือนเดิม สารบัญหรือจะจำเป็น....)
ขอบคุณเม้นทุกเม้นที่ทักทายเข้ามานะคะ  (พูดเหมือนมีเยอะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2016 17:21:20 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act:10 Release 1/3) 19 Apr. 2016
«ตอบ #33 เมื่อ19-04-2016 12:54:12 »

Libra’s heart
Act 10 : Release  (1/3)

   
   เสียงล้อรถม้าที่เคลื่อนไปตามทาง คนนั่งฝั่งตรงข้ามที่นั่งตัวเกร็งกุมมือตัวเองวางลงบนตักแน่น หันมองออกไปข้างนอกหน้าต่างคนละฝั่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการสบสายตากัน บรรยากาศที่น่าหงุดหงิดนี่ไม่ใช่สิ่งที่ดาวิสคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ทั้งๆที่เขาได้วางแผนการเข้าไปรับเจ้าตัวกลับมาได้อย่างปลอดภัย และไม่มีความเสียหายใดๆเกิดขึ้นกับใคร สิ่งที่เขาต้องการคือรางวัลสำหรับความสำเร็จในครั้งนี้

   เขาอยากจะกอดคนตรงหน้าที่ถูกเฟริคพรากไปจากเขา กอดจนกว่าจะเพียงพอชดเชยกับความกังวลใจที่เกิดขึ้นในใจเขาตลอดสองวันที่ผ่านมา แต่แค่เพียงคำปฏิเสธของอีกฝ่ายที่ใช้เหตุผลที่ฟังไม่ค่อยขึ้นในมุมมองของเขานั้น ทำให้รู้สึกหงุดหงิดจนลืมทุกความอยากก่อนหน้านั้นไปจนหมดสิ้น

         นับตั้งแต่ที่ลีนัสขึ้นเป็นเจ้าเมือง ทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงบริบทการเป็นของเจ้าตัวไปเยอะ จากเด็กหนุ่มที่ไม่ค่อยมั่นใจกับการตัดสินใจของตัวเอง และมักจะลดตัวเองลงต่ำคนนั้นหายไป สำหรับดาวิสแล้ว เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เขารับและเข้าใจได้ แต่การที่เจ้าตัวยอมตัดใจจากเขาไปได้ เพียงเพราะเหตุผลนั้น ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของเขาช่างมีค่าน้อยนิดถึงขนาดที่พร้อมจะตัดขาดไปได้ง่ายๆ หรือตอนนี้เขาจะเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมโต และยังไม่ยอมรับความจริงที่ถูกสังคมกำหนดกันแน่

          ระหว่างที่ดาวิสนั่งขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหงุดหงิดอยู่นั้น รถม้าก็ค่อยๆหยุดลง จึงหันมองดูข้างนอกว่าเกิดอะไรขึ้น

          “อา เจอขบวนของท่านเฮมิสกับผู้ติดตามอีกกลุ่มพอดี ข้าลงไปตรวจสอบความเรียบร้อยสักครู่นะขอรับท่านเจ้าเมือง” ดาวิสจงใจเรียกชื่อตำแหน่งของอีกฝ่ายแทนการเรียกชื่อเจ้าตัวเพื่อจะตีตัวออกห่างประชดไปอย่างอดเสียไม่ได้

           “อ้อ แล้วก็ ข้าคิดว่าข้าสลับที่กับซีมัสจะดีกว่า ยังไงขากลับเข้าเวลเฮมมิน่า ให้คนเห็นซีมัสก็ดูจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ อีกอย่าง ท่านเองก็ไม่ได้เจอหน้าซีมัสนานแล้ว ท่านจะได้มีเวลาได้คุยกันบ้าง” ดาวิสเห็นว่าการที่ต้องนั่งเงียบๆแบบนี้ต่อไปกับลีนัสจนถึงเวลเฮมมิน่า ดูจะเป็นเรื่องที่ทรมานตัวเองและอีกฝ่ายอยู่มิใช่น้อย จึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น พร้อมกับเปิดประตูรถม้าออกไป แต่แล้วอยู่ๆก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างรั้งแขนเสื้ออีกข้างหนึ่งของตัวเองไว้ เมื่อหันกลับมามองก็เห็นว่ามือเรียวรั้งแขนเสื้อของเขาอยู่ เมื่อเคลื่อนสายตามาสบตาเจ้าของมือข้างนั้นที่ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา เจ้าตัวก็หน้าแดงขึ้นมานิดๆแล้วรีบชักมือตัวเองกลับไป

           “เอ่อ...ข้าต้องลงไปทักทายและขอบคุณท่านเฮมิสสักหน่อย…” ลีนัสเบือนหน้าหลบ พร้อมยกเรื่องอื่นขึ้นมาอ้างเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ

            “......” ดาวิสเห็นท่าทางของลีนัสเช่นนั้นก็สูดหายใจลึกๆเพื่อทำใจให้เย็นลงมา ท่าทางลังเลลำบากใจอันน่ารักน่าชังของอีกฝ่ายมันยั่วเย้าให้เขาหันกลับ รีบไปใช้โอกาสนี้เปลี่ยนใจเจ้าตัวกลับมา เขาต้องตั้งสติห้ามไม่ให้ตัวเองทำอะไรที่ผิดสังเกตออกไป ในขณะที่มีคณะเดินทางรอพวกเขาอยู่ข้างนอก

          “ถึงเวลเฮมมิน่าแล้ว ช่วยจัดเวลาให้ข้าหน่อยได้ไหมขอรับท่านเจ้าเมือง” ดาวิสเอ่ยทิ้งไว้เรียบๆก่อนที่จะเดินลงจากรถม้าไป

ลีนัสเดินตามออกมาก็เห็นว่าดาวิสเดินไปคุยกับนายทหารจากกลุ่มเดินทางอีกกลุ่มที่มากับเฮมิส เขาก็ได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกวาดสายตาไปมองเฮมิสที่ยืนชื่นชมบรรยากาศข้างนอกเมืองอย่างสงบนิ่ง

           “ท่านเฮมิส...ขออภัยที่ต้องรบกวนท่าน” ลีนัสเดินเข้าไปหาพร้อมเอ่ยขอโทษ อดีตเจ้าเมืองสูงวัยเห็นลีนัสก็คลี่ยิ้มกว้างออกมา พร้อมอ้าแขนทั้งสองข้างกวักมือเรียกให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาหา แล้วโอบกอดร่างของเจ้าเมืองหนุ่มที่เขาปั้นมากับมือไว้ เพื่อให้ได้คลายความเป็นห่วงเป็นใจลง

            “เจ้าจะเกรงใจอะไรคนแก่ตกงานอย่างข้า เฮ้อ ข้าเป็นห่วงแทบแย่” เฮมิสตอบกลับมาขณะที่ยังคงกอดเจ้าเมืองหนุ่มร่างเล็กไว้แนบแน่นจนกว่าจะหายเป็นห่วง ลีนัสสัมผัสได้ถึงกระบังลมที่กระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ กับเสียงลมหายใจเบาๆของเฮมิส สัมผัสอันอบอุ่นทำให้เขารู้สึกสงบใจลงเหมือนได้กลับถึงบ้านแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งจะอยู่แค่นอกเมืองบริงไฮด์เท่านั้นเอง

            “เอาจริงๆ ดาวิสนี่ก็ช่างทำให้ข้าเป็นห่วงเจ้ามากเกินจำเป็นเข้าไปอีก” เฮมิสแกล้งกระซิบบอกลีนัสเบาๆก่อนจะคลายอ้อมแขนออก

             “.....” ลีนัสทำหน้าไม่ถูกเมื่อโดนอีกฝ่ายแกล้งพูดขึ้นมาเช่นนั้น ทั้งเขินทั้งแอบดีใจแต่ก็เจ็บปวดที่รู้สึกดีใจเช่นนั้น

            “ไงซีมัส” เฮมิสเงยหน้ากลับขึ้นมาก็เห็นซีมัสมายืนรอวางตัวไม่ค่อยถูกอยู่ข้างหลังลีนัส พอได้รวมคณะเดินทางแล้ว เริ่มมีสายตาหลายคู่มองมายังซีมัสด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะทุกคนรู้ว่าต้นเหตุที่สร้างความวุ่นวายเมื่อวันก่อนเป็นใคร ถึงแม้ดาวิสจะอธิบายให้ฟังแล้วก็ตามว่าทำไปเพื่ออะไร แต่ความจริงที่เขาเป็นลูกครึ่งภูตินั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

         “ท่านเฮมิส” ซีมัสน้อมศีรษะทักทายอีกฝ่ายกลับไปพอเป็นพิธี เฮมิสคลี่ยิ้มขึ้นมาแล้วเดินไปตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ

         “ขอบคุณที่ตามดูแลลีนัสถึงบริงไฮด์ แล้วพากลับมาได้อย่างปลอดภัย” ซีมัสไม่เคยคาดหวังอะไรจากการตามติดลีนัสไปเลยแม้แต่น้อย มีเพียงอย่างเดียวคือพาพี่ชายกลับมาให้ได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อได้ยินคำขอบคุณจากอดีตเจ้าเมืองแล้วรู้สึกว่าหัวใจพองโตขึ้นมา

          “...ขอรับ” เด็กหนุ่มที่ไม่คุ้นชินกับความรู้สึกแบบนี้ก็ผงกหัวตอบกลับมาอย่างคนวางตัวไม่ถูก เห็นใบนหน้าเคอะเขินเช่นนั้น เฮมิสก็หัวเราะออกมาเบาๆในลำคอเบาๆ

           “.....” ลีนัสที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็เพิ่งจะรู้สึกตัว ว่าเขาเองยังไม่ได้เอ่ยขอบคุณออกมาสักคำ โดยเฉพาะกับดาวิสที่ตนดันวางทีท่าเช่นนั้นออกไปเมื่อครู่

           เมื่อนึกขึ้นได้ก็กวาดตามองหาเจ้าตัวทันที  เห็นว่าแววตาสีน้ำเงินเข้มนั้นทอดมองดูเขาอยู่นานแล้วจากบนหลังอาชันสีดำขลับ

          “เอาล่ะข้าว่าพวกเจ้าเองก็มีเรื่องที่ต้องคุยกันเยอะ เรารีบออกเดินทางต่อจะดีกว่า จะได้ถึงก่อนพระอาทิตย์ตก” เสียงเฮมิสเอ่ยแทรกขึ้นมา ทำให้ดาวิสละสายตาของเขาออกไปเพื่อเตรียมคณะเดินทางออกเดินทาง ลีนัสจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้จนกว่าจะถึงเวลเฮมมิน่า





            ลีนัสเดินกลับเข้ามานั่งในรถม้าตามด้วยซีมัสที่เข้ามาแทนที่ดาวิส เด็กหนุ่มชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม

           ไม่มีการสนทนาใดๆเกิดขึ้นระหว่างสองพี่น้องที่เพิ่งจะมีโอกาสได้คุยกัน หลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานกว่าสามปี ท่ามกลางความเงียบกริบนั้น มีเพียงเสียงถอนหายใจหนักๆของลีนัสดังแทรกขึ้นมาก่อนที่รถม้าจะเคลื่อนเดินทางต่อ ยิ่งเห็นหน้าซีมัสที่หลบหนีหน้าเขาไปตลอดเวลาสามปี และรู้ว่าเจ้าตัวยอมออกมาหาดาวิสแต่ไม่เคยออกมาหาเขาเลยสักครั้ง ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด

             แววตาที่จ้องมองลีนัสมาเหมือนอย่างจะพูดอะไรบางอย่างแต่ข่มกลั้นเอาไว้ เพราะรู้สึกถึงอารมณ์หงุดหงิดของเจ้าตัว ส่วนเหตุผลที่ถูกโกรธนั้นก็พอจะเข้าใจดี

            “......ท่านพี่”

            “....” ลีนัสเคลื่อนสายตามาปลายตามองคู่สนทนา เหมือนไม่ค่อยอยากจะคุยด้วยเท่าไหร่ อะไรหลายๆอย่างมันเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไหนเอยที่น้องชายจะยอมกลับมาหา ยังไม่ทันไปได้พูดคุยอะไรมากไปกว่านั้น ลีนัสก็ตกอยู่ในสภาพที่พูดไม่ได้ พอจะได้โอกาสพูดคุยก็ดันไปรู้ว่า ตัวเองโดนทิ้งอยู่คนเดียว ซีมัสยอมคุยกับดาวิสแต่ไม่ยอมออกมาหาเขา ตลอดสามปีที่ผ่านมา

           “....ข้ายังกอดท่านได้ไหม” คำถามของซีมัสทำให้ลีนัสต้องหันมามองหน้าคนพูดด้วยความตกใจ เขาไม่คิดว่าเรื่องที่ซีมัสอยากจะพูดออกมา เป็นการขอเรื่องธรรมดาๆเรื่องหนึ่ง  พอถูกถามออกมาตรงๆแบบนี้ก็อดที่จะคิดไปในเชิงอื่นไม่ได้ ไหนเอยเหตุการณ์ในห้องของเฟริคตอนที่ร่างของเขาไม่ฟังคำสั่งตัวเองก็ทำให้เขาเผลอคิดไป

           ลีนัสรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไปเสีย เขารู้ดีว่าน้องชายของเขาไม่เคยพูดอะไรที่มีความหมายแฝงไปในทางนั้น

           “...ข้าว่า เจ้าไปถามท่านดาวิสดูก่อนไหม ยังไงเจ้าก็ทำตามแต่คำพูดของท่านดาวิสอยู่แล้วนี่” ไม่ใช่ว่าลีนัสไม่อยากจะกอดน้องชายที่เพิ่งผ่านอะไรมามากมายขนาดนั้น แต่เพราะยังโกรธเรื่องที่เจ้าตัวหลบหน้าเขาอยู่ จึงเอ่ยประชดเช่นนั้นออกไป

             “ที่ข้าออกมาก็เพราะข้าเป็นห่วงท่าน ข้าไม่ได้ออกมาเพราะท่านดาวิสนะขอรับ” ซีมัสพยายามจะอธิบายให้พี่ชายที่นั่งกอดอกจ้องมองเขากลับมาอย่างอารมณ์เสียได้เข้าใจ

            “แล้วที่ข้าเรียกเจ้าให้กลับมาแล้วไม่กลับ ไม่ใช่เพราะเจ้าเกลียดข้าที่ใส่ความเจ้าหรือไง ยังอยากจะกอดข้าอยู่หรือ”

            “ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ ...ข้า….” ซีมัสรีบตอบปฏิเสธกลับมา แต่พอจะอธิบายเหตุผลของตัวเอง กลับเงียบไป

            ผู้ฟังที่นั่งกอดอกรอฟังเหตุผลอยู่ ก็เลิกคิ้วขึ้นรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ ซีมัสถอนหายใจรวบรวมเหตุผลที่ตัวเองจะอธิบายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆเอ่ยออกมา

             “เพราะข้า….รักท่าน...ท่านพี่ก็รู้อยู่…” ลีนัสลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้ว ตอนนั้นเขาเข้าใจว่าซีมัสที่เพิ่งเข้าสู่วัยหนุ่ม ซ้อนทับความรู้สึก”รัก”กับความผูกพันของพี่น้องและการเป็นหนี้บุญคุณเอาไว้ ไม่คิดว่านั่นจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าตัวหนีหน้าเขาไป พอซีมัสตอบกลับมาแบบนี้ ลีนัสก็นึกถึงตอนที่ร่างของเขาต้องทำตามที่เฮลีเวียคิด ตอนที่ซีมัสเข้ามาปลุกเขาที่ห้อง

              “...ซีมัส เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องของเฟริค..…ข้าขอโทษ ช่างมันเถอะ….” ลีนัสหลุดปากออกมาจะอธิบายเรื่องที่ถูกเฮลิเวียบังคับในตอนนั้น แต่ก็หยุดไปเพราะรู้ว่าจริงๆแล้วอีกฝ่ายก็รู้ดี ยิ่งพูดก็มีแต่จะไปตอกย้ำให้เจ็บปวดเข้าไปเสียเปล่าๆ พลางนึกก่นด่าเฟริคอยู่ในใจที่ทำเรื่องโหดร้ายเช่นนั้น

             “ข้าเข้าใจขอรับ...ข้าไม่ได้ต้องการท่านพี่ที่เป็นแบบนั้น” ซีมัสรู้ว่าลีนัสต้องการจะพูดอะไรจึงตอบกลับไปให้อีกฝ่ายสบายใจ

            “......” แน่นอนว่าลีนัสเองก็ไม่ได้ต้องการตัวเองในแบบนั้นเหมือนกัน ลีนัสรู้สึกว่าไม่น่าพูดถึงขึ้นมาเลยจริงๆ บรรยากาศการพูดคุยเริ่มอึดอัดขึ้นมาจนเจ้าตัวถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว

            “ข้าหมายถึงการมีท่านเป็นพี่ข้า มันเพียงพอแล้ว….จริงๆแล้วข้าไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้หรอกนะขอรับแต่...” ซีมัสหยุดถอนหายใจออกมาระหว่างที่พยายามจะอธิบาย ทำให้ลีนัสเข้าใจว่าน้องชายของตนพยายามจะพูดสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกตัวเองออกมา เพียงเพื่อทำให้เขาสบายใจขึ้น

            “....เพราะเฟริคทำให้ข้าเข้าใจ ว่าจริงๆแล้ว…..ข้าไม่ได้รักท่านแบบนั้น ข้าไม่ได้อยากจะเป็นเจ้าของท่าน ข้ารู้สึกว่าข้าเป็นไม่ได้” ซีมัสเอ่ยต่อด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะยอมรับความจริงที่ว่า เฟริคไม่ได้แค่ต้องการจะแกล้งเขา แต่อาจจะตั้งใจทำเพื่อให้เขาเข้าใจอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็อาจจะเพื่อทดสอบ แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ซีมัสได้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองแล้ว

            “ข้าไม่ได้ต้องการจูบท่าน...แต่ข้าแค่อยากจะกอดท่านตอนนี้ เพราะข้ารู้สึกว่าข้าได้รับโอกาส หลังจากที่ข้าตัดสินใจทิ้งชีวิตตัวเองไปเมื่อครู่…ได้ไหมขอรับ ข้าอยากจะยืนยันว่าข้ายังมีชี..”

              “พอแล้วซีมัส...มานี่มา” ลีนัสเอ่ยแทรกขึ้นมาพร้อมตบที่นั่งข้างๆเรียกให้อีกฝ่ายมานั่ง เด็กหนุ่มไม่รอช้าลุกย้ายฝั่งมานั่งข้างๆพร้อมโผเข้ากอดพี่ชายทันที

             ลีนัสยกมือขึ้นมาขยี้หัวเด็กหนุ่มร่างหนา ที่ซุกตัวลงมาซบอ้อมกอดเล็กๆของเขา ทำตัวขัดแย้งกับขนาดของตัวเองโดยสิ้นเชิง

           “เจ้าก็เกือบจะทำให้ข้าต้องลงมือฆ่าองค์ชายเฟริคอยู่แล้วรู้ไหม”

            “ขออภัยขอรับ ข้าคิดวิธีอื่นไม่ออกจริงๆ” เสียงของซีมัสดังรอดอ้อมแขนตัวเองตอบกลับมาเบาๆ ลีนัสก็ถอนใจออกมาพลางนึกตำหนิตัวเอง ว่าเขาไม่มีเหตุผลอะไรที่สมควรจะว่าน้องชายตัวเองสักนิด เช่นเดียวกับเหตุผลในการโกรธดาวิสเมื่อครู่นี้ พอคิดได้ก็ลอบถอนหายใจเบาๆ พลางนึกในใจว่าเขามีเรื่องที่ติดค้างกับดาวิสหลายเรื่องเหลือเกิน

            “เอาเถอะ ข้าก็พอจะรู้ว่าองค์ชายเฟริคก็ฉลาดพอที่จะไม่กล้าฆ่าเจ้าหรอก” ลีนัสหยุดมือที่กำลังขยี้เรือนผมสีทองของเด็กหนุ่มลง แล้วก้มลงไปจูบเบาๆที่หน้าผากของคนที่อยู่ในอ้อมกอด

             “ขอบใจนะซีมัส ที่ไม่ได้ทิ้งข้าไปไหน” ลีนัสกระซิบบอกเบาๆที่ข้างหูเด็กหนุ่ม สัมผัสอันนุ่มนวลอ่อนโยนของพี่ชายที่ไม่ได้สัมผัสมานานมากแล้ว ทำให้ซีมัสคลี่ยิ้มจางๆขึ้นมา เจ้าตัวหลับตาลงหายใจเข้าออกลึกๆ สูบกลืนความรู้สึกนี้ไว้จนพอใจจึงค่อยยันตัวลุกกลับขึ้นมา

           “ข้าว่า..ถ้ามากกว่านี้ ข้าเกรงว่าท่านดาวิสจะสั่งให้หยุดขบวน” ซีมัสเอ่ยขึ้นหลังจากที่สัมผัสได้ถึงสายตาที่ทิ่มแทงเข้าจากไกลๆ จึงหันออกไปแสยะยิ้มยียวนกลับไป แล้วย้ายกลับมานั่งฝั่งตรงข้ามแต่โดยดี

           ลีนัสหันมองตามออกไปที่นอกหน้าต่างบ้าง เมื่อสบตาเข้ากันดาวิสก็เบือนหน้าไปมองทางอื่น จึงได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ

           “ท่านพี่ขอรับ” ซีมัสเอ่ยเรียกกลับมา เจ้าตัวก็รีบละสายตากลับมาปั้นหน้ายิ้มแห้งๆกลับมา ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

           “ว่าไงซีมัส”

          “...เรื่องที่เกิดขึ้นกับดามอนต์เป็นความผิดของข้านะขอรับ ท่านพี่ไม่เกี่ยว” อยู่ๆซีมัสก็เข้าประเด็นนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง

         “.....ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะให้มันลงเอยแบบนี้”

        “ตอนนั้นถ้าข้าไม่ได้ตั้งใจ มันไม่ลงเอยแบบนี้หรอกขอรับ” ซีมัสตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาลีนัสพูดอะไรต่อไม่ออก เขาเฝ้าปฏิเสธความจริงที่ว่าซีมัสเป็นสิ่งที่อันตรายมาตลอด เพราะถ้าเขายอมรับแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำคือกำจัดซีมัสไปตามที่เคยสัญญาไว้

          “ให้ข้ารับผิดชอบเรื่องนี้เถอะขอรับ มันอาจจะช้าเกินไปหน่อยแต่…”

          “เจ้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยอะไรซีมัส” ลีนัสรีบถามกลับไปทันทีด้วยสีหน้าทีทำท่าเหมือนจะร้องไห้ สำหรับเขาแล่้ว ถ้าบอกว่ารับผิดชอบ คือต้องกำจัดเจ้าตัวทิ้งเท่านั้น

         “...เอ่อ...กลับไปเวลเฮมมิน่าแล้วให้ข้าจะเข้าไปขอโทษท่านโรเซ่เองกับตัวน่ะขอรับ”

          “......แล้วถ้าท่านโรเซ่ต้องการชีวิตเจ้า เจ้าก็จะรับผิดชอบตามนั้น?” ลีนัสมองออกอยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงได้ถามกลับไปตรงๆ ทำให้ซีมัสนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง

           “.....ถ้ามันทำให้ท่านพี่หลุดจากความรับผิดชอบอันนี้ได้…”

           “ข้าก็จะรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เจ้าออกไปมอบตัวแบบนั้น” ลีนัสเอ่ยดักอีกฝ่ายเอาไว้

          “...ท่านพี่...แล้วจะให้ข้าทำยังไงขอรับ จะให้ข้าอยู่หลบๆซ่อนๆอยู่ใต้การปกป้องของท่านพี่ที่เป็นเจ้าเมืองน่ะหรือขอรับ” คำถามของซีมัสที่ถามกลับมา ทำเอาลีนัสจุกไป

           “.....”

           “ข้าโตแล้ว ให้ข้ารับผิดชอบสิ่งที่ข้าทำไปเถอะขอรับ เลิกปกป้องข้าได้แล้ว” ซีมัสเอ่ยขอขณะที่สายตาไม่ยอมละออกจากคู่สนทนาแม้แต่น้อย 

            “ซีมัส...ข้า” หัวคิ้วสีน้ำตาลแดงขมวดเข้าหากันแน่น อยู่ๆลีนัสก็รู้สึกเหมือนโดนดาวิสดุเรื่องที่ปกป้องน้องชายมากเกินไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับเป็นเจ้าตัวเสียเองที่เป็นคนพูด

             “ท่านพี่ข้าดีใจที่ท่านเป็นห่วงข้า แต่การที่ข้าต้องเป็นภาระของท่านมันทำให้ข้าเจ็บปวด”

             “.............” ลีนัสนั่งจ้องมองแววตาสีฟ้าใสที่มองมาที่เขาอย่างมุ่งมั่น แสดงความตั้งใจออกมาเช่นนั้นก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา

             “ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าโตแล้ว…...ดูเหมือนจะมีแต่ข้าละมั้งที่ไม่ยอมโต”










ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act:10 Release 3/3) 19 Apr. 2016
«ตอบ #34 เมื่อ19-04-2016 14:52:48 »

Libra's heart : Release (2/3)


               “ท่านลีนัส!!” เสียงหวานใสของเด็กสาวแว่วขึ้นมาทันทีที่ลีนัสก้าวเท้าลงมาจากรถม้า ยังไม่ทันจะได้หันไปมองที่ต้นเสียง เด็กสาวร่างบางก็วิ่งเข้ามากอดเจ้าตัวไว้แน่นเสียแล้ว

               “เรเชล…” ลีนัสยกมือขึ้นมาโอบร่างบางๆของเด็กสาวกลับไป สัมผัสและน้ำเสียงนุ่มๆของเจ้าตัวช่วยตอกย้ำให้เรเชลรู้ว่าเป็นลีนัสจริงๆ ก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นไปอีก

                 “เบาๆก็ได้มั้งเรเชล ท่านเจ้าเมืองยังไม่ได้พักผ่อนเลยเดี๋ยวเป็นลมขึ้นมาจะยุ่ง” ดาวิสเอ่ยทักขึ้นมาขณะที่เดินผ่านมาและปลายตาสบมองผู้ที่ถูกกอดเพียงครู่เดียว

                 “อ้ะ!! ขออภัยท่านลีนัส” เรเชลรีบคลายแขนตัวเองออกเมื่อถูกทักขึ้นมาเช่นนั้น

                 “ข้าไม่เป็นอะไรหรอกเรเชล ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะ” ลีนัสยกมือขึ้นลูบหัวเรเชลเบาๆ พลันหันไปเห็นลุกซ์ที่อยู่ข้างหลังเรเชล มองมาเหมือนว่าอยากจะพูดอะไรสักอย่าง จึงหันไปสบตารอฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มจะเอ่ยออกมา

                “ขอข้ากอดท่านบ้างได้ไหมขอรับ...” คำเอ่ยขอของลุคซ์ทำให้ดาวิสที่กำลังจะเดินกลับไปพักผ่อนที่ห้องต้องสะดุดปลายเท้าลง แล้วหันกลับมามองที่ลีนัสอย่างลืมตัว

                “เข้ามาสิลุคซ์” ลีนัสคลี่ยิ้มพร้อมกวักมือเรียกเด็กหนุ่มเข้ามา ดาวิสรู้อยู่แล้วว่าลีนัสไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธลุคซ์ และเขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเป็นกังวลหรือหึงหวง เพียงแค่รู้สึกน้อยใจที่เป็นคนเดียวที่เจ้าตัวไม่ยอมให้กอด ทั้งๆที่อยากจะกอดแทบแย่ กลับมีแต่เหตุผลงี่เง่าที่ทำให้เขาไม่มีสิทธิ์กอด

                “ขอรับ!!” ลุคซ์รีบเดินเข้าไปหาลีนัสทันทีอย่างเริงร่า เหมือนลูกหมาตัวน้อยที่กำลังสบัดหางฟูๆวิ่งไปหาเจ้านาย แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักไปพร้อมกับลีบหางม้วนเก็บไป เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาเย็นชาสีฟ้าอ่อนที่ทอดมองมาจากเบื้องหลังลีนัส

               ลีนัสเห็นท่าทางของลุคซ์แบบนั้นจึงหันกลับไปมองข้างหลัง เห็นซีมัสที่ลงจากรถม้าตามพี่ชายลงมา เพียงแค่ยืนนิ่งๆปรายตามองลุคซ์อยู่เงียบๆ ไม่ต้องเอ่ยอะไรออกมา ลุคซ์ก็รับรู้ได้ว่าเขาไม่ควรจะเข้าใกล้เจ้าเมืองไปมากกว่านี้

               “อ้อ ข้าให้คนเตรียมห้องไว้ให้ท่านซีมัสเรียบร้อยแล้วนะคะ” เสียงใสๆเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร กับแววตาอันเยียบเย็นของซีมัสทั้งสิ้น ส่วนซีมัสที่ไม่เคยได้ยินใครเรียกตัวเองแบบนั้นก็รู้สึกจั๊กจี้หูขึ้นมาพิกล

              “อือ นี่ก็เย็นมากแล้ว เจ้าพักผ่อนที่นี่ก่อนสิ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ลีนัสเสริมขึ้นมา แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหัวกลับมา

               “ไม่เป็นไรขอรับ ข้าไม่อยากจะรบกวนท่านพี่มากไปกว่านี้”

                “ซีมัส…” ลีนัสรีบเดินเข้าไปรั้งอีกฝ่ายไว้เมื่อเห็นว่าเขาทำท่าเหมือนจะเดินจากไปทั้งอย่างนั้น

                “คืนนี้ข้าจะกลับไปนอนที่บ้านขอรับ ข้าไม่หายไปไหนหรอก แล้วก็….ข้ายังมีเรื่องต้องสะสางอีก” ซีมัสรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเรื่องอะไรอยู่จึงเอ่ยตอบไป

                 เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พึ่งพี่ชายไปมากกว่านี้ เขาจึงอยู่ที่นี่ไม่ได้ถึงจะเหนื่อยล้าแค่ไหนก็ตาม ที่นี่มีแต่คนที่ระแวงเขาเต็มไปหมด แต่กลับต้องเรียกเขาว่า”ท่าน”เพราะเป็นน้องชายเจ้าเมือง เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้เป็นที่สุด

                 “...อืม เข้าใจแล้ว กลับบ้านดีๆล่ะซีมัส” ลีนัสพยักหน้ารับอย่างเข้าใจพร้อมยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ

               “ขอรับ ท่านพี่พักผ่อนเยอะๆนะขอรับ เรื่องที่ข้าต้องจัดการปล่อยให้ข้าจัดการเองนะขอรับ” ซีมัสเอ่ยย้ำกับลีนัสอีกทีหนึ่งก่อนจะเดินจากไป ลีนัสรู้ดีว่าน้องชายหมายถึงเรื่องอะไร เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ความกังวลก็ฉายออกมาบนสีหน้าของเจ้าตัวทันที เขาไม่มีสิทธิ์เข้าไปห้ามหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่เขายังมีคนที่ข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เขาพอจะปรึกษาได้ พอนึกขึ้นได้ก็กวาดสายตามองหาเจ้าตัวทันที

                ดาวิสยังไม่ได้เดินหายไปไหน เพียงแต่ยืนมองอยู่ห่างๆตรงนั้น แต่เมื่อถูกแววตาสีเพลิงสบมองมา เจ้าตัวก็หันกลับแล้วเดินหายไปทันที

               “ท่านลีนัส ข้าให้คนเตรียมน้ำร้อนไว้ให้แล้ว ข้าไปส่งที่ห้องนะคะ” ขณะที่คิดว่าจะเดินตามแผ่นหลังของดาวิสไป เรเชลก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อนพร้อมออกตัวจะเดินไปส่งขนาดนั้น จึงต้องจำใจกลับห้องตัวเองไป ทิ้งลุคซ์ที่ไม่กล้าจะทำอะไรอยู่เมื่อครู่ไว้คนเดียวที่หน้าประตูทางเข้า ไม่มีใครเอะใจว่าลืมอะไรแต่อย่างใด

              ท้องฟ้ามืดครึ้มอยู่เบื้องบนเด็กหนุ่มที่ถูกเพิกเฉยทิ้งให้อยู่คนเดียวนั้น ร้องเตือนให้รู้ว่าฝนกำลังจะลงเม็ดก็แล้ว เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งเสียใจที่ถูกทอดทิ้งอยู่ตรงนั้น กระทั่งเม็ดฝนเย็นๆสาดเทลงมาซ้ำเติม








                    เรย์มอนต์นั่งอ่านหนังสือเล่มหนาอยู่เงียบๆ บนที่นั่งประจำท่ามกลางแสงสีส้มสลัวๆในห้องนั่งเล่น หูแว่วฟังเสียงเม็ดฝนที่ร่วงโปรยปรายลงมา แทรกด้วยเสียงชามกระเบื้องที่ถูกคว่ำวางเรียงรายกระทบกันเบาๆ ดังออกมาจากหลังครัว ครู่หนึ่งก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจากหน้าประตูบ้าน

                    “ไม่ได้กลับบ้านนานขนาดต้องเคาะประตูก่อนเข้าบ้านเลยรึไงดาวิส ข้าก็ไม่ได้ล็อคบ้านไว้เสียหน่อย” เรย์มอนต์เอ่ยขึ้นขณะที่สายตายังไม่ละออกจากหนังสือตรงหน้า เรย์มอนต์คิดว่าคนที่จะแวะมาที่บ้านในเวลานี้ได้ มีแต่จะเป็นบุตรชายที่เพิ่งจะกลับมาจากบริงไฮด์เมื่อช่วงเย็นเท่านั้น

                   แต่หลังจากที่เอ่ยออกไปเช่นนั้นแล้ว อีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งรออยู่ข้างนอก ไม่ยอมเปิดประตูเข้ามา ทำให้ผู้เป็นพ่อละสายตาขึ้นมามองเงาคนที่ยืนรออยู่หน้าประตูด้วยความประหลาดใจ เขาปิดหนังสือลงแล้ววางไว้บนโต๊ะข้างตัว ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตูบ้าน แล้วค่อยๆแง้มประตูเปิดออก

                   “......เจ้ามาที่นี่ทำไม”

                  “มีอะไรรึเปล่าคะ” โรเซ่เดินออกมาจากหลังครัวเพราะได้ยินว่าบุตรชายแวะเข้ามาหา เอ่ยถามสามีที่ยืนนิ่งอยู่น่าประตู

                    “ข้าคิดว่าข้าควรจะมาขอโทษพวกท่านอย่างจริงจังสักครั้ง” เสียงเด็กหนุ่มที่ไม่ใช่เสียงของบุตรชายตัวเองดังรอดเข้ามา ทำให้โรเซ่รีบเดินไปดู แต่โดนท่อนแขนแกร่งของผู้เป็นสามียกขึ้นมาขวางไว้ไม่ให้เธอเข้าไปเห็นหน้าอีกฝ่ายได้ชัดนัก ได้ยินแค่เพียงน้ำเสียงพูดกับเธอกลับมา

                    “ท่านโรเซ่ ขออภัยที่เข้ามารบกวนในเวลานี้ขอรับ”

                     “ท่านเรย์มอนต์?” โรเซ่หันไปมองหน้าผู้ที่ยืนขวางอย่างต้องการคำอธิบาย เรย์มอนต์ต้องถอนใจยาวออกมาอย่างลำบากใจก่อนจะยอมคลายมือออก พลันเมื่อเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ยืนตัวเปียกก้มหัวอยู่ข้างนอก ก็ตัวแข็งทื่อไปในทันที

                    “....ซีมัส เจ้ามาทำอะไรที่นี่”






                   กลิ่นไอฝนผสานกับกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆที่ผสมเอาไว้ในอ่างอาบน้ำอุ่น ช่วยให้ร่างกายได้คลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล และเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นได้อย่างมาก ความรู้สึกสบายตัวทำให้เจ้าเมืองหนุ่มเกือบจะเผลอหลับไป ถ้าไม่ได้เรื่องที่กังวลค้างคาอยู่ในใจปลุกเขาให้กลับมาอีกครั้ง

                ร่างเปลืยเปล่าลุกขึ้นมาจากอ่างน้ำอุ่นที่แสนสบายตัว เดินไปหยิบผ้าที่ห้อยวางอยู่ข้างๆมาเช็ดตัวแล้วหยิบชุดนอนสีขาวที่ถูกวางเตรียมไว้ให้มาสวม นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมานั่งพักผ่อนได้อย่างสบายใจแบบนี้ ถ้าไม่ติดที่เรเชลเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้ขนาดนี้ ประกอบกับร่างที่เหนื่อยล้ามาพอสมควร เขาคงจะตรงไปคุยกับดาวิสเสียก่อน ทั้งเรื่องที่ยังค้างคำขอบคุณเอาไว้ และเรื่องซีมัสจะเข้าไปคุยกับโรเซ่ด้วย

             ถึงแม้ซีมัสจะกำชับเข้าไว้หนักหนาว่าไม่ให้เข้าไปยุ่ง แต่อย่างไรเสียดาวิสก็เป็นพี่ชายของดามอนต์ จะว่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวก็ไม่ถูกต้อง ดาวิสควรจะรู้ว่าซีมัสตั้งใจจะทำอะไร

            ลีนัสคิดเรื่องที่จะคุยกับดาวิสไปพลาง มือก็ไล่ติดกระดุมเสื้อนอนไป แล้วหยิบเสื้อคลุมตัวยาวที่แขวนไว้ในห้องขึ้นมาสวมทับอีกทีเตรียมจะไปหาดาวิสที่ห้อง แต่แล้วก็ต้องสะดุดมือหยุดลงขณะที่กำลังจะยื่นมือไปบิดลูกบิดประตูออกไป

             ลีนัสรู้สึกว่า เขาดูเหมือนจะตั้งใจไปทำอย่างอื่นมากกว่าจะไปคุยกับดาวิสเฉยๆ ทำไมเขาต้องแวะอาบน้ำก่อน แล้วแต่งตัวทำอะไรเหมือนเมื่อคืนก่อนไม่มีผิด ดาวิสจะเข้าใจเจตนาของเขาผิดไปไหม แล้วมันจะไปลงเอยเหมือนเดิมอีกไหม

             พอคิดถึงตรงนี้เจ้าตัวก็รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขึ้นมาทันที มือเรียววางนิ่งบนกลอนปรตูห้องแล้ววางศีรษะตัวเองพิงบานประตู ขยับเอาหัวตัวเองโขกประตูเบาๆเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัว

              “.....บ้าจริง นี่ไม่ใช่เวลามานั่งคิดเรื่องนี้นะลีนัส” เจ้าตัวบ่นพึมพำขึ้นมาเพื่อบอกตัวเอง แล้วตัดสินใจเปิดประตูออกไปข้างนอก

              ร่างบางเดินมาหยุดสูดหายใจเข้ารวบรวมสติหนึ่งที ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูห้องนอนของรองเจ้าเมืองเบาๆสองที

             “......” ระหว่างที่ยืนรอการตอบรับกลับนั้น เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาเริ่มเต้นระส่ำขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ลีนัสพยายามตั้งสติไม่ให้ตัวเองคิดไปเรื่องอื่น

            “....ท่านดาวิส?” เขารู้สึกว่ายืนรออยู่นานเกินไปแล้ว และเพิ่งรู้สึกว่าไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวใดๆมาจากข้างใน ถ้าดาวิสไม่หลับไปแล้ว ก็ต้องไม่อยู่ในห้อง จึงลองบิดกลอนประตูเปิดเข้าไปดูก็พบกับห้องที่ว่างเปล่า

               เขาไม่คิดว่าดาวิสจะออกไปไหนในคืนที่ฝนตกเช่นนี้ มีธุระสำคัญอะไรที่ทำให้ต้องออกไป พอคิดๆดูแล้วก็รู้สึกขัดใจอยู่นิดๆ ที่วันนี้เจ้าตัวเป็นคนพูดเสียเองว่าให้จัดเวลาให้เมื่อถึงเวลเฮมมิน่า พอมาหาถึงห้องกลับไม่ยอมอยู่เสียอย่างนั้น…..









                  “ซีมัสข้าไม่มีอะไรติดค้างกับเจ้า ไม่ต้องขอโทษข้า ข้าไม่ได้เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และข้าก็ไม่อยากจะพูดถึงเด็กคนนั้นอีก เจ้ากลับไปเถอะ” เรย์มอนต์เอ่ยบอกซีมัสที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบ้านไปเช่นนั้น แต่คำว่า”เด็กคนนั้น”ของเรย์มอนต์ ไปกระทบกระเทือนความรู้สึกของโรเซ่อย่างรุนแรง เธอรู้แล้วว่าสามีของเธอไม่ยอมรับดามอนต์เป็นลูก แต่ก็ไม่น่าจะจำเป็นต้องพูดแบบนั้นต่อหน้าเธอกับคนนอกอย่างซีมัส

               “เจ้ามาที่นี่ต้องการอะไรซีมัส หลังจากที่หนีหายไปถึงสามปี” โรเซ่เอ่ยถามออกไป ทำให้เรย์มอนต์ถอนใจออกมาอีกครั้งแล้วทำท่าว่าจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้โรเซ่คุยต่อเองคนเดียว แต่มือเย็นเฉียบของภรรยาก็มาจับมือของเขาไว้แน่น จึงต้องยอมยืนอยู่ข้างๆให้อีกฝ่ายรู้สึกปลอดภัย

              โรเซ่ไม่ใช่เพียงต้องการจะขัดใจสามีที่อยากจะรีบๆจบเรื่องของดามอนต์ไป ไม่ได้ถามเพราะเห็นใจเด็กหนุ่มที่ดิ้นรนฝ่าฝนมาหาตอนกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ แต่เพราะเธอเองก็มีเรื่องที่อยากจะถามคนที่ลงมือฆ่าบุตรชายของตนไป

              “ข้าต้องการเพียงมาขออภัยท่าน ที่ได้พรากชีวิตของบุตรชายท่านไป” ซีมัสย่อตัวลงไปคุกเข่าลงกับพื้น

               “แล้ว เจ้าคิดว่าแค่นี้ข้าจะอภัยให้เจ้าอย่างนั้นหรือ” โรเซ่ขมวดคิ้วเอ่ยถามกลับไปอย่างเย่อหยิ่ง

              “ไม่คิดขอรับ ข้าเพียงต้องการจะแจ้งให้ทราบว่าข้ารู้ตัวว่าข้าผิด ข้าสำนึก และมันเป็นความผิดของข้าเอง ไม่ใช่ความผิดของท่านลีนัสที่ออกตัวปกป้องข้าขอรับ” ช่างเป็นการสำนึกผิดที่ฟังดูเอาแต่ใจมากในสายตาของผู้เป็นมารดา โรเซ่เข้าใจวัตถุประสงค์หลักของเจ้าตัว

             “แน่นอนว่าท่านเจ้าเมืองไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้ออกตัวรับผิดชอบทุกการกระทำของเจ้าทั้งๆที่เจ้าไม่ควรจะเกิดมา เจ้าน่าจะรู้ตัวดี ถ้าเจ้าไม่อยากให้ท่านเจ้าเมืองแบกรับความรับผิดชอบนี้ไว้ล่ะก็ เจ้าก็ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่” โรเซ่จิดกัดกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็น เรย์มอนต์ที่ยืนอยู่ข้างๆได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาเบา

             “.............” ซีมัสรู้สึกจุกในอก ดูเหมือนผลลัพธ์ของการกระทำในครั้งนี้จะต้องจบลงอย่างที่ลีนัสว่าไว้ไม่มีผิด คำพูดของโรเซ่ทิ่มแทงเข้ามาในใจ เจ็บปวดยิ่งกว่าโดนคมมีดสั้นของดามอนต์ที่ฝังเข้ามากลางหลังเสียอีก

              “นี่มันเรื่องอะไรกันขอรับ” ชายหนุ่มในชุดคลุมกันฝนสีดำเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังซีมัสที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น แล้วเปิดผ้าคลุมกันฝนออก

               “...ดาวิส” โรเซ่รู้สึกประหลาดใจที่เห็นบุตรชายผู้ที่ไม่ค่อยจะมีเวลาแวะมาหา กลับมาหาที่บ้านในคืนฝนตก หลังจากที่เพิ่งกลับมาจากการเดินทางไปต่างเมืองมา

             “กลับมาเหนื่อยๆ ฝนก็ตก เรื่องที่บริงไฮด์ข้าไม่ได้รีบร้อนจะคุยกับเจ้าขนาดนั้น อะไรที่ทำให้เจ้าแวะเข้ามาที่บ้านในเวลานี้ได้หรือดาวิส” เรย์มอนต์ที่ได้คุยกับบุตรชายไว้ก่อนหน้าจะออกเดินทาง เอ่ยถามเจ้าตัวขึ้นมา

             “ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านแม่สักนิด แต่เรื่องนั้นคงต้องเอาไว้ก่อน ซีมัสเจ้ามาทำอะไรที่นี่” เมื่อถูกถามถึง เจ้าตัวก็ขมวดคิ้วมองหน้าผู้ถามกลับไป เป็นไปได้เขาอยากจะจัดการเรื่องนี้เองไม่อยากให้ใครยื่นมือเข้ามาช่วย แต่ดูจากสีหน้าที่ประหลาดใจของดาวิสแล้ว ทำให้เขารู้ว่าลีนัสไม่ได้ส่งเจ้าตัวมาเพื่อปกป้องเขา

              “เจ้าก็น่าจะพอเดาได้นะดาวิส” เรย์มอนต์เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าหน่ายๆ ดาวิสหันไปมองซีมัสทีหนึ่ง แล้วหันไปมองมารดาที่แสดงสีหน้าไม่พอใจอยู่ก็พอจะเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้

             “ซีมัส ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วว่าข้าไม่ติดใจเอาความอะไรเจ้าเรื่องของดามอนต์ และข้าต้องขอบคุณที่ช่วยข้าพาท่านเจ้าเมืองกลับมาได้อย่างปลอดภัย พร้อมกับชีวิตของข้า เรื่องนี้ข้าเป็นหนี้เจ้าเรื่องนึง เพราะฉะนั้นแล้ว...ท่านแม่” ดาวิสเอ่ยบอกซีมัสจบแล้วก็เดินไปจับมือเรียวของมารดาขึ้นมา

             “อภัยให้ซีมัสเถอะขอรับ จริงๆแล้วถ้าถามว่าใครต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ก็คงต้องเป็นข้าเองที่จัดเวลาสั่งสอนดามอนต์ไม่เพียงพอจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” เรย์มอนต์ยืนกอดอกเลิกคิ้วขึ้นดูการไกล่เกลียที่รวดเร็วของบุตรชายอย่างรู้สึกภูมิใจอยู่ลึกๆ แต่ก็พลาดรายละเอียดเล็กๆน้อยที่ไปกระทบกระเทือนจิตใจอันบอกบางของผู้เป็นแม่เข้า

                “......ดาวิส ถ้าเจ้าจะพูดเช่นนั้น มันคงผิดที่ข้าเองที่เลี้ยงน้องเจ้าออกมาไม่ดีเอง หรือถ้าจะให้ถูก ข้าไม่ควรจะปล่อยให้น้องเจ้าเกิดมาบนโลกใบนี้สินะ” โรเซ่เอ่ยตัดพ้อกลับมา คราวนี้กระทบไปถึงเรย์มอนต์ที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกว่าสถานการณ์ชักจะลามปามไปกันใหญ่ จึงกระแอมไอออกมาเบาๆ

              “ซีมัส ข้าว่าเจ้าได้คำตอบที่เจ้าอยากจะได้แล้ว เจ้ากลับไปเถอะ ข้าขอเวลาครอบครัวได้ไหม” ซีมัสเงยหน้าที่มองเรย์มอนต์ทำสีหน้างุนงงออกมา เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แน่ๆคือเขาไม่ควรจะรบกวนบ้านนี้มากไปกว่านี้ จึงพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นโน้มตัวลาแล้วเดินจากไปเงียบๆ

                “เอาล่ะเข้ามานั่งคุยกันข้างในก่อนเถอะ” เรย์มอนต์เอ่ยขึ้นพร้อมหันกลับเดินนำเข้ามาข้างในบ้าน ทว่าสองแม่ลูกยังคงยืนอยู่ตรงนั้น

              “ท่านแม่...ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นนะขอรับ ท่านไม่ได้ทำอะไรผิด” ดาวิสจับมือมารดาไว้พร้อมอธิบายแก้ความเข้าใจผิด

              “......เข้าไปคุยข้างในเถอะดาวิส” โรเซ่ถอนหายใจหนักๆออกมาแล้วสบัดมือบุตรชายออก เดินกลับเข้าไปในบ้าน ตรงเข้ามานั่งลงบนชุดรับแขกถัดจากที่นั่งประจำของเรย์มอนต์

             “ดาวิส ข้าถามจริงๆ เจ้าเห็นว่าซีมัสไม่ผิดอะไรจริงๆ หรือเจ้าแค่ปกป้องมันในฐานะน้องชายของเจ้าเมืองกันแน่..หรือในฐานะน้องชายของคนรักเจ้า” โรเซ่ยืดตัวตรงยกมือขึ้นกอดอกเอ่ยถามบุตรชายกลับมาตามแบบฉบับของมารดาผู้เคร่งครัด รังให้คิ้วสีดำขมวดเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์กับคำถามนี้ ถึงแม้คนที่ถามจะเป็นมารดาก็ตาม

            “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ปกป้องซีมัส ข้าพูดความจริง คนที่เริ่มเรื่องนี้คือดามอนต์ ท่านคงไม่ทราบว่าคนที่ปักมีดสั้นทั้งเล่ม เข้าไปที่กลางหลังซีมัสหวังจะฆ่าให้ตายวันนี้คือดามอนต์ แต่ไม่มีใครทราบเรื่องนี้เพราะท่านเจ้าเมืองไม่อยากเรื่องนี้แดงออกมาหรอกนะขอรับ” ดาวิสอดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ออกมา ทั้งๆที่ตั้งใจจะปิดเอาไว้ไม่ต้องการให้ใครรู้ เพื่อรักษาหน้าของตระกูลด้วย และรักษาความรู้สึกของมารดาที่มีต่อดามอนต์

                โรเซ่เพิ่งได้รับรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรก ก็รีบหันไปมองเรย์มอนต์ ท่าทางที่ไม่แสดงอาการประหลาดใจใดๆของผู้เป็นสามี ตอกย้ำให้โรเซ่ได้รับรู้ว่ามันคือเรื่องจริง และอีกฝ่ายก็รับรู้มาตลอดเช่นกัน

             “แล้วที่ข้าต้องออกตัวเช่นนั้นไม่ใช่เพื่อท่านเจ้าเมือง ใช่ขอรับที่เป็นคนที่ข้ารักถ้าท่านอยากจะให้ข้าพูดย้ำเรื่องนี้ แต่ข้าออกตัวเพื่อซีมัสที่เกือบจะต้องสละชีวิตตัวเองแทนข้าที่บริงไฮด์ เพื่อพาเจ้าเมืองกลับมา” เรย์มอนต์นั่งฟังสิ่งที่ดาวิสอธิบายมาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เจ้าตัวออกตัวยอมรับเรื่องคนรักของตัวเอง แต่เพราะไม่คิดว่าคำถามของภรรยาจะไปสะกิดความรู้สึกของบุตรชายได้ขนาดนั้น เขารู้ว่าถึงแม้ดาวิสจะอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ดูปกติใจเย็นเช่นนั้น แต่ปกติดาวิสไม่เคยคิดจะแก้ความเข้าใจของมารดาอย่างจริงจังขนาดนี้มาก่อน

                “........” โรเซ่ที่เจอคำตอบชัดๆของดาวิสเข้าไปก็อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ส่วนดาวิสเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะหลุดปากพูดออกไปขนาดนั้นเช่นกัน ความเงียบงันจึงได้ก่อตัวขึ้นมากลางบทสนทนา

                “เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับแม่เจ้า ถึงขนาดยอมฝ่าฝนแวะมาหาเวลานี้ ข้าคิดว่าคงจะเป็นเรื่องของลีนัสล่ะสิ” เรย์มอนต์เอ่ยแทรกช่องว่างอันเงียบกริบขึ้นมา ทำให้ทั้งแม่ลูกหันไปมองหน้าคนพูดอย่างประหลาดใจ

                “ข้าได้ยินมาเยอะ ว่าเจ้าทำงานลำบากแค่ไหนเมื่อเจ้าเมืองไม่ยอมคุยกับเจ้าตรงๆ ข้าก็ไม่คิดว่าลีนัสจะจริงจังกับการรักษาสัญญากับแม่เจ้าขนาดนั้นหรอกนะ ทำเอาคนในที่ว่าการเข้าใจว่าลีนัสเกลียดเจ้าที่เป็นพี่ชายดามอนต์เข้ากระดูกดำไปแล้ว แต่ที่ข้าแปลกใจกว่าก็คือเจ้านี่แหละดาวิส” ดาวิสไม่แปลกใจที่เรื่องในที่ว่าการจะไปถึงหูของบิดา แต่ไม่คิดว่าบิดาจะรู้เรื่องที่ลีนัสให้สัญญาอะไรเอาไว้กับมารดาด้วย ถ้ามีใครบอกเขาบ้างสักคำ เขาคงไม่ปล่อยให้ลีนัสหนีหน้าเขานานขนาดนี้

                “ผ่านมาสามปีเจ้ายังไม่คิดจะเปลี่ยนใจบ้างเลยรึไงกัน แม่เจ้าก็แนะนำลูกสาวตระกูลนั้นตระกูลนี้ไปให้เจ้าจนจะหมดทั้งเมืองแล้วล่ะมั้ง ข้าถามจริงๆเถอะ ทำไมถึงต้องเป็นลีนัส” ดาวิสเจอคำถามนี้เข้าไปก็ยืนนิ่งไป ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลที่จะพูด แต่ไม่เคยคิดจะพูดออกมา โดยเฉพาะกับบิดาที่ไม่เคยพูดคุยเรื่องประเภทนี้ด้วย

                “.......”

                “นั่งก่อนไหมดาวิส” เห็นท่าทางยืนนิ่งที่เหมือนคิดอะไรไม่ออกของบุตรชายเช่นนั้น เรย์มอนต์ผายมือชี้ไปที่เก้าอี้ที่ว่างอยู่

               ดาวิสถอดเสื้อคลุมกันฝนออกมาแขวนไว้ที่ราวข้างๆประตูบ้าน แล้วเดินมาทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามบิดา พลางในสมองก็ครุ่นคิดคำตอบของเหตุผลที่ถูกถามอยู่ตลอดเวลา

              พอเริ่มนึกทวนหาเหตุผลที่ต้องตอบคำถามข้อนั้น ภาพประทับใจต่างๆของลีนัสที่เก็บเอาไว้ พรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ จนเจ้าตัวเผลอยิ้มแล้วขำออกมาเบาๆ พอรู้ตัวก็รีบกระแอมไอกลบเกลื่อนไป แต่ยังคงเหลือรอยยิ้มน้อยๆอยู่ที่มุมปากกับแววตาที่ดูเปี่ยมสุขคู่นั้นยังไม่หายไปไหน

                  “....เอ่อ....จะให้ข้าพูดยังไงดี...เอาเป็นว่า ข้าหาเหตุผลที่จะเป็นคนอื่นนอกจากลีนัสไม่ได้ขอรับ ข้าไม่สามารถจะรักคนอื่นได้จริงๆ” ดาวิสที่ไม่คุ้นเคยกับการคุยเรื่องแบบนี้กับบิดา ค่อยๆตอบกลับไปอย่างกระท่อนกระแท่น

                คำตอบที่ฟังแล้วไม่ได้เนื้อหาที่เป็นรูปธรรมใดๆ แต่รอยยิ้มจางๆที่ยังหลงเหลือออยู่บนใบหน้าของบุตรชาย ก็เพียงพอแล้วสำหรับโรเซ่ที่จะเข้าใจคำอธิบายทั้งหมด เธอไม่รู้มาก่อนว่าลีนัสจะรักษาสัญญาเธอขนาดที่ไม่ยอมพูดคุยกับดาวิสตรงๆมานานขนาดนี้ ถึงจะรู้สึกขัดใจที่ลูกชายตัวเองมีความรู้สึกแบบนั้นกับอีกฝ่าย แต่ก็เข้าใจดีว่าเป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ วันนี้มีแต่เรื่องน่าขัดใจเต็มไปหมด โรเซ่ทำได้เพียงถอนใจออกมาหนักๆเพื่อระบายความหงุดหงิดออกมา

               “เอาเถอะดาวิส ข้าเข้าใจแล้ว ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของเจ้าหรอก แล้วก็เรื่องที่แม่เจ้าไปคุยไว้กับลีนัสด้วย แต่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปมีแต่ข่าวลือว่าเจ้าเมืองไม่ถูกกับรองเจ้าเมืองนานๆ ข้าว่ามันไม่ดีนัก อย่าให้มันโจ่งแจ้งก็พอแล้ว เจ้าก็น่าจะเข้าใจดีว่าต้องรักษาความหน้าเชื่อถือในหน้าที่การงานเอาไว้ด้วย” เรย์มอนต์เห็นว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องคุยถึงประเด็นนี้ให้มากไปกว่านี้อีก จึงตัดสรุปออกมา ทำให้โรเซ่หันไปมองหน้าสามีอย่างไม่พอใจ ที่อยู่ๆก็สรุปตัดสินเองเสียดื้อๆ

              “บ้านตระกูลรองเจ้าเมืองที่ไม่ยอมแต่งงาน ยังไงก็ต้องมีคนสงสัย...” โรเซ่รีบเสนอขึ้นมาแต่เรย์มอนต์ยกมือขึ้นส่งสัญญาณบอกให้ภรรยาหยุดก่อน เพราะตนยังพูดไม่จบดี

              “ข้าหมายถึงความน่าเชื่อถือของเจ้าเมืองน่ะ ข้าห่วงแค่นั้นจริงๆ” เรย์มอนต์หันกลับมาเอ่ยกำชับบอกบุตรชาย เขาไม่เคยสนใจเรื่องหยุมหยิมแค่ขี้ปากในวงสนทนาเล็กๆของชุมนุมแม่บ้านในยามเช้าหรืออะไรประเภทนั้น แต่เขาไม่เคยทิ้งหน้าที่ของรองเจ้าเมือง ที่ต้องรักษาความสงบของเมืองเป็นงานหลัก

                 “ท่านพ่อ เรื่องนั้นข้าทราบดีขอรับ...ท่านแม่ ข้าขออภัยที่ไม่อาจจะเป็นลูกที่ได้ดั่งใจท่าน” ดาวิสพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น แล้วหันไปเอ่ยกับมารดาที่นั่งกอดอกทำหน้าไม่พอใจอยู่ถัดไปข้างๆ

               “ช่วยให้อภัยลูกด้วยเถอะขอรับ” ดาวิสลุกขึ้นเตรียมจะทรุดตัวลงไปคุกเข่าแทบเท้าผู้เป็นมารดา โรเซ่ก็ลุกยืนตัวตรงขึ้นมาเสียก่อน

              “ข้าก็เลี้ยงเจ้าจนโตมาป่านนี้แล้ว อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ” หลังจากที่ซีมัสลงไปคุกเข่าต่อหน้าเธอแล้วครั้งหนึ่ง นี่จะเป็นอีกครั้งที่มีคนก้มลงคุกเข่าตรงหน้า โรเซ่ไม่ได้รู้สึกถึงการมีอำนาจใดๆที่ทำให้ใครต่อใครต้องมาขอให้เธออภัย หากแต่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนเดียวที่เป็นนางตัวร้าย ไม่ยอมเข้าใจและยอมรับอะไรให้ได้เหมือนคนอื่นๆ

             “ท่านแม่?” แววตาที่แสดงความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยของบุตรชายที่มองมา ทำให้ผู้เป็นแม่รู้สึกโกรธไม่ลง เธอถอนหายใจเบาๆออกมาด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง

            “.....เรื่องสัญญาอะไรนั่นก็ช่างมันเถอะ...ขอเวลาให้ข้าสักนิดก็แล้วกันดาวิส” โรเซ่เอ่ยทิ้งไว้แค่นั้นก็เดินกลับขึ้นชั้นบนไป

              “ขอบคุณขอรับท่านแม่” ดาวิสเอ่ยตามหลังมารดาไปโดยที่อีกฝ่ายไม่สนใจที่จะหันกลับมาฟัง

              เมื่อเหลือเพียงสองพ่อลูกที่โถงกลางบ้าน เรย์มอนต์ก็ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างกับลูกชาย แต่กลับโดนอีกฝ่ายชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

             “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขออนุญาตกลับไปก่อน ท่านพ่อมีเรื่องอะไรรึเปล่าขอรับ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนจะพูดอะไรจึงเอ่ยถามขึ้น ผู้เป็นพ่อก็กระตุกยิ้มมุมปากขึ้นมา

            “ไม่มีอะไร เอาไว้ค่อยคุยวันหลังก็ได้ ฝนยังตกอยู่เจ้าก็กลับดีๆล่ะ ดูท่าจะธุระด่วน ข้าไม่รั้งเจ้าให้พักผ่อนที่บ้านหรอกคืนนี้” เรย์มอนต์แกล้งเอ่ยแซวบุตรชายตัวเอง แล้วเอื้อมมือไปหยิบหนังสือที่ตนวางไว้ข้างๆกลับขึ้นมา

             “...........ขอรับ ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวขอรับท่านพ่อ” ดาวิสพยายามจะกลบเกลื่อนท่าทางเคอะเขินของตัวเองพร้อมตอบกลับไป เขาต้องยอมรับว่าไม่มีอะไรที่เขาจะปิดบังบิดาตัวเองได้สักเรื่องเลยจริงๆ

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Libra's Heart (Act:10 Release 3/3) 19 Apr. 2016
«ตอบ #35 เมื่อ19-04-2016 17:10:05 »

Libra's heart : Release (3/3)


               ดาวิสสวมเสื้อกันฝนพร้อมหยิบตะเกียงเดินออกจากบ้านไป ก็พบกับเงาตะคุ่มของเด็กหนุ่มร่างหนา ยืนกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่รอเขาอยู่ที่หน้าบ้าน ทำให้ดาวิสขมวดคิ้วหนาเข้าหากันเพ่งสายตามองผ่านความมืดและสายฝนที่ตกลงมาบดบังทรรศนวิสัย

               “.........ซีมัส”

               “ข้า ขออภัยที่ต้องรบกวนครอบครัวท่านเช่นนั้น” เด็กหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาหาพร้อมเอ่ยขึ้น

              “...ไม่เป็นไรหรอก ข้าเข้าใจ ว่าเจ้าเองก็อยากจะออกมารับผิดชอบ แต่จะรอพรุ่งนี้เสียหน่อยไม่ได้รึไง” ดาวิสถอนหายใจออกมาแล้วบ่นกลับไป

              “ขออภัย ข้ารู้สึกว่า ข้าปล่อยไว้นานเกินไปแล้ว” ซีมัสก้มหน้าตอบกลับมาอย่างสำนึกผิด ดาวิสเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ถอนใจพร้อมคลี่ยิ้มกลับมาจางๆ

                “เอาเถอะ ก็ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะซีมัส อย่าคิดมากเลย” ดาวิสยกมือขึ้นตบท่อนแขนอีกฝ่ายเบาๆ ทำท่าจะเดินจากไปแต่ซีมัสเอ่ยรั้งเอาไว้

               “เอ่อ…ขอบคุณนะขอรับ ที่ออกตัวให้ข้า ถึงแม้ท่านจะทำเพื่อท่านพี่ก็เถอะ…”

               “พูดอะไรของเจ้า ข้าว่าเจ้าอยู่ตรงนี้ก็น่าจะแอบได้ยินทุกอย่างแล้วนะ ว่าข้าไม่ได้ทำเพื่อพี่เจ้าน่ะ ต้องให้บอกอีกกี่รอบถึงจะพอใจเหรอ อย่าเรียกร้องความสนใจนักเลยน่า โตแล้ว” ดาวิสเอ่ยทิ้งไว้อย่างกึ่งตำหนิกึ่งแกล้งเอ่ยแซวก่อนจะเดินจากไป

               แทนที่ซีมัสจะโกรธที่ถูกตำหนิแบบนั้น เขากลับรู้สึกว่าหัวใจตัวเองพองโตขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่ดาวิสยอมรับจุดยืนที่เป็นตัวเขาเอง และยอมรับว่าตัวเขาโตแล้ว เขาก้มศีรษะลงตามหลังแผ่นหลังของดาวิสที่เดินหายไปในความมืดทีหนึ่งก่อนจะเดินกลับไปอีกทางเพื่อเดินกลับบ้าน







                  ดาวิสเดินกลับมาถึงที่ว่าการท่ามกลางสายฝนที่ไม่ยอมหยุดตกเสียที ทำให้เสียเวลาเดินทางไปพอสมควร เมื่อเดินเข้ามาถึงประตูหน้า เขาก็หันไปมองที่หน้าต่างห้องของลีนัสที่ไม่มีแสงไฟรอดออกมาแม้แต่น้อย ป่านนี้เจ้าของห้องที่เหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง น่าจะนอนหลับพักผ่อนไปแล้ว เขาน่าจะนอนพักผ่อนที่บ้านไม่น่าต้องรีบดั้นด้นกลับมาเลยจริงๆ คิดได้เช่นนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมาแล้วเดินเข้าไปข้างในอย่างผิดหวัง

                  ร่างสูงเปิดประตูห้องที่มืดสนิทตัวเองเข้าไป วางตะเกียงไว้ที่โต๊ะข้างประตูแล้วถอดรองเท้าออก และถอดเสื้อคลุมแขวนไว้กับผนัง แล้วหันกลับมายืดแขนบิดตัวคลายความเมื่อยล้าเล็กน้อย ทว่ายังไม่ทันที่จะได้เหยียดกายท่อนแขนหนาหยุดนิ่งไป เมื่อสายตากวาดมองไปเห็นเงาดำๆอะไรบางอย่างอยู่บนโซฟาที่ห้อง ทั้งๆที่จำได้ว่าตนเองไม่ได้วางของชิ้นใหญ่ขนาดนั้นบนโซฟา

                ผู้เป็นเจ้าของห้องเดินมาจุดตะเกียงเพิ่มอีกอัน แล้วเดินถือเข้าไปหาที่โซฟาหลังนั้นด้วยความสงสัย เมื่อแสงสว่างสีส้มอ่อนจากตะเกียงส่องไปถึง เห็นพวงแก้มเนียนของคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนโซฟา ภาพตรงหน้าทำให้เขาต้องรีบยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองแล้วมองดูอีกที เขาอาจจะเหนื่อยเกินไปจนมองอะไรผิดเพี้ยนไป แต่ภาพตรงหน้านั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

                  “....ลีนัส” เพราะอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบ และยังหลับสนิทดูไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ดาวิสจึงเอ่ยเรียกชื่อเจ้าตัวห้วนๆออกมาเบาๆ พร้อมทั้งทรุดตัวลงไปนั่งที่ข้างหน้าโซฟาและเอื้อมมือไปสัมผัสเรือนผมของอีกฝ่ายอย่างเบามือ

                 “....อือ” สัมผัสแผ่วเบาทำให้แววตาที่ดูสะลึมสะลือค่อยๆกระพริบลืมขึ้น พร้อมทำเสียงงัวเงียออกมา

                 “ง่วงนอนจนเข้ามานอนผิดห้องแบบนี้ไม่ดีนะขอรับ” ดาวิสแกล้งเอ่ยขึ้นมาในขณะที่อีกฝ่ายค่อยๆยันตัวลุกกลับขึ้นมานั่งขยี้ตาตัวเองเบาๆ

                   “ข้าไม่ได้เข้าผิดห้อง...ข้ามารอท่านต่างหาก ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านเรื่อง…..” ดาวิสอมยิ้มดูท่าทางงัวเงียเหมือนลูกแมวเพิ่งตื่นนอนของอีกฝ่าย ที่พยายามเรียบเรียงถ้อยคำออกมาทีละนิดๆ หลังจากที่สมองเพิ่งตื่นขึ้นมาทำงาน

                 “...ซีมัส” พลันเมื่อชื่อนี้หลุดออกมาจากปากรอยยิ้มของเขาก็หายไปในทันที นี่คงจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เจ้าตัวยอมเข้ามานอนรอเขาที่นี่

             “อา...ใช่ขอรับ ซีมัสไปหาแม่ข้าที่บ้านมาขอรับ ถ้าท่านกังวลเรื่องนั้นล่ะก็ ทุกอย่างจบลงด้วยดี ถึงแม้แม่ข้าจะยังไม่อาจจะรับได้เท่าไหร่นักก็ตาม” ดาวิสถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะลุกถอยห่างออกมาพร้อมอธิบายให้เจ้าตัวสบายใจ

              “....ท่านกลับไปที่บ้านมาหรือขอรับ ขออภัยด้วยที่ซีมัสเข้าไปรบกวน” ดาวิสไม่ได้คิดว่าซีมัสรบกวนอะไรที่บ้านมากนัก แต่น่าแปลกที่เจ้าตัวไม่ได้โผล่มาที่นี่แต่กลับรบกวนทำลายบรรยากาศไปได้อย่างเฉียบพลัน

             “ไม่เป็นไรหรอกขอรับท่านเจ้าเมือง ถ้านั่นเป็นเหตุผลที่ท่านลำบากมานอนรอที่นี่ ก็กลับไปพักผ่อนต่อที่ห้องเถอะขอรับ” ดาวิสไล่อีกฝ่ายกลับไปทั้งคำพูดและท่าทาง ที่ปลีกตัวออกไปยืนหน้าทางเข้าห้องน้ำถอดเสื้อตัวเองออก

                “ท่านดาวิส...ถ้าไม่รบกวนท่านจนเกินไปข้าอยากจะคุยกับท่าน…” การที่อีกฝ่ายยังเอ่ยเรียกเขาด้วยชื่อตำแหน่งเช่นนั้น ทำให้ลีนัสรู้สึกผิดจึงลุกขึ้นเดินตามเจ้าตัวไปสะกิดแผ่นหลังอีกฝ่ายเบาๆ พลันดาวิสก็หันกลับมาคว้าข้อมือนั้นเอาไว้ และผลักร่างบางชิดกับกำแพงห้อง

               “ถ้าท่านยังไม่กลับไปตอนนี้ ข้าจะไม่ให้ท่านกลับออกไปจนกว่าจะเช้านะขอรับ เข้าใจความหมายที่ข้าพูดใช่ไหมขอรับท่านเจ้าเมือง” ดาวิสก้มลงไปกระซิบขู่ด้วยน้ำเสียงนุ่มๆที่ข้างหู ทั้งสัมผัสจากลมหายใจอ่อนๆที่ไซร้ซอกคอของของลีนัส ทั้งความหมายแฝงที่ตั้งการจะสื่อมา ประกอบกับแผ่นอกแน่นเปลือยเปล่าตรงหน้า ทำให้ร่างบางใจเต้นระส่ำขึ้นมาอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่ จึงรีบเบือนสายตาหนีไปมองที่อื่น ดาวิสเห็นว่าลีนัสหลบหน้าตนเช่นนั้นก็คลายมือปล่อยข้อมือของอีกฝ่ายออกไป แล้วจะปลีกตัวไปอาบน้ำแต่ลีนัสกลับรีบคว้ามือหนามาจับเอาไว้แน่น

               “....ท่านดาวิส ข้าขอโทษที่รบกวนท่านเวลาเช่นนี้ ข้าแค่รู้สึกว่าข้าควรจะต้องเอ่ยขอบคุณท่านสักครั้งที่พาข้ากลับมา แล้วข้าขอโทษด้วยที่รบกวนท่านหลายเรื่อง ข้าจะพยายามไม่รบกวนท่านอีก อย่าโกรธข้าแบบนี้ได้ไหมขอรับ” แทนที่ลีนัสจะยอมจากไปเพราะคำขู่ของตน กลับจับมือของเขาไว้แน่น และเอ่ยขึ้นมาอย่างคนสำนึกผิด ท่าทางของคนตรงหน้า ทำให้ดาวิสลืมความรู้สึกโกรธเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น ลืมตำแหน่งของอีกฝ่ายที่ตนต้องเคารพยำเกรง มือแกร่งออกแรงดึงร่างบางเข้ามากอดแนบอกไว้แน่น

              ลีนัสที่ถูกดึงตัวไปแนบชิดกับแผ่นอกกำยำเปลือยเปล่า ไม่กล้าที่จะกอดอีกฝ่ายกลับไปได้เหมือนกับคนอื่นๆที่วันนี้เข้ามากอดเขา เพราะกลัวว่าดาวิสจะได้ยินเสียงหัวใจของเขา ที่ตอนนี้เต้นแรงจนเขาแทบไม่ได้ยินอะไรอีกแล้วนอกจากเสียงหัวใจที่น่าหนวกหูของตน แต่ก็ไม่คิดจะปฏิเสธอ้อมกอดนั้น เพราะนี่คืออ้อมกอดเดียวที่เขาโหยหามากที่สุดหลังจากที่ได้กลับมาจากบริงไฮด์

                  ครู่หนึ่งดาวิสก็ฝังสันจมูกโด่งของตัวเองลงไปกับซอกคอขาวของคนในอ้อมกอด แล้วสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ กลิ่นกายหอมสะอาดที่เข้าจมูกของดาวิส ทำให้เจ้าตัวคิดถึงเมื่อคืนก่อนที่เจ้าตัวเข้ามาหาเขาในห้องนี้ นึกขึ้นได้เช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวขึ้นมา

                   “ที่อาบน้ำเสร็จแล้วแวะมาหาข้าเวลาแบบนี้ คิดจะขอบคุณข้าด้วยวิธีนี้รึเปล่าขอรับท่านเจ้าเมือง” ร่างหนาแกล้งกระซิบถามอีกฝ่ายไปเบาๆที่ข้างหู พลางเคลื่อนมือลงมาตามแผ่นหลังของร่างบางแล้วหยุดเคล้าคลึงที่สะโพกด้านหลังเรื่อยลงมา ยังผลให้อีกฝ่ายหน้าแดงซ่านขึ้นมา ลีนัสฝังใบหน้าที่แดงก่ำของตัวเองลงไปซ่อนกับแผ่นอกแกร่งอย่างลืมตัว

                    “มะ..ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าก็แค่...” เสียงลีนัสปฏิเสธรอดออกมาเบาๆจากอ้อมกอดแกร่ง ถึงเขาจะไม่ได้ตั้งใจจะให้ดาวิสเข้าใจอย่างนั้น แต่ตัวเขาเองก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่เขาทำดูจะสื่อไปให้คิดอย่างนั้นจริงๆ

                     “เหวอ!! ท่านดาวิส!!?” ยังไม่ทันที่ลีนัสจะหาข้ออ้างมาปฏิเสธได้ทัน ร่างบางก็ถูกหิ้วขึ้นพาดบ่าอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

                      “ข้าว่าข้าเตือนท่านตั้งแต่เมื่อครู่แล้วนะขอรับ...” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางอุ้มลีนัสเดินตรงไปวางลงบนเตียงหลังใหญ่ในห้อง

                  “...ท่านดาวิส ข้าไม่ได้มาหาท่านเพื่อจะทำอะไรแบบนี้นะขอรับ..” ลีนัสยกมือขึ้นมาผลักไหล่หนาของอีกฝ่ายออกไปเบาๆ เป็นเชิงร้องขออย่างนุ่มนวล ที่ไม่ออกแรงเยอะเพราะรู้ว่าออกแรงไปก็สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี ดาวิสคลี่ยิ้มจางๆมองความน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย ที่พยายามจะแก้ตัวแก้สถานการณ์อย่างนุ่มนวลตามแบบของเจ้าตัว

                “......!!” มือเรียวข้างที่ผลักไหล่หนาอยู่นั้น ถูกมือแกร่งคว้าขึ้นมาจูบที่หลังมืออย่างทะนุถนอม สัมผัสนุ่มๆจากริมฝีปากของดาวิสทำให้หัวใจของร่างบางเต้นระส่ำขึ้นมาอีกครั้ง

                แววตาสีน้ำเงินเข้มทอดมองใบหน้าหวานที่ตอนนี้หน้าแดงไปถึงใบหู เขาคลี่ยิ้มขึ้นมาที่มุมปากก่อนจะโน้มตัวก้มลงไปบดขยี้ริมฝีปากบางตรงหน้า

                 “....…อือ...” ทั้งจังหวะการเต้นของหัวใจที่รุนแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาข้างนอก สัมผัสอันอบอุ่นจากฝ่ามือหนาที่ทาบทับฝ่ามือตัวเองทั้งสองข้าง ทำให้เขาเผลอกุมฝ่ามือหนาคู่นั้นกลับไปอย่างลืมตัว และความรู้สึกวาบหวามที่ก่อนตัวขึ้นมาจากปลายลิ้นอันช่ำชองของอีกฝ่าย ความรู้สึกอันมากมายนี้ทำให้เจ้าเมืองหนุ่มทิ้งสำนึกคิดทุกอย่างไป พร้อมๆกับเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน

              “ถ้าท่านจะปฏิเสธข้า ช่วยชัดเจนกว่านี้นะขอรับ...ท่านเจ้าเมือง” ร่างหนาที่ยันกายคร่อมอยู่ด้านบนทอดสายตาคลี่ยิ้มมองใบหน้าแดงก่ำที่นอนไร้เรี่ยวแรงต่อต้านกำลังหายใจหอบอยู่เบาๆ ดาวิสเอ่ยย้ำเรียกอีกฝ่ายเช่นนั้น ใบหน้าหวานก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที

               “.....เลิกเรียกข้าแบบนั้นเสียทีได้ไหมขอรับ...อย่างน้อยๆก็ตอนนี้…” เสียงขอลีนัสค่อยๆแผ่วลงที่ท้ายประโยค ท่าทางที่ไม่กล้าเอ่ยออกมาตรงๆของลีนัสทำให้ดาวิสยิ่งอยากจะแกล้ง จึงคลี่ยิ้มมุมปากขึ้นมาแล้วโน้มตัวลงไปกระซิบถามที่ข้างหู

               “ขอคำอธิบายคำว่าตอนนี้ของท่านได้ไหมขอรับท่านเจ้าเมือง” แค่ลมหายใจเบาๆที่ไซร์ใบหูก็ทำให้ร่างบางตัวเกร็งแล้ว นี่ยังจะถูกริมฝีปากของคนถามเคลื่อนมาขมเม้มที่ติ่งหู แล้วไล่พรมจูบลงมาที่ซอกคอ

               “อ่ะ....ท่านดาวิส…ขอร้องล่ะ...พอเถอะ...” เสียงกระซิบค้านของร่างบาง ขาดหายไปตามจังหวะที่ริมฝีปากหนาสัมผัสลงมาที่ซอกคอ และเมื่อมืออันซุกซนของอีกฝ่ายยกขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อนอนสีขาวของเขา มือเรียวที่ได้รับการปลดปล่อยก็ยกขึ้นมาบังริมฝีปากผู้เป็นต้นเหตุทันที ทำให้ดาวิสยอมหยุด

               “......คนในเมืองเรียกข้าแบบนี้ทั้งนั้น อย่าให้ข้าเผลอคิดถึงเรื่องนี้ทุกครั้งที่ถูกเรียกได้ไหมขอรับ….” ลีนัสทำหน้าบูดขมวดคิ้วเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ

               “ดีสิ ท่านจะได้คิดถึงข้าบ่อยๆไง ท่านเจ้าเมือง” ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าลำบากใจ ดาวิสก็ยิ่งรู้สึกอยากแกล้งมากขึ้นอีก

              “ท่านดาวิส !!....ไม่ทันแล้วมั้ง….” ลีนัสขึ้นเสียงว่าดาวิสกลับไปแล้วก็ถอนใจยกมือขึ้นก่ายหน้าผากเบือนหน้าหนี ดาวิสจึงยอมเลิกเล่น เขาถอนใจออกมาเพื่อปรับอารมณ์ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามร่างบางกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง

              “ถ้าข้ากลับมาเรียกเจ้าเหมือนเดิม เจ้าจะกลับมาเป็นของของข้าไหมลีนัส” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามพลางใช้ปลายนิ้วเชยคางมนของอีกฝ่ายกลับขึ้นมาสบตา

               “.......” ลีนัสทำหน้าเมือนจะพูดอะไรกลับมาแต่กลับเงียบไป ภาษาการพูดคุยเดิมๆที่เคยคุยกันของดาวิส ทำให้เขาอยากจะโผเข้าไปกอดอีกฝ่ายเดี๋ยวนั้น เขาอยากให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม แต่ก็รู้ว่ามันหมดเวลาแล้ว สำหรับเขาที่เติบโตขึ้นมาเป็นเจ้าเมืองที่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองออกปากไปแล้ว

              “ลีนัส เจ้าอย่าเอาคำพูดของคนอื่นมาตัดสินความสัมพันธ์ของเราสองคนได้ไหม ข้ารู้ว่าข้าแสดงออกต่อเจ้าได้แค่ไหน ในฐานะที่เจ้าเป็นเจ้าเมือง แต่เวลาที่อยู่แค่สองคนเจ้าอย่าเอาคำพูดของคนอื่นมาผลักข้าออกไปได้ไหม หรือเจ้าเห็นว่าความสัมพันธ์ของเรามันไม่ได้มีค่าอะไรเลยรึไงลีนัส”

             “...ท่านดาวิส...ท่านนั่นแหละที่ไม่เห็นค่าของความสัมพันธ์ที่มีระหว่างเราเลย” ลีนัสขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเถียงกลับไป เหมือนเก็บเอาไว้อยากจะพูดมานานแล้ว

                   “หมายความว่ายังไงลีนัส”

                   “กับท่านที่เลือกจะเอาชีวิตตัวเองมาแลกกับข้า มันก็โหดร้ายกับข้าเลยเหมือนกันนั่นแหละขอรับ ท่านตายไปจะให้ข้าอยู่ต่อยังไงขอรับ นี่คือการให้คุณค่าของความสัมพันธ์ของท่านหรือขอรับ….. ข้ายังไม่พร้อมที่จะเสียท่านไปตอนนี้หรอกนะขอรับ” ลีนัสขมวดคิ้วต่อว่าดาวิสออกไปยกใหญ่อย่างโกรธเคือง แต่กลับมีหยาดน้ำตาไสๆไหลเอ่อออกมาจากแววตาสีเพลิงคู่นั้น ทำเอาดาวิสรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ เขารีบก้มลงไปกอดร่างบางไว้แน่น

                  “.....ลีนัส ข้าขอโทษ ข้าแค่ทนให้องค์ชายเฟริคทำแบบนั้นกับเจ้าไม่ได้จริงๆ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาอย่างสำนึกผิด กับอ้อมกอดอันอบอุ่นแทรกซึมความอุ่นวาบให้กับหัวใจของร่างบางในอ้อมกอด ลีนัสอยากจะอยู่อย่างนี้ต่อไปนานๆ

                  “อย่าร้องไห้เลยนะ ข้ายังอยู่กับเจ้าตรงนี้” พอถูกดาวิสปลอบเหมือนเด็กๆแบบนั้น ลีนัสก็รู้ตัวขึ้นมาว่าได้พูดจาและทำตัวน่าอายออกไป เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองเผลอร้องไห้ออกไปด็เมื่อถูกดาวิสพูดขึ้นมาเช่นนั้น และตอนนี้ได้รู้ตัวแล้วว่าไม่ควรจะอยู่ในบรรยากาศแบบนี้นาน จึงหาเรื่องมาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

                  “...ท่านดาวิส….ข้าหนัก…” บรรยากาศถูกทำลายทิ้งไปได้อย่างฉับพลัน ทำให้ดาวิสต้องถอนหายใจออกมาอย่างรู้สึกขัดอารมณ์ แต่ก็ยอมขยับไปทิ้งน้ำหนักตัวลงไปนอนข้างๆ

                  “.....ตกลงที่โกรธข้าเมื่อตอนกลางวันเพราะเรื่องนี้หรอกหรือ ข้าคิดว่าเจ้าโกรธที่ข้าใช้ให้ซีมัสลงมือเสียอีก” ดาวิสทวนถามพลางไร้ปลายนิ้วไปตามรอยคราบน้ำตาบนใบหน้าเนียน ที่ตอนนี้แห้งหายไปแล้ว

                   “.......ข้ารู้ว่าข้าไม่มีเหตุผลที่จะโกรธ...”

                  “ไม่หรอก เจ้าน่ะหัดทำตัวเอาแต่ใจกับข้าเรื่องแบบนี้บ้างน่ะดีแล้ว ข้าจะได้รู้ว่าเจ้าคนรักข้ายังมีหัวใจให้ข้าอยู่บ้าง” ลีนัสไม่เข้าใจว่าทำไมดาวิสถึงได้พูดอะไรน่าอายแบบนี้ออกมาได้อย่างง่ายดายนัก และยิ่งเมื่อใบหน้าคมเข้มเจ้าของคำพูดนั้นอยู่ห่างจากใบหน้าตัวเองไปนิดเดียว การที่อีกฝ่ายเอ่ยบอกเขาตรงๆโดยที่ไม่ละสายตาออกไปจากเขาแม้แต่น้อย ทำให้ลีนัสยิ่งรู้สึกเขินหนักจึงพลิกตัวหนีหน้าอีกฝ่ายไป

                 “....พูดอะไรของท่าน...ข้าไม่ใช่เด็กๆแล้วนะขอรับ จะทำอะไรตามใจตัวเองได้ยังไง….” ดาวิสรู้สึกเหมือนโดนอีกฝ่ายบอกปฏิเสธความรู้สึกที่เขาตั้งใจจะถ่ายทอดออกมา จึงเดาะลิ้นขึ้นมาอย่างไม่พอใจพร้อมยันร่างตัวเองขึ้นมานั่ง

                 “เจ้านี่ หัดทำตัวคล้อยตามไปกับบรรยากาศบ้างเป็นไหม” ดาวิสดึงท่อนแขนบางของอีกฝ่ายให้พลิกตัวกลับมามองที่เขาอีกครั้ง แล้วโน้มตัวลงไปหาพร้อมกับลากมือไล้ท่อนขาขาวของลีนัสขึ้นไปใต้ชายเสื้อนอนตัวยาว

                 “...!!...ท่านดาวิส!?” ท่อนแขนเรียวรีบยกมือมาจับมือกร้านที่กำลังจากลากมือสูงขึ้นมาเรื่อยๆ

                 “ถ้าข้ายังเห็นว่าเจ้าเป็นเด็กๆอยู่ ข้าไม่ทำอะไรแบบนี้กับเจ้าหรอก เจ้าก็น่าจะรู้” มือของลีนัสที่วางลงมาหยุดมือของดาวิสนั้นไม่ได้ผล เสื้อนอนของร่างบางถูกถกขึ้นมาจนเผยท่อนขาอ่อนออกมาให้เห็น และมือซุกซนคู่นั้นยังคงลูบขึ้นต่อไป จนถลกเปิดขึ้นไปถึงจุดที่ร่างบางพยายามจะปกปิดไว้

                “โฮ่... ใครกันจะเชื่อ ว่าท่านเจ้าเมืองจะแวะมาหาข้าถึงห้องทั้งสภาพที่น่ายั่วยวนอย่างนี้” ดาวิสหยุดพินิจพิจารณาผิวเนียนขาวตรงหน้า พร้อมทั้งแกล้งเอ่ยแซวร่างบางให้ยิ่งรู้สึกอายจนหน้าแดงเป็นลูกมะเดื่อ

                “...ก็บอกว่าอย่าเรียกข้าแบบนั้น...อ๊ะ!!” ร่างบางสะดุ้งเฮือกขึ้นมา เมื่อเรียวขาถูกจับให้ห่างออกจากกัน แล้วดาวิสก็ก้มลงมาฝังริมฝีปากลงที่ซอกขาอ่อนด้านใน

               “อือ...ท่านดา...วิส...อึก..ปะ ปล่อย ย๊ะ!! อื้อ...!!” ยิ่งลิ้นสากลากเข้ามาใกล้จุดสำคัญมากขึ้นเท่าไหร่ ร่างบางก็ยิ่งเกร็งตัวพยายามจะบิดหนีความรู้สึกเสียวซ่านนั้น แต่พยายามดิ้นแรงแค่ไหนก็ตาม ท่อนแขนแกร่งที่รั้งเรียวขาคู่นั้นแทบจะไม่ขยับไปไหนเลยสักนิด

             เสียงจูบเสียงดูดผิวบางตามซอกขาอ่อนจากริมฝีปากหนาประสานกับเสียงครางเบาๆของลีนัส ก่อเกิดเป็นเสียงบรรยากาศที่ฟังแล้วยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของคนทั้งสองมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่คิดว่าไม่น่าจะกู่กลับมาได้อีกแล้ว

                อยู่ๆการรุกรานอันเร่าร้อนก็หยุดลงไปกระทันหัน ทำให้ลีนัสรู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายหยุดไปกลางครันเช่นนั้น จึงยันตัวลุกขึ้นมาทั้งๆที่ยังหายใจหอบอยู่นิดๆสบตามองดาวิสอย่างสงสัย เมื่อสบตาเข้ากับร่างหนาที่ขยับตัวลุกขึ้นมาวางมือคร่อมเขาไว้ มุมปากที่ดูเจ้าเล่ห์ก็กระตุกยิ้มขึ้นมา ทำให้ลีนัสรู้สึกเหมือนว่าเขาได้พลาดท่าให้ดาวิสไปเสียแล้วอย่างไรอย่างนั้น

               “ขออภัยที่ขัดอารมณ์กลางคัน แต่ก่อนที่ข้าจะหยุดไม่ได้ ข้าขอตัวไปอาบน้ำก่อนได้ไหม ตั้งแต่ออกเดินทางจนกลับมาถึงนี่ข้ายังไม่ได้อาบน้ำเลย เจ้าอุตส่าห์อาบมาแล้วเสียหอมขนาดนี้” ดาวิสอธิบายพลางก้มลงไปจูบที่ซอกคอของอีกฝ่ายเบาๆแล้วขยับไปกระซิบบอกที่ข้างหูของลีนัส

               “ข้าสัญญาว่าไม่นาน” ดาวิสขยับมาจูบที่หน้าผากของร่างบางทีหนึ่งแล้วรีบลุกเดินหายไปในห้องน้ำทันที ทิ้งให้ลีนัสนอนนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกอยู่บนเตียงหลังใหญ่คนเดียว

                ลีนัสไม่เคยรู้ว่าดาวิสจะใส่ใจในเรื่องแบบนี้มาก่อน ร่างบางนอนขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่คนเดียวบนเตียงนุ่มนั่น ในขณะที่ได้ยินเสียงน้ำดังออกมาจากทางห้องน้ำ

               ….ข้ายังไม่ได้พูดว่ารังเกียจสักคำ…. ลีนัสนึกอยู่ในใจ พลางคิดค่อไปว่า เมื่อครู่นี้เขาเกือบจะยกมือขึ้นมารั้งท่อนแขนแกร่งคู่นั้นเอาไว้อยู่แล้ว เพื่อจะบอกว่า”ไม่ต้องก็ได้”

                 “!!?” ลีนัสคิดถึงสิ่งที่ตัวเองเกือบจะพูดออกมาก็รีบลุกขึ้นมานั่ง ยกมือมาปิดหน้าตัวเองที่รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง

                ลีนัสตั้งสติตัวเองกลับขึ้นมาได้ก็หันไปมองที่ประตูห้อง จริงๆแล้วนี่เป็นจังหวะที่ดีที่เขาควรจะรีบหนีออกไปจากเตียงหลังนี้ ก่อนที่เขาจะจมปลักไปกับดาวิสมากเกินกว่าจะยอมปล่อยมือตัวเองออกไปได้ หรือตอนนี้ก็อาจจะไม่ทันเสียแล้ว ถ้าไม่เช่นนั้น เขาคงยังไม่นั่งนิ่งอยู่อย่างนี้

                ร่างบางตวัดขาตัวเองลงมาวางที่พื้นข้างๆเตียง แล้วหยุดมองปลายเท้าตัวเองที่ไม่ยอมขยับไปไหนมากกว่านี้ ปลายเท้าที่แตะอยู่บนพื้นหินเย็นๆที่พื้นห้อง ในใจนึกหาเหตุผลต่างๆนานามาเพื่อจะรั้งตัวเองไว้ ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรจะอยู่ต่อ

                ถ้าดาวิสกลับมาไม่เจอเขาจะเสียใจแค่ไหน เขาไม่ควรจะทำให้คนที่อุตส่าห์เข้าไปช่วยเขากลับมาจากบริงไฮด์ ต้องรู้สึกผิดหวัง ดาวิสสัญญาไปแล้วว่าจะไปไม่นานเขาควรจะต้องรอใช่ไหม เขายังมีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกับดาวิสอีกหรือไม่

                 “โฮ่….ข้าคิดว่าจะกลับมาเจอเตียงเปล่าๆเสียอีก” ระหว่างที่จมอยู่ในห้วงความคิดนั้น อยู่ๆก็มีเสียงดาวิสเอ่ยทักขึ้นมาจากประตูห้องน้ำ ทำเอาร่างบางสะดุ้งยืนขึ้นมา เหมือนว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง

                “...มะ..หมายความว่ายังไงขอรับ” ลีนัสหันไปถามดาวิสที่เดินกลับมาในสภาพที่ผมยังชื้นๆ ในเสื้อคลุมอาบน้ำตัวใหญ่ที่ใส่ไว้หลวมๆ

                “ข้าก็แค่จะวัดใจเจ้าดูว่าเจ้าจะหนีข้ากลับไปไหม” ลีนัสไม่ทันได้คิดถึงจุดๆนี้ เลยได้แต่ยืนนิ่งหน้าแดงอยู่ตรงนั้น ในขณะที่ดาวิสเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วเคลื่อนหน้าเข้าไปกระซิบบอกที่ข้างหู

                 “ข้าไม่อยากให้ท่านมาอ้างว่าถูกอารมณ์พาไปทีหลังนะขอรับ ท่านเจ้าเมือง” ดาวิสยังคงแกล้งประชดเรียกตำแหน่งของลีนัสเช่นนั้นต่อ เขายังอดไม่ได้ที่จะประชดลีนัสที่ทำตัวเย็นชากับเขาแบบนั้นไปเมื่อตอนบ่ายอยู่

               “ท่านดาวิส!! ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้แหละขอรับ!! ปล่อยข้า!!” ลีนัสผลักดาวิสออกแล้วเดินตรงไปยังประตูห้องที่เขาจ้องมองอยู่เมื่อครู่อย่างลังเลอยู่นานแล้ว

              “เดี๋ยวก่อนลีนัส ข้าขอโทษ” ดาวิสรีบเดินตามมาคว้าข้อมือของลีนัสเอาไว้ แล้วเข้าไปสวมกอดร่างบางจากข้างหลัง

              “....ขอโทษ...ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว”

              “.......” พอถูกน้ำเสียงทุ้มหนาของดาวิสเอ่ยอ้อนกระซิบที่ข้างหูเช่นนั้นลีนัสก็ใจอ่อนลงไปทันที จริงๆแล้วเขารู้สึกโล่งใจเสียด้วยซ้ำ ที่ดาวิสมารั้งเขาเอาไว้ เขายังไม่อยากจะจากอ้อมกอดนี้ไป อย่างน้อยก็คืนนี้ หยดน้ำเย็นๆที่ไหลลงมาจากเรือนผมเปียก สัมผัสชื้นๆจากแผ่นอกกว้าง บ่งบอกให้รู้ว่าดาวิสนั้นรีบร้อนที่จะออกมาาหาเขาแค่ไหน ถึงแม้จะทำเป็นปากดีเช่นนั้นก็ตาม

              “ท่านก็ไม่เห็นจะต้องรีบขนาดนี้เลย เดี๋ยวก็เป็นหวัดอะ..อือ” ลีนัสหันกลับมาหาดาวิส ยกมือขึ้นจัดเสื้อคลุมอีกฝ่ายซับหยดน้ำบนแผ่นอกหนาตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกช้อนปลายคางขึ้นมารับริมฝีปากหนาที่ทาบทับลงมาอย่างนุ่มละมุน

            เมื่อลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ริมฝีปากบางถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ก็เห็นแววตาสีน้ำเงินเข้มจ้องตรงเข้ามาในระยะประชิด พร้อมกับกระซิบอ้อนเสียงนุ่มๆกลับมา

            “คืนนี้อยู่กับข้าเถอะนะ”








Release : 3/3  End

ปรากฏว่าไม่ได้  release กันสักคน จบกันดื้อๆแบบนี้แหละ ที่เหลือไปจิ้นกันเอง เดี๋ยวจะทะลุเรท
(ใครอย่ามายุให้เขียนต่อนะ เดี๋ยวเขียน)



ป.ล. เหลือ Finale อีกบทนะ หน่อยนึง จะจบละ

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
«ตอบ #36 เมื่อ27-04-2016 10:39:05 »

11 Libra’s heart : Finale



                 “อ้า อรุณสวัสดิ์ท่านดาวิส ตื่นเช้าเหมือนเดิมนะคะท่านดาวิส ทั้งๆที่ไม่ได้นอนมาตั้งสองคืน” เด็กสาวคลี่ยิ้มเอ่ยทักทายรองเจ้าเมืองหนุ่ม ที่นั่งพักผ่อนจิบชาชมวิวสวนในยามเช้าอย่างสบายอารมณ์อยู่

                 “พอจบเรื่อง ได้หลับลึกๆสักสองชั่วโมงก็พอแล้ว” ดาวิสตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี ดูจะดีกว่าปกติตั้งแต่ก่อนจะมีเรื่องเสียอีก พอได้คุยกับดาวิสที่เพิ่งกลับมาจากการเดินทางเมื่อวานนี้ ก็เริ่มหันซ้ายหันขวามองหาลีนัส

                  “ท่านลีนัส ยังไม่ลงมาเหรอคะ” เรเชลถามขึ้นมาดาวิสก็กระตุกยิ้มที่มุมปากขึ้นมา

                  “ท่านเจ้าเมืองก็มีวันที่ตื่นสายบ้างเหมือนกันแหละน่า เจออะไรๆมาเยอะ ให้พักผ่อนเสียบ้างเถอะ” ดาวิสว่าพลางยกชาขึ้นจิบ พลันก็มีเสียงเด็กหนุ่มโวยวายวิ่งเข้ามาหา

                  “ท่านดาวิส!!  แย่แล้วขอรับ ท่านลีนัสไม่ได้อยู่ที่ห้อง!!” ความสงบยามเช้าพังทลายลงทันทีที่ลุคซ์วิ่งหน้าตื่นเข้ามา ทำเอาดาวิสแทบสำลักชาที่เพิ่งจิบเข้าไปเมื่อกี้ออกมา เขาไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเข้าไปรบกวนเจ้าเมืองถึงห้อง ในเช้าวันนี้หลังจากที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึง

                  เรเชลได้ยินเช่นนั้นก็เอียงคอตัวเองนิดๆถามหาลีนัสเอากับภูติระแวกนั้นทันที พลันเธอก็หรี่ตากลับไปมองที่ดาวิส

                 “เดี๋ยวนะ ข้าไม่รู้จริงๆว่าภูติบอกอะไรเจ้าได้บ้าง แต่เอาไว้เราค่อยคุยกันได้ไหมถ้าเจ้ามีเรื่องอยากจะถาม” ดาวิสรีบยกมือขึ้นมาหยุดเรเชลที่ทำท่าเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา

               “โดยกฏของลีบลาแล้ว ข้าจะไม่ถามเรื่องส่วนตัวคนอื่นเอากับภูตินะคะ….แต่…” เรเชลเว้นช่วงไปเพื่อจะก้มตัวลงไปทำเสียงเบาถามรองเจ้าเมืองหนุ่มที่นั่งทำหน้าลำบากใจอยู่

                “...ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ มันเกิดอะไรขึ้นที่บริงไฮด์คะ” แววตาเปล่งประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็กสาวทำให้ดาวิสต้องแปลกใจกับเจ้าตัวอยู่ไม่น้อย เจ้าเมืองหนุ่มร่างเล็กนิสัยนุ่มนวลใบหน้าหวานอย่างลีนัสในสายตาของเรเชลเอง การที่เจ้านายเธอจะมีคนรักเป็นผู้ชายไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้เธอแต่อย่างใด แค่ไม่คิดว่าเป็นคนใกล้ๆตัวที่เจ้าตัวทำเพิกเฉยมาตลอด

                 “ไหนว่าไม่ถามไง” ดาวิสขมวดคิ้วถามกลับไป

                 “ข้าถามกับท่านไม่ได้ถามกับภูตินี่คะ ไม่ผิด”

                  “........”

                   “ทำไม เกิดอะไรขึ้น นี่ท่านลีนัสหายไปทั้งคน สนใจกันหน่อยได้ไหมขอรับ? ดูเหมือนจะหายไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะขอรับ เตียงก็ปูไว้เหมือนไม่ได้นอนเลย!!” ลุคซ์ที่ยืนรอฟังคำตอบจากเรเชลทนไม่ไหว จึงเร่งเร้าขึ้นมา ทำให้ดาวิสลำบากใจหนักกว่าเดิม

                 “เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกลุคซ์ ข้าเจอท่านลีนัสแล้ว ปลอดภัยดีเจ้าไม่ต้องห่วง” เรเชลหันไปตอบการ์เดี้ยนหนุ่มที่กำลังร้อนรนอยู่

                “แล้วตอนนี้ท่านลีนัสอยู่ไหนขอรับ” คำถามถัดไปเป็นคำถามที่เรเชลยังไม่ได้เตรียมคำตอบที่เหมาะสมเอาไว้

                “เอ่อ…..” เรเชลกรอกตาไปหาดาวิสเพื่อจะให้อีกฝ่ายช่วยหาคำตอบ แล้วเจ้าตัวที่เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดก็เดินเข้ามาในห้องอาหารที่เปิดโล่งบริเวณนั้น

                  “ขอโทษทีลุคซ์ข้าลืมบอกเจ้าไป เมื่อคืนนี้ข้ากลับไปที่บ้านมาเพิ่งกลับมาเมื่อเช้านี้” ลีนัสที่อาบน้ำแต่งตัวพร้อมสรรพ เดินเข้ามาพร้อมอ้างเหตุผลที่ดูแนบเนียนที่สุดออกมา

                  “ท่านลีนัส” ลุคซ์รีบปรับท่ายืนและก้มหัวทักเจ้านายตัวเองทันที ลีนัสพยักหน้ารับเบาๆแล้วก็เคลื่อนสายตาไปหยุดที่ใบหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มของเรเชล ทำให้เจ้าตัวต้องเมินหลบไปมองทางอื่นพลางกระแอมไอออกมาเบาๆ

                  “เอาล่ะ ข้าว่าเจ้าหมดคำถามแล้วนะลุคซ์ เจ้าไปทำอย่างอื่นได้แล้วไป” เรเชลหันไปเดินออกจากห้อง พร้อมกับไล่เด็กหนุ่มให้ออกไปพร้อมๆกัน ทั้งๆที่ลุคซ์ยังไม่เข้าใจเหตุผลที่เขาจะต้องไปทำอย่างอื่นที่เรเชลว่ามา แต่ก็ยอมเดินตามออกมาด้วยแต่โดยดี

                  เมื่อเหลือเพียงสองคนในบริเวณนั้น สีหน้านิ่งเรียบของเจ้าเมืองหนุ่มที่ดูอ่อนโยนเมื่อครู่ ก็ตีหน้ายุ่งขมวดคิ้วใส่อีกฝ่ายที่กำลังรินน้ำชาใส่ในแก้วชาอีกใบอย่างไม่ใส่ใจใบหน้ายุ่งๆนั้น

                   “เชิญนั่งก่อนสิขอรับท่านลีนัส” ดาวิสว่าพลางวางแก้วชาที่รินให้วางบนโต๊ะฝั่งตรงข้าม แล้วผายมือเชิญให้อีกฝ่ายมานั่งลง

                    ลีนัสถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเดินไปนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม แล้วเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ๆขมวดคิ้วทำเสียงไม่พอใจเบาๆว่าอีกฝ่าย

                 “ทำไมไม่ปลุกข้าขอรับ” ดาวิสเห็นหน้ายุ่งๆของเจ้าเมืองที่ปกติคนทั่วไปไม่ค่อยได้เห็นก็ยิ้มมุมปากขึ้นมา

                “ตื่นสายสักวันจะเป็นอะไรไปขอรับ พักผ่อนไม่พอจะไม่มีแรงทำงานนะขอรับ” ดาวิสตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติเพื่อรักษาภาพพจน์เบื้องหน้าเอาไว้ให้ดูเป็นปกติ ทำให้ลีนัสดึงตัวเองกลับมานั่งตรงๆเป็นปกติ แล้วหยิบนมอุ่นๆมารินใส่ในถ้วยชาของตน พลางเอ่ยเตือนอีกฝ่ายเบาๆ

              “....คราวหน้าก็ปลุกข้าด้วยนะขอรับ ข้าไม่ได้จะอ้างแบบนี้ได้บ่อยๆ” เอ่ยเสร็จจะยกชาขึ้นมาจรดริมฝีปาก เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นดาวิสที่กำลังทำสีหน้าประหลาดใจออกมา ทำให้เจ้าตัวนิ่งคิดไปสักพักว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรืออย่างไร สีหน้าไม่เข้าใจของลีนัสทำให้ดาวิสคลี่ยิ้มกว้างขึ้นมาแล้วก็ขำออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่

                “คราวหน้านะขอรับ รับทราบขอรับ” ดาวิสตอบรับด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มทำให้ลีนัสรู้สึกตัว ว่าได้พูดอะไรออกมา ทำให้เจ้าตัวหน้าแดงขึ้นมาทันที

              “เอ่อ...ข้า…” ลีนัสไม่รู้จะแก้ตัวยังไงที่เผลอทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วอย่างลืมตัว ดาวิสนั่งมองอีกฝ่ายที่พยายามหาข้อแก้ตัวอยู่ด้วยความเอ็นดู

              “ไม่ต้องห่วงนะ คราวหน้าข้าจะเพลามือลงหน่อยแล้วกันขอรับ จะได้ไม่หมดแรงแบบวันนี้”

              “ …….” ลีนัสตกอยู่ในสภาพที่พูดอะไรไม่ออก แถมยังอายจนอยากจะมุดดินหนีหายไปจากตรงนี้เสียเดี๋ยวนี้ ในใจเฝ้าตำหนิตัวเองว่าทำเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับเขาได้อย่างไรกัน

            “ลีนัส….รู้ไหมว่าตอนนี้ข้าอยากจะจูบเจ้ามากแค่ไหน” เห็นใบหน้าแดงระเรื่อตรงหน้า ดาวิสจำต้องกลั้นใจไม่เอื้อมมือออกไป แต่ก็ไม่วายกระซิบบอกอีกฝ่ายไปเบาๆ ทำให้ลีนัสรีบถอยตัวออกห่างกลับมานั่งหลังตรงพิงพนักเก้าอี้

             “...ท่านดาวิส” ลีนัสหลบตาลงหลบสายตาคมสีน้ำเงินเข้มที่จ้องมองเขากลับมา พลันก็มีเสียงกระแอมไอแว่วมาจากข้างหลัง

            “อย่าทำให้ท่านพี่ข้าลำบากใจนักเลยท่านดาวิส”

              “........ซีมัส เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกมีนิสัยแย่ๆชอบแอบฟังคนอื่นคุยกันเสียที” ดาวิสถอนหายใจหนักๆออกมาแล้วหันกลับไปมองผู้ที่เข้ามาขัดจังหวะ

            “ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้ตั้งใจ” ซีมัสตอบกลับมาด้วยสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำให้ดาวิสต้องทำเสียงเดาะลิ้นไม่พอใจออกมา

            “เจ้าจะมาทำอะไรอีก...”

             “ข้าก็มาหาท่านพี่ ไม่ได้รึไง เมื่อคืนข้าก็ให้เวลาท่านเต็มที่แล้วนะขอรับ” ซีมัสตอบกลับมาทำใให้ลีนัสลุกพรวดยืนขึ้นมาทันที

              “ซีมัส…มีเรื่องอะไรก็พูดมา” ลีนัสรีบเอ่ยปรามก่อนที่บทสนทนาของทั้งคู่จะเลยเถิดไปกว่านี้

            “ท่านพี่ ข้ามาขอตำแหน่งการ์เดี้ยนของข้าคืนขอรับ”

            “ว่าไงนะ เจ้ามีสิทธิ์อะไร...” ลุคซ์รีบเดินหลังซีมัสเข้ามาในห้องอาหารทันที เมื่อได้ยินบทสนทนาที่พาดพิงถึงตำแหน่งของเจ้าตัว พลันแววตาสีฟ้าอ่อนก็เคลื่อนมามองเด็กหนุ่มอย่างเย็นชาก็ทำให้เจ้าตัวเงียบกลืนน้ำลายลงคอไป

               “ข้าก็อยากจะถามเหมือนกันนั่นแหละว่าคนไม่ได้เรื่องอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมายืนบนตำแหน่งนี้” ลุคซ์ที่เหมือนจะโดนข่ม แต่เมื่อถูกดูถูกเช่นนั้นก็ไม่ยอมถอยง่ายๆ ยืนกอดอกมองอีกฝ่ายกลับไปอย่างพร้อมจะมีเรื่องได้ทุกเมื่อ

                 “เอ่อ...ซีมัส...ลุคซ์” ลีนัสที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาก็เจอแต่เรื่องอะไรมากมายเต็มไปหมดยังคิดอะไรไม่ออกไม่รู้จะพูดอะไรยังไง ดาวิสจึงลุกขึ้นมาแก้ไขสถานการณ์ให้

                  “ซีมัส ตอนนี้เจ้าไม่ได้เป็นแม้กระทั่งพลทหารของเวลเฮมมิน่าด้วยซ้ำ อยู่ๆจะให้ขึ้นมาเป็นการ์เดี้ยนเลยไม่ได้ เห็นแก่หน้าเจ้าเมืองบ้าง”

                 “แต่ข้าเป็นคนพาท่านพี่กลับมานะขอรับ”

                 “เจ้าห่างหายไปสามปี มีกฏมีระเบียบ และคนที่เจ้าต้องทำความรู้จักและเรียนรู้อีกมาก เจ้าเข้าใจใช่ไหม” ดาวิสอธิบายปิดช่องทางข้อแก้ตัวของเด็กหนุ่มทันที

                 “.......ข้าต้องทำยังไงบ้างขอรับ” ซีมัสหันไปมองที่ลีนัสที่ทำสีหน้าเป็นห่วงอยู่ตรงนั้น ก็ยอมพยักหน้าตอบรับดาวิสกลับไป

                “ข้าเปิดรับสมัครทุกต้นเดือน แค่นี้เจ้ายังลืมเลย”

                “......ขอรับ” ซีมัสทำเสียงอ่อยตอบรับกลับไป ทำให้ลุคซ์ที่ยืนอยู่ข้างๆแอบยิ้มอยู่ในใจ แต่เหมือนว่าดาวิสจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ถึงได้เรียกเขาขึ้นมา

                “ลุคซ์….”

               “ขอรับ?”

              “ไม่เกินสองเดือนหรอกนะ ที่ตำแหน่งของเจ้าจะยังปลอดภัยอยู่ ข้ารู้ว่าซีมัสเรียนรู้เร็ว ถ้าเจ้ายังไม่เก่งขึ้นกว่านี้ ข้าคงจะต้องยึดตำแหน่งเจ้าจริงๆนะลุคซ์” เขาสาบานได้ว่าดาวิสต้องอ่านใจเขาออกแน่ๆ ลุคซ์เหลือบไปมองที่ซีมัสอีกครั้ง ก็เห็นรอยยิ้มของนักล่าที่มองเห็นเหยื่อง่ายๆตัวหนึ่งกลับมา

              “รับทราบขอรับ” ลุคซ์ไม่ยอมให้ซีมัสข่มเขาอยู่ฝ่ายเดียว จึงตอบรับดาวิสไปเสียดังฟังชัด

              “เข้าใจแล้วก็ไปรอข้างนอกนะ ข้าขอเวลากินข้าวสงบๆได้ไหมลุคซ์”

              “ขอรับ” ลุคซ์รับคำแล้วตบเท้าจากไป

               “ส่วนซีมัส ถ้าไม่อยากถูกปฏิบัติให้พิเศษในฐานะน้องชายเจ้าเมืองล่ะก็ อย่าใช้ตำแหน่งน้องชายเจ้าเมืองเข้าๆออกๆที่ว่าการแบบนี้อีกล่ะ เข้าใจไหม”

                “...ขออภัยขอรับ”

                “ไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้วไป” ซีมัสที่ถึงแม้จะปากดีกับดาวิสอยู่บ่อยครั้ง แต่พอเป็นเรื่องการเรื่องงานขึ้นมา ก็ไม่มีครั้งไหนที่ซีมัสจะเถียงดาวิสอย่างไม่มีเหตุผลสักครั้ง จึงได้ยอมจากไปแต่โดยดี

               ลีนัสยืนมองดาวิสที่พลิกแพลงสถานการณ์ให้จบลงอย่างง่ายดาย ก็คลี่ยิ้มขึ้นมาอย่างชื่นชม ลีนัสไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า ดาวิสที่ช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้เสมอๆคนนี้ทำให้เขาตกหลุมรักได้อีกครั้ง

               “...ยิ้มอะไรขอรับ” ดาวิสหันกลับมาเจอลีนัสที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่คนเดียวก็เอ่ยถามขึ้นมา ลีนัสก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเผลอยิ้มออกนอกหน้านอกตามาขนาดนั้น จึงหุบยิ้มแล้วกลับลงมานั่งที่เก้าอี้ พลางนึกหาเหตุผลมาเอ่ยอ้างตอบกลับไปยังไงไม่ให้อีกฝ่ายได้ใจเกินไป

              “ภูมิใจที่มีข้าเป็นคนรักล่ะสิ” ดาวิสวางมือเท้าโต๊ะแล้วโน้มตัวเข้าไปหาลีนัสแล้วกระซิบถามสั้นๆ แล้วทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ คลี่ยิ้มหวานส่งให้คนที่กำลังนั่งหน้าแดงอยู่ฝั่งตรงข้าม เพราะที่ดาวิสพูดมาไม่ได้ผิดไปจากที่ลีนัสคิดอยู่ในใจลึกๆ พอถูกจี้ตรงๆมาแบบนั้นก็หน้าร้อนฉ่าขึ้นมาทันที

                “....พูดอะไรของท่าน ข้าภูมิใจได้ท่านเป็นรองเจ้าเมืองของข้าต่างหากล่ะ” ลีนัสก้มลงหยิบแก้วชาของตนขึ้นมาจิบ เพื่อจะหลบแววตาสีน้ำเงินคมเข้มที่จับจ้องที่เขาไม่วางตา

                 “หึหึ แค่นั้นก็นับเป็นเกียรติแล้วขอรับ ท่านลีนัส” ดาวิสหัวเราะออกมาเบาๆในลำคออย่างพออกพอใจ แค่ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของชายหนุ่มตรงหน้า ก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบที่เขาต้องการ

                  ดาวิสยังคงคลี่ยิ้มมองลีนัสที่นั่งดื่มชาอย่างเขินๆไม่ยอมวางตา เขาอยากจะเก็บรายละเอียดของความสุขในตอนนี้ไว้ให้มากที่สุด ก่อนที่ช่วงเวลาสงบสุขเช่นนี้จะผ่านเลยไป เพราะเขารู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าทุกอย่างไม่ได้เพิ่งจะจบไป แต่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นต่างหาก ภายใต้แววตาที่ยิ้มแย้มขอดาวิส ปรากฏความรู้กังวลใจแอบซ่อนอยู่ลึกๆ

                  ลีนัสที่มองเห็นความกังวลใจที่ซ่อนอยู่ในแววตาของคนตรงหน้า ก็คลี่ยิ้มจางๆกลับไปพร้อมเอื้อมมือไปจับอุ้งมือหนาของดาวิสขึ้นมากุมไว้แน่น แล้วเอ่ยขึ้นด้วยแววตาที่ฉายแววความมั่นใจ

                 “ท่านดาวิส ข้าหวังว่าท่านจะภูมิใจที่มีข้าเป็นเจ้าเมืองของท่านนะขอรับ”






                                                                   -END-












จบแล้วนะ จริงๆจะเขียนเรื่องของซีมัสต่อ แต่ไม่ลงต่อละ พอ คนอ่านเยอะมาก 555555 งอนค่ะ งอนออกสื่อ เรียกร้องความสนใจ
อ่านจบแล้วก็เม้นกันมาบ้างงงงค่า   :ling1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
«ตอบ #37 เมื่อ05-05-2016 19:51:23 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :L2:

ออฟไลน์ Mitnai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
«ตอบ #38 เมื่อ05-05-2016 23:02:39 »

งงมากค่ะ เอาจริงๆคือนึกว่าเฟริคจะเป็นบทเด่นคู่ลีนัส เพราะเปิดเรื่องด้วยเฟริคเป็นตัวนำ แต่พออดีตบอกว่าดาวิสคู่กับลีนัสเราก็โอเค ไม่ได้ไม่ชอบใจ เพราะผู้เขียนก็เขียนเนื้อเรื่องได้ลื่นไหล แต่มึนตรงเฟริคกับซีมัส คือเห็นบอกว่ามีเมะสองคน คือเขาไม่ได้คู่กันเหรอคะ หรือยังไง นี่ถ้าเขาคู่กันจริงๆจะชอบมากนะคะ เพราะเฟริคดูร้ายๆ ถ้ามีคนสยบได้คงต้องเป็นเมะแบบซีมัส อิอิ ประเด็นคือเหมือนเฟริคจะเด่นสุด แต่มันก็ไม่ใช่ กลายเป็นพลิกโผลีนัสครองบทตัวนำ แล้วเฟริคของน้องหายไปหนายยย
มีภาคต่อไหมคะ เนื้อเรื่องมันดูจบแบบง่ายมากๆ ง่ายมากกกกกกกกกกกกกกก ก ไก่ อีแปดล้านตัว ดูตัดจบได้แบบค้างคาหัวใจ // me // เรื่องสั้นเอ็งก็ไม่ต่าง!

ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ และถ้ามีภาคต่อของซีมัสกับเฟริคจะดีมากสุดหัวใจ ♥
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2016 21:00:13 โดย Mitnai »

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
«ตอบ #39 เมื่อ06-05-2016 14:02:46 »

 o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
« ตอบ #39 เมื่อ: 06-05-2016 14:02:46 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ phrase

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
«ตอบ #40 เมื่อ06-05-2016 16:30:28 »

เข้ามาอ่านแบบรวดเดียวจบ เรื่องนี้แต่งดีมากๆค่ะ งงเหมือนกันว่ามันหลุดรอดสายตาเราไปได้ยังไง อ่านไปก็เหมือนโดนคนเขียนหลอกอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เปิดเรื่องที่เหมือนเฟดริกจะเป็นพระเอก คนเขียนก็ทิ้งข้อสงสัยไว้ให้ตลอด แล้วพอไปกลางๆเรื่องก็เขียนเป็นมุมของดาวิสกับลีนัสเลยล็อกตัวพระเอกได้แล้วว่าเป็นดาวิสแล้วก็เข้าใจเรื่องเข้าใจที่มาที่ไปมากขึ้น ยิ่งตอนทำสัญญากับแม่มดนี่เรื่องพลิกไปพลิกมาปวดหัวมาก ต้องตั้งสติอ่านกันเลยทีเดียว ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ ภาษาสวยมาก พล็อตเรื่องก็ดี มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์ตลอด เราคิดไว้อย่างนึง เรื่องออกมาอีกอย่างนึง ตัวละครก็หลากหลาย มีมิติและไม่งี่เง่า ชอบเหตุผลของการกระทำของแต่ละคนมากเลย มันไม่แบนๆง่อยๆเหมือนนิยายพล็อตยอดนิยมที่มีคนตามอ่านตามเม้นท์เยอะๆหลายๆเรื่อง ประทับใจคนเขียนมากที่แม้คนอ่านจะแทบไม่เข้ามาเม้นท์เลยแต่ก็ฮึดแต่งจนจบ นับถือในสปิริตจริงๆค่ะ ยังคงอยากอ่านเรื่องของซีมัส ตอนแรกนึกว่านางไปกับเฟดริกจะไปคู่กันซะแล้วอแต่ตอนจบเหมือนจะเห็นแววซีมัสลุกซ์มารำไรๆ ซีมัสเรเชลก็น่าสนนะคะ แต่ก็นั่นแหละคนเขียนหลอกคนอ่านตลอดเลย จะคู่กับใครก็ตามอ่านเสมอค่ะ

ออฟไลน์ love noon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
«ตอบ #41 เมื่อ07-05-2016 00:35:08 »

ไม่งอนนะคะ  โดยปกติแล้วจะอ่านเฉพาะนิยายที่จบแล้วค่ะ มีพลาดแค่เรื่องสองเรื่องเท่านั้น 555 เรื่องนี้ก็อ่านรวดเดียวจบเลย สนุกมากค่ะ ถึงจะพลิกโผแบบงงๆก็เถอะ มันเป็นฟีลลิ่งนี่เนอะ ชอบอ่านแนวแฟนตาซี แนวเหนือความจริง แต่วายแนวนี้ก็หาอ่านยากเหลือเกิน นักเขียนบางท่านก็เขียนครึ่งๆกลางๆ แล้วก็ไป ไม่นึกถึงคนอ่านเลย แต่กับเรื่องนี้ขอชื่นชมค่ะ เม้นท์น้อยก็อุตสาห์เขียนจนจบ เชื่อว่าในอนาคต ผู้เขียนต้องประสบความสำเร็จในชีวิตแน่ค่ะ มีความมุ่งมั่น แน่วแน่อย่างนี้ สู้ๆค่ะ

ออฟไลน์ Themamo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
«ตอบ #42 เมื่อ07-05-2016 07:44:04 »

มาให้กำลังใจนักเขียนคะ เราอ่านแต่เรื่องจบแล้วเรื่องนี้น่าสนใจดี สู้ๆๆนะคะ :3123: :3123:

ออฟไลน์ КίmY

  • BJYX♥
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-3
Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
«ตอบ #43 เมื่อ07-05-2016 21:56:33 »

อยากจะบอกตอนอ่านไปเราขำคนเขียนไปด้วย ฮ่าๆๆๆ โอ๋เอ๋อย่างอนเลยน้า  :laugh:
คือตอนแรกที่อ่านเราก็นึกว่าเนื้อเรื่องมันน่าจะเป็นคู่เฟริคกะซีมัสซะอีกนะ   :m28:
แต่อ่านไปเจอคู่ลีนัสกับดาวิสนี่ก็ตกหลุมรักเลย ฮ่าๆ  :m1:
 :L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Raina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
«ตอบ #44 เมื่อ08-05-2016 07:06:41 »

เขียนสนุกดีค่ะ กระชับไม่ยืดเยื้อ

ตอนแรกองค์ชายเฟริคก็ดูน่าสงสารอยู่หรอก ทำม๊ายทำไมกลายเป็นเด็กมีปัญหาที่ทำตัวเป็นวายร้ายน่าถีบซะได้ ช่วงกลางเรื่องนี่ ถึงอ่านไปกัดฟันกรอดไป อยากจะว๊าปเข้าไปตบหัวพ่อคุณสักป้าป

ส่วนน้องลุคซ์ ลูกหมาน้อยที่น่าสงสาร โถ โดนแกล้งโดนลืมทั้งเรื่อง เจ๊อยากจะรับมาแกล้งต่อ..เอ้ย..ปลอบใจจัง 555

จริงๆจะเขียนเรื่องของซีมัสต่อ << กรี๊ดดดด อย่าเพิ่งงอนค่า เรน่าอ่านแต่เรื่องที่จบแล้ว เลยเพิ่งมาเจอเรื่องนี้ ถ้าเขียนต่อ จะมาช่วยเชียร์นะคะ จุ๊บๆ

ออฟไลน์ Raina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
«ตอบ #45 เมื่อ08-05-2016 07:27:01 »

คิดไปคิดมา ขอแสดงความเห็นเพิ่มอีกสักนิด นักเขียนมีสปิริตมากค่ะที่เขียนจนจบ  o13  เรน่าอ่านเฉพาะเรื่องที่จบแล้ว เพราะเคยมีหลายเรื่องที่สนุกมาก อ่านจนติด แล้วนักเขียนก็ทิ้งเราไปดื้อๆ โฮฮฮฮ  :o12:  ถ้ามีตอนพิเศษ จะมาช่วยเม้นต์นะคะ   :L2:

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
«ตอบ #46 เมื่อ09-05-2016 17:26:23 »

หยุด4วันนี่ยอดวิวขึ้นมาเท่าตัว  ตกใจค่ะ (ที่ผ่านมาครึ่งปีคืออัลไล)
555 นึกว่านิยายดำดิ่งสู่ห้วงสมุทรไปแล้ว  (เกือบจะเอาลิงค์ออกจะบุ๊คมาร์คกันไปเลยทีเดียว )

ขอบคุณมากๆค่ะ  TT  TT   ดีใจตื่นเต้นมือไม้ชาไปหมดละค่ะ (เอ๊ะหรือเราหิวข้าว)

อรั๊ยส์ ถ้ามีคนอ่านจะต่อค่ะ แต่ยังร่างพล๊อตไม่เสร็จเลยค่ะ  ซีมัสกะเฟริคนี่แหละค่ะ 555 ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าใครจะเคะใครจะเมะดีนะคะ (เปิดโหวตดีมั้ย)

จริงๆตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นซีมัส ลุกซ์ หรือกับเรเชลเหมือนกันนะ  แต่ร่างพล็อตออกมาให้สนุกไม่ได้เลย ต้องเฟริคถึงจะมีน้ำมีนวลหุ หุ

แต่ร่างพล็อตเสร็จเราก็มักจะหักหลังพล็อตตัวเองอีกที = =''  อย่าสงสัยว่าทำไมเรื่องมันพลิกไปพลิกมาแบบนี้ เพราะคนเขียนหลายใจค่ะ 5555

เราก็รีบปิดเรื่องเร็วๆอ่ะนะคะ เพราะจะเรียกคนที่อ่านเรื่องที่จบแล้วนี่แหละค่ะ!!!  55555555555 แต่เดี๋ยวจะแถมให้มันปิดแบบสมู๊สกว่านี้ให้นะคะ เดี๋ยวจะหาว่าตัดจบ (ก็เค้างอนอ่ะ)


(อั๊ยส์ เลิกงานแล้วหนีกลับก่อน)


เดี๋ยวมาค่ะ สัญญา 5555


ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
«ตอบ #47 เมื่อ12-05-2016 09:07:14 »

สนุกมากค่ะ เป็นเรื่องแรกเลยนะที่ทำให้เราอ่านแล้วเกลียดตัวร้ายได้มากขนาดนี้ แบบ เกลียดมากกกก จนอยากต่อยกำแพงแรงๆ 555 คนเขียนเก่งมากเลยค่ะ ถ้ามีภาคต่อเราก็ขอติดตามนะ สู้ๆค่ะ

 o13

ออฟไลน์ Midorima

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
«ตอบ #48 เมื่อ14-05-2016 13:34:01 »

ส่วนตัวเราไม่ค่อยได้อ่านนิยายแนวแฟนตาซีทำนองนี้เท่าไหร่ แต่อ่านแล้วรู้สึกสนุกดี ชอบนายเอกแข็งแรง เอิ้กกกกก  :hao7:

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
«ตอบ #49 เมื่อ16-05-2016 13:23:10 »

สนุกมากค่ะ เป็นเรื่องแรกเลยนะที่ทำให้เราอ่านแล้วเกลียดตัวร้ายได้มากขนาดนี้ แบบ เกลียดมากกกก จนอยากต่อยกำแพงแรงๆ 555 คนเขียนเก่งมากเลยค่ะ ถ้ามีภาคต่อเราก็ขอติดตามนะ สู้ๆค่ะ

 o13

เหย คือเค้าตั้งใจเขียนให้แบบว่าถึงร้ายก็รักนะ 5555 เป็นงั้นไป 
 รักมากล่ะสิ ก็เลยเกลียดมาก อุ๊ๆ  (เปล่าเลย  555)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [จบแล้วจ้า] Libra's Heart (Act:11 Finale) 26 Apr. 2016
« ตอบ #49 เมื่อ: 16-05-2016 13:23:10 »





ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Libra’s heart : Finale 2 New Prelude  (Part 1/2 ) 
(ไม่คิดเลยจริงๆว่าต้องแบ่งpart 555)
 


                 “อันนี้ข้าตรวจสอบเรียบร้อยค่ะ ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนเอกสารตอบรับรายงานของท่านดาวิส…” เรเชลวางเอกสารกองหนึ่งกองลงบนโต๊ะทำงานของลีนัส แล้วกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบเอกสารกองเล็กๆที่กองอยู่ถัดไปขึ้นมา แต่ก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังแทรกขึ้นมาก่อน

                  “ดาวิสขอรับ” เสียงคนข้างนอกแว่วเข้ามา เด็กสาวก็คลี่ยิ้มอารมณ์ดีขึ้นมาทันที

                  “พอดีเลย ข้าไม่ต้องเดินไปส่งแล้วสิ” ยังไม่ทันที่ลีนัสจะพูดอะไร เธอก็หันเดินไปเปิดประตูห้องเชิญให้ดาวิสเข้ามาทันที

                  “เชิญค่ะ”

                  “.......” ลีนัสนึกอยากจะตำหนิผู้ช่วยสาวที่ตัดสินใจอะไรเองโดยไม่รอคำสั่งเขา แต่ถ้าตำหนิไปก็จะถูกถามหาเหตุผลที่ไม่เชิญให้ดาวิสเข้ามาอีก เลยเลือกที่จะนั่งเงียบๆไปดีกว่า

                  “ท่านลีนัส ข้าเอาเอกสารส่วนนี้ไปส่งก่อนนะคะ ไม่กวนล่ะ” อีกครั้งที่เรเชลตัดสินใจทำอะไรเองโดยไม่ถาม แล้วก็หยิบเอกสารกองหนึ่งเดินออกจากห้องไป ซ้ำยังจะขยิบตาให้ดาวิสก่อนออกไปอีกต่างหาก

                  “.........เด็กคนนี้” ลีนัสพึมพำออกมาพลางยกมือขึ้นมากุมขมับ หลังจากที่เรเชลได้รับรู้เรื่องของเขากับดาวิส ลีนัสก็โดนคำถามชุดใหญ่จากเด็กสาวยิงกระหน่ำเข้ามา ขณะที่มีเวลานั่งคุยกัน ลีนัสไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเล่าให้เธอฟังในส่วนที่จำเป็น ยังไงก็ต้องทำงานด้วยกันต่อไปอีกนาน เรเชลมีสิทธ์ที่จะรับรู้ และช่วยปิดเรื่องของพวกเขาไปอีกแรง

                  “ไม่กวนแล้ว….อย่างนั้นเหรอ” ดาวิสหันไปมองตามหลังเรเชล แล้วหันกลับมาถามลีนัส

                 “มีธุระอะไรขอรับท่านดาวิส” ลีนัสรีบตัดอารมณ์กลับมาคุยเรื่องงานก่อนที่จะถูกดดึงไปคุยเรื่องอื่น

                 “ข้าก็มารับรายงานของข้าคืนไงล่ะ เรียบร้อยแล้วใช่ไหมขอรับ”

                 “แค่นี้ไม่เห็นต้องแวะเข้ามาเองเลย…” ลีนัสบ่นพึมพำออกมาเบาๆ เพราะยิ่งดาวิสแวะเข้ามา เรเชลก็ดูจะอยากถามเกี่ยวกับประเด็นของเขามากขึ้น เป็นไปได้เขาก็ไม่อยากจะให้ดาวิสแวะเข้ามาหาสักเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ช่วงนี้

                 มือหนาที่กำลังจะหยิบกองเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาหยุดยิ่งไปเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพึมพำเช่นนั้นก็ถอนใจออกมาเบาๆ แล้วโน้มต้วลงไปหาคนที่นั่งอยู่แล้วกระซิบถามเบาๆ

                  “...อยากให้ข้าพูดว่าแวะเข้ามาหาเจ้ามากกว่าสินะ” ลีนัสที่นั่งเท้าศอกอยู่บนโต๊ะก็รีบถอยตัวออกมาห่าง ยืดหลังตรงพิงพนักพิงทันที

                 “ท่านดาวิส...อย่าพูดแบบนี้เวลางานได้ไหมขอรับ…” ลีนัสตอบกลับมาเสียงค่อยพร้อมเบือนสายตาหลบไปทางอื่น

                 “เคร่งครัดจริงๆนะขอรับท่านเจ้าเมือง” ดาวิสยืดตัวกลับมาพลางถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย

                   “.......มันทำให้ข้าไม่มีสมาธิทำงานต่างหากขอรับ” เพราะกลัวว่าดาวิสจะเข้าใจผิด จึงได้เอ่ยแก้ขึ้นมาเสียงแผ่วๆ

                     “..........” ช่องว่างเงียบๆที่ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา ทำให้ลีนัสเงยหน้าขึ้นมามองดาวิส เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยืนกอดอกยกมือขึ้นมากุมขมับทำสีหน้ากลุ้่มใจกลับมา

                  “ท่านดาวิส ?”

                   “จะให้ข้าทำยังไง พอข้าจะถอยออกมาเจ้าก็ดึงให้ข้าเข้าไปใหม่” ดาวิสว่าพลางเดินอ้อมโต๊ะทำงานของอีกฝ่ายมาหาแล้วโน้ใตัวลงมา วางมือเท้าลงกับที่วางแขนเก้าอี้ที่ลีนัสนั่งอยู่

                   “.….?”

                   “ถ้าเจ้าพูดแบบนั้นจะให้ข้าปล่อยเจ้าไปอย่างนั้นเหรอ” ดาวิสเอ่ยเสียงกระซิบบอกพร้อมขยับหน้าเข้าไปใกล้ลีนัส จะจรดริมฝีปากฝังลงไปกับพวงแก้มเนียนตรงหน้าที่กำลังแดงระเรื่อขึ้นมา แต่ลีนัสยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปากของเขาเสียก่อน

                 “ไม่เข้าใจที่ข้าพูดไปเมื่อครู่รึยังไงขอรับ” ร่างบางขมวดคิ้วดุอีกฝ่ายกลับไปทั้งๆที่ยังหน้าแดงระเรื่อ ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากจะแกล้งมากขึ้นไปอีก

                  “.....เข้าใจแล้วขอรับ ข้าเก็บไว้นอกเวลางานก็ได้ ว่าแต่ว่า…” ดาวิสเอ่ยถามกลับไปด้วยสีราบทุ้มต่ำ

                 “คืนนี้จะให้ข้าไปหาหรือจะมาที่ห้องข้าขอรับ” คำถามนี้ทำให้ลีนัสหน้าแดงไปถึงใบหู ถึงแม้ว่าตั้งแต่กลับมาจากบริงไฮด์ ดาวิสไม่เคยปล่อยให้ลีนัสได้นอนคนเดียวเลยสักคืนก็ตาม แต่พอถูกถามขึ้นมาตรงๆแบบนี้เจ้าตัวก็หน้าร้อนฉ่าขึ้นมา

                  “.....” ระหว่างที่ใบหน้านวลขมวดคิ้วลำบากใจที่จะเลือกตอบข้อเสนอที่ ไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่ต่างกันของดาวิสอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นขัดจังหวะ ทำเอาลีนัสสะดุ้งโหยง

               “ลุคซ์ขอรับ” ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มที่เอ่ยขึ้นมาจากข้างนอก ดาวิสก็ยืดตัวกลับขึ้นมาพร้อมถอนหายใจออกมาหนักๆ

                “.....เอาไว้ก่อนก็ได้” ดาวิสว่าแล้วก็เดินไปที่ประตูห้องเพื่อเปิดให้คนข้างนอกเข้ามา ลีนัสก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ปรับอารมณ์ให้กลับมาพร้อมทำงานอีกครั้ง

               “ขออภัยท่านลีนัส…ท่านดาวิส ?” ลุคซ์เดินเข้ามาเห็นดาวิสเป็นเปิดประตูให้ก็ทำสีหน้าประหลาดใจออกมา ลีนัสจึงกระแอมไอออกมาเบาๆแล้วรีบถามลุคซ์ขึ้นมา

               “มีธุระอะไรก็ว่ามาลุคซ์” ดาวิสอมยิ้มขึ้นมานิดๆที่เห็นว่าลีนัสร้อนตัวขึ้นมาจนต้องออกปากถามไปเช่นนั้น

               “มีคนส่งสาสน์มาจากกรีฟิทขอรับ” คำตอบนั้นทำเอารอยยิ้มเมื่อครู่ของดาวิสหายไปฉับพลัน ตามด้วยเสียงถอนหายใจเบาๆของผู้เป็นเจ้าเมือง ลีนัสยื่นมือออกไปรับสาสน์จากการ์เดี้ยนหนุ่มของตน คลี่ออกมากวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว เพราะพอจะคาดเดาได้ว่าเนื้อหาน่าจะเป็นไปในทางไหน เมื่ออ่านจบก็ส่งต่อให้ดาวิสที่ยืนขมวดคิ้วกังวลมองกลับมาอยู่ตรงนั้น

               “ข้าก็ไม่รู้ว่าที่ข่าวไปกรีฟิทเร็วขนาดนี้ เพราะในวังบริงไฮด์มีสายของกรีฟิทอยู่ หรือว่าองค์ชายเฟริคเองกันแน่ ที่ตั้งใจปล่อยเรื่องที่เกิดขึ้นออกไปให้กรีฟิทหันมาดึงเราเข้าไปพัวพันกับสงครามครั้งนี้ด้วย” ลีนัสพูดขึ้นพลางนึกเสียใจอยู่ว่าเขาควรจะเด็ดขาดกว่านี้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นข่าวของเวลเฮมมิน่าจะยิ่งกระจายไปไวกว่าเดิม ซ้ำร้ายบริงไฮด์จะไม่หนุนหลังให้อีกต่างหาก

               “อา...คิดยังไงข้าก็ว่าต้องเป็นองค์ชายเฟริค องค์ชายไม่ปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดไปเปล่าๆหรอก….” ดาวิสเสริมขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องใช้เวลาคิดเยอะ พร้อมกับกราดสายตาอ่านเนื้อหาในจดหมาย

               “แต่ก็แปลก ข้าไม่คิดว่ากรีฟิทจะมานุ่มๆแบบนี้..เดี๋ยวก่อนนะ...ลุคซ์” ดาวิสพึมพำขึ้นมาอย่างนึกประหลาดใจ ครู่หนึ่งก็เงยหน้ากลับขึ้นมามองลุคซ์

               “ตอนนี้คนส่งสาสน์อยู่ที่ไหน”

               “อยู่ที่ห้องรับรองแขกชั้นล่างขอรับ แจ้งว่ารอสาสน์ตอบกลับจากท่านลีนัส แต่มีทหารคุมอยู่นะขอรับ” เมื่อถูกถามเช่นนั้น ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรบางอย่างผิดไป

                 “ดูแลท่านเจ้าเมืองด้วย ข้าลงไปดูที่ห้องรับรองแขกก่อน” ดาวิสทิ้งคำสั่งไว้แล้วเดินหายไปจากห้องทันที

               ท่อนขายาวก้าวเดินกึ่งวิ่งลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว อาการรีบร้อนของรองเจ้าเมือง ทำให้คนในที่ทำการรู้สึกถึงความผิดปกติขึ้นมา และมองตามหลังดาวิสไปด้วยความประหลาดใจ

              ประตูห้องรับรองถูกกระแทกเปิดออกอย่างเร่งรีบโดยไม่มีการบอกกล่าวใดๆ แต่ภายในห้องไม่เหลือใครที่จะหาว่าเขาเสียมารยาทสักคน ในห้องมีเพียงร่างของลูกน้องตนที่นอนคว่ำแน่นิ่งอยู่กับพื้นห้อง

               ดาวิสเดินไปเอามือแตะชีพจรที่ต้นคอของนายทหารคนนั้นทันที ก็พบว่าเขามาสายไปเสียแล้วจึงพลิกร่างที่ไร้วิญญาณนั้นกลับขึ้นมา เห็นคราบเลือดไหลเปื้อนออกมาจากกลางอก รอบๆไม่มีวี่แววของการต่อสู้อื่น ทำให้ดาวิสรู้ว่าคนจากกรีฟิทที่เข้ามาครั้งนี้เป็นมือสังหารฝีมือไม่ธรรมดา และเป้าหมายการมาในครั้งนี้คงจะหนีไม่พ้นคนที่เขาเป็นห่วงมากที่สุด







                   สิ้นเสียงฝีเท้าของดาวิสไปเพียงไม่กี่อึดใจ มีดสั้นเล่มเล็กๆก็พุ่งเข้ามาจากทางหน้าต่าง ตรงเข้าหาลีนัสที่นั่งอยู่ตรงนั้นทันที แต่ก็ถูกที่ทับกระดาษที่ลุคซ์รีบหยิบขึ้นมาโยนเข้าไปขัดเปลี่ยนทิศทางเสียก่อน

                   “ท่านลีนัส หลบไปที่มุมห้องฝั่งโน้นก่อนขอรับ” ลุคซ์รีบวิ่งออกมายืนขั้นระหว่างหน้าต่าง พร้อมเรียกให้ลีนัสย้ายมายืนในมุมที่ถูกจู่โจมจากข้างนอกได้ยากที่สุด แต่ลีนัสเพียงแค่ลุกยืนขึ้นมาไม่ขยับไปไหน

                   ก่อนที่ลุคซ์จะได้เอ่ยย้ำอีกครั้ง ผู้ส่งสาสน์ที่เป็นนักฆ่าแฝงตัวเข้ามาก็กระโดดเข้ามาจากทางหน้าต่าง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเข้ามาได้ใกล้กว่านั้น ก็มีอีกร่างหนึ่งกระโดดตามเข้ามาตะครุบร่างของนักฆ่าคนนั้นลงไปกองกับพื้นทันที โดยที่ลุคซ์ยังไม่ทันได้ชักดาบออกมาจากฝักเสียด้วยซ้ำ

                   “มีเหตุผลจำเป็นที่ต้องเก็บชีวิตเจ้านี่ไว้ไหมขอรับ” ซีมัสที่เพิ่งกระโดดตามเข้ามาประหนึ่งนักล่า เอ่ยถามลีนัสขณะที่กำลังวางเข่าทับท่อนแขนและแผ่นอก มือบีบคอเหยื่อของเขาไว้แน่น แขนอีกข้างที่เหลือว่างอยู่ของนักฆ่าคว้ามือสั้นออกมาหวังจะแทงซีมัส แต่ซีมัสปล่อยมือออกจากคออีกฝ่ายออกมาข้างหนึ่งเพื่อคว้าข้อมือที่พุ่งเข้าหาตัวได้ทัน โดยที่มืออีกข้างยังคงยึดคอไว้ได้อย่างมั่นคง

                  แววตาสีฟ้าอ่อนที่สบตามองเหยื่อของเขาอย่าเย็นชา บอกให้รู้ว่าเขาพร้อมจะดับลมหายใจของคนตรงหน้าได้ทุกวินาที ภาพแววตาคู่นั้นทำให้ลีนัสรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา

                “ข้ามีเรื่องที่ต้องถามแขกของข้าคนนี้ก่อนซีมัส” ลีนัสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบหนักแน่น ซีมัสจึงชักสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะคลายมือปล่อยนักฆ่าให้เป็นอิสระ

                ซีมัสคลำหาอาวุธทุกชิ้นที่อีกฝ่ายเอาติดตัวมาออกไปจนหมดแล้วลุกขึ้นยืน ปล่อยให้นักฆ่าจากกรีฟิทค่อยๆลุกขึ้นมานั่ง แล้วชักดาบออกมาจ่อไว้ที่คอกันไม่ให้ขยับไปมากกว่านี้

                “ถ้าเจ้าก้าวเท้าออกมาข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียวข้าจะฆ่าเจ้าทิ้ง เข้าใจไหม” ซีมัสเอ่ยขู่เสียงต่ำสายตาจับจ้องนักฆ่าตาแทบไม่กระพริบ

                “.............” นักฆ่านั่งอยู่กับพื้นไม่ปลิปากเอ่ยอะไรออกมา ได้แต่จ้องมองลีนัสที่ยืนมองเขากลับมานิ่งๆ ไม่พูดอะไรเช่นกัน

                “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าถึงเจ้าจะฆ่าข้าสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เจ้าจะไม่มีชีวิตออกไปจากห้องๆนี้ได้น่ะ แต่ถ้าเจ้าบอกว่าใครเป็นคนว่าจ้างเจ้ามา ข้าจะละชีวิตให้เจ้ากลับไปหาครอบครัวเจ้า” ลีนัสตั้งคำถามพลางจ้องมองใบหน้าผู้บุกรุกดูปฏิกิริยาอย่างตั้งใจ

                “ถ้าจะให้ข้าตอบคำถาม ก็ปฏิบัติกับข้าในฐานะแขกสิขอรับ ท่านเจ้าเมือง” นักฆ่าวัยกลางคนแววตาสีดำขลับยื่นข้อเสนอกลับมาแล้วทอดสายตามองคมดาบของซีมัสที่จ่ออยู่ที่คอของตน

               “ซีมัส” ลีนัสหันไปหาน้องชายที่ไม่มีทีท่าว่าจะยอมเก็บดาบไป ซีมัสหันกลับมาขมวดคิ้วทำหน้าไม่เห็นด้วยกับพี่ชาย แต่ลีนัสก็พยักหน้าย้ำกลับไปอีกครั้ง ซีมัสจึงถอนใจยาวๆออกมาแล้วชักดาบเก็บเข้าฝักไปอย่างไม่พอใจ

             “ทีนี้ตอบข้าได้รึยังว่าใครเป็นคนจ้างเจ้ามา แล้วเพราะอะไร” ลีนัสยกมือขึ้นกอดอกถาม ฝ่ายนักฆ่าก็ค่อยลุกขึ้นยืนหันไปยิ้มเยาะให้ซีมัสนิดๆ

              “เพราะพวกเรากรีฟริท รู้ดีว่าการมีอยู่ของลีบลาอย่างท่านทำให้สมดุลมันเสียยังไงล่ะ” นักฆ่าผู้นั้นหยิบอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมออกมา โยนลงกับพื้นเก็บเป็นเสียงระเบิดเบาๆแล้วควันก็กระจายฟุ้งไปทั่วห้อง

               “เจ้า!!” ซีมัสชักดาบออกมาจากฝักทันทีเพื่อจะปลิดชีพเจ้าของปัญหานี้ แต่กลับมีคลื่นลมแรงผลักเขากระเด็นออกไปก่อนที่จะทันได้ลงมือ ลุคซ์ที่เตรียมจะเข้ามาขวางทางนักฆ่าผู้นั้นก็กระเด็นออกไปข้างๆเช่นกัน

                นักฆ่าวิ่งตรงเข้ามาหาลีนัสพร้อมกับสะบัดมีดสั้นเล่มเล็กที่ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อออกมา แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปถึงตัว เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่กลางอก เหมือนโดนของมีคมแทงทะลุเข้ามากลางอกตัวเอง ทั้งๆที่ลีนัสยังคงยืนกอดอกนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน

              เมื่อก้มลงมองดูก็เห็นแท่งน้ำแข็งแท่นยาวปักอยู่กลางอก มือที่จับมืดสั้นปล่อยมีดหล่นลงกับพื้นตามด้วยร่างอันเย็นเฉียบของเจ้าตัว

              “เจ้า...เป็นอะไรกันแน่” นักฆ่าที่ลงไปนอนตัวสั่นเทิ้มเงยหน้ากลับขึ้นมาเอ่ยถาม

              “ข้าเป็นลีบลาไง คิดว่าเจ้ารู้จักแล้วเสียอีก คงจะมาจากกรีฟริทจริงๆสินะ องค์ชายเฟริคไม่ได้เป็นคนส่งมา” ลีนัสที่ยืนกอดอกนิ่งอยู่ตรงนั้น คือภาพสุดท้ายก่อนที่สติของนักฆ่าจะวูบดับหายโดยไม่มีวันกลับมา

              “.... ลุคซ์ เรียกคนมาจัดการที” ลีนัสมองร่างไร้วิญญาณตรงหน้าแล้วถอนหายใจยาวๆออกมาหนึ่งที แล้วหันไปออกคำสั่งกับเด็กหนุ่มที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่อย่างตะลึง เขาไม่เคยเห็น และไม่เคยคิดว่าลีนัสจะลงมือฆ่าใครสักคนด้วยตัวเองมาก่อน

             “..ขอรับ” ลุคซ์รีบออกไปเรียกทหารข้างนอกเข้ามาช่วยหามร่างของนักฆ่าคนนั้นออกไป เป็นจังหวะที่ดาวิสวิ่งกลับเข้ามาพอดี

             “..........” ภาพลีนัสที่ยังปลอดภัยดี ทำให้ดาวิสถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่เห็นภาพร่างของนักฆ่าที่มีน้ำแข็งแท่งยาวเสียบอยู่กลางอก ถูกหิ้วออกไปจากห้อง ก็ทำให้เขาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย

              “ท่านพี่ ข้าขอเวลาคุยกับท่านได้ไหมขอรับ” ซีมัสเดินเข้ามาถามลีนัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบสีหน้าจริงจัง ลีนัสพยักหน้ารับแล้วหันไปบอกดาวิส

                “ข้าคุยเสร็จแล้วจะรีบไปคุยกับท่านเรื่องนี้ต่อที่ห้องทำงานขอรับ ลุคซ์ เจ้าไม่รอข้างนอกก่อนนะ” ดาวิสลังเลใจเล็กน้อย เขาอยากจะคุยเรื่องที่เกิดขึ้นกับลีนัสเดี๋ยวนี้ แค่สีหน้าที่ดูจริงจังของซีมัสทำให้เขายอมถอยออกไป โดยมีลุคซ์ตามไปด้วย ทิ้งให้ซีมัสอยู่กับลีนัสลำพัง

               “.......เมื่อครู่ท่านพี่ผลักข้าออกไปทำไมขอรับ ในเมื่อท่านจะไม่ไว้ชีวิตมันอยู่แล้ว ทำไมไม่ปล่อยให้ข้าจัดการ” ซีมัสเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่รอให้ดาวิสและลุคซ์เดินออกไปห่างจากประตูห้องแล้ว

                “ข้าต้องการจะดูว่านักฆ่าตั้งใจจะฆ่าข้าจริงๆ หรือแค่ถูกส่งมาให้ขู่ข้าเท่านั้น ทำไมเจ้าจะต้องไม่พอใจกับเรื่องแค่นี้ด้วย” ลีนัสตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

              “ท่านพี่ ข้ารู้ว่าท่านดูออกตั้งแต่มันเอ่ยตอบคำถามแรกแล้ว” ซีมัสเถียงกลับมาทันที ทำให้ลีนัสตอบกลับไปเพื่อบ่ายเบี่ยงประเด็น

               “....สุดท้ายผลมันก็ไม่แตกต่างกันไม่ใช่เหรอซีมัส”

              “ต่างสิขอรับ มันต่างตรงที่ท่านตั้งใจกันไม่ให้ข้าลงมือฆ่า” คำตอบของซีมัสทำให้ผู้เป็นพี่ขมวดคิ้วเข้าหากัน

               “เจ้าไม่พอใจที่ข้าไม่ให้เจ้าลงมือหรือยังไงกัน”

              “ข้าไม่พอใจที่ท่านยังไม่ไว้ใจข้าต่างหากขอรับ เพราะท่านกลัวว่าข้าจะเคยชินกับการฆ่าคนจนเกินไป แล้วข้าก็กลายเป็นตัวอันตรายตัวหนึ่งที่ท่านควรจะต้องกำจัดทิ้ง ใช่ไหมขอรับ”

                “.........” สิ่งที่ซีมัสพูดมาไม่มีตรงไหนที่ผิดแม้แต่จุดเดียว ทำให้ลีนัสคิดคำพูดที่จะตอบกลับไปไม่ออก

                “สุดท้ายแล้วคนที่มองว่าข้าแตกต่างจากคนอื่นและเป็นตัวอันตรายก็คือท่านพี่นั่นแหละขอรับ ถึงได้คอยระวังข้าขนาดนี้” ซีมัสตอกย้ำเรื่องนี้ขึ้นมา เหมือนขยี้หัวใจของผู้เป็นพี่ให้ป่นปี้

             “...ซีมัส...ข้ายอมรับว่าข้ากลัว ข้ากังวล แต่เจ้าอย่าคิดแบบนั้นได้ไหม...” ลีนัสพยายามจะปรับความเข้าใจกับผู้เป็นน้อง ซีมัสคว้ามือของพี่ชายขึ้นมาวางทาบที่อกตัวเอง

               “ท่านพี่ ข้าไม่อยากให้ท่านรู้สึกแบบนั้น ข้าไม่อยากเป็นภาระของท่านอีก ท่านฆ่าข้าไปเสียเถอะจะได้ไม่ต้องกังวลอะไรอีก แบบเมื่อครู่นี้ก็ได้นะขอรับ ดูไม่ค่อยทรมานเท่าไหร่”

               เพี้ยะ!! สิ้นคำขอของน้องชาย ลีนัสยกมืออีกข้างขึ้นมาตบฉาดหน้าอีกฝ่ายกลับไปในทันที

              “เจ้าอย่า...เอาเรื่องแบบนี้...มาพูด...พล่อยๆแบบนี้อีกนะ” ลีนัสตอบกลับไปเว้นวรรคเสียง เน้นคำพูดทุกคำอย่างชัดเจน ทุกคำพูดที่เอ่ยออกมาใส่ความรู้สึกโกรธที่พร้อมจะปะทุออกมาทุกเมื่อ แต่แววตาของผู้พูดนั้นกลับเหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้

             “......ข้าขอโทษขอรับ” แม้ซีมัสจะเป็นฝ่ายที่หงุดหงิดอยู่ก็ตาม แต่เมื่อลีนัสพูดออกมาขนาดนี้ ก็ทำให้เขารู้ตัวว่าล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว จึงได้เอ่ยขอโทษ แล้วก็ถอนหายใจหนักๆออกมา

              “…ดูเหมือนข้าอยู่กับท่านพี่จะรั้งแต่สร้างปัญหาให้ท่านเหมือนเดิม เอาเป็นว่าข้าจะพยายามอยู่ห่างๆท่านพี่ก็แล้วกัน” เมื่อเอ่ยจบซีมัสก็วิ่งออกไปแล้วกระโดดหายไปทางหน้าต่าง ที่เมื่อครู่ตัวเองกระโดดเข้ามา

             “ซีมัสเดี๋ยว….” ลีนัสเอ่ยเรียกตามหลังไปแต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเลยสักนิด ร่างของน้องชายหายวับไปจากสายตาเขาทันที
 



 

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Libra's heart : 12 Finale 2 Prelude (Part 2/2)




                ไคร่า หญิงสาวเรือนผมสีดำยาวเหยียดตรง แววตากลมโตสีแดงเข้ม ผิวสีน้ำผึ้งเนียนน่าสัมผัส เดินอวดร่างเปลือยเปล่าบางระหงส์สมส่วนที่น่าอิจฉา ผ่านคู่สายตาของสาวๆคนอื่นในโรงอาบน้ำรวมไป จุ่มปลายเท้าเรียวลงไปแช่ในบ่อน้ำอุ่นบ่อกว้าง เธอเดินไปนั่งทิ้งร่างแช่น้ำที่มุมว่างๆของบ่อน้ำนั้นเงียบๆอย่างไม่สนใจใคร ครู่หนึ่งก็มีสาวเจ้าเนื้อรุ่นแม่เดินเข้ามาหา และทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ 

                “....โยเนสทำงานพลาด…ใครจะรู้ว่าเมืองเล็กๆอย่างเวลเฮมมิน่าจะรักษาความปลอดภัยได้แข็งแรงขนาดที่โยเนสทำงานพลาด” สาวเจ้าเนื้อเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาโดยที่ไม่มองหน้าคู่สนทนา

                   “.......” ไคร่าไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ ได้แต่ฟังเสียงถอนหายใจของคนข้างๆอยู่เงียบๆ

                   “...หลังจากนี้เวลเฮมมิน่าคงจะเข้ามาติดต่อบริงไฮด์อีก เจ้ารู้หน้าที่ของเจ้าดีนะไคร่า ไว้ข้าจะติดต่อเจ้าไปใหม่”





                 ที่ระเบียงห้องนอนขององค์ชายเฟริค สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองที่เต็มไปด้วยประชากรมากมาย เดินไปมาขวักไขว่เพื่อจับจ่ายใช้สอย แววตาสีเหลืองทองทอดมองเลยเขตเมืองไปไกลสุดขอบท้องฟ้าสีน้ำเงิน ภายใต้แววตาที่ดูสงบนิ่งคู่นั้น เต็มไปด้วยความคิดต่างๆมากมายกับเรื่องที่ทั้งเกิดขึ้นและยังไม่เกิดขึ้น พลันก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังแทรกกระบวนความคิดทุกอย่างของเขาขึ้นมา

                  “องค์ชายเฟริค ข้าพาคนมาส่งขอรับ” เสียงนายทหารเอ่ยแว่วเข้ามาจากข้างนอก

                   “เข้ามา” เฟริคเอ่ยกลับไปพร้อมกับเดินกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง ประตูห้องเปิดออกมาสิ่งแรกที่เขาเห็นคือแววตากลมโตสีแดงเข้มที่ตัดกับเรือนผมสีดำขลับของหญิงสาววัยแรกรุ่น ริมฝีปากบางสีแดงสดคลี่ยิ้มหวานส่งมาให้

                      “อา ไคร่า กำลังคิดถึงเจ้าอยู่พอดีเลย” เฟริคเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงสดใส เมื่อสาวเจ้าเดินเข้ามาหา เขาก็รวบเอวบางของอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้ในทันที

                “ขอบใจที่มาส่งนะ แล้วก็ ข้าขอเวลาส่วนตัวสักครู่ มีธุระอะไรฝากไว้ที่เจ้าก่อนละกัน” เฟริคคลี่ยิ้มหน้าบาน ฝากฝั่งนายทหารที่พาไคร่าเข้ามา

               “รับทราบขอรับ…” นายทหารรับคำสั่งแล้วเดินออกจากห้องไป เมื่อปิดประตูลงก็อดไม่ได้ที่จะกรอกตาขึ้นมาอย่างรู้สึกเหนื่อยหน่าย กับองค์ชายผู้ที่เลือกใช้ชีวิตแสนสุขสบาย ในขณะที่คนอื่นๆกำลังเคร่งเครียดกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น

               เสียงพรมจูบกับเสียงครางเบาๆของหญิงสาวแว่วดังสะท้อนอยู่ในห้องนอนอันโอ่อ่าขององค์ชาย มือของคนในห้องต่างก็พัลวันวุ่นวายอยู่กับการ ปลดอาภรณ์ของคนตรงหน้าออก

               “องค์ชาย...ทำไมวันนี้ถึงดูรีบร้อนนัก อือ...” น้ำเสียงของหญิงสาวถูกกลืนหายไปกับริมฝีปากหนาที่ประทับปิดลงมา

                “ใครกันแน่ที่รีบร้อนหืม ?” เฟริคถามอีกฝ่ายกลับไปขณะที่ไล้สันจมูกลงมาตามซอกคอเนียน ไคร่าได้ยินคำถามนั้นก็คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา ผลักร่างหนาลงไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่ แล้วตามขึ้นไปนั่งคร่อม

                “ปกติข้าก็รีบร้อนอยู่แล้วนี่คะ มีแต่ท่านนั่นแหละ...” ไคร่าว่าพลางลากปลายนิ้วเรียวยาว ไล้จากแผ่นอกหนาเปลือยเปล่าลงมา เรื่อยผ่านร่องกล้ามท้องแน่นๆลงมาหยุดที่ขอบกางเกง

                 “...ที่มัวแต่จะเล่าเรื่องเวลเฮมมิน่าให้ข้าฟัง เหมือนเด็กที่เพิ่งได้ออกจากบ้านเป็นครั้งแรก ทำเอาข้ารู้สึกหึงท่านเจ้าเมืองที่ท่านพูดถึงเลย วันนี้ไม่มีอะไรจะเล่าให้ข้าฟังแล้วเหรอคะ” ไคร่าขยับร่างอรชรเข้าไปแนบชิดกระซิบถามที่ข้างหู ขณะที่มือค่อยๆปลดกางเกงอีกฝ่ายออก

               “ถ้าเจ้าหึงแล้วเจ้ายังอยากจะฟังอะไรอีกล่ะไคร่า” เฟริคถามกลับมาแล้วหอมแก้มอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู

                “ถึงข้าจะหึงแต่ข้าก็สนุกกับเรื่องเล่าของท่าน เมื่อไหร่ท่านเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่าจะแวะมาที่บริงไฮด์อีกล่ะคะ ข้าอยากจะเจอตัวจริงดูสักครั้ง”

                 “ข้าไม่รู้หรอกนะ มันก็ขึ้นอยู่กับว่า….” เฟริคคว้ามือเรียวที่กำลังวุ่นวายอยู่ที่กางเกงของเขาขึ้นมา แล้วพลิกร่างบางลงไปนอนข้างล่าง ยกร่างตัวเองขึ้นคร่อมแทน

                  “องค์ชาย วันนี้ท่านดูจะใจร้อนจริงๆนะคะ” ร่างบางที่อยู่เบื้องล่างคลี่ยิ้มยั่วยวนกลับมา

                  “...เจ้าคาบเอาเรื่องนี้ไปแจ้งกรีฟิทเร็วแค่ไหน แล้วกรีฟิทตัดสินใจจะทำยังไงกับเวลเฮมมิน่า” แววตาสีแดงเข้มเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ไคร่าคิดว่าเธอเป็นคนหลอกเอาข้อมูลจากองค์ชายขี้เล่นไม่เอาไหนคนนี้ได้ง่ายๆเสียอีก แต่เปล่าเลยเธอกลับถูกองค์ชายหลอกมาตลอด

                  “....องค์ชาย...พูดเรื่องอะไรคะ” ไคร่าแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร แต่น้ำเสียงของเธอสั่นคลอนออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ เธอไม่รู้จักแววตาสีทองคู่นี้ที่จ้องมองเธอมาอย่างเย็นชา ถึงแม้ใบหน้าคมเข้มนั้นจะยังยิ้มหวานให้เธอก็ตาม

                 “ไคร่า ข้าออกจะรักเจ้าขนาดนี้ คิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้ารึไง เจ้าตอบคำถามข้าดีๆข้าจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงามเลย” มือกร้านลูบเรือนผมสีดำขลับของไคร่าอย่างทะนุถนอม คำพูดอันอ่อนโยนไม่ได้ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด

                 “ถ้าเจ้าเอาเรื่องที่ข้าเล่าให้ฟังไปเล่าให้กรีฟิทฟังจนครบ ข้าว่ากรีฟิทคงเลือกที่จะฆ่าเจ้าเมืองเวลเฮมมิน่าที่ทำอะไรไม่ค่อยได้ นอกจากเปลี่ยนสภาพอากาศให้เอื้อออำนวยกับสมรภูมิรบอย่างที่เจ้าเข้าใจ” เฟริคถามไปพลางมองดูสีหน้าของหญิงสาวที่ขมวดคิ้วกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น

                “......” เฟริคไม่ได้รู้สึกขัดใจอะไรกับสายข่าวปากแข็งของเขาที่เอาแต่เงียบไม่เปิดปากออกมา แค่สีหน้าลำบากใจของไคร่าก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้แล้ว ว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้

                 “แล้วยังไง ส่งคนไปฆ่าท่านเจ้าเมืองแล้วสินะ ให้ข้าเดาคงจะล้มเหลวไม่เป็นท่า ขอโทษทีนะไคร่า ที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังไม่หมด ว่าลีบลาอย่างท่านเจ้าเมืองทำอะไรได้บ้างน่ะ เจ้ารู้ไหมว่ากว่าข้าจะเชิญมาบริงไฮด์ได้น่ะ เหนื่อยแค่ไหน” เฟริคไล่เดาสถานการณ์ต่อไปเรื่อยๆ และสนุกกับการมองดูสีหน้าของของไคร่าที่พยายามจะเก็บสีหน้าของตัวเอง

                “เอาล่ะ ข้าต้องขอบใจเจ้าจริงๆที่ช่วยให้แผนการของข้าสำเร็จไปได้เป็นอย่างดี” เฟริคลุกขึ้นยืนขยับใส่กางเกงที่หลุดลุยใส่กลับเข้าไปใหม่ เดินไปเปิดตู้ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานออกมา หยิบถุงกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มห่อเล็กๆออกมาห่อหนึ่ง เดินกลับมานั่งลงที่โซฟาข้างๆไคร่าที่ยังทำตัวไม่ถูก เธอไม่อาจจะอ่านออกได้ว่าเฟริคกำลังคิดอะไรอยู่

                  “นี่เป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆที่เจ้าช่วยงานข้าในครั้งนี้ ถึงข้าจะเสียดายเจ้าอยู่บ้าง แต่เจ้ารีบไปจากที่นี่ซะ ข้าคิดว่าเจ้าจะฉลาดพอที่จะไม่กลับไปกรีฟิท แล้วเล่าความผิดพลาดครั้งนี้ของเจ้าให้ใครฟังหรอกนะ” ไคร่ารับห่อผ้านั้นมาแล้วเปิดออกดู ก็พบว่าข้างในมีเพชรเม็ดเล็กๆประกายวาววับอยู่เต็มถุง

                   “นั่นน่าจะพอสำหรับไปเริ่มต้นใหม่นะไคร่า แต่งตัวแล้วออกไปได้แล้วก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจไม่ปล่อยเจ้าไป” เฟริคแกล้งพูดขึ้นมาเช่นนั้นไคร่าก็รีบลุกขึ้นแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แล้วหายไปจากห้องนั้นในทันที

                  เสียงประตูห้องของเขาปิดลงไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้องค์ชายถอนหายใจออกมา เขาอยากจะได้เวลาพักผ่อนเงียบๆคนเดียวสักพัก หลังจากที่ปล่อยของเล่นชิ้นโปรดเดินจากเขาไปเมื่อครู่ เพราะจากนี้ไปเขาไม่อาจจะเก็บสายสืบของกรีฟิทไว้ใกล้ตัวได้อีกแล้ว

              “ขออภัยที่รบกวนเวลาขอรับองค์ชาย เห็นว่าท่านได้แจ้งข้าว่าถ้ามีแขกจากเวลเฮมมิน่ามาขอพบให้รีบมาแจ้งท่าน….” รายละเอียดที่ได้รับแจ้งเข้ามา ทำให้อารมณ์หดหู่เมื่อครู่ของเฟริค พลิกกลับมาเบิกบานได้ใหม่อีกครั้ง

              “ข้าขอชื่อแขกได้ไหม” เฟริคเอ่ยถามกลับไปขณะที่เดินไปหยิบเสื้อตัวเองที่กองอยู่กับพื้น ขึ้นมาสวมและจัดสภาพตัวเองให้ดูเรียบร้อยพร้อมจะออกไปทำงานของตนต่อ

             “ซีมัสขอรับ” เมื่อคำตอบของนายทหารนั้นตอบกลับมาได้ตามที่เขาคิดเอาไว้ เฟริคก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาจากลำคอเบาๆอย่างพออกพอใจ แล้วพึมพำขึ้นมาเบาๆก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

              “ลูกมาเดี๋ยวแม่ก็ต้องมาตาม”








つづく。。。。。  


คือตกใจนะ ไม่คิดว่าจะต้องแบ่งลง2part เลยจริงๆ คิดว่ามันควรจะเป็นตอนสั้นๆ 555 (นี่ชั้นเวิ่นเว้อมาขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย)



  เจอกันเรื่องหน้านะคะ ยังร่างพลอตไม่เสร็จเลยค่า แต่จะพยายามนะ
ตอนนี้คาดว่าคนอ่านจะอารมณ์แบบว่า ฉากจบก่อนหน้านั้นอาจจะดีกว่า ไม่ค้างคาแบบนี้ อันนี้แบบ …. ค้าง…..หนักกว่าเดิม (อย่าสาปแช่งเค้านะ)

ภาคต่อนี่ จะเริ่มดาร์คขึ้นมานิดๆ จริงๆอยากเขียนดาร์คมากๆ ตั้งแต่แรกละ ทำไมมันถึงได้ออกมาใสขนาดนี้ไม่รู้... (คนเขียนเป็นคนใสๆค่ะ ช่วยไม่ได้จริงๆ  ดีสนีย์ค่ะดิสนีย์5555)
จริงๆพลอตแรกนี่กะฆ่าทิ้งทั้งเฟริคทั้งซีมัสเลยนะคะ ตัดปัญหาไม่มีภาคต่อ 555555555 แต่แบบสร้างขึ้นมาแล้วมันน่ารักเกิน เฟริคก็ร้ายน่ารักอีก (เอ๊ะยังไง) ฆ่าไม่ลงค่ะ เลยต้องรับผิดชอบเขียนภาคต่อของพวกนางต่อไป


มีอะไรเสนออยากจะเห็นในภาคต่อมั้ยคะ จะรับไว้พิจารณา ขณะที่ยังร่างพลอตไม่เสร็จ (หรือพูดง่ายๆว่าหมดมุขนั่นเอง)

แถมเฟริคคุงไปหน่อย ภาคต่อไปชั้นต้องปลกปล้ำอยู่กับนางอีกนาน


(รูปนี้ดูแตกเนื้อสาวนะเฟริค555) เอาจริงๆนะ ไม่อยากจะเขียนเกี่ยวกับเฟริคซักเท่าไหร่เล้ย เพราะมันเป็นคาแรคเตอร์ที่ฉลาดมาก ทั้งๆที่คนเขียนไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น แต่ก็จะพยายามนะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-05-2016 10:42:50 โดย hayeebaba »

ออฟไลน์ Raina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
อ้างถึง
อันนี้แบบ …. ค้าง…..หนักกว่าเดิม

เห็นด้วยค่ะ 555

เฟริคยังร้ายเสมอต้นเสมอปลาย หาความน่ารักไม่เจออ่าาาา  :a5:

เซมัสน่าสงสารมาตั้งแต่เด็กจนโตเลย อยากขอ...ให้น้องมีพ่อยกบ้าง แบบที่ไม่ใช่คุณพี่ชายที่มีตำแหน่งเจ้าเมืองค้ำคอ แต่เป็นคนที่สามารถปกป้องคุ้มครองดูแล ยกเซมัสให้เป็นที่หนึ่งของเขาเสมอ แต่ไม่เอาบทพระรองนะคะ(แห้วตลอดอ่ะ) 555 ถ้าไม่ใช่พระเอก ก็ขอเป็นบทพ่อทูนหัว/เพื่อนสนิท(คิดซื่อ)/หัวหน้าหรืออาจารย์ของกลุ่มลูกครึ่งภูติ น่าจะฟินกว่า

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อ๊ากกกก!! ค้างงงงงมากค่ะโอ๊ยย เข้ามาดัน อยากอ่าน #เฟริคซีมัส เชียร์ให้มีภาคต่อเร็วๆค่ะ จะดาร์คมากน้อยมาเลยค่ะ  555// #ทีมเฟริค ชอบอ่ะ เจ้าเล่ห์ ร้าย จอมวางแผน แม้จะพลาดก็เถอะนะ 555  ไม่รู้สิ เฟริคดูฉลาดว่ะ แผนที่อาจคิดว่าพลาด แต่มันกลับสร้างโอกาสอะไรสักอย่างในนั้น ดูมันจะล้ำลึกนะ อ่าาาต้องได้อ่านภาคต่อ ว่าจะใช่อย่างที่คิดไหม?? 5555 แต่ชอบเฟริค แกะดำตัวนี้ขยันสร้างเรื่องจริง แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่เฟริคทำมันจะ??????? ภาคต่อมาค่ะ  หลอกล่อไรค์เต็มที่ อยากอ่านนนนน 5555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2016 22:07:50 โดย blove »

ออฟไลน์ hayeebaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
555 มีคนมาช่วยดัน เนื่องจากวางระเบิดทิ้งไว้

ตอนนี้ร่างคร่าวๆใกล้เสร็จแล้วค่ะคาดว่าภายในเดือนหน้าจะเริ่ม.....เขียน (เพราะนี่มันสิ้นเดือนแล้ว)
ตอนนี้อยากเขียนโดจินนิยายตัวเองค่ะ 55555 (อาการหนัก) ขอเขียนแป๊บ ไม่เกิน10หน้า (ยืดมาจากการ์ตูน4ช่องจบ)



เออจริงๆเรื่องของดาวิสอ่ะนะ เขียนเองแอบสงสัยเอง มีใครสงสัยแบบเรามั้ยน้อ (แอบปิดประเด็น)
คือ...ดาวิส...เริ่มจีบลีนัสตั้งกะแตกเนื้อหนุ่มตอนอายุ19 ด้วยหน้าที่การงานแล้ว คาดว่าไม่น่าจะมีเวลาและสถานการณ์ใดๆเอื้ออำนวยให้เมะหนุ่มของเรากินเคะได้เลยตลอดเวลาที่ผ่านมาจนฉากในเรื่อง ซึ่งพ่อหนุ่มเมะของเราก็อายุได้ราวๆ30
.....อดคิดไม่ได้เลยจริงๆว่านางจะซิงยัน30หรือนี่ 555555 (ตกลงดาวิสเป็นผู้ชายกินผัก ??)

ไม่ใช่อะไร แบบ...บางทีก็เป็นห่วงสุขภาพตัวละครบ้างอะไรบ้าง (เกินไปนะ)

 :katai3:


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด