ตอนที่๑๐ เสี่ยง เรื่องของไอ้ปลิวเป็นเหมือนตะกอนที่ตกค้างในใจของผมไปแล้ว ถึงจะผ่านไปสองวันแล้วก็ตาม แต่ผมก็อดห่วงมันไม่ได้ ผมกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะไปคุยกับไอ้โตดีไหม แต่เสียงอีกฝั่งก็แย้งมาว่ามันไม่ใช่เรื่องของผม เป็นเรื่องของมันสองคน ก็ให้มันเคลียร์กันเอง
“ถ้าไปแล้วจะสบายใจมากกว่าเดิมเหรอ”ไอ้ตินพูดขึ้นมาเมื่อผมปรึกษามันสองคนว่าจะไปหาไอ้โตดีไหม
“กูเห็นด้วยกับไอ้ตินนะ ต่อให้มึงไปพูดกับไอ้โตแต่ถ้ามันไม่ได้รักไอ้ปลิวแล้วจริงๆมึงก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก”ไอ้ภูพูดขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
“กูไม่ได้อยากเป็นพระเอกเข้าไปช่วย แต่กูอยากรู้ความรู้สึกของเพื่อนกูเฉยๆว่ามันคิดยังไง”
“แล้วไงต่อ”ไอ้ภูถามเสียงเรียบ
“ก็...”นั่นสิ สมมุติว่ามันยังรักไอ้ปลิวแล้วไงต่อ ผมจะเป็นกามเทพสานความสัมพันธ์ให้พวกมันสองคนหรือไง
“อย่าลืมนะว่าไอ้ปลิวไม่อยากให้มึงไปคุยกับไอ้โต”ไอ้ตินเสริมขึ้นมา ผมเลยได้แต่ถอนหายใจ ก็อย่างที่ตินมันพูดนั่นแหละ ไปคุยแล้วผมคงคิดมากเหมือนเดิม ...จะพยายามปล่อยผ่านมองข้ามเรื่องนี้ไปก็แล้วกัน แต่พอกลับมาสนใจพวกมันสองคนอีกที มันก็นั่งมองหน้าผมด้วยรอยยิ้มที่ใกล้เคียงกับคำว่าเอ็นดู ไอ้สลัดผัก มายิ้มแบบนี้พร้อมกันทำไม
“ยิ้มไร ถูกหวยเหรอ”ผมแขวะอย่างนึกหมั่นไส้
“อืม ได้มึงเป็นเมียนี่เหมือนถูกหวยเลยว่ะ”ไอ้ภูกวนตีนกลับมา
“เลิกคิดมากได้แล้ว ไม่สมเป็นไอ้ฟิกเลย”ไอ้ตินตบบ่าผมสองสามที
“พอเป็นคนดีไม่ชอบ ชอบให้เป็นคนเลวเหรอวะ”ผมจะเล่นบทพระเอกบ้างก็มาห้ามอีก
“เลวมาก็เลวกลับ จำไว้นะน้องฟิก”ไอ้ตินตบแก้มผมเบาๆ อาจดูน่ารักแต่ผมรู้สึกเหมือนโดนมันขู่กลายๆเลย
“ตอนนี้กูเป็นคนดีล่ะ สงสัยต้องไปเพิ่มสกิลเลวกับพี่ภูซะแล้ว”ผมแกล้งเรียกมันว่าพี่ นานๆทีถึงจะใช้ แต่ดูเหมือนมันจะชอบใจ จนลืมโมโหที่ผมแอบหลอกด่ามันว่าเลว
“พูดใหม่ซิ กูชอบนะ เรียกกูเพราะๆแล้วจะให้รางวัล”มันยื่นหน้ามาใกล้ๆผมพร้อมรอยยิ้มชั่วๆตามสไตล์ไอ้ภู
“รางวัลอะไร ขอเงินสักก้อนได้ไหมวะ”ตอนนี้เริ่มแดกแกลบแล้ว
“น้องฟิกขออะไรมา พี่ให้ได้หมดนั่นแหละ”ผมรีบหันหน้าหนีไอ้ภูทันที นี่มันไม่ใช่ไอ้ภูแล้ว ตัวอะไรเข้าสิงมันแน่ๆ แต่ถ้าผมหนี ผมก็แพ้น่ะสิ ผมเลยต้องหันกลับไปสู้หน้ามันต่อ
“ขอกิ๊กมึงสักคนได้ไหม”
“คนไหนบอกมา เดี๋ยวยกให้”
“สัด นี่มึงมีจริงๆใช่เปล่าวะ”ผมหรี่ตามองหน้าไอ้ภูที่ยิ้มขำๆ
“เอ้า มึงเริ่มก่อนนะ กูก็ตามน้ำมึงไง ทำมาหงุดหงิด”
“พอๆคุยกับมึงไร้สาระว่ะ”สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายถอยทัพออกมาเอง ผมเลยหันไปสนใจไอ้ตินที่กำลังเล่นเกมส์ในเเท็บเเล็ต เกมส์ไอ้ตัวเหลืองๆที่ชอบทำเสียงประหลาดๆเวลาตาย หรือโดนไฟช็อต ผมมองไอ้ตัวเหลืองวิ่งเก็บกล้วยด้วยสายตาไม่ชอบใจ ผมเกลียดเสียงมันอ่ะ
“มึงช่วยปิดเสียงได้ไหมวะ”ยืนดูมานานผมจึงพูดขึ้นมาเพื่อให้มันรู้ว่าผมยืนมองมันอยู่
“ตลกดี”ไอ้ตินมันหัวเราะชอบใจ
“มึงมาลองเล่นไหม”มันชวน แต่ผมทำเสียงหงุดหงิดใส่มัน
“ไม่เอาอ่ะ”
“เล่นไม่เป็นล่ะสิ เดี๋ยวพี่สอน”ไอ้ตินได้ทีล้อเลียนไอ้ภูบ้าง
“ไร้สาระ กูโตแล้วไม่มัวมานั่งเล่นเกมส์เก็บกล้วยหรอก”ไอ้ตินยังมีหน้ามาขำอีก
“มึงเล่นยามาเปล่าว่ะ ติน”ผมแกล้งเดินเข้าไปลูบหน้าลูบตามัน
“บ้ารึไง มือมึงเค็มว่ะ”มันปัดมือผมออก ก่อนจะหมกมุ่นกับไอ้ตัวเหลืองๆนั่นต่อไป ผมไม่เห็นว่ามันจะสนุกตรงไหนเลย
“เออ เก็บกล้วยต่อไปเถอะไอ้ติน ตอนดึกๆอย่ามาเก็บกล้วยกูล่ะ”มีเสียงหัวเราะดังมาจากไอ้ภูที่นอนอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียง
“คิดได้ไงวะฟิก กูนับถือมึงจริงๆ”ไอ้ภูยังคงขำไม่หยุด ผมว่าวันนี้มันสองคนท่าจะนัดกันอารมณ์ดีผิดปกติแน่ๆ ไอ้ตินละสายตาจากเกมส์มาหยิกแก้มผมเหมือนหมั่นเขี้ยว ซึ่งผมสวนกลับไปโดยอัตโนมัติทันที เต็มฝามือเลย ตบหัวมันครับ
“เฮ้ย ขอโทษไม่ได้ตั้งใจว่ะ”ผมรีบพูดเมื่อเห็นไอ้ตินเริ่มหน้าหงิก ก็ผมไม่ชินกับการที่พวกมันมาทำแบบนี้ใส่ผมนี่หว่า เมื่อก่อนพวกมันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ ถามว่าดีไหมที่พวกมันทำตัวมุ้งมิ้ง (?)กับผมมากขึ้น มันก็ดี แต่เรื่องของเรื่องคือผมไม่ชิน มาทำเหมือนผมเป็นเด็กน้อยไปได้ ยิ่งไอ้ภูนะ...มันโดนมากกว่าฝามือของผมอีก หนักใจตัวเองเหมือนกัน แต่ผมก็เป็นของผมแบบนี้ จะให้มามุ้งมิ้งกลับมันก็ไม่ใช่ไอ้ฟิกแล้ว กูไม่เหมือนพวกแล้วๆมาที่พวกมึงเคยคบมานะเว้ย!
แต่ตอนนี้กลับมาที่สีหน้านิ่งๆของไอ้ตินก่อน นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่ผมตบหัวมัน กับไอ้ภูนี่แกล้งบ่อยมากจากที่มันเคยโกรธจนมันเริ่มไม่ถือสาอะไรผมแล้ว แต่ที่ไม่ตบไอ้ตินเพราะมันไม่ได้กวนตีนจนผมต้องทำแบบนั้นไง
“เดี๋ยวนี้นี่กล้ากว่าเดิมนะ บอกมาใครสั่งใครสอนมึงวะฟิก”มันเปลี่ยนจากสีหน้านิ่งๆเป็นหลุดยิ้ม ก่อนจะเข้ามาล็อคคอผมแทน โล่งหน่อยที่มันไม่โกรธ
“เออ กูก็อยากรู้ ไอ้ชายใช่ไหม เมื่อตอนนั้นมันก็เป็นคนแนะนำไอ้คิมให้มึง”ผมนี่นับถือไอ้ภูเลย เรื่องตั้งหลายปีดีดักแล้วดันมาจำ
ได้อีก
“ไม่ใช่เว้ย มันเป็นโดยอัตโนมัติเอง”กว่าจะดิ้นหลุดมาจากไอ้ตินได้ก็เล่นเอาหอบเลย ไอ้ตินตบหัวผมคืนแล้วกลับไปเล่นเกมส์ต่อ
ผมเลยออกมานั่งสเก็ตภาพเงียบๆคนเดียว แต่โทรศัพท์ก็สั่นครืดๆขัดอารมณ์ซะก่อน เบอร์แปลกด้วย ใครวะ
“สวัสดีครับ”
[ไอ้ฟิก...] เสียงแบบนี้...ไอ้โตนี่หว่า
“เฮ้ย มึงเป็นไงบ้างวะ”ผมไม่รู้จะถามเรื่องไหนก่อนดี
[ก็….ไม่ค่อยดีว่ะ ไอ้ป่านน่ะ…] แล้วมันก็เงียบไป
“กูรู้แล้ว กูรู้เรื่องทุกอย่างแล้วไอ้โต”ปลายสายเงียบไปอยู่นาน
[กู…ไม่เหลือใครแล้วว่ะฟิก] เสียงของมันดูเหมือนคนที่ปลงๆแล้ว
“มึงรู้เรื่องไอ้ปลิวแล้วใช่ไหม มึงรู้ใช่ไหมว่ามันรักมึง”
[กูรู้…แต่กูไม่อยากเห็นแก่ตัวว่ะฟิก กูยอมรับว่ากูยังรักไอ้ป่านอยู่ กูรักมันมาก กูเลย…อยากจะรอให้มันกลับมา]
“เฮ้ย โต มันทำกับมึงขนาดนั้น ทำไมมึงถึงโง่รอมันอีกวะ”ผมไม่รู้จะด่าอะไรมันเลยนะเนี่ย ทั้งๆที่คำด่าพวกนั้นมีอยู่เต็มหัวผมไปหมด
[กูยอมรับว่ากูโง่ แต่เรื่องแบบนี้มันไม่มีเหตุผลหรอกว่ะ ถึงมันจะแรดจะเลวยังไงกูก็รับมันได้]มันหัวเราะเบาๆ
“โง่ฉิบหาย”
[ด่ากูมาเถอะ]
“แล้วไอ้ปลิว มึงไม่ได้รักมันเลยเหรอวะ”
[กู…ก็รักมันนะ แต่ไม่เท่าไอ้ป่าน กูบอกแล้วไงว่าไม่อยากเห็นแก่ตัว ถ้าป่านมันกลับมา ยังไงกูรู้ดีว่ากูต้องเลือกมัน กูเลยปล่อยไอ้ปลิวไปเจอคนที่ดีกว่ากู]
“ฟังดูพระเอกนะไอ้เหี้ย แล้วมึงดึงมันเข้ามาเกี่ยวทำไมตั้งแต่แรกวะ”ผมชักจะโมโหขึ้นมา
[กูผิดเอง]
“มึงโทรมาแค่นี้เหรอ”
[กูแค่อยากคุยกับมึง นี่มึงเกลียดกูแล้วใช่ไหม]
“กูไม่ได้เกลียดมึง”เพราะยังไงมันก็เป็นเพื่อนผม ตอนที่ผมลำบาก มีเรื่องทุกข์ใจผมก็ไปปรึกษาเพราะแบบนี้ผมเลยไม่วางสายใส่มัน
“แล้วมึงโอเคแล้วเหรอ ความรู้สึกมึงน่ะ”ผมใช้เสียงอ่อนลง ผมก็เข้าใจมันนะ ในระดับหนึ่ง ผมก็เห็นออกบ่อย พวกที่หนีกันไม่พ้น ร้ายแค่ไหนก็ยังรัก ยังจมปลักได้อยู่ ไอ้โตกับไอ้ป่านอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้
[ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว มึงรู้ใช่ไหมว่าไอ้ปลิวพักอยู่ที่ไหน]
“ทำไมวะ”
[กูแค่เป็นห่วงมัน กลัวมันจะไม่มีที่ไป]
“ตอนนี้มันสบายดี มันเองก็ทำใจยอมรับได้แล้ว ถ้ามึงคิดจะกลับไปหามันเพราะว่ามึงเหงาไม่มีใครล่ะก็ มึงเลิกคิดซะ”ไอ้โต
หัวเราะทันที
[มึงหวงมันเหรอ]
“กูเป็นห่วงมันในฐานะเพื่อน ถ้ามึงยังทำเพื่อนกูเจ็บไม่เลิก กู…เล่นงานมึงแน่ไอ้โต”ผมไม่ได้ขู่ ผมไม่เก่งเรื่องต่อยตีก็จริง แต่ถ้า
เป็นเรื่องเพื่อน หรือคนที่สำคัญกับผม ถ้าหากต้องสู้ ผมก็ทำได้
[ไอ้ฟิก กูดีใจนะ ที่มึงเป็นห่วงมันขนาดนี้ แล้วก็ดีใจด้วยที่มึงโตขึ้นแล้ว] มันหัวเราะอีกครั้ง ผมกับมันคุยเรื่อยเปื่อยกันอยู่พักใหญ่
ก่อนที่จะวางสาย
“คุยกับเพื่อนมึงเหรอ”ไอ้ตินโผล่มายืนที่ด้านหลังของผม
“อืม”ผมถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปมองเมื่อได้กลิ่นบุหรี่โชยมาจากไอ้ติน ปกติแล้วผมไม่ค่อยเห็นมันสูบหรอก
“คิดจะช่วยเหรอ”
“เปล่า กูไม่อยากยุ่ง แต่ก็อยากให้ไอ้ปลิวมันได้เจอคนดีๆบ้าง ทั้งแฟนเก่ามัน กูแล้วก็ไอ้โต กูสงสารมันว่ะ”ไอ้ตินยกยิ้มมองผม
ก่อนจะยกมือดีดหน้าผากผมเบาๆ
“ไม่ต้องคิดมากหรอก ถ้ามันจะเจอ เดี๋ยวก็เจอเอง เหมือนกูกับมึงไง”ผมเบ้หน้าทันที
“มึงชมตัวเองว่างั้นเถอะ”
“กูเป็นคนดีนะ”มันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันมามองผม
“เพื่อนกูที่ต่างจังหวัดโทรมาบอกว่าไอ้นัทมาเที่ยวแถวๆนี้”ไอ้นัทแฟนเก่าโรคจิตของไอ้ตินมัน ผมยังจำได้ดี ผมย่นคิ้ว เพราะไม่
คิดว่ามันจะมาเที่ยวหรอก ไอ้ภูโผล่มาที่กรอบประตูบ้างเมื่อได้ยินชื่อนี้
“คราวนี้ถ้ามันทำเรื่องยุ่งกูไม่ต่อยมันแค่หมัดเดียวแน่”มันตีหน้าเข้ม
“มันไม่กล้ามาระรานพวกเราหรอก โดนไปขนาดนั้น”ไอ้ตินหัวเราะ
“แล้วมันมาแถวนี้ทำไม”ไอ้ภูหยิบบุหรี่ออกมาสูบบ้างเป็นสัญญาณว่ามันเริ่มจะเครียด ผมเริ่มหงุดหงิดเพราะเหม็นบุหรี่จากพวกมัน
สองคนเนี่ยแหละ
“มาหาผมล่ะมั้ง เดาเอา”ผมเหลียวมองไอ้ตินทันที
“ทำไม มันอยากมาคืนดีกับมึงเหรอ”
“เปล่า เหมือนมันมีเรื่องจะคุยกับกูอ่ะ”มันไหวไหล่ มีเรื่องคุย?ผมว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
“กูเดาว่าอาจจะเกี่ยวกับอดีตเก่าๆของมึง ใช่ไหม มันร้ายแรงถึงขั้นที่มันต้องมาหามึงด้วยตัวเองเลยเหรอวะ”ไอ้ภูขมวดคิ้วยุ่งๆ
“ผมก็เดาว่าอาจจะมีส่วน”มันดูเครียดๆเหมือนกัน
“แล้วมึงไปเอี่ยวกับคนแบบไหนวะ”ผมถามขึ้นมา ทำไมมันดูอันตรายแปลกๆ
“ก็…เหมือนพวกแก๊งอันธพาลทั่วไปนั่นแหละ ตอนนั้นกูค่อนข้างจะดีแตก มีแต่เพื่อนที่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่อยตี มีทั้งพวกเด็กแว๊น เด็กช่าง”ไอ้ภูเลิกคิ้วสนใจทันที
“มึงเคยคบพวกช่างด้วยเหรอ”เพราะมันเองก็เคยคบเหมือนกัน แถมยังพากันไปมีเรื่องถึงขั้นเลือดตกยางออกมาแล้ว
“ก็เคยแค่ช่วงสั้นๆ”
“เหรอวะ ที่ไหน”มันเริ่มถกกันเรื่องสถาบัน ผมก็ได้แต่ฟังมึนๆงงๆ รู้สึกกลัวขึ้นมา แวดวงพวกนี้มันอันตรายจริงๆ ทั้งเรื่องยา เรื่องมีด ปืน ผมกังวลอยู่เหมือนกันเมื่อได้ยินมาว่ากลุ่มเก่าไอ้ตินเคยมีเรื่องกับพวกเด็กช่างมาเหมือนกัน มันเคยไปช่วยยกพวกตีกันมาด้วย แต่แค่ครั้งเดียว พวกกลุ่มคู่อริโดนตำรวจจับทั้งหมด แต่แก๊งไอ้ตินไม่โดนเพราะส่วนใหญ่มีเส้นสาย
แต่ไอ้ตินเองก็เจ็บหนักจนเข้าโรงพยาบาล มันสงสารป๊ากับม๊าเลยต้องการถอนตัวบวกกับช่วงนั้นแก๊งกำลังโดนคุกคามจากหลายๆที่ ซึ่งมันเสี่ยงต่อการโดนรุมยำ เอาเรื่องจนถึงตายก็มี แต่ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ พอจบเรื่องนี้ ไอ้ตินมันเลยย้ายออกมา เรียกง่ายๆก็หนีมานั่นเอง ผมก็เคยมีเพื่อนเป็นเจ้าถิ่น(อย่างไอ้เพียวนั่นไง)พวกนี้มักจะรักพวกพ้อง แบบยอมเจ็บยอมยอมตายแทนกันได้เลย ผมก็ไม่รู้ว่าไอ้ตินมันเป็นแค่ลูกกระจ๊อกหรือเป็นตัวเป้งๆในกลุ่ม แต่…ท่าทางแบบมันผมว่าคงไม่ธรรมดาแน่ๆ
“มึงจะบอกว่าตอนนี้มึงอาจเสี่ยงโดนตามรังควานเหรอ”พวกไหนล่ะ หรืออริเก่าที่เพิ่งพ้นโทษมาแล้วตามมาเอาคืนแบบนี้น่ะเหรอ ไอ้ตินมันแค่ยิ้มจางๆ
“แต่มึงไม่ต่องห่วงหรอก เรื่องไอ้นัทก็ด้วย มันมาดีแน่ๆ”
“มึงมั่นใจได้ไง”ผมเริ่มหงุดหงิด ยอมรับว่ากลัวด้วย ก็ชีวิตมันดูอันตรายขึ้นมาเลยนี่
“มั่นใจได้ ที่มันมาแถวๆนี้ก็คงจะมาหลบแน่ๆ เพราะมันก็เคยอยู่แก๊งเดียวกับกู มึงไม่ต้องคิดมาก เพื่อนกูที่อยู่ทางนู้นส่งข่าวมาให้
กูตลอดนั่นแหละ ถ้ามีเรื่องร้ายแรงจริงๆกูจัดการได้”แต่ผมก็ไม่ได้เบาใจเลย ไอ้ภูถอนหายใจก่อนจะดีดขี้บุหรี่ทิ้ง ผมเริ่มปวดหัวนิดๆเลยหนีกลิ่นเหม็นๆเข้ามาในห้อง ได้ยินแว่วๆว่ามันคุยกันอยู่ ตอนนี้ผมเครียดจริงๆนะ ไอ้ภูก็รู้ๆอยู่ว่าใช่ย่อยที่ไหน โอ๊ย คบกับพวกโหดๆนี่มันเครียดคูณสองเลยนะครับ แถมมีตั้งสองคนอีก เป็นไอ้ฟิกนี่ลำบากจริงๆ
………………………………………………….
ตอนสายๆผมให้ไอ้เคนมารับเพราะมันสองคนติดเรียนกันทั้งคู่
“เออ มีเด็กฟิล์มมาขอเป็นเอฟซีมึงด้วยนะ”ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินที่มันพูด
“เด็กฟิล์มไหนวะ”
“อ้าวๆ แค่นี้ลืมก็ไอ้คนที่ยุให้มึงต่อยไอ้ตินไง”ผมถึงบางอ้อทันที แต่ก็จำหน้ามันไม่ได้แล้ว
“มันบอกว่ามึงเจ๋งที่กล้าต่อยไอ้ติน”ไอ้เคนบอกด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ผมได้แต่หัวเราะตามแห้งๆ
“มันบ้าเปล่าวะ”ผมทำเสียงระเหี่ยใจ
“เออ ไอ้เคนมึงเคยมีเพื่อนเป็นเด็กช่างใช่ไหมวะ”ยังจำกันได้ไหม ที่ผมเคยแค้นไอ้ภู ผมเนี่ยล่ะที่เป็นคนขอให้ไอ้เคนหาพวกไปยำแก้แค้นมัน
“ทำไมวะ มึงมีเรื่องเหรอ ทำไมไม่บอกสองสามีมึงล่ะ”มันหันมาทำหน้าซีเรียส
“ไม่ใช่ กูแค่ถามเฉยๆ”แล้วผมก็เล่าเรื่องไอ้ตินให้มันฟัง ไอ้เคนดูเคร่งเครียดขึ้นมา เอาจริงๆนิสัยไอ้เคนนี่ ถ้าบทมันจะจริงจังมันก็น่ากลัวเหมือนกันนะ แต่เท่าที่คบมันมา ส่วนใหญ่มันจะไร้สาระไง
“อย่างไอ้ตินคงรับมือได้ล่ะมั้ง มันก็ไม่ใช่ขี้ๆ”มันตบบ่าผมเบาๆ เหมือนอยากให้ผมหายเครียด เฮ้อ ผมก็พยายามจะไม่คิดมาก แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อรู้เรื่องแล้ว ผมจะอยู่เฉยได้ยังไง ผมเลยเรียนไม่รู้เรื่องทั้งวัน โทษไอ้ตินคนเดียวเลย ก่อนกลับผมก็แวะซื้อนมปั่นที่ข้างคณะตามปกติ
“อ้าว หวัดดีครับพี่ฟิก”ผมหันไปมอง ก็เห็นว่าเป็นไอ้ปั้น แนะนำใหม่เพื่อลืมมันไปแล้ว มันเป็นเด็กในแก๊งของไอ้เพียวเพื่อนเก่าสมัยม.ปลายของผม (ดันมาเสือกชอบไอ้ตินอีก)
“เออ หวัดดี”ผมมองมันแบบไม่ค่อยใส่ใจนัก
“ผมได้ยินข่าวลือมาว่ะพี่ ไม่รู้ว่าจริงไหม”ไอ้ปั้นพูดเรื่อยๆเหมือนชวนคุย
“อะไรล่ะ”ผมรับแก้วนมปั่นมาดูดพรืดๆก่อนมองหน้าไอ้ปั้นที่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักที
“ต้องคุยยาว ไปนั่งตรงโต๊ะนู้นก่อนดิ เดี๋ยวผมเลี้ยงขนม”มันชี้ไปที่กล่องคุกกี้ที่วางโชว์อยู่หน้าเคาน์เตอร์ ผมอยากรู้ว่ามันจะคุยเรื่องอะไร ไม่ได้เห็นแก่กินนะเว้ย ผมเลยไปนั่งรอตรงโต๊ะที่มันบอก และไอ้ปั้นกลับมาพร้อมคุกกี้และน้ำของมัน
“ว่าไง”ผมถามทันทีเมื่อมันนั่งลง หยิบคุกกี้เข้าปากกร้วมๆ
“เรื่องแฟนพี่นั่นแหละ”ไอ้ตินน่ะเหรอ…
“ทำไมวะ”
“ก็คนเขาลือว่าตอนนี้อ่ะ พี่เขาจะโดนเล่นงาน”
“แล้วใครไปลือวะ ไอ้คนนั้นมันรู้ได้ไง”
“ไม่รู้เหมือนกันพี่ ผมแค่ได้ยินมา พี่เพียวเลยฝากผมมาบอกว่าถ้ามีเรื่องก็ให้บอก จะตามมาช่วย”อื้อหือ จะซึ้งดีไหมครับ ที่มันยอมช่วยก็คงเพราะเป็นเรื่องของไอ้ตินแน่ๆ
“เออ เอาเบอร์ติดต่อมันมาดิ กูลบไปแล้ว”เพราะหมั่นไส้มันที่มาเจ๊าะแจ๊ะกับไอ้ติน ผมเลยได้เบอร์ไอ้เพียวมา แถมได้เบอร์ไอ้ปั้นมาด้วย
“สนใจกิ๊กกับผมก็โทรมาได้เสมอนะ ผมรับได้”มันแซวไล่หลัง เหอะๆ กิ๊กกับมันผมคงโดนไอ้ตินฆ่าหมกคณะแน่ๆ นึกถึงมันปุ๊บก็เหมือนอาถรรพ์เลย เพราะมันโทรมาพอดี
“ว่าไง”
[กินก๋วยเตี๋ยวกัน ร้านเดิม กูออกมากับพี่ภูแล้ว]
“มึงไปเจอมันตอนไหนวะ”ผมล่ะสงสัยว่าพวกมันจะแอบไปคุยกันเรื่องต่อยๆตีๆ
[เออน่า จะมาไหม จะได้แวะไปตลาดนัดด้วยเลย อยากไปไม่ใช่เหรอ]
“โอเคๆ เดี๋ยวตามไป”
[ครับ]
แล้วมันก็วางสายไป ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านเดิมเป็นร้านที่ผมกับพวกมันไปบ่อยมากๆ จนคนขายจำหน้าได้แล้ว มาถึงก็เห็นไอ้ตินกำลังคุยกับไอ้ภูอยู่ที่โต๊ะด้านในสุด
“สั่งไว้ให้แล้ว”ไอ้ภูชี้ไปที่หมี่เหลืองต้มยำอืดๆในถ้วย
“คราวหลังไม่ต้องหวังดีก็ได้นะ”
“ไม่กินก็ดี”มันคว้าถ้วยนั้นไป
“โอ๋ ล้อเล่นน่า อย่างอนๆ”ผมรีบดึงถ้วยกลับมา ตอนนี้ไม่ค่อยอยากเท่าไหร่เพราะกินคุกกี้มาแล้ว
“เออ กูเจอไอ้ปั้นเด็กคณะมึงอ่ะติน มันบอกว่าไอ้เพียวคอยเป็นกำลังใจให้มึงเสมอ ถ้าเดือดร้อนก็โทรไปหามัน แล้วมันจะรีบมาหามึงทันที”ผมใส่สีตีไข่ ไอ้ตินจะได้หมั่นไอ้เพียวมากๆ (คนดีจริงๆ) ไอ้ตินทำหน้าหงุดหงิด
“กูไม่อยากได้ความช่วยเหลือของมันหรอก”
“แต่มันมีพรรคพวกเยอะนะเว้ย เถื่อนๆทั้งนั้น พวกมึงก็เคยเห็นแล้วนี่”
“โธ่ ไอ้ฟิก พวกกูไม่ได้จะยกทัพไปตีกับใครสักหน่อย เลิกเพ้อเจ้อฟุ้งซ่านได้แล้ว”ไอ้ภูแทรกขึ้นมาเหมือนทนไม่ได้
“แค่ระวังไว้เฉยๆ ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกน่า”ไอ้ตินยิ้มก่อนจะชกสีข้างผมเบาๆ
“ก็กูเป็นห่วงพวกมึงนี่หว่า แล้วมึงนะไอ้ภู สร้างเรื่องอีกเดี๋ยวก็โดนเด้งไปนอกอีกรอบหรอก รึมึงอยากไปอยู่คนเดียวอีก”ผมหันไปทำเสียงเข้มใส่ไอ้ภู
“กูรู้ กูไม่ทำเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนหรอก กูโตแล้วนะฟิก”ไอ้ภูทำหน้าจริงจัง ผมเลยเบาใจได้นิดหน่อย หลังจากจัดการก๋วยเตี๋ยวเสร็จก็ไปเดินตลาดต่อ ที่ผมชอบมาเพราะของมันถูก แถมของกินก็เยอะด้วย พอมาถึงต่างคนต่างก็แยกย้ายไปร้านที่ตัวเองชอบ ไอ้ตินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ไวจริงๆเลย ส่วนไอ้ภูก็หายไปในร้านกางเกงยีนส์ ผมก็ไปเข้าร้านเสื้อแนวที่ชอบ ซึ่งผมโอเคกับนิสัยแบบนี้ของพวกมันนะ คือบางครั้งพวกมันก็ไม่ได้เกาะติดผมแจ
เวลาที่มาเดินตลาดเพราะพวกมันก็อยากดูของที่ตัวเองชอบ ไปด้วยกันสามคนมันก็ช้าแถมมันก็น่าเบื่อสำหรับคนที่ต้องรอ พวกผมเลยคุยๆกันไว้ว่าถ้ามาเดินซื้อของก็อาจจะแยกๆกันไป แต่ซื้อเสร็จก็กลับมา ยกเว้นวันที่พวกมันผีเข้าผีออกถึงได้ตามติดผมเป็นเงา ผมได้เสื้อยืดแขนยาวกับยีนส์ขาสั้นแนวๆมาสามตัว กระเป๋าเบาไปเยอะเลย สงสัยต้องโทรไปอ้อนแม่ซะแล้ว ปกติไอ้ภูกับไอ้ตินชอบให้เงินผมใช้ แต่ผมก็เกรงใจ ถึงจะคบกับพวกมัน แต่ผมก็ไม่อยากเบียดเบียนพวกมันมากไป
ไอ้ภูเดินมาหาผมพร้อมกลิ่นหอมๆของข้าวโพดอบเนย ผมเพิ่งรู้ว่ามันชอบกินเนยเลี่ยนๆแบบนี้ เพราะมันเพิ่งให้ผมชิม ใส่เนยเยอะไปหน่อย
“อร่อยไหม”มันถาม
“เลี่ยนเนย”
“กูชอบ กูขอแม่ค้าทำเอง”ผมเลยเหลียวมอง ก็แม่ค้าผู้หญิงนี่นา แถมมองไอ้ภูตาหวานฉ่ำเชียว
“อ้อ มีข้อแลกเปลี่ยนรึเปล่า”
“แค่ถ่ายรูปเอง ตอนแรกก็ขอเบอร์แต่กูบอกว่ารักแฟนมากกกเลยไม่ให้”มันยกยิ้มมองผม เลี่ยนพอๆกับเนยเลย หึๆ
“ไอ้ตินไปไหนแล้ววะ”ผมมองไปรอบๆก็ไม่เจอมัน
“เห็นอยู่ตรงร้านของกินตรงนู่นแว๊บๆ”ไอ้ภูชี้ แต่ก็ไร้วี่แววของมัน ไอ้ภูเลยลองโทรหาแต่สีหน้าหงุดหงิดของมันก็เดาได้ว่าไอ้ตินคงไม่รับ
“ไม่รับว่ะ มีอะไรหรือเปล่าวะ”ไอ้ภูมีสีหน้ากังวลไม่ต่างจากผม เพราะปกติแล้วไอ้ตินมันจะรับโทรศัพท์เสมอ ผมกดโทรหามันบ้าง ผลก็เหมือนไอ้ภู มันไม่รับสายของผมเหมือนกัน
“มันมีเรื่องรึเปล่า”จู่ๆมันก็หายไปไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้จะให้คิดยังไง ไอ้ภูตบบ่าผมให้วางใจ
“ลองเดินดูรอบๆก่อนป่ะ”