ตอนที่๒๘ ครึ่งแรกผมกำลังจับต้นชนปลายอยู่ว่าไปแกล้งมันสองคนตอนไหนทั้งๆที่ตอนนั้นผมก็นอนอยู่บนห้อง …คิดไปคิดมาหรือว่าจะเป็นน้องพี่มิน อาการหลอนน้อยๆเริ่มแทรกเข้ามา แต่เอาเถอะ ผมจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปก็แล้วกัน จะให้บอกยังไงล่ะว่าไอ้ที่แกล้งมันน่ะไม่ใช่ผม! แค่คิดผมก็ขนลุกเกรียวแล้ว ไว้รอจังหวะเหมาะๆ ผมค่อยบอกพวกมันเรื่องนี้ก็แล้วกัน
“แล้วรู้ได้ไงว่ากูมาเที่ยวบ้านพี่มิน”เป็นคำถามที่ไม่น่าถามเลยจริงๆ
“กูมีญาณพิเศษ”ไอ้ภูตอบติดตลก
“ล้อเล่นน่า พอดีกูคุยกับไอ้มิน แล้วก็เห็นที่มึงโพสต์ ตั้งใจจะให้กูเห็นล่ะสิ”มันทำหน้ารู้ทัน
“ไม่เห็นเกี่ยวเลย กูง่วงแล้วจะชวนคุยยันเช้าเลยไหม”ผมประชด อันที่จริงไม่อยากอยู่ด้านล่างนานๆ
“มากอดให้หายคิดถึงหน่อย”ไอ้ตินอ้าแขนเดินเข้ามาหาผม
“ไม่เอา อย่ามาทำรุ่มร่ามตอนนี้”ผมปัดแขนมันออก ไอ้ตินย่นคิ้วมองสีหน้าขำๆ
“ไม่มีใครเห็นหรอกน่า”ผมอ้ำอึ้ง เสียงอะไรบางอย่างหล่นมาจากอีกห้องที่ผมไม่กล้าเข้าไป ไอ้ภูหันไปมองตามเสียงท่าทางดูตกใจเล็กน้อยแบบเก็บอาการแต่ผมก็เห็นว่ามันกลัวแน่ๆ!
“กูง่วงแล้ว”ผมพึมพำก่อนจะรีบนำพวกมันขึ้นไปด้านบน
“มึงนอนห้องเดียวกับไอ้มินเหรอ”ไอ้ภูเริ่มซัก
“เออ ก็เพิ่งจัดบ้านใหม่ จะให้นอนห้องไหนล่ะ”ผมแกล้งทำเสียงฉุนๆใส่ ไอ้ภูถึงได้เงียบ ในห้องพี่มินกับพี่พิสกำลังปูที่นอนให้ไอ้สองตัวข้างๆผม
“เดี๋ยวผมทำเองครับ”ไอ้ตินเข้าไปช่วย
“เฮ้ย ไม่เป็นไร แค่นี้เอง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน หล่อขึ้นเยอะแยะเลยนะเราสองคน”พี่มินหันไปหาไอ้ภูที่ยืนทำหน้าบูดใส่
“ฟิกนอนไหน บนเตียงกับพี่หรือกับสองคนนั่น”พี่มินทำเสียงกวนจงใจเน้นคำว่าบนเตียงเป็นพิเศษ พี่พิสทำเสียงแปลกๆ ระหว่างที่เอาหมอนส่งให้ไอ้ติน
“ก็…”ผมมองหน้ามันสองคน ไอ้ตินแค่ไหวไหล่เหมือนไม่สนใจประเด็นนี้เท่าไหร่
“มึงนอนกับมันเหอะ เดี๋ยวจะปวดหลัง”ได้ยินคำตอบไอ้ภูแล้วผมถึงกับกลั้นขำไม่อยู่เลย มันยิ่งทำหนาบูดเมื่อเห็นว่าผมหัวเราะมัน
“เออ กูไม่ลงไปนอนหลังคดหลังแข็งกับพวกมึงหรอก”ผมทิ้งตัวลงบนเตียง มองมันสองคนจัดที่นอนไปพลางๆ
“พี่เปิดไฟที่หัวเตียงไว้นะ”พี่พิสพึมพำเบาๆก่อนจะปิดไฟในห้องเหลือเพียงไฟที่หัวเตียง ผมขยับนอนในท่าถนัด พลิกตัวมองอีกสองชีวิตที่ทำเสียงดังอยู่ใกล้ๆ ไม่รู้ว่ามันสองคนเถียงอะไรกัน
“อะไรของพี่เนี่ย”
“มึงไปนอนตรงนู้น กูไม่ชอบนอนใกล้ประตู”
“ผมก็ไม่ชอบ ถือเหมือนกัน”ไอ้ตินดูจะหงุดหงิดเอาการ ผมนอนมองเพดานมืดๆระหว่างที่ฟังเสียงมันสองคนเถียงกัน สุดท้ายไอ้ตินก็เป็นฝ่ายถอยก่อนตามเคย ระหว่างกำลังเพลินๆ มืออุ่นๆของไอ้ภูก็โผล่มาจับแขนผม
“อะไร”ผมดันออก
“จับแค่นี้ไม่ได้หรือไง”มันทำเสียงเง้างอน
“อะแฮ่ม”พี่มินกระแอมมาเบาๆเหมือนจะบอกว่าให้เงียบ ไอ้ภูถอนหายใจ ก่อนจะชักมือกลับ คราวนี้ผมนอนหลับได้ง่ายกว่าเดิมคงเพราะคนเยอะทำให้ผมอุ่นใจได้ระดับหนึ่งจนผล็อยหลับไปเองรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงพูดคุยจากด้านล่างแว่วๆ ผมขยับตัวเล็กน้อยเพราะเริ่มเมื่อย ลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดต้นคอทำให้รู้ว่ามีอีกคนนอนกอดผมอยู่ แล้วไอ้ความรู้สึกอุ่นๆตรงพุงนี่คืออะไร ผมป่ายมือเปะปะเจอกับกลุ่มผมหนาๆดึงสองสามทีจนเจ้าของเส้นผมครางพึมพำ ไอ้ภู…ทำไมมันมานอนเป็นลูกลิงแบบนี้ ไอ้พวกนี้ฉวยโอกาสตลอด
ผมปรือตามองผนังห้องหม่นๆ กำลังมึนงงว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว เสียงพูดคุยด้านล่างยิ่งชัดขึ้น พี่มินกับพี่พิสกำลังคุยกับใครสักคน ผมดันทั้งไอ้ภูและไอ้ตินออก ขยับลุกนั่งอย่างทุลักทุเล จากแดดจ้าๆข้างนอกหน้าต่าง เดาว่าน่าจะสายแล้ว ผมเหลียวมองไอ้ติน มันนอนหลับเหมือนคนตาย สงสัยจะเพลียเพราะขับรถมาแน่ๆ ผมค่อยๆเลื่อนตัวจากเตียงให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะไม่อยากทำให้มันสองคนตื่น
หลังจากที่อาบน้ำอาบท่าจนสดชื่นแล้ว ผมก็เข้าไปในครัว หาอะไรรองท้องซะหน่อย
“เฮ้ย”ผมสะดุ้งเพราะเจอพี่พิสนั่งกินข้าวอยู่
“ขวัญอ่อนจัง”พี่พิสหัวเราะขำก่อนจะชี้ไปที่ตู้กับข้าว
“ปกติผมไม่ใช่คนแบบนี้ พี่ก็รู้”ผมทำเสียงเข้ม หมู่นี้ผมขวัญอ่อนเกินไปแล้ว
“ความรักมักทำให้คนอ่อนไหวเสมอ”พี่พิสเริ่มสำบัดสำนวน ผมเปิดตู้กับข้าว เจอพวกต้มจืด ปลาทอด แกงส้มหอมๆ
“ลุงกับป้าทำมาให้”
“พี่มินตั้งใจจะกลับมาอยู่ที่บ้านเหรอครับ”ถ้าแค่มาเยี่ยมไม่เห็นต้องจัดเตรียมอะไรขนาดนี้เลย พี่พิสดูกังวลเล็กน้อย
“ก็เห็นว่าจะมาอยู่สักปีสองปีน่ะ”พี่พิสไหวไหล่เหมือนไม่สนใจ
“แล้วพี่ว่าไงอ่ะ”
“ก็ไม่ว่าไง ทุกคนมีย่อมมีทางเดินของตัวเอง เรื่องแค่นี้พี่เข้าใจ”ผมแปลกใจกับพี่พิสอยู่เหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยินคำพูดประเภทนี้ออกมาจากคนที่เอาตัวเองเป็นใหญ่
“พี่พิสพูดได้ดีมาก”
“กว่าจะคิดได้แบบนี้ก็เถียงกันหลายยก แต่พี่ก็โอเค มันไม่ได้มาอยู่ทั้งชีวิตเสียหน่อย แต่ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกเยอะ มันอยากให้พี่จบก่อน ว่าแต่เราเถอะ เป็นไงบ้าง”ผมเบาใจเรื่องของมันสองคนลงเยอะเลย อาจเพราะว่าตอนนี้ทั้งไอ้ภูและไอ้ตินมาอยู่ใกล้ๆแล้ว
“ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย เหมือนเรื่องที่เคยทะเลาะกับพวกมันไม่เคยเกิดขึ้น เหมือนกับว่าผมกับพวกมันไม่เคยขุ่นใจกัน”ความรู้สึก
ตอนนี้เหมือนกลิ่นหญ้าสดใหม่เลย ผมก็บอกไม่ถูก
“ต้องขอบคุณภูกับตินเลยนะเนี่ย ที่ทำให้พี่ได้เห็นมุมนี้ของฟิก”ดูจะเป็นของแปลกสำหรับพี่พิส รุ่นพี่ตรงหน้ายิ้มก่อนจะลุกเอาจานไปเก็บในอ่าง
“กลิ่นอะไรหอมๆ”ไอ้ภูงัวเงียเข้ามาในครัวเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง พี่พิสเลี่ยงออกไปจากครัวเมื่อมันสองคนมาแย่งพื้นที่คับแคบในห้องนี้
“วันนี้มีแพลนจะไปไหนรึเปล่า”ไอ้ตินถามระหว่างที่ตักข้าวใส่จานให้ผม
“มึงสองคนจะพากูเที่ยวเหรอ”ความจริงผมไม่ได้วางแผนอะไรไว้เลยด้วยซ้ำ
“เปล่า แต่จะสอนมึงขับรถ”ไอ้ตินยักคิ้ว
“ไม่เอา”ผมยังไม่กล้าพอ แล้วตอนนี้ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องฝึก ชาตินี้ผมไม่มีรถขับหรอก (ไม่นับของที่พวกมันซื้อให้)
“มึงไม่ต้องไปบังคับมันหรอกน่า มันอยากฝึกตอนไหนเดี๋ยวมันก็มาขอให้สอนเอง”ไอ้ภูทำเป็นพูดเข้าข้าง ผมรู้ทันมันอยู่แล้ว เกิด
ความเงียบขึ้นเมื่อต่างฝ่ายต่างสนใจข้าวเช้า
“เออ แล้วมึงดูกระบองเพชรให้กูรึเปล่า”ไอ้ภูพูดเหมือนเพิ่งนึกออก ก็ไอ้ต้นกระบองเพชรที่มันไปซื้อมาเมื่อคราวก่อนนู่นนั่นแหละ
“มันไม่ตายหรอกน่า”ไม่ได้ดูหรอก ใครจะไปมีอารมณ์ทำแบบนั้น
“แล้วเมื่อคืน…”ไอ้ตินเอ่ยแทรกมา ผมรอฟังอย่างลุ้นระทึก สีหน้าของมันดูลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่เมื่อผมยิ้ม มันก็พูดต่อทันที
“มึงได้ลงมาหาพวกกูรึเปล่า”มันถามแบบนี้แสดงว่ามีอะไรแน่ๆ ไอ้ภูวางช้อนลงเสียงดัง
“มึงคิดว่าไงล่ะ”ตอนเช้าแดดจ้าแบบนี้ ผมไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่
“พอดีตอนที่ลงมาจากห้องเมื่อกี้ กูแอบเข้าไปมองห้องว่างใกล้ๆบันได แล้วกูเห็นรูป…”
“น้องพี่มิน”ผมตอบ ไอ้ภูพยักหน้าช้าๆ
“ที่มันบอกว่าหน้าเหมือนมึงน่ะเหรอ”
“แล้วเหมือนไหมล่ะ”ผมหันไปหาไอ้ติน คิ้วของมันขมวดมุ่น หรือสังเกตอะไรได้
“ก็คล้ายๆ…”มันมองหน้าผมก่อนจะสนใจจานข้าวของตัวเองต่อ ส่วนไอ้ภูยังดูข้องใจอยู่ จู่ๆมันก็ตบโต๊ะเสียงดัง
“เมื่อคืน…มึงใส่เสื้อสีอะไรนะ”
“สีน้ำเงิน”ไอ้ภูกับไอตินมองหน้ากัน
“เพ้อเจ้อ”ไอ้ภูพึมพำเบาๆกับตัวเอง
“ช่างเหอะ พวกมึงไม่ต้องใส่ใจหรอก”เดี๋ยวจะประสาทหลอนไปใหญ่
“แต่กูข้องใจ”ไอ้ตินขมวดคิ้วมุ่น สายตามุ่งมั่น
“คืนนี้กูจะพิสูจน์”
“มึงจะบ้าเหรอ”ผมไม่อยู่พิสูจน์กับมันหรอกนะ
“กูจะพิสูจน์ด้วยเหมือนกัน”ไอ้ภูเองเหมือนอยากรู้ให้ชัด
“งั้นเชิญตามสบาย คืนนี้กูจะไปนอนบ้านลุงพี่มิน”ผมไม่อยากเจอไอ้น้องโมอะไรนั่นหรอก พูดจบผมกคว้าจานข้าวออกไปด้าน
นอก พี่มินกับพี่พิสกำลังสวีทกันอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนใต้ร่มไม้ ผมเดินเข้าไปนั่งแทรกกลาง ขัดบรรยากาศหวานแหววของทั้งคู่
“อะไรอีกล่ะเรา”พี่มินหันมามองด้วยแววตาเอ็นดูที่ทำผมขนลุกแปลกๆ
“คืนนี้ผมไปนอนที่บ้านลุงพี่ได้ไหม”
“พี่ไปด้วย”พี่พิสรีบเห็นด้วย เอ หรือว่าพี่พิสจะเจอไอ้น้องโมเหมือนกัน แล้วทำไมผมไม่เห็นยักจะเจอ แต่ก็ดีแล้วล่ะ ไม่งั้นผมคงประสาทเสีย
“ทำไมล่ะ บอกพี่ก่อน”พี่มินทำหน้าซื่อ
“อย่ามามึน”พี่พิสทำเสียงเข้ม
“ก็ได้ แล้วสองคนนั่นล่ะ”พูดถึงมันสองคนก็ออกมายืดแข้งยืดขาด้านนอกใกล้ๆโต๊ะที่ผมนั่งอยู่
“มันจะค้างบ้านนี้แหละ”เล่นอะไรของพวกมันก็ไม่รู้
“เหลือเชื่อ สองคนนั่นยอมห่างจากฟิกด้วยเหรอ”พี่มินหัวเราะเสียงดัง
“มันอยากเจอน้องพี่อ่ะ”พี่มินเลิกคิ้วก่อนจะตบเข่าตัวเอง
“ดีเลย พี่ก็อยากเจอเหมือนกัน”
“อย่างพี่เนี่ยนะ ไม่เจอ”ผมไม่รู้หรอกว่าเรื่องแบบนี้จริงแค่ไหน เรื่องบางเรื่องผมก็ไม่อยากรู้ มองข้ามไปดีกว่า ผมไม่บ้าแบบพวก
มันสองคน
“อืม สงสัยยังโกรธพี่อยู่ล่ะมั้ง”พี่มินพูดกับตัวเอง ไม่ได้ดูเศร้าแต่ดูเหงาๆจนผมนึกสงสาร พี่พิสถอนหายใจอยู่ข้างๆ
“พี่ว่าจะไปดูไร่ ฟิกไปด้วยกันไหม”
“ไปครับ”ผมอยากยืดเส้นยืดสายจะแย่แล้ว ผมหันไปมองลูกน้องอีกสองคน เห็นว่ามันเงียหูฟังอยู่
“มานี่มา ไปไร่กันเร็ว”ผมเดาะลิ้นเหมือนเวลาเรียกหมา มันสองคนทำหน้าเหนื่อยหน่าย แต่ก็ตามมาอยู่ดี
“เชื่องจริงๆ”พี่มินกวนประสาทมันสองคนตบท้าย ความจริงแล้วพี่พิสไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากอยู่บ้านคนเดียวเลยต้องมาด้วย ปั่นจักรยานเก่าๆไปคนละคัน พี่มินยืมมาจากคนงานในไร่ของป้าสายใจ พี่มินพาไปดูไร่ข้าวโพดกับไร่อ้อย และจำพวกถั่ว ไอ้ตินดูจะสนใจเป็นพิเศษ เหมือนมันอยากทำไร่อยู่เหมือนกัน ผมนึกไปถึงไอ้เจ้าคุณซะงั้น เพราะรายนั้นก็มีไร่ที่เชียงใหม่เหมือนกัน ผมพบว่าตัวเองไม่ได้หนักใจเรื่องนี้เท่าครั้งก่อนแล้ว ถ้าวันหนึ่งมันต้องไปเพราะเรื่องงาน ผมก็ไม่อยากขัดขามัน คำพูดของพี่พิสในห้องครัวทำให้ผมเข้าใจแจ่มแจ้งเลย ปล่อยไว้ให้เป็นเรื่องของอนาคตก็แล้วกัน
“ร้อนไหม”ไอ้ตินถาม มันหยิบเสื้อคลุมมาด้วย ซึ่งต่างจากผม ไม่รู้ไอ้ตินมันนึกเท่อะไรถึงถอดเสื้อคลุมส่งมาให้
“ไม่อยากให้มึงดำ ไม่ได้อยากทำตัวเป็นพระเอก”มันรีบดักก่อนที่ผมจะได้บ่น ผมหันไปมองไอ้ภูที่เดินรั้งท้ายคุยกับคนงานที่เพิ่งตัดอ้อยมาให้มัน เหมือนช้างที่อยากกินอ้อย ไอ้ภูนี่ทำให้ผมตลกได้กว่าที่คิดอีก
“ถ้าเหนื่อยก็พักก่อนก็ได้ ช่วงเที่ยงแดดจะยิ่งร้อน”พี่มินหันมาบอกพวกผม แต่พี่พิสยืนยันจะไปด้วย ผมไม่อยากขัดเวลาสวีทในไร่ข้าวโพดเลยขอนั่งพักที่ร่มไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้ดีกว่า
“ถ้ากูดำกว่านี้ มึงว่ากูจะเข้มกว่านี้ไหม”ไอ้ภูขอความเห็น มันมองแขนของตัวเองอย่างพินิจ
“อยากได้ผิวแทนเหรอ นู่น มึงไปนั่งตากแดดตรงนู้นไป”ผมชี้ไปที่แดดจ้า ไอ้ภูหัวเราะเหลียวมองไปรอบๆก่อนจะโน้มมาหอมแก้ม
ผมอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีคนเห็น”มันรีบพูด ผมหมั่นไส้จึงคว้าท่อนอ้อยที่กัดไว้ยัดปากมันซะเลย
“เล่นกันเหมือนเด็กเลยนะ”ไอ้ตินส่ายหน้าไปมาเหมือนผู้ใหญ่ที่เอือมระอากับเด็กซนๆ
“ช่วงที่กูไม่อยู่พวกมึงทำอะไรบ้าง เล่าให้ฟังหน่อยสิ”ผมก็อยากรู้ว่าทำอะไรกันบ้าง ไม่นับเรื่องที่ไอ้ภูเจอมา ผมจะทำเป็นลืมๆไปแล้วกัน
“กูไปค้างที่บ้านมา”ไอภูทำหน้าเหม็นเบื่อเมื่อนึกถึง มันยังพยายามกัดอ้อยของมันต่อไป
“ตรงข้ามกับผมเลย ผมไปค้างหอไอ้เบลล์”ไอ้ตินทำหน้าเหม็นเบื่อเช่นกัน แต่ก็แปลกจริงๆล่ะ ปกติแล้วมันต้องกลับกันไม่ใช่เหรอ
“แม่กูเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนทุกคืนเลยมึงรู้ไหม”น้ำเสียงมันเยาะเหมือนคล้ายจะบอกว่าเป็นเรื่องงี่เง่า แต่ก็มีรอยยิ้มปรากฏบนหน้า
“นิทานเรื่องอะไรล่ะ ใช่เรื่องน้องภูคนงอแงรึเปล่า”
“ไอ้สัด”มันทำหน้าหงุดหงิด ตั้งท่าเหมือนจะเข้ามาต่อย แต่ผมรีบเปลี่ยนมานั่งข้างๆไอ้ตินได้ทัน
“พูดเล่นแค่นี้ก็โกรธ”สงสัยจะจี้ใจดำ
“ไม่ได้โกรธ”มันทำเสียงอ่อนก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เออ พักหลังๆมานี่กูเจอไอ้เน็ตบ่อยเหมือนกันที่หอ…”ผมเปลี่ยนเรื่อง
“อยากให้ย้ายไปอยู่ด้วยก็พูดมาตรงๆ”ไอ้ตินยิ้ม ทำมาอวดฉลาด ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก
“กูแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ”
ระหว่างที่รอพี่มิน ผมกับมันสองคนก็เข้าสู่ช่วงเล่าสู่กันฟังเหมือนไม่ได้เจอกันหลายปี
“กลับไปกูกับพี่ภูมีของจะให้ด้วยนะ”ผมตาโตทันที แต่มันสองคนไม่ได้ขยายความต่อ คู่รักชื่นมื่นกลับมาจากทัวร์รอบไร่ มีหมาบ้านพุงพลุ้ยเดินหอบแฮ่กๆตามมา รู้มาว่าชื่อไอ้อุ้ย ชอบวิ่งไล่นก ขนาดหมายังขยันเลย
“ดูหมาไว้นะไอ้ฟิก อายมันบ้าง”ไอ้ภูได้ทีเอาคืน
“ตกลงคืนนี้ยังไงกัน ภูกับตินข้างกับพี่ใช่ไหม”ไอ้ภูเบ้หน้าเล็กน้อย
“ครับ พอดีผมอยากพิสูจน์อะไรนิดหน่อย”ไอ้ตินตอบด้วยเสียงมุ่งมั่น
“พี่ก็อยากพิสูจน์เหมือนกัน”พี่มินดูมุ่งมั่นพอกัน ผมได้แต่ถอนหายใจ เรื่องหลอนๆผมไม่ขอสู้ดีกว่า
*********************************************
ตอนเย็นก่อนที่ผมจะเตรียมไปค้างบ้านลุง ไอ้ตินก็ยื่นกุญแจรถมาให้
“ของอยู่ในกระโปรงหลังรถ”ผมตื่นเต้นอยู่เหมือนกันอยากรู้ว่ามันสองคนให้อะไรผม รถคันใหม่เอี่ยมจอดอยู่ใกล้ๆต้นไม้ต้นใหญ่ จะว่าไปผมได้นั่งไม่กี่ครั้งเองเพราะดันเกิดเรื่องซะก่อน ผมเปิดกระโปรงหลังรถ ผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นของที่อยู่ในนั้น เนี่ยน่ะเหรอ ของขวัญที่มันว่า ดอกบัวหลากหลายช่อทั้งตูมและบานเต็มกระโปรงรถไปหมด มีการ์ดใบเล็กๆเสียบอยู่ท่ามกลางช่อดอกบัวเหล่านั้น
‘รักและบูชา’
“ไอ้…”ผมพูดไม่ออก เก้ๆกังๆขึ้นมา พวกมันเล่นอะไรบ้าๆอีกแล้ว เอาดอกบัวมาให้ผมเนี่ยนะ ใครเป็นคนต้นคิด เดาว่าต้องเป็นไอ้ภูแน่ๆ ผมปรับอารมณ์อยู่สักพัก ก่อนจะกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ไอ้ภูกับไอ้ตินนั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาว มันสองคนมีรอยยิ้มระบายอยู่บนหน้า
“เล่นอะไรของพวกมึงเนี่ย”ดีนะที่ไม่มีใครรู้ใครเห็น
“ไม่ได้เล่น หมายความตามนั้นจริงๆ”ไอ้ตินพูดด้วยเสียงจริงจัง จนผมนึกหาคำพูดมาเถียงมันต่อไม่ได้ ผมรู้สึกเก้ๆกังๆอีกรอบ จะ
บ้าตาย
“เออ อะไรก็ช่างเหอะ วันหลังพวกมึงไม่ต้องทำแบบนี้แล้วนะ”
“เป็นแฟนกูนะ”
“ห๊ะ”พวกมันเป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย ผมอยากจะหัวเราะดังๆใส่มันสองคน
“มาขอตอนนี้เนี่ยนะ”ผมพยายามไม่หลุดหัวเราะ บรรยากาศแบบนี้ไม่ชินเลยจริงๆ มุ้งมิ้งเหมือนตอนผมมีแฟนคนแรกเลย
“เออ ไม่มีคำว่าสายเกินไปหรอก”ไอ้ตินทำขรึม ทั้งๆที่ตัวมันเองก็คงคิดว่าเป็นเรื่องน่าขำเหมือนกัน
“มึงขอกูเป็นแฟนแบบนี้น่ะเหรอ”ปวดหัวกับพวกมันจริงๆ
“แล้วจะให้ทำไงล่ะ คุกเข่าถือดอกบัวเอาไหม”ไม่รู้ไอ้ภูพูดจริงหรือพูดเล่น
“ถ้าทำแบบนั้นจริงกูโกรธยันชาติหน้าแน่”ผมเท้าเอวมองมันสองคน เหลียวมองดูว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้
“ตกลงจะเป็นแฟนกับกูไหม”ไอ้ภูมีท่าทีแปลกๆ เดาไม่ออกว่านั่นคืออาการเขินของมันรึเปล่า
“เออ เป็นก็เป็น”
“เหมือนกูบังคับมึงเลยว่ะ”ไอ้ตินเกาต้นคอแก้เก้อ
“ก็…อืม ตกลง….”ผมกลั้นใจพูดออกไปจนจบ
“ก็แค่เนี้ย พวกมึงชอบทำให้ยุ่งยากตลอด”ผมโวยเสียงดังกลบเกลื่อนอาการเขินอายของตัวเอง อาการแบบนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับคนแบบผมเลยจริงๆ สงสัยนี่จะเป็นความรู้สึกของคนเวลามี ‘แฟน’จริงๆจังๆล่ะมั้งครับ แต่เดี๋ยว…ผมกับพวกมันนี่เลยคำว่าแฟนไปไกลโขแล้วล่ะ เรื่องนี้รู้ๆกันอยู่เนอะ
TBC.
เอาครึ่งแรกมาหย่อนให้ก่อน ใกล้จบแล้วด้วย (มี30ตอน)
เจอกันหลังวันที่ 10 มีนาคมนะคะ รอกันก่อนน้าา
