Limited Book [สิปป์-นิช](4)
NETTLE : ไอ้เหี้ย ไหนบอกว่าทำแค่สองเดือน
NETTLE : จำคำที่ตัวเองพูดไม่ได้หรือไง? เปิดอ่านแต่ไม่ตอบ ผมไม่เคยทำอย่างนี้กับเพื่อนสนิทมาก่อน โดยเฉพาะอีกฝ่ายคือจอมเอาแต่ใจอย่างเน็ทแล้วผมยิ่งไม่เคยขัดใจเขาตั้งแต่รู้จักกันใหม่ๆ เพียงแต่คราวนี้มันต่างออกไป...
"พี่นิชคนดังของน้องเอมมม"
"จะให้พี่เซนต์อีกรึไง คราวก่อนเอาไปแล้วตั้งกี่ใบฮะ?"
ดักทางไว้ก่อน เอมเพียงยิ้มแผล่พลางส่งกระดาษแข็งที่เต็มไปด้วยลวดลายมาให้ผมปึกหนึ่ง ไอ้เด็กนี่มันจะหน้าเลือดไปถึงไหนกัน
"น่าพี่ สงเคราะห์น้องตัวน้อยๆ"
"ไม่คิดจะสงเคราะห์พนักงานไร้เงินเดือนอเนกประสงค์แบบพี่บ้างรึไง"
ย้อนกลับไปขำๆ ตอนนี้ผมกลายร่างเป็นส่วนหนึ่งของร้านนี้แบบเต็มตัวไปแล้ว เช้าก็มาช่วยงานร้านแบบเต็มตัว ถ้าคืนไหนมีงานก็ต้องทำกะดึกต่ออีกรอบ ผิงเองดูจะชอบใจที่มีลูกมือเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชีวิต ที่จริงผมก็ไม่ได้ไร้เงินเดือนเต็มตัวขนาดนั้น ผมเลือกที่จะไม่รับเงินเดือนในการทำงานร้านกาแฟเองเพราะว่าตอนที่ว่างผมก็ใช้แอร์ใช้ไฟร้านทำงานวาดรูปจนมีมุมประจำในไปแล้ว เงินจากเล่นดนตรีผมก็เอาไปซื้อพวกอุปกรณ์ศิลปะบริจาคให้บ้านเด็กยากไร้เกือบหมด
ถ้ามีสิปป์สเตอร์ ตอนนี้ผมว่าตัวเองก็เข้าขั้นนิชสเตอร์อีกคน
"แหม คนดังไม่ต้องมาถ่อมตัวเลยครับ พี่ได้ตามเช็คเรตติ้งในเพจบ้างรึเปล่าเถอะ"
"ไม่อะ" บอกแล้วว่าผมไม่ใช่พวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกโซเชียลขนาดนั้น
"พี่โคตรรรดัง" เขาเน้นคำว่าโคตรจนผมตกใจ "มีรูปแอบถ่ายเพียบเลยรู้รึเปล่า"
"สิปป์เคยเปิดให้ดูอยู่"
ผมไม่สนใจเรื่องแฟนคลับบ้าบออะไรนั่นหรอก เขาจะมาชอบพออะไรผมก็ปล่อยไป เดี๋ยวหมดช่วงเห่อก็จะรู้เองว่ากำลังทำอะไรที่ไร้สาระมากอยู่ ไม่ต้องพูดถึงงานวาดรูปเหมือนเลย ผมต้องขึ้นตัวหนาว่างดรับออเดอร์ชั่วคราวเพราะร่างกายไม่สามารถทำงานหลายอย่างได้ขนาดนั้นอีกแล้ว อีกอย่างเรื่องเงินก็ไม่ได้จำเป็นอะไรกับชีวิตช่วงนี้ของผม
"วันก่อนมีคนตามหาพี่ในเพจ รางวัลนำจับสามหมื่น"
"...ไร้สาระ"
ผมไม่ได้ซ่อนตัวขนาดดิซนะ เพียงแค่คนสมัยนี้ใช้ชีวิตอยู่กับความสะดวกสบายบนโลกออนไลน์มากไปแล้ว เขาตามหาประวัติทุกอย่างเกี่ยวกับผมบนอินเทอร์เน็ต บอกเลยว่าหาให้ตายยังไงก็หาเจอไม่มากไปกว่าผมชื่อนิช ขนาดเฟสบุ๊คของผมยังมีเพื่อนไม่ถึงร้อยเลยมั้ง
"ขึ้นไปตามหน่อยไหม นี่มันดึกแล้วนะ" ชายหัวชมพูอ่อนเดินออกมานั่งต่อจากผม
"ไม่ต้องหรอก" ยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูเวลา "อีกไม่เกินห้านาทีก็ลงมาแล้ว"
"รู้ลึกรู้จริง"
"สิปป์เขาตรงต่อเวลาต่างหาก"
ตรงกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผมอะนะ ถ้าวันไหนต้องขึ้นไปปลุกนี่ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงอย่างต่ำทุกที ไม่รู้จะตื่นยากตื่นเย็นไปไหน
"ทำไมใส่เสื้อกล้ามอีกแล้ว"
คำดุมาพร้อมกับเสื้อแจ็คเก็ตที่โปะลงบนหัว ผมหยิบเสื้อหนังสีดำมาพิจารณาแล้วย่นจมูกอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก ผมไม่ชอบตัวนี้ ใส่แล้วหลวมไปหน่อย
"ก็ไหนคราวก่อนบอกเสื้อหลวมไปมันไม่ดี ไม่ให้ใส่ เลยกลับมาใส่เสื้อกล้ามมันผิดตรงไหน"
ย้อนความไปถึงเวทีล่าสุดที่ผมใส่เสื้อยืดไซส์เอ็กซ์แอลไป สิปป์เริ่มรู้แกวผมเขาเลยเอาเสื้อสำรองไม่ก็เสื้อแจ็คเก็ตติดไว้บนรถเสมอ ผมเลยกวนตีนกลับด้วยการใส่เสื้อตัวหลวมแถมยังตัดคอให้กว้างจนเปิดเห็นไหล่ได้ง่ายเวลาขยับตัวไปมา
เวลาเห็นเขาถูกขัดใจแต่ทำอะไรไม่ได้มันสนุกจะตายไป
"ไม่ให้ใส่ทั้งสองแบบ เข้าใจนะ"
"ไม่เข้าใจ"
"นิรันดร์" เวลาเขากดเสียงต่ำลงมากกว่าปกตินั่นหมายถึงวิธีการของผมได้ผล
"ว่าไงศิลปะ"
"อยากลองทำลายสถิติจริงๆ สินะ"
"หยุดแค่ในความคิดไปเลย" ผมชี้หน้าคาดโทษเขาไว้ วันก่อนเกือบโดนแล้วดีที่พีทลืมของเลยเดินกลับเข้ามาเอาในห้องพักพอดี "อย่ามารุ่มร่ามให้มาก"
"ไปกันได้แล้ว ถ้ายังไม่เลิกทะเลาะกันจะไปไม่ทันเอานะ"
เสียงของผิงคือระฆังห้ามทัพที่ได้ผลตลอดเวลา ผมหันไปค้อนใส่กรรมการกลางผู้คงไว้ซึ่งมาตรฐานระดับเยี่ยมยอด สิปป์บ่นอะไรออกมาให้ตัวเองฟังเพียงคนเดียวก่อนเดินนำออกจากร้านไปยังรถสปอร์ตคันเดิมที่ผมเพิ่งได้ข้อมูลใหม่มาจากเอมจอมปากมาก
'ถือว่าตอบแทนที่พี่มาเป็นแหล่งรายได้ให้ผม'
หน้ายิ้มแต่ตอนนั้นใจผมก่นด่ายันบรรพบุรุษแล้ว
'รถคันนั้นพี่สิปป์ไม่เคยให้ใครขึ้นเลยนะ บอกว่าเก็บไว้ตอนที่ถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยใช้' ถึงว่าตอนที่น้ำรู้ว่าผมกลับกับเขาถึงโวยวายออกมาไม่มีหยุด สงสารก็แต่พีทที่ต้องคอยเป็นคนรองรับอารมณ์ลูกแมวไร้พิษสง ไม่รู้มีคนใจบุญพาไปฉีดยาแล้วหรือยัง ขืนถึงวันหนึ่งจนตรอกขึ้นมาแล้วข่วนคนอื่นไปทั่วล่ะจะยุ่งเอา
ตลอดเวลาที่ผมทำงานเป็นมือกลองให้วงของสิปป์มันไม่มีปัญหาอะไรน่ากังวล ถึงผมจะโดนลอบกัดเล็กๆ น้อยๆ มันก็ยังพอให้อภัยได้ ผมเองก็โต้กลับไปทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นกัน นี่ อย่ามองผมอย่างนั้นสิ หรือจะบอกให้ผมเป็นคนดียอมรับชะตากรรมโดยหวังว่าวันนึงความดีจะชนะทุกสิ่งงั้นเหรอ ไปบอกคนอื่นที่ไม่ใช่ผมเถอะ
"สวัสดีนิช"
"ดี"
น่าแปลกที่วันนี้ลูกแมวที่ทำตัวร้ายเป็นฝ่ายทักผมก่อน
"ดีจัง ขอให้ยังปกติไปถึงจบงานนะ"
"ขอบใจ"
...นี่มันเข้าพล็อตของตัวร้ายในละครเลยล่ะ จำพวกที่เอามาขู่แล้วก็จะมีเรื่องเลวร้ายรออยู่ข้างหน้า
ความไม่น่าไว้วางใจทำให้ผมเลือกที่จะเดินออกมาตามหาสิปป์ที่ออกไปสูบบุหรี่เรียกสมาธิอยู่ตรงสโมคกิ้งโซน เขาเลิกคิ้วให้เป็นการทักทายแล้วไม่สนใจผมอีก
"ทำไมวันนี้สูบ?" ช่วงหลังเขาใช้การอ้อนขอกำลังใจจากผมจนไม่เคยพึ่งแท่งนิโคตินแล้ว
"ไม่ชอบร้านนี้ ต้องบังคับตัวเองให้ทำงานหน่อย"
"แล้วรับทำไมล่ะ"
"ไม่ได้รับเอง รู้ตัวอีกทีก็เห็นหนังสือสัญญาแล้ว"
"หืม?"
"ร้านนี้เจ้าของเป็นเพื่อนน้ำ"
นั่นไง ว่าแล้วทำไมเขาถึงทำตัวเหนือกว่าขนาดนั้น ผมปล่อยให้เขาจมอยู่กับควันสีเทาโดยตัวเองก็นั่งเล่นอยู่ตรงนั้นด้วย ไม่ได้รับควันพิษอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ ผมเองไม่ใช่คนกินเหล้าสูบบุหรี่ จะมีก็แต่เพื่อนคนที่มีศักดิ์เป็นราชานั่นแหละที่ชอบพาตัวเองไปหาโรคมะเร็งปอด
"อีกสิบห้านาทีขึ้นแสดงแล้ว เข้ากันไหม?"
"ไปสิ"
มือเย็นแตะลงบริเวณสะโพก เขาเพิ่มระดับความเนียนมากขึ้นไปทุกทีจนผมปลงตก แขวะก็แล้วด่าก็แล้วไม่เห็นจะสะดุ้งสะเทือนอะไรเลยสักนิด คุณผู้ชายอยากทำอะไรก็ทำไปตามสบาย
ในห้องพักไม่มีใครอยู่ ผมเดินไปหยิบกระเป๋าที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำมาหากินของตัวเองมาหาโทรศัพท์ตั้งใจจะตอบเพื่อนจอมหวงก่อนที่เขาจะมาว้ากผมถึงห้อง แม่งเป็นคนที่มีเครือข่ายกว้างขวางจนผมกลัวใจ ถึงไม่ยอมบอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหนมันก็สามารถมาปรากฎตัวให้เห็นได้ในเวลาไม่นาน ถึงจะควานหาจนเจอสิ่งที่ต้องการแต่ความระแวงที่มีมากกว่าสิ่งอื่นใดเตือนให้ผมระวังตัวให้มาก
...นั่นไงล่ะ
ผมมักจะมีสมุดไร้เส้นติดไว้ในกระเป๋าเสมอเผื่อว่าเจออะไรที่ถูกใจจะได้บันทึกลงไป เพียงแต่ตอนนี้มันควรเรียกว่าเศษกระดาษมากกว่าเล่มสมุด ส่วนกล่องดินสอที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์วาดรูปหลากหลายรูปแบบก็เหลือเพียงกล่องเปล่า ไม่มีแม้แต่ดินสอกดทิ้งไว้ให้สักแท่ง
ถ้ามีมาตรวัดความไม่พอใจของผมในตอนนี้มันคงทะลุหลอดไปแล้ว สมุดบันทึกทุกเล่มมีคุณค่ากับผมมากอย่างที่อธิบายออกมาไม่หมด มันคือที่รวม 'อดีต' ที่สมองไม่สามารถจดจำได้หมด
"ที่รัก ร้านนี้ไม่มีไม้สำรองให้นะ ตีระวังๆ หน่อย"
เขาเตือนหลังจากช่วงหลังๆ ผมใส่อารมณ์ในการเล่นมากไปหน่อย ตอนนี้เก็บสถิติไว้สูงสุดที่ห้าไม้เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว
ไม้กลอง...
ใช่แล้ว ไม้กลองผมไม่อยู่
"บ้าฉิบ" สบถออกมาเต็มคำ สำรวจทั้งห้องแล้วก็ไม่พบว่าไปตกหล่นอยู่ที่ไหน ผมโดนเล่นแล้วไง!
"เกิดอะไรขึ้นที่รัก"
"ไม่มีไม้กลอง นายมีสำรองไว้บ้างไหม"
ผมดีดนิ้วซ้ำๆ เพื่อเรียกสติไม่ให้แตกกระเจิงไปมากกว่านี้ ผมไม่คิดว่าเขาจะบ้าได้ขนาดที่ฆ่าคนทั้งวงให้ตายไปกับเขาด้วย นี่มันวิธีของคนอับจนหนทางแล้วสินะ
"ไม่มี?"
"หาย จบนะ"
"..ถึงว่าเจอเพื่อนของน้ำที่เล่นกลองเข้ามาทัก"
คำบอกของเขาเพิ่มความมั่นใจให้ผมอย่างมากว่าทุกอย่างถูกจัดฉากไว้
ได้เลยต้นน้ำ
ถ้าอยากจะเปิดศึกกับผมขนาดนี้ผมก็จะไม่เกรงใจอะไรทั้งนั้นแล้ว
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ที่ต้องการ ระหว่างรอสายผมไม่ละสายตาไปจากผู้ชายต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด อยากส่องกระจกดูตัวเองชะมัดว่าตอนนี้กำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ บางคนโกรธจัดแล้วจะทำลายข้าวของไปทั่ว ไม่เหมือนผมที่โกรธหนักๆ แล้วยิ่งเย็นเป็นน้ำแข็ง
"สิปป์" รู้สึกได้เลยว่าเสียงที่ใช้มันเย็นชามากแค่ไหน "จำข้อตกลงของเราได้ใช่ไหม ถ้าผมทนไม่ได้จะไม่รับประกันความปลอดภัย"
"..."
(ว่าไงปีศาจ)
"รบกวนคุณพินิจส่งคนเอาไม้กลองมาให้ที่ร้าน XXX ภายในสิบนาที ส่วนมึงไปลากเน็ทมาหากู"
(ลงสนามเอง?)
ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่ารอยยิ้มของตัวเองจะเต็มไปด้วยความร้ายกาจได้ขนาดนี้
“อยากรู้ก็รีบมา”
ปลายสายตัดไปแล้ว คุณพินิจไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว ส่วนเน็ทเดี๋ยวสั่งให้คนขับส่วนตัวมาส่งไม่เกินสามสิบนาทีคงถึง
"ผมไม่ชอบเล่นนอกกติกา แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเริ่มก่อน ผมจะไม่หยุดง่ายๆ" โยนเครื่องมือสื่อสารลงบนโต๊ะแบบไม่กลัวการกระแทกใดๆ
"ผมรู้น่า" เขาดึงผมให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอด ลูบหัวไปมาเพื่อปลอบประโลม
"ถ้าจบหนังสือบทนี้...คุณอาจไม่อยากอ่านต่อเลยก็ได้นะ"
ส่วนลึกสุดไม่เคยคิดว่าต้องพูดคำนี้ออกมาเลยสักนิด ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองมีรอยด่างพร้อยไม่น้อย ส่วนหนึ่งที่คอยหลอกหลอนดึงให้ผมกลับเข้ามาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงสักที
อ้อมแขนของเขาช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน ผมยกมือขึ้นกอดเขากลับ พยายามละทุกความคิดที่ฟุ้งซ่านอยู่ในหัว อยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้จังเลยนะ ไม่อยากให้อนาคตมาถึงเลย
"ผิงไม่เคยบอกเหรอว่าผมเป็นหนอนหนังสือ" รอยหยุ่นประทับลงบนหน้าผาก "วางใจได้เลยว่าผมจะไม่ยอมหยุดอ่านจนกว่าจะเจอคำว่าจบบริบูรณ์แน่"
พอได้ยินอย่างนั้นผมยิ่งกอดเขาไว้แน่นกว่าเดิม หัวใจพองโตขึ้นไม่รู้ตัว มันเต้นดังจนผมกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงร้องหัวใจร้องบอกว่าดีใจมากแค่ไหนที่ได้ยินคำพูดนั้น...
ถึงจะบอกว่าเชื่อมั่นในเครือข่ายแสนกว้างขวางก็เถอะ ผมก็ยังคงอยู่ในโลกแห่งความจริงที่ต้องเข้าใจว่าภายในสิบนาทีไม่สามารถเสกทุกอย่างให้ได้ตามที่ต้องการ ผมไล่สิปป์ให้ออกไปเตรียมตัวแสดงเพื่อไม่ให้ใครจับพิรุธได้ หายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เรียกความมั่นใจให้กลับมาสู่ตนเอง
นั่งนับเข็มวินาทีรอไปเรื่อยๆ จนมีเบอร์แปลกโทรเข้ามา พนักงานส่งของชนิดด่วนพิเศษมาถึงแล้ว
"ขอบคุณมากนะ" ตอนที่ผมเดินออกมานอกร้านการแสดงได้เริ่มขึ้นแล้ว ผมต้องรีบทำเวลาให้ดีขึ้นอีกหน่อย พนักงานส่งของเพียงโค้งให้แทนการตอบรับ ผมรอจนเขาเดินไปลับสายตาแล้วจึงหันหลังเตรียมกลับเข้าไปในร้าน
"เข้าไม่ได้ครับ"
มือข้างหนึ่งของการ์ดหน้าประตูยกขึ้นมาขวางเอาไว้ ต้องชมว่าคราวนี้เขาเตรียมการมาพร้อมเหมือนกันนะ
"คุณก็เห็นว่าผมออกมาเอาของเฉยๆ"
"มีคำสั่งลงมา ไม่ให้เข้าครับ"
หน้าประตูมีการ์ดคุมอยู่สองคน ขนาดตัวไม่ต้องบอกก็แค่ตัวหนากล้ามใหญ่ตามสไตล์คนดูแลผับ แค่คนเดียวผมยังไม่คิดสู้ไม่ต้องพูดถึงสองคนเลย
"คำสั่งไหน ถ้าวงดนตรีคนไม่ครบร้านนั่นแหละที่จะแย่นะ"
"ผมต้องทำตามคำสั่ง"
ชายร่างใหญ่สองคนตรงเข้ามาจับตัวไว้ ผมดิ้นสุดแรงพร้อมกับแหกปากร้องโวยวายไปด้วย นี่มันเกินไปหน่อยไปแล้วนะ เจ้าแมวไร้แม่นั่นมันคิดจะทำอะไรกันแน่
"เงียบสิมึง!"
เสียงฝ่ามือกระทบกับข้างแก้มเล่นเอาชาไปชั่วขณะ รู้สึกได้ถึงรสเลือดในปากแถมแว่นก็หลุดไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ไอ้พวกสัตว์นรก สาบานเลยว่าผมจะไม่เมตตาพวกมัน!
ถ่มน้ำลายที่เคล้าไปด้วยรสเลือดใส่หน้าหนึ่งในนั้น ถึงจะมองอะไรไม่ชัดแล้วผมก็ยังไม่ยอมสิ้นฤทธิ์ง่ายๆ อีกฝ่ายเลยง้างมือขึ้นทำท่าจะตบลงมาอีกรอบ บังเอิญว่ามีเสียงที่สามโผล่ขึ้นมา เสียงที่ไม่ต่างจากเสียงสวรรค์ลั่นระฆังชัยให้
"ขอโทษนะครับ มีกฎระเบียบข้อไหนที่อนุญาตให้การ์ดทำร้ายลูกค้าเหรอ"
...ถึงจะไม่ใช่เสียงของคนที่คาดหวังไว้ก็เถอะ
"มึงยุ่งอะไรด้วย"
ผมถูกล็อคไพล่หลังด้วยการ์ดหนึ่ง ส่วนการ์ดสองเดินอาดๆ ไปทางแบล็ค (คิดว่าน่าจะสูบบุหรี่อยู่ด้วย จากกลิ่นที่ลอยมาน่ะ)
"ช่วยตอบให้ตรงคำถามหน่อย"
"ไอ้เด็กนี่แม่งรนหาที่ตา...เหี้ย!"
ถึงผมจะมองภาพไม่ชัดแต่ก็ยังคงได้ยินเสียงบางอย่างกระทบกับพื้นได้อย่างดี พอหรี่ตาลงให้ภาพเบลอมีความชัดขึ้นมาอีกหน่อยก็เห็นว่ามีวัตถุสีดำบางอย่างอยู่มือของเขา หึ...ไม่ได้เห็นราชาในรูปแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ น่าเสียดายจริงที่ผมมองได้ไม่ชัดเอาเสียเลย
"มึงต่างหากที่กำลังจะตายไม่รู้ตัว นัดเมื่อกี้กูแค่ทดสอบ ...ส่วนนัดต่อไปกูยิงจริง"
น่าจะเป็นกระบอกโปรดแบบติดที่เก็บเสียง ได้ยินการ์ดหนึ่งที่ยังคงล็อคตัวผมไว้อุทานว่าปืนจริง
"ว่าไง จะปล่อยเพื่อนกูได้รึยัง"
"มึงลองยิงสิ เพื่อนมึงโดนกูหักคอแน่!"
"...เหรอ มึงน่าจะโดนกูเอามีดจ้วงหลังก่อนมั้ง"
บุคคลที่สี่ปรากฎตัวขึ้นแล้ว ผมไม่สามารถหันไปมองต้นเสียงที่อยู่ด้านหลังของตัวเองได้ เน็ทมาเร็วกว่าที่คาดไว้เยอะเลยล่ะ ไม่รู้ว่าพี่โดนเร่งให้ขับมาด้วยความเร็วเท่าไหร่กัน
"กูจะสั่งครั้งสุดท้าย ปล่อยเพื่อนกู"
เสียงต่ำสร้างความหวาดกลัวได้อย่างดี แบล็คมันคนหลายบุคลิก ใจดีก็ใจดีหาย ส่วนตอนที่โหดร้ายก็ไม่เคยไว้หน้าใครทั้งนั้น เป็นราชาที่ปกครองบ้านเมืองด้วยความสงบสุขแต่ก็พร้อมจะฆ่าศัตรูที่เข้ามารุกรานได้เหมือนกัน
"หรือมึงอยากลองโดนแทงก่อนค่อยปล่อย รู้ไหมว่าตำแหน่งที่กูจ่ออยู่ตอนนี้มันคือจุดตายของร่างกายเลยนะ"
อีกคนก็เจ้าชายจอมเอาแต่ใจ คิดว่าตัวเองมีอำนาจมากกว่าคนอื่นไปทั่ว
"ฮึ่ม ถอยเร็ว!"
ผมโดนปลดออกจากพันธนาการแล้ว เน็ทรีบเข้ามาตรวจดูบาดแผลบนร่างกาย
"ปีศาจแม่งติดหนี้มนุษย์ว่ะ"
"เดี๋ยวจ่ายคืนให้"
"ไม่ต้องอะ มึงรีบกลับเข้าไปดีกว่ามั้ง ป่านนี้เริ่มแสดงไปแล้วรึเปล่า"
แบล็คช่วยเป็นแว่นตาให้ชั่วคราวยามที่กลับเข้าไปภายในร้าน ผมไม่สามารถเข้าด้านหลังได้อย่างที่คิดไว้ ทุกคนต่างยืนกรานเป็นเสียงเดียวกันว่าได้รับคำสั่งให้กันผมไว้ไม่ให้ขึ้นไปยุ่งวุ่นวายบนเวทีได้
ไม่ให้ผมขึ้นจากด้านหลังงั้นเหรอ
ก็ขึ้นจากด้านหน้าแม่งเลยสิ!
บริเวณด้านหน้าของเวทีคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมหาศาล ถึงผมจะเห็นทุกอย่างเป็นภาพเลืองรางแต่เอาหัวเป็นประกันเลยว่าผู้ชายที่ยืนอยู่กลางเวทีคือคนเดียวกับที่ผมตามหาอยู่ โชคดีที่ตอนผมไปถึงมันเป็นช่วงพักเบรคสำหรับพูดคุย เสียงเพลงเลยไม่มีผลมากเท่าไหร่
"เพลงต่อไป ผมขอมอบให้..."
"สิปป์!!!" ตะโกนออกไปสุดเสียงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทุกอย่างรอบข้างตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศทันควัน ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมในจังหวะที่ภาพเลือนบนเวทีขยับตัวไปมา บ้าเอ๊ย ไม่เคยเกลียดที่ตัวเองสายตาสั้นเท่าวันนี้มาก่อนเลย วันที่ผมไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังมองผมมาด้วยสายตาแบบไหนกันแน่
"...ขอมอบให้คนพิเศษ คนสำคัญ"
ไม่รู้ว่าทางเดินที่ตรงไปยังหน้าเวทีถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมก้าวเดินไปช้าๆ ด้วยความมั่นคง สายตาจับจ้องเพียงแค่ภาพบนเวทีที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ
"คนที่ผมหลงในงานศิลปะของเขาตั้งแต่แรกเห็น"
...ผมชอบงานของคุณ "และยิ่งหลงรักเข้าไปใหญ่ตอนที่เจอตัวจริง"
...ชอบคุณด้วย "มาตรงนี้สิที่รัก"
ไม่เคยชอบคำว่าที่รักของเขามากเท่าครั้งนี้มาก่อน
ผมยื่นมือไปให้เขาดึงตัวขึ้นไปบนเวที หรี่ตาลงเล็กน้อยยามที่แสงไฟส่องเข้าหน้า สิปป์พูดคำหยาบออกอากาศตอนที่เขาเห็นรอยแดงบนใบหน้าผม
"ใครทำ?"
"การ์ดหน้าร้าน"
"ไหนบอกว่าเป็นปีศาจไง" เขาถอนหายใจพลางส่งยิ้มหวานมาให้ "...มีคนถามมามากว่ามือกลองคนใหม่ของเราชื่ออะไร"
เขาหันหน้าไปหาผู้ชม ทั้งที่ยังจับมือผมไว้แน่น
"ขออนุญาตไม่แนะนำนะ พอดีเจ้าของหวงมาก" การกระทำทั้งหมดของเขามีค่ามากกว่าคำพูดเป็นร้อยเป็นพัน เสียงฮือฮาเหมือนผึ้งแตกรังดังเซ็งแซ่ "ขอส่งเวทีต่อให้มือเบสครับ"
ทางลงจากเวทีต้องเดินผ่านน้ำ ผมเสหน้ามองไปทางอื่นไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีอาการอย่างไรปรากฎอยู่ อีกอย่างคือกลัวว่าถ้ามองไปแล้วผมจะควบคุมตัวเองให้ใจเย็นไว้ไม่ได้น่ะ
วันนี้เป็นวันดี
ปีศาจจะยอมปล่อยผ่านไปสักทีแล้วกัน
≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡
สิปป์กอดผมจากด้านหลังอย่างนี้อยู่บนโซฟามานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ พอเขาประกาศสถานะออกต่อหน้าพยานจำนวนหลายร้อยแล้วเขาก็พาผมกลับมาที่ร้านทันที แบล็คกับเน็ทส่งไลน์มาหาจนเกือบครึ่งน้อยผมก็ไม่เข้าไปอ่าน ไม่อยากจะรับรู้ว่าโลกภายนอกตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
"เจ็บมากไหม?" เขาถามถึงบริเวณที่มีเจลเย็นแปะอยู่
"ไม่อะ เสียดายแว่นมากกว่า"
ผมดูเหมือนคนงกมากไหม แต่ถ้าไม่มีแว่นนี่ผมไม่ต้องใช้ชีวิตทำอะไรอย่างอื่นเลยจริงๆ นะ เตรียมตัวนอนเป็นผักนั่งเล่นมือถืออยู่บนเตียงอย่างเดียว
"เดี๋ยวพาไปตัดใหม่พรุ่งนี้"
"เวลาส่งใบเสร็จค่าเสียหายไปเพิ่มชาร์จเยอะๆ เลยนะ"
ควันบุหรี่ลอยจาง ผมปล่อยให้เขาอัดสารเสพติดเข้าปอดจนกว่าจะพอใจ เข้าใจว่าเขามีเรื่องในคิดอยู่ในหัวมากมายอยู่แล้วในเวลานี้ การที่เขาทำอย่างนั้นไม่ต่างจากการประกาศแตกหักกับคนในวงเลยสักนิด
"ไม่ชอบกลิ่นรึเปล่า" เขาคงเห็นผมทำหน้ามุ่ยเลยถามขึ้น
"เปล่า" บอกไปตามที่คิด "สูบบุหรี่นี่มันดีตรงไหน"
"อืม...ก็ทำให้หัวโล่งดีล่ะมั้ง"
"ไม่กลัวตายไว?"
อย่างแบล็คนี่ผมคิดไว้แล้วว่ามันคงอยากตายตอนที่ยังหนุ่มอยู่เลยอัดมะเร็งเข้าปอดอย่างไม่สะทกสะท้านตลอดเวลาขนาดนั้น เตือนเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง
"ไม่ล่ะ สูบแค่พอให้หายอยาก"
"มันดูเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นสักนิด"
"อยากให้เลิกไหมล่ะ"
"นี่มันชีวิตของนาย"
เพราะเขากำลังเกยคางกับไหล่ของผม ยามที่ควันสีขุ่นปรากฎมันเลยใกล้กับหน้าของผมอย่างมาก ผมชอบกลิ่นบุหรี่ของเขามากกว่าแบล็ค ติดหวานมากกว่าแสบจมูก หน้าจอโทรศัพท์ยังสว่างต่อเนื่องไม่มีหยุด แสงที่แยงตาจนน่ารำคาญบอกให้ผมปิดเครื่องไปให้จบเรื่องจบราว
"ขอโทษ..." เป็นสิปป์ที่ทำลายความเงียบ
"เรื่องอะไร"
"คุณเจ็บเพราะผม"
ผมปล่อยเจลที่ไร้ซึ่งความเย็นแล้วลงกับพื้น "ก็ทำตัวเองด้วยแหละ ไม่ต้องคิดมาก"
มันคือความเสี่ยงที่มาพร้อมกับความสะใจ ผมไม่รู้ว่าเพื่อนฝั่งของผมจะจัดการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร อย่างน้อยๆ น้ำไม่มีทางผ่านเรื่องนี้ไปโดยไม่มีบาดแผลอย่างแน่นอน
"สิปป์ ขอนะ" หยิบแท่งสีขาวที่คาบอยู่ในปากของอีกฝ่ายมาไว้กับตัวเอง ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะทำตามความต้องการของตัวเองดีหรือไม่ "...มันช่วยให้สมองโล่งจริงใช่ไหม"
"ก็ช่วยอยู่นะ"
"เหรอ..."
"ทำตัวเป็นเด็กวัยว้าวุ่นไปได้" เสียงกลั้วหัวเราะมาพร้อมกับรอบประทับข้างขมับ สิปป์คว้าบุหรี่กลับไปแล้วหยอดลงในขวดแอลกอฮอล์ที่วางอยู่ตรงหน้า "เครียดเรื่องอะไรหืม?"
"...หลายอย่าง"
ที่สุดคงเป็นไลน์ของเพื่อนสนิทที่ผมยังไม่ตอบ เน็ทเตือนผมไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผมไม่ควรเข้ามาอยู่ในโลกนี้ เขาพูดด้วยความมั่นใจมากว่าผมไม่มีทางรอดไปจากโลกของเขา
และมันก็เป็นอย่างนั้น
ผมกำลังหลงรัก 'ศิลปะ'
"อยากเล่าไหม?"
ส่ายหัวไปมากลับไป จะให้เล่าอะไรล่ะถามจริง
"งั้นมีอีกวิธีที่ช่วยให้ไม่คิดมาก"
"บอกมา"
"แบบนี้ไง"
เขาขยับตัวให้เราใกล้กันมากขึ้น ใบหน้าไร้ที่ติเคลื่อนที่เข้ามาใกล้โดยที่ตาของเรายังคงประสานกัน ไม่มีใครยอมหลบสายตา จนในที่สุดริมฝีปากของเราก็สัมผัส
อืม หัวโล่งอย่างที่เขาบอกจริงด้วย
***
เหลืออีกตอนพาร์ทสเปเชียลของพี่นิชจะจบแล้วค่ะ เย้ /จุดพลุ
พอดีตอนนี้มีพี่แบล็คโผล่มาด้วยก็ฝากเรื่องของราชาไว้หน่อยนะคะ
♚ PITCHBLACK ♛ เพิ่งลงไปได้ตอนเดียวแล้วก็ยังคิดตอนต่อไปไม่ออกค่ะ (ฮา)
#ที่หนึ่ง