"ที่หนึ่ง" : END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ที่หนึ่ง" : END  (อ่าน 192168 ครั้ง)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
«ตอบ #420 เมื่อ25-04-2016 23:14:06 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
«ตอบ #421 เมื่อ26-04-2016 00:47:56 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ w-for-winnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
«ตอบ #422 เมื่อ26-04-2016 07:13:45 »

ชอบเรื่องนี้มากค่ะ เขียนภาษาลื่นไหล วางพล็อตเรื่องได้ตื่นเต้นดี
ตอนที่เห็นชื่อเรื่องตอนแรกนึกว่าจะเป็นแนวใสๆแบบ Slice of life อะไรประมาณนั้น
สารภาพว่าตอนแรกที่กดเข้ามาอ่านไม่ได้คาดหวังอะไรไว้เลย
แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งสนุก ยิ่งติด ผูกปมไว้หลายปมมากจนเราแทบจะลงแดงตายเวลาตอนใหม่ยังไม่มา (ฟังดูเว่อร์ไปเนอะ 5555)
ชอบคอนเซปของเรื่องที่เกี่ยวกับความสำคัญของชื่อคือการที่ถูกคนพิเศษเรียก
แต่ละคาแรคเตอร์ก็มีความขมุกขมัวและความชัดเจนไปพร้อมๆกัน
อย่างน้องโรม ตอนแรกดูเป็นคนคิดอะไรไม่ซับซ้อน แต่ไปๆมาๆทุกตัวละครก็มีปมหมด ที่หนึ่งพระเอกของเรื่องดูเป็นคนที่ซับซ้อนและลึกลับน้อยสุดแล้วมั้ง

ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆมาให้อ่านนะคะ จะติดตามผลงานต่อไปค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
«ตอบ #423 เมื่อ26-04-2016 16:10:34 »

 :L2: :3123: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
«ตอบ #424 เมื่อ26-04-2016 21:38:32 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Mitnai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
«ตอบ #425 เมื่อ26-04-2016 21:45:57 »

ฮือ รวดเดียวจบค่ะ คุณเจ้าแต่งได้สนุกมาก ปมลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่า knot ของพี่นิช ยอมรับว่ามีบางตอนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ย้อนไปย้อนมาจนงง แนะนำให้ใช้สีหรือแบ่งพาร์ทอดีต - ปัจจุบัน น่าจะอ่านง่ายขึ้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ร้องไห้หนักตอนอ่านดราม่า เพราะลุ้นมากกับการเฉลยปมทีละปม ร้องไห้หนักสุดๆคือตอนที่พี่น้องเขาคืนดีกัน ทิชชู่ขาดติดตากันเลยทีเดียว เพื่อนๆทุกคนของโรม อ่านแล้วเรานึกถึงคำที่บอกว่า ถ้ากอดแน่นไป คนที่จะเจ็บไม่ใช่คนกอด แต่เป็นคนที่ถูกกอด
เราชอบเวลากับซินมาก มันหน่วง มันละมุน เคยคิดว่าอยากออกไปเที่ยวกับคนไม่รู้จักบ้าง แต่กลัวไม่ได้เจอคนอย่างเวลา555555555 อยากได้ตอนพิเศษของสิปป์นิช เวลไวท์ อนาคตเน็ท แล้วก็ช่วงชีวิตของราชาอย่างแบล็ค
สนุกมากค่ะ เราชอบฉายา บุคลิกของตัวละครทุกตัวตรงกับฉายาที่คุณเจ้าตั้งไว้แบบไม่ผิดเพี้ยน นิยายเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าสิ่งที่เราอาจจะมองมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้ามองลึกไปแล้ว มันอาจจะมีอะไรมากกว่าแค่ตาเห็นก็ได้
ไม่รู้จะบรรยายยังไงดี เพราะถ้าให้เขียนทั้งหมดคงไม่จบภายในวันนี้เพราะแค่นี้ยังยาวมากแล้ว5555555555
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ ♥

ออฟไลน์ princessrain

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
«ตอบ #426 เมื่อ27-04-2016 23:40:20 »

จบแล้วววววว  :katai2-1:

ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายสนุกๆแบบนี้ให้อ่าน
วินาทีแรกที่เอาอ่านบทนำเรื่องนี้เราขอบอกเลยว่าชอบมาก
อ่านช่วงบทนำแล้วใจเต้นตึกตักแบบว่า ต้องสนุกแน่ๆ
แต่พออ่านไปเรื่อยๆยอมรับว่าแอบมึนๆกับไทม์ไลน์ของเรื่อง
ในช่วงต้นๆถึงช่วงกลางเรื่องนะคะ
แต่พอจนจบเราเข้าใจเลยว่า อ๋อ เจ้าเก่งมากนะที่วางไทม์ไลน์เรื่องได้แบบนี้
มันต้องมีการวางพล็อตแบบอลังการแน่ๆ เพราะเราเข้าใจว่าการเขียนแบบสลับไทม์ไลน์ไปมา
ต้องแบบมีผังการเขียนอยู่ในหัวงี้ 5555

เราดีใจนะที่เรามาอ่านตอนเรื่องนี้จบพอดี เพราะถ้าอ่านตอนยังแต่งไม่จบต้องค้างแน่ๆ 555

สุดท้ายนี้... สนุกมากค่ะ! เรารอเรื่องแยกของพระราชาอยู่นะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ sunipum

  • ชีวิตต้องต่อสู้ ให้โลกรู้เราแน่แค่ไหน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 301
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
«ตอบ #427 เมื่อ29-04-2016 09:04:54 »

ชอบนิยายเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ  ขอบคุณนะค่ะ ^^

ออฟไลน์ Raina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : บทส่งท้าย [25.04.16]
«ตอบ #428 เมื่อ01-05-2016 04:00:29 »

สนุกดีค่ะ ชอบสไตล์การเขียน ถ้าคลายปมระหว่างทางบ้าง ไม่ใช่เฉลยปังเดียวตอนจบ จะน่าติดตามมากขึ้น

เสียดายที่เรื่องจบไม่ชัดเจน เดาว่าเพราะกันไว้เล่าในภาคของแบล็ค แต่ข้อเสียคือทำให้แต่ละเรื่องไม่สามารถอ่านแยกกันได้อย่างสมบูรณ์

ป.ล. ตกลงเวลกับไวท์นี่ยังไงเหรอคะ? แค่เพื่อน?

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Limited Book [สิปป์-นิช]


(4)


   NETTLE : ไอ้เหี้ย ไหนบอกว่าทำแค่สองเดือน
   NETTLE : จำคำที่ตัวเองพูดไม่ได้หรือไง?

 
   เปิดอ่านแต่ไม่ตอบ ผมไม่เคยทำอย่างนี้กับเพื่อนสนิทมาก่อน โดยเฉพาะอีกฝ่ายคือจอมเอาแต่ใจอย่างเน็ทแล้วผมยิ่งไม่เคยขัดใจเขาตั้งแต่รู้จักกันใหม่ๆ เพียงแต่คราวนี้มันต่างออกไป...

   "พี่นิชคนดังของน้องเอมมม"

   "จะให้พี่เซนต์อีกรึไง คราวก่อนเอาไปแล้วตั้งกี่ใบฮะ?"

   ดักทางไว้ก่อน เอมเพียงยิ้มแผล่พลางส่งกระดาษแข็งที่เต็มไปด้วยลวดลายมาให้ผมปึกหนึ่ง ไอ้เด็กนี่มันจะหน้าเลือดไปถึงไหนกัน

   "น่าพี่ สงเคราะห์น้องตัวน้อยๆ"

   "ไม่คิดจะสงเคราะห์พนักงานไร้เงินเดือนอเนกประสงค์แบบพี่บ้างรึไง"

   ย้อนกลับไปขำๆ ตอนนี้ผมกลายร่างเป็นส่วนหนึ่งของร้านนี้แบบเต็มตัวไปแล้ว เช้าก็มาช่วยงานร้านแบบเต็มตัว ถ้าคืนไหนมีงานก็ต้องทำกะดึกต่ออีกรอบ ผิงเองดูจะชอบใจที่มีลูกมือเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชีวิต ที่จริงผมก็ไม่ได้ไร้เงินเดือนเต็มตัวขนาดนั้น ผมเลือกที่จะไม่รับเงินเดือนในการทำงานร้านกาแฟเองเพราะว่าตอนที่ว่างผมก็ใช้แอร์ใช้ไฟร้านทำงานวาดรูปจนมีมุมประจำในไปแล้ว เงินจากเล่นดนตรีผมก็เอาไปซื้อพวกอุปกรณ์ศิลปะบริจาคให้บ้านเด็กยากไร้เกือบหมด

   ถ้ามีสิปป์สเตอร์ ตอนนี้ผมว่าตัวเองก็เข้าขั้นนิชสเตอร์อีกคน

   "แหม คนดังไม่ต้องมาถ่อมตัวเลยครับ พี่ได้ตามเช็คเรตติ้งในเพจบ้างรึเปล่าเถอะ"

   "ไม่อะ" บอกแล้วว่าผมไม่ใช่พวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกโซเชียลขนาดนั้น

   "พี่โคตรรรดัง" เขาเน้นคำว่าโคตรจนผมตกใจ "มีรูปแอบถ่ายเพียบเลยรู้รึเปล่า"

   "สิปป์เคยเปิดให้ดูอยู่"

   ผมไม่สนใจเรื่องแฟนคลับบ้าบออะไรนั่นหรอก เขาจะมาชอบพออะไรผมก็ปล่อยไป เดี๋ยวหมดช่วงเห่อก็จะรู้เองว่ากำลังทำอะไรที่ไร้สาระมากอยู่ ไม่ต้องพูดถึงงานวาดรูปเหมือนเลย ผมต้องขึ้นตัวหนาว่างดรับออเดอร์ชั่วคราวเพราะร่างกายไม่สามารถทำงานหลายอย่างได้ขนาดนั้นอีกแล้ว อีกอย่างเรื่องเงินก็ไม่ได้จำเป็นอะไรกับชีวิตช่วงนี้ของผม

   "วันก่อนมีคนตามหาพี่ในเพจ รางวัลนำจับสามหมื่น"

   "...ไร้สาระ"

   ผมไม่ได้ซ่อนตัวขนาดดิซนะ เพียงแค่คนสมัยนี้ใช้ชีวิตอยู่กับความสะดวกสบายบนโลกออนไลน์มากไปแล้ว เขาตามหาประวัติทุกอย่างเกี่ยวกับผมบนอินเทอร์เน็ต บอกเลยว่าหาให้ตายยังไงก็หาเจอไม่มากไปกว่าผมชื่อนิช ขนาดเฟสบุ๊คของผมยังมีเพื่อนไม่ถึงร้อยเลยมั้ง

   "ขึ้นไปตามหน่อยไหม นี่มันดึกแล้วนะ" ชายหัวชมพูอ่อนเดินออกมานั่งต่อจากผม

   "ไม่ต้องหรอก" ยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูเวลา "อีกไม่เกินห้านาทีก็ลงมาแล้ว"

   "รู้ลึกรู้จริง"

   "สิปป์เขาตรงต่อเวลาต่างหาก"

   ตรงกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผมอะนะ ถ้าวันไหนต้องขึ้นไปปลุกนี่ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงอย่างต่ำทุกที ไม่รู้จะตื่นยากตื่นเย็นไปไหน

   "ทำไมใส่เสื้อกล้ามอีกแล้ว"

   คำดุมาพร้อมกับเสื้อแจ็คเก็ตที่โปะลงบนหัว ผมหยิบเสื้อหนังสีดำมาพิจารณาแล้วย่นจมูกอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก ผมไม่ชอบตัวนี้ ใส่แล้วหลวมไปหน่อย

   "ก็ไหนคราวก่อนบอกเสื้อหลวมไปมันไม่ดี ไม่ให้ใส่ เลยกลับมาใส่เสื้อกล้ามมันผิดตรงไหน"

   ย้อนความไปถึงเวทีล่าสุดที่ผมใส่เสื้อยืดไซส์เอ็กซ์แอลไป สิปป์เริ่มรู้แกวผมเขาเลยเอาเสื้อสำรองไม่ก็เสื้อแจ็คเก็ตติดไว้บนรถเสมอ ผมเลยกวนตีนกลับด้วยการใส่เสื้อตัวหลวมแถมยังตัดคอให้กว้างจนเปิดเห็นไหล่ได้ง่ายเวลาขยับตัวไปมา

   เวลาเห็นเขาถูกขัดใจแต่ทำอะไรไม่ได้มันสนุกจะตายไป

   "ไม่ให้ใส่ทั้งสองแบบ เข้าใจนะ"

   "ไม่เข้าใจ"

   "นิรันดร์" เวลาเขากดเสียงต่ำลงมากกว่าปกตินั่นหมายถึงวิธีการของผมได้ผล

   "ว่าไงศิลปะ"

   "อยากลองทำลายสถิติจริงๆ สินะ"

   "หยุดแค่ในความคิดไปเลย" ผมชี้หน้าคาดโทษเขาไว้ วันก่อนเกือบโดนแล้วดีที่พีทลืมของเลยเดินกลับเข้ามาเอาในห้องพักพอดี "อย่ามารุ่มร่ามให้มาก"

   "ไปกันได้แล้ว ถ้ายังไม่เลิกทะเลาะกันจะไปไม่ทันเอานะ"

   เสียงของผิงคือระฆังห้ามทัพที่ได้ผลตลอดเวลา ผมหันไปค้อนใส่กรรมการกลางผู้คงไว้ซึ่งมาตรฐานระดับเยี่ยมยอด สิปป์บ่นอะไรออกมาให้ตัวเองฟังเพียงคนเดียวก่อนเดินนำออกจากร้านไปยังรถสปอร์ตคันเดิมที่ผมเพิ่งได้ข้อมูลใหม่มาจากเอมจอมปากมาก

   'ถือว่าตอบแทนที่พี่มาเป็นแหล่งรายได้ให้ผม'

   หน้ายิ้มแต่ตอนนั้นใจผมก่นด่ายันบรรพบุรุษแล้ว

   'รถคันนั้นพี่สิปป์ไม่เคยให้ใครขึ้นเลยนะ บอกว่าเก็บไว้ตอนที่ถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยใช้'


   ถึงว่าตอนที่น้ำรู้ว่าผมกลับกับเขาถึงโวยวายออกมาไม่มีหยุด สงสารก็แต่พีทที่ต้องคอยเป็นคนรองรับอารมณ์ลูกแมวไร้พิษสง ไม่รู้มีคนใจบุญพาไปฉีดยาแล้วหรือยัง ขืนถึงวันหนึ่งจนตรอกขึ้นมาแล้วข่วนคนอื่นไปทั่วล่ะจะยุ่งเอา

   ตลอดเวลาที่ผมทำงานเป็นมือกลองให้วงของสิปป์มันไม่มีปัญหาอะไรน่ากังวล ถึงผมจะโดนลอบกัดเล็กๆ น้อยๆ มันก็ยังพอให้อภัยได้ ผมเองก็โต้กลับไปทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นกัน นี่ อย่ามองผมอย่างนั้นสิ หรือจะบอกให้ผมเป็นคนดียอมรับชะตากรรมโดยหวังว่าวันนึงความดีจะชนะทุกสิ่งงั้นเหรอ ไปบอกคนอื่นที่ไม่ใช่ผมเถอะ

   "สวัสดีนิช"

   "ดี"

   น่าแปลกที่วันนี้ลูกแมวที่ทำตัวร้ายเป็นฝ่ายทักผมก่อน

   "ดีจัง ขอให้ยังปกติไปถึงจบงานนะ"

   "ขอบใจ"

   ...นี่มันเข้าพล็อตของตัวร้ายในละครเลยล่ะ จำพวกที่เอามาขู่แล้วก็จะมีเรื่องเลวร้ายรออยู่ข้างหน้า

   ความไม่น่าไว้วางใจทำให้ผมเลือกที่จะเดินออกมาตามหาสิปป์ที่ออกไปสูบบุหรี่เรียกสมาธิอยู่ตรงสโมคกิ้งโซน เขาเลิกคิ้วให้เป็นการทักทายแล้วไม่สนใจผมอีก

   "ทำไมวันนี้สูบ?" ช่วงหลังเขาใช้การอ้อนขอกำลังใจจากผมจนไม่เคยพึ่งแท่งนิโคตินแล้ว

   "ไม่ชอบร้านนี้ ต้องบังคับตัวเองให้ทำงานหน่อย"

   "แล้วรับทำไมล่ะ"

   "ไม่ได้รับเอง รู้ตัวอีกทีก็เห็นหนังสือสัญญาแล้ว"

   "หืม?"

   "ร้านนี้เจ้าของเป็นเพื่อนน้ำ"

   นั่นไง ว่าแล้วทำไมเขาถึงทำตัวเหนือกว่าขนาดนั้น ผมปล่อยให้เขาจมอยู่กับควันสีเทาโดยตัวเองก็นั่งเล่นอยู่ตรงนั้นด้วย ไม่ได้รับควันพิษอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ ผมเองไม่ใช่คนกินเหล้าสูบบุหรี่ จะมีก็แต่เพื่อนคนที่มีศักดิ์เป็นราชานั่นแหละที่ชอบพาตัวเองไปหาโรคมะเร็งปอด

   "อีกสิบห้านาทีขึ้นแสดงแล้ว เข้ากันไหม?"

   "ไปสิ"

   มือเย็นแตะลงบริเวณสะโพก เขาเพิ่มระดับความเนียนมากขึ้นไปทุกทีจนผมปลงตก แขวะก็แล้วด่าก็แล้วไม่เห็นจะสะดุ้งสะเทือนอะไรเลยสักนิด คุณผู้ชายอยากทำอะไรก็ทำไปตามสบาย

   ในห้องพักไม่มีใครอยู่ ผมเดินไปหยิบกระเป๋าที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำมาหากินของตัวเองมาหาโทรศัพท์ตั้งใจจะตอบเพื่อนจอมหวงก่อนที่เขาจะมาว้ากผมถึงห้อง แม่งเป็นคนที่มีเครือข่ายกว้างขวางจนผมกลัวใจ ถึงไม่ยอมบอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหนมันก็สามารถมาปรากฎตัวให้เห็นได้ในเวลาไม่นาน ถึงจะควานหาจนเจอสิ่งที่ต้องการแต่ความระแวงที่มีมากกว่าสิ่งอื่นใดเตือนให้ผมระวังตัวให้มาก

   ...นั่นไงล่ะ

   ผมมักจะมีสมุดไร้เส้นติดไว้ในกระเป๋าเสมอเผื่อว่าเจออะไรที่ถูกใจจะได้บันทึกลงไป เพียงแต่ตอนนี้มันควรเรียกว่าเศษกระดาษมากกว่าเล่มสมุด ส่วนกล่องดินสอที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์วาดรูปหลากหลายรูปแบบก็เหลือเพียงกล่องเปล่า ไม่มีแม้แต่ดินสอกดทิ้งไว้ให้สักแท่ง

   ถ้ามีมาตรวัดความไม่พอใจของผมในตอนนี้มันคงทะลุหลอดไปแล้ว สมุดบันทึกทุกเล่มมีคุณค่ากับผมมากอย่างที่อธิบายออกมาไม่หมด มันคือที่รวม 'อดีต' ที่สมองไม่สามารถจดจำได้หมด

   "ที่รัก ร้านนี้ไม่มีไม้สำรองให้นะ ตีระวังๆ หน่อย"

   เขาเตือนหลังจากช่วงหลังๆ ผมใส่อารมณ์ในการเล่นมากไปหน่อย ตอนนี้เก็บสถิติไว้สูงสุดที่ห้าไม้เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว
ไม้กลอง...

   ใช่แล้ว ไม้กลองผมไม่อยู่

   "บ้าฉิบ" สบถออกมาเต็มคำ สำรวจทั้งห้องแล้วก็ไม่พบว่าไปตกหล่นอยู่ที่ไหน ผมโดนเล่นแล้วไง!

   "เกิดอะไรขึ้นที่รัก"

   "ไม่มีไม้กลอง นายมีสำรองไว้บ้างไหม"

   ผมดีดนิ้วซ้ำๆ เพื่อเรียกสติไม่ให้แตกกระเจิงไปมากกว่านี้ ผมไม่คิดว่าเขาจะบ้าได้ขนาดที่ฆ่าคนทั้งวงให้ตายไปกับเขาด้วย นี่มันวิธีของคนอับจนหนทางแล้วสินะ

   "ไม่มี?"

   "หาย จบนะ"

   "..ถึงว่าเจอเพื่อนของน้ำที่เล่นกลองเข้ามาทัก"

   คำบอกของเขาเพิ่มความมั่นใจให้ผมอย่างมากว่าทุกอย่างถูกจัดฉากไว้

   ได้เลยต้นน้ำ

   ถ้าอยากจะเปิดศึกกับผมขนาดนี้ผมก็จะไม่เกรงใจอะไรทั้งนั้นแล้ว

   หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ที่ต้องการ ระหว่างรอสายผมไม่ละสายตาไปจากผู้ชายต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด อยากส่องกระจกดูตัวเองชะมัดว่าตอนนี้กำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ บางคนโกรธจัดแล้วจะทำลายข้าวของไปทั่ว ไม่เหมือนผมที่โกรธหนักๆ แล้วยิ่งเย็นเป็นน้ำแข็ง

   "สิปป์" รู้สึกได้เลยว่าเสียงที่ใช้มันเย็นชามากแค่ไหน "จำข้อตกลงของเราได้ใช่ไหม ถ้าผมทนไม่ได้จะไม่รับประกันความปลอดภัย"

   "..."

   (ว่าไงปีศาจ)

   "รบกวนคุณพินิจส่งคนเอาไม้กลองมาให้ที่ร้าน XXX ภายในสิบนาที ส่วนมึงไปลากเน็ทมาหากู"

   (ลงสนามเอง?)

   ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่ารอยยิ้มของตัวเองจะเต็มไปด้วยความร้ายกาจได้ขนาดนี้

   “อยากรู้ก็รีบมา”

   ปลายสายตัดไปแล้ว คุณพินิจไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว ส่วนเน็ทเดี๋ยวสั่งให้คนขับส่วนตัวมาส่งไม่เกินสามสิบนาทีคงถึง

   "ผมไม่ชอบเล่นนอกกติกา แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเริ่มก่อน ผมจะไม่หยุดง่ายๆ" โยนเครื่องมือสื่อสารลงบนโต๊ะแบบไม่กลัวการกระแทกใดๆ

   "ผมรู้น่า" เขาดึงผมให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอด ลูบหัวไปมาเพื่อปลอบประโลม

   "ถ้าจบหนังสือบทนี้...คุณอาจไม่อยากอ่านต่อเลยก็ได้นะ"

   ส่วนลึกสุดไม่เคยคิดว่าต้องพูดคำนี้ออกมาเลยสักนิด ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองมีรอยด่างพร้อยไม่น้อย ส่วนหนึ่งที่คอยหลอกหลอนดึงให้ผมกลับเข้ามาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงสักที

   อ้อมแขนของเขาช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน ผมยกมือขึ้นกอดเขากลับ พยายามละทุกความคิดที่ฟุ้งซ่านอยู่ในหัว อยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้จังเลยนะ ไม่อยากให้อนาคตมาถึงเลย

   "ผิงไม่เคยบอกเหรอว่าผมเป็นหนอนหนังสือ" รอยหยุ่นประทับลงบนหน้าผาก "วางใจได้เลยว่าผมจะไม่ยอมหยุดอ่านจนกว่าจะเจอคำว่าจบบริบูรณ์แน่"

   พอได้ยินอย่างนั้นผมยิ่งกอดเขาไว้แน่นกว่าเดิม หัวใจพองโตขึ้นไม่รู้ตัว มันเต้นดังจนผมกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงร้องหัวใจร้องบอกว่าดีใจมากแค่ไหนที่ได้ยินคำพูดนั้น...

   ถึงจะบอกว่าเชื่อมั่นในเครือข่ายแสนกว้างขวางก็เถอะ ผมก็ยังคงอยู่ในโลกแห่งความจริงที่ต้องเข้าใจว่าภายในสิบนาทีไม่สามารถเสกทุกอย่างให้ได้ตามที่ต้องการ ผมไล่สิปป์ให้ออกไปเตรียมตัวแสดงเพื่อไม่ให้ใครจับพิรุธได้ หายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เรียกความมั่นใจให้กลับมาสู่ตนเอง

   นั่งนับเข็มวินาทีรอไปเรื่อยๆ จนมีเบอร์แปลกโทรเข้ามา พนักงานส่งของชนิดด่วนพิเศษมาถึงแล้ว

   "ขอบคุณมากนะ" ตอนที่ผมเดินออกมานอกร้านการแสดงได้เริ่มขึ้นแล้ว ผมต้องรีบทำเวลาให้ดีขึ้นอีกหน่อย พนักงานส่งของเพียงโค้งให้แทนการตอบรับ ผมรอจนเขาเดินไปลับสายตาแล้วจึงหันหลังเตรียมกลับเข้าไปในร้าน

   "เข้าไม่ได้ครับ"

   มือข้างหนึ่งของการ์ดหน้าประตูยกขึ้นมาขวางเอาไว้ ต้องชมว่าคราวนี้เขาเตรียมการมาพร้อมเหมือนกันนะ

   "คุณก็เห็นว่าผมออกมาเอาของเฉยๆ"

   "มีคำสั่งลงมา ไม่ให้เข้าครับ"
   
   หน้าประตูมีการ์ดคุมอยู่สองคน ขนาดตัวไม่ต้องบอกก็แค่ตัวหนากล้ามใหญ่ตามสไตล์คนดูแลผับ แค่คนเดียวผมยังไม่คิดสู้ไม่ต้องพูดถึงสองคนเลย

   "คำสั่งไหน ถ้าวงดนตรีคนไม่ครบร้านนั่นแหละที่จะแย่นะ"

   "ผมต้องทำตามคำสั่ง"

   ชายร่างใหญ่สองคนตรงเข้ามาจับตัวไว้ ผมดิ้นสุดแรงพร้อมกับแหกปากร้องโวยวายไปด้วย นี่มันเกินไปหน่อยไปแล้วนะ เจ้าแมวไร้แม่นั่นมันคิดจะทำอะไรกันแน่

   "เงียบสิมึง!"

   เสียงฝ่ามือกระทบกับข้างแก้มเล่นเอาชาไปชั่วขณะ รู้สึกได้ถึงรสเลือดในปากแถมแว่นก็หลุดไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ไอ้พวกสัตว์นรก สาบานเลยว่าผมจะไม่เมตตาพวกมัน!

   ถ่มน้ำลายที่เคล้าไปด้วยรสเลือดใส่หน้าหนึ่งในนั้น ถึงจะมองอะไรไม่ชัดแล้วผมก็ยังไม่ยอมสิ้นฤทธิ์ง่ายๆ อีกฝ่ายเลยง้างมือขึ้นทำท่าจะตบลงมาอีกรอบ บังเอิญว่ามีเสียงที่สามโผล่ขึ้นมา เสียงที่ไม่ต่างจากเสียงสวรรค์ลั่นระฆังชัยให้

   "ขอโทษนะครับ มีกฎระเบียบข้อไหนที่อนุญาตให้การ์ดทำร้ายลูกค้าเหรอ"

   ...ถึงจะไม่ใช่เสียงของคนที่คาดหวังไว้ก็เถอะ

   "มึงยุ่งอะไรด้วย"

   ผมถูกล็อคไพล่หลังด้วยการ์ดหนึ่ง ส่วนการ์ดสองเดินอาดๆ ไปทางแบล็ค (คิดว่าน่าจะสูบบุหรี่อยู่ด้วย จากกลิ่นที่ลอยมาน่ะ)

   "ช่วยตอบให้ตรงคำถามหน่อย"

   "ไอ้เด็กนี่แม่งรนหาที่ตา...เหี้ย!"

   ถึงผมจะมองภาพไม่ชัดแต่ก็ยังคงได้ยินเสียงบางอย่างกระทบกับพื้นได้อย่างดี พอหรี่ตาลงให้ภาพเบลอมีความชัดขึ้นมาอีกหน่อยก็เห็นว่ามีวัตถุสีดำบางอย่างอยู่มือของเขา หึ...ไม่ได้เห็นราชาในรูปแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ น่าเสียดายจริงที่ผมมองได้ไม่ชัดเอาเสียเลย

   "มึงต่างหากที่กำลังจะตายไม่รู้ตัว นัดเมื่อกี้กูแค่ทดสอบ ...ส่วนนัดต่อไปกูยิงจริง"

   น่าจะเป็นกระบอกโปรดแบบติดที่เก็บเสียง ได้ยินการ์ดหนึ่งที่ยังคงล็อคตัวผมไว้อุทานว่าปืนจริง

   "ว่าไง จะปล่อยเพื่อนกูได้รึยัง"

   "มึงลองยิงสิ เพื่อนมึงโดนกูหักคอแน่!"

   "...เหรอ มึงน่าจะโดนกูเอามีดจ้วงหลังก่อนมั้ง"

   บุคคลที่สี่ปรากฎตัวขึ้นแล้ว ผมไม่สามารถหันไปมองต้นเสียงที่อยู่ด้านหลังของตัวเองได้ เน็ทมาเร็วกว่าที่คาดไว้เยอะเลยล่ะ ไม่รู้ว่าพี่โดนเร่งให้ขับมาด้วยความเร็วเท่าไหร่กัน

   "กูจะสั่งครั้งสุดท้าย ปล่อยเพื่อนกู"

   เสียงต่ำสร้างความหวาดกลัวได้อย่างดี แบล็คมันคนหลายบุคลิก ใจดีก็ใจดีหาย ส่วนตอนที่โหดร้ายก็ไม่เคยไว้หน้าใครทั้งนั้น เป็นราชาที่ปกครองบ้านเมืองด้วยความสงบสุขแต่ก็พร้อมจะฆ่าศัตรูที่เข้ามารุกรานได้เหมือนกัน

   "หรือมึงอยากลองโดนแทงก่อนค่อยปล่อย รู้ไหมว่าตำแหน่งที่กูจ่ออยู่ตอนนี้มันคือจุดตายของร่างกายเลยนะ"

   อีกคนก็เจ้าชายจอมเอาแต่ใจ คิดว่าตัวเองมีอำนาจมากกว่าคนอื่นไปทั่ว

   "ฮึ่ม ถอยเร็ว!"

   ผมโดนปลดออกจากพันธนาการแล้ว เน็ทรีบเข้ามาตรวจดูบาดแผลบนร่างกาย

   "ปีศาจแม่งติดหนี้มนุษย์ว่ะ"

   "เดี๋ยวจ่ายคืนให้"

   "ไม่ต้องอะ มึงรีบกลับเข้าไปดีกว่ามั้ง ป่านนี้เริ่มแสดงไปแล้วรึเปล่า"

   แบล็คช่วยเป็นแว่นตาให้ชั่วคราวยามที่กลับเข้าไปภายในร้าน ผมไม่สามารถเข้าด้านหลังได้อย่างที่คิดไว้ ทุกคนต่างยืนกรานเป็นเสียงเดียวกันว่าได้รับคำสั่งให้กันผมไว้ไม่ให้ขึ้นไปยุ่งวุ่นวายบนเวทีได้

   ไม่ให้ผมขึ้นจากด้านหลังงั้นเหรอ

   ก็ขึ้นจากด้านหน้าแม่งเลยสิ!

   บริเวณด้านหน้าของเวทีคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมหาศาล ถึงผมจะเห็นทุกอย่างเป็นภาพเลืองรางแต่เอาหัวเป็นประกันเลยว่าผู้ชายที่ยืนอยู่กลางเวทีคือคนเดียวกับที่ผมตามหาอยู่ โชคดีที่ตอนผมไปถึงมันเป็นช่วงพักเบรคสำหรับพูดคุย เสียงเพลงเลยไม่มีผลมากเท่าไหร่

   "เพลงต่อไป ผมขอมอบให้..."

   "สิปป์!!!"

   ตะโกนออกไปสุดเสียงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทุกอย่างรอบข้างตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศทันควัน ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมในจังหวะที่ภาพเลือนบนเวทีขยับตัวไปมา บ้าเอ๊ย ไม่เคยเกลียดที่ตัวเองสายตาสั้นเท่าวันนี้มาก่อนเลย วันที่ผมไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังมองผมมาด้วยสายตาแบบไหนกันแน่

   "...ขอมอบให้คนพิเศษ คนสำคัญ"

   ไม่รู้ว่าทางเดินที่ตรงไปยังหน้าเวทีถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมก้าวเดินไปช้าๆ ด้วยความมั่นคง สายตาจับจ้องเพียงแค่ภาพบนเวทีที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ

   "คนที่ผมหลงในงานศิลปะของเขาตั้งแต่แรกเห็น"

   ...ผมชอบงานของคุณ

   "และยิ่งหลงรักเข้าไปใหญ่ตอนที่เจอตัวจริง"

   ...ชอบคุณด้วย

   "มาตรงนี้สิที่รัก"

   ไม่เคยชอบคำว่าที่รักของเขามากเท่าครั้งนี้มาก่อน

   ผมยื่นมือไปให้เขาดึงตัวขึ้นไปบนเวที หรี่ตาลงเล็กน้อยยามที่แสงไฟส่องเข้าหน้า สิปป์พูดคำหยาบออกอากาศตอนที่เขาเห็นรอยแดงบนใบหน้าผม

   "ใครทำ?"

   "การ์ดหน้าร้าน"

   "ไหนบอกว่าเป็นปีศาจไง" เขาถอนหายใจพลางส่งยิ้มหวานมาให้ "...มีคนถามมามากว่ามือกลองคนใหม่ของเราชื่ออะไร"

   เขาหันหน้าไปหาผู้ชม ทั้งที่ยังจับมือผมไว้แน่น

   "ขออนุญาตไม่แนะนำนะ พอดีเจ้าของหวงมาก" การกระทำทั้งหมดของเขามีค่ามากกว่าคำพูดเป็นร้อยเป็นพัน เสียงฮือฮาเหมือนผึ้งแตกรังดังเซ็งแซ่ "ขอส่งเวทีต่อให้มือเบสครับ"

   ทางลงจากเวทีต้องเดินผ่านน้ำ ผมเสหน้ามองไปทางอื่นไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีอาการอย่างไรปรากฎอยู่ อีกอย่างคือกลัวว่าถ้ามองไปแล้วผมจะควบคุมตัวเองให้ใจเย็นไว้ไม่ได้น่ะ

   วันนี้เป็นวันดี

   ปีศาจจะยอมปล่อยผ่านไปสักทีแล้วกัน


≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡


   สิปป์กอดผมจากด้านหลังอย่างนี้อยู่บนโซฟามานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ พอเขาประกาศสถานะออกต่อหน้าพยานจำนวนหลายร้อยแล้วเขาก็พาผมกลับมาที่ร้านทันที แบล็คกับเน็ทส่งไลน์มาหาจนเกือบครึ่งน้อยผมก็ไม่เข้าไปอ่าน ไม่อยากจะรับรู้ว่าโลกภายนอกตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

   "เจ็บมากไหม?" เขาถามถึงบริเวณที่มีเจลเย็นแปะอยู่

   "ไม่อะ เสียดายแว่นมากกว่า"

   ผมดูเหมือนคนงกมากไหม แต่ถ้าไม่มีแว่นนี่ผมไม่ต้องใช้ชีวิตทำอะไรอย่างอื่นเลยจริงๆ นะ เตรียมตัวนอนเป็นผักนั่งเล่นมือถืออยู่บนเตียงอย่างเดียว

   "เดี๋ยวพาไปตัดใหม่พรุ่งนี้"

   "เวลาส่งใบเสร็จค่าเสียหายไปเพิ่มชาร์จเยอะๆ เลยนะ"

   ควันบุหรี่ลอยจาง ผมปล่อยให้เขาอัดสารเสพติดเข้าปอดจนกว่าจะพอใจ เข้าใจว่าเขามีเรื่องในคิดอยู่ในหัวมากมายอยู่แล้วในเวลานี้ การที่เขาทำอย่างนั้นไม่ต่างจากการประกาศแตกหักกับคนในวงเลยสักนิด

   "ไม่ชอบกลิ่นรึเปล่า" เขาคงเห็นผมทำหน้ามุ่ยเลยถามขึ้น

   "เปล่า" บอกไปตามที่คิด "สูบบุหรี่นี่มันดีตรงไหน"

   "อืม...ก็ทำให้หัวโล่งดีล่ะมั้ง"

   "ไม่กลัวตายไว?"

   อย่างแบล็คนี่ผมคิดไว้แล้วว่ามันคงอยากตายตอนที่ยังหนุ่มอยู่เลยอัดมะเร็งเข้าปอดอย่างไม่สะทกสะท้านตลอดเวลาขนาดนั้น เตือนเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง

   "ไม่ล่ะ สูบแค่พอให้หายอยาก"

   "มันดูเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นสักนิด"

   "อยากให้เลิกไหมล่ะ"

   "นี่มันชีวิตของนาย"

   เพราะเขากำลังเกยคางกับไหล่ของผม ยามที่ควันสีขุ่นปรากฎมันเลยใกล้กับหน้าของผมอย่างมาก ผมชอบกลิ่นบุหรี่ของเขามากกว่าแบล็ค ติดหวานมากกว่าแสบจมูก หน้าจอโทรศัพท์ยังสว่างต่อเนื่องไม่มีหยุด แสงที่แยงตาจนน่ารำคาญบอกให้ผมปิดเครื่องไปให้จบเรื่องจบราว

   "ขอโทษ..." เป็นสิปป์ที่ทำลายความเงียบ

   "เรื่องอะไร"

   "คุณเจ็บเพราะผม"

   ผมปล่อยเจลที่ไร้ซึ่งความเย็นแล้วลงกับพื้น "ก็ทำตัวเองด้วยแหละ ไม่ต้องคิดมาก"

   มันคือความเสี่ยงที่มาพร้อมกับความสะใจ ผมไม่รู้ว่าเพื่อนฝั่งของผมจะจัดการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร อย่างน้อยๆ น้ำไม่มีทางผ่านเรื่องนี้ไปโดยไม่มีบาดแผลอย่างแน่นอน

   "สิปป์ ขอนะ" หยิบแท่งสีขาวที่คาบอยู่ในปากของอีกฝ่ายมาไว้กับตัวเอง ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะทำตามความต้องการของตัวเองดีหรือไม่ "...มันช่วยให้สมองโล่งจริงใช่ไหม"

   "ก็ช่วยอยู่นะ"

   "เหรอ..."

   "ทำตัวเป็นเด็กวัยว้าวุ่นไปได้" เสียงกลั้วหัวเราะมาพร้อมกับรอบประทับข้างขมับ สิปป์คว้าบุหรี่กลับไปแล้วหยอดลงในขวดแอลกอฮอล์ที่วางอยู่ตรงหน้า "เครียดเรื่องอะไรหืม?"

   "...หลายอย่าง"

   ที่สุดคงเป็นไลน์ของเพื่อนสนิทที่ผมยังไม่ตอบ เน็ทเตือนผมไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผมไม่ควรเข้ามาอยู่ในโลกนี้ เขาพูดด้วยความมั่นใจมากว่าผมไม่มีทางรอดไปจากโลกของเขา

   และมันก็เป็นอย่างนั้น

   ผมกำลังหลงรัก 'ศิลปะ'

   "อยากเล่าไหม?"

   ส่ายหัวไปมากลับไป จะให้เล่าอะไรล่ะถามจริง

   "งั้นมีอีกวิธีที่ช่วยให้ไม่คิดมาก"

   "บอกมา"

   "แบบนี้ไง"

   เขาขยับตัวให้เราใกล้กันมากขึ้น ใบหน้าไร้ที่ติเคลื่อนที่เข้ามาใกล้โดยที่ตาของเรายังคงประสานกัน ไม่มีใครยอมหลบสายตา จนในที่สุดริมฝีปากของเราก็สัมผัส

   อืม หัวโล่งอย่างที่เขาบอกจริงด้วย


***
   เหลืออีกตอนพาร์ทสเปเชียลของพี่นิชจะจบแล้วค่ะ เย้ /จุดพลุ
   พอดีตอนนี้มีพี่แบล็คโผล่มาด้วยก็ฝากเรื่องของราชาไว้หน่อยนะคะ ♚ PITCHBLACK ♛ เพิ่งลงไปได้ตอนเดียวแล้วก็ยังคิดตอนต่อไปไม่ออกค่ะ (ฮา)
   #ที่หนึ่ง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Limited Book [สิปป์-นิช]


(5)


   เสียงนาฬิกาปลุกดับลงไปแล้ว ผมดันตัวเองขึ้นจากเตียงกว้างด้วยความเคยชิน สิ่งแรกที่ควานหาบนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียงคือแว่นตากรอบใหญ่อันใหม่ที่เพิ่มออฟชั่นเปลี่ยนเป็นเลนส์กันแดดยามที่ออกแดด อืม อยู่ไหนนะ ทำไมไม่มีบนโต๊ะล่ะ

   "สิปป์ แว่นตาหายอะ"

   หันไปเขย่าคนที่ยังหลับอุตุไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ยอมใจกับความสามารถในการนอนของเขาจริงเลย คนที่โดนกระทำทั้งคืนอย่างผมควรจะต้องการการพักผ่อนมากกว่าไม่ใช่หรือไง

   "ตื่นมาช่วยหาหน่อยสิ"

   จะให้คลำทางไปห้องน้ำหรือลงไปหาผิงข้างล่างนี่พอทำได้นะ ทำได้แค่นั้นนั่นแหละ ลงไปภาพรอบตัวกลายเป็นพิกเซลคุณภาพต่ำอยู่ดี ผมพยายามทบทวนว่าใส่ครั้งสุดท้ายตอนไหนแล้วใครเป็นคนถอด เหมือนว่าผมเตรียมจะนอนแล้วสิปป์ก็เข้ามาดึงสมุดวาดรูปออกไปจากมือ จากนั้นก็เข้ามาจู... ใช่แล้ว เมื่อคืนเขาเป็นคนเอาเครื่องมือเพิ่มความคมชัดของผมไป

   "นี่ เมื่อคืนโยนแว่นไปไว้ไหน"

   ขยับตัวขึ้นไปคร่อมร่างของอีกคนไว้ทั้งที่ตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ผมเล่นงานจุดอ่อนของเขาคือบริเวณคางอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

   "ฮื่อ..." เสียงครางแบบรำคาญบอกผมว่าเขาเริ่มมีสติแล้ว

   "หาให้ก่อน จะลงไปช่วยผิงเปิดร้าน"

   วันธรรมดาที่เอมมีเรียนเลยเหลือพนักงานแค่ผิงคนเดียว ผมเลยอาสาช่วยเขาจัดร้านให้เรียบร้อยเตรียมพร้อมต้อนรับลูกค้าในทุกวัน

   "ให้มันเปิดเองไป"

   ตอบทั้งที่ยังไม่เปิดตา สิปป์รวบมือทั้งสองข้างของผมรวมไว้ด้วยกันอย่างที่ทำตลอดเวลาผมลงไม้ลงมือกับเขา

   "ไม่ได้ วันนี้เอมมีเรียน"
   
   "ทำได้ มานอนต่อมา"

   "ไม่เอา นอนทั้งวันเดี๋ยวก็เป็นง่อยหรอก" ผมทิ้งตัวลงทับคนที่อยู่ด้านล่าง "ช่วยหาแป๊บเดียวเอง เร็วๆๆ"

   หลอกล่อด้วยจำนวนเวลา ตัวร้ายก็อย่างนี้แหละ เวลานอนนี่เป็นเวลาทองคำมากมาย 

   "อยู่แถวนี้ล่ะมั้ง อะ นี่ไง"

   เขาควานหาจนเจอสิ่งที่ผมต้องการอยู่ใต้หมอนของตัวเอง บอกกี่รอบแล้วว่าไม่ให้ไว้ตรงนั้นเดี๋ยวขาแว่นงอหมด

   "ขอบคุณครับ" กดจูบลงไปตรงแก้มที่โผล่ขึ้นมาจากหมอนเป็นส่วนเสริมด้วย

   ปกติแล้วผมแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็แปรงฟันก่อนที่จะลงไปปฏิบัติหน้าที่พนักงานอาสาในภาคเช้า พอช่วยเช็ดนู่นถูนี่เหงื่อมันก็มาหา เพราะงั้นจัดการให้ร่างสกปรกทีเดียวค่อยอาบเลยดีกว่าเยอะ

   "สวัสดีตอนเช้า"
   
   ทักทายผู้ชายเสื้อดำหลังเคาท์เตอร์ ผิงกำลังขีดเขียนอะไรสักอย่างลงไปในสมุดจดอยู่เงยหน้าขึ้นมาแล้วทักทายผม ไม่สิ จะเรียกว่าคำทักทายได้รึเปล่า

   "เดินไหวไหม?"

   "หืม?"

   "รอยเต็มคอเลย" เพียงแค่ทำหน้าเบื่อกลับไป ผู้ชายบ้าบอนี่ขนาดผมบอกเขาไว้แล้วว่าไม่ให้ทำรอยที่คอ มันเห็นชัดเกินไปจนน่ารำคาญ

   "จะให้ทำอะไรบ้าง"

   "มาช่วยเรียงของเข้าชั้นหน่อยแล้วกัน"

   เดินขนของไปมารอบร้านจนหมดหน้าที่ กลับขึ้นไปเขาก็ยังคงเป็นเจ้าชายนิทรา ผมจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเตรียมของให้เจ้าของห้อง ตั้งแต่วันนั้นสิปป์ก็รับงานน้อยลงจนน่ากลัว แถมยังไม่ยอมให้น้ำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงอีกต่างหาก เคยบุกมาหาถึงที่ร้านด้วยนะ เจอผิงไล่จนต้องหนีกลับไปแทบไม่ทัน เห็นเงียบๆ อย่างนั้นผู้ชายผมสีแปลกนี่เล่นเอาเกลือมาสาดหน้าร้านไล่ความซวยเลยนะครับ อย่าทำเป็นเล่นไป

   หยิบสมุดวาดรูปขนาดใหญ่จากลิ้นชัก ลากเก้าอี้มาหามุมเหมาะๆ เพื่อวาดรูปเจ้าชายนิทราฆ่าเวลา จากห้องโล่งวันนั้นตอนนี้มันเต็มไปด้วยอุปกรณ์วาดเขียนของผมวางอยู่ระเกะระกะไปหมด นี่กำลังต่อรองเอาขาตั้งมาไว้อยู่ จะได้ครบสูตร

   ปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปกับลายเส้น เพราะไม่รู้ว่าเขาจะตื่นตอนไหนผมเลยใช้วิธีร่างด้วยดินสอเสียมากกว่า บางรูปก็เพิ่งได้แค่ครึ่งหน้า หรือบางทีได้แค่ส่วนโครงหน้าเอง สิปป์ชอบแอบหยิบไปดูตอนที่ผมเผลอ นี่ขนาดห้ามแล้วยังไม่เคยฟังเลย เอาแต่ใจไปไหนไม่รู้

   เสียงเคาะประตูที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแล่นเข้าโสต ผมวางของในมือลงเดินไปหน้าประตูห้อง ต้องเป็นเรื่องที่ใหญ่อยู่พอควรเหมือนกันเพราะไม่เคยมีใครกล้าเข้ามายุ่งกับห้องนี้

   "มันตื่นยัง?"

   ผิงนั่นเอง ผมชี้ไปทางเตียงที่ยังมีเจ้าของร้านนอนหลับสนิทอยู่

   "ปลุกหน่อย" ถึงจะประหลาดใจอยู่มากแต่ก็ไม่กล้าถามออกไปเพราะใบหน้าเคร่งเครียดของเขา

   ลังเลใจอยู่ว่าจะใช้วิธีไหนปลุกดี เขานอนหลับลึกมากอย่างที่ผมเคยแกล้งเอาหูฟังที่เปิดเสียงเกือบดังสุดให้เขาฟังแล้วยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าผิงไม่อยู่ก็จะใช้วิธีการสุดท้ายอยู่หรอกนะ

   "ตื่นหน่อย ผิงมาหา"

   "หือ...เจอแว่นแล้วไม่ใช่เหรอที่รัก"

   "เชี่ยสิปป์ พ่อมึงมา" การที่เขาแทรกขึ้นมากลางคันด้วยคำว่าพ่อมาหาบอกผมว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่

   "ก็มึงไงพ่อกู"

   "มึงช่วยดูว่าหน้ากูเล่นอยู่รึเปล่านะ" เขาตีหน้าเครียด "พ่อ มึง มา"
   
   พ่อที่เขาว่าคือพ่อจริงๆ

   หุ้นส่วนใหญ่ที่สุดของค่ายเพลงยักษ์ท็อปทรีของเมืองไทย

   เคยเห็นหน้าอยู่ครั้งนึงตอนที่ไปแสดงผลงานเมื่อต้นปี สิปป์ไม่มีส่วนไหนที่เหมือนพ่อของเขาเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว เลือดหลายเชื้อชาติที่อยู่ในตัวเขาหลอมจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว พ่อลูกนั่งประจันหน้ากันอยู่บนโต๊ะมุมสุดของชั้นสอง มีการเอาป้ายงดใช้พื้นที่มาวางไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว ผมวางแก้วกาแฟร้อนลงตรงหน้าทั้งคู่ ตั้งใจจะเดินออกมาแต่สิปป์ไม่ยอมให้ทำอย่างนั้น เขาบังคับให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวถัดไป

   "คนอื่นออกไป"

   "นี่แฟน"

   บอกตัวเองให้ชินกับความเป็นสิปป์ แต่ก็ทำไม่ได้สักที

   ผมก้มหน้าลงไม่สบหน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย คงมีเรื่องอะไรที่เป็นปัญหาใหญ่มากพอควรคนเป็นพ่อถึงใช้เสียงที่เต็มไปด้วยความเครียดอย่างนั้น

   "อ้อ คนนี้เองเหรอที่หนูน้ำบอก"

   ชื่อของคนที่ผมลืมไปแล้วโผล่ขึ้นมาในบทสนทนา แบล็คกับเน็ทเคยมาขออนุญาตจากผมจัดการเก็บกวาดเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ผมอนุญาตให้แค่ทำการเตือนแบบเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แค่สิปป์ไม่ยอมร่วมวงกับเขาอีกต่อไปนั่นมันก็แย่เกินพอแล้ว ถึงใจจริงแล้วอยากจะจัดการแบบที่ให้สมกับสิ่งที่เขาทำกับแว่นของผมก็เถอะ

   "โดนเป่าหูอะไรมาอีกล่ะ"

   "เขาหวังดีเลยมาเล่าให้พ่อฟังต่างหากว่าแกทำตัวเหลวไหลขนาดไหนน่ะ"

   "คุณควรจะไปดูในเพจวงผมนะก่อนจะมาพูด"

   นั่นไม่เหมือนการคุยกันของพ่อลูกเลย ให้ความรู้สึกเป็นการเจรจาธุรกิจที่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากันเสียมากกว่า สิปป์คว้ามือผมไปจับไว้ มือเย็นเฉียบบอกผมว่าเขาเองไม่ได้เก่งกาจอย่างที่กำลังทำอยู่

   "ถ้าเล่นสนุกพอแล้วก็กลับไปทำงานเต็มเวลา"

   "ขอทวนข้อตกลงของเราหน่อยนะ ผมไม่จำเป็นต้องเข้าไปทำงานในบริษัทตราบใดที่ยังส่งงานได้ตรงเวลาและไม่มีข้อบกพร่อง"

   "นั่นมันตอนที่แกขอฉันเปิดวงใต้ดินอะไรนั่น"

   "งั้นเดี๋ยวผมไปเปิดวงใหม่แป๊บนึง"

   "สิปป์!"

   เขาไม่ยอมแพ้ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเลย เสียงกึ่งตวาดเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมามองเขาเป็นครั้งแรก มันเต็มไปด้วยความโมโหที่ถูกขัดใจ

   “ใช่ นั่นชื่อของผมเอง”

   "น้ำบอกว่าแกติดเด็กจนไม่สนใจทำงาน"

   "อ้อ ลืมแนะนำ นี่นิช ยี่สิบแล้วไม่เรียกว่าเด็กนะ"

   “เด็กที่เรียนจบแค่มอหก”

   “!”

   สิปป์รีบคว้าแขนผมไว้ก่อนที่จะมีการวางมวยเกินขึ้น น้ำเสียงดูแคลนที่ผู้อาวุโสกว่าใช้เกือบสะบั้นความอดทนของผมให้หมดลง ให้ตาย นี่มันโลกยุค 2016 แน่เหรอ!

   "ผมแค่เรียนต่อในตามความชอบของตัวเอง" ขอให้ตัวเองได้มีโอกาสอธิบายอีกมุมมองเสียหน่อย ทำอย่างกับผมไม่รู้ว่าในสังคมไทยมันก็ยังไม่ได้ยอมรับเรื่องการเรียนตามสายความถนัดอื่นที่ไม่ใช่ในมหาวิทยาลัยอยู่  คือถ้าเข้าไม่ได้หรือว่าเข้าได้แต่ไม่ใช่แหล่งศึกษาที่มีชื่อก็โดนมองว่าเป็นพวกโง่อยู่ดี

   "อยากเรียนหรือไม่มีที่ไป?"

   "สรุปคือมาด่าแฟนผม?"

   คนกลางเริ่มที่จะโมโหมากขึ้นแล้วล่ะ เขาไม่รู้ตัวละมั้งว่าตอนนี้จับมือผมไว้แน่นมากแค่ไหน

   “เอาเป็นว่าถ้าเล่นสนุกพอแล้วก็กลับไปทำงานซะ”

   "ผม ไม่ กลับ"

   "แกต้องกลับสิปป์ อย่าทำให้ความพยายามของฉันมาจบลงที่เด็กไร้ที่มาอย่างนี้"

   คำก็ไม่มีที่ไป สองก็ไร้ที่มา

   ผมว่าตัวเองเข้มแข็งนะ แต่ว่าเจอคำพูดพวกนั้นซ้ำๆ มากเข้าแล้วก็กลับมาคิดว่าเพราะอะไรผมถึงต้องมาทนฟังอะไรอย่างนี้ด้วยวะ

   "เป็นกรรมการบริหารนี่น่าจะรู้เรื่องสัญญาดีไม่ใช่เหรอ จะเพิ่มเติมอะไรช่วยถามความสมัครใจของผมด้วยหน่อยสิ"

   "นี่ไม่ใช่การคุยในฐานะลูกจ้าง แต่ที่มาคุยในฐานะพ่อ" ชายสูงวัยหันมาสบตากับผม นัยน์ตาแบบคนที่ผ่านอะไรหลายอย่างในชีวิตมามากมันแข็งกร้าวจนผมไม่กล้าสู้กับมันต่อ "พ่อที่รับไม่ได้ตอนที่รู้ว่าลูกชายตัวเองรัก 'ผู้ชายคนอื่น' มากกว่าครอบครัว"   

   ทุกคำดูแคลนมันเกินพอที่จะนั่งทนฟังต่อ ผมเสียมารยาทด้วยการผลุดลุกขึ้นมากะทันหัน บอกอีกคนสั้นๆ ว่าไม่อยากจะรับฟังอะไรเพิ่มเติมแล้ว "ไปรอข้างล่างนะ"

   รู้ตัวอีกทีตรงที่ผมกำลังอยู่มันกลับไม่ใช่พื้นที่ชั้นล่างที่เป็นร้านกาแฟ มันกลับเป็นหน้าประตูห้องพักของผมไปได้ยังไงก็ไม่รู้ ผมหากุญแจห้องนานมากเพราะไม่ได้ใช้มาเป็นเดือนๆ แล้ว สิ่งแรกที่ทักทายผมยามที่เปิดประตูคือละอองฝุ่นคลุ้งจนต้องไอออกมา ผมเปิดหน้าต่างไล่ความอับและสิ่งสกปรกไปตามลม ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนขอตัวเองที่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นของตัวเองอีกต่อไป วันนี้คิดว่าไม่ได้ทำอะไรมาแท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนโดนดูดพลังชีวิตไปหมดสิ้น

   นี่ชีวิตของผมต้องเจออะไรที่มันเข้าขั้นพล็อตนิยายน้ำเน่ายอดนิยมขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย หรือว่าที่ผมกำลังเจออยู่ตอนนี้คือการเตือนว่าใกล้หมดเวลาที่จะท่องอยู่ในความฝันแล้ว ผมใกล้จะต้องลืมตาตื่นมาอยู่กับความเป็นจริงแล้วสินะ เฮ้อ... ยอมรักใครทั้งทีกลับมาตกม้าตายตรงนี้เสียได้

   คงได้แต่บอกตัวเองว่าตื่นจากฝันได้สักที


≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡

 
   "มึงเลิกทำหน้าเหมือนคนใกล้ตายอย่างนั้นได้แล้วนิช กูเห็นแล้วรำคาญตาว่ะ"

   "กูก็รำคาญ"

   เพื่อนบังเกิดเกล้าทั้งสองบ่นแล้วตบแก้มผมคนละที

   "นี่กูไม่ได้เรียกพวกมึงมาให้ซ้ำเติม"

   "กูจะซ้ำ แหมไอ้เชี่ย 'ไม่โง่เดินเข้าไปหรอก' เป็นไงล่ะมึง" เน็ทยังคงปากร้ายเสมอต้นเสมอปลายดีจริง

   "แล้วนี่น้องโรมไม่มาด้วยเหรอ"

   ใจหนึ่งก็อยากเจอน้องเล็กให้หัวใจชุ่มชื้นอยู่นะ แต่อีกใจพอมองสภาพตัวเองตอนนี้แล้วยิ่งกว่าตอนนี้เคยบ่นน้องเขาไว้อีกหลายเท่าเลยล่ะ

   ผมปิดโทรศัพท์แล้วโยนมันลงใส่กล่องเก็บของ รวมถึงงดเข้าไปอัพเดตช่องทางการรับรู้ข่าวสารในทุกวิถีทาง ในเมื่อบอกตัวเองให้ตื่นจากฝันผมก็ต้องอยู่กับความจริงให้ได้ ถือว่าโชคดีที่แบล็คยังจำเบอร์บ้านผมได้เขาเลยโทรมาเช็คความเป็นไป สงสัยเสียงผมจากการคุยผ่านสายโทรศัพท์คงย่ำแย่ขนาดที่เพื่อนของผมบอกว่าจะมาหาภายในหนึ่งชั่วโมง

   "ปล่อยน้องโรมแม่งเอ๋อต่อไปเถอะ"

   "วันนี้ที่หนึ่งพาไปเที่ยวน่ะ เห็นบอกว่าอยากไปลองร้านขนมเปิดใหม่"

   "แม่งลำเอียงสัตว์อะ มึงรู้ป่ะแค่กูบอกว่าอยากแดกเค้กพี่แม่งร่ายขุดมาทุกชั่วโคตรว่าเค้กมันไม่มีกับสุขภาพอย่างนั้นอย่างนี้ อ้วนบลาๆ โธ่มึงครับ ช่วยดูกูหน่อยว่าทุกวันนี้แม่งผอมเกินค่ามาตรฐานไปเยอะแล้วนะ"

   "มึงก็ไปจีบที่หนึ่งดิ"

   "เรื่องไร คนนี้ของกู กูหวง"

   "..."

   ผมเงียบลงเพราะเผลอเอาไปเปรียบเทียบกับตัวเอง น่าอิจฉาจังเลยนะ ถึงเน็ทจะชอบเอาพี่มาบ่นให้ฟังอย่างนี้แต่เขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องเลิกกันเลยสักครั้ง ไม่เหมือนผมที่ยังไม่ได้คบกันอย่างเป็นทางการเลยด้วยซ้ำ

   "น่ะ มึงไม่ต้องเอาคนของมึงมาเทียบเลย" โดนดีดมะกอกที่หน้าผากไปอีกหนึ่งที เราอยู่ด้วยกันมานานจนรู้หมดว่าอาการนี้แสดงว่ากำลังคิดอะไรอยู่

   "เขาไม่ใช่คนของกู"

   "ถ้าเขาไม่ใช่คนของมึงก็เลิกสนใจเขาซะ" นั่นแหละคือเน็ท พูดจาขวานผ่าซากเข้าตรงประเด็นเสมอ "นิช กูรู้ว่ามันยากกับการยอมรับสถานะที่เกิดขึ้น นี่กูพูดในฐานะคนที่ไม่โสดคนเดียวของกลุ่ม ถึงความสัมพันธ์ของกูกับพี่จะดูพิลึกไปหน่อยก็เหอะ แต่สิ่งเดียวที่จะทำให้มึงผ่านตรงนี้ไปได้คือตัวมึงเอง ต่อให้วันนี้คนที่มานั่งตรงนี้จะอยู่ครบกลุ่มมันก็ไม่มีประโยชน์เหี้ยอะไรเลยถ้ามึงยังไม่มั่นคงในความรู้สึก เพราะงั้นสิ่งที่มึงต้องทำคือให้คำตอบกับตัวเองให้ได้ว่าจะไปต่อยังไง แต่ขอให้รู้ไว้ว่าสุดท้ายแล้วพวกกูจะเดินไปพร้อมกับมึงเสมอ"

   เขาจับมือของผมไว้แน่น เขย่ามันให้รู้ว่าจะไม่มีทางปล่อยมือผมไปไหนเด็ดขาด

   "ในฐานะคนที่กลัวความรัก กูไม่ออกความเห็น"

   "แค่มึงช่วยกูวันนั้นก็มากเกินพอแล้วว่ะ"

   "ไปขอบคุณพี่กูด้วย ดีนะที่ชิ่งออกมาทัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่รอดหรอก"

   "เออ ไว้จะส่งของไปให้"

   "อยากเล่าอะไรให้พวกกูฟังอีกไหม" แบล็คถามขึ้น

   ส่ายหัวให้แทนคำตอบ เวลานี้ผมยังไม่พร้อมที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ใครฟังทั้งนั้น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่อยากยอมรับว่าฝันดีของผมหมดลงแล้ว

   "เออ ก่อนขึ้นมากูเช็คกล่องจดหมายให้แล้วนะ พวกค่าน้ำค่าไฟเดี๋ยวกูเอาไปจ่ายให้เอง เหลือแต่ซองนี้อะของมึง"

   แบล็คยื่นซองจดหมายปิดผนึกอย่างดีมาให้ ชื่อและที่อยู่ของผมถูกเขียนด้วยลายมือที่ไม่คุ้นตา ข้างในเป็นบัตรเชิญไปร่วมงานจัดแสดงผลงานทางศิลปะที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ไม่รู้วิธีการดำเนินการของโรงเรียนสอนศิลปะที่ผมอยู่เหมือนกันแต่ว่าจดหมายประเภทนี้มักส่งมาถึงผมบ่อยๆ

   งานศิลปะงั้นเหรอ...

   สุดท้ายแล้วผมก็เข้าไม่ถึงโลกของศิลปะอย่างที่กลัวไว้เลย
 

≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡


   ไม่ได้อยากมายืนอยู่ตรงนี้อีก ติดที่ว่าอุปกรณ์ของผมทั้งหมดมันอยู่ห้องซ้ายสุดบนชั้นสอง...

   โชคยังดีที่ผมยังมีตารางการแสดงเอาไว้ เขาตรงต่อเวลาเสมอในการทำงาน นั่นเลยทำให้ผมกล้ามายืนอยู่ตรงหน้าร้านแบบไม่กลัวว่าจะบังเอิญเจอหรือเปล่า

   ผมหายไปโดยตัดขาดการติดต่อในทุกทางจนมั่นใจได้ว่าเขาไม่มีทางหาตัวผมเจอได้ มันคือการบอกทางอ้อมว่าผมขอจบเรื่องของเราเอาไว้ตรงนี้แล้วกัน สิปป์ไม่ผิด พ่อของเขาก็ไม่ผิด คนผิดก็คือผมที่ไม่อาจจะอยู่ในสังคมที่มองคนแต่ภายนอกได้ก็เท่านั้นเอง นั่นคือพ่อเขาไง คนที่ผมไม่มีทางจะหลีกหนีไปได้เว้นแต่ผมหรือเขาจะตายจากกันไปเสียในอีกไม่กี่วันนี้อะนะ แล้วผมเป็นคนจำพวกที่ถ้าไม่สบายใจที่จะอยู่ตรงไหนแล้วก็จะหนีออกมาไกลๆ เลย แบบที่ว่ามั่นใจได้ว่าจะไม่มีการกลับเข้าไปเฉียดอีกแล้วอะไรประมาณนี้

   ก็ได้แต่หวังว่าสิปป์จะเข้าใจความคิดของผมบ้าง

   "พี่นิช หายไปไหนมา" ผมเลยผ่านคำถามของเอม หันไปหาผู้ชายที่เปลี่ยนสีผมอีกแล้ว คราวนี้สีส้มไล่โทนจากอ่อนไปเข้ม

   "ไม่อยู่ใช่ไหม"

   ไม่พูดแม้กระทั่งชื่อ

   "อืม"

   "ไม่เกินครึ่งชั่วโมง จะรีบไป"

   บอกอย่างนั้นแต่ก็ยืนอยู่หน้าประตูห้องที่ไม่มีตัวดีแขวนไว้อีกแล้วมาห้านาทีแล้ว แค่ตอนเดินขึ้นบันไดมาขาผมพาลจะหมดแรงตั้งหลายรอบ ความทรงจำมันมีเยอะเกินไปจนมองไปที่ไหนก็บอกได้ว่ามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้าง

   กลั้นใจเปิดประตู ยามที่ภาพตรงหน้าปรากฎต่อสายตาแล้วสิ่งที่ผมพยายามฝืนมาทั้งหมดก็ไม่มีค่าอะไรเลย ทั้งร่างทรุดลงกับหน้าประตูอย่างที่ไม่มีเสี้ยววินาทีให้รั้ง

   ทุกอย่างยังเหมือนเดิม...

   เหมือนวันที่ผมเดินออกไป

   อุปกรณ์สีน้ำยังวางไว้บนโต๊ะทำงาน สมุดเสก็ตภาพยังคงเปิดอยู่ที่หน้าเดิม ทุกส่วนในห้องก็ถูกแบ่งเป็นสองฝั่งอย่างที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก

   ที่สำคัญที่สุด ...คือภาพวาดสีน้ำที่ทำให้เขาหลงรักผมก็วางไว้อยู่บนหัวเตียงเหมือนเดิม

   บอกตัวเองให้แข็งใจอีกหน่อย ผมจัดการกวาดทุกอย่างลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่เตรียมมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ฝั่งนึงไว้สำหรับอุปกรณ์ศิลปะ ส่วนอีกด้านคือเสื้อผ้าของตัวเองที่แขวนอยู่ในตู้

   เดินไปหยิบรูปวาดสีน้ำทั้งสามรูปมาไว้ในมือ รูปวันเกิด รูปที่ผมส่งขอบคุณ และรูปที่เขาจ้างผมวาด อยากจะเอาติดไปด้วยเพราะเป็นจุดเชื่อมต่อของความทรงจำทั้งหมดแต่ก็ทำไม่ได้ ...อย่างน้อยก็ให้งานได้อยู่กับเขาแทนตัวผม

   ช่วงเวลาที่ไม่มีผมแล้ว เขายังนอนตื่นบ่ายเหมือนเดิมไหมนะ แล้วยอมกินข้าวเย็นรึเปล่า ถ้าหิวตอนดึกแล้วมีของรองท้องอยู่บ้างไหม ไม่ให้โยนผ้าขนหนูไว้บนเตียงหลังใช้เสร็จก็พาดส่งๆ ไว้ปลายเตียง เวลาบีบยาสีฟันต้องลืมปิดฝาอีกแหง บอกให้หากล่องมาใส่ต่างหูจะได้หาเจอง่ายๆ ไม่รู้ยอมทำรึยัง ให้แยกผ้าสีกับผ้าขาวเวลาเอาไปส่งร้านซักจะได้ไม่บ่นเรื่องผ้าสีตกอีกนี่ก็เอามารวมกันอีกแล้ว ก้นบุหรี่จำนวนมหาศาลที่อยู่ในขวดแก้วใบใหญ่บอกผมว่าเขากลับไปสูบจัด พนันได้เลยว่าในตู้เขาต้องยัดๆ ผ้าที่ส่งรีดแบบไม่แยกประเภทแหง นี่แอบเอาสมุดฝึกวาดรูปของผมไปดูอีกแล้วล่ะสิมันเลยอยู่ข้างหมอนอย่างนั้น

   อา...ให้ตายเถอะ ผมคิดถึงเขามากขนาดนี้เลยล่ะ

   ...แล้วเขาจะคิดถึงผมบ้างไหม


≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡≡



   ผมมาถึงสถานที่จัดแสดงก่อนเวลาพอสมควร

   ไม่ได้กะเวลาอะไรผิดหรอก ผมแค่กำลังอยู่ในช่วงเปราะบางของชีวิต ก็แค่เคยสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะนึกว่าเขาหายไป ตอนที่แปรงฟันก็เผลอหาแปรงสีฟันอีกด้าม กลางวันก็คิดถึงแซนวิชทูน่า ซื้อข้าวมาเผื่อให้อีกคนไว้กินตอนดึกก็เท่านั้นเอง เพราะงั้นในบางอารมณ์ผมถึงอยากจะออกไปห้องไวๆ จะได้ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้อีก

   "นิชครับ"

   ยื่นซองพร้อมบอกชื่อ เจ้าหน้าที่สาวหน้าโต๊ะลงทะเบียนตรวจสอบความถูกต้องทั้งหมดแล้วบอกข้อมูลห้องที่จัดตั้งงานศิลปะไว้

   ไม่รู้ว่าเพราะผมมาเช้ารึเปล่าถึงไม่มีใครอยู่เลย รอบข้างดูวังเวงจนผมอดระแวงไม่ได้

   หยุดอยู่ตรงหน้าห้องหมายเลข 10 อย่างที่พนักงานบอก หัวใจของผมชาวูบอย่างที่ต้องยกมือขึ้นทาบหน้าอกเพื่อความแน่ใจว่ามันยังทำงานอยู่อย่างสมบูรณ์พร้อม ผมเกลียดเลขสิบ...มันพาลทำให้ผมคิดถึงผู้ชายที่ชื่อสิปป์ไปด้วย

   "?"

   ในห้องกว้างมืดสนิท ผมปิดประตูลงอย่างเบามือที่สุดหรือว่าจะเป็นนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับความมืดนะ กวาดตามองซ้ายขวาหาจุดเริ่มต้นของจุดชม ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างจุดขึ้นมาอยู่ที่กลางห้อง รูปถ่ายของชายหนุ่มที่หันหลังให้กล้อง บนผิวสีขาวมีรอยสักสีดำสนิทโดดเด่นขึ้นมาเพียงแห่งเดียว รูปตัวเอ็กซ์ที่ซ้อนอยู่กับสัญลักษณ์อนันต์

   ให้สาบานกับที่ไหนเลยก็ได้

   ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเอง แต่ผมมั่นว่าผมรู้จักเจ้าของแผนหลังนั้นเป็นอย่างดี

   “สิ...”

   "กาลครั้งหนึ่ง ผมได้รับกระดาษแผ่นหนึ่งในวันเกิด" ยามที่เสียงนั้นดังก้องไปทั่วห้อง ความเข้มแข็งทั้งหมดก็หายวับไปกับตา ผมยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างไว้เผื่อว่ามันจะช่วยให้ผมไม่ต้องได้ยินเสียงทุ้มต่ำน่าฟังนี้อีกต่อไป "น่าแปลกนะ เคยได้รับของขวัญมาก็เยอะ แต่คืนนั้นผมไม่ยอมปล่อยให้กระดาษแผ่นนี้ให้รวมกับอย่างอื่นเลย"

   เสียงเขา...นั่นมันเสียงของเขา 

   "ใช้ทุกวิธีทางตามหาคนวาดให้พบ ตอนแรกจะขอตามรอยไปรษณีย์กลับไปหาต้นทางแล้วด้วยซ้ำ ...นั่นมันเรียกว่ารักแรกพบได้หรือเปล่า?"

   ต้องรีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ผมหันหน้าไปตรงประตูที่ตัวเองเข้ามาเมื่อครู่ มันอยู่ใกล้เพียงแค่ปลายเอื้อม แค่ผมยอมขยับตัวไปอีกสองสามก้าวมันก็จะพาผมพ้นออกไปได้ เพียงแค่ผมยอมให้เหตุผลอยู่เหนือความต้องการของหัวใจ ย้ำบอกตัวเองไปว่านี่มันกับดัก

   ให้ตายเถอะ

   ผมลืมไปได้ยังไงว่าตัวเองตกอยู่ในหลุมพรางนี้มานานแล้วต่างหาก

   "ว่าไง อย่างนั้นเรียกว่ารักแรกพบได้ใช่ไหม?"

   พอผมไม่ยอมตอบเขาก็ทวนคำถามอีกครั้ง อยากปิดตาให้ไม่ต้องเห็นภาพด้านหน้าอีก ใจเจ้ากรรมกลับไม่ยอมละสายตาออกไปจากเครื่องหมายสีดำที่มีอยู่เพียงตำแหน่งเดียวนั้นเลย เครื่องหมายอนันต์ที่ผมใช้แทนตัวเอง ...กับตัวเอ็กซ์ที่แทนเลขสิบในตัวเลขโรมัน สองสัญลักษณ์ที่ถูกผสมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

   ดูเหมือนจะเป็นการคิดที่เข้าข้างตัวเอง แต่ตอนนี้ผมคิดความหมายอื่นไม่ออกแล้ว

   ที่ชัดเจนที่สุดคือตำแหน่งของรอยสัก บริเวณแผ่นหลังซ้าย...ตรงหัวใจ

   "ผมนัดเขาไว้เที่ยงตรงทั้งที่ปกติแล้วนั่นไม่ใช่เวลาตื่นของผมเลย คืนก่อนหน้านั้นผมเลิกงานตอนตีห้า ...ตื่นขึ้นมาเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับนัดตั้งแต่เก้าโมง ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเด็กเนิร์ดไร้พิษสงธรรมดา จนแอดไลน์ไปแล้วหาไม่เจอนั่นแหละเลยรู้ว่าตัวเองโดนเล่นเสียแล้ว" ผมยิ้มออกมาได้นิดหน่อยตอนที่เขาพูดถึงวีรกรรมของผม "อ้อ ที่ให้วาดคนอื่น ...ผมแนะนำในฐานะ 'แฟน' นะ"

   ถ้าไม่ใช่สิปป์คงทำอะไรอย่างนี้ไม่ได้... มีอย่างที่ไหนเอาผมไปโมเมอย่างนั้น

   "อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกตอนที่กลับมาถึงห้องแล้วของทุกอย่างที่เคยวางไว้หายไปหมด มันทั้งเคว้ง ทั้งอ้างว้าง ทุกอย่างที่ผมวางไว้ที่เดิมรอให้เขากลับมาใช้ ต้องเป็นปีศาจที่ใจร้ายจริงๆ ถึงทำอย่างนั้นได้ลง ...รู้ไหมว่าสิ่งหนึ่งที่ผมอยากทำมาตลอดคือการสัก แต่ที่ผมยังคงปล่อยให้ว่างเปล่าอยู่เพราะผมยังไม่เจอสิ่งที่คู่ควรที่จะอยู่กับผมไปตลอดชีวิต" เขาเงียบไปพักใหญ่ "ไหนบอกว่าเจ็บนิดเดียวไง โกหกกันนี่"

   ผมหัวเราะทั้งน้ำตาให้คำตัดเพ้อของเขา

   "จนถึงตอนนี้...ตอนที่ผมมั่นใจว่าตัวเองเจอสิ่งที่ตามหา"

   เขาค่อยๆ พาตัวเองมาอยู่ในไฟสลัว นัยน์ตาสวยเต็มไปด้วยความน่าหลงไหลอยู่เช่นเดิม ที่เพิ่มเติมคงเป็นความอบอุ่นที่ผมเห็นแล้วอยากจะร้องไห้ออกมาเสียอย่างนั้น เขายังคงส่งยิ้มให้ผมได้ทั้งที่ผมทำผิดกับเขา ผมไม่กล้าที่จะหลบสายตาไปทางอื่น ทำได้แค่จ้องมันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งอีกฝ่ายขยับมาจนชิด

   "เจอหนังสือรุ่นลิมิตเต็ดที่มีแค่เล่มเดียวในโลก" เขาเคยบอกว่าผมเป็นหนังสือรุ่นพิเศษ "...รู้แล้วว่าเป็นตัวร้ายที่อยากได้ 'ความเป็นนิรันดร์' ไว้ตลอดชีวิต"

   "..."

   "เราเพิ่งเข้าพาร์ทดราม่ากันเองที่รัก อย่าเพิ่งถอดใจสิ"

   "พาร์ทดราม่าอะไรกัน..."

   "ก็ปกติตามนิยายมันต้องมีช่วงดราม่าไง"

   "นี่ไม่ใช่นิยายสักหน่อย" เถียงกลับไปทั้งที่เสียงสั่นหมดแล้ว

   "อย่ามาเถียงหนอนหนังสือ" เขาโคลงหัวไปมา โอบแขนรอบตัวผมไว้แน่น จนผมแน่ใจว่าต่อจากนี้ไปก็คงไม่อาจหนีไปจากโลกของศิลปะได้อีกแล้ว

   "ว่าไง พร้อมจะเปิดหน้าต่อไปกันรึยัง?"
 
And the story continued.


***
Coming soon - 'ของเน็ท'

   "เน็ท?" พออีกฝั่งของสัญญาณโทรศัพท์เงียบเสียงไปผมเลยเรียกชื่อเป็นการถาม
   (กูนับหนึ่งถึงสามนะ) เสียงเรียบติดไม่พอใจนั่นบอกผมว่าพายุใหญ่กำลังมา
   (ถ้ามึงไม่ออกมา กูจะเข้าไปเอง)


   สอบเสร็จแล้วค่ะ ...ซะเมื่อไหร่ (ร้องไห้) สำหรับสเปเชี่ยลของพี่นิชก็จะหมดเพียงแค่นี้นะคะ เป็นการจบอย่างที่เจ้าอยากทำไว้อยู่แล้ว เรื่องราวที่อยู่ในหน้าต่อไปที่คงไม่มีใครรู้ได้ดีกว่าคนอ่านอย่างสิปป์กับนิช จบให้เข้ากับชื่อเรื่องหน่อยค่ะ (หัวเราะ)
   ส่วนที่ยังค้างไว้อยู่อีกนิดก็จะเป็นส่วนของพี่เน็ทค่ะ ส่วนของไวท์นี่...ยังไม่ได้อย่างที่ต้องการเลยค่ะ เลยยังขอค้างไว้ก่อนนะคะ /หนี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2016 22:36:47 โดย 23August »

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
โมโหอิน้ำ :z6:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
น้ำคนพาล  :z6:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ M.J.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 206
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ชอบมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2545
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
อ่านเรื่องนี้แล้วให้อารมณ์หนังนอกกระแส

ที่แบบขุ่นๆมัวเท้าความไกลๆตัดไปตัดมา ปิดตรงนั้นเปิดตรงนี้

คริคริ บังเอิญผมชอบหนังนอกกระแสครับ

อ่านแล้ว...อยากเป็นQueen  :o8:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
น้ำแม่งน่าถีบ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
«ตอบ #438 เมื่อ17-06-2016 21:57:02 »

NET's [ฟิว-เน็ท]


(1)


   ใครๆ ก็บอกว่าแฟนผมเป็นคนขี้หวง

   เจ้ากี้เจ้าการไปทุกเรื่อง ทำอะไรก็ต้องบอกก่อนตลอด หวงไม่เว้นแม้แต่กับเพื่อนสนิท ขนาดที่เพื่อนในกลุ่มยังถามอยู่บ่อยครั้งว่าผมทนไปได้ยังไงที่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้

   "พี่ฟิว"

   ผมหันไปทางเสียงทัก เด็กหนุ่มหน้าตี๋แบบที่เห็นได้ทั่วไปตามโรงเรียนเอกชนชายล้วนกำลังฉีกยิ้มให้จนตาปิดเกือบหมด

   "เฮ้ย น้องเจ!"

   พอสมองกลับมาประมวลผลจนเสร็จก็เลยเรียกชื่อกลับไป น้องเจเป็นน้องที่เคยเป็นน้องค่ายคณะสมัยผมปีหนึ่ง ถึงจะมีเฟสมีไลน์กันก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกันมากมาย นี่ดูจากเสื้อนักศึกษาชายสภาพใหม่เอี่ยมแล้วแล้วน้องคงสอบได้ที่นี่อย่างที่หวังไว้แล้ว

   "จำผมได้ด้วยอะ ดีใจจัง"

   "จำได้ดิ น้องกลุ่มนี่"

   "พี่กลุ่มน่ารัก ผมขอนั่งนี่นะพี่"

   "เออๆ ตามสบายเลย"

   เคลียร์ของที่วางไว้ระเกะระกะเพราะนึกว่าจะไม่มีใครมานั่งด้วยให้มาอยู่ฝั่งตัวเองทั้งหมด น้องเจไหว้ลวกๆ แล้วก็นั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม

   "แล้วนี่ทำไมได้ที่นี่ไม่ส่งข่าวบอกหน่อย จะได้พาไปเลี้ยง"

   "หืม อย่าเลยพี่" เด็กใหม่ปีหนึ่งทำหน้าเหยยามที่ผมบอกไปอย่างนั้น "เกรงใจ"

   "เกรงใจไรวะ ทีตอนนั้นอ้อนขอให้พี่เลี้ยงขนมทุกวัน"

   "ก็ตอนนี้มันไม่เหมือนตอนนั้น...."

   สมัยที่เป็นน้องค่ายเขามีกฎว่าห้ามออกไปร้านสะดวกซื้อ พวกพี่เลี้ยงกลุ่มเลยกลายเป็นเดลิเวอรี่กลายๆ ให้เหล่าน้องทั้งหลายได้สั่ง บางคนก็จ่ายคืนบางคนก็หายต๋อม แต่สั่งได้ทั้งวันไม่คิดจะหยุดปาก คิดแล้วก็เป็นเรื่องตลกดีเหมือนกัน วัยรุ่นเป็นวัยแสบสัน

   "ไม่เหมือนตรงไหนก็ ยังเป็นน้องพี่ป่ะ"

   "ก็เป็นอยู่ครับ"

   เจจ้องหน้าผมจนนึกว่าตัวเองทำอะไรเลอะหน้าหรือเปล่า ผมอ้าปากแบบไม่มีเสียงพลางชี้ที่หน้าของตัวเองเป็นถามกลับไปว่ามีอะไรผิดปกติที่หน้าของผมหรือเปล่า

   "ไม่มีพี่ อ่า..."

   "แล้วมีอะไรรึเปล่า?"

   "...คืองี้พี่ฟิว ผมโดนสั่งมาอะ" พอน้องชี้ไปที่ป้ายชื่อของตัวเองที่ถูกบังคับให้ใส่ตลอดเวลาหากอยู่ในตัวตึกคณะแล้วก็พยักหน้าให้เป็นเชิงเข้าใจ ช่วงปิดเทอมมาใหม่ๆ ก็ไม่พ้นเทศกาลรับน้องล่ะนะ

   "อ้อ จากพวกปีสองอะดิ ให้พี่ช่วยอะไรล่ะ" เจอทุกปีตั้งแต่ปีสองยันตอนนี้ที่อยู่ปีสี่ ชินไปแล้ว อย่างปีที่แล้วก็มีคนลองของอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่าเจออิทธิฤทธิ์พ่อเจ้าประคุณเข้าไปคงไม่มีใครกล้าเล่นอะไรแผลงๆ อีกแล้วล่ะ

   "พี่ฟิว..."

   "อะไร"

   "ผมก็ไม่ได้อยากจะละลาบละล้วงนะ แต่..."

   "แต่"

   "คือแบบว่าพี่..."

   "พี่"

   น้องเจทำท่าเหมือนกลืนบอระเพ็ดเข้าไปสักห้าท่อนพร้อมกัน "พี่ฟิวมีแฟนใช่ป่ะ"

   นั่นไงล่ะ คิดไว้ไม่มีผิด

   "...จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้"

   ในเมื่ออีกฝ่ายเขาไม่ได้เรียกความสัมพันธ์ของเราว่า 'แฟน' ก็ต้องให้เป็นไปตามนั้นล่ะนะ

   "ที่ชื่อ..."

   "เน็ท" ผมบอกชื่อให้แทนน้องที่ยังคงดูเกร็งกับการต้องมาถามผมในเรื่องนี้ "แฟนพี่ชื่อเน็ท"

   "ยังไม่เคยเจอตัวจริงเลย มีแต่คนบอกว่าน่ากลัว ผมเข้ามาคุยกับพี่ฟิวอย่างนี้ผมจะโดนอะไรไหมอะพี่"

   ขำพรืดตอนที่น้องทำหน้าหวาดระแวง ถูกส่งมาถามแบบที่โดนล้างสมองมาเสร็จเรียบร้อยแล้วสินะ

   "ไม่หรอก อย่าฟังคนอื่นมากเลย"

   "เห็นบอกว่าปีที่แล้วพี่เน็ทว้ากเละจนเกือบกลายเป็นห้องเชียร์เหรอพี่"

   นั่นไงล่ะ ตำนานที่จะอยู่คู่การรับน้องของวิศวกรรมศาสตร์ไปอีกนาน

   "ไม่ได้ว้าก เน็ทแค่โกรธมากไปหน่อย"

   "พี่ผู้หญิงที่เล่าให้ผมฟังเล่าไปสะอื้นไปอะพี่ ไม่น่าจะหน่อยแล้วมั้ง"

   แสดงว่าเป็นพวกที่เจออิทธิฤทธิ์แบบเต็มที่สินะ คือมันก็ไม่ได้อะไรมากมายขนาดนั้นเมื่อเทียบกับตอนที่ผมโดนมา เรื่องมันเริ่มที่มีน้องกลุ่มหนึ่งเขาไม่ชอบหน้าเน็ท (ก็ไม่แปลกใจ ใครที่เห็นเน็ทแล้วชอบตั้งแต่แรกพบนี่คงเป็นมนุษย์พวกคิดบวกเต็มล้าน) แล้วแกล้งมายุ่งวุ่นวายกับผม ท้ายที่สุดเจอจอมเอาแต่ใจเล่นไปทีขนาดผู้ชายยังเกือบร้องโฮ กลายเป็นกิจกรรมพีคไปเลย

   "เน็ทไม่เคยเริ่มก่อน"

   หน้าจอโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะของผมสั่นครืด พอมองลงไปก็เห็นรูปแผ่นหลังของใครคนหนึ่งที่ผมคุ้นเคยดีพร้อมกับชื่อที่ผมตั้งไว้ว่า 'ปัจจุบัน' รูปที่ตั้งเลียนแบบการจดบันทึกในเครื่องของอีกคน

   ให้น้องได้เห็นอิทธิฤทธิ์กับตัวก็ดีเหมือนกัน

   "ครับผม"

   (มึงคุยกับใคร)

   ปลายสายถามขึ้นมาแทบจะทันทีที่กดรับ ผมแอบกวาดสายตามองไปรอบตัวเพื่อดูว่าใครที่สายข่าวที่รายงานความคืบหน้าของผมให้อีกคนรู้ ตรงนี้ถ้าให้มองตามสายตาของคนทั่วไปก็คงคิดว่าเป็นเรื่องน่ากลัวแหละ แต่ว่าผมเองเจอมาบ่อยจนชินแล้ว

   "น้องค่าย"

   (...)

   "เน็ท?" พออีกฝั่งของสัญญาณโทรศัพท์เงียบเสียงไปผมเลยเรียกชื่อเป็นการถาม

   (กูนับหนึ่งถึงสามนะฟิว) เสียงเรียบติดไม่พอใจนั่นบอกผมว่าพายุใหญ่กำลังมา

   (ถ้ามึงไม่ออกมา กูจะเข้าไปเอง)
 

┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨


   "ฟิว เย็นนี้เข้าด้วย"

   คิ้วของผมเลิกขึ้นสูงแทนการส่งคำถามคืนไป

   "วันนี้?" เร็วกว่าที่ตกลงกันไว้เยอะ

   "เออ"

   "ขนาดนั้น?" ปกติแล้วเพื่อนของผมคนนี้ไม่ค่อยทำหน้าหงุดหงิดใส่ใครมากเท่าไหร่ ถ้าลองตอบสั้นห้วนแล้วยังทำหน้าบอกบุญไม่รับขนาดนั้นก็คงหมายความได้อย่างเดียวว่าเรื่องคงไม่ดีเท่าไหร่

   "ไปดูเอง"

   เห็นภาพโดยรวมเลยไม่ถามอะไรเพิ่มเติมอีก ผมพยักหน้าคืนให้เป็นการตกลงแล้วถึงก้มลงไปให้ความสนใจกับโจทย์ไดนามิคตรงหน้าต่อ แต่ว่ามันกลับไม่เข้าหัวเลย

   ไม่ใช่คนเซนต์ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าในหลายๆ ครั้งความรู้สึกของตัวเองกับสิ่งที่จะต้องเจอมันค่อนข้างไปในทางเดียวกันมากเหลือเกิน การที่โดนเรียกให้เข้าไปช่วยเร็วอย่างนี้มันบอกอะไรได้หลายๆ อย่าง...

   ในเวลาไม่กี่พริบตาก็ถึงเวลาที่ผมได้ตกลงเอาไว้ เสียงชายหนุ่มที่ตะโกน...ไม่สิ ตะคอกออกมาจนก้องโรงยิมที่แปรสภาพกลายเป็นสถานที่ทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ผิดวัตถุประสงค์ไปเยอะอยู่

   "บอกแล้วนะ ได้แค่ไหนแค่นั้น"
   
   หันไปทวนข้อตกลงที่ให้ไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะรับหน้าที่มาตามคำขอร้อง เพื่อนชายคนสนิทของผมรีบตอบรับเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้

   "เออ เอายังไงก็ได้ให้ปีสามปีสี่ไม่ลงมาแดกหัวพวกเราอะ ไม่อย่างนั้นที่เราตั้งใจจะปฏิวัติแม่งล่มเลยนะมึง"

   ดูจากรูปการณ์แล้วคงพอเดาได้ใช่ไหมล่ะว่าผมกำลังจะทำอะไรต่อไป แต่ขอบอกไว้ตรงนี้ก่อนว่าผมไม่เคยเรียกตัวเองว่าว้ากเกอร์ พี่ว้าก หรือจะพี่ระเบียบก็ตาม ผมเป็นเพียง 'นักแสดง' ที่ต้องเล่นไปตามบทบาทของตัวเองก็เท่านั้น

   "แล้วจะให้กูเข้าไปเมื่อไหร่" จนถึงตอนนี้ผมก็ยังได้ยินเสียงของคนพวกนั้นไม่จบไม่สิ้น

   "แล้วแต่มึงเลย กูบอกพวกมันไว้แล้ว"
   
   พอได้รับคำอนุญาตให้ทำอะไรก็ได้แล้วผมเลยค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มของพี่ปีสองที่ทำหน้าที่อื่นๆ แฝงตัวเพื่อดูสถานการณ์ว่าตอนนี้กำลังอยู่ในฟีลไหน

   ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าเหมือนเป็นภาพรีเพลย์ซ้ำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อปีที่แล้ว ต่างกันตรงที่จากเป็นเด็กน้อยนั่งรวมกันอยู่ตรงกลางสนามเป็นแถวระเบียบตอนนี้ผมก็กลายมาเป็นคนยืนมองบ้างแล้ว

   "เร็วจัง"

   "หืม?" ผมหันไปทางเพื่อนสาวคนหนึ่งในเอกที่ยังคงก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถือของตัวเองไม่มีพัก   

   "แต่ก็นะ..."

   "คนไหนอะ"

   ดูจากการถอนหายใจแล้วผมว่าก็หนักอยู่ เพื่อนคนเดิมกดปิดหน้าจอมือถือแล้วมองปราดเดียวไปทางกลุ่มเด็กปีหนึ่งพร้อมกับชี้นิ้วตรงไปยังจุดเยื้องไปข้างหลัง

   "คนเดียวที่ไม่ติดป้ายชื่อ"
   
   พอบอกอย่างนั้นเลยลดขอบเขตของการตามหาได้ง่ายขึ้นเยอะ ผมมองตามทิศทางที่ถูกกำหนด

   เด็กผู้ชาย...ดูจากยูนิฟอร์ม ผมตัดสั้นมีซอยประปรายตามสมัยนิยม ผิวขาวอย่างที่เห็นแล้วดูขัดตา ใบหน้านิ่งเรียบแต่คิ้วที่กำลังขมวดบอกว่ากำลังอดทนอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน

   "เล่าให้ฟังหน่อย"

   "ลองดูเอง"

   มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจไม่น้อยที่เพื่อนทั้งสองคนให้คำตอบในแบบเดียวกันคือผมต้องลองเจอด้วยตนเอง

   "มันแย่อย่างนั้นเลยเหรอ..."

   "ก็ยิ่งกว่าตอนที่ฟิวทำเมื่อปีที่แล้ว" เพื่อนสาวยกป้ายชื่อขึ้นพัด ในโรงยิมไม่มีเครื่องปรับอากาศหรือว่าพัดลมที่ช่วยระบายอากาศที่อบอ้าว "นิ่งกว่า...แต่เด็กกว่า"

   ผมไม่คุ้นหน้าของเด็กที่กำลังเป็นส่วนที่น่าหนักใจของการรับน้องในครั้งนี้ ทั้งที่เด็กที่โดดเด่นขนาดนี้ไม่มีทางที่ผมจะลืมลง อาจเป็นเพราะน้องเขาไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมอื่นที่จัดขึ้นก่อนหน้านี้ ท่านั่งขัดสมาธิหลังตรง ยกมือขึ้นมาปิดปากที่หาวหวอดแบบไม่เกรงใจใคร

   ...ไม่เห็นเหมือนผมสักหน่อย

   "เราไปก่อนนะ"

   "เดี๋ยวรอดู"

   เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมเห็นว่าประจวบเหมาะสำหรับการเข้าไปรับช่วงต่อ เก้าอี้พลาสติกที่ที่ถูกวางทิ้งไว้แถวนั้นตัวหนึ่งเลยถูกผมจับ ลากมันไปพร้อมกับออกเดินให้เสียงของแข็ง่ขูดไปกับพื้นสนามดึงความสนใจของทุกคนมาอยู่ที่ผมคนเดียว

   ถึงวลาเปิดม่านแสดงแล้ว

   "สตาฟออกไป"

   ใช้เสียงแบบที่เอาแค่พอให้ดังจนทั่วห้องก็พอแล้ว ไม่ต้องตะคอกหรือตะโกนให้เสียงหายเล่นๆ ผมไม่ได้เป็นคนเข้ามาตกลงเองแต่คิดว่าเพื่อนคงได้เตรียมการในส่วนนี้เอาไว้จนครบแล้ว เพราะอย่างนั้นการสั่งของผมเลยไม่ต้องมีการพูดซ้ำสอง ตอนนี้ในโรงยิมกว้างเลยมีแค่ผมกับเพื่อนที่เป็นผู้ดูแลอยู่เท่านั้น

   "สวัสดีครับ" ทักทายแทนการดึงความสนใจทั้งหมดให้มาอยู่ที่ผมคนเดียว "คุณไม่ต้องรู้หรอกว่าผมเป็นใคร วันนี้ผมแค่แวะมาถามอะไรนิดหน่อย"
   
   ห้องกว้างมีแต่ความเงียบสงัด จะได้ยินก็เพียงเสียงของเครื่องยนต์ที่ผ่านหน้าตึกไปเท่านั้น

   "คุณคิดว่ากฎมีไว้ทำไมครับ" พอเห็นว่าคงไม่มีใครกล้าตอบผมเลยถามต่อ "มีใครอยากเป็นอาสาสมัครไหมครับ"

   คนตัวเล็กยกมือขึ้นแล้วลุกขึ้นตามทันที คนอย่างนี้รับมือยาก นัยน์ตาที่เห็นจากไกลๆ ฉายแววรู้ทันจนสิ้น เขารู้ว่าคำถามของผมต้องการเจาะจงไปที่ใคร

   "ไม่ได้ร้อนตัว แต่คิดว่าคงหมายถึงผม"

   "เชิญตอบครับ"

   "ไว้ปฏิบัติตาม...ตราบที่ไม่ได้ละเมิดสิทธิคนอื่น" ไม่มีหางเสียง ไม่ใช้เสียงอ่อน ทุกอย่างแข็งกระด้างจนผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงบอกให้ผมมาเจอด้วยตัวเอง "ในรัฐธรรมนูญก็มีเขียนไว้นะ"

   "งั้นสิ่งที่คุณทำตอนนี้คือการปฏิิบัติตามรึเปล่าครับ?"

   "แล้วสิ่งที่คุณทำคือการละเมิดสิทธิหรือเปล่าล่ะ"

   ยอกย้อนทุกคำ แล้วก็ไม่ใช่การเถียงแบบไร้เหตุผล เด็กแบบนี้น่าจะไปเรียนสายสังคมมากกว่าที่จะมีนั่งอยู่ในคณะวิทย์จ๋าอย่างนี้

   "เราขอความร่วมมือไปตั้งแต่แรกแล้ว ผมว่าเขาก็น่าจะบอกเรื่องที่ว่าถ้าไม่พอใจก็ให้แสดงเจตจำนงไม่เข้าร่วมได้นะ"

   หนึ่งในข้อเสนอของผมเอง ใครที่ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ ให้ส่งจดหมายมาได้เลยโดยไม่ต้องระบุเหตุผลมาด้วยซ้ำ เพราะอย่างนั้นคนที่อยู่ตอนนี้คือคนที่ยอมรับข้อตกลงมาแล้วทั้งนั้น

   "ข้อตกลงที่ไม่มีความแน่นอนพรรณนั้นน่ะเหรอ"

   "ถ้าไม่ทำตามก็แสดงว่ายินยอม" ผมควรจะจบการเตือนเพียงแค่นี้ ก่อนที่มันจะบานปลายไปมากกว่านี้ "ตกลงอะไรไว้ก็ช่วยทำตามด้วยนะครับ ไว้ผมจะเข้ามาตรวจใหม่"

   "คิดว่าใหญ่มากหรือไง ถึงอายุจะมากกว่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรก็ได้นะ"

   "แล้วอายุน้อยกว่าเลยจะทำอะไรก็ได้?"
   
   พอยืนเต็มความสูงก็ยิ่งเห็นชัดว่าเด็กอวดดีที่ยังจ้องตากับผมไม่ยอมลดละนั้นสูงเพียงแค่ช่วงริมฝีปากของผมเท่านั้นเอง ตัวเล็กอย่างนี้ไม่ชอบออกกำลังกายล่ะสิ

   "คุณชื่ออะไรครับ?"

   อีกฝ่ายเงียบ

   "ถ้าติดป้ายชื่อตามที่บอกก็ไม่ต้องมาถามอะไรอย่างนี้"

   "แล้วคุณชื่ออะไรล่ะ" ร้าย...ตั้งแต่การใช้คำที่ล้อเลียนไม่ต่างกัน

   "ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรู้ชื่อหรอก"
   
   หนึ่งสิ่งที่ยากสำหรับหน้าที่นี้คือการมีสติอยู่ตลอดเวลา ห้ามเปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายหาทางตีโต้กลับมาได้ ทุกคำพูดต้องได้รับการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว

   "แค่ชื่อตัวเองยังไม่รู้ แล้วยังมาถามคำถามคนอื่น"

   "รู้ กับ รู้แต่ไม่บอก ไม่เหมือนกัน" ต้องรีบจบให้มากที่สุด ถึงผมจะมั่นใจว่าพอที่จะรับมือเด็กอย่างนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ยิ่งนานก็จะแย่เสียเปล่าๆ "สรุปแล้ว ทำไมไม่ติดป้ายชื่อครับ"

   "ไม่ใช่หน้าที่"

   "งั้นก็ไม่ใช่หน้าที่ที่ผมต้องบอกเหมือนกัน"

   ผมยิ้มจางให้เด็กเอาแต่ใจที่อยู่ตรงหน้า จากที่คิดว่าต้องมาเจอกับอะไรที่น่าเบื่อกลับเป็นว่าผมเริ่มสนุกกับการได้อยู่ในบทบาทนี้

   เล่นกับเด็กก็น่าจะบันเทิงใจอยู่

   "ถ้าอยากรู้มากก็ตามหาเอาเอง"
 
┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨

   "ฟิว"

   "..."

   "ฟิว"

   'เน็ท' คือชื่อที่คนอื่นบอกผมมาเกี่ยวกับตัวปัญหาตอนนี้ เท่าที่ได้ข้อมูลมาก็เป็นที่รักของเพื่อนๆ เยอะอยู่เหมือนกัน เป็นจำพวกคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายไปทั่ว แต่บทจะเอาแต่ใจนี่ก็ไม่มีใครเกิน

   วันนี้เน็ทไม่ใส่ป้ายชื่ออย่างที่เป็นข้อกำหนดไว้อีกแล้ว สำหรับผมไม่ได้มีปัญหามากเท่าไหร่ อย่างน้อยเด็กอายุ 18 ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแล้วก็ควรที่จะมีสิทธิได้ทำอะไรอย่างที่ตัวเองต้องการบ้าง ไม่ใช่ว่าต้องมานั่งทำตามทำสั่งของพวกรุ่นพี่บ้าอำนาจไปทั่ว

   "รู้ชื่อแล้ว"

   เป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่พอตัว แล้วยังไม่ยอมคนง่ายๆ อีกต่างหาก ไม่อย่างนั้นเรื่องแค่นี้คงไม่ต้องถึงขนาดเดินมาบอกต่อหน้าก็ได้ นี่ล่ะมั้งที่เพื่อนเขาบอกว่ายังเด็กอยู่

   "อืม"

   "ฟิว"

   "...แม่งมากวนตีน"

   คำพูดของเพื่อนสนิทที่ขึ้นมาลอยๆ บอกให้ผมรีบปราบเอาไว้ก่อน ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่คิดว่ามันเป็นการกวนบาทาอะไร กลับมองว่ากำลังเล่นกับเด็กน้อยที่อายุไม่กี่ขวบต่างหาก หรืออาจเป็นเพราะว่าผมมีน้องที่ห่างกันเป็นสิบปีด้วยล่ะมั้ง จะว่าไปแล้วเน็ทที่ก็นิสัยเหมือนน้องผมอยู่เหมือนกันนะ ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ

   โรงอาหารที่เป็นลานโล่งไม่ได้มีลมพัดพาเข้ามามากเท่าไหร่ แต่มันก็พัดเด็กที่บอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรให้หายไปกับสายลมได้เช่นกัน อยากมาก็มา อยากไปก็ไป นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าลมเพลมพัด

   "เดี๋ยวกูตามไป ถ้ามีชีตเก็บให้ด้วย"

   มื้ออาหารที่จบไปรบกวนความรู้สึกของผมไม่น้อย พอลองล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายของตัวเองแล้วพบว่าไม่ได้เอาแท่งนิโคตินออกไปเลยคิดว่าไปหาเรื่องอัดสารพิษเข้าปอดให้อารมณ์ดีขึ้นเสียหน่อย

   ผมไม่ชอบสูบบุหรี่ ไม่มีความตั้งใจที่จะเลิกเพราะว่าไม่ได้คิดว่าตัวเองติดอะไรอยู่แล้ว มันเป็นเพียงส่วนช่วยให้อารมณ์แปรปรวนของตัวเองกลับมาเข้าที่เข้าทางได้เร็วขึ้นหน่อยก็เท่านั้นเอง

   "สูบทำไม ไม่ดี"

   คงเป็นลมชุดเดิมที่พัดเอาคนที่หายไปเมื่อครู่กลับมาพร้อมกับแก้วกาแฟในมือ ผมมองเด็กปีหนึ่งตัวปัญหานั่งแหมะลงตรงขอบปูนพลางดูดน้ำในแก้วไปด้วยโดยไม่ตอบอะไรกลับไป

   "เลิกเลยนะ ไม่ชอบ"

   บอกว่าไม่ชอบ แต่ก็มานั่งดมอยู่เป็นเพื่อน

   "ได้ยินไหมฟิว?"

   "..."

   "ฟิว"

   "เน็ท"
   
   ที่บ้านต้องเลี้ยงแบบปล่อยแค่ไหนนะเลยเป็นเด็กที่เอาแต่ใจได้ขนาดนี้ นี่คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชายที่ทำอะไรก็ได้ตามใจนึกหรือไง

   "ฟิว"

   "เน็ท"

   "เลิกสูบเดี๋ยวนี้เลยนะฟิว"

   ผมไม่โกรธนะที่เขาเรียกชื่อผมโดยไม่มีคำว่าพี่นำหน้า แล้วก็ไม่ได้รำคาญด้วยที่เขาเอาแต่สั่งอย่างนั้น กลายเป็นเรื่องที่น่าลุ้นต่อไปว่าถ้าผมไม่ยอมทำตามที่เขาสั่งแล้วคนเอาแต่ใจจะทำอย่างไรต่อ อย่างกับคนโรคจิตเลยเนอะผมเนี่ย

   "บอกให้เลิกไง!"

   แท่งนิโคตินที่ผมคาบไว้ตรงริมฝีปากถูกดึงออกไปกะทันหัน แล้วจากภาพสวนหญ้ารกทึบก็กลายเป็นใบหน้าไร้รอยตำหนิติดง้ำงอของเน็ทไปแทนเพราะผมต้องก้มลงมามองเด็กตัวเล็กกว่าไม่ต่างจากตอนที่อยู่ในห้องประชุมเชียร์ ผมเพิ่งสูบไปได้ไม่เท่าไหร่เอง เสียดายจัง เดี๋ยวนี้ภาษีบุหรี่แพงนะ

   คนประหลาดที่ไหนเขาดึงบุหรี่ออกจากปากของคนที่ไม่รู้จักกัน

   "รู้จักเรื่องสูบบุหรี่มือสองไหม"

   "รู้" เรื่องที่เขาว่ากันว่าคนที่ได้กลิ่นบุหรี่นี่อันตรายกว่าคนที่สูบอีก

   "งั้นก็ต้องหยุดสูบสิ"

   "ไม่มีเรียน?"

   หาเรื่องเปลี่ยนเรื่องคุย เวลานี้เด็กปีหนึ่งควรจะอยู่ในคาบเรียนวิชาบังคับ

   "เดี๋ยวไป"

   "ไปเดี๋ยวนี้"

   "ไม่เอา"

   โคตรดื้อ

   "งั้นไปล่ะ"

   "ห้าม!"

   คิ้วของผมเลิกขึ้นสูงตอนที่อีกฝ่ายสั่งออกมา ได้ข่าวว่าผมเพิ่งรู้จักน้องเขาได้แค่ไม่ถึงสองวันดี อะไรคือการที่มาเจ้ากี้เจ้าการอย่างกับเป็นเจ้าของชีวิตของผมนะ

   "ฟิว"

   เสียงสั้นติดห้วนแบบคนที่ถูกตามใจมาโดยตลอดยังคงเรียกชื่อผมอย่างไม่ลดละ อะไรจะชอบชื่อผมขนาดนั้น

   "อยากได้ชื่อจริงด้วย?"

   "เลิกสูบบุหรี่เลยนะ"

   "ตัวยุ่ง..." บ่นอุบกับตัวเอง

   "มันไม่ดี"

   "แล้วที่ทำตัวอย่างนี้คือดี?"

   เอาแต่ใจตัวเอง ไม่แคร์ใครหน้าไหนทั้งนั้น ผมไม่เข้าใจเด็กประเภทนี้เลย ขนาดพยายามดันกิจกรรมให้กลายเป็นเรื่องของความสมัครใจได้แล้วแท้ๆ ก็ต้องมาเจออย่างเน็ทอีก

   "ไม่ใช่เรื่องของนาย"

   "นี่ปอดผม นี่ปากผม นี่เรื่องของผมเหมือนกัน"

   ไม่รู้ทำไมผมถึงชอบเวลาที่ได้ย้อนกลับไปอย่างนี้ เวลาที่เห็นหน้าของเขาฉายแววไม่พอใจอยู่ในนั้นเต็มไปหมดแล้วยิ่งทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นไปอีก

   "นี่เรื่องของเน็ท!"

   กลับบ้านไปผมจะกอดน้องแรงๆ สักทีที่เป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทของผม จากที่เคยคิดว่าน้องตัวเองเอาแต่ใจมากแล้วมาเจอคนตัวเล็กกว่าที่ชื่อเน็ทแล้วเด็กทุกคนก็ดูน่าขึ้นมาเป็นสิบเท่า

   ผมเกือบหลุดขำออกมาตอนที่เขาแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นอย่างนั้น เรื่องของเน็ทอย่างนั้นเหรอ

   "งั้นมาแลกกันไหมล่ะ เลิกสูบให้ แต่ว่าต้องให้ความร่วมมือตลอดการรับน้อง"

   ยื่นข้อเสนอไปอย่างนั้นแหละ บอกแล้วว่าผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการเลิกสูบบุหรี่อยู่แล้ว ให้เลิกวินาทีนี้เลยก็ยังได้ เพียงแต่ว่าถ้ามีช่องว่างให้ตัวเองได้ประโยชน์ก็ต้องใช้มันให้คุ้มหน่อย เรื่องนี้เน็ทผิดเต็มๆ เลยนะ เพราะในสัญญาเขียนไว้ชัดอยู่แล้วว่าการยินยอมเข้าร่วมหมายความว่าต้องรับกิจกรรมให้ได้

   เน็ททำหน้าหงิก ไม่ต่างกับเด็กน้อยที่ไม่เคยเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้ เห็นเขากัดริมผีปากสีอ่อนของตัวเองเหมือนกำลังคิดหนัก

   "...ก็ได้"

   "ต้องทำตามให้ได้นะ" ร้องไชโยในใจ ผมยังทำหน้านิ่งขณะมองดูว่าเด็กปีหนึ่งจะทำอย่างไรต่อ

   "สัญญาเป็นสัญญา ถ้าไม่คิดจะทำอย่างที่พูดก็อย่าทำ"

   พิลึกคน สมัยนี้ยังมีคนที่ยึดมั่นในเรื่องนี้อีกด้วยเหรอ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเห็นคนพูดคำว่าสัญญาออกมาเป็นว่าเล่นจนกลายเป็นคำที่ไร้ความสำคัญไปแล้ว

   "แน่ใจ?"

   "เน็ทพูดแล้วไม่เคยคืนคำ!"

   "อืม ได้ยินอย่างนี้ก็ดี" แถวนั้นไม่มีใครอื่น ถึงเป็นอย่างนั้นก็อยากให้สัญญานี้เป็นความลับของเราสองคน ผมโน้มตัวลงไปจนใบหน้าของเราอยู่ในระดับเดียวกัน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของครีมแบบที่เด็กใช้ลอยเข้ามาปะทะจมูกจนคล้ายว่าผมกำลังอยู่กับเด็กไม่กี่ขวบจริงๆ

   กระซิบข้างหูย้ำคนที่บอกว่าพูดแล้วไม่คืนคำ "เพราะถ้าผิดสัญญาเมื่อไหร่ ผมจะลงโทษหนักเลยล่ะ"


***
   ได้เอาพี่ฟิวมาเปิดตัวสักทีค่ะ อยากจะทำตั้งแต่แต่งได้ไม่กี่ตอนกว่าจะได้มาจริงๆ ตอนพิเศษ (หัวเราะ) จากที่คิดว่าจะทำให้เป็นตอนเดียวจบดูท่าว่าน่าจะไม่ได้แล้วล่ะค่ะ อาจเป็นสองหรือสามตอนต้องดูตอนที่พิมพ์ว่ามันจะทะลุหน้าที่วางไว้หรือเปล่า น่าจะอัพสลับกับของพี่แบล็คไปมานะคะ พาร์ทหลังของพี่แบล็คน่าจะลงได้เป็นสัปดาห์หน้าค่ะ ขอดูงานระหว่างสัปดาห์ก่อนว่ามากแค่ไหน หรืออาจเจอกับตอนที่สองของเน็ทก็ได้นะคะถ้าแต่งพี่ไม่ออก (ฮา)
   #ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
«ตอบ #439 เมื่อ17-06-2016 22:51:01 »

ออกแนวแพ้ทาง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
« ตอบ #439 เมื่อ: 17-06-2016 22:51:01 »





ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
«ตอบ #440 เมื่อ19-06-2016 19:56:16 »

 :pig4: :3123:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
«ตอบ #441 เมื่อ20-06-2016 17:44:29 »

หึหึ รอดูคู่นี้

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
«ตอบ #442 เมื่อ20-06-2016 17:45:18 »

รอดูคูนี้

ออฟไลน์ แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-14
Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
«ตอบ #443 เมื่อ24-06-2016 13:25:16 »

อ่านจบแล้วหละ เอาสั้น ๆ เลยนะ "งง"

 :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
«ตอบ #444 เมื่อ25-06-2016 12:35:35 »


อุหวาาาาาา! นี่หรอพี่ "อนาคต" ><!?
ชอบที่เมมชื่อเน็ตว่า "ปัจจุบัน" อิอิ
ฉากเจอกันครั้งแรกนี่สุดๆจริงๆ

ออฟไลน์ zaalim

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's (ฟิวเน็ท) [17.06.16]
«ตอบ #445 เมื่อ26-06-2016 21:59:38 »

อ่านทันแล้ว..... โอยยยยย ขอสารภาพเลยว่าเฟบเรื่องนี้ไว้นานแล้วเพิ่งมาอ่าน  :z3:
เป็นนิยายที่ใช้ภาษาดีอีกเรื่องนึงสำหรับเราเลยนะ...  สนุกมากๆ พออ่านแล้วก็วางไม่ลงกันเลยทีเดียว แต่ละตัวละครในเรื่องก็มีปมชวนให้น่าติดตาม... มารู้ตัวอีกทีก็อ่านจบซะแล้ว...  :hao7:

ส่วนตอนของสิปป์กับนิชนี่ยังแอบอยากเห็นน้ำโดนปีศาจของเราเล่นหนักๆสักทีนึงนะ หมั่นไส้!! 5555 แต่ตอนนี้อยากรู้เรื่องของพี่อนาคตกับน้องปัจจุบันแล้วค่ะ มาต่อไวๆนะคะ ขอบคุณค่าาาา   :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's 2 (ฟิวเน็ท) [01.07.16]
«ตอบ #446 เมื่อ01-07-2016 21:15:37 »

NET's [ฟิว-เน็ท]

(2)

   ผมเพิ่งรู้ว่าคำพูดมันมีความหนักก็วันนี้

   แอบมองกิจกรรมจากด้านหลังสุดของสตาฟ เห็นว่าเจ้าเด็กที่เอ่ยปากต่อรองนั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยจนน่าประหลาดใจ กิจกรรมในวันนี้เป็นการสอนร้องเพลงคณะเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะมีการร้องโชว์รุ่นพี่ในวันพรุ่งนี้ เป็นการร้องเพลงตามประเพณีที่ไม่ได้บังคับว่าต้องร้องดังอะไร สอนไว้เผื่อไปบูมพี่วันรับปริญญาเท่านั้นแหละ

   "สงบ?"

   "อืม แต่ว่าก่อนฟิวเข้ามีปีสี่มาลองของ โดนเล่นไปแล้ว"

   เสียงที่เล่าเจือไปด้วยความสนุกสนาน ปีสี่รุ่นนี้ไม่ค่อยได้รับความเคารพจากรุ่นอื่นมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะจากรุ่นของผม ก็ปีก่อนเล่นมาพังเกือบทุกกิจกรรม อยากให้จบตอนไหนก็ทำ พอถามหาเหตุผลก็ตอบแบบข้างๆ คูๆ จนพวกผมรวมกลุ่มกันแบนกันไปเรียบร้อย

   "น่ากลัวจะโดนลับหลัง"

   "ใครจะเถียงทัน"

   "นั่นสิ" หัวเราะออกมาเบาๆ ตอนนึกถึงภาพเน็ทเถียงเสียงเจื้อยแจ้วเมื่อครั้งก่อน "งั้นเราไปล่ะ"

   "อย่าเพิ่ง มีเรื่องจะให้ช่วย"

   "อะไร?"

   "ป้ายชื่อ" แผ่นกระดาษมันที่ถูกแต่งด้วยลวดลายประหลาดพร้อมปากกาเมจิคหัวใหญ่ถูกยื่นมาให้ผม

   "จะให้เข้าไปเป็นพี่เนียนหรือไง"

   "เปล่า ฝากเอาไปให้น้องเน็ทหน่อย"

   "เรา?"

   "ก็นอกจากฟิวมีใครคุมอยู่อีกล่ะ" การกรอกตาไปมาบอกว่าคงไม่มีใครสู้เด็กตัวเล็กคนนั้นได้จริง

   ผมรับป้ายที่ยังคงไร้ชื่อเจ้าของมาไว้ในมือ มองไปที่เด็กคนนั้นว่าจะทำตัวดีอย่างที่บอกหรือเปล่า เน็ทไม่ถึงขั้นที่ว่าให้ความร่วมมือจนอยากปาดน้ำตาด้วยความประทับใจ อย่างน้อยก็เป็นที่พอใจได้ว่าจะไม่ทำอะไรที่เป็นการวุ่นวายกิจกรรมอื่นอีก

   "เน็ท มานี่หน่อย" พอเห็นว่าเด็กปีหนึ่งกระจายตัวกันไปพักเบรคตามอัธยาศัยผมเลยกวักมือเรียก

   "สัญญา!"

   นั่นคือคำทักทายในแบบของเน็ทสินะ

   "อืม เห็นแล้ว"

   "มาเช็คหน่อย" คนตัวเล็กกว่าทำจมูกฟุดฟิดแถมยังยื่นหน้ามาใกล้จนผมต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง "ฟิว อย่าหนีสิ จะเช็คว่ามีรักษาสัญญาไว้รึเปล่า"

   "ไม่ได้สูบเลย"

   ก็บอกว่าว่าผมไม่ได้ติดสารพิษที่อยู่ในนั้นมากเท่าไหร่ ตั้งแต่วันที่สัญญาไปแล้วซองบุหรี่นั้นก็ถูกโยนทิ้งลงไปในถังขยะอันตรายไปแล้ว

   "งั้นก็อย่าหนี ให้พิสูจน์ก่อน"

   "ไม่เชื่อหรือไง"

   "ไม่"

   คำว่า 'ไม่' คำเดียวถูกใช้ในหลายบริบทจนผมแปลกใจ

   "งั้นก็เต็มที่เลยครับท่าน"

   "หึ"

   นี่ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าผมเรียกแบบประชดน่ะ เน็ทกระตุกมุมปากขึ้นชั่วขณะแล้วเปลี่ยนจากน้องเฟรชชี่ปีหนึ่งเป็นนักสืบที่ตามหาร่องรอยที่ต้องการไม่ยอมหยุด เขาเล่นวนรอบตัวผมเป็นวงกลมอย่างกับเป็นช่างเสื้อที่กำลังวัดตัวลูกค้าอยู่ เห็นแล้วเวียนหัวแทน

   "ดีมาก"

   "บอกแล้วไม่เชื่อ"

   "มึงมันไม่น่าไว้ใจ"

   พอใจดีด้วยชักเอาใหญ่ มาขึ้นมึงกูใส่เสียแล้ว เน็ทนี่ไม่เคยโดนใครหมั่นไส้หรือดักตีหัวบ้างหรือไงนะ ผมว่าถ้าลองสลับจากผมเป็นพี่คนอื่นดูสิ เน็ทไม่ได้มายืนสบายๆ อยู่ตรงนี้แน่

   "ให้" ยื่นงานที่โดนรับมอบหมายมาอีกคน "ไม่ต้องใส่ตลอดเวลาก็ได้ อย่างน้อยก็ตอนอยู่ในห้อง"

   "ทำไมต้องใส่"

   "แล้วทำไมถึงจะไม่ใส่"

   "ป่านนี้คนอื่นรู้ชื่อกูหมดแล้วมั้ง"

   เน็ทเป็นเด็กในบางมุม แต่อีกหลายมุมผมว่าเขามีเหตุผลที่มากกว่าใครหลายๆ คนในรุ่นเดียวกันมากเหลือเกิน อย่างเรื่องป้ายที่ที่เขาบอกกันว่าให้ใส่เพื่อเป็นการแนะนำตัวแบบที่ไม่ต้องคอยพูดตลอดเวลา แล้วถ้ารู้จักแล้วก็ไม่ต้องใส่อย่างนั้นใช่หรือเปล่า เป็นหน้าที่ของคนที่เด็กกว่าจริงเหรอที่ต้องคอยนำเสนอตัวเองให้คนอื่นรู้จัก

   ผมว่าเป็นสิ่งดีที่เราจะตั้งคำถามต่อแนวทางการปฏิบัติที่ดูโบราณไร้เหตุผลมารองรับ

   "ถึงกูจะไม่ได้อยากรู้จักใครก็เถอะ"

   "แล้ววันนั้นมาทักผมทำไม"

   "ไม่ได้ทัก แค่ไปบอกว่ารู้ชื่อแล้ว"

   จะเรียกว่ามันเป็นการเถียงก็พูดได้ไม่เต็มปาก ในเมื่อวันนั้นสิ่งที่เน็ททำมันคือการเรียกชื่อของผมซ้ำอยู่อย่างนั้นไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม "มึงเป็นเดือนคณะเหรอฟิว ทำไมคนถึงรู้จักมึงเยอะ"

   "เปล่า" ปฏิเสธไปตามจริง ผมไม่ได้เป็นเดือนคณะ หรือว่าทำงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับงานออกหน้าพวกนี้ "ก็คณะไม่ได้ใหญ่ ผมก็รู้จักเกือบหมด"

   "กูว่าคณะนี้ใหญ่ฉิบหาย"

   ยักไหล่ขึ้นแบบไม่ใส่ใจ "แล้วแต่จะคิด"
   
   "เออนั่นแหละ สรุปคือกูไม่เอา"

   "เน็ท" เรียกชื่อห้วนๆ เหมือนเวลาที่กำลังดุน้องที่บ้าน

   "ฟิว"

   ดันลืมไปว่าที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่น้องที่ห่างกับเป็นสิบปีคนนั้นสักหน่อย ผมถอนหายใจออกมาต่อหน้าเด็กที่ทำตัวกวนบาทาไม่มีลดราวาศอก คิดแล้วก็ไม่น่าพาตัวเองเข้ามาอยู่ตำแหน่งนี้เลย อยู่เงียบๆ คนเดียวของผมก็ดีแล้ว

   "ไหนบอกว่าจะให้ความร่วมมือไง"

   "ให้แล้ว นี่ไม่เกี่ยว"

   "เอาที่จริงก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือเท่าไหร่เลยนะ"

   เดี๋ยวผมจะไปขอพาราฝ่ายพยาบาลไว้ติดตัวสักแผง ให้ตายสิพับผ่า ถึงเด็กผิวขาวที่อยู่ตรงหน้าจะไม่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์อะไรใส่รุ่นพี่แต่กับรุ่นเดียวกันแล้วเขาก็ยังหลีกตัวออกมาห่างอยู่พอสมควร จะเรียกว่าเป็นโชคดีของตัวเขาเองรึเปล่าก็ไม่รู้ที่ไม่ค่อยมีใครไม่พอใจกับการแสดงออกอย่างนั้นของเน็ทมากเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเราเป็นเด็กที่ใกล้จะหมดช่วงวัยรุ่นกันแล้วด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ เป็นผู้ใหญ่พอที่จะรู้จักการเคารพความแตกต่างของคนในสังคม

   "ให้เยอะแล้ว"

   "ถ้าไม่อยากใส่คอก็ห้อยกับกางเกงก็ได้"

   "ไม่เอา ไม่รับ หายไม่รับผิดชอบ"

   "ผมให้เลยนะ"

   ไม่ต่างอะไรกับการต่อรองให้เด็กยอมกินผักเลย "กลัวหายเดี๋ยวเลิกแล้วจะเก็บไว้ให้ อีกวันค่อยมาเอา"

   "..."

   "อย่างนั้นโอเคไหมล่ะ"

   มองคนตรงหน้าทำท่าครุ่นคิดไม่ต่างจากจากตอนที่ผมยื่นข้อเสนอแรกให้ เน็ทนี่เป็นพวกเก็บสีหน้าไม่เก่งเลยนะ อย่างตอนนี้ก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจนรู้ว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ผมมองไปเพลินๆ กว่าสติจะกลับมาครบก็ตอนที่ได้ยินแค่ส่วนท้ายประโยค

   "...ยนสิ"

   "อะไรนะ?"

   "ให้ก็เขียนชื่อสิ"

   ผมยิ้มออกมาได้หน่อยพอเห็นว่าเน็ทยอมอ่อนลงให้อย่างนั้น เปิดฝาปากกาเตรียมเขียนชื่อลงไป ต้องใช้วิธีเดียวกับตอนเลี้ยงน้องเลยแฮะ

   "ชื่อเขียนยังไง?"

   "มึงไม่รู้เหรอว่าชื่อกูสะกดยังไงอะฟิว"

   อ้าว แล้วไหงการที่ผมไม่รู้มันกลายเป็นความผิดของผมไปได้ล่ะ "ไม่รู้ บอกมา"

   "กากสัตว์ เอ นอ ไม้แปด ทอทหาร"

   ลากเส้นให้กลายเป็นตัวอักษรตามคำบอกเขา แต่พอได้ยินคำว่าไม้แปดแล้วก็ขำจนเขียนต่อไม่จบ เน็ทไม่ได้เหมือนเด็ก แต่เน็ทยังเป็นเด็กอยู่อย่างที่ผมบอกเลย มีใครเขาเรียกสระเอะว่าไม้แปดบ้างถ้าไม่ใช่เด็กอายุไม่กี่ขวบที่เพิ่งหัดเขียนน่ะ น้องของผมยังไม่เคยเรียกอย่างนั้นเลยนะ

   "ชื่อกูน่าขำเหรอฟิว"

   "ก็เปล่า" ฝืนตัวเองให้เขียนตัวสุดท้ายลงไปให้เสร็จแบบที่ลายเส้นไม่โย้เย้จากการกลั้นขำ "เอาไป เดี๋ยวเลิกแล้วถ้าจะฝากก็เอามาไว้ที่ผมได้"

   "เมื่อกี้มึงขำอะไร"

   ไม่ยอมรับของที่ผมยื่นไปให้แถมยังทำหน้าบูดพร้อมจะงอแงได้ตลอดเวลาอีก จากที่เคยคิดว่าการมีน้องอายุห่างกันมากพอสมควรเป็นเรื่องที่น่าเศร้าตอนนี้ผมกลับขอบคุณเหลือเกินที่ตัวเองมีประสบการณ์การรับมือกับเด็กมากอยู่พอสมควร อย่างตอนนี้ผมก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองควรทำต่อไปคืออะไร

   "อยากขำก็ขำ"

   "มึงเป็นคนบ้าหรือไง"

   "เขาเรียกยังมีความรู้สึก" เสียงเรียกรวมผ่านไมค์ดังขึ้นมาพอดี ผมเลยได้โอกาสที่จะยุติการพูดคุยที่ดูท่าแล้วจะไม่ยอมจบง่ายๆ "กลับไปเข้ากลุ่มได้แล้ว"

   "มึงแม่งเหี้ย กูยังรู้ชื่อมึงเลยทำไมมึงไม่รู้ชื่อกู"

   โดนเด็กด่าอีกครับ ผมแก้มัดปมเชือกให้เข้าที่แล้วคล้องมันลงไปที่คอของคนที่ยังไม่ยอมหยุดปากสักที

   "รู้ แต่ว่าเน็ทมันสะกดได้หลายอย่างนี่"

   "มึงแม่ง" เน็ทยกมือขึ้นเหมือนจะยีหัวตัวเองด้วยความไม่พอใจ แล้วกลายเป็นว่าฟาดตรงแขนผมเสียงดัง

   "เน็ท..."

   เอาเข้าไป อยากจะทำอะไรก็ทำเกินไปไหมล่ะ อยู่ดีๆ ก็ตีลงมาแบบเต็มแรงจนผมรู้สึกว่าแขนตัวเองเจ็บชาๆ เลย นึกว่าตัวเล็กแล้วก็ดูบอบบางอย่างนั้นจะไม่ค่อยมีแรงเสียอีก ฟาดลงมาทีมีตกใจเลยนะเนี่ย

   "บาย!"

   ยังไม่ทันได้ดุอะไรที่ทำอย่างนี้เน็ทก็สะบัดหน้าหนี หมุนตัวกลับไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนร่วมรุ่นเสียแล้ว ผมส่ายหน้าเอือมระอาอยู่คนเดียว มองเด็กอารมณ์แปรปรวนกลับเข้าไปอยู่ในกลุ่มเพื่อน มีอยู่สองสามคนที่เข้าไปใกล้ และหนึ่งในนั้นทำท่าเหมือนจะหยิบเครื่องประดับใหม่ที่คล้องคออยู่ขึ้นมาดู เลยโดนฟาดมือไปเต็มแรงไม่ต่างจากที่ผมโดนเมื่อกี้

   ไม่รู้ว่าผมหูดีไปเองหรือว่าเน็ทพูดเสียงดัง ผมเลยได้ยินชัดว่าเขาพูดอะไรต่อจากนั้น

   "อย่ายุ่งกับของเน็ท!"

   ไหนเมื่อกี้ยังบอกว่าไม่อยากได้อยู่เลย


┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨



   "อ้าว น้องเน็ทมีเพื่อนด้วยเหรอ"

   ชื่อของเด็กที่เป็นมากกว่าตัวปัญหาโผล่ขึ้นมาระหว่างที่เรากำลังนั่งรออาหารในร้านกลางห้าง ที่พูดออกมาคะนองปากอย่างนั้นก็เพราะว่าเน็ทเองยังคงขยันทำตัวกวนรุ่นพี่อย่างไม่หยุดยั้ง วันก่อนที่พี่ปีสามเข้าคนตัวเล็กแต่ใจใหญ่ก็เหวี่ยงเอาทุกอย่างล่มลงไปเป็นหน้ากอง ส่วนพวกผมที่ตกลงกับพวกพี่เอาไว้แล้วว่าไม่เอาระบบนี้เลยสบายหน่อยเพราะว่าไม่โดนสั่งซ่อมอะไรทั้งนั้น

   "มึงควรเลิกปากหมาได้แล้วนะ"

   "อะไรวะฟิว ปกติกูก็แซวไปทั่วอยู่แล้ว"

   ใช่ เพื่อนของผมคนนี้เป็นพวกปากไวแต่มือไม่ได้ไวตาม หลายครั้งที่เขาเกือบจะมีเรื่องกับคนอื่นเพราะปากไม่มีหูรูดของตัวเอง ยังดีที่ความกะล่อนเลยพาให้มาอยู่ถึงตอนนี้ได้

   "เออน่า"

   "หึ ทำอย่างกับพวกกูไม่รู้อะ มองน้องแบบแทบจะแดกเข้าไปล่ะ"

   "ไม่ใช่อย่างนั้น"

   สิ่งที่เน็ททำผมไม่ได้มองว่ามันถูก แต่มันก็ไม่ผิด แล้วมันคงจะไม่ดีเท่าไหร่ถ้าเสรีภาพของน้องต้องโดนจำกัดด้วยทัศนคติของคน ถ้าตราบใดมันยังไม่ได้เป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับกันในสังคมเราควรจะเคารพความแตกต่างของแต่ละคนให้ได้ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ

   สิ่งที่ผมทำก็แค่ปกป้องให้เขายังอยู่ต่อไปในสังคมได้โดยไม่ถูกบีบบังคับจากโลกภายนอกก็เท่านั้นเอง

   "มีเพื่อนหลายคนอยู่นี่"

   ที่เห็นเดินอยู่ด้วยกันก็สี่คนแล้ว ผู้ชายทั้งหมดแล้วก็ไม่คุ้นหน้าเลยสักคน คงไม่ได้อยู่คณะนี้

   "มีดิ กลุ่มนี้น้องกูบอกว่าตอนแม่งอยู่มัธยมโคตรดัง"

   "ไหนเล่า"

   "เน็ทเหรอ ก็มีแต่คนบอกว่าเอาแต่ใจอะ"

   นั่นผมรู้อยู่แล้วจากที่เจอมากับตัว ก็อย่างตอนนี้ที่ทั้งสี่คนยืนอยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นสีส้มแต่เน็ทก็ชี้ไปทางร้านสเต็กที่อยู่ถัดออกไปสองสามล็อค แล้วพนันได้เลยว่าต้องไปจบตามความต้องการของเน็ทแหง จอมเอาแต่ใจอย่างนั้นไม่ยอมลดละความต้องการของตัวเองหรอก

   เห็นไหมล่ะ เดินออกจากร้านแล้ว

   "เข้าใจเลย"

   "แล้วมึงอะฟิว คนนี้จริงจัง?"
   
   "จริงจัง?"

   ผมหันกลับมาทวนคำถามอีกครั้งหลังจากที่แผ่นหลังเล็กๆ นั้นหายเข้าไปในร้านสเต็กสีขาวแล้ว

   "สัตว์ เอาจริงเหรอมึง"

   "เอาใหม่ เมื่อกี้กูไม่ได้ฟังว่ามึงพูดอะไร"

   "เหยดโด้ คนอย่างฟิวแม่งเหม่อเป็นเหรอวะ"

   "เข้าเรื่องได้หรือยัง?"

   กดเสียงในต่ำลงเพื่อบอกว่าไม่ให้ล้อเล่นอีกต่อไป เพราะผมชอบเปิดโหมดดุอย่างนี้ออกมาไม่รู้ตัวบ่อยๆ เพื่อนเลยสนับสนุนให้ผมเป็นไพ่ตายในกิจกรรมห้องเชียร์ไงล่ะ เมื่อตอนปีหนึ่งเคยมีคาบที่ต้องซักถามเป็นคะแนนการมีส่วนร่วม ผมว่าตัวเองก็ถามแบบปกติไปนะ แต่ว่าคนพรีเซนต์น้ำตาคลอเลย

   "ดุอีก คิดว่ากลัวเหรอไง"

   "นับหนึ่ง..."

   "โว้ย อะไรจะขนาดนั้นวะ เมื่อกี้กูพูดว่า มึงจริงจังเรื่องเน็ทเหรอ"

   "หมายถึง"

   ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำว่าจริงจัง เขาหมายถึงที่ผมคาดโทษเอาไว้ตอนอยู่ห้องเชียร์อย่างนั้นเหรอ พวกเขาก็น่าจะรู้ว่าผมพูดเล่นไปอย่างนั้นเอง

   "เรื่องเน็ท"

   สายตายังคงจับจ้องไปยังทางเข้าร้านอาหารที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แม้ร่างของคนที่เป็นหัวข้อในการสนทนาจะหายลับเข้าไปแล้วผมกลับไม่ยอมละสายตาไปไหน เด็กที่มีนิสัยเอาแต่ใจอย่างนั้นจะชอบกินอาหารแบบไหนนะ จะเป็นพวกไม่เผ็ดอย่างที่น้องของผมชอบทานรึเปล่า

   จงทำมากกว่าพูด ผมทำอย่างนั้นมาตลอด ตอนที่เข้าปีหนึ่งมาผมอาจจะดูอาการหนักกว่าเน็ทอีกนะ ผมไม่ชอบพูดมาก แล้วก็พาลดูเป็นคนไม่ให้ความร่วมมือไปเสียอย่างนั้น

   "กูไม่ชอบคนพูดมาก"

   "จ้าาา พ่อคนไม่พูดมาก คิดว่าพวกกูไม่รู้หรือไงที่พี่ปีสี่่ยกพวกจะมารุมเน็ทแล้วมึงไปขู่จนไม่มีใครกล้ามาอะ"

   "แค่ทำหน้าที่ของรุ่นพี่"

   เป็นเรื่องตลกดีที่คนมีการศึกษาผู้ซึ่งกำลังจะได้รับใบปริญญาบัตรในอีกไม่ถึงปีข้างหน้ากลับเลือกใช้วิธีการใช้กำลังในการแก้ไขปัญหา ผมไม่ได้ทำอะไรขนาดนั้นอย่างที่เพื่อนกำลังบอก ก็แค่ไปเตือนเรื่องข้อตกลงอะไรบางอย่างที่เราได้ทำกันไว้ตั้งแต่ก่อนมีการรับน้องขึ้น

   ไปย้ำว่าเรื่องบางเรื่องที่ผมเก็บไว้อาจทำให้พวกเขาไม่จบง่ายๆ

   "ออกโรงปกป้องนอกหน้าเกินไปไหมล่ะ"

   "ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เน็ทกูก็ทำแบบเดิม"   

   หน้าที่ของรุ่นพี่คือต้องปกป้องคนที่เด็กกว่าไม่ใช่หรือไง

   "แต่ถ้าเป็นคนอื่นมึงก็ไม่ถึงกับต้องขู่ขนาดนั้นป่ะวะ"

   "ก็ทุกอย่างมันพอดี ถ้าเป็นกลุ่มอื่นที่กูไม่ได้มีคดีของเขาเก็บไว้ก็ต้องใช้วิธีอื่น"

   อธิบายพลางแสดงอาการเหนื่อยหน่ายเต็มประดา ตอนนี้ทุกคนไม่มีใครสนใจอาหารจำนวนมากที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเลยสักนิด สายตาระยิบระยับอย่างคนอยากรู้อยากเห็นปิดไม่มิด เรื่องของคนอื่นล่ะอยากรู้ไปหมด

   "ว่าไง สรุปจริงจัง?"

   "แล้วแต่มึงคิด"

   ตัดบทให้จบลงเอาดื้อๆ เราควรจะเข้าใจกันได้โดนสามัญสำนึกไม่ใช่หรือไงว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องที่ถามได้ เรื่องไหนที่ไม่ควรถามน่ะ ผมหยิบตะเกียบที่วางไว้ข้างชามใบโตขึ้นมาเตรียมทานราเมงที่เริ่มออกอาการบวมน้ำแล้ว ปล่อยให้เสียงต่อมาผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาไปอย่างไม่คิดจะสนใจอีก

   "ถ้าให้กูคิดนะครับคุณมึง คุณมึงกำลังติดกับดักเข้าอย่างจังเลย!"


┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨


   "สวัสดีค่าาา"

   เสียงใสของเหล่าเด็กปีหนึ่งดังระงมจนจับต้นทางไม่ถูก ผมนั่งเล่นอยู่ตรงอัศจรรย์ขนาดยาวที่ตั้งไว้ตามริมสนาม เหล่าเพื่อนทั้งหลายพร้อมใจไปรวมตัวกันอยู่ตรงด้านล่างของตึก บอกว่าจะตั้งด่านพิเศษขึ้นให้เด็กปีหนึ่งได้เข้าไปร่วมเล่น แต่ผมขี้เกียจไปปั้นหน้าเฮฮาอะไรกับคนอื่นเขาเลยหนีขึ้นมามองจากด้านบนดีกว่า

   "ฟิว!"

   "ว่า?" มีอยู่เสียงเดียวที่เรียกผมอย่างนั้น มองคนผิวขาวที่ตะโกนเรียกชื่อจากด้านล่างของที่นั่ง หน้าง้ำงอที่มาตัวเปล่าต่างจากน้องคนที่อื่นมีหนังสือเล่มเล็กไว้สำหรับติดตัว

   "เซนต์"

   วันนี้เป็นกิจกรรมที่เรียกกันว่าล่าลายเซนต์ ที่จริงผมอยากเรียกมันว่าวอล์กเรลลี่ที่มีจำนวนฐานแบบมหาศาลมากกว่า เพราะเราต้องการจะเปลี่ยนแปลงทุกกิจกรรมที่มีปัญหาสืบเนื่องและเรื้อรัง จนมาจบที่ว่าเราจะยังคงมีกิจกรรมนี้เพื่อให้ปีหนึ่งได้รู้จักกับปีอื่นๆ มากขึ้น แต่ว่าขอบเขตของการแลกเปลี่ยนนั้นห้ามเกินเลยเด็ดขาด ถ้าคิดว่าไม่โอเคมีสิทธิ์ที่จะบอกรุ่นพี่ได้ ถ้ามีใครแหกกฎที่ตกลงกันกิจกรรมรับน้องนี้จะจบลงทันที

   กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้คนที่มีอายุมากกว่าเข้าใจได้ก็เหนื่อยไปหลายเดือน ตลกดีที่คนมีอายุมากกว่าควรจะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าจนรู้ว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ควรทำไม่ใช่หรือไง

   "ผม?" การเรียกที่ห่างเหินคือข้อตกลงที่ผมวางไว้กับรุ่นตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ว่าผมไม่ยอมรับว่าเขาเป็นน้อง อาจเป็นผมที่คิดมากไปเองว่าการที่เราเรียกตัวเองว่าพี่มันคือการข่มตั้งแต่แรก เพราะอย่างนั้นผมก็จะแทนตัวเองไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนกว่าเด็กพวกนี้จะเรียกผมว่า 'พี่' ด้วยความเต็มใจ ไม่ต้องให้ใครบังคับ

   และเพราะตัวเองมีความคิดอะไรอย่างนั้นไงล่ะ เน็ทถึงเรียกผมแบบไม่มีคำว่าพี่นำหน้าจนถึงทุกวันนี้

   "อืม"

   "ไม่ไปหาคนอื่นล่ะ"

   "เขาบอกว่า ให้ฟิวเซนต์คนเดียว ห้ามให้คนอื่น"

   การที่เขายอมทำตามคำสั่งง่ายๆ อย่างนั้นเล่นเอาเครื่องหมายคำถามขึ้นเต็มหน้าผม

   "ไม่อย่างนั้นต้องได้สามสิบคน"

   "อ้อ" รู้เลยว่าทำไมถึงยอมเดินมาหาผมง่ายๆ คนพวกนั้นก็เข้าใจหาวิธีแก้ไขปัญหา แต่อย่างน้อยก็ช่วยมาเตี๊ยมกับผมหน่อยไหม "แล้ว..."

   "นี่ปากกา"

   เครื่องเขียนสีกรมท่าแท่งสวยถูกส่งมาให้ต่อจากนั้นทันที 

   "ของแลกเปลี่ยนล่ะ"

   "ปากกาก็ของกู ยังจะมาเรื่องมากอีก"

   "คำว่าแลกเปลี่ยน คือต้องมีการแลกเพื่อเปลี่ยนกันนะเน็ท"

   "งั้นจะให้ทำอะไรล่ะ" ถ้าได้ยินแต่เสียงก็คงคิดว่าเน็ทกำลังยอมอ่อนลงแล้วล่ะสิ บอกเลยว่าคนตัวเล็กตรงหน้าของผมตอนนี้กำลังขู่ฟ่อยิ่งกว่างูแผ่แม่เบี้ยที่มองไปมองมาก็เป็นแมวน้อยตัวเล็กที่กำลังตั้งท่าพร้อมสู้ได้เช่นกัน

   "ยังคิดไม่ออก" อยู่ดีๆ ให้มาคิดแบบกะทันหันอย่างนี้ใครจะคิดออกกัน ผมไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเข้ามาหาผมแล้วด้วยซ้ำ ตั้งใจว่าคงได้นั่งแกร่วอยู่คนเดียวคนถึงจบกิจกรรม

   "เห็นไหม คิดไม่ออกก็เซนต์ๆ ไปเถอะน่า"

   "บอกแล้วไงว่าต้องแลก"

   "ก็รีบคิดให้ออกสิ เบื่อจะแย่อยู่แล้ว"

   เจอฤทธิ์คนเอาแต่ใจมาก็หลายรอบ ปลอบตัวเองว่าอย่าไปใส่ใจมากก็ยังทำไม่ได้สักที จากที่เจอกันครั้งแรกแล้วเอาแต่ใจยังไงทุกวันนี้ก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ไม่คิดจะมีการพัฒนาบ้างเลยหรือไงกัน

   "ยิ่งเร่งยิ่งคิดไม่ออกนะเน็ท"

   "เร็ว"

   "งั้นนั่งเป็นเพื่อนหน่อย"


***
   ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's 2 (ฟิวเน็ท) [01.07.16]
«ตอบ #447 เมื่อ01-07-2016 21:20:49 »


   คิดอะไรไม่ออกจริงๆ ถึงบอกไปอย่างนั้น คือผมเองก็คิดไว้แล้วว่าจะต้องไม่มีใครเข้ามาขอลายเซนต์ของผมอยู่แล้วไง เลยขึ้นมานั่งมองกิจกรรมจากที่สูงเสียดีกว่า ได้เห็นว่าเพื่อนพี่น้องมาทำกิจกรรมร่วมกันอย่างที่คิดเอาไว้ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน

   เน็ทค่อยๆ ปีนบันไดที่ทำเป็นขั้นขึ้นมาจนถึงชั้นที่ผมนั่งอยู่ ผู้ชายในชุดเสื้อขาวที่ไม่ใช่เสื้อนักศึกษากับกางเกงยีนส์เข้ารูปนั่งแหมะลงข้างๆ ผมพลางสำทับว่าห้ามลืมเซนต์ชื่อให้

   "ขอเล่นหน่อยนะ"

   เรามีกฎเรื่องเครื่องมือสื่อสารชัด เด็กทุกคนจะถูกเก็บโทรศัพท์ก่อนเข้ากิจกรรมแล้วจะได้คืนตอนที่จบวันแล้วเท่านั้น เน็ทน่าจะไม่ต่างจากเด็กวัยเดียวกันคนอื่นๆ ที่เสพติดการมีอยู่ของโลกออนไลน์ถึงเอ่ยปากอย่างนั้น

   "เชิญ" ให้ไปแบบที่ไม่อิดออดอะไร ขี้เกียจเล่นตัวมากเดี๋ยวเน็ทโวยวายอีก อีกอย่างหนึ่งคือเครื่องผมค่อนข้างจะว่างเปล่าเมื่อเทียบกับความจุ 128 GB ดันเป็นพวกไม่ชอบถ่ายรูป ไม่ชอบเล่นเกมส์ แล้วยังไม่มีงานอดิเรกที่ต้องอยู่กับเครื่องมือสื่อสารอีก ทุกวันนี้มีไว้ให้คนอื่นช่วยโทรออกให้คุ้มกับโปรโมชั่นราคาแพงของแพคเกจการโทร

   "มึงมีลูกแล้วเหรอฟิว" หน้าจอโทรศัพท์ของผมตอนนี้เป็นรูปน้องสาวที่เคยเล่าว่าห่างกันเป็นสิบปีนั่นแหละ เอาโทรศัพท์คนอื่นเขาไปเล่นหน้าตาเฉยแล้วยังจะมากเรื่องอีกเนอะคนเรา

   แก้ความเข้าใจผิดด้วยเสียงเอือมระอา "น้อง..."

   "เหมือนมึงมากอะ"

   "ก็พ่อแม่เดียวกันไหมล่ะ"

   "ดีอะ กูเป็นลูกคนเดียว แต่ก็มีเพื่อนคนนึงที่เหมือนน้องอยู่เหมือนกัน ชื่อน้องโรม"

   "เด็กทุกคนก็น่ารักหมดแหละ"

   "ขี้อ้อนไหม กูอยากได้น้องที่เดินตามต้อยๆ แต่น้องโรมแม่งไม่เคยได้ดั่งใจเลย"

   ถ้าบอกว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ควรจะมีโมเมนท์เดินตามเป็นลูกเป็ดเดินตามแม่อยู่แล้วไหมล่ะ

   "ดื้อ" อยากจะต่อด้วยคำว่าเหมือนคนบางคนแถวนี้

   "เขาเรียกวัยต่อต้าน"

   "กูออกเฟสมึงนะ"

   อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะครับ...

   ผมมองเขากดปุ่มคำสั่งต่างๆ บนหน้าจออย่างคล่องแคล่ว เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีต่อมาหน้าวอลที่เคยเป็นของผมก็กลายเป็นคนของอีกคนอย่างรวดเร็ว เน็ทไม่ได้เลื่อนเปิดตรงหน้าโพสท์ล่าสุด เขากดไปยังกล่องชุดที่สองที่มีตัวเลขสีแดงเตือนขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เป็นพวกฮอตอยู่พอควรเลยล่ะสิ

   แล้วทำไมชื่อที่อยู่บนสุดถึงคุ้นตา

   "เน็ท" เรียกชื่อเขาด้วยเสียงที่กดให้ต่ำกว่าปกติ ผมไม่ได้มองเขาเล่นอยู่ตลอดเลยไม่รู้ว่าคนที่หยิบโทรศัพท์ของผมไปเล่นจะมือบอนได้อย่างนี้ มีอย่างที่ไหนเอาเฟสของผมไปกดเพิ่มเพื่อนหาตัวเองแล้วก็มากดรับต่อจากนั้นน่ะ "ควรจะถามผมก่อนนะว่าอยากทำอย่างนี้หรือเปล่า"

   "ทำไมต้องถาม ก็กูอยากทำ"

   "..."

   หมดคำพูดกับเด็กคนนี้จริงๆ ผมห่างกับเน็ทแค่ปีเดียวเองแต่ว่าความคิดตรรกะเรื่องพวกนี้เราห่างกันมากจนผมอยากจะลองเอาขวานมาจามแล้วแหวกศีรษะของอีกคนดูว่ามันถูกผสมด้วยอะไรบ้าง

   หลังจากที่กดรับผมเป็นเพื่อนแล้วเน็ทก็ตั้งหน้าตั้งตาตะลุยรื้อของที่อยู่บนหน้าวอลของผมอย่างเต็มกำลัง พอเจออะไรที่ถูกใจก็ยื่นส่งมาให้ผมดูอีก ไล่ลงไปได้ไม่นานนักก็เริ่มเป็นเรื่องราวของช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะว่ารูปที่เขากำลังให้ความสนใจอยู่ตอนนี้คือรูปของผมในชุดนักศึกษาที่ถูกถ่ายโดยกลุ่มช่างภาพคณะตอนวันแรกที่เข้ามาเหยียบที่นี่

   "ขี้เก๊กว่ะฟิว"

   "โดนถ่ายตอนเผลอ"

   "เฮอะ" ผมไม่รู้ว่าการทำเสียงขึ้นจมูกอย่างนั้นหมายถึงอะไร "ทำไมไม่เห็นมีรูปของน้องมึงเลย"

   "ก็ไม่เคยถ่ายลงเฟส"

   "ถ่ายมาให้บ้างสิ อยากเห็น"

   "ไปเจอเองไหมล่ะ" คิดภาพเด็กต่างวัยที่นิสัยไม่ค่อยห่างกันเท่าไหร่แล้วคงเป็นสงครามย่อมๆ อยู่เหมือนกัน "ไว้จะพามาหา"

   "ทำตัวเป็นพ่อลูกอ่อนกระเตงลูกมาเรียนด้วยไปได้"

   "เน็ท"

   ใบหน้าขาวซีดหันกลับมาทันทีที่ได้ยินผมเรียก "เรียกอยู่นั่น กลัวกูหายไปหรือไง"

   "อืม กลัว"

   "ตอแหล มึงยังเขียนชื่อเล่นกูไม่ได้เลยเถอะ"

   "ชื่อเล่นที่ใช้ไม้แปดน่ะเหรอ"

   "ฟิว!"

   "ให้เซนต์ชื่อตรงไหน?"

   วิธีการล่อให้เด็กหายโมโหที่ง่ายที่สุดคือให้ในสิ่งที่ต้องการ ผมถือวิสาสะหยิบปากกาที่หนีบอยู่ตรงกระเป๋าเสื้อของเน็ทมาไว้ในมือ ปลายด้ามมีตัวอักษรภาษาอังกฤษเรียงต่อกันจนเป็นชื่อที่ผมไม่ชัวร์ว่าจะอ่านถูกต้องหรือไม่

   "นัท...?"

   "ชื่อจริงกู นัทธิ"

   "ชื่อสวย"

   "ทีงี้ล่ะมาสน รีบๆ เขียนลงไปเลยฟิว"

   นิ้วเรียวสวยจิ้มมาตรงด้านหลังของป้ายชื่อที่มีลายมือของผมปรากฎอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว ผมพยักหน้าเออออไปตามเรื่องไม่ให้เน็ททำเสียงหงุดหงิดไปมากกว่านี้ ถ้าเขียนแค่ชื่อลงไปจะได้ไหมนะ หรือว่าต้องเขียนแบบเต็มยศเป็นการยืนยันว่าเป็นลายมือของผมจริง

   "คิดอะไรมากมาย ลืมชื่อตัวเองเหรอครับคุณอนาคต"
   
   หันขวับไปทางคนพูดมากที่ยังไม่ยอมหยุดปากง่ายๆ "รู้ชื่อจริง?"

   ตกใจไม่ใช่น้อยที่ชื่อของผมหลุดออกมาจากของเน็ท ชื่อจริงที่ไม่เคยมีใครกล้าล้อมาตั้งแต่เด็ก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงตั้งชื่อแบบนี้ อีกอย่างคือผมไม่ได้ใช้ชื่อจริงเป็นชื่อตัวแทนในเฟสบุ๊ค ไม่มีทางที่เน็ทจะรู้จากจุดนั้นได้อยู่แล้ว

   "ใครจะโง่แบบมึง"

   "นัทธิ" ข่มใจให้ไม่น็อตหลุดแล้วเริ่มสาธยายสิ่งที่ควรทำเมื่อคุยกับคนที่แก่กว่า "ถ้ายังไม่เลิกพูดอย่างนี้จะไม่เซนต์ให้นะ"

   "ฟิวแม่งโง่ เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้"

   "ให้โอกาสใหม่"

   "ฟิวโง่!"

   "เอาคืนไป"

   ยื่นป้ายชื่อที่ดูเหมือนว่าจะยับยู่มากขึ้นทุกครั้งที่กลับมาอยู่ในมือของผมคืนไป คว้าโทรศัพท์ที่อีกคนเลิกเล่นกลับมาไว้ในกระเป๋าของตัวเอง กระโดดลงจากอัทจรรย์ชั้นสูงลงไปครั้งเดียวถึง

   "อนาคต!!"

   ไม่สนใจเสียงเรียกของคนเอาแต่ใจ โบกมือไหวๆ บอกลา ยังไม่ทันจะก้าวออกไปก็ต้องเผลอร้องออกมาด้วยความตกใจตอนที่ตอนแรงปะทะจากด้านหลังจนเจ็บ ก้มลงมองเอวของตัวเองก็พบว่ามีแขนผอมแห้งกำลังรัดเอาไว้จนกลายเป็นเข็มขัดมนุษย์

   "ไม่ให้ไป!"

   "รู้จักการพูดอย่างอื่นที่ไม่ใช่การสั่งไหมเน็ท" ถอนหายใจเฮือกใหญ่แบบไม่ปิดบัง ผมหมุนตัวเองให้หันมาเผชิญหน้ากับคนตัวเล็กกว่าที่ยังไม่ยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ "ไม่ต้องกอดแน่นขนาดนี้ก็ได้ ไม่หายไปไหนหรอก"

   "เขียนชื่อลงไปเลยนะ สัญญาแล้วต้องทำตามสิ"

   ไม่คิดจะสนใจคำสอนของผมก่อนหน้านั้นเลยสินะ ผมนิ่งไปชั่วครู่ตอนที่นึกถึงคำที่เน็ทใช้ขึ้นมาได้ นี่มันเจ้าชายที่รักษาสัญญายิ่งกว่าอะไรดีนี่นา ชายผิวขาวที่สูงเพียงช่วงไหล่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้าไม่พอใจเต็มที่ คนอย่างเน็ทต้องเจอการแก้เผ็ดอย่างนี้บ้าง ไม่อย่างนั้นก็เอาแต่ทำเสียงโวยวายเอาแต่ใจอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

   "ไม่ เน็ททำตัวแย่ก่อน"

   "เรื่องนี้ไม่อยู่ในข้อตกลง"

   "อยากโดนทำโทษ?"

   "เน็ทไม่ได้ทำอะไรผิด!"

   ภาพที่ซ้อนทับกับชายที่อายุห่างจากผมปีกว่าคือน้องสาวร่วมสายเลือด ไม่ต่างอะไรในสาระสำคัญสักนิด ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด ต่อให้หลักฐานที่มัดตัวจะแน่นมากแค่ไหนก็พร้อมที่จะยืนกรานความคิดของตัวเอง

   "เรื่องที่เปิดเฟสผมยังไม่ได้เคลียร์เลยนะ"

   "โธ่เอ๊ย เรื่องขี้ปะติ๋วมากเลยฟิว"

   "มันเป็นเรื่องใหญ่ของผม"

   "เออ หวงมาก็อันเฟรนด์ไปเลยไป"

   "ได้" พูดขนาดนั้นผมก็จะทำให้ มือข้างที่ถือโทรศัพท์เอาไว้ถูกยกขึ้นมาอยู่ตรงระดับสายตาอย่างทุลักทุเลจากการที่ยังมีคนเกาะแกะไม่ยอมปล่อย "นี่ไม่ได้ทำอย่างอื่นอีกใช่ไหม"

   "..."

   "นอกจากเฟสแล้วทำอะไรกับเครื่องผมอีก?"

   จู่ๆ คนที่ทำเสียงดังไม่ยอมหยุดก็นิ่งจนกลัวใจ ผมเปิดหน้าแรกของเฟสบุ๊คค้างไว้อยู่อย่างนั้น ใช้แขนสะกิดช่วงตัวของอีกคนให้ตอบคำที่ผมถามไปเมื่อสักครู่ "จะได้ลบทีเดียว"

   "..."

   เสียงอุบอิบจนผมฟังไม่ถนัด "เน็ท...?"

   "ไม่ให้ลบ!"

   จากคำที่เอ่ยอยู่แค่ในลำคอกลายเป็นทะลุกลางปล้อง แรงตีจากแขนที่ไม่เข้ากับขนาดตัวสร้างความเจ็บปนแสบให้กับช่วงตัวของผมได้เป็นจำนวนมาก "ฟิวแม่ง! โง่ก็โง่! ยังมาทำอย่างนี้อีก!"

   ยังไม่ทันได้อ้าปากเถียงอะไรชุดคอมโบต่อมาก็เสิร์ฟแบบที่ไม่มีช่วงให้ผมได้หายใจหายคอ

   "เน็ทไม่ให้ก็ห้ามทำ เข้าใจไหม!"

   "นี่จอมเอาแต่ใจ" จนถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องยอมทิ้งความตั้งใจของตัวเองที่จะไม่สั่งสอนอะไรจนกว่าจะรับน้องเสร็จ "ผมไม่รู้หรอกนะว่าบ้านเลี้ยงมาแบบไหน แล้วผมก็ไม่เชื่อคำโบราณอย่างนั้นด้วย แต่อย่างน้อยมันก็ควรรู้ด้วยตัวเองหน่อยไหมว่าเรื่องไหนที่ควรทำไม่ควรทำ บอกเลยนะว่าที่ทำอยู่อย่างนี้มันไม่ได้เป็นตามสัญญาที่เน็ทให้กับผมเลย"

   "ก็มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย"

   "พอดีมันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม" ถ้าต้องอยู่นานกว่านี้ผมได้เปิดห้องเทศน์แน่ บางคนยิ่งอายุเยอะแล้วก็กลายเป็นเด็ก "ปล่อยมือด้วย จะไปแล้ว"

   "ห้ามไป"

   จะมีคำไหนที่ออกมาจากปากของเน็ทแบบที่ไม่เป็นคำสั่งบ้างไหมนะ   

   "ทำไมผมต้องทำตาม?"

   พูดออกไปแล้วก็อยากจะกลืนคำพูดตัวเองกลับอยู่เหมือนกัน ถ้าอยู่ในสภาพจิตใจปกติแล้วผมไม่มีทางพูดเสียงห้วนอย่างนั้นออกไปหรอก ยิ่งเป็นคนจำพวกที่ชอบทำตัวจริงจังประกอบท่าทางแล้วด้วย ผมรู้สึกได้ว่าเน็ทสะดุ้งโหยงแล้วยังขยุ้มชายเสื้อผมจนยับอีก

   "ตอบมาเร็วเน็ท"

   "ก็" คราวนี้เสียงของคนที่เคยมั่นใจในตัวเองเสมอกลายเป็นลังเล "ฟิวต้องทำตามสิ..."

   ถ้าน้องสาวผมรู้ว่าพี่ชายของตัวเองที่เคยประกาศตนไว้ชัดว่าจะไม่ยอมยกโทษให้กับคนที่ทำผิดกำลังใจอ่อนเพราะคำพูดไม่กี่คำแล้วล่ะก็คงหมดความน่าเชื่อถือ

   จะให้อธิบายเหตุผลก็คงทำไม่ได้ รู้แค่ว่าพอเป็นเน็ทแล้วทุกอย่างก็ดูมีข้อแม้ไปหมด สุดท้ายแล้วแม้ว่าคนที่ยังไม่ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระจะยังพูดอะไรตามใจตัวเองอยู่ดี บริเวณที่เราสองคนยืนอยู่อาจไม่ได้ห่างจากกลุ่มฐานอื่นมากเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสักคนที่คิดจะเดินโฉบเข้ามาหา

   จะว่าไปแล้วเน็ทกอดผมมานานแค่ไหนแล้วนะ...

   "อยากแก้ตัวไหม?"

   "เน็ทขอโทษ"

   "ก็แค่นั้น ถ้ารู้ตัวว่าผิดก็หัดพูดว่าขอโทษให้ติดปาก"

   เป็นคนจำพวกที่ชอบเผลอเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นสินะ เหมือนน้องสาวของผมเลย "งั้นจะให้รางวัลที่รู้จักขอโทษ"

   "เขียนเลย เอาทั้งชื่อจริงทั้งนามสกุล"

   "ครับๆ" เสียงเหมือนระอาเต็มทน น่าแปลกที่ผมเอาแต่ยิ้มตอนที่จรดปากกาลงไปตรงพื้นที่ว่างสีขาวด้านหลังของป้ายชื่อ
   
   "โอ๊ะ..."

   แย่ล่ะ

   ผมเขียนคำว่านัทธิลงไปตรงหน้านามสกุลผมนี่นา


┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨┠ ┨


   ถ้าจะให้นิยามง่ายๆ ก็คือความเน็ท

   ผมจะเมินผ่านเรื่องกฎการใช้ความต้องต่อด้วยคำกริยาไปแล้วกันนะ ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคิดเรื่องวิชาภาษาไทยสมัยมัธยมหรอก เน็ทไม่เหมือนกับอะไรทั้งนั้น เน็ทก็คือเน็ท ที่จะดีกับคนที่อยากดีด้วย ส่วนใครที่ไม่อยากจะรู้จักมักจี่ก็ปล่อยให้หายไปกับสายลม

   เด็กผิวขาวที่กลายเป็นคนดังในคณะไปแล้ว ทั้งจากวีรกรรมช่วงรับน้องที่มีเอามาให้เล่าอยู่เนืองๆ ได้ยินว่าหลายคนก็แอบปลื้มอยู่ไม่ใช่น้อย สิ่งหนึ่งที่ตรงจนน่าขนลุกของเน็ทคือความตรงต่อเวลา ถ้านัดกันเที่ยง เน็ทจะมาก่อนเวลาสิบห้านาทีทุกครั้ง บวกลบไม่เกินสองนาที จนผมเคยได้ข้าวฟรีจากการพนันกับเพื่อนมาแล้ว ผมเจอเขาบ้างในคณะ ไม่เคยมีการทักทายอย่างที่รุ่นน้องคนอื่นทำ ถ้าเป็นช่วงเวลาอื่นก็ไม่ค่อยได้นอกเวลาเท่าไหร่ ผมเองเป็นพวกที่พอจบคาบถ้าไม่มีอะไรต่อก็ดิ่งกลับไปนอนตายที่ห้องด้วย

   ผมไม่คิดว่าเราจำเป็นต้องทำตัวให้ดูดุอยู่ตลอดเวลา จริงอยู่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกอาจมีผลต่อความรู้สึก แต่ผมมีความเชื่อเรื่องภาพลักษณ์ที่ต่อให้ดูดีแค่ไหนก็ไม่ดีเท่าเนื้อในของตัวเอง เราสามารถทำให้คนอื่น 'เคารพ' เราได้โดยไม่จำเป็นต้องไว้หนวดไว้เคราหรือว่าทำตัวกร่างไปทั่ว

   เพราะอย่างนั้นผมเลยทำตัวปกติอย่างที่ทำมาตลอดเวลาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย เฮฮากับเพื่อนฝูงไปตามประสา รับไหว้เด็กที่เต็มใจไว้ แต่ก็ไม่ได้ไประรานพวกที่ไม่ยอมไหว้ อย่ามาไร้สาระน่า ขนาดผมเองยังเลือกไหว้เฉพาะคนที่อยากจะให้ความเคารพก็เท่านั้นเอง

   "ฟิว" ขนาดผ่านการรับน้องมาตั้งนานแล้วเขาก็ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนวิธีเรียกของผมเลย

   "เอาไป" ป้ายที่ชื่อผมต้องเก็บให้ตามที่ได้สัญญากันเอาไว้ ส่วนด้านหลังก็ยังมีลายมือของผมประดับอยู่ในนั้นไม่ถูกลบหรือว่าขีดฆ่า เป็นเรื่องที่น่าแปลก

   "ฝากของหน่อย" ของที่ว่าคือกระเป๋าสะพายข้างแบรนด์ดังที่เห็นใช้มาได้สักพักแล้ว

   "แล้วทำไมไม่รวมไว้กับคนอื่น"

   "ไม่ชอบ"

   พอสังเกตหลายๆ อย่างเข้าก็รู้เลยว่าเน็ทเป็นจำพวกขี้หวงขั้นหนัก กระเป๋าอะไรก็ไม่ยอมฝากไว้กับสตาฟอย่างที่คนอื่นเขาทำ สิ่งของชิ้นไหนที่เป็นของเน็ทจะถูกโยนมาให้ผมช่วยเก็บไว้ตลอด บ่นว่าไม่ไว้ใจสารพัด มีครั้งหนึ่งที่ผมไม่ได้เข้าเพราะโดนอาจารย์เรียกไปคุยเรื่องโปรเจค เพื่อนนี่โทรมาจิกแทบตายให้รีบกลับไปเข้า ไม่อย่างนั้นเน็ทจะระเบิดห้องได้อยู่แล้ว รายนั้นไม่ยอมให้ใครยุ่งกับของของตัวเองเลย ทำเป็นเด็กหวงตุ๊กตาไปได้

   "สร้อยด้วย"

   น่าแปลกที่คราวนี้เขายอมถอดสร้อยที่อยู่ติดคอตลอดมออกมาให้ผมเก็บไว้ด้วย ปกติแล้วต่อให้ต้องเก็บเครื่องประดับทุกชิ้นแค่ไหนเน็ทก็ไม่เคยยอมถอดมันออกเลยสักครั้ง

   "สวยดี ซื้อจากไหน"

   แท็กทหารที่มีตัวเลขเขียนไว้ มีน้ำหนักมาอยู่พอสมควร คงไม่ใช่งานโหลทั่วไปดูจากคุณภาพของสินค้าแล้ว

   "ของพ่อ พ่อให้มา"

   "เป็นทหาร?"

   "อืม ที่อเมริกา"

   ผิวปากหวือให้กับความรู้ใหม่ที่ได้รับ เพราะอย่างนี้เลยเป็นพวกที่ระเบียบจัดอยู่พอควรสินะ

   "ดูแลดีๆ อะ ถ้าหายโดนแน่"

   "ครับผม"

   ของชิ้นนี้คงมีความสำคัญมากกว่าชิ้นอื่นใด ตอนที่มันอยู่ในมือของผมแล้วเน็ทก็ยังเอื้อมมือมาแตะมันอีกครั้งจนผมอยากจะแซวว่าไม่ได้เอาไปจำนำเสียหน่อย นัยน์ตาสีอ่อนละมุนลงยามที่มองไปยังเครื่องเงินชิ้นนั้น

   "ชิ้นนี้สำคัญที่สุดเลยนะฟิว" เด็กขี้หวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อน "ไม่เคยถอดให้ใครเก็บไว้เลยนะ"
   
   ทุกอย่างเป็นของมีราคา แต่ไม่ใช่คนบ้าแบรนด์ ที่เห็นชัดก็คงเป็นรองเท้าที่เปลี่ยนแบบอยู่บ่อยๆ จนอดคิดไม่ได้ว่าต้องมีที่เก็บขนาดใหญ่มากแค่ไหน กลิ่นน้ำหอมแบบสปอร์ตไม่รู้ว่าของอะไร แต่ก็เหมาะกับเขาดี กลิ่นหอมสะอาดเหมือนความบริสุทธิ์ที่เน็ทมี

   "แล้วทำไมให้เก็บ?"

   "มึงแม่งโง่อะฟิว"

   คำอธิบายที่ผมไม่เข้าใจมากเท่าไหร่นัก เน็ทกลับหลังหันแล้วเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนโดยไม่หันมาทำตาขวางใส่ผมอย่างที่ชอบทำทุกที

   ที่เคยบอกไว้ว่าจะปฏิวัติก็อย่างนี้แหละ ในเมื่อระบบการปกครองด้วยความกลัวหรือการใช้สังคมส่วนมากเข้ากดดันให้ต้องกระทำตามกลายเป็นสิ่งที่ดูล้าสมัยไปเสียแล้วมันเลยต้องมีการเปลี่ยนแปลงเสียบ้าง พวกผมโชคดีหน่อยตรงที่เราเป็นรุ่นที่รักกันมากแล้วก็ยังเห็นไปในทิศทางเดียวกันจนหมด เพราะอย่างนั้นการรับน้องของคณะวิศวกรรมศาสตร์ในปีนี้เลยมีความแตกต่างออกไปจากทุกๆ ปี คือเราไม่อาจที่จะตัดกิจกรรมที่ถูกส่งต่อมาอย่างฉับพลันได้ แต่ค่อยๆ ปล่อยให้มันหายไปตามกาลเวลาได้ก็ดีเหมือนกัน

   อย่างตอนนี้เรากำลังเล่นเกมส์เป่ายิ้งฉุบต่อแถว เกมส์ง่ายๆ ที่สนุกได้ทุกคน

   แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นเด็กเจ้าปัญหาเดินเลี่ยงตัวไปอยู่หลังเสาคนเเดียว

   เน็ทเป็นเด็กที่แปลก คือตอนที่อยู่กับเพื่อนผมว่าเขาก็ดูเป็นจำพวกเพื่อนเยอะเพราะความร่าเริงนะ แต่ในบางมุมก็จะเป็นอย่างนี้คือชอบปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียวอย่างกับว่าการกระทำพวกนั้นเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์สำหรับเขาเสียเหลือเกิน แล้วยังไม่รวมท่าทางที่ชอบทำเป็นเหนือคนอื่นอยู่ตลอดเวลาอีกนะ

   "ไม่เข้าไปเล่นล่ะ"

   "ไม่ชอบ"

   "งั้นยืนด้วยคน"

   เปลี่ยนมายืนอยู่ฝั่งเดียวกับเน็ท มองดูจากมุมของเด็กปีหนึ่งว่ามันมีอะไรที่น่าสนใจขนาดที่ต้องแยกตัวออกมาอยู่ต่างหากอย่างนี้

   "เบียดว่ะฟิว ออกไป"

   "ทำไมไม่ไปเล่นกับเพื่อน"

   "น่าเบื่อ"

   "งั้นมาเล่นกันเองไหม"

   เพราะอีกคนตัวเล็กกว่าพอสมควรผมเลยต้องก้มหน้าลงมามอง ใบหน้าสว่างแบบคนที่ดูแลตัวเองอย่างดีทำคิ้วขมวดอย่างที่ผมชอบมอง เหมือนโรคจิตที่เห็นเน็ทถูกขัดใจแล้วจะมีความสุข ที่เขาว่ากันว่าเล่นกับเด็กแล้วจะมีความสุขนี่มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

   "แล้วมึงจะเสียใจฟิว กูไม่เคยแพ้ใคร"

   "ก็ต้องลองดู" หัวเราะให้กับความมั่นใจจนเกินร้อยของคนที่ยืนอยู่ถัดไป อยู่ดีๆ ก็อยากที่จะเล่นอะไรที่ดูไม่เข้ากับตัวเองขึ้นาเสียอย่างนั้น เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้วไม่มีอะไรที่จะต้องเสียแล้วล่ะ

   "เป่า ยิ้ง ฉุบ"

   พอมือของเราสองคนมาอยู่ใกล้กันเลยเห็นชัดว่าผิวของเน็ทขาวกว่าผมหลายระดับเหมือนกัน มือผอมบางกำทั้งห้านิ้วเข้าแทนสัญลักษณ์ค้อน ในขณะที่ผมเก็บนิ้วกลางกับนิ้วนางลง

   "...ออกอะไรวะฟิว"

   "หัวใจ" พอเห็นหน้าเน็ทไม่เข้าใจเลยต้องอธิบายต่อ "ความรักชนะทุกอย่างไง"

   พอจบประโยคนั้นเจ้าเด็กก็เอากำปั้นของตัวเองมาทุบหัวใจของผมใหญ่เลยล่ะ


***
   พี่ฟิวคือความน่าหมั่นไส้ค่ะ (หัวเราะ) พยายามตัดให้พอดีแล้วแต่ว่าไปๆ มาๆ มันหาที่ตัดไม่ได้จนกลายเป็นตอนยาวเหยียดเลยค่ะ เดี๋ยวจะเหลือตอนหน้าอีกตอนก็น่าจะจบพาร์ทของเน็ทได้แล้ว น่าจะลงได้ภายในสัปดาห์หน้านะคะ แล้วจะกลับไปอยู่กับพี่แบล็คยาวๆ ล่ะ (ยิ้ม)
   #ที่หนึ่ง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's 2 (ฟิวเน็ท) [01.07.16]
«ตอบ #448 เมื่อ02-07-2016 00:00:21 »

แน็ทมันอ๋อยขนาดนี้แล้วฟิวยังไม่รู้อีก

ออฟไลน์ Money11

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 222
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Re: "ที่หนึ่ง" : Special - NET's 2 (ฟิวเน็ท) [01.07.16]
«ตอบ #449 เมื่อ02-07-2016 14:54:08 »

ชอบเน็ท ชอบมนุษย์แบบนี้   :laugh:
ฟิวรู้ตัวได้ยังฮะฟิว คนอ่านเค้ารู้แล้วนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด