ตอนที่ 10 วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ฉันตื่นแต่เช้า เพราะเมื่อคืนฉันรู้สึกเพลียๆ ก็เลยเข้านอนแต่หัวค่ำ ได้นอนจนเต็มอิ่มไปเลย ตื่นมาก็รู้สึกสดชื่น หลังจากที่เสร็จกิจวัตรประจำวันในตอนเช้าแล้ว ฉันก็มานั่งทำการบ้านอยู่หน้าบ้าน อากาศวันนี้เย็นสบายดี ฉันนั่งทำการบ้านไปเรื่อยๆ จนเสร็จ เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆ พอดี ฉันจึงเดินเข้าไปหาแม่ที่อยู่ในครัว ถามแม่ว่ากลางวันนี้จะทำอะไรกิน แม่ก็จัดแจงเมนูให้ฉันฟัง ฉันจึงอาสาช่วยแม่ทำกับข้าว ต้องทำตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนซักหน่อย หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ฉันก็หอบหนังสือมานั่งอ่านอยู่ที่โต๊ะไม้หน้าบ้าน จนเวลาล่วงเข้าสี่โมงเย็น และแล้วเพื่อนสาวสองนางของฉันก็ปรากฏตัว พวกมันขับมอไซต์เข้ามาหาฉันที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่
“ โอ้ยยย จะขยันอะไรขนาดนี้ยะ ” มาถึงก็เริ่มเปิดฉากทันทีเลยจ้ะ หนวกหูกับเสียงมันจริงๆ
“ เก็บๆ เลยนะมึง พวกกูมารับแล้วหนิ เค้าจะเตะคู่ชิงชนะเลิศกันแล้วนะ รีบๆ เลย ” อิสายป่านเร่งรัดฉัน
“ เออๆ รอกูแปปนึง ” ฉันรีบเก็บหนังสือแล้วเอาเข้าไปเก็บในบ้าน ก่อนจะเดินออกมาหาพวกมัน
ฉันซ้อนมอไซต์มากับอิสายป่านและอิกระต่าย ซ้อน 3 เลยจ้ะ พวกมันบอกว่าฉันตัวเล็กก็เลยให้ไปนั่งข้างหน้าสุด อิสายป่านอยู่ตรงกลางและเป็นพลขับ ส่วนอิกระต่ายก็นั่งเบี่ยงสวยๆ แอ๊บชะนีเหมือนเคย พวกเราขับมอไซต์มาถึงสนามกีฬาอำเภอ คนเยอะมาก สมแล้วที่เป็นคู่ชิงชนะเลิศ อิสายป่านบอกว่าพวกเรามีที่นั่งประจำแล้ว เพราะพวกมันมาจองตั้งแต่เช้าๆ ตอนนี้ให้แม่นางมายนั่งเฝ้าที่เอาไว้ให้ ฉันจึงเดินตามมันไปจนถึงที่นั่งของพวกเรา ดีจังที่ได้นั่งบนอัฒจรรย์ ไม่ต้องไปยืนเกาะขอบสนามเหมือนคนอื่นๆ และที่สำคัญ สนามฟุตซอลนี้อยู่ในตัวอาคารนะจ้ะ ทำให้พวกเราไม่ต้องไปนั่งตากแดดเชียร์กีฬา แต่มันก็ยังร้อนอยู่ดี เพราะคนเยอะมาก เบียดเสียดกันสุดๆ ทั้งร้อน ทั้งอึดอัดเลยหละ
สิ้นสุดการรอคอย เมื่อนักกีฬาทั้งสองทีมลงสู่สนาม และกรรมการเป่านกหวีดให้เริ่มการแข่งขันได้ เสียงกองเชียร์ดังอึกทึก เสียงกรี๊ดของชะนีและกะเทยก็ดังไม่แพ้กัน ฉันนี่แสบแก้วหูมากๆ เลย จะบอกว่าดูไม่เป้นหรอกนะฟุตบอล หรือฟุตซอลอะไรเนี่ย แต่ที่มาดู ก็คงจะเป็นเพราะ มาดูนักกีฬามากกว่า อิอิ ดูไปดูมาฉันก็ชักจะมีอารมณ์ร่วมแล้วสิ เมื่อทีมที่ฉันแอบเชียร์เป็นฝ่ายบุก และเกือบจะยิงประตูได้หลายครั้ง เสียงเชียร์จากฉันเริ่มดังขึ้นโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเริ่มสนุกกับเกมส์การแข่งขันนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าทีมที่ฉันเชียร์ มีผู้ชายคนหนึ่ง หล่อมาก หน้าตาคมเข้ม เท่ห์สุดๆ ไปเลยอะ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันเชียร์ทีมนี้
การแข่งขันสิ้นสุดลง ทีมที่ฉันแอบเชียร์ก็เป็นฝ่ายชนะจริงๆ ด้วย รู้สึกดีใจมากที่ทีมที่ตัวเองเชียร์ชนะ ฉันก็เลยเผลอกรี๊ดไปทีนึง 55555 เพื่อนสาวสามนางก็มองมาที่ฉัน พวกมันทำหน้าตกใจ ก็แหงหละ ฉันไม่เคยกรี๊ดให้พวกมันเห็นเลยนี่นา พวกมันคงตกใจน่าดูที่เห็นฉันกรี๊ด พวกมันจ้องฉันกันใหญ่เลย ฉันก็อายๆ ไม่กล้าสู้หน้าพวกมัน ได้แต่นั่งก้มหน้าเกาหัวยิกๆ
“ แหม ไม่ค่อยเลยนะมึง ” อิสายป่านทักท้วงฉันก่อนคนอื่นๆ
“ ตั้งแต่รู้จักกันมา กูเพิ่งเคยเห็นมึงกรี๊ดก็ครั้งนี้หละอิฟิล์ม สงสัยจะเก็บกดมานาน ” อ้าว อิกระต่าย อิห่าหนิ กัดฉันตลอด
“ ฟิล์มก็กรี๊ดเสียงดังเหมือนกันนะ เสียงดังกว่าพวกเราอีกแหนะ ” แม่นางมายก็เอากับพวกมันอีกคน ตกลงเธอชมฉันหรือจิกฉันกันแน่จ้ะ
“ โอ้ย มันก็ต้องมีบ้างแหละ ทำไม ฉันกรี๊ดนี่มันผิดปกติมากเลยรึไง ” ฉันหันกลับไปบ่นให้พวกมัน “ เออ ” พวกมันก็พร้อมใจกันตอบอย่างพร้อมเพรียง ทำเอาฉันหน้าชาไปเลย ไม่สู้คนคะ เชิดใส่เบาๆ
พวกเราเดินออกมาจากอาคารที่ใช้แข่งขันกีฬา กำลังจะกลับบ้านกัน อยู่ๆ อิสายป่านกับอิกระต่ายก็ปวดฉี่ขึ้นมา พวกมันก็เลยพากันไปเข้าห้องน้ำ ฉันชวนมายไปซื้อน้ำ เพราะเสียงเชียร์และเสียงกรี๊ดเมื่อกี้ทำให้ฉันคอแห้ง เราเดินไปถึงร้านขายน้ำอัดลม มีคนกำลังซื้ออยู่ พวกเราก็เลยยืนรออยู่พักนึง ทำไมมันนานจังเลยนะ อิแค่ซื้อน้ำแก้วเดียวเฉยๆ ฉันเริ่มหงุดหงิดหน้านิ่วคิ้วขมวด พอคนข้างหน้าหันหน้ากลับมาเท่านั้นหละ ฉันถึงกับตกใจ ยืนอึ้ง ตาค้างไปเลยคะ
“ ขอโทษนะครับ พอดีผมรอตังทอนอยู่ ก็เลยทำให้พวกคุณรอนานไปหน่อย ” เสียงของผู้ชายคนนี้ดังเข้ามาในโสตประสาทของฉัน ทำให้ฉันหลุดจากภวังค์
“ อ๋อ คะ ไม่เป็นไรคะ ” เจอหน้าหล่อๆ เข้าหน่อย ฉันนี่โกรธไม่ลงจริงๆ ก็ต้องให้อภัยไปตามระเบียบ
“ ครับ ขอตัวนะครับ ” แล้วชายหนุ่มก็เดินเลี่ยงพวกเราออกไป
“ ฟิล์ม นั่นมันนักกีฬาทีมที่ชนะเมื่อกี้หนิแก ” แม่นางมายดูตื่นเต้นเกินหน้าเกินตาแล้วนะยะ
“ รู้แล้ว ฉันจำได้ ” ก็แน่หละ ใครจะจำไม่ได้ ก็ผู้ชายคนนี้แหละ ที่ทำให้ฉันเชียร์ทีมนั้น และเป็นคนที่ทำให้ฉันดีใจจนเผลอกรี๊ดออกมา ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันและพูดคุยกันแบบนี้ ยิ่งดูใกล้ๆ ก็ยิ่งหล่อระเบิดระเบ้อ
“ แก เค้าหล่อมากเลยนะ หล่อที่สุดในสนามเลยอะ ” แม่นางมายก็ยังทำท่าทางตื่นเต้นดีใจไม่หยุด เอิ่ม คือ น้องนีคะ เป็นสาวเป็นนางช่วยเก็บอาการหน่อยก็ดีนะ ฉันได้แต่คิดในใจ
พอพวกเราได้น้ำกันคนละแก้วแล้วก็เดินกลับมารอพวกนั้นที่รถ พอพวกมันมาถึงก็เหวี่ยงฉันกับแม่นางมายเรื่องที่พวกเราไปซื้อน้ำก่อนและไม่รอ พอเหวี่ยงเสร็จก็พากันเดินหน้าบิดหน้างอไปซื้อน้ำ ปล่อยให้พวกฉันยืนรออีกแล้ว ฉันยืนจิบน้ำอัดลมไปเรื่อยๆ พรางกวาดสายตามองดูผู้คนในสนามกีฬาที่กำลังเล่นกีฬากันอยู่ ส่วนมากก็จะมีแต่ผู้ชาย อาหารตาเพียบ ฉันก็เลยยืนรอได้อย่างใจเย็น แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อชายคนนึงได้โผล่เข้ามาในลานสายตาของฉัน มันยืนหน้าดุอย่างกับเสือ ในมือกำหมัดแน่น ยืนอยู่ห่างจากฉันไม่ไกลมากนัก ฉันสะดุ้งตกใจ มันมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย มันไปอารมณ์เสียมาจากไหน แล้วมันจะมาลงกับฉันมั้ย มันยืนจ้องฉันอยู่พักนึง ก่อนจะเดินเข้ามาหาฉัน
“ ไอ้เชี่ย มึงผิดนัดกูหรอ ” มันตะคอกเสียงดังใส่ฉัน จนฉันตกใจ ฉันยืนนิ่ง คิดตามที่มันพูด ก็จำได้ว่าฉันมีนัดกับมันจริงๆ ซวยแล้วไง ดันลืมนัดของมันซะนี่ งานเข้าแน่ๆ เลย
“ ป่าวนะ ฉันไม่ได้ลืม พอดีเมื่อวานฉันต้องไปทำธุระกับแม่ ก็เลยมาไม่ได้ ” ฉันกุเรื่องขึ้นมาหลอกมันหน้าตาเฉย หวังว่ามันคงจะเชื่อนะ
“ ไม่เชื่อเว้ย อย่าคิดว่าจะหลอกคนอย่างกูได้ กูไม่ใช่เด็กอนุบาล ” มันดูโมโหมากขึ้นกว่าเดิมซะอีก น่ากลัวมากๆ เลยอะ ต้องยอมรับว่ากลัว เพราะตอนนี้ไม่มีไอ้โต๊ดอยู่ด้วย แล้วใครจะปกป้องฉันหละ ฮือๆๆ
“ ไม่เชื่อก็ตามใจ ” ฉันพูดเสียงแข็งแล้วก็เชิดใส่มัน มันเดินเข้ามาจับแขนฉันและกำเอาไว้แน่น จนรู้สึกเจ็บ
“ โอ้ย ปล่อยเดี่ยวนี้เลยนะ ” ฉันทำตาดุใส่มัน
“ ไม่ปล่อย เรามีเรื่องต้องคุยกัน ” มันลากแขนฉันไปกับมัน ฉันก็พยายามสะบัดแขนให้หลุด แต่เหมือนยิ่งดิ้นมันก็ยิ่งกำแน่นขึ้น ฉันจึงเลิกพยายามขัดขืนและเดินตามมันไปแต่โดยดี อิแม่นางมายก็ไม่ได้ช่วยอะไรฉันเลย ปล่อยให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันโดนผู้ชายอย่างไอ้เต้รังแกได้ยังไง มีเพื่อนก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เทยเพลียจิต
มันลากฉันมาในที่ลับตาคน แล้วปล่อยแขนฉัน ที่นี่เป็นหลังอาคารอะไรสักอย่างนึง เพราะตอนเดินตามมันมาฉันก็ไม่ได้สังเกตทางมากนัก มัวแต่คิดว่ามันจะทำอะไรฉัน ฉันจะทำยังไงดีถึงจะรอดไปได้ ฉันกลัว กลัวมากๆ เลยตอนนี้
“ มึงรู้มั้ย ว่ากูมารอมึงนานแค่ไหน ” ฉันทำหน้าสำนึกผิด และส่ายหัวไปมา
“ งั้นมึงก็รู้ไว้ซะ ว่ากูมารอมึงตั้งแต่สามโมงเช้าจนถึงเที่ยง สุดท้ายมึงก็ไม่มา ทำไม ทำไมถึงทำแบบนี้ ” มันตะคอกเสียงดังใส่ฉัน แล้วเสียงนั้นก็แผ่วเบาในประโยคสุดท้าย
“ ขอโทษนะเต้ คือ..... ฉันลืมนัดของแกจริงๆ ” ฉันพูดความจริงกับมัน เพราะขืนโกหกไปมากกว่านี้ มันก็คงจะไม่เชื่อ และทำให้มันโกระมากกว่านี้ก็ได้ ฉันยังไม่อยากโดนเตะตอนนี้ ก็เลยพูดออกไปแบบนั้น เผื่อสถานการณ์จะดีขึ้น
“ คิดไว้แล้ว ว่ามันต้องเป็นแบบนี้ นัดของฉันมันคงไม่ได้สำคัญอะไรกับแกสินะ แกถึงได้ลืมมันง่ายๆ แบบนี้ ” มันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ที่ฟังดูเจ็บปวด แถมหน้ามันยังดูเศร้าๆ อีก
ไอ้เต้มองฉันด้วยสีหน้าแววตาที่เศร้าหมอง มันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกผิดมากขึ้น จนไม่กล้าสู้หน้ามัน ฉันทำได้แค่เพียงหลบหน้ามันและเงียบไป ในสถานการณ์นี้ ความเงียบอาจจะช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้น เราสองคนนิ่งเงียบไม่พูดอะไรกันสักพักนึง แล้วไอ้เต้ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“ ถ้าฉันบังคับแกมากเกินไป ฉันขอโทษ ” น้ำเสียงนุ่มๆ ที่ฉันได้ยิน ชวนให้ฉันเงยหน้าขึ้นมามองหน้ามัน ก็ยังคงเห็นหน้าเศร้าๆ ของมันอยู่เหมือนเดิม แถมยังทำตาละห้อยใส่ฉันอีก โถๆ ช่างดูน่าสงสารอะไรอย่างนี้
ฉันยังคงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว จนกระทั่งมันเดินหนีฉันไป ฉันจึงหันกลับไปมองตามหลังมัน และตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างออกไป
“ เต้ เสาร์นี้ว่างมั้ย ” มันหยุดเดินแล้วหันกลับมามองฉัน
“ ทำไมหรอ ” มันพูดสีหน้าเย็นชา เอิ่มมม เมื่อกี้มันยังทำหน้าเศร้าอยู่เลย ทำไมมันเปลี่ยนอารมณ์ง่ายขนาดนี้หละ
“ ถ้านายยังอยากให้ของขวัญฉัน เสาร์นี้เก้าโมงเช้า ฉันจะมารอนายที่สนามบาสนะ ” มันไม่ตอบอะไรฉันเลย ยืนนิ่งเงียบ มองฉันอย่างเย็นชา แล้วก็เดินจากไป เง้อ แบบนี้มันหมายความว่าไงอ่า
ฉันเดินมาหาเพื่อนๆ ตรงที่จอดรถ เพราะมั่นใจว่ายังไงพวกมันก็ต้องรอฉันแน่นอน ก็ฉันมากับพวกมัน พวกมันคงไม่ใจร้ายทิ้งฉันให้เดินกลับหรอกใช่มะ พอฉันเดินมาถึงที่จอดรถก็เห็นอิกระต่ายกับอิสายป่านยืนทำหน้าเครียดอยู่ พอพวกมันเห็นฉันก็พากันตกใจ
“ เฮ้ยมึง เป็นไงบ้างวะ ” อิสายป่านถามฉันด้วยความเป็นห่วง
“ มันทำอะไรมึงหรือป่าว เห็นมายบอกว่ามีผู้ชายพามึงไปไหนก็ไม่รู้ พวกกูก็เป็นห่วง ” อิกระต่ายก็ดูเป็นห่วงเป็นใยฉันเหมือนกัน มีเพื่อนแบบนี้ ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
“ ไม่เป็นไรหรอก มันไม่ได้ทำอะไรฉัน เราแค่คุยกันเฉยๆ ”
“ เออๆ ดีแล้วที่มึงไม่เป็นอะไร ป่ะๆ กลับกันเถอะ เดี๋ยวมันจะมืดซะก่อน ” อิสายป่านชวนพวกเรากลับบ้าน พวกเราก็ขึ้นรถกัน ซ้อนสามเหมือนเดิม อิกระต่ายนี่ไม่ยอมเปลี่ยนตำแหน่งให้ฉันไปนั่งสวยๆ ข้างหลังเลยเถอะ มันอ้างว่ามันตัวใหญ่ ไปนั่งข้างหน้าไม่ได้ เพราะจะทำให้อิสายป่านขับรถลำบาก เหตุผลดูเข้าที ฉันก็เลยยอมๆ มันไป
เป็นเวลาประมาณสามทุ่ม ฉันขึ้นมาอ่านหนังสือที่ห้อง คืนนั้นฉันอ่านหนังสือแทบจะไม่รู้เรื่อง เพราะเรื่องระหว่างฉันกับไอ้เต้ในวันนี้ มันผุดเข้ามาในหัวสมองของฉันอยู่เป็นระยะๆ ฉันจึงตัดสินใจปิดหนังสือและเข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม เพราะรู้ว่าตอนนี้ไม่มีสมาธิแล้ว อ่านต่อไปก็ไม่เข้าใจ จำอะไรไม่ได้ จึงตัดสินใจปิดไฟนอน แม้แต่ตอนนอนฉันก็ยังคิดถึงแต่เรื่องของไอ้เต้ มันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมองของฉัน ฉันพยายามข่มตานอน นอนพลิกตัวกลับไปกลับมา ทำอย่างนี้อยู่นานจนกระทั่งหลับไป
เช้านี้ฉันตื่นขึ้นมารู้สึกว่าตัวเองนอนไม่เต็มอิ่ม ไม่รู้หลับไปตั้งแต่ตอนไหน ฉันงัวเงียลุกขึ้นมาจากที่นอนเพราะเสียงนาฬิกาปลุกตัวเดิม ยังง่วงอยู่เลยอะ ขอนอนต่อได้มั้ย วันนี้อยากลาโรงเรียนสุดๆ คิดออกแล้วว่าจะทำยังไง อิอิ ฉันเดินไปปลดล็อกประตูห้อง แล้วกลับมานอนต่อ เพราะนี่คือแผนการลาโรงเรียนของฉันนี่เอง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ ฟิล์ม สายแล้วนะลูก ตื่นไปโรงเรียนได้แล้วนะ ” เสียงแม่ตะโกนอยู่หน้าห้อง ฉันได้ยินทุกคำ แต่ไม่ตอบ แถมยังแกล้งหลับต่ออีก ขอวันนึงนะแม่ หนูไม่ไหวจริงๆ ความขี้เกียจเริ่มครอบงำ
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ฉันได้ยินเสียงฝีก้าวที่กำลังเดินเข้ามาหาฉัน แม่นั่งลงข้างเตียงแล้วเอามือมาแตะหน้าผาก และเอามือแตะตรงซอกคอของฉัน ได้ยินแม่บ่นพึมพำว่าตัวของฉันไม่ได้ร้อน แม่เขย่าแขนฉันเบาๆ พร้อมกับเรียกชื่อฉัน ฉันก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ ทำตัวเหมือนคนป่วย
“ แม่ ” ฉันเรียกแม่ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ ไม่สบายหรือป่าว ” แม่ถามฉันสีหน้าเป็นห่วง
“ หนูปวดหัวมากเลยจ้ะ วันนี้ขาลาโรงเรียนนะแม่ ” แม่พยัคหน้าเป็นการตอบรับคำขอของฉัน
“ เด๋ยวแม่ทำข้าวต้มมาให้กินนะ กินแล้วก็กินยา แล้วก็นอนพักผ่อน จะได้หายเร็วๆ ” ฉันยิ้มอ่อนๆ ให้แม่ แล้วหลับตาลงช้าๆ งานนี้รางวัลออสก้า ตุ๊กตาทอง ต้องตกเป็นของฉันแน่ๆ เลย ในฐานะดาราเจ้าบทบาท ก็เล่นซะตีบทแตกขนาดนี้ 55555 ( โกหกพ่อแม่แบบนี้ไม่ดีนะจ้ะ อย่าลอกเลียนแบบเป็นอันขาด )
วันนั้นฉันก็นอนเป็นคนป่วยทั้งวัน พอตกเย็นมาฉันก็บอกแม่ว่าอาการปวดหัวเริ่มดีขึ้นแล้ว แม่ก็ยิ้มใหญ่เลย แล้วคว้าตัวฉันไปกอด กอดของแม่ช่างอบอุ่นจริงๆ ตอนนี้เป็นเวลาประมาณสองทุ่ม แม่บอกให้ฉันขึ้นไปนอน เพราะกลัวว่าจะไม่สบายอีก ฉันก็ไม่ขัดคำสั่งแม่ ขึ้นมานอนตั้งแต่หัวค่ำ กำลังจะปิดไฟนอน ไอ้น้องบ้าก็มาเคาะประตูเรียกให้ฉันไปรับโทรศัพท์ คงเป็นใครไปไม่ได้ที่โทรมา มีอยู่คนเดียว ไอ้โชคนั่นเอง
“ หวัดดีจ้ะโชค ” ฉันเริ่มทักทายเลขหมายปลายทาง
“ หวัดดีครับฟิล์ม ” มันทักทายฉันกลับอย่างสุภาพเช่นกัน
“ วันนี้โทรมาแต่หัวค่ำเลยนะ ” ฉันแซวมันเล่นๆ
“ วันนี้ไม่เห็นฟิล์มที่โรงเรียนเลยอะ พอไปถามมาย มายก้บอกว่าวันนี้ฟิล์มไม่มาเรียน เราก็คิดว่าฟิล์มคงไม่สบาย เป็นห่วงมาก อยากกโทรหาตั้งแต่เที่ยงแล้ว แต่คิดว่าถ้าโทรไปตอนนั้นก็ไม่ได้คุยกับฟิล์มหรอก คงได้คุยกับพ่อฟิล์มแทน ” มันพูดซะยาวเหยียด
“ ก็คงงั้นมั้ง ” ฉันหัวเราะเบาๆ
“ ไม่ตลกเลยนะฟิล์ม แล้วฟิล์มเป็นไงบ้าง ไม่สบายหายรึยัง ”
“ ปวดหัวนิดหน่อย ตอนนี้หายแล้วหละ ขอบใจนะที่เป็นห่วง ”
“ ฟิล์มนอนพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียนนะ ฝันดีครับ ”
“ จร้าๆ ฝันดีจ้ะ ” ฉันนี่ยิ้มแก้มปริเลย แปลกมาก ปกติคุยกับไอ้โชคก็รู้สึกเฉยๆ นะ แต่ทำไมวันนี้คุยกับมันแล้วฉันถึงรู้สึกดีจังเลยแฮะ
ฉันมองไปที่ผ้าห่มลายหมูพูที่กำลังปกคลุมร่างกายของฉันอยู่ ผ้าห่มผืนนี้ทำให้ฉันนึกถึงหน้ามัน หน้าไอ้โชคลอยเข้ามาในห้วงความคิดของฉัน ทำให้ฉันยิ้มแก้มปริอีกครั้ง และคืนนั้นก็เป็นอีกคืนที่ฉันนอนหลับฝันดี
ที่โรงเรียน ในคาบเรียนช่วงเช้า ตอนนี้เป็นคาบเรียนของวิชาภาษาอังกฤษ คุณครูมีบทความบทหนึ่งให้พวกเราไปอ่านสอบทีละคน ซึ่งเป็นการสอบเก็บคะแนน เรื่องอ่านเนี่ยฉันก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าเป็นเรื่องหลักไวยกรณ์เนี่ยฉันขอบายคะ ยอมรับว่าไม่เก่งเอาซะเลย สุดท้ายแล้วฉันก็ทำออกมาได้ดีตามคาด 10/10 คะ คุณครูเรียกฉันไปหา และบอกว่าฉันพูดภาษาอังกฤษสำเนียงใช้ได้ที่สุดแล้ว จึงขอให้ฉันเป็นตัวแทนของโงเรียนไปแข่ง Speech Contest เหมือนเป็นการกล่าวสุนทรพจน์นะถ้าจำไม่ผิด อิอิ ฉันตอบตกลงและรับปากกับครูว่าจะทำให้ดีที่สุด
ในขณะที่ฉันกำลังนั่งกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนสาว 3 นางอย่างเอร็ดอร่อย ก็ได้ยินเสียงชะนีน้อยโต๊ะข้างๆ กำลังคุยกันเรื่องไอ้โชค ฉันนี่หูผึ่งเลยคะ แปลกจัง แต่ก่อนนี่ไม่คิดจะสนใจอะไรหรอก แต่ทำไมช่วงนี้ ฉันรู้สึกว่าตัวเองสนใจมันมากขึ้น ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ
“ แก วันนี้ฉันเห็นพี่โชคเตะฟุตบอลอยู่สนามหน้าอาคาร ม. ต้น ด้วยแหละ ” เสียงน้องนีคนนึงพูดขึ้น
“ จริงหรอ อากาศร้อนๆ แบบนี้ พี่เค้าคงจะเสียเหงื่อไปเยอะเลยนะแก ฉันว่าฉันจะซื้อน้ำเปล่าไปให้พี่เค้า แกว่าดีมั้ย ” น้องนีคนนี้นี่ออกตัวแรงเกินไปแระ ฉันชักจะหมั่นไส้
“ เอาเลยสิแก ส่วนฉันนะจะซื้อน้ำหวานหรือไม่ก็น้ำอัดลมไปให้พี่เค้าดีกว่า ” น้องนีคู่ขาอีกคนก็เริ่มไม่มียางอายเหมือนกันแล้วสินะ
พูดจบพวกนางก็พากันหัวเราะคิกคัก ฉันนี่หมั่นไส้มาก เริ่มฉุนแล้ว อยากตบชะนีสองตัวนี่จริงๆ เลย เอ้ย ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้หละ เฮ้อ เป็นอะไรมากรึ่ป่าวอิฟิล์ม แต่เหมือนไม่ใช่ฉันแค่คนเดียวนะที่ฉุนชะนีสองคนนี้ เพื่อนสาวฉันก็มีอารมณ์ร่วมด้วยคะ
“ โอ้ย มันจะอะไรกันนักกันหนา อิแค่ผู้ชายคนเดียว ” อยู่ดีๆ อิสายป่านก็ร้องแหกปากขึ้นลอยๆ เหมือนตั้งใจจะให้ไปกระทบใครบางคนที่ฉันกำลังหมั่นไส้อยู่
“ เออ กูก็ว่างั้นแหละ ” ฉันพูดขึ้นน้ำเสียงไม่พอใจ เพื่อนสาว 3 นาง ก็หันขวับมามองฉันทันที แต่ฉันก็ไม่ได้แคร์คะ เชิดใส่เบาๆ พวกมันก็มองฉัน งงๆ
“ ฟิล์ม แกเป็นอะไร ” แม่นางมายเอ่ยถามฉันด้วยความสงสัย
“ ไม่ได้เป็นไร แค่รำคาญ เข้าใจมั้ย ” ฉันพูดกระแทกแดกดันต่อหน้าเพื่อนสาว 3 นาง ทำเอาแม่นางมายกับอิกระต่ายเอ๋อแด* ส่วนอิสายป่านก็ยิ้มเยาะ มันคงจะรู้ว่าฉันตั้งใจจะพูดให้ใคร
ฉันลุกขึ้น แล้วบอกเหล่าเพื่อนสาวว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เสร็จแล้วก็จะขึ้นห้องเลย พวกมันก็โอเค ฉันจึงเดินเอาจานไปเก็บ ฉันกำลังจะเดินออกจากโรงอาหาร ไอ้โชคก็แว้บเข้ามาในหัวสมองของฉัน ฉันจึงหยุดฝีก้าวแล้วคิดอะไรเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับเข้าไปในโรงอาหาร แล้วเดินไปที่ร้านขายน้ำ ฉันเลือกซื้อน้ำเปล่ากับน้ำเขียว แล้วก็เดินไปที่หน้าอาคารเรียน อาคารเรียนนี้ก็คืออาคารของฉันและเป็นอาคารเรียนของ ม. ต้น นั่นเอง ฉันมองไปข้างหน้าเห็นไอ้โชคกำลังเล่นฟุตบอลกับพวกผู้ชายอยู่ โห เหงื่อโชกเลยอะ เสื้อนักเรียนสีขาวนี่อาบเหงื่อจนเปียก แล้วพวกมันจะเรียนภาคบ่ายกันยังไงวะเนี่ย
เหมือนเกมส์การแข่งขันจะจบลงแล้ว ฉันกำลังจะเดินเอาน้ำที่ซื้อมาเข้าไปให้ไอ้โชค แต่ไม่ทันซะแล้ว น้องนีหลายคนพากันวิ่งพรวดเข้าไปหาไอ้โชคที่อยู่กลางสนาม ตอนนี้ไอ้โชคโดนรุมโดยเหล่าน้องนีนับห้าคนได้ นี่พวกแกไม่เหม็นเหงื่อมันเลยรึไงจ้ะ ฉันมองดูภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
“ ฟิล์ม ” เสียงน้องนีที่ไหนมาเรียกฉัน ฉันหันหลังกลับไปมอง ก็เห็นแม่นางพวงยืนอยู่
“ พวง แกมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ” ฉันทำหน้า งงๆ
“ เพิ่งมาเมื่อกี้แหละ แล้วแกทำไรอยู่นี่ ไม่ขึ้นห้อง จะถึงเวลาเรียนคาบบ่ายแล้วนะ ”
“ อ๋อ ฉันรอเพื่อนอยู่ แกขึ้นไปก่อนเลย ” ฉันโกหกไปแบบนั้น นางก็พยัคหน้ารับทราบ
“ โอเค งั้นฉันไปก่อนนะแก แกก็รีบๆ ขึ้นมาหละ เข้าเรียนสายเดี่ยวโดนครูดุเอาไม่รู้ด้วยนะจ้ะ ” ฉันยิ้มให้นาง นางก็ยิ้มกลับ แล้วแม่นางพวงก็เดินขึ้นอาคารเรียนไป
ฉันก้มหน้ามองดูน้ำเขียวแฟนต้าที่ซื้อมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ในขณะที่ฉันกำลังจะเดินขึ้นอาคารเรียน ก็มีเสียงเรียกชื่อฉันดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงผู้ชาย ฉันรู้ว่าเจ้าของเสียงนี้คือใคร ฉันจึงหยุดเดินและหันกลับไปหาเจ้าของเสียง มันกำลังวิ่งเข้ามาหาฉัน พอมาวิ่งมาถึงมันก็หายใจหอบแฮกๆ เหงื่อนี่ท่วมตัวเลยอะ แต่ทำไมถึงไม่มีกลิ่นเหม็นเหงื่อนะ มีแต่กลิ่นน้ำหอมของผู้ชาย กลิ่นอ่อนๆ มากระทบประสาทการดมกลิ่นของฉัน หอมจัง กำลังพอดีเลย ไม่ฉุนมากเหมือนพวกที่ชอบอาบมา
“ กำลังจะขึ้นห้องหรอ ”
“ อืม ” ฉันตอบสั้นๆ ห้วนๆ สีหน้าเรียบเฉย มันก็มองฉันแปลกๆ
“ เป็นไรอะ ไม่สบายอยู่หรือป่าว ทำไมดูไม่สดใสเลยหละ ” ช่างสังเกตจริงๆ นะพ่อคุณ
“ ป่าว เราสบายดี ขึ้นห้องก่อนนะ ” ฉันก็ยังทำสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม
“ เดี๋ยวดิ ” ฉันกำลังจะเอี้ยวตัวไป พอได้ยินมันห้ามเอาไว้ ฉันก็เอี้ยวตัวกลับมา
“ มีอะไร ” ฉันชักจะเริ่มหงุดหงิดแล้วนะ ฉันแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน ไอ้โชคก็คงจะสังเกตเห็น มันถึงได้ทำหน้าซีดเผือดขนาดนั้น คงรู้สินะว่าฉันเริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้ว
“ ปกติฟิล์มไม่กินน้ำเขียวหนิ ทำไมวันนี้ถึงซื้อมากินหละ ” ฉันนี่หน้าเหว๋อไปเลยคะ ตอนแรกก็ตั้งใจจะซื้อมาให้มันนั่นแหละ แต่พอเห็นสาวๆ พวกนั้นซื้อมาให้มันเยอะแล้ว ก็เลยเปลี่ยนใจไม่อยากให้แระ
“ ก็อยากลองกินดูบ้าง ไม่ได้รึไง ” ฉันย้อนถามมันกลับ
“ ได้สิ แต่ฟิล์มมีน้ำตั้ง 2 ขวดอะ วันนี้ฟิล์มกินน้ำเปล่าไปก่อนได้มั้ย ส่วนน้ำเขียวนั่น เราขอซื้อต่อนะ ” พูดแล้วมันก็ยิ้มหวานให้ฉัน ทำให้ฉันไขว้เขวซะแล้วสิ
“ บ้า ได้ไงกัน ” ฉันปฏิเสธมันไป
“ ฟิล์มค้าบบบ ตอนนี้โชคหิวน้ำมากเลยอะ ขอซื้อต่อนะ นะๆ ” มันออดอ้อนฉัน ทำหน้าทำตาบ้องแบ๊ว กระพริบตาปริบๆ น่ารักโครต
“ นายจะหิวได้ไง ก็ฉันเห็นสาวๆ แห่กันเอาน้ำไปให้นายแล้วหนิ ” ฉันกำลังน้อยใจ รึป่าว สับสนในตัวเอง
“ แต่เราก็ไม่ได้รับน้ำจากใครสักคนเลยเลยนะ ” ดูมันทำหน้าทำตา กวนโอ้ยชะมัด
“ จะไปรู้หรอ เอ้านี่ ฉันให้นายเลยแล้วกัน เห็นแล้วสงสาร ” ฉันยื่นน้ำเขียวแฟนต้าให้มัน ฉันรู้ว่ามันชอบกินน้ำเขียว ฉันก็เลยตังใจซื้อมาให้มัน มันก็รับไป
“ ขอบใจนะ ” มันยิ้มหวานให้ฉันอีกแล้ว เหอะๆ พอเถอะ ฉันเขินนะ ฉันหลบสายตามันแล้วบิดตัวไปมา เอิ่มม นี่ฉันกำลังเขินไอ้โชคอยู่จริงๆ หรอ
“ ฟิล์ม เป็นไรอะ หน้าแดงๆ ไม่สบายอีกหรือป่าว ” พูดแล้วมันก็เอามือมาแตะหน้าผากฉัน แอร๊ยยยย ตุ๊บๆ ตุ๊บๆ หัวใจของฉันกำลังสั่นไหว อาการชักจะเริ่มแปลกๆ แล้วแฮะ มันแตะหน้าผากฉันไม่นาน ก็เอามือออกไป
“ ตัวก็ไม่ร้อนหนิ ฟิล์มเป็นไรหรือป่าว บอกเราได้นะ เดี๋ยวเราจะพาไปห้องพยาบาล ” ฉันเงยหน้าขึ้นมามองหน้ามัน มันดูสีหน้าจริงจังมาก สงสัยคงคิดว่าฉันไม่สบายจริงๆ
“ เราสบายดี ขึ้นห้องกันเถอะโชค ใกล้จะถึงเวลาเรียนแล้ว ” ฉันพูดเสียงสั่นๆ พูดจบก็รีบวิ่งขึ้นอาคารเรียนทันที ไม่รอไอ้โชคเลย มันก็ร้องเรียกให้ฉันรอด้วย แต่ฉันก็ไม่รอ รีบวิ่งเข้าห้องทันที มันก็วิ่งตามฉันมาจนถึงประตูหน้าห้อง ฉันมองเห็นมันยกขวดน้ำเขียวแฟนต้าขึ้น พร้อมกับส่งยิ้มมาให้ฉัน และบอกว่าขอบใจนะ แล้วมันก็เดินออกไปจากตรงนั้น
ไอ้โชคคง งง กับพฤติกรรมแปลกๆ ของฉัน เพราะขนาดฉันเองก็ยัง งง กับตัวเอง นี่ฉันทำอะไรลงไป ฉันกำลังรู้สึกแบบไหนกับมันกันแน่ หรือว่า ฉันกำลัง........................ ฮือๆๆ ไม่นะ ฉันยังไม่พร้อม
.....................................................................