สวัสดีคนอ่านค่ะ

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยากให้ทุกคนอ่านแล้วสบายใจค่ะ เนื้อเรื่องโทนสีครีมๆ
ฝากเนื้อฝากตัวฝากใจด้วยค่ะ

-------------------------------------------------------------------------------------------
“รับอะไรดีครับคุณลูกค้า”
คนที่ยืนดมกลิ่นคาเฟอีนมาตั้งแต่เช้าเอ่ยทักคุณวิศวกรผู้ทำงานในไซต์ก่อสร้างแถวนี้ที่ผลักประตูร้านเข้ามา ที่นี่เป็นร้านกาแฟหนึ่งในร้อยหรืออาจจะเป็นหนึ่งในพันของร้านกาแฟแถวนี้ แต่เพราะพื้นที่แหล่งธุรกิจใจกลางเมืองมีตึกและออฟฟิศแออัดกันอยู่มาก ทำให้ร้านกาแฟตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงใหญ่มากที่กำลังแข่งกันโตไม่ได้ลำบากอะไรนัก ร้านนี้ถูกตกแต่งด้วยโทนสีครีมและน้ำตาลตามความชอบของเจ้าของร้าน ทั้งปลูกไม้พุ่มรอบๆร้านทำให้มันดูเย็นตาและน่าแวะเวียนเข้ามานั่งพักผ่อน
“เหมือนเดิม”
คนที่พึ่งจะเดินเข้ามาบอกพลางถอดหมวกเซฟตี้ที่รูปร่างคล้ายหมวกกันน็อคออกจากหัว เผยให้เห็นใบหน้าคล้ำแดด จากแต่ก่อนที่ผิวเคยขาวจนซีด อย่างกับว่าเป็นคนละคน
“แก้วไหนดี”
คุณเจ้าของร้านหันไปถาม ใครคนนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ที่ประจำตรงหน้าเคาท์เตอร์บาร์ วายุผู้ที่รับหน้าที่เป็นทั้งเจ้าของร้านและเด็กเสริฟในเวลาเดียวกันยื่นผ้าเย็นไปให้ลูกค้าคนสุดท้ายของวัน
“แก้วเล็ก”
ใครคนนั้นตอบส่งๆพลางถอดเสื้อช็อปที่ชุ่มเหงื่อออกให้เหลือเพียงเสื้อเชิ๊ตแขนยาวตัวบางข้างใน
“ผมหมายถึงแก้วที่มาจากดาวพลูโตตอนที่ยังไม่หลุดวงโคจร หรือแก้วที่มาจากดาวหางใน”
วายุถามกลั้วหัวเราะเมื่ออีกคนค้อนมองด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ อันที่จริงเขากับลูกค้าคนนี้รู้จักกันมาสักพัก นับตั้งแต่โครงการก่อสร้างคอนโดตรงถนนฝั่งตรงข้ามเริ่มขึ้น และคุณวิศวกรคนนี้ก็มักจะแวะมาที่นี่ทุกวันตอนบ่ายแก่ๆซึ่งเป็นเวลาที่คนธรรมดาไม่ดื่มกาแฟกันแล้ว จากวันแรกก็เกือบปีและดันบังเอิญที่พึ่งได้รู้ว่าพวกเขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันเดียวกันและเรียนคณะเดียวกัน แม้จะต่างสาขาและห่างกันอยู่สองถึงสามปีแต่คงเพราะเคยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกันมาก่อน ทำให้ก็คุยกันถูกคอเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“อะไรที่ใส่แล้วไม่รั่วก็เอามาเถอะครับ”
ธนาวินตอบก่อนจะถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยให้กับมุขกวนตีนที่คุณเจ้าของร้านสรรหามาเกือบทุกวัน ทั้งๆที่เขาเป็นรุ่นพี่ที่วายุจะต้องนับถือแท้ๆ คุณเจ้าของร้านยืนหัวเราะไปกับท่าทางของรุ่นพี่ที่ไม่สบอารมณ์นัก
“วันนี้ร้อนนะครับ”
วายุที่กำลังตวงนมสดในแก้วใสเริ่มต้นบทสนทนาเมื่อเห็นอีกคนกำลังใช้ผ้าเย็นเช็ดเหงื่ออย่างเอาจริงเอาจัง
“อือ เกือบเป็นลม”
ธนาวินที่กำลังเช็ดเหงื่อที่คอว่าพลางเหลือบมองมือตัวเองที มือของเจ้าของร้านกาแฟที ทั้งๆที่เจอกันอยู่แทบทุกวันเขากลับไม่เคยสังเกตุมาก่อนว่าวายุเป็นผู้ชายที่ผิวดีมากคนนึง ออกจะดีเกินไปเมื่อเทียบผู้ชายด้วยกัน แถมมีรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาจัดว่าไม่เลวนัก เขาจึงไม่ค่อยแปลกใจนักหากลูกค้าร้านนี้จะเป็นผู้หญิงเสียส่วนใหญ่ แต่จะเปรียบเทียบกับเขาก็คงไม่ยุติธรรมกับตัวเองนัก ในเมื่อธนาวินเองทำงานกลางแดดแทบจะทุกวัน คุณเจ้าของร้านยิ้มให้เมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังจ้องอยู่ที่ตัวเขาเอง วายุยื่นมอคค่าปั่นที่สั่งให้กับคุณลูกค้าที่เป็นรุ่นพี่เขาอยู่สามถึงสี่ปี ก่อนจะชวนคุยไปพลางเก็บร้านไปพลางเป็นเรื่องปกติอย่างที่ทำทุกๆวัน
“สร้างเร็วเหมือนกันนะ”
เขาพูดถึงโครงการก่อสร้างคอนโดที่อีกคนทำงานอยู่ ธนาวินมองหน้าเจ้าของร้านกาแฟที่กำลังตั้งใจเช็ดทำความสะอาดเคาท์เตอร์ก่อนจะตอบอย่างด้วยท่าทางสบายๆเป็นวิสัยปกติเช่นกัน
“ไม่หรอก ช้ากว่ากำหนดด้วยซ้ำ”
คนตอบว่าพลางยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ อีกหน่อยพอเริ่มเข้าหน้าฝน คราวนี้เขาว่าคงได้ทำงานช้ากันลงอีกเท่าตัวแน่นอน
“เสร็จปีไหนนะพี่”
ธนาวินนึกคำตอบอยู่หน่อยก่อนจะบอกออกไปพลางใช้หลอดกาแฟคนกาแฟปั่นละเอียดแบบที่ตัวเองชอบ
“อีกสามปีกว่า”
“งั้นก็มากินกาแฟผมนานเลยสิ”
คุณเจ้าของร้านพูดพลางยิ้มกว้าง จนธนาวินเผลอยิ้มตามอย่างเสียไม่ได้
“แถมกูบ้างก็ได้”
ลูกค้าคนเดียวภายในร้านพูดกลั้วหัวเราะ เพราะหากเอาจำนวนเงินที่เขาใช้อุดหนุนร้านนี้ไปบวกกันทั้งปีคงซื้อสมารทโฟนรุ่นท้อปได้หลายตัวเลยทีเดียว
“ค่าเช่าหนังสือก็คุ้มแล้วมั้ง”
วายุที่กำลังขะมักขะเม้นเก็บอุปกรณ์หลายอย่างเข้าไว้ในตู้ชั้นบน พูดถึงการ์ตูนเล่มของเขาที่ตั้งใจสะสมเก็บไว้ที่ร้านซึ่งธนาวินเองมักจะหยิบยืมไปประจำ แถมคืนบ้างไม่คืนบ้างจนกลายเป็นเรื่องที่คุณเจ้าของร้านมักยกมาเป็นประเด็นเวลาต่อรองเรื่องอะไรสักเรื่องเสมอ
“เอาน่า”
ธนาวินว่าพลางหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะตั้งใจสูดกลิ่นกาแฟ นม และกลิ่นหวานของขนมที่ลอยอบอวนอยู่ในร้าน พวกมันทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก และทั้งหมดทั้งมวลนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมร้านนี้ถึงเป็นที่พักผ่อนของเขาในเกือบทุกวันหลังจากการทำงานกะบ่ายที่อากาศร้อนจนแทบจะสุก
********
“รับอะไรดีครับ”
เจ้าของร้านกาแฟมองคุณวิศวกรที่วันนี้เดินเข้าร้านมาหน้ายุ่ง ใครคนนั้นนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมหน้าเคาท์เตอร์พร้อมกับถอดหมวกที่ดูน่าจะแข็งนั่นออกก่อนจะตอบ
“เหมือนเดิม”
ธนาวินหรือที่ชื่อเล่นจริงๆคือ วิน เสยผมที่เปียกชื้นเหงื่อขึ้นจากกรอบหน้า เผยให้เห็นใบหน้าที่แดงก่ำอย่างกับตั้งใจจะอาบแดดมา
“ไหวไหมพี่”
วายุถามออกไปอย่างเป็นห่วง เพราะต่อให้เป็นเขาที่ตัวใหญ่แลดูน่าจะถึกกว่าธนาวินอยู่หน่อยไปยืนกลางแดดตอนนี้ก็อาจจะเป็นลมแดดได้ง่ายๆเหมือนกัน ใครคนนั้นไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่กลับก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์มือถือ วายุเห็นแบบนั้นจึงเดินเลี่ยงออกมาเพื่อบดกาแฟให้คุณลูกค้าคนสุดท้ายของวัน
“อะไรวะ”
ธนาวินเงยหน้ามองคุณเจ้าของร้านเพราะวันนี้วายุไม่ได้เสริฟแค่กาแฟเหมือนเดิมแต่กลับมีกล่องข้าวพลาสติกสีส้มขนาดใหญ่แถมมาด้วย
“ผมเอามาเผื่อ”
อีกคนพูดแล้วยิ้มกว้างตามประสา ธนาวินมองใบหน้านั่นอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก ระหว่างที่คิดว่าจะถามออกไป...อีกคนก็ตอบออกมาอย่างรู้ทัน
“ผมว่าจะทำขาย เลยทำให้ชิมก่อน”
“กูจะตายไหม”
คุณวิศวกรหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะพลางเปิดกล่องข้าวกล่องใหญ่ที่ข้างในมีข้าวสวย ไก่ทอด สลัดมันฝรั่ง มะเขือเทศและไส้กรอกขนาดอย่างละพอประมาณ ทุกอย่างถูกจัดเป็นสัดส่วนน่ารักอย่างกับปิ่นโตของเด็กอนุบาลที่เคยเห็นในรายการทีวีต่างประเทศ คนเด็กกว่ายิ้มกว้างเมื่อเห็นท่าทางตื่นตะลึงของเขา ธนาวินหัวเราะก่อนจะแหย่ออกไป
“ถ้าจะขนาดนี้ก็แต่งงานกับกูเถอะ”
วายุหัวเราะตาหยี ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทางไม่จริงจังเช่นกัน
“สินสอดผมแพงนะ”
ธนาวินหัวเราะแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเลือกที่จะตักสลัดขึ้นมาชิมและก็พบว่ามันอร่อยมากเสียด้วย
“ยังไม่อร่อยเท่าไหร่ ต้องชิมบ่อยๆ”
เขาบอกออกไปอย่างที่รู้ว่ากำลังโกหก วายุขำกับหน้าตาไม่อร่อยของคุณลูกค้าก่อนจะตอบรับ
“รับทราบครับ”
**********
“รับอะไรดีครับ”
วายุโพล่งออกไปตามปกติเมื่อได้ยินเสียงประตูของร้านเปิดออกในยามนี้ทั้งๆที่ตัวเขาเองไม่ทันได้มองเสียด้วยซ้ำ แต่ก็รู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนที่จะเข้ามาในเวลาย่ำค่ำเช่นนี้
“เหมือนเดิม”
เหมือนเดิมที่ว่าของอีกคนคือมอคค่าปั่นหวานน้อย วายุที่กำลังก้มหน้าจดจ่ออยู่กับลิสต์ของที่จะต้องซื้อเข้าร้านในวันพรุ่งนี้พึ่งจะได้โอกาสเงยหน้ามองอีกคน
“พี่หน้าแดงว่ะ”
เขาว่าก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเย็นยื่นให้เช่นเคย อีกคนไม่ได้ว่าอะไรแต่ฟุบหน้าลงบนเคาท์เตอร์แทน วายุยืนมองเจ้าของร่างเพรียวสมส่วนที่วันนี้ดูเหนื่อยมากกว่าที่เคยเป็น ตรงใบหูที่เคยขาวนั่นแดงราวกับว่ามันกำลังร้อนจัด เขาเอื้อมมือไปจับมันโดยไม่ทันคิดและไม่ได้รับอนุญาติ...และพบว่ามันร้อนจริงเสียด้วย
“ผมมียา เดี๋ยวกินข้าวก่อนนะ”
คุณเจ้าของร้านบอกก่อนจะพาตัวเองเดินหลบไปหลังร้านพักใหญ่ แล้วกลับมาด้วยข้าวและยาตามที่บอกโดยไม่มีผิดเพี้ยน
“ใครได้มึงไปนี่โคตรโชคดี”
คนที่อายุมากกว่าว่าติดตลก ส่วนคนที่เด็กกว่าอย่างวายุได้แค่ยิ้มแล้วก็เสเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นอีกคนกำลังดันตัวลุกขึ้นมากินข้าว
“พี่ชอบงานแบบนี้เหรอ”
วายุไม่สันทัดกับงานที่จะต้องทนแดดทนฝนเสียเท่าไหร่ แต่เพราะในตอนนั้นพ่ออยากให้เรียนวิศวะ เขาจึงเลือกเรียนวิศวะคอมพิเตอร์อย่างช่วยไม่ได้ เพราะถ้าจะต้องทำงานจริงๆก็คงไม่ต้องออกไปทำงานกลางแจ้งแน่นอน แต่ในที่สุดการเป็นเจ้าของร้านกาแฟก็ดูเหมือนจะเหมาะกับเขาที่สุด
“ตอนแรกคิดว่ามันเท่ดี แต่เอาจริงๆเหนื่อยเหี้ยๆ”
อีกคนว่า คุณเจ้าของร้านมองลูกค้าคนสุดท้ายของวันไปด้วยสลับกับการเก็บร้านไปด้วย ธนาวินมีรูปร่างที่เหมาะเจาะ อาจจะเตี้ยกว่าเขาไปสักหน่อยแต่ก็สูงกว่ามาตรฐานคนไทยทั่วไป คุณวิศวกรมักจะสวมเสื้อช็อปทับกับเสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน แต่ที่ดูจะสะดุดตาจริงๆ วายุว่าคงเป็นหน้าตาของธนาวินกระมัง ลองมองรวมๆดูแล้ว...วายุว่าอาชีพนี้ดูเหมาะกับธนาวินมากจนบอกไม่ถูก
“แล้วทำไมมึงมาเปิดร้านนี้ล่ะ”
คนที่ถามคนอื่นถูกถามกลับในที่สุด วายุยิ้มให้อีกคนเช่นเดิมก่อนจะตอบ
“ความจริงผมก็อยากเท่ แต่ผมกลัวแดด”
คุณวิศวกรดูไม่ค่อยจะเข้าใจกับคำตอบของเขานักแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร วายุมองธนาวินที่กินข้าวไปเงียบๆก่อนที่จะกินยาตามเข้าไป และสุดท้ายแล้วก็กลับไปทำงานทั้งๆที่ตัวเองไม่สบาย และวายุเองก็ไม่ทันจะได้ห้ามเสียด้วยซ้ำ
*********
“รับอะไรดีครับ”
เกือบอาทิตย์แล้วที่ธนาวินไม่ได้แวะเวียนมาที่ร้าน วายุว่าอย่างกับบางอย่างมันไม่เหมือนเดิม อย่างน้อยก็คือเวลาปิดร้านที่เร็วขึ้นเกือบชั่วโมง และวันนี้คุณลูกค้าคนนั้นก็แวะมาในตอนเที่ยงไม่เหมือนเช่นเคย
“เอาของมาฝาก”
จากคำตอบเหมือนเดิมที่น่าจะได้กลับกลายเป็นอย่างอื่น เมื่ออีกคนว่าพลางหยิบตั๋วหนังสามถึงสี่ใบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“เด็กที่ไซต์ได้ฟรีมา หมดเขตวันนี้”
เพราะวายุคงดูไม่เข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้า อีกคนจึงพลิกหลังบัตรที่เป็นกระดาษใบยาวให้อีกคนดู
“ขอบคุณครับพี่ แต่ผมไม่รู้จะไปดูกับใคร”
คุณเจ้าของร้านตอบพลางยิ้มให้กับคุณวิศวกรที่ขมวดคิ้วเป็นปมอย่างกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พร้อมๆกับการจ้องที่นาฬิกาข้อมืออยู่แบบนั้น
“ร้านปิดกี่โมงล่ะ วันนี้กูเลิกเร็ว”
วายุยิ้มให้กับคำพูดอ้อมค้อมที่ดูยังไงก็คือการชวน
“ปิดตอนนี้เลยก็ได้ครับ”
และในที่สุดวายุก็หัวเราะเมื่ออีกคนทำหน้าตาเหรอหรา เพราะตอนนี้มันพึ่งจะเที่ยงวันเท่านั้นเอง
“เอาเข้าไป”
ธนาวินว่าให้กับท่าทางสนุกของคุณเจ้าของร้านก่อนจะลงมือกินข้าวที่วันนี้มีผัดผัก กับไข่ต้มและสลัดอีกชามใหญ่ เขาว่าถ้าวายุทำกับข้าวในปริมาณแบบนี้ขายจริงๆร้านคงเจ๊งในเร็ววันแน่นอน
พวกเขานัดเจอกันตอนเกือบสองทุ่มที่หน้าร้านกาแฟของวายุ ธนาวินที่พึ่งจะวิ่งออกมาจากไซต์งานมองเด็กอีกคนที่สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์กับรองเท้าแบรนด์ดัง ต่างจากเขาที่สวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนส์โทรมๆ ดูแล้วรสนิยมต่างกันโดยสิ้นเชิง
“เอาซะกูน้อยใจตัวเองเลย”
เขาว่าแหย่เมื่อเดินมาถึงตัวอีกคน วายุเกาคอแก้เขินแต่ไม่ได้ว่าอะไร
“ขอกลับไปอาบน้ำก่อนได้ไหม”
วายุหัวเราะ เขาว่าต่อให้คนอย่างธนาวินสวมกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะกับเสื้อขาดๆหรือสูทแพงๆก็คงไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ เขาหมายถึงด้วยลักษณะของธนาวินจะอย่างไรก็คงจะเหมือนเดิม...แต่เขาบอกไม่ได้หรอกว่าเพราะอะไร
“เดินไปไหม”
คุณเจ้าของร้านกาแฟถาม เพราะด้วยทำเลแถวนี้มีห้างใหญ่อยู่สองถึงสามแห่งไม่ไกลนัก และรถก็ติดมากเสียด้วย เขาคิดว่าการเดินคงจะเป็นทางเลือกที่สุดในเวลานี้ และธนาวินก็เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะนั้น ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว ฟุตบาทที่ทั้งแคบทั้งระเกะระกะไปด้วยร้านค้าแผงลอย ธนาวินจึงปล่อยให้อีกคนเดินนำไปข้างหน้า ส่วนตัวเขาเดินตามและมองสองข้างทางที่ไม่ค่อยได้สังเกตุมันนัก ถึงดูวุ่นวายไปเสียหน่อยแต่มันก็มีเสน่ห์ของมันอยู่เหมือนกัน...จะว่าไปแล้วเขาก็ทำงานหนักเกินไปจนไม่ได้พักนานพอดู วินก้าวเท้าตามแผ่นหลังนั่นเป็นจังหวะแต่ก็เผลอสะดุดอยู่บ่อยครั้งเมื่อคนที่เดินอยู่ด้านหน้าหันมามองอย่างกับกลัวว่าเขาจะหายไป...
ตั๋วหนังที่ได้ฟรีมาวันนี้เป็นหนังรักไทยที่ค่อนข้างจะเนิบนาบ คนที่เด็กกว่าสังเกตุว่าอีกคนหาวแล้วหาวอีกและไม่นานนักก็หลับไปจนได้ เขามองเสี้ยวหน้าอีกคนในความมืดอยู่สักพักก่อนจะหันกลับไปมองจอเช่นเดิม แต่ว่าเรื่องราวในจอกลับไม่ได้ซึมเข้าไปในใจแม้แต่น้อย วายุใช้เวลาเหล่านั้นนั่งคิดอะไรอยู่เงียบๆ ถือเสียว่าวันนี้พวกเขาทั้งคู่ได้พักผ่อนไปพร้อมๆกัน
“ไม่ชอบหนังรักเหรอครับ”
“เปล่าหรอก ขอโทษนะที่ไม่ได้ดู”
ธนาวินบิดขี้เกียจพร้อมกับหันไปตอบอีกคนในระหว่างที่เดินออกมาจากโรงหนัง ที่ข้างในนั้นพึ่งจะฉายหนังที่เขาจับใจความไม่ได้แม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรครับ”
วายุบอกก่อนจะหัวเราะเมื่ออีกคนหาวหวอดใหญ่โดยไม่ได้อายสาวๆที่กำลังมองอยู่
“อะไร?”
ธนาวินหันมาถามเขา และเขาก็ตอบกลับไปด้วยคำถามเช่นกัน
“กลับเลยไหม”
เพราะตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะเที่ยงคืน ผู้คนจึงไม่พลุกพล่านและอากาศก็เย็นขึ้นมากแล้ว พวกเขาทั้งคู่เดินเคียงกลับมาในทิศทางเดิม เดินด้วยกันไปเรื่อยๆ คุยกันไปเรื่อยๆราวกับเป็นเรื่องที่ทำประจำ คนเด็กกว่าชำเลืองมองคนที่เป็นรุ่นพี่ของตนอยู่หลายต่อหลายครั้ง แม้อยากจะถามอะไรหลายอย่างออกไปแต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น ได้แต่ถามเรื่องพื้นๆทั่วไปอย่างที่เคยทำ
“หิวไหม”
วายุถามเมื่อมองเห็นร้านอาหารตามสั่งข้างทางที่มีลูกค้าประปราย
“กิน”
อีกคนตอบอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินนำไปที่ร้านนั้น
“มึงกินเผ็ดไม่ได้สินะ”
ธนาวินว่าก่อนจะให้ซ่อมจิ้มแครอทจากจานเขาไป วายุพยักหน้าน้อยๆพลางตักข้าวในจานเข้าปากไปด้วย บางทีอีกคนคงสังเกตุเห็นได้จากกับข้าวในกล่องข้าวพลาสติกสีส้มนั่น วายุยิ้มให้ตัวเองจากความรู้สึกที่ยังนิยามให้มันไม่ได้
“ข้าวที่ทำมาให้อร่อยดีนะ”
วายุพยักหน้าแล้วยิ้มอีกครั้ง ใครคนนั้นที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันก้มลงเพื่อจัดการกับข้าวในจานตัวเองบ้าง ผมยาวประบ่าที่ถูกมัดไว้ประจำหลุดรุ่ยบางทีอาจจะเกิดจากการนอนทับมันในโรงหนังเมื่อครู่ก็ได้ วายุนั่งมองเจ้าของมันที่ดูท่าทางจะไม่ได้ใส่ใจกับปอยผมสีเข้มที่ตกลงมาเกลี่ยข้างแก้ม มันดูน่าจะนุ่มและดูน่าจะเกะกะในบางที คนที่ตัวโตกว่าเอื้อมมือไปจับปอยผมที่ปรกหน้าของอีกคนเบามือ ก่อนจะจับพวกมันทัดหูให้... ในตอนนั้นคนที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวเงยหน้าขึ้นมามองที่เขานิ่ง วายุสบนัยน์ตาสีเข้มนั่นอยู่นานก่อนจะก้มหน้าลงกินข้าวเหมือนดังเช่นตอนแรกและไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากนั้นอีก
TBC..