♥ . . . HEART ATTACK . . . ♥ --- SPECIAL TRACK : พรหมลิขิต+แจ้งข่าว P. 25
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ไหนๆ นิยายใกล้จะจบแล้ว เลยสอบถามความสนใจรวมเล่มค่ะ

สนใจ
ไม่สนใจ
รวมก็ดี ไม่รวมก็ได้

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥ . . . HEART ATTACK . . . ♥ --- SPECIAL TRACK : พรหมลิขิต+แจ้งข่าว P. 25  (อ่าน 266762 ครั้ง)

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
โธมัสนายน่ากลัวเกินไปแล้ว

อีกอย่างนายควรเข้าใจรสนิยมตัวเองซักที ถ้าชอบก็แฟร์หน่อยสิว่ะ

ส่วนเรื่องอัลไม่กล้าบอกใครนี่ กรณีปกติของคนถูกล่วงละเมิดทางเพศเลยนะ
มีความรู้สึกที่ถูกกดให้เป็นฝ่ายผิด โดนลงโทษ มองว่าตัวเองไร้ค่า ไม่กล้าบอกใคร
น่าสงสารชะมัด

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
ชอบผู้ชายแบบหมอวา ขอได้มั้ย เป็นคนที่น่าอยู่ด้วย
ไม่แปลกถ้าอัลจะหวั่นไหว หมอวาก็ใจดี พึ่งพาได้
อีกคนก็ต้องการที่พึ่งอีกคนก็ขี้สงสาร :impress2:

หมอวาเจอหมอเจี๊ยบบ้างป่าววว อิอิ
หมอวาข้ามฝั่งมากินข้าวแถวนี้บ้างนะเด็กมันกลัวเรือ :hao7:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-10-2015 22:09:16 โดย ดาวโจร500 »

ออฟไลน์ boobooboo

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2

ออฟไลน์ VarainDark

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
คู่นี้ชักจะเริ่มหวานๆกันแล้วน้าาาา
เมื่อจะรักกันเนี่ย
รอๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ ren

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
    • " Welcome To Y Entertainment "
โอ๊ยย อ่านตอนนี้แล้วหุบยิ้มไม่ลง  เป็นความฟินส่วนตัว  หมอวาค่อยๆซึมซับความห่วงหา คิดถึง ทีละนิดๆ
น้องอัลก็เหมือนแมวดูอ้อนๆ    รอติดตามตอนต่อไปค่ะ 

ออฟไลน์ __oo__

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อยากให้ตั้งเพจในดฟสคะ สนุกมากๆไม่อยากพลาดซักตอนเลย

ออฟไลน์ นิรนาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
♥ . . . HEART ATTACK . . . ♥ --- TRACK 12 [29.10.15]
«ตอบ #129 เมื่อ29-10-2015 22:00:08 »

TRACK 12



ทันทีที่ตัวเลขดิจิตอลบนหัวเตียงบอกเวลาตีห้า ตาสีฟ้าซีดจะเปิดโพล่งขึ้นท่ามกลางความมืดโดยไม่ต้องพึ่งเสียงปลุกแม้แต่น้อย มือขาวเอื้อมหยิบขวดน้ำบนหัวเตียงมาดื่มแก้วใหญ่ ถัดจากนั้นอีกสองนาทีร่างขาวอวบจะพุ่งตัวเข้าห้องน้ำใช้เวลาอีกสิบนาทีก่อนออกมาเป่าผม แต่งตัว โปะแป้ง คว้าเนคไทกับเสื้อคลุมวิ่งลงบันไดตึงตังมาชั้นล่าง หยิบรองเท้าสักคู่จากบนชั้นมาสวม พอตีห้าสี่สิบนาทีก็จะโผล่หัวออกมาป๊ะกันพอดีกับคนห้องตรงข้าม

“อรุณสวัสดิ์”

“อรุณสวัสดิ์ วันนี้กินอะไรดี” ทิวากานต์ยิ้มกว้างสดใสประหนึ่งพระอาทิตย์ยามเช้าให้เพื่อนบ้าน ทักทายกับอีกคนด้วยประโยคเดิมเช่นเดียวกับทุกวันที่ผ่านมา สมกับเป็นลูกครึ่งจีน เรื่องปากท้องต้องมาเป็นอันดับแรกเสมอ

“ข้าวเหนียวหมูย่างหน้าปากซอย” เด็กฝรั่งตอบกลับฉะฉาน หลังจากนั้นก็ปล่อยเสียงพูดเจื้อยแจ้วไปตลอดทางตั้งแต่หน้าห้องจนถึงลานจอดรถ

ทุกวันเด็กลูกครึ่งหน้ามึนจะออกจากบ้านพร้อมกับทิวากานต์ ยกเว้นวันไหนที่คุณหมอมีธุระต้องรีบไปราวน์แต่เช้า มีเคสตอนเย็น ทำคลีนิคพิเศษ หรืออยู่เวรถึงจะแยกกันไปคนละคัน แล้วอลันด์จะใช้วันที่ไม่ได้กลับบ้านพร้อมกันนี่แหละไปซ้อมดนตรีที่บ้านของนภก่อนกลับมากินข้าวเย็นด้วยกันที่ห้องของใครสักคน

ส่วนวันนี้อลันด์มีตรวจกับอาจารย์หมอตอนบ่ายสี่โมงเย็นตามที่ทิวากานต์จัดการนัดไว้ให้ ดูไม่มีปัญหาอะไรแต่ปัญหามันเกิดตรงที่เจ้าเด็กฝรั่งต้องนั่งเรือข้ามฟากไปนี่แหละ แถมวันนี้ทิวากานต์จะเอารถไปจอดที่โรงพยาบาลด้วยสิ ปกติคุณหมอจะจอดรถไว้ที่มหาวิทยาลัยฝั่งตรงข้ามแล้วจะนั่งเรือไปทำงานเอง ไม่เคยให้เขาต้องไปเผชิญหน้ากับความน่ากลัวท่ามกลางกระแสน้ำหรอก!

“ทำไมต้องเอารถไปจอดที่โรงบาลด้วยอ่ะ จอดที่ม. เหมือนเดิมไม่ได้หรือไง เสียเงินทำบัตรไปตั้งหลายคันใช้ให้คุ้มหน่อยซี่” เด็กฝรั่งเริ่มเกริ่นหลังจัดการข้าวเหนียวหมูย่างลงท้องเรียบร้อย ตอนนี้กำลังจัดการผูกเนคไทเป็นขั้นตอนต่อไป

“ยังไงวันนี้เธอต้องมาตรวจอยู่แล้ว จะให้นั่งเรือย้อนกลับไปกลับมาทำไม”

“ไม่อยากขึ้นเรือนี่”

“ทำไมล่ะ” ถามกลับทั้งที่ตายังจ้องการจราจรบนท้องถนน วันนี้ต้องขับรถข้ามไปอีกฝั่งเลยต้องทำเวลาสักหน่อย

“มันน่ากลัว”

“ไม่น่ากลัวหรอกน่า ฉันข้ามมาตั้งแต่ยังไม่เรียนหมอเลย” ช่างเป็นการให้กำลังใจที่ไม่รู้จะบอกยังไงดี อลันด์หน้าบูดเป็นตูด มองน้องกบกระดึ๊บไปข้างหน้าด้วยความช้าระดับโคอาล่าเดิน ตั้งแต่ขาย Z4 ให้คนรู้จักไปทิวากานต์ก็ใช้น้องกบสลับกับซีรีส์ไฟว์มาทำงาน แต่ส่วนใหญ่น้องกบมักจะถูกเลือกให้คลานบนท้องถนนอันติดขัดของกรุงเทพมหานครเสียมากกว่า ไม่รู้ว่าเอามาขับล่อสาวหรือเหมาะขับซอกแซกอย่างที่ปากว่ากันแน่

“งั้นนั่งแท็กซี่ไปได้ไหม”

“เลิกเรียนกี่โมง”

“สามโมงครึ่ง”

“คิดว่าจะมาทัน?” พอโดนย้อนถามกลับก็ได้แต่นั่งสะอึก ที่ต้องนัดหมอเย็นขนาดนี้เป็นเพราะตารางเรียนเขาเองอีกนั่นแหละ แล้วตอนนั้นแถวนี้กำลังรถติดได้ที่เลย “เอาเถอะ ตามใจ มาให้ทันนัดหมอเขาแล้วกัน”

ถึงปากจะพูดเย็นชาเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ตอนจะข้ามสะพานไปถึงโรงพยาบาลก็ยังนั่งเรือไปส่งอีกฝั่งก่อนจะรีบกลับไปตรวจคนไข้ทั้งที่ถุงข้าวเหนียวหมูย่างยังไม่ถูกแกะ

รู้สึกผิดนิดหน่อยแต่จะโทรไปขอโทษอีกคนคงทำงานยุ่งไปแล้ว ร่างขาวอวบเดินหงอยเข้าห้องสมุดหาหนังสืออ่านฆ่าเวลาก่อนเข้าคาบแรกตอนเก้าโมงอย่างเช่นปกติของวันที่มาเรียนพร้อมทิวากานต์ นั่งแกร่วได้ไม่ทันไรเพื่อนในสาขาคนแรกก็มา

“มาแต่เช้าอีกแล้ว กินไรยัง” คนถามเป็นหนุ่มไทยผิวเข้มหน้าคมชื่อคนินทร์ เรียนโรงเรียนรัฐชายล้วนชื่อดังของประเทศมาก่อน แล้วยังเป็นเพื่อนคนแรก(และน่าจะเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว)ของอลันด์ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกด้วย

“กินแล้ว คิวอ่ะ” อลันด์ตอบกลับอีกคนเสียงเบา ตาสีซีดมองคนตัวสูงถอดเป้วางบนโต๊ะก่อนนั่งฝั่งตรงข้าม

“ยังเลย กะมาชวนไปกินเป็นเพื่อนเนี่ย”

“ไปด้วยก็ได้ อ่านจนไม่รู้จะอ่านบรรทัดไหนแล้ว” คนตัวขาวชูหนังสือในมือให้อีกคนดู เพียงครู่เดียวสองหนุ่มต่างเชื้อชาติก็ยิ้มขำพากันกระเตงไปหาอะไรกินแถวมหาวิทยาลัย

หลังเรียนจบช่วงเช้าอลันด์กระโดดขึ้นรถตามติดเพื่อนใหม่ไปกินข้าวแถวดิ โอลด์ สยาม ได้ขนมหวานกลับมากินเล่นตอนเรียนคาบบ่ายอีกเพียบ หากดูเหมือนเด็กฝรั่งจะติดใจเจ้าขนมกลีบลำดวนมากสุด บอกว่าคล้ายคุ้กกี้แต่มีกลิ่นหอมหวานแปลกๆ ดี ล่อเอาซะแมวหลงตัวอ้วนกินเพลินลืมเรื่องหนักใจไปหมด กระทั่งหมดคาบสุดท้ายนั่นแหละถึงระลึกได้ว่าต้องขึ้นเรือข้ามฟากไปหาหมอ!

“คิว นายรีบไปไหนหรือเปล่า” เด็กฝรั่งหน้าซีดสะกิดถามเพื่อนตัวโตกว่า สีหน้าดูเป็นกังวลเสียจนคนฟังพลอยซีเรียสไปด้วย

“หืม ไม่นิ” หนุ่มไทยหน้าเข้มตอบก่อนถามต่อ “มีอะไรหรือเปล่า จะชวนไปไหนหรือไง”

“ช่วยนั่งเรือข้ามไปฝั่งนู้นเป็นเพื่อนที พอดีฉันมีธุระด่วนแต่ไม่กล้านั่งเรือไปคนเดียวอ่ะ”

“ส่วนไหนของฝั่งนู้นล่ะ เดี๋ยวขับรถไปส่งก็ได้”

“ไปโรงพยาบาลฝั่งตรงข้ามเนี่ยก่อนสี่โมง” เด็กฝรั่งตอบหน้าเจี๋ยมเจี๊ยม ได้นั่งรถไปก็ดีแต่วันนี้อาจารย์ดันปล่อยช้า อีก เวลานี้รถเริ่มติดจะทันไหม

“โหย เหลืออีกยี่สิบนาทีไม่น่าทัน งั้นเดี๋ยวเรานั่งเรือไปเป็นเพื่อนก็ได้ ว่าแต่ไปหาหมอทำไม ไม่สบายตรงไหนเหรอ” คนินทร์สะพายเป้ขึ้นไหล่ เดินนำคนตัวเล็กกว่าออกนอกห้องเรียนตรงไปท่าเรือ

“ไปตรวจสุขภาพนิดหน่อย แป๊บนะ มีโทรศัพท์มา” อลันด์ชูมือบอกเพื่อนให้เงียบ มือล้วงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นเป็นจังหวะจากกระเป๋ากางเกงขึ้นกดรับ “ครับ”

‘อยู่ไหนแล้ว’

“เพิ่งออกจากห้องเรียน อาจารย์เพิ่งปล่อย” เด็กหนุ่มได้ยินเสียงถอนหายใจลอยมาจากปลายสาย ทิวากานต์คงหงุดหงิดกับเขาน่าดูที่ทำอะไรชักช้า หากประโยคจากปากคุณหมอหนุ่มทำให้ตาสีซีดเบิกกว้าง

‘งั้นรีบเดินไปท่าเรือเร็วๆ ฉันอยู่บนเรือกำลังข้ามไปรับ’

“แล้วด็อกไม่ทำงานแล้วเหรอ”

‘ถ้าทำจะมารับได้ไหม ช่างมันเถอะ รีบๆ มา เดี๋ยวไม่ทัน’ ทิวากานต์ตัดสายไปแล้วไม่ทันให้คนฟังได้ทักท้วงอะไรอีก

เจ้าเด็กฝรั่งหันมาหาเพื่อนใหม่หน้าไร้สีเลือดเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นดีใจแบบปิดไม่มิด “คิวไม่ต้องไปกับเราแล้วล่ะ เดี๋ยวจะมีคนมารับที่ท่าเรือ”

“หืม เอางั้นเหรอ”

“อืม ขอบใจมากนะ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเดินไปเป็นเพื่อนก่อนดีกว่า รีบเถอะเดี๋ยวพลาดแล้วต้องรออีกนาน”

ศีรษะทุยใต้กลุ่มผมสีช็อกโกแลตนมขยับขึ้นลงเร็วๆ พลางก้าวเท้ายาวออกจากมหาวิทยาลัยไปยังท่าเรือ หลังจ่ายเงินไปสามบาทเข้ามาตรงที่รอก็เห็นเรือกำลังข้ามฟากมาพอดี ร่างสูงใหญ่ของทิวากานต์ยืนเด่นพิงเสาเรือปรากฏเข้าคลองสายตาพลอยให้ใจชื้น จนเรือเทียบท่าร่างเล็กถึงหันมาโบกมือลาเพื่อนแล้วรีบเดินลงโป๊ะไปหาคุณหมอ

“ยุ่งชะมัด”

ทิวากานต์บ่นหน้าตาบึ้งตึงผิดกับกริยาที่ยื่นแขนออกไปจับมือขาวไว้แล้วดึงให้มายืนข้างกันบนเรือ ไอ้ตัวแสบเลยได้ใจฉีกยิ้มกว้างพร้อมยักคิ้วประกอบทำหน้ากวนจนได้รางวัลเป็นดีดเบาๆ บนหน้าผาก เมื่อเรือล่องกลับถึงฝั่งที่จากมาเขาจึงพาเด็กหนุ่มเดินมาที่ตึกใหม่ จัดการทำบัตรคนไข้ ติดต่อหมอที่นัดไว้ แล้วนั่งรอเวลาหมอเรียกไปตรวจ

อลันด์มีท่าทีกังวลกับการพบหมอครั้งนี้ไม่น้อย โดยปกติแล้วเขาเป็นคนค่อนข้างแข็งแรงไม่ค่อยเจ็บป่วยอะไรมากนัก หากจะมีเหตุให้ต้องเข้าโรงพยาบาลก็มีแค่ตรวจสุขภาพใหญ่ประจำปีกับตอนที่แขนหักเท่านั้นแหละ และไม่เคยมีครั้งไหนจะบอกเลยว่าเขามีปัญหาที่หัวใจ อวัยวะชิ้นสำคัญที่สุดในร่างกายที่แค่คิดก็เครียดแล้ว

“มิสเตอร์อลันด์ โอเนลล์เชิญห้องตรวจค่ะ” ตาสีซีดเลิกขึ้นมองคุณพยาบาลตื่นๆ เมื่อชื่อตนเองหลุดออกมา นั่งเงอะๆ งะๆ จนทิวากานต์ต้องกระตุกคอเสื้อให้ลุกขึ้นยืนก่อนเดินนำไปที่ห้องตรวจ

ปกติแล้วควรส่งคนป่วยไปพบแพทย์ขอคำปรึกษากันเป็นส่วนตัว หากทิวากานต์ถือโอกาสในฐานะอดีตลูกศิษย์ของนายแพทย์ผู้ตรวจวันนี้และเป็นผู้ปกครองจำเป็นของคนไข้ขอเข้าไปนั่งฟังด้วยเพื่อไปอธิบายอาการที่เจ้าเด็กแสบเป็นให้มาดามโอเนลล์รับรู้ได้ละเอียด ไม่ใช่เกิดอาการใจดีสงสารฝรั่งไม่รู้ประสีประสาขึ้นมาหรอกนะจะบอกให้

หลังให้แพทย์สอบถามอาการอย่างละเอียด ฟังเสียงและจังหวะการเต้นของหัวใจแล้วเด็กหนุ่มจึงถูกส่งตัวไปตรวจ Echo ต่อจึงกลับมาให้คุณหมอวินิจฉัยโรคอีกที

“หัวใจโตนิดหน่อย ผนังห้องบนซ้ายรั่วประมาณหนึ่งเซนติเมตร ถือว่ายังเล็กกว่าคนอื่นที่เขาโตๆ แล้วเยอะ” ปล่อยให้ลุ้นระทึกอยู่นาน นายแพทย์ใจดีวัยห้าสิบต้นๆ จึงหันกลับมาบอกคนไข้ชาวต่างชาติด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มคล้ายจะปลอบว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด แต่กับคนที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะเป็นโรคหัวใจอย่างอลันด์ยังคงวิตกถึงขั้นหัวคิ้วชนกัน

“แล้วมันอันตรายมากไหมครับคุณหมอ ผมต้องผ่าตัดไหม”

“ตอนนี้ยังไม่อันตรายมากครับแต่รีบรักษาเร็วได้เท่าไหร่ก็ดีเพราะว่าตอนนี้กล้ามเนื้อไม่สามารถปิดได้เองตามธรรมชาติเหมือนเด็กๆ แล้ว ถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไปนานผนังหัวใจมีโอกาสจะขยายกว้างขึ้นอีกและส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันรวมไปถึงเสี่ยงเกิดอาการหัวใจวายได้ด้วย สำหรับน้องเองขนาดรั่วยังกว้างไม่มาก หมอจะใช้วิธีสวนหัวใจปิดรูรั่วแทน วิธีนี้ไม่ต้องผ่าตัดแค่นอนเฉยๆ ชั่วโมงสองชั่วโมงก็เสร็จ” ตอบจบไม่ลืมส่งยิ้มพ่อพระมาให้อีกที หากอะไรไม่น่าเบาใจเท่าคำที่ว่าไม่ต้องผ่าตัด เจ้าเด็กแสบถึงกับถอนหายใจเสียงดัง

“เฮ้อ...”

“กลัวล่ะสิ” ทิวากานต์กระเซ้า ในฐานะหมอด้านหัวใจคนหนึ่งเคสนี้ไม่ใช่เรื่องน่าวิตกอะไรมากมาย บอกไอ้ตัวแสบไปหลายหนแล้วก็เหมือนจะไม่เชื่อกัน เอาแต่กลัวไปนั่น

“แหงสิ หัวใจเลยนะ ถ้าเกิดตายขึ้นมาตอนนี้จะทำยังไงล่ะ ยังไม่ได้เป็นนักร้องเลย”

“โฮ่” คุณหมอส่งเสียงออกมาเหมือนลุงซานต้าครอสใจดี “อยากเป็นนักร้องเหรอ เหมือนลูกสาวหมอเลย”

“ครับ”

“ดีจังเลยนะที่หาความฝันเจอ แต่ถ้าไม่อยากเป็นอะไรก่อนได้ทำตามฝันอย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยนะ อืมมม... มีประวัติการสูบบุหรี่กับบริโภคแอลกอฮอล์ด้วย หมอขอให้งดจนกว่าจะปิดรูรั่วสำเร็จก่อนได้ไหมครับ”

“แต่หลังจากนั้นก็สูบได้ใช่ไหมครับ” สิงห์น้อยนักรมควันถึงกับนั่งไม่ติด ตั้งแต่แม่กลับลอนดอนไปรอบนี้เขาก็สูบบุหรี่จัดตลอด ยิ่งตอนมาเรียนมีเพื่อนสูบด้วยก็ยิ่งติด วันไหนไม่ได้ดูดนิโคตินเหมือนมือไม้สั่นพาลหงุดหงิดไปหมด

“ได้ครับ แต่ทางที่ดีหมออยากให้เลิกเลยดีกว่า ถึงการรักษาจะประสบผลสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นแต่อาการหัวใจโตนั้นรักษาไม่ได้ครับ ถ้าไม่อยากมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจอีกควรงดแล้วรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ดีกว่า ส่วนแอลกอฮอล์ให้ได้นานๆ ครั้ง ช่วงนี้ก็ควรงดชา กาแฟด้วย สุขภาพเงินสร้างไม่ได้ต้องทำเองนะครับ ส่วนเรื่องกำหนดวันสวนหัวใจ...”

“เดี๋ยวผมขอรายงานแม่น้องเขาก่อนแล้วค่อยนัดอาจารย์มาตรวจอีกทีแล้วกันครับ” ทิวากานต์เอ่ยขัดก่อนคุณหมอจะนัดทำการรักษาจริงจัง เรื่องนี้ยังไงก็ต้องให้พ่อแม่ของเด็กนี่เป็นคนตัดสินใจ

“ได้ๆ เดี๋ยวยังไงขอนัดวันส่องกล้องดูอีกทีก่อนแล้วกัน ฝากวาช่วยดูด้วยนะ”

“ครับ”

“อ่อ น้องน้ำหนักเกินแล้วนะ ควบคุมอาหารด้วยเดี๋ยวตอนส่องกล้องจะลำบาก” จบคำเตือนทิ้งท้ายชวนเจ็บแปลบในใจของคุณหมอใจดี ศัลย์แพทย์หนุ่มอีกคนในห้องถึงกับปล่อยก๊ากดังลั่นไม่คิดเก็บอาการ เล่นเอาคนน้ำหนักเกินหน้างอ

ชั่งล่าสุดน้ำหนักเพิ่งจะเจ็ดสิบสองเองนะ น้ำหนักเกินอะไรกัน!



พอจ่ายค่าตรวจค่าหมอเรียบร้อยมีทิวากานต์เป็นคนออกให้ก่อนแล้วเจ้าตัวจะทยอยจ่ายคืนให้ทีหลังเพราะอลันด์ไม่อยากรูดบัตรจ่ายโดยให้เหตุผลว่ากลัวแม่เห็นเมสเสจแจ้งการใช้จ่ายที่โรงพยาบาลแล้วจะตกใจ คุณหมอตัวสูงก็เดินนำเด็กตัวเท่าไหล่ไปที่อาคารจอดรถเตรียมกลับบ้าน ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือมีคนจงใจจึงมาปะกับการันต์ที่เพิ่งเลิกงานเดินออกมาพอดี

“ไงวา เห็นว่ามีธุระนึกว่ากลับไปนานแล้วนะ” คุณหมอเจ้าเสน่ห์ทักทายอารมณ์ดียิ้มตาหยีเผื่อแผ่ไปถึงเด็กผู้ชายข้างกายทิวากานต์ จนรุ่นน้องสุดที่รักต้องจำใจแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน เขายังไม่ลืมที่การันต์พยายามหาว่าเขาชอบเด็กนี่หรอกนะ

“ก็ธุระแถวๆ นี้แหละพี่รัน อ่อ นี่อลันด์ครับ เด็กที่เคยเล่าให้ฟัง”

“อ๋อ น้องคนนั้นน่ะเอง เพิ่งเคยเห็นใกล้ๆ หมอการันต์ครับ เป็นรุ่นพี่เจ้าวา เรียกพี่รันก็ได้” เขายิ้มให้เด็กหนุ่มเหมือนคนใจดีหากประกายในดวงตากลับวิบวับเหมือนเก็บงำความลับอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวอลันด์ไว้

“สวัสดีครับ” เด็กฝรั่งกระพริบตาปริบๆ ก่อนยกมือไหว้อีกคน ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าคุณหมอคนนี้เหมือนกับไอ้คู่แฝดกริฟฟิธส์ตอนวางแผนทำเรื่องชั่วสุดๆ

“เรียกน้าดีกว่า ทำเป็นแอ๊บให้เรียกพี่ อายุเขาอ่อนกว่าแม่เธอไม่ถึงรอบหรอก” อย่าว่าแต่อลันด์รู้สึกไปคนเดียว ทิวากานต์เองก็รู้สึกและรู้ดีเลยล่ะว่ารุ่นพี่กำลังคิดหาทางแหย่เขาให้หงุดหงิดอยู่ แล้วเรื่องอะไรจะยอมให้อีกฝ่ายกระทำอยู่ข้างเดียวล่ะ ของแบบนี้ใครไวก่อนได้เปรียบเฟ้ย

“โห ไอ้วา ฉันยังไม่แก่ขนาดนั้นเว้ย” ฟังที่ไอ้รุ่นน้องตัวโหย่งเหมือนเสาไฟฟ้าเหน็บเข้าให้แล้วการันต์ถึงกับโวยวายหน้าดำหน้าแดง ยิ่งเห็นเด็กผมสีช็อกโกแลตนมกลั้นหัวเราะจนตัวงอยิ่งอาย ใกล้สี่สิบแต่หน้าเขายังเด็กกว่าพี่เคน ธีรเดชอีกนะ!

“อายุมากกว่าไอ้แสบเกือบสองรอบยังบอกว่าไม่แก่อีกเหรอ” นานๆ จะมีโอกาสสักที หมอวาไม่ลืมปล่อยใส่รุ่นพี่อีกดอก

“ไม่ยุ่งกับพวกแกแล้วจะไปไหนก็ไปเลยไป๊ อารมณ์เสีย อุตส่าห์เป็นห่วงจะมาถามสักหน่อยว่ากินอะไรหรือยังเห็นตอนเที่ยงรีบทำเคสหาเวลาไปทำธุระจนไม่ได้กินข้าว แกนี่มัน...หึ่ย” คุณหมอวัยเกือบสี่สิบหมดคำพูดจะตอบโต้ เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปหาแอสตัน มาร์ตินคันสวยของตัวเองก่อนขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งคู่กรณีทั้งสองให้หัวเราะอยู่ที่เดิม

ทิวากานต์กุมท้องตัวเองหลังหัวเราะจนหายใจไม่ทัน เรื่องอายุนี่เล่นไม่ได้เลยมีเคืองจริงๆ ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาหาอลันด์จะชวนกันกลับบ้านก็เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้หัวเราะแต่ยืนมองมาที่ตนก่อนแล้ว แถมยังทำหน้าอ้อนเหมือนแมวอีก คิ้วเข้มจึงเลิกขึ้นอย่างสงสัยไม่ได้

“มีอะไร”

“ทำไมไม่กินข้าวเที่ยง เป็นหมอแต่ไม่ดูแลตัวเองจะมีคนไข้ที่ไหนเชื่อถือไหมเนี่ย”

“แค่ข้าวเที่ยงเอง ตอนเทรนหนักกว่านี้อีกหาเวลาจะกินข้าวยังไม่ได้เลย” จงใจตอบส่งๆ หมุนตัวเดินไปที่รถหนีสายตาจับผิดของอีกคนไม่เปิดโอกาสให้อลันด์ได้ซักไซ้ไล่เรียงอะไรต่อ จนขับรถออกจากโรงพยาบาลมาได้สักพักขนมกลีบลำดวนหนึ่งชิ้นก็ยื่นมาตรงหน้า “อะไร”

“ขนมกลีบลำดวน เพื่อนพาไปซื้อมาตอนเที่ยง อร่อยดีเลยซื้อมาเยอะ ลองกินดูดิ”

“ขนมนี่ฉันก็ทำเป็น ง่ายจะตาย” ปากพูดเหมือนไม่สนใจแต่มือหยิบเจ้าคุ้กกี้แบบไทยๆ โยนเข้าปากเคี้ยวงุบ

“ด็อกทำเป็นจริงอ่ะ งั้นวันหลังทำให้กินได้ไหม มันอร่อยมากเลย” ตาสีฟ้าซีดเป็นประกายทันทียามพูดถึงของกิน ไม่ลืมส่งคุ้กกี้อีกชิ้นให้คุณหมอตัวโตกินรองท้องก่อนมื้อเย็น

“จริง เดี๋ยวจะทำให้กินเป็นโหลเลยก็ได้ แต่ตอนนี้เธอต้องควบคุมน้ำหนักก่อนเข้าใจไหม อ่อ แล้วก็เลิกบุหรี่ด้วย”

“อะไรกัน ลดน้ำหนักผมทำได้นะ ยอมกินแต่ผักเลย แต่บุหรี่เนี่ยไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้” ทิวากานต์เสียงเข้ม อาศัยช่วงรถติดไฟแดงคว้าถุงขนมกลีบลำดวนมาวางไว้บนตักแล้วหยิบกิน ถึงเขาจะอดข้าวเป็นประจำแต่ไม่ใช่ว่าจะไม่หิวนะ ยิ่งตอนมีอะไรหล่นใส่ท้องหน่อยน้ำย่อยที่เหมือนจะสงบไปแล้วก็กลับมาทำงานหนักส่งเสียงครวญครางลั่นไปหมด

“อะไรกัน ทีตัวเองเป็นหมอยังสูบได้เลย วันละมวนก็ไม่ได้หรือไง”

“ไม่ได้ แค่มลพิษทางอากาศจากฝุ่นควันก็เยอะแล้วยังจะเพิ่มให้ตัวเองอีกทำไม”

“เอ๋า ตัวเองก็รู้นิแล้วทำไมยังสูบ”

“ก็...” พอถูกเด็กสวนเข้าคุณหมอที่กำลังบอกให้คนไข้หยุดสูบบุหรี่ถึงกับชะงัก เขาหยิบกลีบลำดวนเข้าปากเคี้ยวอีกชิ้นพลางนึกหาคำตอบ “คลายเครียดไง เวลาผ่าตัดมันเครียดมากนะรู้ไหม ฉันก็ต้องหาอะไรผ่อนคลายบ้างสิ”

“ผมเครียดเหมือนกันนะ เรียนเนี่ยเครียดสุดๆ เลยรู้ไหม มีแต่ทฤษฎีอะไรก็ไม่รู้”

“เธอก็เล่นดนตรีคลายเครียดไปสิ!”

“ด็อกก็ทำกับข้าวคลายเครียดไปสิ!”

ตาสองสีปะทะกันเงียบๆ หลังตะโกนใส่กันลั่นห้องโดยสาร อลันด์หน้าบูดปากเชิดรั้นบอกชัดว่าถ้าไม่มีเหตุผลดีๆ มากล่อมเขาก็ไม่มีวันเลิกบุหรี่เพื่อนรักอันดับสามรองจากแมวและกีตาร์ให้ยาก ส่วนทิวากานต์ทำหน้าเหมือนอยากหักคอเด็กลูกครึ่งเสียให้หายหงุดหงิดเล่น เขาจัดการเทกลีบลำดวนทั้งถุงเข้าปากเคี้ยวกรุบๆ แทนการเคี้ยวหัวไอ้เด็กตัวแสบซะ

“เฮ้ย ไรเนี่ย กินหนมเขาหมดเลย” อลันด์แทบกรี๊ดหลังคุณหมอโยนถุงเปล่าคืนมาให้ ถึงเขาจะแบ่งให้กินเพราะอีกคนใช้เวลาพักรีบตรวจคนไข้เพื่อมารับเขานั่งเรือไปหาหมอแต่ไม่ได้หมายความว่าให้กินหมดนะเว้ย

“ทำไมจะกินไม่ได้ ก็มันหิวนี่”

“ด็อกนี่มัน...”

“ทำไม”

“นิสัยไม่ดี”

“ใช่ซี้” ทิวากานต์ขานรับเสียงสูง แกล้งออกรถแรงๆ ให้เด็กฝรั่งหน้างอหัวทิ่มเล่น คนเขาอุตส่าห์พูดเพราะเป็นห่วงสุขภาพกลับดื้อแพ่งจะเอาแต่ใจอยู่ได้ ทีตัวเองยังไม่สนใจจะดูแลแล้วเขาจะมาสนใจมันทำไม

“ด็อก!!!”

เขาแกล้งทำหูทวนลมไม่สนใจอาการโวยวายของอีกคนจนรถตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ถนนบนกรุงเทพช่วงหกโมงเย็นก็ช่างติดแสนสาหัสกว่าจะถึงบ้านคงอีกชั่วโมงกว่า คอยดูแล้วกันว่าใครจะบ้าก่อน

“พวกผู้ใหญ่ก็งี้ เอาแต่บอกให้เด็กๆ ทำนั่นทำนี่ แต่ตัวเองกลับทำอะไรตามใจ ไม่ยุติธรรมเลย”

ก่อนคุณหมอจะตัดสินใจว่าขึ้นทางด่วนดีหรือรถติดมันอยู่ข้างล่างเพิ่มเวลาให้เกมกดประสาทนี่ต่อดี เสียงแหบๆ ของเด็กข้างตัวก็ดังขัดความคิดขึ้นมา เขาเหล่ตามองเด็กแสบที่เอาแต่มองออกไปนอกรถดูไฟท้ายแดงเถือกตลอดความยาวถนน

ทิวากานต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วตัดสินใจเลี้ยวรถขึ้นทางด่วน จนผ่านด่านจ่ายเงินเขาถึงพูดสิ่งที่คิดขึ้นมาบ้าง “เพราะเป็นห่วงไง ผู้ใหญ่ห่วงเด็กมันผิดเหรอ”

“แล้วเด็กจะห่วงผู้ใหญ่บ้างไม่ได้หรือไง ถึงจะเป็นเด็กแต่ก็มีความคิดเหมือนผู้ใหญ่นะ ในเมื่อคุณยังไม่ห่วงตัวเองแล้วจะยังมีหน้ามาเป็นห่วงคนอื่นอีกเหรอ”

โดนย้อนความคิดเข้าเต็มๆ อีกครั้งทำเอาชายหนุ่มวัยสามสิบจนใจ ยกมือยอมแพ้ “โอเค งั้นเรามาเลิกบุหรี่พร้อมกันตกลงไหม ฉันยอมแล้วนะ”

“หมายถึง...”

“ฉันจะเลิกบุหรี่เป็นเพื่อนเพื่อสุขภาพที่ดีของเราไง”

ตาสีซีดเหล่มองคนขับรถน้อยๆ คิ้วข้างหนึ่งยกสูงด้วยสงสัย เขานึกว่าทิวากานต์จะยอมพูดกับเขาดีๆ หาเหตุผลร้อยแปดมาเกลี่ยกล่อมให้เขายอมเหมือนที่แด๊ดทำเสียอีก หากคุณหมอกลับยอมเลิกบุหรี่เป็นเพื่อนเขาเนี่ยมันดูลงทุนมากเลยนะกับคนไข้คนหนึ่ง แต่จะให้เซ้าซี้เพื่อทะเลาะกันอีกรอบน่ะไม่เอาหรอก เห็นเหมือนจะใจดีแบบนี้แต่ความจริงโหดจะตายเมื่อกี้ยังแกล้งขับรถให้เขาหัวทิ่มอยู่เลย ดีเสียอีกมีคนเลิกบุหรี่เป็นเพื่อนเขาจะได้ไม่หงุดหงิดอยู่คนเดียว

“โอเค ตกลง ดีล!”

แล้วกำปั้นสองไซส์ก็ชกกันเบาๆ เป็นอันทำสัญญาลูกผู้ชายเรียบร้อย

.
.
.

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

♥ . . . HEART ATTACK . . . ♥ --- TRACK 12 [29.10.15]
« ตอบ #129 เมื่อ: 29-10-2015 22:00:08 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
ผจญสภาพจราจรนรกแตกติดแหง็กๆ อยู่บนทางด่วนเกือบชั่วโมง น้องกบคันสวยจึงได้ไต่ลงมาติดข้างล่างต่อ นอกจากเรื่องเลิกบุหรี่ที่ต้องบังคับให้อลันด์ทำให้ได้แล้วยังมีอีกเรื่องสำคัญคือลดน้ำหนัก ทิวากานต์คิดว่าไหนๆ จะต้องทำแล้วก็ทำมันเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยแล้วกันจึงถามคนข้างตัวเรื่องมื้อเย็นที่ต้องห้ามมัน ไม่เค็ม ไม่หวาน และอุดมไปด้วยผัก

“กินได้หมดแหละ แต่ขอแครอทกับฟักทองเยอะๆ ได้ไหม” โชคดีว่าอลันด์เป็นเด็กไม่เลือกกิน ซ้ำยังรีเควสของโปรดขึ้นมาเป็นตัวเลือกอีกด้วย เสนอมาพร้อมฟันหน้าสองซี่ใหญ่ๆ เหมือนกระต่าย น่ารักและน่าดีดไปในคราวเดียวกันจริงๆ

“งั้นมื้อนี้สุกี้ดีไหม มีทั้งเนื้อแล้วก็ผัก”

“โอเค ด็อกจะทำเองเหมือนวันนั้นด้วยป่ะ” วันนั้นคือวันอาทิตย์ของสัปดาห์ก่อนที่เขาลากเจ้าตัวแสบไปช่วยกันซื้อของใช้เข้าบ้าน เลยถือโอกาสทำสุกี้ไร้ผงชูรสร้อยเปอร์เซ็นต์กินเองเสียเลย อลันด์เหมือนจะติดใจน้ำจิ้มสุกี้ที่เขาทำด้วย สูตรนี้แม่เขาเป็นคนทิ้งไว้ให้ก่อนตายเลยนะ รับประกันความอร่อยจนแม่ช้อยต้องรำ

“ขี้เกียจ พรุ่งนี้ต้องทำงานอีก วันนี้กินห้างแล้วกัน”

เขาเลี้ยวรถเข้าห้างใกล้บ้าน หาที่จอดเรียบร้อยเสร็จสรรพดับเครื่องแล้วแต่ยังไม่ยอมออกไป ทิวากานต์เปิดเก๊ะหน้ารถหยิบไลท์เตอร์กับซองบุหรี่ออกมาถือก่อนแบมือตรงหน้าอลันด์

“บุหรี่”

“จะเอาไปทำอะไร”

“ทิ้งไง เลิกแล้วก็คือไม่สูบอีกจะเก็บไว้ทำไม” คำตอบของคนแก่กว่าบวกกับสายตาคมดุจ้องมาทำให้อลันด์จำใจหยิบซองบุหรี่กับไฟแช็กในกระเป๋าเป้ส่งให้อีกคน แม้แต่ส่วนที่แอบซ่อนไว้ก็ส่งให้เพราะคาดได้เลยว่าถ้าด็อกเตอร์จอมโหดรู้ได้ถูกว้ากแหงๆ

ทิวากานต์ลงจากรถ เดินไปทิ้งบุหรี่กับอุปกรณ์ทิ้งถังขยะท่าทางไม่เสียดายท่ามกลางสายตาละห้อยสีฟ้าซีด ปลายจมูกโด่งขยับฟุดฟิดเหมือนจะกลั้นน้ำตา บุหรี่นั่นซองตั้งหลายบาทแถมเขาเพิ่งสูบได้ตัวเดียวเอง

“ดูทำหน้าเข้า จะเสียดายอะไรขนาดนั้น” คุณหมอหันมองเด็กหนุ่ม เขายืนเท้าสะเอวอมยิ้ม อลันด์ทำเหมือนเขาเพิ่งทำอะไรร้ายแรงลงไปงั้นแหละ

“ก็มัน...”

“ถามจริง ทำไมถึงสูบบุหรี่ ฮึ ชอบเผาปอดมากหรือไง”

“ก็มัน...” เขาทวนคำเดิมออกมาอีกครั้ง ตาสีฟ้าซีดกรอกไปมาราวกับหาคำตอบให้ถูกหูคนถามมากที่สุด “เขาสูบบุหรี่กันเพื่อให้ร่างกายอุ่นนิ แล้วผมมันเป็นพวกขี้หนาว เลยชอบรมควันให้ปอดไง”

ตอบแล้วแถมยิ้มหวานให้อีกที เลยถูกคนตัวโตดึงเข้าไปกอดหัวกระแทกอกอีกคนดังปึ้ก ทิวากานต์แกล้งกดคออลันด์ไว้ไม่ให้ดิ้นหนีไปได้ พอจะโวยวายเสียงดังคุณหมอยิ่งล็อคไว้แน่นกว่าเดิม เขาอู้อี้กับอกอีกฝ่ายให้ปล่อยแต่เหมือนจะทำเป็นไม่ได้ยินเพราะคนขี้แกล้งหัวเราะกลบไปหมด

“กรุงเทพร้อนจะตายห่าบอกหนาว ไง....โดนฉันกอดแบบนี้หายหนาวยัง”

“โง้ย ด็อกบ้า หายใจไม่ออกเว้ย” หน้าขาวขึ้นสีแดงจัดหลังทิวากานต์ยอมผ่อนแรงให้อีกคนเงยหน้าขึ้นมาหายใจได้ หากไม่มากพอให้หลุดไปไหนได้ไกลเกินอ้อมกอดในวงแขนใหญ่ “ถามแต่คนอื่นเขา แล้วด็อกล่ะสูบบุหรี่ทำไม”

“นั่นสิ สูบทำไหมน้า” หน้าหล่อแกล้งทำท่าคิดทิ้งเวลานานจนถูกรองเท้าหนังของแอร์เมสกระทืบเข้าถึงก้มหน้ามองคนถาม “เวลาผ่าตัดมันเครียดไง เส้นประสาทตึงไปหมด ได้ขับรถเร็วๆ ก็ช่วยให้หายเครียดได้อยู่หรอก แต่กรุงเทพรถติดขนาดไหนเธอรู้ดีนี่ พอสูบควันเข้าปอดลึกๆ แล้วปล่อยมันออกมาดูควันสีขาวพวกนั้นเหมือนกับวิญญาณฉันที่พุ่งออกไปหาอากาศเลย พุ่งไปหาอิสระ...”

“งะ งั้นเหรอ แล้วต่อจากนี้ไปจะทำยังไงล่ะ หรือจะแอบสูบไม่ให้ผมรู้ ผมไม่ยอมนะ ในเมื่อเราสัญญากันแล้วน่ะ”

“เห็นฉันเป็นคนยังไงกันฮึ!” ทิวากานต์ตีหน้าดุ โน้มใบหน้าลงต่ำกว่าเดิมจนริมฝีปากเกือบชิดปลายจมูกโด่ง ใกล้เสียอลันด์ได้กลิ่นหอมของขนมกลีบลำดวนผสมกลิ่นน้ำหอมนุ่มๆ จากปากอีกคน “ฉันยอมให้เธอดมพิสูจน์กลิ่นทุกวันเลยเอ้า! แต่ในเมื่อฉันยอมแล้วเธอก็ต้องให้ฉันพิสูจน์ด้วยเหมือนกันนะ”

ด้วยความสัตย์จริงจากการใกล้ชิดทิวากานต์มาหลายเดือน คุณหมอวัยสามสิบตัวหอมมากแม้มีกลิ่นบุหรี่ผสานบ้างในบางวัน หอมจนอยากซุกตัวไถหน้าเข้ากับอกสูดกลิ่นให้ชื่นใจวันละหลายรอบ อยากเข้าห้องนอนไปดูเหมือนกันว่าใช้น้ำหอมอะไรแต่เจ้าของห้องไม่ยอมให้เข้าไปรื้อสักที ตอนนี้ต้องดมๆ จำกลิ่นไว้ก่อนเผื่อวันไหนแวะเคาน์เตอร์น้ำหอมจะได้ไปตามหามาใช้บ้าง

“ได้ จะดมทุกวันเลย ถ้าผมจับได้ว่าแอบสูบล่ะก็...”

 “ไม่สูบบุหรี่ฉันก็ไม่ขาดใจตายแบบคนบางคนหรอก ฉันน่ะมีวิธีคลายเครียดที่ดีกว่านั้นเยอะ”

“ยังไง”

“แกล้งเธอเล่นไง ผ่อนคลายสุดๆ เหมือนเล่นกับแมวเลย ฮ่าๆ”

“ด็อก! นี่คนนะไม่ใช่แมว โง้ย ห้ามๆ เอามือออกไปนะ อย่ามาขยี้ผมสิเสียทรงหมดแล้ว นี่หัวคนเว้ยไม่ใช่ท้องแมว”

ผลสรุปหลังจากการเล่นแมว เอ๊ย เล่นหัวอลันด์แทนการสูบบุหรี่แก้เครียด ทิวากานต์เลยได้รอยข่วนจางๆ ตรงข้างแก้มกับลำคอให้แสบเล่นตอนอาบน้ำมาสามสี่แผล นี่ขนาดบอกว่าเป็นคนไม่ใช่แมวนะยังฤทธิ์เยอะขนาดนี้ ถ้าเป็นแมวจริงๆ เขาได้โร่ไปฉีดบาดทะยักแบบไม่ต้องสืบ

.
.
.

หลังจากให้ทิวากานต์เป็นคนบอกมาดามโอเนลล์ทราบเรื่องลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวเป็นโรคผนังหัวใจรั่ว (ASD) ในวันเดียวกัน มาดามวัยห้าสิบปีนิดๆ แทบจะตีตั๋วจากลอนดอนมากรุงเทพเสียเดี๋ยวนั้นจนคุณหมอต้องตะล่อมเกือบชั่วโมงให้เข้าใจว่าอาการที่อลันด์เป็นไม่ร้ายแรงอย่างที่คิดและรักษาให้หายได้

กระนั้นมาดามโอเนลล์ก็ยังเป็นห่วงลูกชายมากอยู่ดีเธอจึงให้เลขานุการส่วนตัวจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวสุดสัปดาห์นี้แทน และมีความเป็นไปได้ว่ามิสเตอร์เอเดลมาร์คงไม่พลาดมาหาลูกชายสุดที่รักด้วยเช่นกัน

ก่อนวางสายกันไปเจ้าตัวแสบตะโกนบอกแม่เสียงดังว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใครหรือเพื่อนคนไหนเด็ดขาดโดยเฉพาะโธมัส ถึงจะงงๆ แต่มาดามโอเนลลืก็รับปากเมื่อเจ้าลูกชายตัวแสบให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้เพื่อนรักเป็นห่วง

แน่ล่ะ... ถ้าโธมัสรู้เรื่องนี้ เด็กหนุ่มผมทองหุ่นนักกีฬาชวนน้ำลายหกได้บินตรงจากมิวนิคมากรุงเทพทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย

แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปเช่นปกติเหมือนทุกวัน จนถึงวันที่สองสามีภรรยาโอเนลล์มาถึงกรุงเทพ เสียงทะเลาะกันล้งเล้งของพ่อลูกดังทะลุผ่านประตูห้องมาให้คุณหมอวัยสามสิบยืนซดกระทิงแดงฟังตาปริบๆ หลังเพิ่งกลับมาจากเวรตรวจที่โรงพยาบาลเอกชน

จับใจความได้ว่าคนพ่ออยากพาลูกชายกลับลอนดอนไม่ต้องอยู่มันแล้วประเทศไทย แล้วมีหรือที่คนลูกจะยอม เถียงกันลั่นสนั่นคอนโดจนมีเสียงเพล้งนั่นแหละทิวากานต์จึงยอมหน้าด้านเดินไปกดออดห้องฝั่งตรงข้าม เขายิ้มให้คุณเมษาที่ต้องมารับเคราะห์จากห้องข้างเคียงเป็นเชิงปลอบและบอกไปในตัวว่าเดี๋ยวเขาจัดการเอง

ปลายนิ้วนุ่มกดออดหน้าประตูสองครั้งเสียงในห้องก็พลอยเงียบไป ครู่เดียวมิสเตอร์เอเดลมาร์ก็เดินหน้าตึงมาเปิดประตู ชายอังกฤษพ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนค้อมหัวเล็กน้อย

“ขอโทษด้วยครับที่ทำเสียงดังรบกวน”

“ไม่เป็นไรครับ แต่ว่าคงไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกันใช่ไหมครับ”

“แค่เถียงกันเฉยๆ น่ะครับ”

“งั้นขอผมเข้าไปดูอลันด์ได้ไหมครับ” ทิวากานต์ฉีกยิ้มการค้า รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเสียมารยาทที่เข้าไปยุ่งเรื่องของครอบครัวคนอื่น แต่ในฐานะคนรู้จักคุ้นเคยกันกับเด็กแสบจะให้เขาปล่อยไปเฉยๆ ได้ยังไง

เอเดลมาร์ โอเนลล์มองหน้าศัลย์แพทย์หนุ่มลังเลครู่หนึ่งก่อนยอมเบี่ยงตัวให้อีกฝ่ายเข้ามา



สถานการณ์ในห้องไม่ได้แย่เท่าที่คุณหมอคิด เด็กลูกครึ่งตัวเท่าไหล่นั่งกอดอกเชิดหน้าบนโซฟาเดี่ยว ส่วนมาดามโอเนลล์นั่งสูดยาดมที่โซฟาอีกตัว ต้นเหตุเสียงเพล้งที่ทำให้ชายหนุ่มตัวสูงต้องมาเคาะประตูนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นพรมในสภาพแตกเป็นเสี่ยงพร้อมน้ำและเนื้อส้มไหลกระจาย ทันทีที่ตาสีฟ้าซีดเห็นหน้าทิวากานต์ปากอิ่มหยักก็ขยับฟ้องฉอดๆ

“ด็อก ช่วยพูดกับแด๊ดกับมัมที”

“หืม” เขาแกล้งเลิกคิ้วเหมือนไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มต้องการให้ช่วยเรื่องอะไร อลันด์หายใจฮึดฮัดก่อนลุกขึ้นมาดึงแขนอีกคนให้มาอยู่ใกล้ตัวคล้ายเป็นกำลังเสริม

“พวกเขาจะให้ผมกลับลอนดอน กลับแบบถาวรเลย ผมไม่ยอมนะ ไหนสัญญากันแล้วไงว่าจะให้ผมเรียนที่นี่ ถ้าให้ผมกลับไปผมก็ไม่ได้เป็นนักร้องสิ”

“แต่ที่เธอมานี่เพราะพ่อกับแม่กลัวหนีออกจากบ้านไปเป็นนักร้องไม่ใช่เหรอ ไม่ได้หมายความว่าอยู่ที่นู่น แล้วถ้าเรียนจบจะไม่ได้ทำตามสัญญาสักหน่อย” โดนกำลังเสริมย้อนกลับไปแบบนี้เด็กแสบถึงกับร้องเสียงหลง ตาสีฟ้าซีดแสดงออกว่าผิดหวังชัดเจน

“โอเค ไอซี ด็อกคงรำคาญอยากไล่ผมกลับลอนดอนเต็มที” เจ้าตัวตัดพ้อเสียงเบา ตาหลุบต่ำจนมองเห็นแพขนตาสีอ่อน ก่อนร่างนั้นจะวิ่งหนีขึ้นห้องนอนไปเมื่อคนเป็นพ่อเดินมาพูดซ้ำความตั้งใจเดิมที่เกิดขึ้นหลังทราบข่าวว่าลูกชายเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ

“เห็นไหม คุณหมอเขายังคิดเหมือนแด๊ดเลย อัลอย่าดื้อ กลับลอนดอนกับแด๊ดดีๆ อย่าให้ต้องบังคับ”

นี่ยังไม่บังคับอีกเหรอ ทิวากานต์คิดในใจเงียบๆ เขารอจนได้ยินเสียงปิดประตูห้องถึงหันมาหาพ่อแม่ไอ้เด็กแสบ รอยยิ้มทางการค้าถูกส่งไปอีกรอบ

“คุณหมอมาก็ดีเลยค่ะ น้ากำลังอยากคุยเรื่องอาการของอัลพอดี พอจะมีเวลาคุยไหมคะ”

“มีทั้งคืนเลยครับ” เขาว่าติดตลกพลางย่อตัวนั่งบนโซฟาที่อลันด์เคยนั่ง ส่วนเอเดลมาร์เดินไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดออกมาเก็บเศษแก้ว พวกคราบน้ำส้มไว้ค่อยให้แม่บ้านมาจัดการพรุ่งนี้

“อย่างที่เห็นนั่นแหละค่ะ น้ากับสามีอยากให้อัลกลับไปรักษาตัวที่ลอนดอนแล้วก็เรียนเสียที่นู่นเลย บอกตามตรงตอนที่ได้ยินว่าเขาเป็นผนังหัวใจรั่วหัวใจน้าแทบร่วง ถึงหมอวาจะบอกว่าไม่ร้ายแรงอะไรแต่หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะกลัวไปหมดแหละค่ะ”

ทิวากานต์พยักหน้ารับฟังอย่างเข้าใจ ทำงานตรงนี้เขาเจอคนไข้และญาติคนไข้มาหลายแบบ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นห่วงคนสำคัญของตัวเองกันทั้งนั้น ยิ่งกับลูกที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันก็อยากให้อยู่ใกล้ตา และตามประสาคนมีเงินคงอยากให้ได้รับการรักษาที่ดีที่สุด

“ผมเข้าใจที่คุณน้าทั้งสองกังวลนะครับ แต่ผมก็มีเรื่องอยากถามสักหน่อย คือปกติโรคผนังหัวใจรั่วเนี่ยมักจะเป็นกันตั้งแต่กำเนิดแล้วก็รักษากันตั้งแต่เด็ก แต่ว่าอลันด์เขาไม่รู้เลยว่าเป็น แถมยังบอกว่าตรวจสุขภาพทุกปีแต่ไม่เคยพบ ถ้าเทียบกับความยาวของรอยรั่วก็น่าจะรั่วมาได้พักใหญ่ๆ แล้ว ตรงนี้มันทำให้ผมเป็นกังวลน่ะครับว่าที่ผ่านมาเขาได้รับการตรวจรักษาแบบไหนกัน” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูสบายๆ เหมือนถามเรื่องทั่วไป หากสายตาที่ใช้มองผู้ใหญ่ทั้งสองกลับกดดันจนเกิดบรรยากาศแปลกๆ

“นั่นแด๊ดเขาก็สงสัยเหมือนกันจ้ะ อันที่จริงแล้วอัลเขาก็เป็นโรคนี้ตั้งแต่เกิดแหละแต่ว่ารูรั่วแค่สามมิล หมอเขาบอกว่าโตขึ้นก็จะหายไปเอง ตอนนั้นน้าพาเขาไปตรวจทุกเดือน สักสามขวบรูรั่วก็ปิดสนิท หลังจากนั้นก็ไม่มีอาการอะไรอัลเขาก็ใช้ชีวิตวิ่งเล่นได้ตามปกติ พวกน้าก็วางใจเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำจนหมอวาโทรมาบอกนี่แหละจ้ะ”

“อ่อ... ครับ” เขาพยักหน้ารับ “ความจริงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเท่าไหร่หรอกครับ อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วเลย อีกอย่างอาการที่อลันด์เป็นก็ไม่หนักมาก เขาแทบไม่มีอาการเหนื่อยง่ายหรือตัวเขียว ยังใช้ชีวิตปกติไปได้อีกหลายปีโดยไม่ต้องมาหาหมอด้วยซ้ำ แต่ที่ผมตัดสินใจบอกก็เพราะถ้ารักษาตั้งแต่ตอนนี้เขาจะไม่ต้องเสี่ยงอันตรายมากในวันข้างหน้าและไม่อยากให้พวกคุณน้าเป็นกังวลมากเกินไป”

“คุณหมออยากจะพูดอะไรก็พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า สำหรับนักธุรกิจแบบผมแล้วไม่ต้องการอ้อมค้อมให้เสียเวลา” ประโยคเรียบๆ จากมิสเตอร์เอเดลมาร์ที่เพิ่งจัดการเศษกระเบื้องบนพรมหมดจดเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าคุณหมอวัยสามสิบปีได้อีกครั้ง หากคราวนี้เป็นรอยยิ้มทะเล้นเหมือนถูกจับไต๋ได้

“ผมแค่อยากบอกว่าอาการที่อลันด์เป็นไม่หนักอะไรเลย ไม่จำเป็นต้องบินกลับไปลอนดอน อยู่รักษาตัวที่นี่ก็ได้ไม่ต้องผ่าตัด นอนโรงพยาบาลแค่คืนสองคืนก็ออกได้แล้ว หมอเมืองไทยมีเก่งๆ เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจเยอะแยะ อย่างหมอคนที่ผมพาน้องไปตรวจก็เป็นอาจารย์ของผมเอง จบมาจากสถาบันมีชื่อจากอเมริกา หรือถ้าคิดว่าที่ผมพูดไม่มีความน่าเชื่อถือพอก็ลองพาน้องไปตรวจที่โรงพยาบาลของคุณลุงน้องเขาเพื่อยืนยันคำพูดของผมก่อนก็ได้นี่ครับ”

“ที่คุณหมอพูดมาผมเข้าใจนะ แต่อย่างที่บอกหัวอกคนเป็นพ่อแม่ยังไงก็อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุด”

“แม้ว่าต้องทำร้ายจิตใจลูกงั้นหรือครับ” นายแพทย์หนุ่มเถียงขึ้นมาแทบจะในทันที และรีบใช้ช่วงเวลาที่ผู้ใหญ่ทั้งสองนิ่งเงียบไปพูดต่อ “สุขภาพร่างกายสำคัญก็จริงแต่สุขภาพจิตใจก็สำคัญไม่แพ้กัน ต่อให้ร่างกายแข็งแรงแต่ถ้าจิตใจมันอ่อนแอ ไม่ต้องห่วงหรอกครับอลันด์ได้ป่วยอีกแน่”

“หมอรู้ได้ไงว่าลูกผมจะไม่มีความสุขถ้ากลับไปลอนดอน อัลยังเด็ก เขาแค่อยากทำตามใจอยากมีอิสระ และตอนนี้ผมคิดว่าลูกผมเขามีอิสระมากพอแล้ว!”

“รู้ได้ไง? ก็ดูจากสิ่งที่เขาแสดงออกสิครับ คุณน้าเห็นไหมว่าเขาไม่อยากกลับไป ต่อให้อยู่ที่นี่มันลำบากแต่เขาก็พยายามเต็มที่เพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพวกคุณ แล้วจู่ๆ พวกคุณก็จะยกเลิกเพียงเพราะเขาป่วยด้วยโรคแค่นี้งั้นเหรอครับ ผมว่าคุณแค่อยากได้อลันด์กลับไปเดินตามเส้นทางที่คุณขีดไว้ให้เขามากกว่า จริงๆ แล้วคุณไม่ได้อยากให้เขาเป็นนักร้องแต่แรกอยู่แล้วนี่ ไม่วันนี้วันหน้าคุณก็หาเรื่องให้เขากลับไปกับคุณอยู่ดี ผมพูดถูกหรือเปล่าล่ะครับ”

“เหอะ! คุณมันก็แค่คนนอกจะไปรู้อะไร” มิสเตอร์โอเนลล์ถึงกับหน้าชาที่ถูกอีกฝ่ายพูดจี้ตรงตามที่เขาวางแผนไว้ทุกอย่าง และเมื่อเถียงสู้ไม่ได้เอเดลมาร์ก็เลือกกันทิวากานต์ออกไปเป็นคนนอกเสีย

“ใช่ครับผมก็แค่คนนอกที่เพิ่งรู้จักอลันด์ได้ไม่นาน แต่ก็มากพอที่จะรู้ว่าเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไรและมีความฝันยิ่งใหญ่แค่ไหน”

“นักร้องมันก็แค่นั้นแหละหมอถ้าไม่ได้ไปถึงจุดสูงสุด!”

“แล้วคุณก็กำลังดูถูกลูกคุณเองด้วยการบอกว่าเขาไม่มีความสามารถมากพอ!” ทิวากานต์ขึ้นเสียงดังตามอีกคน ตาคมจับจ้องมิสเตอร์เอเดลมาร์เขม็ง

“ในฐานะพ่อ ผมย่อมเลือกทางเดินที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดให้ลูก คุณยังไม่แต่งงานมีครอบครัวคุณคงไม่เข้าใจ”

เอเดลมาร์เป็นผู้ใหญ่หัวแข็งแบบที่ทิวากานต์ไม่ชอบจนถึงขั้นถอนหายใจใส่ต่อหน้า แม้รู้ดีว่าเป็นการเสียมารยาทแต่มันอดไม่ได้จริงๆ เขานั่งยืดหลังตรงบ่าตั้ง เมื่อรวมเข้ากับส่วนสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรยิ่งดูน่ากลัวจนทั้งมิสเตอร์และมาดามโอเนลล์ไม่กล้าออกปากพูดหรือตำหนิคุณหมออารมณ์ดีในมาดนี้

“ใช่ครับ ผมไม่เคยมีครอบครัว ตอนนี้ยังโสดและไม่คิดจะแต่งงานด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มเกริ่นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ถ้าใส่แว่นคงได้เห็นนิ้วเรียวยาวดันขาแว่นขึ้นพร้อมประกายวิ้งๆ เป็นเอฟเฟ็กต์ประกอบ “แต่แม่ผมเขาเลี้ยงผมโดยคาดหวังเพียงอย่างเดียว คือใช้ชีวิตกับความจริงอย่างมีความสุข เขาไม่เคยบอกให้ผมเป็นหมอ ไม่เคยบอกให้ผมเรียนนู่นนี่นั่น ไม่เคยบังคับให้ผมต้องทำอะไรที่ไม่อยากทำ และถ้าผมอยากทำอะไรเขาก็ไม่เคยห้าม แต่ถ้าผมไม่มีความสุขกับสิ่งที่ผมเลือกเมื่อไหร่ ตอนนั้นแม่จะทำหน้าที่แม่อย่างเต็มที่ สั่งสอนและเปิดโลกแคบๆ ของเด็กคนหนึ่งให้กว้างขึ้นกว่าเดิม”

ใบหน้าของคุณหมอยามพูดถึงมารดาผู้ล่วงลับเต็มไปด้วยประกายความสุขชัดเจนในดวงตา เสริมให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นน่ามองหลายเท่าตัวจนไม่อาจละสายตาได้

“กว่าจะมาถึงวันนี้ผมเลือกทางผิดมาก็เยอะ แต่ไม่มีทางไหนที่ไม่มีทางกลับเพราะผมรู้ว่าแม่จะรอผมอยู่ที่เดิมเสมอ ดูเหมือนไม่ห่วงลูกเลย แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงมั่นใจว่าแม่น่ะรักผมมากที่สุด ผมเข้าใจนะครับว่าแต่ละบ้านสอนลูกไม่เหมือนกัน แต่การปล่อยให้เขาได้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง มีความฝันเป็นของตัวเอง ผิดพลาดด้วยตัวเอง ไม่คิดบ้างเหรอครับว่ามันจะทำให้ลูกของเราเข้มแข็งขึ้นและสามารถเอาตัวรอดบนโลกนี้ได้ต่อไปในวันที่พวกคุณไม่อยู่กับเขาแล้ว”

“หมอวาบวชหรือยังคะ” หลังจากเงียบกันไปนาน มาดามโอเนลล์ก็เอ่ยถามขึ้นทำลายความเงียบ ใบหน้าไม่แสดงอาการยินดียินร้ายอะไรกับคำถามที่ดูจะไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เขาพูดไปก่อนหน้า กระนั้นทิวากานต์ก็ยอมตอบไปตามจริง

“ยังครับ และไม่คิดจะบวชด้วยครับ ผมไม่ถูกกับวัด เข้าไปแล้วร้อน”

บรรยากาศเครียดขนาดนี้ก็ยังตลกได้หน้าตาย เล่นเอาคนถามต้องกลั้นยิ้มจนแก้มตึงแต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมาก๊ากใหญ่อย่างห้ามไม่ได้ ปล่อยให้ผู้ชายต่างวัยสองคนในห้องหันมามองเป็นตาเดียว ไอ้ที่ดูเหมือนจะต่อยปากกันเมื่อครู่เลยกลายอมยิ้มกันคนละนิดละหน่อย

“คุณหมอเทศน์เก่ง เอ๊ย พูดเก่งมากค่ะ น้าฟังแล้วยอมเลย สู้ไม่ได้จริงๆ”

“บางทีต้องไปสอนนักศึกษาน่ะครับเลยติดมา”

“แต่แหม... ฟังคุณหมอพูดถึงแม่แล้วน้าอยากเจอตัวมากเลยค่ะ คงเป็นผู้หญิงที่เปรี้ยวน่าดู เสียดายที่เราเจอกันช้าไป”

ทิวากานต์อมยิ้มแก้มป่องเมื่อมีคนชมถึงมารดา บางทีถ้าเจอกันเร็วกว่านี้คนที่มาพูดฉอดๆ ใส่สองสามีภรรยาโอเนลล์คงเป็นแม่เขาแน่นอน

“ถึงผมจะไม่ชอบใจเท่าไหร่แต่ขอบอกว่าเขาสอนคุณมาดีจริงๆ ผมเถียงไม่ทันเลย” มิสเตอร์เอเดลมาร์ก็ยังต้องยอมแพ้ กระนั้นตาสีฟ้าเหมือนลูกชายก็ยังจ้องเขาไม่ใคร่จะพอใจนัก “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ผมจะพาอัลไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกที ถ้ามันไม่มีอันตรายอย่างที่คุณว่า ผมจะยอมให้ แต่ถ้าไม่เราจะกลับลอนดอนกันพรุ่งนี้เลย”

“ผมไม่มีสิทธิตัดสินใจอยู่แล้วนี่ครับ” ทิวากานต์ตอบตามตรงทว่าแววตาท้าทายอีกฝ่ายชัด

“หึ”

“งั้นผมขอตัวกลับล่ะครับ เจอกันพรุ่งนี้” เขาค้อมตัวให้ผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนเดินผิวปากออกมาจากห้อง จงใจกวนมิสเตอร์เอเดลมาร์ที่ส่งสายตาขับไล่ตามหลังพอให้อารมณ์ดีก่อนนอน



เสียเวลาที่ห้อง 2112 ไปเกือบชั่วโมง ทิวากานต์กลับมาเปิดคอมพิวเตอร์ ระหว่างรอเครื่องบูทก็เดินไปเอาอาหารแช่แข็งใส่ไมโครเวฟ ถึงอาหารพวกนี้ไม่ค่อยอร่อยถูกปากแต่ในยามที่ไม่อยากเปิดตู้เย็นรื้อของสดมาทำให้ยุ่งยากตอนเกือบสี่ทุ่มก็ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

เขานั่งกินข้าวหน้าโต๊ะคอมสลับอ่านกระทู้รถในเว็บคอมมูนิตี้ชื่อดังจนเกือบเที่ยงคืน ร่างสูงถึงยอมลุกจากเก้าอี้เดินไปทิ้งกล่องอาหารแล้วเข้าห้องน้ำชำระร่างกายเตรียมตัวเข้านอน

เอาน้ำราดหัวฟอกสบู่จนตัวสะอาดหอมฟุ้งนั่นแหละคุณหมอวัยฉกรรจ์โสดฟ้อหล่อเฟี้ยวถึงเดินพันผ้าขนหนูออกมา ทิวากานต์ดูเฟซบุ๊คเป็นครั้งสุดท้ายทั้งที่ยังไม่แต่งตัวก่อนปิดคอมคว้ามือถือเดินขึ้นห้องนอน พลางกดโทรศัพท์เช็คหลังเห็นแสง LED สีฟ้าจากหัวมุมโทรศัพท์กระพริบตั้งแต่ออกมาจากห้องน้ำ คงมีข้อความอะไรสักอย่างเข้า

‘ไปหาได้ไหม’

ข้อความสั้นๆ จากไอ้ตัวแสบห้องตรงข้าม เขานึกว่าเด็กนั่นจะหลับไปแล้วเสียอีก ดูจากเวลาที่ส่งก็ตอนเขาไปอาบน้ำพอดี คุณหมอฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันบนเรียงเป็นระเบียบ นิ้วยาวๆ จิ้มตอบกลับไปเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้

‘มาได้ก็มา’

ไม่เกินนาทีเสียงออดรัวๆ อันมีเอกลักษณ์เกินจะด่าจึงดังขึ้นให้ปวดหัว ทิวากานต์หัวเราะคนเดียวเสียงดัง ร่างสูงก้าวลงบันไดทั้งที่ยังไม่ได้แต่งตัวให้เรียบร้อย เพียงเปิดประตูร่างอ้วนกลมก็พุ่งเข้ากอดตัวเขาหมับ หน้าใสเงยขึ้นมองตาเขาพูดเสียงอ้อน

“ขอนอนด้วยนะ”

“หนีออกจากบ้านหรือไง เดี๋ยวเขาตื่นมาไม่เจอก็ตกใจหรอก”

“ช่างสิ” เจ้าเด็กตัวเท่าไหล่ว่า แป๊บๆ ก็ผละตัวเดินเข้าห้องทิวากานต์เฉย แล้วเจ้าของจะทำอะไรได้นอกจากส่ายหน้าให้ เขาปิดประตูห้องลงกลอน เดินนำอลันด์ขึ้นไปบนห้องนอน นิ้วยาวชี้ไปที่เตียงบนให้อีกคนไปนอนรอระหว่างเขาแต่งตัว

เจ้าเด็กดื้อที่พอจะเริ่มว่าง่ายกระโดดขึ้นเตียงคว้าหมอนข้างกอดหมับ ร่างกลมๆ กลิ้งไปกลิ้งมาหลายตลบก็ไม่ตกเตียง “เตียงใหญ่เว่อร์ เหมือนเตียงทอมเลย”

ทิวากานต์หัวเราะคิกหลังได้ยินเสียงไอ้ตัวแสบหัวเราะมาจากที่นอน พอเขาโผล่หน้าเข้าไปดูระหว่างทาครีมถึงเห็นอลันด์นอนคว่ำเอาหน้าซุกหมอนแต่เท้าดีดไปมาในอากาศเหมือนเด็กอนุบาลจนต้องดุไปที “นอนดีๆ อย่านอนคว่ำ”

“คิกคิก”

“หัวเราะอะไร ตอนหัวค่ำยังเบะปากใส่เขาอยู่เลย” แต่งตัวเสร็จคุณหมอถึงได้พาตัวใหญ่ๆ มานั่งขอบเตียง มือดันร่างกลมอวบให้กลิ้งไปอีกฝั่งแล้วค่อยตลบผ้านวมออกมาสะบัดคลุมเด็กแสบ

“ก็... แต่ตอนนี้รักด็อกนะ” อลันด์มุดหัวออกมาจากผ้าห่ม ทำหน้าลังเลคิดคำแก้ตัวไม่ออกเลยบอกรักเอาใจซะ เขาควรดีใจไหมเนี่ย ทิวากานต์ยิ้มขำพลางมองไอ้ตัวแสบกลิ้งไปมาใต้ผ้าห่ม

“Chest to chest, nose to nose, palm to palm, we were always just that close” เด็กฝรั่งเลิกคิ้วสูงเมื่อจู่ๆ คุณหมอก็พูดภาษาอังกฤษออกมาเหมือนท่องกลอนแถมประโยคยังชวนเสียตัวอีก บวกกับที่เขาพูดบอกรักอีกคนไปงั้นๆ พาเอาหนาวสันหลังวูบ แต่ก่อนได้ตีโพยตีพายไปไกลทิวากานต์ก็เฉลยออกมาก่อน “ไม่เคยฟังเหรอ California King Bed ของ Rihanna อ่ะ”

“ไม่ฟังเพลงป๊อบ” แมนๆ แบบอลันด์ไม่ฟังเพลงผู้หญิงตัดพ้อต่อว่าคนรักแบบนั้นหรอก อย่างเขามันต้อง Arctic Monkeys อะไรแบบนี้ ร็อคแอนด์โรลเท่านั้น

“จ้าๆ” จัดการขยี้หัวอีกคนพอหายมันเขี้ยวสักทีถึงทิ้งตัวลงนอนบนเตียงไซส์ California King สำหรับคนตัวใหญ่เกินชาวบ้านเขา มือหนึ่งคว้านบนหัวเตียงหยิบรีโมทดับไฟจนทั้งห้องมืดสนิท อีกมือยื้อยุดฉุดกระชากหมอนข้างกับไอ้ตัวแสบใต้ผ้าห่ม แต่ดึงเท่าไหร่อีกคนก็ไม่ยอมปล่อยเกาะเป็นแมวอยู่นั่น คนแก่กว่าเลยยอมแพ้ให้แมวหลงมันยึดไปนอนกอดคืนเดียวคงไม่ตาย

ทิวากานต์หลับตาตั้งใจนอนหลังปล่อยให้อลันด์ขยับตัวหาท่านอนอยู่นานจนเวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน รอยยิ้มจางปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดเมื่อได้ยินคำขอบคุณจากคนนอนข้างกันบนเตียงหลังใหญ่ คำสั้นๆ ง่ายๆ แต่ทำให้เขาหลับสนิทตลอดคืน



TBC

อ่านคอมเม้นต์ตอนที่แล้วอยากกดบวกเป็ดรัวๆ ให้หลายคห.มากค่ะ ถูกใจสุดๆ ฮ่าๆ
ขอบคุณทุกความคิดเห็นและบวกเป็ดนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่า

จุ๊บๆ

 :mew1:

ปล. LOVE | HATE : ลวงใจ ก็ลงแล้วนะคะ ฝากติดตามกันด้วยเน้อ ><

-------------------------------------------

คุณ kawisara - ใช่ค่ะ อิน้องอัลมันก็ให้ท่าเพื่อนหมานั่นแหละเรื่องมันถึงเป็นแบบนี้ แต่พอเขาไม่รักตอบแถมยังทำซาดิสม์ใส่นางถึงเพิ่งจะมากลัว เด็กคนนี้น่าตีมากเนอะ 5555

คุณ waterlily - ถูกต้องค่ะ!

คุณ coupdetat - พี่วาแค่เป็นห่วงเด็ก พี่วาผิดอัลไลคะ ;w;

คุณ Supparang-k - ไม่ต้องไปสงสารน้องอัลมากหรอกค่ะ ทำตัวเองทั้งนั้น สมควรโดนแล้วจริงๆ *^*

คุณ malula - ไม่ต้องกังวลเรื่องป๋ารันเลยค่ะ ป๋าแกเป็นแค่คุณน้าใกล้วัยทองขี้เหงาคนนึงเท่านั้นเอง ฮ่าๆๆๆ

คุณ pim-lovemj - จะไปฝากบอกพี่วาให้นะคะ ^^

คุณ fuku - ทอมดีทุกอย่างแต่โง่ก็แค่เรื่องนี้แหละค่ะ ขอบคุณที่เข้าใจน้องอัลนะคะ

คุณ ดาวโจร500 - ถ้าจะขอพี่วาคงต้องผ่านเด็กแสบไปก่อนล่ะค่ะ ฮ่าๆๆ ปล. วันๆ ทำเคสหัวหมุนหาเวลากินข้าวเที่ยงให้ตรงเวลายังไม่ค่อยจะได้เลย จะให้ข้ามไปกินข้าวกะเด็กแสบนี่คงต้องรออีกนานเลยล่ะค่ะ ชีวิตหมอมันเศร้า ;-;

คุณ VarainDark - ใกล้แล้วล่ะค่ะ รอกันอีกนิดนะคะ นิดเดียวจริงๆ ฮี่ๆ

คุณ __oo__ - ทำเพจไม่เป็นอ่าค่ะ เปลี่ยนเป็นทวิตเตอร์แทนได้ไหมคะ ถนัดทางนั้นมากกว่าค่ะ ;-;
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2015 22:17:56 โดย บัวน้อย ไร่แตงโม »

ออฟไลน์ ★KVH™★

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 516
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
หมอวาเทศน์ซะ
พ่อแม่น้องไปต่อไม่ถูกเลย

ออฟไลน์ VarainDark

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
หมอวาสปอยไอตัวแสบมาไปแล้วน้าาาาาาาา

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :laugh:

หมอวา เอาใจนี่ไปเลย

ออฟไลน์ Mokuchi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ชอบเรื่องนี้!!! และชอบพระ-นายเรื่องนี้มากกกก!!!
คือเรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันเป็นไปแบบธรรมช๊าติธรรมชาติมากอ่ะ เรื่อยๆดี คนแต่งเก่งมากๆเลย :L2: :L2:

จริงๆตามอ่านมาตั้งแต่แรกๆแล้ว แต่ไม่เคยมาเม้นเลย(กราบขอโทษค่ะ ; _ ; )เพราะนึกคำที่จะพิมพ์ไม่ค่อยออก
เน้นบวกเป็ดให้อย่างเดียว เดี๋ยวต่อจากนี้จะมาเม้นบ่อยๆนะคะ อยากเป็นกำลังใจให้คนแต่ง><



ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อื้อหือ หมอวาแทบจะเป็นเทวดาสำหรับน้องอัลไปแล้วนะนี่ ออกหน้าทุกเรื่องทุกอย่าง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
หมอวาเนี่ยให้อารมณ์ประมาณว่าเป็นคุณน้ายังหนุ่ม ไม่ก็พี่ชายคนโตที่คอยให้คำปรึกษาแก่น้องๆหรือคอยแก้ปัญหาให้น้องๆเลย

ออฟไลน์ pim-lovemj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :กอด1: พี่หมอวา ตามใจน้องอัลจังเลยค่ะ น่ารักกกกก

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
คุณพ่อน้องอัล แคบไปนะด้านวิสัยทัศน์

ออฟไลน์ 111223

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 909
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-5
หมอวาถึงลุคจะดูร้ายๆ แต่เป็นคนที่อ่อนโยนกับคนที่ตัวเองใส่ใจมากๆ รอลุ้นตอนต่อไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
อร้ายยยยยยยยยย คงได้รักกันเร็วๆนี้ พัฒนานะเนี่ยนอนเตียงเดียวกัน :hao6:

Fcหมอวา จริงๆนะ ผู้ชายอะไร :ling1:จาอาววววววว หมอรันก็โอนะ
อะไรกันนี่โรงพยาบาลนี้ อุดมด้วยทรัพยากรเลอค่า555555

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
หมอวาเทศน์เก่งจน(ว่าที่)พ่อตาแม่ยายยอมใจ 55555   

โอ้ยยนย..น้องอัลหนีมานอนกะหมอแถมมีบอกรักหมออีก  อร๊ายยยย...คือมันดีกะใจ

ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
วันนี้ไม่ว่างมาลงนิยายเลยค่ะ
ขอแอบเอารูปพี่วาน้งอัลมาฝากแก้ขัดไปก่อนนะคะ
ส่วนนิยายพรุ่งนี้เย็นๆ จะมาลงค่ะ ^^

แล้วเจอกันนะคะ จุ๊บ

 :mew1:




ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
♥ . . . HEART ATTACK . . . ♥ --- TRACK 13 [03.11.15]
«ตอบ #143 เมื่อ03-11-2015 16:56:01 »

TRACK 13



ตีห้าครึ่งไม่น่าใช่เวลาปกติที่จะมีคนมากดกริ่งเรียกหน้าบ้าน ฉะนั้นคิ้วหนาๆ ของคุณหมอจึงอดขมวดเข้าหากันไม่ได้ตอนได้ยินเสียงกดกริ่งแบบมีมารยาท แน่นอนว่าไม่ใช่ไอ้ตัวแสบห้องตรงข้ามแน่ ก็ตอนนี้อลันด์ยังนอนเป็นตายกอดหมอนข้างของเขาอยู่ข้างบนอยู่เลย

ทิวากานต์ตัดสินใจวางแก้วกาแฟแล้วเดินไปเปิดประตู พอเห็นเป็นหน้ามาดามโอเนลล์จึงระบายยิ้มอ่อน เข้าใจล่ะว่าอีกฝ่ายมาเคาะประตูห้องเขาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างทำไม สงสัยแค่นิดเดียวเท่านั้นว่าคนบ้านนี้ตื่นกันเช้าดีจริง

“นอนอยู่ข้างบนน่ะครับ” เขาตอบก่อนที่หล่อนจะถามเสียอีก เท่านั้นคนเป็นแม่ก็ถอนหายใจโล่งอก

“น้าตกใจหมดตอนเปิดประตูห้องนอนเจ้าอัลไปแล้วไม่เจอ นี่ดีว่านึกถึงหมอวาได้ก่อนไม่งั้นพ่อเขาจะไปแจ้งความแล้วจ้ะ”

“หนีมานอนด้วยตั้งแต่เมื่อคืนน่ะครับ ว่าแต่ตื่นเช้ามากเลยนะครับ”

“จะพาอัลไปให้หมอที่โรงพยาบาลลุงเขาตรวจนั่นแหละค่ะ เมื่อคืนน้าคุยกับเขาแล้วพูดเหมือนหมอวาเลยว่าไม่น่าเป็นห่วง แต่เอเดลมาร์น่ะไม่ยอมเชื่อจนกว่าจะถึงมือหมอจริงๆ น้ากลัวเขาจะบ้าเสียก่อนเลยว่าจะรีบไปแต่เช้าน่ะจ้ะ แต่หมอก็ตื่นเช้าเหมือนกันนี่คะ มีธุระหรือเปล่า”

“ไปทำงานน่ะครับ รับจ๊อบหาเงินเติมน้ำมันรถ” ชายหนุ่มหัวเราะอารมณ์ดี แหม...เห็นเขาเป็นหมอเถื่อนงั้นสิถึงไม่ยอมเชื่อกันเนี่ย แต่ลองมาดามโอเนลล์พูดแบบนี้แล้วอลันด์คงได้อยู่ไทยต่อแน่ๆ “งั้นเดี๋ยวผมไปปลุกน้องให้แล้วกันครับ”

“จ้ะ ฝากด้วยนะจ๊ะ”

เขายืนรอส่งมาดามโอเนลล์กลับเข้าห้องไปแล้วถึงปิดประตูเดินขึ้นชั้นบนไปปลุกไอ้ตัวแสบ อลันด์นอนตะแคงซุกหมอนข้างใบหน้าเกินเจ็ดสิบเปอร์เซ็นจมหายไปด้านล่าง ผ้านวมผืนหนาปิดขึ้นมาถึงคาง ท่าเดิมกับตอนที่เขาตื่นเป๊ะ เป็นเด็กที่ไม่นอนดิ้นไม่กรนให้หงุดหงิดดีจริงๆ แล้วทำไมตอนอยู่กลาสตันเบอรี่ถึงกลิ้งมาทับเขาได้อันนี้ก็ไม่แน่ใจจะบอกว่าเตนท์มันแคบก็คงเป็นได้

ฝ่ามือหนาเอื้อมไปแตะตรงส่วนที่น่าจะเป็นหัวไหล่อีกฝ่ายเขย่าพลางส่งเสียงเรียกอยู่แป๊บเดียวไอ้ตัวแสบก็ครางอือๆ อาๆ ออกมาทั้งตาปิด

“ไอ้แสบ ตื่นได้แล้วแม่มาตาม”

“อือ...”

“ไม่อือ ลุกเร็ว”

ร่างกลมๆ พลิกหน้าหนีไปอีกทาง คิ้วเรียวโก่งขมวดเข้าหากันนิดๆ ก่อนจะเอนตัวขึ้นนั่ง หากตาสีฟ้าซีดยังซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวหนังเช่นเดิม ปากอิ่มหยักขยับครางเรียกหาแม่เหมือนลูกแมว “มัม...”

“ลุกไปหาแม่เร็ว”

“ไม่อาว... โกรธมัมแล้ว”

ทิวากานต์มองเด็กฝรั่งนั่งหลับคอพับลงไปอีกรอบ เออแหะ...น่ารักดี แต่ถ้ามัวแต่ปล่อยให้อืออาอยู่แบบนี้เขาคงได้ไปทำงานสาย มองอลันด์ครู่เดียวก็ตัดสินใจดึงอีกฝ่ายลงมาจากเตียง ตบก้นเบาๆ ให้เดินไปข้างหน้า

“กลับไปอาบน้ำที่ห้องซะ แล้วค่อยไปเจอกันที่โรงพยาบาล”

“หือ...” ตาสีซีดเพิ่งได้ฤกษ์ลืมขึ้นมองโลก เจ้าตัวหรี่ตานิดๆ มองหาคุณหมอตัวใหญ่ สองมือจับหมับเข้าที่แขนอีกฝ่ายทันทีที่เจอ “ไปพร้อมด็อกไม่ได้เหรอ”

“กว่าจะรอเธออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็สายน่ะสิ ไปๆ กลับห้องไปอาบน้ำแล้วเจอกัน”

“อืออออออออ” ลากเสียงยาวเป็นอันตกลงแล้วค่อยเดินเตาะแตะตามหลังทิวากานต์ลงไปข้างล่าง ก่อนจะกลับห้องตัวเองไม่ลืมวิ่งมากอดคุณหมออีกทีแทนคำขอบคุณที่ให้ที่ซุกหัวนอนจนเขาต้องกลั้นยิ้มแก้มแทบแตก

อลันด์ตอนตื่นนอนทำไมโคตรน่ารักว่าง่ายแบบนี้ ดีกว่าเวอร์ชั่นสติมาเต็มพร้อมกวนตีนสิบเท่าแบบตอนปกติอิ๋บอ๋าย อยากให้งัวเงียๆ แบบนี้แม่งทั้งวัน จนอยากไปปรึกษาหมอวิสัญญีหาทางวางยาไอ้ตัวแสบเลยเนี่ย หึหึ

.
.
.

“อย่างที่พี่ชายบอกเราตั้งแต่เมื่อคืนนั่นแหละน้องหญิง อาการน้องอัลไม่น่าเป็นห่วงเลย ออกจะแข็งแรงด้วยซ้ำ แล้วนี่ก่อนหน้านี้ไปตรวจที่ไหนมาก่อนนะ” ชายหนุ่มวัยเกือบหกสิบปีท่าทางอารมณ์ดีหันมาหาหลานชายพร้อมอาการยักคิ้วหลิ่วตา

“โรงพยาบาล...ครับ”

“ถ้าเป็นที่นั่นยิ่งไม่ต้องห่วงเลยน้องหญิง เรื่องโรคหัวใจยกให้เป็นอันดับหนึ่งเลย หมอจากที่นั่นหลายท่านก็ทำงานให้ที่นี่ ถ้าไม่อะไรให้รักษาต่อที่นั่นก็ได้เขามีหมอเด็กที่เชี่ยวชาญเรื่องสวนหัวใจรักษาโรคนี้อยู่ ไม่ต้องถึงมือหมอศัลย์แบบหมอวาของน้องอัลด้วยซ้ำ นอนพักแค่คืนเดียวก็กลับบ้านไปกลิ้งเล่นได้แล้ว”

ได้ยินแบบนั้นมาดามโอเนลล์หรือน้องหญิงของพี่ชายก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอเดลมาร์เองดูคลายความกังวลได้เยอะ หากกระนั้นเขาอดตีหน้าบึ้งไม่ได้เมื่อพี่เขยพูดถึงคุณหมอห้องตรงข้ามลูกชายขึ้นมา แถมไอ้ลูกชายยังทำตาวิบวับชอบใจเกินหน้าเกินตาอีก บอกตรงๆ หมั่นไส้ไอ้คุณหมอทิวากานต์มาก มันไปเป็นของลูกชายเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!

“งั้นน้องคงให้อัลรักษาตัวที่นั่นเหมือนเดิมล่ะค่ะ เห็นหมอวาเขาบอกว่าให้อาจารย์เขาช่วยดูให้เลย ก็คงส่องกล้องตรวจอีกทีแล้วค่อยนัดวันสวนหัวใจ”

“จ้ะ ว่าแต่ลุงไม่ยักรู้เลยนะว่าน้องอัลรู้จักกับหมอวาด้วย”

“เป็นเพื่อนบ้านกันน่ะค่ะ ช่วงที่อัลมาอยู่นี่ก็ได้หมอเขาช่วยดูแลให้ตลอด” คนเป็นแม่ตอบแทนลูกชาย

“หรือว่าที่หมอวาไปเที่ยวอังกฤษแล้วนอนบ้านคนรู้จักนี่ก็บ้านน้องหญิงน่ะสิ”

“ใช่ค่ะ”

“ดีเลยๆ สนิทกันแบบนี้ช่วยจีบหมอวาให้พี่หน่อย”

“ขา?” มาดามโอเนลล์ถึงกับร้องเสียงหลง จู่ๆ พี่ชายก็จะให้ไปจีบคุณหมอวัยคราวลูกเนี่ยนะ แม้แต่เจ้าลูกชายยังมองคุณลุงเหรอหรา “ให้น้องไปจีบหมอวาเนี่ยนะคะ”

“ใช่ๆ อัลก็ช่วยลุงจีบหมอวาด้วยนะ”

เอเดลมาร์ โอเนลล์ตีหน้าบึ้งใส่พี่เขย ให้ภรรยาเขาไปจีบไอ้หมอกวนประสาทนั่นก็แย่แล้วยังจะให้ลูกชายเขาไปจีบอีกเหรอ พี่เขยก็พี่เขยเถอะ งานนี้ได้มีต่อยกันแน่

“เอ่อ... ไม่ดีมั้งคะ”

“ดีจะตายทำไมจะไม่ดี เนี่ยน้องหญิงรู้ไหมหมอวานะป๊อบมากเลย มีแต่คนอยากได้ตัวทั้งนั้น พี่ชายก็จีบแล้วแต่หมอวาใจแข็งไม่ยอมมาประจำที่โรงพยาบาลสักที”

คำว่าโรงพยาบาลทำให้ครอบครัวโอเนลล์ร้องอ๋อในใจออกมาพร้อมกันทันที แหม่...ก็จู่ๆ เล่นพูดขึ้นมาว่าให้จีบก็นึกว่าอยากได้มาเป็นแฟน ที่ไหนได้จะให้มาทำงานที่โรงพยาบาลนี่เอง พ่อแม่ลูกมองตากันปริบแล้วก็ต้องหันไปฟังเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังสาธยายคุณสมบัติหมอทิวากานต์ออกมาเหมือนเปิดก็อก

“พี่เล็งหมอเขาไว้ตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว ทั้งเก่งทั้งหล่อแบบนี้มาอยู่นี่โรงบาลพี่มีแต่ได้ อย่างน้อยคนไข้ผู้หญิงก็ขอสมัครเป็นคนไข้ของหมอวายาวเป็นหางว่าวล่ะ เลยให้มาเป็น GP ก่อนทั้งที่ปกติโรงบาลพี่ไม่ค่อยรับพวกหมอที่ยังไม่จบเฉพาะทาง กะว่าสอบได้เมื่อไหร่จะให้ประจำที่นี่แล้วหมอเขาก็สอบได้ตอนสามสิบพอดี ดูสิ หมอศัลย์เฉพาะทางอายุเท่านี้หายากนะถ้าไม่ใช่ของจริง แต่หมอวาใจแข็งเหลื๊อออเกิน ไม่ยอมมาประจำสักที เสนอเงินเดือนสวัสดิการแบบดีสุดๆ ให้แล้วก็ไม่ยอมมา เขาบอกเงินไม่ใช่ปัญหาแค่อยากทำตามใจตัวเองมากกว่า”

คิ้วมิสเตอร์เอเดลมาร์กระตุกเป็นจังหวะทุกครั้งที่พี่เขยพูดชมหมอหน้าหล่อห้องตรงข้าม เห็นหน้าอ่อนแบบนั้นนึกว่าจะเป็นพวกเก๊กหล่อไปวันๆ แต่ถึงมีดีจริงมันก็ไม่ชอบใจอยู่ดีนั่นแหละ

“นี่หมอวาเขาเก่งขนาดนี้เลยเหรอคะ น้องก็เพิ่งรู้เพราะหมอเขาไม่ค่อยเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังเท่าไหร่ โชคดีของอัลจริงๆ ที่ได้รู้จักกับหมอเขา”

อลันด์พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของมารดา โชคดีจริงๆ นั่นแหละที่ได้รู้จักกันโดยไม่ตีกันไปก่อนเพราะตอนนั้นเขาก็กวนตีนไปหลายดอกอยู่ รอดมาถึงตอนนี้แบบไม่โดนอีกคนกระทืบได้ยังไงยังไม่แน่ใจ

“นั่นสิโชคดีจริงๆ งั้นลุงฝากน้องอัลตะล่อมหมอเขาหน่อยนะ”

เจ้าตัวไม่รับปากแต่ส่งยิ้มหวานประจบไปให้แทน ตอนนี้ชักเข้าใจแล้วว่าทำไมด็อกถึงไม่ใช้เขาเป็นสะพานเข้าหาลุงเพื่อขยับหน้าที่การงานทั้งที่จะทำก็ทำได้ แถมยังออกแนวหลีกเลี่ยงอีกต่างหาก เวลาที่ต้องมาทำงานที่โรงพยาบาลพร้อมกันก็เลือกไม่ทำตัวสนิทกันมากนัก ทิวากานต์คงไม่อยากทำงานประจำที่โรงพยาบาลเอกชนสักเท่าไหร่แม้ที่นี่จะใกล้บ้านมากกว่าก็ตาม แต่เพราะอะไรทำไมอันนั้นคงต้องไปถามเจ้าตัวเอง

“ดีล่ะ ไหนๆ วันนี้ก็อยู่กันพร้อมหน้างั้นเดี๋ยวพี่เลี้ยงมื้อเที่ยงเอง น้องอัลไปชวนหมอวาเขามาด้วยสิ”

“จะว่างหรือครับ” เด็กหนุ่มถามตามตรง ตั้งแต่เขามาถึงโรงพยาบาล ถูกจับไปตรวจนั่นตรวจนี่จนมานั่งตรงนี้ก็เกือบเที่ยงแล้วแต่ยังไม่เห็นหน้าคนที่บอกว่าเจอกันที่โรงพยาบาลเลยสักกระผีก แล้วปกติกว่าคุณหมอจะว่างก็เกือบบ่ายนู่นแน่ะ

“เดี๋ยวลุงให้เลขาเขาเช็คก่อน สักบ่ายๆ น่าจะว่างแล้วล่ะ แล้วน้องหญิงกับเอเดลมาร์อยากกินอะไรดีล่ะ”

“ตามแต่พี่ชายเลยค่ะ” ภรรยาของเอเดลมาร์ตอบให้เสร็จสรรพไม่ใส่ใจกับอาการหน้าตึงเหมือนอมยาขมไว้ในปากของสามีเสียเท่าไหร่ โชคเข้าข้างมิสเตอร์เอเดลมาร์อยู่บ้างที่ให้เวลาทำใจอีกหลายชั่วโมง หลังพี่เขยโทรไปสอบถามกับทางคุณหมอแล้วพบว่าอีกฝ่ายมีคิวตรวจคนไข้ยาวเหยียด มื้อเที่ยงจึงเปลี่ยนเป็นดินเนอร์ที่ห้องอาหารชั้นดาดฟ้าโรงแรมแถวสาทร-พระรามสี่แทน

แค่คิดว่าต้องไปนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกับหมอนั่นแล้วเห็นภาพลูกชายสุดที่รักเจ๊าะแจ๊ะกับอีกคนในอกก็ร้อนรุ่มเหมือนดั่งไฟสุมทรวงทะลวงอกฉัน ให้ตายเถอะ! ตอนอยู่อังกฤษเขาไม่เคยรู้สึกกับอีกฝ่ายแบบนี้เลย มันต้องเพราะไอ้ตัวแสบหอบผ้าหอบผ่อนหนีไปนอนกับทิวากานต์เมื่อคืนแน่ๆ!



บรรยากาศยามเย็นด้านนอกชั้นยี่สิบเก้าของโรงแรมหรูหราระดับห้าดาวออกจะอบอ้าวเล็กน้อยเมื่อฝนทำท่าจะตก อลันด์ที่เดินมาด้อมๆ มองๆ ส่วนบาร์ของห้องอาหารได้แต่ภาวนาว่าถ้าไม่โชคร้ายเกินไปเขาอยากจะมานั่งจิบคอกเทลรสดีสักแก้วตรงที่นั่งริมกระจกชมกรุงเทพและสวนลุมพินียามค่ำคืนหาแรงบันดาลใจแต่งเพลงรักสักเพลง

เสียงมาดามโอเนลล์เรียกเข้ามาในหูทำให้เขาต้องยอมล่าถอย หมุนตัวกลับไปที่โต๊ะอาหารที่คุณลุงได้จองไว้ หลังกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและถกเถียงกันอีกพักใหญ่ครอบครัวเขาจึงมาถึงโรงแรมก่อนเวลานัดสักสิบนาทีได้ แด๊ดดูเหมือนจะไม่ชอบด็อกขึ้นมาดื้อๆ ทั้งที่ตอนไปอังกฤษยังชมนู่นนี่นั่นไม่ได้ขาด อดคิดไม่ได้ว่าบางทีผู้ชายตัวใหญ่ปากร้ายคนนั้นคงไปกวนตีนอะไรสักอย่างเข้านั่นแหละ

นั่งรอได้ไม่นานคุณลุงผู้เป็นเจ้าของโรงพยาบาลกับทิวากานต์ก็มาถึงโรงแรมในเวลาไล่เลี่ยกัน หมอศัลย์ทรวงอกดูอ่อนเพลียเล็กน้อยจากอาการนอนน้อย ทำงานหนัก และรถติด กระนั้นเขายังยิ้มแย้มแจ่มใสเสริมความหล่อจนบริกรสาวแถวนั้นเมียงมองมาไม่ได้ขาด

“สั่งอาหารกันหรือยังครับ” คนมาหลังสุดถามพลางนั่งลงเก้าอี้ตัวว่างข้างอลันด์ ไม่ลืมฉีกยิ้มหวานเอาใจทุกคนบนโต๊ะ

“รอหมอวามาก่อนนี่แหละ จะได้สั่งพร้อมกัน”

“ขอโทษที่ให้รอนะครับ แบบว่ารถติดมากกก” พูดอีกก็ยิ้มอีก ยิ้มจนแก้มด้านซ้ายบุ๋มลึกลงไปเท่ากับข้างขวาที่เห็นลักยิ้มได้ชัดกว่า

“ไม่ต้องขอโทษหรอกจ๊ะ พวกน้าเองก็เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน อัลหิวหรือยังจ๊ะ”

เจ้าเด็กแสบพยักหน้าหงึกหงักให้แม่แทนคำตอบก่อนหันมายักคิ้วหลิ่วตาเล่นกับคนข้างตัว เอเดลมาร์ที่นั่งตรงข้ามกับลูกชายถึงกับเริ่มร้อนๆ นั่งก้นไม่ติดเบาะ พอตอนสั่งอาหารไอ้หมอหน้าหล่อก็จัดการเลือกเมนูรักสุขภาพให้อีกแน่ะ เจ้าลูกชายก็ไม่บ่นไม่ว่าอะไรยอมเขาไปเสียทุกอย่าง ทีกับพ่อมันละเถียงเอา เห็นแล้วมันร้อนจนเดือดปุดๆ

ดินเนอร์นี้ดูจะมีความสุขกันทุกคนหากยกเว้นมิสเตอร์เอเดลมาร์ไว้คนคงไม่ผิดนัก พอหมดของคาวก็ต่อด้วยของหวาน ลูกชายตัวน้อยที่ชอบทำหน้าบูดเป็นตูดมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ต่อวันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับไอ้คุณหมอผ่าตัดผลัดกันส่งช็อกโกแลตไปมา นี่ถ้าอลันด์เป็นลูกสาวเขาจะนึกว่าพาแฟนหนุ่มมาเปิดตัวแล้วนะ แต่ดีว่าไม่ใช่ เอ๊ะ! หรือจะใช่

“ตายแล้วคุณ ค่อยๆ จิบสิคะ สำลักหมดแล้ว ไม่ใช่วัยรุ่นแล้วนะคะทำอะไรเกรงใจหมอวาบ้าง” มาดามโอเนลล์เอ็ดสามีเบาๆ หลังจากเจ้าตัวยกไวน์ซดแบบไม่กลัวเมาจนสำลักออกมา

ตาสีฟ้าซีดเหลือบมองคู่ชีวิตน้อยๆ รู้สึกน้อยใจในชีวิตขึ้นมากะทันหัน พอหันไปหาไอ้ตัวต้นเหตุ ทิวากานต์ก็ยักคิ้วให้แบบรู้ทัน หนอย...สักวันเขาต้องจัดการเจ้าหมอนี่ให้ได้!!!

“จะว่าไปเราไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะหมอวา นี่ถ้ารู้ว่าคนที่คอยดูแลน้องอัลตอนอยู่กรุงเทพคือหมอ ผมคงขอเลี้ยงขอบคุณไปนานแล้ว”

ฟังแล้วทิวากานต์ได้แต่ฉีกยิ้มการค้าส่งไปให้ เพราะรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไงเลยไม่เคยบอกให้รู้ ทำเอกชนมันก็ดีอยู่หรอกเงินเดือนรับประกันแน่นอนว่าขั้นต่ำเท่าไหร่ แต่การต้องมาคอยเทคคนไข้ประหนึ่งพระเจ้าตลอดเวลามันไม่ใช่สไตล์เขา ไหนจะวันลาที่ทำได้ยากแสนยากกับคนที่ชอบหนีไปขับรถกินลมชมวิวแบบเขาคงไม่สะดวก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วยๆ กัน”

“แล้วเมื่อไหร่หมอวาจะมาประจำให้ที่โรงพยาบาลผมสักทีละครับ รอมาหลายปีแล้วใจอ่อนสักทีเถอะ”

เด็กลูกครึ่งถึงกับยกกำปั้นขึ้นอุดปากกลั้นหัวเราะตัวสั่น คุณลุงเขาวัยก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วแต่พูดกับทิวากานต์เหมือนกำลังจีบสาวยังไงยังงั้น เข้าใจล่ะที่บอกว่าให้ช่วยจีบก็คือจีบจริงๆ คิกคิก

“ผมขอเก็บประสบการณ์เพิ่มอีกสักหน่อยแล้วกันครับ ตอนนี้ก็กำลังหาที่เรียนเพิ่มเติมอยู่ ไว้รอผมพร้อมมากกว่านี้จะรีบมาบอกนะครับ” ส่วนชายคนนี้ก็กระไร ไม่มีใจแต่ยังให้ความหวังเขา พอบวกกับยิ้มแก้มป่องดันตาหยีแล้วใครจะไม่ใจอ่อนเชื่อบ้าง

“สัญญานะครับว่าต้องมาหาผมเป็นคนแรก อย่าหนีไปโรงพยาบาลอื่นล่ะ ไม่งั้นผมโกรธน่าดูเลย”

“สัญญาครับ สัญญา” ทิวากานต์ยิ้มกว้าง หากใต้โต๊ะกำลังใช้ขายาวๆ เตะแข้งไอ้เด็กแสบให้หยุดหัวเราะเสียที หน้าพ่อหน้าแม่มันก็เหมือนกันจะหัวเราะหรือร้องไห้ช่วยเลือกสักอย่าง นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องกินต้องใช้เขาหนีไปนานแล้วไม่รอให้ท่านผู้อำนวยการอ้อนใส่เสียงอ่อนเสียงหวานแบบนี้หรอก ขนลุกจะตายชัก!

คุยสัพเพเหระกันอีกพักใหญ่จนเรียกเช็คบิลตอนเกือบทุ่มตรง มาดามโอเนลล์จะแยกตัวไปแวะซื้อของฝากพวกเครื่องหอมที่ห้างแถวปทุมวันเพราะจะกลับลอนดอนวันพรุ่งนี้แล้ว มีเจ้าลูกชายตัวแสบกระเตงไปช่วยถือของด้วย ด้านมิสเตอร์เอเดลมาร์ทำท่าอยากกลับห้องเต็มทีแต่พอเห็นทิวากานต์จะไปบ้างก็รีบตามไปสอดส่องอีกคน ส่วนลุงของเจ้าตัวแสบขอตัวกลับบ้านพักผ่อนก่อนลุยต่อในวันพรุ่งนี้ หากตอนลาไม่ลืมหยอดคุณหมอให้อายอีกรอบ

ทิวากานต์ขอทดไว้ในใจเลยว่าจะยืดเวลาไม่ทำเอกชนทุกหนึ่งปีต่อการหยอดหนึ่งครั้งของท่านผอ.!



พารากอนตอนสองทุ่มวันอาทิตย์ยังมีคนพลุ่กพล่านหากก็น้อยกว่าตอนกลางวันเกือบครึ่ง มาดามโอเนลล์กับลูกชายดูจะมีความสุขเป็นพิเศษยามชวนกันเลือกซื้อของ กว่าจะเดินไปถึงชั้นที่ขายพวกเครื่องหอมก็เสียเวลาที่ชั้นล่างอันเป็นที่ตั้งของพวกเคาน์เตอร์เครื่องสำอางและเอาท์เล็ทแบรนด์ดังอยู่นาน

ทิวากานต์เพิ่งรู้ว่าอลันด์เป็นพวกผิวแพ้ง่าย ต้องใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางตัวของพวกผู้หญิง ปกติตอนอยู่อังกฤษจะมีอัลเบิร์ตคอยจัดการให้ทุกอย่าง แต่ตอนนี้มาอยู่คนเดียวจะเดินดุ่มๆ ไปซื้อเองก็อาย เลยใช้วิธีให้อัลเบิร์ตซื้อแล้วส่งมาจากลอนดอนแทน วันนี้โชคดีมีแม่มาด้วยเลยให้แม่ซื้อให้เสียเลย

แถมไอ้ตัวแสบยังยิ้มหวานเรียกแด๊ดดี้อ้อนให้ซื้อรองเท้ากับกระเป๋าใบใหม่ เพียงเห็นราคาทิวากานต์เกือบจะเป็นลม แค่ใบเสร็จค่ารองเท้าอย่างเดียวได้สติ๊กเกอร์ที่จอดรถวีไอพีของห้างแล้ว จะบอกว่าใช้ของหรูเกินวัยก็ไม่รู้จะพูดยังไงดีแค่ไปเรียนปกติยังใส่เสื้อเชิ้ตขาวของเบอเบอร์รี่ตัวละสองหมื่นกว่าบาทแบบที่เขาจะซื้อใส่ทียังคิดแล้วคิดอีก แต่อลันด์ใส่ไปเรียนทุกวันไม่ซ้ำตัวเดิม

เอิ่ม...คนรวยนี่มันน่าอิจฉาจริงๆ

กว่าจะเลือกเดินซื้อของกันเสร็จห้างเกือบปิดพอดี ทิวากานต์ได้น้ำหอมกลิ่นใหม่จากมาดามโอเนลล์ผู้ใจบุญด้วยขวดหนึ่ง (ความจริงไม่ใช่อะไร เจ้าลูกชายมันก็อยากได้เลยซื้อมาสองขวดเลย)

แยกย้ายกันกลับมาถึงห้องเด็กแสบตัวเท่าไหล่ทำท่าจะตามเขามาค้างที่ห้องด้วยอีกคืน แต่พอเห็นหน้าหงอยๆ ของมิสเตอร์เอเดลมาร์ที่จะจากลูกชายสุดที่รักกลับลอนดอนวันพรุ่งนี้แล้วและเป็นเที่ยวเช้า อลันด์ที่ไม่อยากโดดเรียนจึงไปส่งพ่อกับแม่ไม่ได้คืนนี้จึงเป็นคืนสุดท้ายที่สมาชิกบ้านโอเนลล์จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว คุณหมอออกปากไล่อลันด์กลับไปนอนกับพ่อแม่ซะ ไหนๆ เขาใจดียอมให้อยู่ไทยต่อแล้วจะดื้อไปอีกทำไมกัน เดี๋ยวได้โดนลากกลับจริงๆ ขึ้นมาคราวนี้เขาก็ช่วยไม่ได้แล้วนะ!

ชายหนุ่มกลับมาอาบน้ำเตรียมตัวนอนพักผ่อนชาร์จแบตเตอรี่ให้ตัวเองสำหรับสู้รบตบมือกับคนไข้ในวันพรุ่งนี้ ทั้งที่นอนคนเดียวมาตั้งนานหากพอทิ้งตัวนอนบนเตียงที่เมื่อคืนมีเด็กตัวกลมมานอนด้วยความคิดที่ว่าเตียงมันกว้างเกินไปก็ไหลเข้ามาในหัว น่าแปลก...แปลกจริงๆ

ก่อนหน้านี้เคยพาผู้หญิงมานอนค้างตั้งหลายคนพอพวกหล่อนจากไปเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย หรือเพราะเขาไม่ได้พาผู้หญิงมานอนด้วยนานแล้วถึงได้รู้สึกเหงาๆ แบบนี้กัน จะว่าไปก็นานพอดูนับตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษใหม่ๆ ที่ไม่ได้กอดใครเลย

ทิวากานต์ดึงหมอนข้างมากอดแก้ขัด ซุกหน้าลงถูไถสูดกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มอย่างที่ชอบทำหากกลิ่นหอมแปลกปลอมกลับทำให้เขาต้องชะงักค้างและคลี่ยิ้มออกมาท่ามกลางความมืด

กลิ่นยาสระผมของอลันด์...

ดูท่าไม่ใช่อลันด์ที่ติดเขาแค่คนเดียวแล้วล่ะ เขาเองก็เหมือนจะติดเด็กแสบตัวเท่าไหล่นั่นแล้วเหมือนกัน

.
.
.

วันนี้เด็กลูกครึ่งไซส์มินิเลิกเรียนตั้งแต่บ่ายสาม หากเจ้าตัวยังโต๋เต๋อยู่มหาวิทยาลัยรอกลับบ้านพร้อมคุณหมอที่เลิกงานประมาณห้าโมงเย็น พอแยกย้ายกับเพื่อนอลันด์พาตัวเองสิงอยู่ที่ห้องสมุดทบทวนบทเรียนและทำการบ้าน

ต้องขอบคุณแด๊ดจริงๆ ที่ส่งเขาเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนคุณภาพสมราคาแพงหูฉี่มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมจะช่วยส่งเสริมนักเรียนตัวเปี๊ยกตลอดยี่สิบชั่วโมงให้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้ เขาเลยติดนิสัยทบทวนบทเรียนและทำการบ้านให้เสร็จทันทีที่ได้มานี่ไงล่ะ

สักสี่โมงครึ่งการบ้านและรายงานที่อาจารย์สั่งไว้ก็เสร็จเรียบร้อย เขาบิดขี้เกียจ เก็บอุปกรณ์การเรียนกับโน้ตบุ๊คใส่กระเป๋าเดินออกไปหาอะไรดื่มนั่งรอคุณหมอมารับ วันนี้ทิวากานต์เอาพี่ขาว(บีเอ็มดับบริว ซีรีส์ไฟว์)มาทำงานแทนน้องกบที่เข้าศูนย์เช็คสภาพ เมื่อเช้ากว่าจะหาที่จอดรถคันใหญ่ในมหาวิทยาลัยเล็กๆ นี่ได้ก็เล่นวนหาหลายรอบกว่าจะได้ที่จอดไกลคณะถึงขั้นต้องวิ่งเพื่อไปท่าเรือให้ทันตรวจเด็กราวน์เช้า

อลันด์เดินแบกของออกมาจากห้องสมุดฝ่าแดดร้อนระอุประหนึ่งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายซาฮาร่าของประเทศไทยไปร้านกาแฟตรงประตูทางออก สั่งโกโก้ปั่นเย็นชื่นใจมาดับร้อนแก้วหนึ่งแล้วค่อยหาที่นั่งดีๆ ตรงแอร์เป่ารับลมอยู่ตรงนั้นรอทิวากานต์

ภายในร้านกาแฟปิดเพลงสบายหูขับกล่อมเหล่านักศึกษาให้ชวนฝังตัวลงกับเก้าอี้หลับไปเสียตรงนั้น อลันด์เองก็ตาปรือใกล้หลับเต็มที ยิ่งช่วงนี้น้ำหนักเขาลดลงไปหลายกิโลถึงจะไม่ฮวบฮาบแต่ก็ชวนอ่อนเพลียได้ง่าย ขนตาสีอ่อนขยับหยุกหยิกอยู่หลายรอบก่อนนิ่งไปเมื่อได้ยินชื่อคนคุ้นเคยเข้ามาในหู

“จะว่าไปช่วงนี้ไม่เห็นหมอวาควงสาวคนไหนเลยเนอะ หรือว่าจะมีตัวจริงกันแล้ว”

เด็กแสบขยับตัวนั่งหลังตรง อาการง่วงซึมเมื่อครู่เหมือนหายวับไปทันที ตาสีซีดกวาดมองไปรอบร้านกาแฟขนาดเล็กหาต้นตอไม่นานก็เจอคุณพยาบาลสองนางวัยถ้าไม่รีบสละคานก็คงได้เกาะคานชั่วชีวิตแน่ๆ ยืนสั่งเครื่องดื่มอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ในขณะที่ทั้งร้านไม่เหลือใครแล้วนอกจากเขา แสดงว่าเพิ่งเข้ามาเมื่อกี้

“ไม่รู้สิ แต่ก็ไม่เห็นสนิทกับหมอหรือพยาบาลสาวๆ คนไหนเป็นพิเศษนะ เลิกงานก็กลับบ้านเลยไม่เห็นมีไปต่อกับใครที่ไหน” คุณพยาบาลบีตอบเพื่อนก่อนชวนกันหาที่นั่ง โชคดีของอลันด์อีกที่พวกหล่อนเลือกโต๊ะตัวข้างๆ เขา คงเห็นว่าเป็นฝรั่งไม่เข้าใจภาษาไทยมั้งถึงพูดกันเสียงดัง

“หมอวาขี้เหงาจะตาย เคยขาดสาวมาดูแลเสียที่ไหน นี่คงมีซุกๆ ไว้อยู่แน่เลย”

“นั่นสิ โอ๊ย อยากจะเห็นหน้านักว่าใครจะได้หมอวาไปครอง ทั้งหล่อ รวย เก่ง เส้นสายดี อนาคตอย่างกับปูพรมทองรอไว้ ได้สักครั้งชีวิตนี้ฉันไม่เสียดายแล้ว”

“แหม... พูดเหมือนจะได้ง่ายๆ นะยะ ขนาดยัยกุ๊บกิ๊บพยาบาลเด็กใหม่หุ่นสเปคคุณหมออ่อยแทบตายเขายังไม่แลเลย แล้วหน้าบ้านๆ อายุเลยเลขสามแล้วแบบฉันกับเธอเนี่ยเขาจะเอาเหรอยะ”

“ขอฝันสักนิดก็ยังดีย่ะ”

อลันด์กลั้นขำตัวสั่น ดีว่าพวกหล่อนนั่งหันหลังให้เขาไม่งั้นเขาอาจโดนตบได้ เขาพยายามสงบตัวเองนิ่งๆ ตั้งใจเงี่ยหูฟังเก็บข้อมูลต่อ

“แต่ก็นะ หมอวาเขาไม่เคยคบกับคนในโรงพยาบาลอยู่แล้วนี่ อ่อยให้ตายคงไม่ได้แอ้ม ยกเว้นแต่เด็ดจริงๆ อย่างนางแบบที่เคยควงอยู่ช่วงนึงไง คนนั้นชื่ออะไรนะที่เป็นลูกครึ่ง”

“ริต้า!” เธอตอบเสียงดัง ก่อนหรี่เสียงลงอีกครั้ง “คนนั้นสวยจริงๆ นั่นแหละ ยัยแอร์โฮสเตสเทียบไม่ติด”

ริต้า คนนี้อลันด์ไม่เคยได้ยินชื่อ แต่แอร์โฮสเตสที่ว่าคงเป็นคุณนุ่น พี่สาวคนสวยใจดีคนนั้น จะว่าไปก็ไม่เคยเจอหน้าอีกเลย หายไปไหนนะหรือว่าเลิกกิ๊กกับทิวากานต์แล้ว

“เฮ้อ ถ้าฉันสูง ผอม หุ่นดี นมใหญ่บ้างนะ จะอ่อยให้”

“ต๊าย ต้องเกิดอีกกี่ชาติล่ะถึงจะได้แบบนั้น”

จิกกัดกันเองพอเป็นพิธีคุณพยาบาลก็หัวเราะลั่น นั่งดูดกาแฟเม้าส์เรื่องนู้นเรื่องนี้ต่อ ส่วนเด็กแสบที่แอบฟังเขาเม้าส์พี่ชายห้องตรงข้ามอยู่นานสองนานมองไปที่ผนังกระจกของร้านดูเงาสะท้อนตัวเอง

ห้าฟุตหกนิ้วก็สูงล่ะมั้งถ้าเทียบกับผู้หญิง ตอนนี้กำลังลดน้ำหนักอยู่ลงมาตั้งสามโลแล้วเดี๋ยวก็ผอมเองแหละ แล้วพอผอมหุ่นก็ดีใช่ไหม ส่วนนมใหญ่... เดี๋ยวสิ แล้วเขาจะต้องมาคิดทำไมเนี่ย อลันด์ โอเนลล์ แกบ้าไปแล้วเหรอวะ!!!

มือเรียวสวยแต่หยาบเล็กน้อยเพราะจับสายกีตาร์ขยี้ผมหน้าม้าตัวเองให้ยุ่งแก้เซ็ง หยิบแก้วโกโก้ปั่นมาดูดอีกอึกใหญ่ พร้อมกับโทรศัพท์ส่งเสียงร้องเตือนว่ามีสายเข้ามาจากคุณหมอผู้ตกเป็นเป้าสนทนาเมื่อครู่พอดี

‘อยู่ไหนน่ะ เดี๋ยวเดินไปหา’ ไม่ต้องสวัสดงสวัสดีทิวากานต์ก็รัวใส่ปลายสายก่อนเลย อลันด์กระแอมก่อนจงใจตอบเป็นภาษาอังกฤษ แหงล่ะ เกิดพวกหล่อนรู้ว่าเขาพูดไทยได้คงไม่กล้าเม้าท์กันต่อแน่ๆ นี่ถ้าทิวากานต์มาเจอนะคงได้สนุกแน่ล่ะ

“I am at Coffee shop”

‘โอเค ไม่เกินห้านาที’ สั้นๆ ง่ายๆ ก่อนตัดสายไป เด็กลูกครึ่งเริ่มขยับตัว เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง รู้สึกเหมือนถูกใครจ้อง เงยหน้าขึ้นไปมองจึงเจอสายตาจากคุณพยาบาลมองมาสงสัยใคร่รู้ เขาเลยแกล้งยิ้มทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนตัวเองเป็นฝรั่งแท้ที่พูดไทยไม่ได้สักคำให้พวกหล่อนมั่นใจว่าที่เม้าท์กันเมื่อกี้เขาไม่เข้าใจแน่ๆ จนหันหน้ากลับไป

และภายในเวลาไม่เกินห้านาทีอย่างปากว่า ทิวากานต์พาตัวใหญ่ๆ โผล่เข้ามาในร้านกาแฟ พยาบาลสองนางสะดุ้งโหยงปั้นหน้าทักทายฉีกยิ้มให้คุณหมอตะกุกตะกัก

“สะ สวัสดีค่าหมอวา มาซื้อกาแฟไกลนะคะ”

“ฮ่าๆ เปล่าครับ มารับน้องน่ะ ยังไม่กลับบ้านกันเหรอครับ” พอได้ยินว่าคุณหมอตัวเอกบทเม้าท์เมื่อครู่จะมารับน้อง สองสายตาจากคุณพยาบอลถึงกับหันขวับมองหน้าเด็กฝรั่งฉีกยิ้มหวานในชุดนักศึกษาถูกระเบียบมาให้ เท่านั้นหน้าสองสาวใต้เครื่องสำอางอ่อนๆ ซีดลงจนแทบไร้สีเลือด หากไม่ได้บลัชออนสีแดงของ Oriental Princess ช่วยไว้คุณหมอคงได้หยิบแอมโมเนียมาให้ดมเป็นแน่

“อ๋อๆ จะกลับแล้วค่ะ” คุณพยาบาลเอรีบเก็บกระเป๋าเงินคว้าแก้วกาแฟถือหมับไม่ต่างจากนางพยาบาลบีที่พร้อมพุ่งออกจากร้านทุกเมื่อ

“ครับ กลับบ้านกันดีๆ นะครับ ตัวแสบไปหาอะไรกินกัน” ตอนต้นบอกคุณพยาบาลอยู่หรอก แต่ท้ายประโยคส่งให้เด็กฝรั่งเต็มๆ ทั้งชื่อทั้งสายตาที่จงใจมองตอกย้ำบอกชัดว่ารู้จักกันแน่ๆ แต่ที่ชวนเป็นลมที่สุดคือภาษาไทยชัดเจนจากปากคุณหมอยืนยันได้ว่าเด็กตาหน้าฝรั่งจ๋าคนนี้ฟังภาษาไทยรู้เรื่องนะจะบอกให้

อลันด์เก๊กตีหน้าขรึมเก็บข้าวของเดินไปหาทิวากานต์ อีกฝ่ายก็แสนดีช่วยหิ้วกระเป๋ากับหนังสือเรียนไปถือให้แถมยังสางผมหน้าม้ายุ่งๆ ให้อีกต่างหากเรียกเลือดมากระจุกบนแก้มใสทันควัน สวนทางกับหน้าคุณพยาบาลสองนางที่ซีดลงเรื่อยๆ และแทบไร้สีเลือดเมื่ออลันด์หันไปฉีกยิ้มยักคิ้วให้ทั้งคู่

ตลกจริงๆ ให้ตายเถอะ เก๊กหน้ากลั้นขำจนปวดท้องไปหมดแล้วเนี่ย ฮ่าๆๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2015 10:09:12 โดย บัวน้อย ไร่แตงโม »

ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
♥ . . . HEART ATTACK . . . ♥ --- TRACK 13 [03.11.15]
«ตอบ #144 เมื่อ03-11-2015 17:01:11 »

“นี่วางแผนอะไรหรือเปล่า ทำหน้าชั่วซะ” ออกจากร้านกาแฟเดินมาถึงรถที่จอดไว้อีกฟาก คนช่างสังเกตถึงเอ่ยปากถาม ความจริงตงิดพอจับบรรยากาศได้ตั้งแต่ในร้านแล้วเลยค่อยมาไล่เบี้ยเอาทีหลังกับคนของเขาดีกว่า

“ร้ายกาจ เห็นผมเป็นคนยังไงกัน” เด็กหนุ่มต่อยแขนคุณหมอไปหนึ่งทีก่อนสอดตัวเข้าไปในรถคันใหญ่

“ไอ้ตัวแสบน่ะสิ คงไม่ได้แกล้งอะไรพยาบาลสองคนนั้นหรอกนะ”

“ไม่ได้ทำอะไรเลย จริงๆ นะ” ไม่ได้ทำสักนิดแค่นั่งรอเฉยๆ เอง

“โอเค แต่ถ้ามีเรื่องล่ะก็...โดนฉันฆ่าแน่”

“โอ - ไอ - ซี” เขารับคำเสียงยียวน มือดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด รอจนคุณหมอสตาร์ทรถถึงหยิบแว่นกันแดดมาใส่ เปิดเครื่องเสียงในรถหาเพลงฟังพลางร้องคลองุ้งงิ้ง หน้าใสประดับรอยยิ้มอารมณ์ดีจัดจนน่าหมั่นไส้ เลยถูกนิ้วนุ่มๆ ของหมอศัลย์หนีบแก้มย้วยไปที

“วันนี้กินอะไรดี ไปกินข้าวที่ห้างกันดีกว่า ขี้เกียจทำ”

“อยากกินข้าวแกงกะหรี่”

ทิวากานต์ละสายตาจากท้องถนนเหลือบมองไอ้ตัวแสบแวบหนึ่งก่อนหันไปขับรถต่อ “ลดน้ำหนักไปได้หน่อยใช่ว่าจะกินแต่ของอ้วนๆ เหมือนเดิมได้นะ”

“นานๆ ทีน่า” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่มือขาวจัดกลับเลื่อนลงไปหยิกพุงตัวเอง “ด็อกไม่ชอบแบบอวบๆ นุ่มนิ่มๆ เหรอ แต่ทอมชอบนะ”

“หือ?”

“ก็ได้ยินคุณพยาบาลเขาเม้าท์ด็อกว่าชอบแบบหุ่นนางแบบ ผอม สูง นมใหญ่”

เสียงหัวเราะชอบอกชอบใจดังลั่นห้องโดยสาร เข้าใจแล้วว่าไอ้ตัวแสบไม่ได้ทำอะไรเลยอย่างที่บอกนั่นแหละแต่แค่ไปนั่งผิดที่ผิดทางได้ยินพยาบาลนินทาเขาในระยะประชิดเท่านั้นเอง คุณหมอตบพวงมาลัยยิ้มอารมณ์ดี “ใช่ สเปคฉันก็แบบนั้นแหละ”

“จิ๊” คนเด็กกว่าทำเสียงขัดใจ หน้าขาวบูดบึ้ง ไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย “ใช่สินะ ถึงจะขี้เหงาแต่หล่อขนาดนี้คงมีคนสวยมาให้เลือกไม่ขาดจนไม่ได้เหงา”

“มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง แต่จะว่าไปก็ไม่ได้จิ๊จ๊ะกับใครมาหลายเดือนแล้วเหมือนกัน” เขาทิ้งเสียงหงอยๆ แบบตอแหลน่าเสยคางสักที แต่เด็กฝรั่งกลับหันหน้ามาหาใช้ตาสีฟ้าซีดจ้องเขม็ง

“ทำไมล่ะ”

“ติดเด็ก เอ๊ย ต้องดูแลเด็ก” ทิวากานต์ฉีกยิ้มกว้าง ฟังดูก็รู้ว่าจงใจแกล้งทำเป็นพูดผิด แต่ไม่รู้ทำไมอลันด์ฟังแล้วถึงใจสั่น หรือว่าโรคหัวใจที่เป็นจะกำเริบ ผนังหัวใจรั่วเนี่ยมันมีอาการแบบนี้ด้วยไหมนะ ถ้าถามหมอหัวใจข้างๆ จะได้คำตอบหรือเปล่า ให้ตายเถอะ จะเป็นลมอยู่แล้ว!



สุดท้ายทิวากานต์ก็ยอมให้ข้าวเย็นมื้อนี้เป็นแกงกะหรี่ได้ หากกว่าจะถ่อจากมหาวิทยาลัยมาถึงห้างใจกลางเมืองที่พวกเขามาเดินกันเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนได้กลับใช้เวลาหลายชั่วโมงจนเด็กฝรั่งหิวแสบท้อง ไหนต้องมาต่อคิวอีกยาวเหยียดกับคนล้านแปด อลันด์ยอมถอดใจกินอะไรอย่างอื่นที่คนน้อยกว่านี้ดีกว่า

ระหว่างเดินคิดหาร้านใหม่ผู้ชายตัวสูงข้างกายกลับหยุดเดินดึงแขนอีกคนไว้ อลันด์เงยหน้าจะถามว่าหยุดทำไม ทิวากานต์ก็ลากแขนเขาเดินย้อนกลับไปหาผู้หญิงรุ่นแม่สองคนก่อนยกมือไหว้เรียบร้อย

“ป้าแอน ป้าหมอ สวัสดีครับ”

“อ้าว น้องวา มาทำอะไรแถวนี้” ผู้หญิงใส่แว่นทักขึ้นก่อน เสียงเธอเบาจนต้องเงี่ยหูตั้งใจฟัง

“มาหาข้าวกินครับป้าหมอ แล้วนี่ทำไมมาเดินกันสองคนได้ละครับ”

“พาหมอเขามาซื้อของน่ะ วาเถอะไปลักลูกใครเขามา” สาววัยกลางคนร่างท้วมหรี่ตามองไปยังเด็กฝรั่งด้านหลังที่เจ้าหลานชายตัวดีไปลากแขนมา

“นี่อลันด์ เด็กห้องตรงข้ามที่วาเคยเล่าให้ฟังไง มากินข้าวด้วยกัน ตัวแสบนี่ป้าโบกับป้าแอน ป้าฉันเอง” ทิวากานต์แนะนำเร็วๆ ให้ทั้งสามรู้จักกัน อลันด์ยกมือพนมไหว้ผู้ใหญ่เรียบร้อยสวยงามอย่างที่ถูกอบรมมา มึนนิดหน่อยที่เจอคนรู้จักทิวากานต์แล้วเป็นญาติกันอีก เขานึกว่านอกจากวิคเตอร์ที่เป็นพ่อคุณหมอโฉดจะไม่มีใครแล้ว

“น้องอลันด์เรียบร้อยดีนะคะ” ป้าหมอชมเสียงแหบเสียงเบาตามสไตล์ ก่อนเงยหน้าจนคอตั้งมองหลานชายตัวยักษ์ “วาพาน้องเขาไปกินข้าวมาหรือยัง”

“ยังเลยครับ ตอนแรกว่าจะไปกินข้าวแกงกะหรี่ แต่คนเยอะขี้เกียจรอเลยจะไปหาอย่างอื่นกินแทน”

“งั้นไปกินด้วยกันนี่แหละ พวกฉันก็ยังไม่ได้กิน นี่หมอเขาจองร้านข้าวแกงกะหรี่ไว้พอดีคงใกล้ถึงคิวแล้ว”

ด้วยเหตุนั้นเด็กฝรั่งตัวเล็กจึงต้องมานั่งร่วมโต๊ะกับสองคุณหมอและหนึ่งคุณครู เจ้าตัวแสบนั่งเกร็งถามคำตอบคำ ปกติเขาค่อนข้างเข้ากับคนสูงวัยง่ายและเป็นที่เอ็นดู แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่เป็นอย่างนั้นกับป้าของทิวากานต์ อืม...ถ้าให้คิดคงมีสายตาแปลกๆ ที่คุณหมอวิสัญญีตัวเล็กวัยใกล้เกษียณใช้มองเขารวมเข้าไปด้วยหนึ่งข้อแน่ล่ะ

“ห้ามเพิ่มข้าวนะ แล้วกินสลัดให้หมดด้วย” เสียงทุ้มใจดีของผู้ชายข้างตัวเรียกตาสีซีดหันไปสนใจหลังนั่งเกร็งให้ป้าหมอจ้องอยู่นาน อลันด์พยักหน้ารับหงึกหงักว่าง่ายก่อนชะโงกตัวเข้าไปดูเมนูในมือทิวากานต์ใกล้ๆ “วันนี้เห็นว่ากินน้ำหวานไปแล้ว งั้นสั่งน้ำเปล่านะ”

“อ่าฮะ”

“น้องเขาอยากกินอะไรก็ให้เขาสั่งไปสิวา จะไปบังคับน้องเขาทำไม” ป้าแอนปรามหลานชายตัวเองเบาๆ ที่ชักทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของชีวิตอีกคนเกินไปตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านแล้ว

“ช่วงนี้ตัวแสบต้องคุมน้ำหนักครับ เดี๋ยวส่องกล้องลำบาก”

“หืม เป็นอะไรคะ” ป้าหมอถามขึ้น ตากลมๆ ใต้เลนส์แว่นถลึงขึ้นมาเล็กน้อยจ้องมองเด็กผู้ชายฝั่งตรงข้าม

“ASD แบบเดียวกับป้าเต็มน่ะครับ”

“อ่อ” เธอพยักหน้ารับ “วาบอกอะไรก็ทำตามๆ ไปเถอะ เดี๋ยวก็หาย”

“ครับ” เด็กฝรั่งรับครับสั้นๆ หลังนั่งเงียบมานาน และเป็นโชคดีที่อาหารมาเสิร์ฟพอดี บทสนทนาทั้งหมดจึงตัดไป จะมีคุยกันบ้างเรื่องนู้นเรื่องนี้ไม่พ้นไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกัน สักเกือบทุ่มถึงได้เรียกเก็บเงินเตรียมแยกย้าย มื้อนี้ทิวากานต์เป็นป๋าเลี้ยงทุกคน ยื่นบัตรให้เช็นชื่อเสร็จก็พากันเดินออกมาจากร้าน

“เอ้านี่ ช็อกโกแลต ป้าให้” จู่ๆ ป้าหมอก็ยื่นถุงพลาสติกสกรีนชื่อห้างสรรพสินค้าให้เด็กฝรั่ง ถึงจะตกใจแต่ผู้ใหญ่ให้ของเลยจำต้องรับมา อลันด์ยกมือไหว้ขอบคุณอีกคนเกร็งๆ ก่อนหลุดยิ้มเมื่อแพทย์หญิงพูดเสริม “กินเยอะๆ จะได้ตัวโตๆ สูงแข่งกับเจ้าวา ป้าเข้าใจ ต้องเงยหน้าคุยกับมันเมื่อยคอจะตาย”

“ฮ่าๆ ขอบคุณครับ”

“กินให้ตายก็คงสูงไปไม่มากกว่านี้แล้วล่ะป้า ตัวเล็กๆ นี่แหละดีแล้วพกง่ายเลี้ยงง่าย” พูดจบปุ๊บเลยโดนเด็กตัวเท่าไหล่ต่อยแขนข้างเดิมกับเมื่อเย็นไปอีกดอก พูดอย่างกับเขาเป็นลูกหมาลูกแมว เดี๊ยะเถอะ!

“แหม...” แล้วจู่ๆ สองป้าก็พร้อมใจกันครางในคอ สายตาคนสูงวัยจ้องชายหนุ่มต่างทั้งวัยต่างทั้งไซส์วิบวับ ดูแล้วไม่น่าจะใช่เรื่องดีแน่ๆ แต่รอยยิ้มที่ฉาบบนใบหน้าก็บอกว่ามันดี แล้วสรุปมันดีหรือไม่ดีเด็กฝรั่งก็ไม่เข้าใจ

“งั้นผมลาตรงนี้เลยแล้วกันนะป้า ว่าจะแวะซื้อของหน่อย”

คนที่เหมือนจะเข้าใจกลับเอ่ยตัดบทยกมือไหว้ป้าๆ พลอยให้อลันด์ต้องรีบยกมือไหว้ลาไปด้วยอีกคน ก่อนจะสาวเท้าเร็วๆ เดินตามผู้ชายตัวสูงไปทางส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตของห้าง ตาสีฟ้าซีดเหลือบมองเสี้ยวหน้าของทิวากานต์ที่อยู่สูงขึ้นไปเห็นแต่ริ้วแดงกระจายเต็มแก้มกับใบหู นี่เป็นอะไรไปอีกคน

“ด็อกไม่สบายหรือไง หน้าแดงเชียว”

“แดงอะไรเล่า ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ”

“จริงอ่ะ ป่วยขึ้นมาผมช่วยไม่ได้นะ ไม่ใช่หมอ แบกไม่ไหวด้วย”

ฟังคำพูดซื่อๆ นั่นแล้วคุณหมอวัยสามสิบได้แต่กลั้นยิ้มจนหน้าตึง ฝ่ามือหนายกขึ้นขยี้หัวอีกคนเล่นจนผมยุ่ง “ฉันไม่ป่วยง่ายๆ หรอกน่า เราเถอะ พรุ่งนี้อยากกินอะไรเดี๋ยวซื้อของสดตุนไว้เลย”

“ซุปน่องไก่ใส่แครอทเยอะๆ สลัดแอปเปิล ปลาย่าง ผัดฟักทอง ไข่ตุ๋น บลาๆๆ” พอเปลี่ยนเป็นเรื่องของกิน เจ้าตัวแสบเหมือนจะลืมไปทันทีว่าเมื่อครู่พูดถึงอะไร ตาสีฟ้าวาววับเป็นประกายยามคิดถึงเมนูในใจที่จะให้อีกคนทำให้กิน ร่ายยาวเมนูที่อยู่ในใจออกมาเป็นพรืด จนทิวากานต์ต้องรีบเบรกว่ากินแค่สองคนนะนั่นแหละไอ้ตัวแสบถึงหัวเราะแหะๆ ยอมหยุดร่ายชื่อเมนูอาหารออกมา

.
.
.

“ด็อกๆๆๆ”

“หือ?” ทิวากานต์ครางรับเสียงเรียกคล้ายๆ เรียกหมาก่อนเอี้ยวตัวมองเด็กฝรั่งตัวแสบในชุดนอนนอนตะแคงข้างยื่นกระดาษเอสี่ยับๆ ใบหนึ่งมาให้ “อะไรน่ะ”

“งานประกวดวงดนตรีของมหาลัย”

“แล้ว?”

“ผมลงแข่งด้วย ด็อกมาดูให้ได้นะ พี่นภก็จะมาดู” ชื่อบุคคลที่สามเรียกคิ้วหนาขมวดเข้าหากันน้อยๆ นี่ไอ้นักร้องหน้าอ่อนนั่นว่างถึงขนาดมาดูแข่งวงดนตรีของเด็กนักเรียนเลยหรือไงกัน แถมยังคนละมหาวิทยาลัยกับที่มันเรียนอีกนะ ช่างพยายามดีแท้

“วันไหน กี่โมง” เขาถามกลับไปสั้นๆ แต่วางหนังสือวิชาการไว้บนหัวเตียง พลิกตัวกลับมานอนตะแคงเท้าแขนจ้องเพื่อนร่วมเตียง เหมือนตั้งแต่หนีพ่อแม่มานอนกับเขาวันนั้นอลันด์จะติดใจเตียงเขามากจนขอมานอนด้วยบ่อยๆ อย่างเช่นคืนนี้ แน่นอนว่านอนเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร ขืนทำก็คุกล่ะ แต่ถ้าอีกฝ่ายสมยอมก็ไม่แน่นะอาจจะยอมทำก็ได้ สิบแปดแล้วนี่ไม่โดนข้อหาพรากผู้เยาว์แน่นอน พักหลังมานี่ไอ้แสบน่ารักน้อยเสียเหมือนไหร่ อ้อนเก่งเหมือนแมวเลย

“ศุกร์หน้า ห้าโมงเย็น ที่หอประชุม” ถามสองแต่ตอบให้สามเลยเอ้า! “ด็อกติดเวรหรือเปล่า”

“ไม่ เดี๋ยวจะไปดู”

“Goooooooooooooooooooood” เด็กแสบลากเสียงยาว ไม่ทันไรร่างอวบๆ ก็เบียดเข้ามาชิดตัว มือขาวซีดแบบคนไม่ค่อยโดนแดดชูขึ้นรอให้คุณหมอทำเหมือนกัน “สัญญานะ”

“โอเค สัญญา” ชกกำปั้นกลับคืนไปเบาๆ แล้วมือใหญ่ก็บีบแก้มกลมหมับ “ว่าแต่ทำไมกับนภเรียกพี่ แล้วกับฉันไม่เรียกบ้างหึ ฉันแก่กว่าเธอตั้งรอบนึงเลยนะ ความเคารพน่ะมีให้กันบ้างไหม หือๆ”

“อัมไออัมเอ้า” เด็กลูกครึ่งส่งเสียงอู้อี้ไม่เป็นภาษายามแก้มถูกทิวากานต์ดึงขึ้นดึงลง ดึงจนปวดแก้มหนึบเลยคว้าข้อมืออีกคนกัดเสียเลย เท่านั้นแหละคุณหมอจอมกวนถึงยอมปล่อย ร่างใหญ่ยักษ์พลิกหนีไปอีกทางหยิบกระดาษทิชชูบนหัวเตียงมาเช็ดคราบน้ำลายตามข้อมือ

“เฮ้ย สกปรกน้ำลาย มีเชื้อบ้าป่ะเนี่ย”

“เห็นยอมหน่อยแกล้งใหญ่เลยนะ!”

“หนอย...” หมอศัลย์วัยสามสิบครางคาดโทษไว้ ให้ตายอลันด์ชักจะเหมือนแมวมากเกินไปแล้ว มาอ่อยมาอ้อนให้เขาเล่นด้วย เหมือนจะเชื่องแต่ก็ไม่เชื่อง พอเผลอเล่นกลับหนักมือหน่อยก็งับเข้าให้ มันน่าดึงหูจริงๆ

“เพราะแบบนี้น่ะสิถึงไม่อยากเรียกพี่น่ะ ขนาดตัวเองยังไม่เคยแทนตัวว่าพี่เหมือนคนอื่นเลย แทนตัวว่าคุณกับเธอเหมือนอายุเท่ากันก่อนแท้ๆ แล้วอีกอย่างนะผู้ใหญ่ภาษาอะไรทำตัวเหมือนเด็ก ขี้แกล้ง ขี้โมโห ขี้บ่น ขี้หงุดหงิด ขี้เบื่อ ขี้เหงา ไปขี้เลยป่ะ”

“ถีบตกเตียงแม่ง” ทิวากานต์ยกเท้าขึ้นขู่ แค่ขู่เท่านั้นแหละใครจะไปกล้าถีบหลานเจ้านายตัวเองลง แต่ถ้าอลันด์ยังไม่เลิกกวนตีนเขาต่อคงได้มีใครสักคนลงไปนอนวัดพื้นแน่ “ไม่อยากเรียกก็ไม่ต้องเรียก ไม่เห็นจะสำคัญ”

“โฮะ! ถ้าไม่อยากให้เรียกแล้วจะพูดมาทำไม ไม่ชอบหรือไงเรียกด็อกอ่ะ ไม่เหมือนใครไม่มีใครเหมือนนะ” แมวร่างมนุษย์ตัวอวบทำเสียงอ่อนซุกหัวกลมๆ กับแขนคุณหมอถูไปมา ตาฟ้าสีซีดสะท้อนแสงไฟหัวเตียงกลายเป็นสีน้ำผึ้งอ่อน คลอเคลียราวกับให้คุณหมอยอมรับชื่อเรียกนี้ไปเสียดีๆ เถอะ

“เรียกพี่วามันน่ารักกว่านี่นา ไหน...ลองเรียกให้ฟังหน่อย ครั้งเดียวก็ได้ เดี๋ยวตอนเช้าตื่นมาทำแซนด์วิชให้กินเลย” ต้องเอาของกินมาล่อนี่แหละได้ผลสุดแล้ว เจ้าเหมียวจากเมย์แฟร์ทำหน้าลังเลบวกลบคูณหารจนมั่นใจว่าไม่เสียอะไรแถมยังได้กำไรเป็นแซนด์วิชโฮมเมดสุดอร่อยก็ยอมขยับปากยักเรียกพี่ให้อีกคนชื่นใจ

“พี่วา”

“อีกทีซิ”

“ไหนบอกครั้งเดียวไง”

“น่า...นะ อีกทีนึง”

“พี่วา”

เคยเห็นคนบ้าไหม? ตอนนี้ทิวากานต์รู้สึกเหมือนตัวเองบ้าไปแล้วที่ยิ้มจนแก้มแตกตาหยีมองอะไรก็ฟรุ้งฟริ้งน่ารักไปหมดโดยเฉพาะไอ้เด็กฝรั่งที่นอนซุกอยู่ข้างๆ ในชีวิตมีคนเรียกเขาว่าพี่มากมายแต่ไม่มีคนไหนเรียกแล้วจะรู้สึกปลื้มปริ่มขนาดนี้มาก่อน

บ้า บ้า บ้า ไอ้วามึงต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!
แต่อลันด์แม่งน่ารักชิบหาย กูยอมบ้าเว้ย!!!


แขนยาวดึงเด็กฝรั่งเข้ามากอดทั้งตัว ขยี้ปลายจมูกบนหัวเน่าฟัดอลันด์เหมือนฟัดตุ๊กตาตัวเล็กๆ อีกคนแทนที่จะโวยวายเหมือนเคยกลับยอมนอนนิ่งๆ กอดกลับให้คุณหมอกอดรัดเอาเสียจนพอใจ ไม่ใช่อะไร...อารมณ์เหมือนถูกหมาบ้านโธมัสกระโจนมาเล่นด้วยและเขาชอบมากด้วยสิ

“แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย” ว่าแล้วให้รางวัลเป็นจูบเบาๆ บนขมับค้างอยู่อย่างนั้น “อารมณ์มีน้องชายมันเป็นแบบนี้เองสินะ”

“แค่น้องชายเองเหรอ”

“หืม? ไม่อยากเป็นแค่น้องชายหรือไง”

“ไม่เคยเห็นทอมมันทำแบบนี้กับน้องคนไหนเลยนี่นา”

“ฉันเหมือนทอมหรือไง” คุณหมอชักฉุน อยู่กันสองคนยังพูดถึงแต่หมาขนทองที่มิวนิคอยู่ได้ เจ้านั้นก็ขาดการติดต่อไปเลย ป่านนี้คงได้กับสาวสวยแถวนั้นสักคนไปแล้ว!

“นิดโหน่ย” คนเด็กกว่าสวมบทฝรั่งพูดไทยไม่ชัด ซุกหน้าลงกับอกอีกคนจนได้กลิ่นสบู่หอมจาง “แต่ด็อกดุกว่าทอมเยอะเลย ถ้าทอมเป็นโกลเด้น รีทีฟเวอร์ ด็อกคงเป็นอัลเซเชียน”

เด็กเวรเปรียบกูกับหมาซะงั้น! ทิวากานต์แทบยกมือตบหน้าผากตัวเอง เป็นคนอยู่ดีๆ กลายเป็นหมาไปได้ แถมยังเป็นไอ้เยอรมัน เชพเพิร์ดตัวดุที่กระแดะเปลี่ยนชื่อเป็นอัลเซเชียนตอนสงครามโลกอีกนะ เขาว่าเขาไม่ใช่คนดุอะไรขนาดนั้น แค่นักศึกษาขยาดนิดๆ คนไข้กลัวหน่อยๆ เท่านั้นเอง ปกติใจดีจะตาย ไม่งั้นเด็กตัวเท่าไหล่มันไม่ได้เล่นกับเขาแบบนี้หรอกจะบอกให้

“หึ อยากให้ฉันกัดจนเหวอะงั้นสิ มาโซก็ไม่บอก”

“ก็ชอบ เอ๊ย ไม่ใช่”

เด็กฝรั่งยกมืออุดปากตัวเองส่ายหัวจนผมสีช็อกโกแลตนมกระจายเต็มหมอน หน้าขึ้นสีอีกรอบตอนเผลอหลุดความในใจออกไป ไม่ชอบที่โธมัสกัดจนได้แผลแต่ก็ชอบเวลาถูกอีกคนกัดหรือขบตามตัว งงไหม เขาก็งงเหมือนกัน สรุปว่าถ้าถูกกัดนิดๆ หน่อยๆ ล่ะก็ชอบแน่นอน!

ตีกับความคิดตัวเองในหัวสักพักคนเด็กกว่าจึงถอนหายใจยาว ร่างอวบพลิกตัวนอนหงายจ้องตาไปที่เพดานอาบแสงไฟเหลืองนวล เพียงยกมือขึ้นภาพเงาดำก็ปรากฏเป็นรูปร่างตัดอยู่บนนั้น

ทิวากานต์มองเด็กข้างตัวอย่างสงบ ไล่สังเกตตั้งแต่ปรอยผมหน้าม้า หน้าผากเนียนขาว คิ้วเรียวโก่งได้รูปไม่ต้องถอนหรือกันออก แพขนตาหนาสีอ่อน ดวงตาที่เหม่อมองขึ้นไปราวกับเจ้าตัวเล็กกำลังคิดอะไรอยู่ในใจเรื่อยมาถึงปลายจมูกโด่งและริมฝีปากอิ่มหยักที่เผยอออกน้อยๆ อลันด์ยามสงบนิ่งแบบนี้ช่างเหมือนเทวดาตัวเล็กๆ บนผนังโบสถ์ ชวนมองได้ไม่รู้เบื่อ หากแต่ทำได้แค่มองเพราะอยู่สูงเกินจะคว้า...

“มันเป็นเรื่องปกติของผู้ชายที่สนิทกันมากจะทำแบบนี้ใช่ไหม” หลังเงียบไปนานเสียงทุ้มติดแหบของเจ้าตัวจึงดังขึ้นทำลายความเงียบ ทว่าคุณหมอหนุ่มยังคงจ้องมองภาพใบหน้าด้านข้างของอลันด์อยู่เช่นนั้นไม่ได้พูดอะไร “ในชีวิตนี้ผมมีเพื่อนไม่มาก ทอมเป็นเพียงคนเดียวที่ผมสนิทที่สุด ครั้งแรกที่เขาทำแบบนั้นกับผมมันน่าตกใจ แต่เพราะเป็นเขาผมเลยยอมและสิ่งที่เขาทำก็ทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อย ผมเลยเก็บคำถามที่เกิดขึ้นมาไว้ในใจ แต่พอมีครั้งต่อๆ ไปและมันมากขึ้นเรื่อยๆ คำถามนั้นเลยผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง เพื่อนกันเขาทำแบบนี้เหรอ?”

ใบหน้าน่ารักหันกลับมาใช้ดวงตาสีซีดที่ถูกย้อมด้วยแสงไฟจ้องมองเขา คล้ายจะว่างเปล่าในทีหากประกายความไม่แน่ใจก็ฉายแทรกออกมาให้คนมองสังเกตได้

“ตอนนั้นผมไม่รู้ ทอมบอกว่าเพื่อนสนิทกันมากๆ เขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นผมเลยเชื่อ เชื่อทั้งที่รู้ว่ามันไม่ปกตินั่นแหละ จนอย่างที่ด็อกรู้มันมากเกินจนแย่ เขาทำให้ผมกลัว... กลัวที่มากกว่าการเจ็บตัวคือกลัวถลำใจลงไปทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ต้องการรู้สึกเหมือนกัน เพราะผมชอบที่ได้เป็นคนสำคัญมากๆ ของใครสักคนเหมือนเป็นคนพิเศษเหนือกว่าคนอื่นรอบตัวเขา”

เขายังคงจ้องตากับเทวดาตัวน้อยในชุดนอนผ้าฝ้าย ดูริมฝีปากอีกฝ่ายที่ขยับเจื้อยแจ้วคล้ายปล่อยคำพูดเหล่านั้นให้ผ่านหูไปเหมือนไม่สำคัญเท่าคนพูด ทำไมกันนะ...ทำไมเขาถึงคิดว่าเด็กคนนี้น่ารักขึ้นทุกที น่ารักจนเขาชักเข้าใจความรู้สึกของไอ้หมาขนทองจอมซาดิสม์นั่นขึ้นมา

เนื้อหวานที่น่าลิ้มลองจนอยากเก็บไว้ให้เป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น

“ด็อกทำให้ผมรู้...เรียนรู้กับคำว่ารักและเซ็กส์มากขึ้น ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะว่ามันต่างกัน ถ้ามันไม่เกิดพร้อมกันมันจะแย่ แต่ด็อกรู้ไหม...” เด็กหนุ่มเงียบไปพักใหญ่จนคนฟังคิดว่าอีกฝ่ายหลับไปเสียแล้วถ้าไม่ติดนัยน์ตาสีอ่อนนั้นมองมาที่เขาไม่วาง “ตอนนี้ด็อกกำลังทำแบบทอมนะ”



TBC

ว่าจะลงเมื่อวานแต่งานก็เยอะจนแอบลงได้แค่เรื่องเดียว
วันนี้ก็แอบมาลงเวลางานอีกค่ะ *อย่าเอาไปฟ้องหัวหน้านะคะ จุ๊ๆ* ฮา

สำหรับใครที่รอลุ้นคู่นี้กัน ตอนหน้าจะรู้ผลแล้วล่ะค่ะว่าน้องอัลจะได้กินอิพี่วาหรือไม่ #ผิดๆ

แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
จุ๊บๆ

 :hao7:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Mokuchi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
แหมม นึกว่าจะให้หมอวาเนียนต่ออีกสักตอนสองตอน เด็กดันรู้ตัวซะแล้ว
แต่คู่นี้เวลาอยู่ด้วยกันนี่น่ารักจริงๆนะ คบกันเลยเถอะ ที่เป็นอยู่นี่ก็ไม่ต่างจากแฟนแล้วนะ 5555  :hao3:

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
ไม่เหมือนหรอกอัล พี่วาเค้าทำให้เพราะใจเค้ารักและเอ็นดู(และอยากจะดูเอ็นในอนาคต5555) พี่วาไม่ได้ทำเพราะอยากลองและหวงของแบบทอม



ปล.เจอนิยายเรื่องนี้อัพทีเป็นต้องหวีดก่อนอ่านทุกที งื้ออออิ...อยากอ่านต่อ

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
รอไม่ไหวแล้ววววว อัลจะกินหมอออออ

ออฟไลน์ boobooboo

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
อ้าว  หมอวา  โดนจับได้ซะแล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด