TRACK 28
เย็นนั้นทิวากานต์พาอลันด์หาข้าวกินที่ร้านอาหารใกล้ๆ คอนโด ไอ้ตัวแสบคงเห็นเขาซึมไปนิดหน่อยหลังจากไปเยี่ยมลุงเข้ม เจ้าตัวเลยอาสาขับน้องกบให้ตอนขากลับแถมยังแหกปากร้องเพลงเสียงดังลั่นรถ เล่นเอาคุณหมอปวดหัวตุ้บๆ อยากหาอะไรอุดปากซะเดี๋ยวนั้น
“เอ๊ะ! เมื่อเช้าวาลืมปิดไฟเหรอ” เดินเข้าห้องมาแล้วคิ้วสีน้ำตาลเข้มถึงกับขมวดเข้าหากัน เท้าเบอร์เจ็ดหยุดอยู่กับที่ไม่กล้าเข้าไปเลยถูกคนเดินตามหลังเตะก้น
“เกะกะขวางทาง เข้าไปได้แล้ว”
“เดี๋ยวสิวา!” คนตัวเท่าไหล่กระซิบเสียงสูง เขย่งปลายเท้าเอานิ้วชี้ทาบปิดริมฝีปากบาง “ไฟที่ห้องเปิดอยู่ล่ะ”
“เมื่อเช้าลืมปิดมั้ง” เขาว่าก่อนผลักอลันด์ให้เปิดทางแล้วเดินเข้าไปข้างใน โยนกุญแจรถใส่ชาม รองเท้าหนังสองคู่ถอดเก็บบนชั้นเรียบร้อย หากไอเย็นจากแอร์คอนดิชั่นพาลให้คุณหมอหนุ่มรูปหล่อขมวดคิ้วไปด้วยอีกคน ช่วงนี้เขามีเรื่องให้คิดมากจนถึงขั้นลืมปิดไฟปิดแอร์เลยเหรอวะ
“อ้าว ทำไมเพิ่งกลับกันมาล่ะ”
ดวงตาสองคู่เงยขึ้นมาตามเสียงถึงได้เห็นวิคเตอร์กำลังลากหมีพี่คริสลงมาจากชั้นบน เท่านั้นคิ้วที่ขยับเข้าหากันอยู่ถึงกับชนกันเป็นเส้นเดียว
“เข้ามาได้ไง มาทำไม ไม่ต้อนรับ ออกไป!”
“ห้องนี้เงินฉันซื้อ มาเที่ยวตรุษจีน ฉันจะอยู่ ไม่ไปไหนเฟ้ย”
“แต่ตอนนี้ห้องนี้เป็นชื่อผม ถ้าไม่อยากโดนข้อหาบุกรุกก็รีบๆ ออกไป แล้วปล่อยมือจากพี่คริสเดี๋ยวนี้นะ”
“หวงจังเว้ย หมีตัวนี้ฉันก็ซื้อให้หม่าม้าแกนะ!” วิคเตอร์กระทืบเท้าลงมาข้างล่างก่อนเอาตุ๊กตาหมีตัวโตนั่งบนโซฟาหน้าทีวี “อ้าว อลันด์ ว่าไงทำไมไปยืนแอบอยู่หลังวาอย่างนั้นล่ะ ไม่เจอกันตั้งนานโตขึ้นเยอะเลยนะ เอ๊ะ ตัวเล็กลงมากกว่าแหะ”
แหงล่ะ...ไม่ได้เจอกันเกือบปี ตอนที่เจอคราวนู้นเขากำลังอ้วนเป็นลูกหมูเลย แต่นับถือความจำของผู้ชายวัยครึ่งร้อยเลยแหะ
“หวัดดีฮะ” ทักไปแล้วจึงค่อยหันมาสบตากับคนรักว่าเอายังไงต่อ หากทิวากานต์ทำเหมือนวิคเตอร์ไม่มีตัวตนแล้วบอกให้เขาขึ้นไปเก็บของอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ ตาสีฟ้าเหลือบมองแขกไม่ได้รับเชิญแวบเดียวก่อนทำตามที่คนรักสั่ง สองพ่อลูกรอจนได้ยินเสียงปิดประตูห้องนอนถึงยอมเปิดปากทะเลาะกันอีกรอบ
“ย้ายมาอยู่ด้วยกันนานหรือยัง”
“สี่ห้าเดือนได้แล้วมั้ง”
“ฉันควรตกใจใช่ไหมที่ลูกชายเพลย์บอยผันตัวไปเป็นเกย์เนี่ย”
“นั่นก็เรื่องของคุณ” ฝ่ายลูกชายว่าเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ เขาเดินไปที่โต๊ะทำงานใต้บันไดถอดเนคไทพับวางไว้บนเก้าอี้ ตามด้วยกระเป๋าเงิน และโทรศัพท์ แขนเสื้อถูกรั้งขึ้นมากองบนข้อศอกลวกๆ ทำทุกอย่างเหมือนทุกวันคล้ายกับว่าการปรากฏตัวของบิดาผู้ให้กำเนิดไม่ใช่ที่ต้องใส่ใจ
“แล้วฉันจะว่าอะไรแกได้ นอกจากเป็นห่วงเท่านั้นแหละ”
“เป็นห่วงผิดเวลาไปหน่อยนะ คุณว่างั้นไหม”
“สำหรับคนเป็นพ่อแม่เขาห่วงลูกได้ตลอดนั่นแหละ”
“เก็บความหวังดีคุณไปเถอะ” ชายหนุ่มหมุนตัวเดินผ่านหน้าวิคเตอร์ไปยังห้องครัว เปิดตู้เย็นหยิบเบียร์ออกมาสองกระป๋องก่อนโยนให้คนเป็นพ่อ เขารับมาแบบงงๆ ก่อนเปิดฝายกซด
“ปากร้ายแต่ใจดีนะเนี่ยลูกชายฉัน” นักแสดงชื่อดังยิ้มกริ่ม เขาเขยิบตัวไปนั่งเบียดพี่คริสให้มีที่พอสำหรับลูกชายตัวโตมานั่งข้างๆ แต่กลับถูกทิวากานต์ขมวดคิ้วใส่ก่อนเดินไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวอีกตัวแทน “แต่ยังเย็นชากับพ่อมันเหมือนเดิม”
“แล้วที่บอกมาเที่ยวตรุษจีนนี่คืออะไร บอกไว้ก่อนนะว่าที่นี่ไม่ใช่โรงแรม ผมต้องการความเป็นส่วนตัวกับ
แฟน”
“เต็มปากเต็มคำนะ ฉันนอนห้องหม่าม้าแกก็ได้ไม่รบกวนอะไรมากหรอก ไม่ใช้เตียงซะบ้างเดี๋ยวพัง” บางทีวิคเตอร์คงจำสลับกันระหว่างเครื่องใช้ไฟฟ้ากับเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน
“กี่วัน”
“สามสี่วัน เสร็จธุระก็ไป”
“เช่น?”
“ซื้อของ ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้เมีย แจกซองแดงแล้วก็เที่ยวไง”
ฟังแล้วคนลูกถึงกับมองบน เขาหยิบรีโมทมาเปิดทีวีดูรายการข่าวภาคค่ำแทนการบอกตัดบทสนทนา ไม่ถึงสิบนาทีเด็กผมหัวสีอ่อนสวมชุดนอนสีเข้มก็เดินกระหย่องกระเหย่งหอบการบ้านลงมาจากชั้นบน วิคเตอร์หันไปเจอพอดีเลยเรียกให้มานั่งด้วยกันแทนที่จะไปทำงานบนโต๊ะหนังสือ
“เรียนอะไรอยู่ฮึ แล้วเรียนอยู่ชั้นไหนแล้ว”
“เรียนไฟแนนซ์ปีแรกครับ”
“อ๋อ เข้ามหาลัยแล้วนี่เอง มิน่าอาถึงไม่เห็นเธอใส่ชุดนักเรียนน่ารักๆ เลย ยี่สิบหรือยัง”
“จะสิบเก้าสิ้นเดือนนี้ครับ”
ได้ยินอายุแฟนลูกชายแล้วคุณพ่อรูปหล่อถึงกับอ้าปากค้างหันไปมองไอ้คนเอาขาตัวเองไปเสี่ยงตะรางคดีพรากผู้เยาว์ ถึงสิบเก้าจะไม่เด็กแล้วและเขากับคนรักก็มีลูกตอนอายุประมาณเท่านี้ แต่ว่า... “ฉันไม่ยักรู้ว่าแกชอบเด็ก”
“แล้วจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องไหมล่ะ อัล...พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ ถ้าตาลุงนี่ถามอะไรก็ไม่ต้องตอบพูดอะไรไม่ต้องฟังนะ”
“อื้อ” เด็กหนุ่มอมยิ้มแล้วค่อยก้มหน้าทำการบ้านต่อ ลับหลังทิวากานต์ได้ไม่เท่าไหร่คนพ่อจึงเริ่มพูดไปเรื่อยเปื่อย เห็นเขานิ่งไม่ตอบโต้ก็แซะว่าเชื่อฟังกันดีเหลือเกิน สักพักเหนื่อยถึงยอมหยุดปากไปเอง
“แล้วเรื่องดนตรีเป็นไงบ้าง เห็นนภบอกว่าไปซ้อมเรื่อยๆ เลยนิใช่ไหม”
“ครับ” เมื่อถูกคุยเรื่องดนตรีเลยตอบไปแบบไม่รู้ตัว
“ขยันดีจัง ทั้งเรียน ทั้งเล่นดนตรี ฉันได้ดูคลิปที่เธอร้องเพลงหลายอันเลยล่ะ เก่งมากจริงๆ”
“ขอบคุณครับ”
“สนใจทำอัลบั้มไหม ฉันช่วยได้นะ ฉันมีเพื่อนเป็นโปรดิวเซอร์เก่งๆ เยอะเลย ทั้งจีน เกาหลี อเมริกา เห็นอย่างนี้แต่ฉันก็เคยออกอัลบั้มมาก่อนเหมือนกันนะเว้ย”
“ฮ่าๆ ผมเคยฟังล่ะ พี่นภเปิดให้ดู ผมดีใจนะที่คุณอาสาเรื่องนี้แต่พอดีผมมีสัญญากับเพื่อนโปรดิวเซอร์ที่อังกฤษไว้แล้วล่ะ”
“หมายถึงสัญญา license หรือ promise”
“promise สัญญาปากเปล่าน่ะ ปีเตอร์เป็นโปรดิวเซอร์ของ BBC เขาบอกว่ารอผมเรียนจบได้ นี่แป๊บเดียวก็ผ่านมาจะปีแล้ว อีกแค่สามปีก็ไม่เท่าไหร่หรอก ช่วงนี้ผมจะยิ่งขัดฝีมือให้ดีกว่าเดิมไม่ให้ปีเตอร์เสียใจที่ตัดสินใจรอ”
“นักร้องเนี่ยเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตเลยใช่ไหม”
“มันคือความฝันที่อยู่กับผมมาตั้งแต่เด็ก”
“แล้ว...” เด็กหนุ่มหันไปสบตากับพ่อของคนรักที่ทำเสียงมีเล่ห์นัย ดวงตาแบบเดียวกันกับลูกชายหรี่มองมาที่เขาอย่างไม่ค่อยน่าไว้ใจนัก “ถ้าระหว่างความฝันกับความรักมันไปด้วยกันไม่ได้ เธอจะเลือกอันไหนดีล่ะหนุ่มน้อย”
“...”
“ฉันแค่ล้อเล่นน่า อย่าทำหน้าตาน่ากลัวอย่างนั้นสิฉันกลัวนะ”
วิคเตอร์ทำเสียงหัวเราะตลกๆ ออกมาแต่บรรยากาศในห้องไม่ได้ดีขึ้นสักนิด หากนักแสดงชื่อดังคิดไว้แล้วว่าคงต้องเป็นอย่างนี้เขาจึงหยุดทำเสียงประหลาดๆ แล้วเหยียดริมปากยิ้มเยาะ กระนั้นอลันด์กลับคิดว่าวิคเตอร์ทำแบบนั้นให้ตัวเองมากกว่า
“บางทีนะ... ทั้งที่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องของเราแต่สุดท้ายคนที่ตัดสินใจกลับไม่ใช่เรา ไม่ยุติธรรมเลยใช่ไหมล่ะ”
“ถ้ามันเรื่องของเราก็ต้องเป็นเราที่ต้องตัดสินใจเลือกไม่ใช่เหรอครับ”
“แล้วถ้าเป็นเรื่องของคนสองคนล่ะ”
เจอย้อนแบบนี้อลันด์เองก็ไปไม่เป็น แต่ความคิดอ่านกับประสบการณ์ชีวิตของเด็กอายุสิบแปดยังไงก็ไม่เท่ากับคนอายุห้าสิบอยู่แล้ว ผมสีน้ำตาลเข้มสะบัดเบาๆ ตามแรงเหวี่ยงของศีรษะ
“วาเคยบอกไหมว่าทำไมถึงมาเป็นหมอหัวใจ”
“เพราะรวย” เจ้าตัวยังจำช่วงเวลาที่เขากับทิวากานต์คุยกันเรื่องนี้ที่กลาสตันเบอรี่ได้ดี มีอย่างที่ไหนหมอบอกว่ามาเป็นหมอเพราะรวย ขวานฝ่าซากสุดๆ
“ฮ่าๆ งั้นเหรอ” วิคเตอร์หัวเราะชอบอกชอบใจ ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหยุดได้ “แต่ความจริงน่ะนะ เพราะคนรักของฉัน หม่าม้าของวาน่ะเขาเป็นโรคหัวใจ”
ตาสีฟ้าซีดเงยหน้าจากการะดาษรายงานมองหน้าคนพูดทันที ทิวากานต์ไม่เคยบอกและเขาไม่เคยถาม เขานึกมาตลอดว่าที่เจ้าตัวทำงานหนักทุกวันนี้เพียงเพื่อเงินอย่างที่เคยบอกจริงๆ แต่ไม่คิดว่า...
“รู้ว่าเป็นตอนวามันสิบห้าพอดี ตอนนั้นมันเลยไปขอให้โบช่วยติวให้จนติดหมอตอนสิบหก ทั้งๆ ที่เคยมีความฝันอยากทำอย่างอื่นแท้ๆ เมียฉันพูดเกลี่ยกล่อมยังไงก็ไม่ฟัง บอกแต่ว่าวาจะเลือกทางนี้และวามีความสุขดีที่ได้เลือก วารักหม่าม้ามากที่สุดในโลก เพราะฉะนั้นถ้าทำอะไรเพื่อหม่าม้าได้วาก็จะทำ”
ไม่รู้ว่าความหนักอึ้งในหัวใจมาจากไหน แต่อลันด์รู้สึกได้ว่าความมุ่งมั่นของทิวากานต์ต่ออาชีพที่ทำอยู่แรงกล้ากว่าความฝันที่อยากเป็นนักร้องของเขาเสียอีก
.
.
.
วิคเตอร์มาไหว้ตรุษจีนจริงตามปากว่า วันถัดมาซึ่งเป็นวันจ่ายดาราดังก็ตื่นแต่เช้าไปเยาวราชซื้อของสำหรับไหว้มาเต็มบ้าน เดือดร้อนทิวากานต์กับอลันด์ต้องมาเป็นลูกมือช่วยเตรียมของ แล้วระดับนี้ไม่มีความคิดจะซื้อของสำเร็จหรอก ต้มไก่ต้มเป็ดนี่ต้มเองหมด ยังดีพวกขนมเทียนขนมเข่งนี่ซื้อเอา
ทั้งผัดหมี่ ต้มจับฉ่าย ต้มไก่ ต้มเป็ดพะโล้ ต้มหมูสามชั้น และกับข้าวอื่นๆ อีกหลายอย่างล้วนรังสรรค์ผ่านฝีมือหมอผ่าตัดที่ใช้มีดเก่งเป็นส่วนใหญ่ อลันด์มีหน้าที่ช่วยล้างผักเตรียมของจะคอยแอบลอบมองคนรักในชุดผ้ากันเปื้อนบ่อยๆ นี่ถ้าทิวากานต์หน้าตามีอายุสักหน่อยเขาจะส่งไปแคสต์ติ้งบทคุณหมอฮันนิบาลแข่งกับพี่แมดส์ มิคเคิลเซนที่ช่อง NBC ซะเลย
กว่าจะเตรียมของเสร็จคืนนั้นเกือบเที่ยงคืน พอถึงวันไหว้วิคเตอร์ก็ลุกมาจัดของเตรียมไหว้ตั้งแต่ตีสาม ทิวากานต์ตื่นมาอาบน้ำตอนตีสี่เห็นคนพ่อกำลังไหว้เจ้าที่ประหลกๆ
ตีสี่ครึ่งเป็นคิวเด็กฝรั่งตื่นไปอาบน้ำ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงอลันด์ที่ไม่มีเชื้อจีนสักเสี้ยวแต่ถูกวิคเตอร์บังคับจึงแต่งตัวเรียบร้อยมานั่งคุกเข่าถือธูปอยู่หน้าป้ายวิญญาณบรรพบุรุษ(ไม่รู้วิคเตอร์ไปเอามาจากไหน แต่น่าจะขนมาจากฮ่องกง)รวมกับป้ายวิญญาณแม่ของทิวากานต์ทำพิธีตามที่สองพ่อลูกบอก
เด็กฝรั่งแพ้ควันธูปจามฮัดชิ้วไปหลายรอบน้ำหูน้ำตาไหลพรากแต่ว่าที่พ่อสามีไม่มีทีท่าจะเห็นใจสักนิด มีแต่บอกว่าจะเป็นสะใภ้บ้านนี้ให้รอดก็ต้องฝึกกันตั้งแต่ตอนนี้แหละ ฟังจบทิวากานต์แทบกระโดดถีบพ่อตัวเอง
ตาสีฟ้าซีดมองป้ายวิญญาณสลับของไหว้วางบนโต๊ะหน้าทีวีเต็มจนล้นออกมาวางบนพื้นไปปากขมุบขมิบทำความเคารพเทือกเขาเหล่ากอคนรักไป ปักธูปลงกระถางข้าวสารได้ก็รีบเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาแล้วหนีขึ้นห้องนอนไม่ลงมาอีกจนกว่าธูปจะหมดดอก
พอชุดแรกหมดก็ต้องจุดธูปไหว้ลาอีกรอบก่อนยกของเก็บ ส่วนหนึ่งทิวากานต์แยกไว้เป็นมื้อเช้าก่อนไปทำงาน อีกส่วนทำใส่กล่องเป็นมื้อเที่ยง แล้วก็ยัดที่เหลือแบ่งแช่ตู้เย็นไว้กินต่อมื้ออื่นกับแบ่งไปแจกชาวบ้าน ส่วนใหญ่เป็นขนมไหว้กับพวกผลไม้อย่างแอปเปิ้ล สาลี่ เชอร์รี่ ส้ม
ก่อนออกไปทำงานวิคเตอร์แจกซองแดงบางๆ ให้คนละซอง เปิดดูทีหลังถึงเห็นเป็นเช็คเงินสด ทิวากานต์ได้ไปหนึ่งล้านบาทถ้วน อลันด์ได้แค่หมื่นเดียว เล่นเอาเด็กขี้งกโหยหวน ความยุติธรรมอยู่ตรงไหนลูกสะใภ้ต้องได้เท่าสามีสิ!
กว่าจะได้ฤกษ์ออกมาเจ้าของบ้านตัวจริงหน้าบูดเดินกระทืบเท้าออกมาจากห้องสองมือหิ้วถุงใส่ของไหว้พะรุงพะรังจะเอาไปแจกคนที่โรงพยาบาล อลันด์เองมีสภาพไม่ต่างกัน ก็รู้ว่าอยู่กันแค่สามคนแต่วิคเตอร์ซื้อของไหว้มาเหมือนจะเลี้ยงทั้งหมู่บ้าน โชคดีเจอเมษาที่หน้าลิฟต์เลยยัดใส่มือไปสองถุง ปลดภาระไปได้หน่อย
เพื่อนที่มหาวิทยาลัยอลันด์เองออกจะงงไม่น้อยที่เห็นเด็กลูกครึ่งหน้าฝรั่งจ๋าหิ้วของไหว้มาให้กิน พอบอกว่าทิวากานต์ไหว้แล้วแบ่งมาให้เลยเอาไปกินกันแบบไม่สงสัย คนินทร์ถึงกับเหมาแอปเปิ้ลไปห้าลูก พอเที่ยงก็ยังมาช่วยกินผัดหมี่ซั่วกับเป็ดต้มพะโล้ในปิ่นโตเถาน้อยเสียเกลี้ยงพลางชมฝีมือการทำอาหารของคุณหมอตลอดเวลา
“ความจริงที่บ้านฉันก็ไหว้นะแต่กินทุกปีก็เบื่อว่ะ” ปากบ่นแต่ไม่หยุดขยับตักเส้นหมี่ซั่วเข้าปาก พอถูกแซะกลับก็แก้ตัวหน้าตาย “มันต้องเปลี่ยนรสชาติกันบ้าง อย่างเฮียวาเนี่ยทำอาหารอร่อยเว่อร์ ใครจะเบื่อได้ง่ายๆ ว่าม่ะ”
หากนอกจากการมาทำให้ห้อง 2111 ที่สงบวุ่นวายไปพักใหญ่แล้ววิคเตอร์ใช้โอกาสนี้มาเยี่ยมลุงเข้มและยังเจ้ากี้เจ้าการย้ายอีกฝ่ายไปรักษาตัวในส่วนเอกชนของโรงพยาบาลแทน ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเขาจะเป็นคนจัดการให้ทั้งหมดทุกบาททุกสตางค์รวมไปถึงค่ารักษาก่อนหน้านี้ด้วย ถึงไม่บอกออกมาเป็นคำพูดแต่ทุกคนรู้ว่าวิคเตอร์ทำเพื่อตอบแทนที่ลุงเข้มและป้าอิงที่ช่วยดูแลลูกชายมาให้ตั้งแต่ทิวากานต์ยังอยู่ในท้องแม่ จะว่าไปแล้วดาราฮ่องกงชื่อดังแทบยกอีกฝ่ายมีศักดิ์เป็นพ่ออีกคนของทิวากานต์ด้วยซ้ำ
“มีอะไรให้ช่วยบอกได้เลยไม่ต้องเกรงใจ เฮียเคยช่วยผมกับเมียมาตั้งเท่าไหร่ เรื่องแค่นี้ทำไมผมจะทำให้พี่ไม่ได้”
วิคเตอร์อยู่เยี่ยมลุงเข้มต่ออีกวันจึงยอมกลับไปทำงานต่อ เห็นว่ามีโปรเจคต์ถ่ายหนังเรื่องใหม่ที่อเมริกา หากก่อนกลับเขาขอร้องให้ลูกชายเอาน้องกบขับไปส่งที่สนามบินหน่อย ทิวากานต์เห็นแก่เงินคนซื้อเลยยอมไปแบบไม่อิดออด
“เห็นวามีความสุขฉันก็ดีใจ” ออกจากคอนโดมาได้สักพักวิคเตอร์จึงเริ่มเกริ่นเรื่องที่ต้องการคุยกับลูกชายสองต่อสอง เหมือนทิวากานต์จะรู้ตลอดหลายวันที่มาอยู่ด้วยจึงหาทางเลี่ยงโดยเอาคนรักมาเป็นกันชนตลอด สุดท้ายเมื่อเลี่ยงไม่ได้จึงต้องเปิดอกคุยกันจริงๆ จังๆ เสียที
“ขอบคุณ”
“แต่เรื่องอลันด์ฉันอยากให้วา...”
“ผมไม่มีความคิดจะเปลี่ยนใจอะไรทั้งนั้น” ชายหนุ่มสวนกลับในทันที เขาเข้าใจวิคเตอร์อยู่บ้างว่าอีกฝ่ายมีความเป็นห่วง แต่วิคเตอร์ไม่ได้มีอิทธิพลในชีวิตเขามากพอที่จะทำให้เขาเชื่อฟัง
“ฉันไม่ได้จะพูดอย่างนั้น แต่ถ้าลูกคิดอย่างนั้นก็ดี อลันด์ยังเด็กแต่เขาก็รักเรามาก ถ้าเลือกจะรับเขามาดูแลแล้วก็ต้องทำให้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าเจอทางที่ต้องเลือกก็จงเลือกเขาไว้อย่าทิ้งเขาเหมือนกับ...”
“เหมือนที่คุณทำกับหม่าม้าใช่ไหม”
แทนที่จะโกรธเพราะถูกลูกชายจี้ใจดำใส่วิคเตอร์กลับหัวเราะ “ฉันยังไม่ได้พูดแบบนั้นสักคำ”
“ก็คุณ...”
“รู้ไหม...” เขารีบแทรกก่อนลูกชายเพียงคนเดียวจะพูดไปมากกว่านี้ น้ำเสียงเขาแผ่วเบาเหมือนคนไม่มีแรงผิดกับภาพลักษณ์ภายนอก “ถ้าเลือกได้ฉันก็ไม่อยากเป็นดาราดังแบบนี้หรอกนะ”
“แต่คุณก็เลือกทางนั้น”
“ตอนนั้นฉันเคยคิดว่าความฝันจะเดินคู่ไปกับความรักได้ แต่สุดท้ายหม่าม้าของลูกก็ทำให้รู้ว่ามันไม่ใช่ บางเรื่องมันตัดสินใจคนเดียวไม่ได้ ฉันไม่โทษม้าแกหรอกนะแต่ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าที่ครอบครัวเราขาดๆ เกินๆ อย่างทุกวันนี้เป็นเพราะหม่าม้าเรา”
“อย่ามาโทษม้าแบบนี้นะ ทุกอย่างมันเป็นเพราะคุณต่างหากที่เลือกจะทิ้งไปน่ะ ถามจริงเถอะมีใครบังคับให้คุณไปเป็นดาราหรือไง!” ทิวากานต์ทุบพวงมาลัยรถอย่างไม่กลัวว่ารถที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วเกือบร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงจะเลี้ยวลงข้างทาง หากคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนกลับหลับตาส่ายหน้าไปมาและไม่ช่วยไขข้อข้องใจอะไรไปมากกว่าการบอกให้ลูกชายที่กำลังคลั่งไปหาคำตอบเอาเอง
“พูดไปกี่ครั้งแกคงไม่เข้าใจ ตอนนั้นทั้งฉันและม้าแกยังเด็ก เราตัดสินใจกันแบบเด็กๆ แต่วาที่โตแล้วฉันหวังแค่ว่าจะเลือกทางที่ตัวเองมีความสุข วาไม่ใช่คนดีที่จำเป็นต้องเสียสละไปซะทุกเรื่อง วาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง เห็นแก่ตัวเรื่องความรักซะบ้างคงไม่มีใครมาด่าหรอก”
“...”
“อีกอย่างนะ ถ้าฉันไม่ได้เป็นดาราก็คงไม่ได้เจอกับหม่าม้าแกแล้วคงไม่มีแกโผล่ออกมารักกับเด็กฝรั่งนั่นหรอก บางทีวันนี้เลือกผิดไป แต่ใช่ว่าในอนาคตจะไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเลยนี่นา”
.
.
.
ทิวากานต์ไม่ได้ฟังเรื่องที่อลันด์โม้หลังไปรับกลับจากว่ายน้ำที่คอนโดของการันต์สักเท่าไหร่ อีกคนหยุดพูดไปตอนไหนยังไม่รู้ด้วยซ้ำ จนมือเย็นแตะเข้าที่แขนเขาถึงได้รู้สึกตัวละสายตาจากถนนหันไปมอง
“ผมไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของวานะ แต่ช่วงนี้วาเครียดมากไปหรือเปล่า” เด็กหนุ่มเลือกที่จะพูดสิ่งที่คิดออกไปตรงๆ อย่างทุกครั้ง ใบหน้าขาวนิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ทว่านัยน์ตาสีอ่อนบอกความกังวลออกมาชัดเจน
“โทษที อึดอัดเหรอ”
“ไม่ๆ ผมแค่เป็นห่วง”
แค่ไม่กี่คำกลับมีอำนาจทำให้ทิวากานต์ยิ้มออกได้ เขาอาศัยช่วงการจราจรตรงหน้าชะงักโน้มคอลงไปแตะปลายจมูกเข้ากับแก้มใส เพราะอลันด์น่ารักแบบนี้ไงเขายอมให้อีกฝ่ายมาอยู่ใกล้ๆ จนกลายเป็นคนรักกันในที่สุด แล้วเขาจะคิดมากเรื่องที่วิคเตอร์พูดอีกทำไม เขามั่นใจว่าเขาเลือกดีแล้วและไม่มีอะไรให้ต้องตัดสินใจอีก
ที่มีความสุขอยู่ทุกวันนี้เพราะมีอลันด์อยู่ด้วยกันนี่แหละ“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยแต่ตอนนี้ไม่ล่ะ”
“เรื่องลุงเข้มเหรอ” ลองเดาดูแต่ทิวากานต์ส่ายหัว
“เปล่าหรอก เรื่องไร้สาระ”
“จะพยายามเชื่อนะ” เด็กแสบทำหน้าทะเล้นเหมือนรู้ทัน เห็นหน้ากันมาเกือบปีถ้าเป็นเรื่องไร้สาระจริงทิวากานต์คงโวยวายออกมาแล้วไม่ใช่เก็บไปคิดเงียบๆ คนเดียวแบบนี้ แต่ถ้ายิ้มออกมาได้แล้วคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง “เอ้อ แล้วเมื่อกี้วาจำได้ไหมที่ผมเล่าน่ะ สระว่ายน้ำที่คอนโดพี่รันนะว่ายไปหวาดเสียวไปแถมหนาวอีกต่างหาก แต่วิวพาโนรามานี้ยอมจริงๆ เห็นเวิ้งแม่น้ำคดอย่างกะงู แต่ผมกับพี่แอฟคิดไว้แล้วล่ะว่าคราวหน้าจะลงไปว่ายสระของส่วนกลางลองว่ายขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยาดูบ้างบรรยากาศคงดีไม่หยอกแถมไม่ต้องเจอลมหนาวๆ อีก”
“อ่าฮะ ชั้นเจ็ดสิบ ไม่หนาวก็บ้าล่ะ แล้วชอบที่นั่นไหม”
“ก็ดีนะ วิวสวยบรรยากาศดี เงียบๆ เป็นส่วนตัวดี”
“อืม...งั้นเหรอ”
“วาอยากซื้อห้องใหม่เหรอ” อลันด์โพล่งขึ้นมา มือขาวเอื้อมไปเปิดเพลงหลังรู้สึกว่าในรถชักจะเงียบไปหน่อย
“จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อ คอนโดนั่นห้องนึงไม่ใช่ถูกๆ”
“อะไรกันทีพี่รันยังมีเพนท์เฮ้าส์ที่ชั้นบนสุดได้เลย”
“ห้องนั่นซื้อมาแบบลดราคายังตั้งสองร้อยล้าน เงินพี่แกคนเดียวไม่มีเงินพ่อแม่มาเอี่ยวสักบาท เห็นเป็นหมอโรงบาลรัฐก็เหอะแต่บ้านพี่แกรวยจะตาย แค่นอนกินเงินปันผลจากหุ้นโรงพยาบาลที่ถืออยู่ก็รวยไม่รู้เรื่องแล้ว”
“โอ้ว - มาย - ก็อด เพิ่งรู้นะเนี่ย มิน่าเพื่อนวาถึงเรียกป๋ากันเป็นแถว งั้นวันหลังผมเรียกบ้างดีกว่าเผื่อจะได้เงินกินขนมอีก รวยแล้วไม่ขี้งกเหมือนพ่อใครบางคน นี่สิคนจริง
ป๋า...ป๋าขา ป๋าสั่งอะไรหรือยัง แหมรู้ใจจังสั่งที่หนูชอบ”
คุณหมอถึงกับร้องเหอะใส่คนหน้าเป็นที่เริ่มร้องเพลงลูกทุ่งชื่อดังเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน หนำซ้ำยังมีหน้ามาแขวะพ่อเขาอีกนะ สงสัยยังเจ็บใจเรื่องเงินแต๊ะเอียไม่หาย เขาว่าคนรวยขี้งกน่ะน่าจะเป็นตัวอลันด์เองเสียมากกว่า ที่บ้านมีทรัพย์สินเยอะกว่าวิคเตอร์กว่าการันต์ตั้งเท่าไหร่ยังอยากได้เงินค่าขนมฟรีอีกนะ!
“อ๊ะ! วาฟัง Damien Rice ด้วยเหรอ” ก่อนจะได้แซวกลับเจ้าเด็กขี้งกก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน คิ้วหนายกขึ้นเงี่ยหูฟังเสียงเพลงจากในลำโพง
“เพลงไหนชอบถูกใจก็ฟังหมด”
“
I don’t want to change you, I don't want to change your mind” เด็กหนุ่มร้องคลอตามเสียงจากลำโพง “ช่างเป็นผู้ชายที่ไม่มีความมั่นใจในความรักเอาซะเลย”
“บางทีความรักของเขาอาจจะแค่ต้องการเห็นคนที่ตัวเองรักมีความสุขกับสิ่งที่เป็นมากกว่าได้อยู่ด้วยกันนะ เขาตกหลุมรักเพราะสิ่งที่คนนั้นเป็นไม่ใช่หรือไง”
“งั้นสมมติว่าอีกคนอยากอยู่ด้วยกันโดยยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองล่ะ” เด็กหนุ่มถามกลับ สำหรับอลันด์ตั้งแต่ได้คุยกับวิคเตอร์วันนั้นเขาก็เริ่มคิดได้ว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคนที่ต้องตัดสินใจร่วมกันมากกว่าใครคนใดคนเดียว การคบกับใครโดยที่ยังเป็นตัวของตัวเองได้คือสิ่งดี แต่ไม่มีใครไม่เปลี่ยนแปลงหรอกขนาดลมยังมีเปลี่ยนทิศเลย มันอยู่ที่ว่าจะปรับตัวยังไงให้ความรักไปได้ตลอดรอดฝั่งมากกว่า
“ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง แบบนั้นยังมีความสุขอยู่อีกเหรอ”
“แบบไหนล่ะวา”
“แบบที่ต้องเลือกระหว่างความฝันกับความรักน่ะ”
ไม่มีคำตอบออกมาจากปากของอลันด์นอกจากเสียงร้องอันชวนหดหู่ของนักร้องชาวไอริชที่ขับกล่อมคนทั้งคู่ไปตลอดทาง ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งคู่กำลังคิดในสิ่งเดียวกัน
ถ้าหากวันหนึ่งความรักเดินทางมาถึงจุดที่ต้องเลือก แน่นอน...ไม่ว่าอย่างไรทุกคนย่อมอยากให้คนที่ตนเองรักมีความสุขกับสิ่งที่มาดหมาย แต่ความสุขของตนเองเล่าจะทำเป็นหลงลืมไปได้อย่างไร
I've never been with anyone
In the way I've been with you
But if love is not for funท่ามกลางดนตรีเพลงใหม่ที่เปลี่ยนผ่านใครสักคนในรถพึมพำขึ้นมาเบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน หากกลับแทรกลึกลงไปถึงกลางใจ...
“KEEP YOUR PROMISE” .
.
.