TRACK 32
“โง่ค่ะ แบบนี้เขาเรียกว่าโง่ค่ะไม่ใช่ฉลาด”
“ขิงก็ว่าโง่ค่ะ”
“มันหมดยุคพระเอกแสนดีผู้เสียสละแล้วนะ เธอกำลังคิดว่าเล่นละครอยู่หรือไง หึ”
“โธ่ พี่โบพี่แอนก็ว่าหลานซะ แล้วยัยขิงยังจะไปว่าพี่เขาอีก แค่นี้น้องวาก็เครียดจะแย่แล้วนะ” ป้าอิงรีบปรามขึ้นมาก่อนสามสาวจะรุมชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวไปมากกว่านี้
ตอนนี้ทิวากานต์กำลังถูกสอบสวนอยู่ที่ห้องผู้ป่วยของลุงเข้ม หลังข่าวการเลิกรากับเด็กฝรั่งลอยไปถึงหูป้าๆ กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตในกรุ๊ปไลน์จนต้องมีนัดประชุมด่วนกันเย็นนี้ พอเห็นหน้าก็ถูกจับซักฟอกจนขาวแล้วถูกกระแหนะกระแหนใส่อย่างที่เห็นนั่นแหละ
แต่คนอย่างทิวากานต์มีหรือจะใส่ใจฟัง ได้แต่นั่งนิ่งปล่อยคำพูดเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา
“ไม่ต้องมาทำตีมึนเลยนะวา มานี่ซิ! ขอป้าตีหน่อย ทำไมเป็นคนใจร้ายแบบนี้” ป้าหมอง้างมือแต่ไกล ช่วยเลี้ยงเจ้าเด็กนี่มาตั้งแต่เกิด ตอนทำคลอดยังไปช่วยเชียร์แม่มันเบ่งด้วยซ้ำ เธอไม่เคยลงไม้ลงมือกับหลานชายคนนี้สักที แต่วันนี้มันหมั่นไส้มากขอฟาดสักเพี๊ยะสองเพี๊ยะเถอะ
“แล้วจะให้ผมทำไงล่ะครับ เด็กนั่นจะเลิกเป็นนักดนตรีทั้งที่กำลังได้ขึ้นเวทีที่เทศกาลรีดดิ้งแล้วแท้ๆ ผม...ผมทนไม่ได้หรอก”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าไอ้งานรีดดงรีดดิ้งนี่มันงานดนตรีอะไรใหญ่แค่ไหน แต่ถ้าน้องเขาเลือกวามากกว่าดนตรีที่เขารักแสดงว่าน้องรักวามากกว่าไม่ใช่หรือไง” ป้าแอนให้ความเห็นบ้าง
“อัลยังเด็ก เดี๋ยวเดียวเขาก็ลืมวาไปรักคนอื่น ดนตรีสำคัญกับอัลขนาดไหนผมรู้ดี ไม่งั้นจะยอมมาลำบากเรียนต่อที่นี่เหรอ วามันก็แค่ทางผ่านให้เขาเท่านั้นแหละ”
“แกต่างหากที่เด็ก” พูดจบปุ๊บป้าหมอก็ฟาดใส่สะบักไหล่หลานรักดังเพี๊ยะ “คิดอะไรงี่เง่าแบบนี้ได้นี่มันเด็กมากจริงๆ”
“อะไรกัน วาหวังดีกับอัลหรอกนะ เหมือนม้าไง...ม้าก็เคยปล่อยวิคเตอร์ไปแบบนี้ไม่ใช่เหรอ” ท้ายประโยคชายหนุ่มพูดเสียงเบา เพิ่งเข้าใจในสิ่งที่วิคเตอร์พูดจริงๆ เมื่อตอนเอ่ยปากไล่อลันด์ออกไปเอง คนที่ทิ้งไม่ใช่พ่อแต่เป็นแม่ที่เลือกทิ้งเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นได้ทำตามความฝัน
“เฮ้อ...น้องวา” ป้าอิงเดินมาลูบหัวชายหนุ่มเบาๆ “มันไม่เหมือนกันหรอกนะคะ ม้าวาก็ส่วนม้าวา ตัววาก็ส่วนตัววา สถานการณ์ เวลา แล้วก็ปัจจัยอื่นๆ มันต่างกัน ความจริงแล้วตอนสมัยหม่าม้าน้องวาพวกป้าก็ไม่ได้สนับสนุนหรอกนะคะ แต่เพราะห้ามไม่ทันแล้วถึงได้กลายเป็นแบบนี้ต่างหาก”
“ใช่ ตอนนั้นน่ะแม่เรามันตัดสินใจคนเดียวก่อนหิ้วท้องโตๆ มาหาพวกฉัน ฉันยังโกรธเลยว่าทำไมมันถึงได้โง่แบบนี้ ผู้หญิงตัวคนเดียวจะเลี้ยงลูกยังไงไหว”
“ถ้าไม่ได้พวกป้าเลี้ยงเราไม่รอดมาสมบูรณ์ขนาดนี้หรอกนะ ตอนนั้นแม่เราอายุยังแค่ยี่สิบเอง ยังเด็กกว่าเราตั้งเยอะ แล้ววิคเตอร์ก็กำลังเป็นนักแสดงดาวรุ่งถ้าจู่ๆ มีข่าวแต่งงานมีลูกออกไปก็จบเลย หมอนั่นมันก็โง่ทำอาชีพอื่นกับเขาเป็นที่ไหน คงได้แต่เป็นนักแสดงประกอบกิ๊กก๊อกไม่ก็เข็นรถส่งผักอยู่ตามตลาดหาเลี้ยงแกกับแม่แกนั่นแหละ ไม่เหมือนน้องอัลถึงไม่ได้เล่นดนตรีแต่เขาก็ยังได้เรียนหนังสือมีอนาคตมีการงานดีๆ รออยู่”
“หมายความว่าไงครับป้าโบ”
“หมายความว่าพ่อแกมันโง่ไง เรียนจบแค่มอสามก็ออกจากโรงเรียนมาเป็นนักแสดง” ป้าแอนเฉลยให้ ทิวากานต์ที่ไม่เคยสนใจประวัติพ่อตัวเองมาก่อนจึงเพิ่งได้รู้วันนี้ ถึงจะจบแค่มัธยมต้นแต่หมอนั่นก็มีรายได้มากพอจะซื้อรถแพงๆ ให้เขาได้ล่ะนะ
“ถึงอย่างนั้นก็เหอะ อัลก็ไม่อยากให้ผมลาออกจากหมอตามเขาไปทัวร์เหมือนกัน ในเมื่อต่างคนต่างเห็นตรงกันก็จบมันแค่นี้แหละจะยากอะไร”
“โอ๊ยตาย ฉันปวดหัวกับเธอ” หมอดมยาวัยใกล้เกษียณเอามือเล็กๆ กุมหัว อุตส่าห์ดีใจหลานพาแฟนมาเปิดตัวให้เห็นกะว่าคนนี้จริงจังแน่แต่คบได้แป๊บเดียวก็เลิกเพราะเหตุผลที่เธอคิดว่าโคตรงี่เง่าเหมือนแม่มันไม่มีผิด!
“อย่างน้อยก็น่าจะคบกันต่อไปก่อนนะคะ ยังมีเวลาอีกตั้งสามปีนี่นา คบกันไปเรื่อยๆ อนาคตอาจมีอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ต้องเลิกกันเพราะเหตุผลแบบนี้ก็ได้” ขัตติยาให้ความเห็น หลังนั่งฟังมานาน เพิ่งจะรู้ประวัติความเป็นมาก่อนทิวากานต์เกิดเหมือนกัน หม่าม้าทิวากานต์เนี่ยแอบใจเด็ดชะมัด
“หึ เหลือเวลาสามปีอะไรกัน เขาน่ะไล่พี่ไปเรียนต่อตอนนี้เลยด้วยซ้ำ”
“เฮ้อ...หลานฉัน ทำตัวน้อยใจเป็นเด็กสามขวบไปได้ ฉันละปวดหัว”
“สั่งยาให้ไหม”
“ฉันสั่งเองได้ย่ะ” ป้าหมอว่าหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายก่อนชวนป้าแอนลงไปซื้อของกินข้างล่าง ทิ้งทิวากานต์ไว้กับสองแม่ลูกข้างบน
ขัตติยามองหน้าพี่ชายคนเก่งของเธอด้วยความขัดใจ หล่อนมองจนทิวากานต์รู้สึกอึดอัดจึงหันไปแซวเธอแก้เขิน “มองพี่ทำไมคะ รู้ตัวว่าหล่อค่ะไม่ต้องมองมากเดี๋ยวสึก”
“ยังไม่บวชนี่คะจะสึกได้ไง” เล่นมาเธอก็เล่นกลับ ยอมกันได้ที่ไหน “ขิงมองผู้ชายขี้ขลาดหรอกค่ะ”
“พูดให้มันดีๆ นะคะ เป็นน้องพี่ก็ตีได้”
“ม้า พี่วาจะตีขิงแหละ” พอสู้ไม่ได้เธอก็เรียกแม่มาเป็นกำลังเสริม แต่คนรักสงบอย่างป้าอิงทำเพียงส่ายหน้าให้ลูกสาวและหลานชายก่อนขอตัวไปดูคู่ชีวิตที่นอนอยู่อีกห้องทิ้งทั้งคู่ให้ตีกันต่อบนโต๊ะทานอาหาร
“หึ ไม่มีแม่ช่วยแล้ว”
“หนอย พี่วานิสัยไม่ดีรังแกน้อง”
“ใครใช้ให้น้องกวนตีนพี่ก่อนล่ะคะ”
“ไม่ได้กวนสักหน่อย ขิงพูดความจริง พี่วาขี้ขลาดไม่สู้เลยอ่ะ เพิ่งเริ่มต้นแท้ๆ พอเจออุปสรรคก็ถอยไม่เอาเลยเหมือนไม่ใช่พี่ชายคนเก่งที่ขิงรู้จักสักนิด ตัวปลอมหรือเปล่าคะ”
ทิวากานต์สะอึกไปกับคำพูดหญิงสาว แต่เขาก็หาข้อแก้ตัวให้กับตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้ขี้ขลาด ไม่ใช่ไม่คิดสู้ แต่เพราะคิดแล้วพบว่าสู้ไปก็เท่านั้น เขาก็ยอมถอยดีกว่าปล่อยให้เสียเวลากันไปเปล่าๆ ทั้งสองฝ่าย “พี่บอกแล้วนี่คะ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างคิดว่าเส้นทางอนาคตของอีกฝ่ายสำคัญ แต่ทางมันมันไม่มีทางมาบรรจบกันได้ก็เลิกดีกว่า ดีซะอีกพี่จะได้กลับไปคบผู้หญิงเหมือนเดิม เป็นเกย์แค่ให้เป็นประสบการณ์ชีวิตพอ”
“นี่พี่วายังคิดกลับไปคบกับผู้หญิงอีกเหรอคะ”
“ทำไมคะ พี่เป็นผู้ชายนะ ถึงจะเคยคบกับผู้ชายแต่ก็แค่คนเดียว พี่น่ะยังไงก็คิดว่าผู้หญิงดีกว่าอยู่ดีนะ แบบว่ามีนมให้จับน่ะ” เขาแกล้งทำมือขย้ำอากาศจนขัตติยาร้องกรี๊ดรับไม่ได้
“แย่อ่ะ พี่วาแย่ที่สุด แบบนี้ต่อให้เป็นขิง ขิงก็ไม่แต่งด้วยหรอกค่ะ”
“อ้าว...ขิงพูดจริงเหรอ”
“ทำไมคะ”
“ก็พี่กำลังคิดจะขอขิงแต่งงานน่ะสิ”
“พะ พี่วา! พูดอะไรออกมารู้ตัวไหมคะ” หญิงสาวโวยวายก่อนชะงักเมื่อฝ่ามือใหญ่แตะแก้ม ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้จนปลายจมูกห่างกันไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ หัวใจเธอเต้นโครมครามแทบกระดอนหลุดออกมานอกอกเมื่อชายหนุ่มขยับหาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจเป่ารดผิว
“น้องขิงคะ...” ทิวากานต์กระซิบเสียงแผ่ว “พี่ล้อเล่นค่ะ อะ โอ๊ยยย!!!”
“กรี๊ด อีพี่วา อีพี่บ้า” นอกจากจะกรี๊ดใส่หูชายหนุ่มเข้าเต็มๆ แล้วขัตติยายังบีบท่อนแขนอีกฝ่ายจนคนขี้แกล้งร้องโอดโอย เสียงทะเลาะของสองพี่น้องดังลั่นจนป้าอิงต้องวิ่งมาดูจากอีกห้องแล้วอบรมเทศนาชุดใหญ่ข้อหาเล่นไม่รู้เรื่องกันทั้งพี่ทั้งน้อง
“โหยป้าอิง ดูลูกสาวป้าสิบับแขนวาช้ำไปหมดแล้วเนี่ย นี่เครื่องมือทำมาหากินเลยนะ แขนหักขึ้นมาว่าไง รับผิดชอบไหมเนี่ย”
“ใครใช้ให้พี่วาเล่นบ้าๆ ก่อนล่ะ หม่าม้าดูนะมีอย่างที่ไหนมาล้อเล่นขอแต่งงาน เดี๋ยวให้ป๊าจับกินซะเลย”
“พอๆ ไม่ต้องเถียงกันแล้วค่ะ ผิดทั้งคู่นั่นแหละเล่นไม่ดูอายุเลย โตๆ เป็นผู้ใหญ่กันแล้วนะยังพูดเล่นกันอยู่อีก แล้ววา...ไม่ต้องมาแกล้งลูกสาวป้าเลยนะ ต่อให้วามาขอป้าก็ไม่ยกให้หรอก เรามันใช้ได้ที่ไหนกัน”
“อะไรกันครับ ทีลุงเข้มยังอยากได้ผมเป็นลูกเขยเลย” เขายกคนป่วยมาอ้าง ทำท่ายักไหล่น่าตี “แต่อย่างขิงต่อให้แถมอู่ซ่อมรถพร้อมที่ดินสิบไร่ผมก็ไม่เอาหรอก”
“ปากดี ขอให้น้องอัลไม่ยอมคืนดีด้วย”
“ไม่ได้อยากให้มาคืนดีด้วยสักหน่อย” ชายหนุ่มพูดถือดีพลางปลายตามองไปที่ประตูหน้าห้องพักไม่เห็นเงาเด็กไร้มารยาทอย่างคนินทร์ก็ยิ้มพอใจ ป่านนี้เด็กนั่นคงรีบแจ้นคาบเอาข่าวผิวๆ ไปฟ้องอลันด์แล้วมั้งว่าเขาจะแต่งงาน ดีเหมือนกันฝ่ายนั้นจะได้ตัดใจจากเขาง่ายขึ้นไม่ต้องมาห่วงมาเป็นภาระกันอีก
.
.
.
ทิวากานต์โบกแท็กซี่กลับคอนโดเป็นครั้งแรกในรอบสามวันนับจากคืนที่ตามออกไปดูอลันด์และใช้ชีวิตกินอยู่ในโรงพยาบาลประหนึ่งเป็นช่วงเรียนต่อเฉพาะทาง ที่กลับมาวันนี้ก็แค่จะเก็บของที่จำเป็นต้องใช้กับมาเอารถหลบไปพักทำใจที่อื่นบ้างซึ่งคงไม่พ้นโรงพยาบาลหรือหอพักแถวนั้น
ชายหนุ่มบังเอิญเจอนายธนาคารเพื่อนบ้านอย่างเมษาพอดีตอนรอลิฟต์ พวกเขาทักทายกันเล็กน้อยหลังจากที่ไม่เจอกันมานานหลายเดือน จนลิฟต์มาถึงก็หยุดคุยค่อยๆ พาร่างเข้าในกล่องเหล็กพร้อมกับลูกบ้านคนอื่นๆ อีกสี่ห้าคน
“รอด้วยครับ” นอกจากเมษาแล้วคุณหมอหนุ่มยังแจ็ตพอตเจอเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามที่วิ่งกระหืดกระหอบแทรกตัวเข้ามาในลิฟต์เช่นกัน เด็กฝรั่งชะงักค้างไปเล็กน้อยตอนสบเข้ากับนัยน์ตาคมดุแล้วตัดสินใจเป็นฝ่ายหันหลังให้ก่อน ไม่มีการทักทายไม่มีการสนใจ พวกเขายืนเงียบเหมือนต่างฝ่ายต่างไร้ตัวตน กระทั่งถึงชั้น 21 ลูกบ้านที่อาศัยชั้นนี้จึงเดินออกมากันสามคนถ้วน
เมษามองคุณหมอทีมองเด็กหนุ่มต่างชาติที เหมือนเจอกันรอบล่าสุดทั้งคู่จะบอกว่าคบกันอยู่แต่เท่าที่เห็นดูไม่ใกล้เคียงกันสักนิด เขาลอบสังเกตเงียบๆ แกล้งทำเป็นหาคีย์การ์ดเข้าห้องทั้งที่ถืออยู่ในมือและไม่จำเป็นต้องใช้เพราะเปลี่ยนระบบล็อคเป็นรหัสนิรภัยไปแล้วเพื่อดูทีท่าเพื่อนบ้านห้อง 2111 และ 2112
สองคนนั้นเดินตีคู่กันไปแต่ก็ห่างกันราวครึ่งเมตรเท่าที่ความกว้างของโถงทางเดินจะอำนวย พอถึงประตูห้องต่างฝ่ายต่างหันหน้าเข้าประตูตัวเอง ยืนกดรหัสสี่ตัวแล้วเปิดประตูก้าวเข้าไปและปิดลงพร้อมๆ กัน ทิ้งความสงสัยให้นายธนาคารเป็นอย่างมาก
“เกิดอะไรขึ้นหว่า ไปถามรีเซปชั่นข้างล่างจะรู้เรื่องไหมเนี่ย เฮ้อ... อยากเสือกเรื่องชาวบ้านจุง”
อลันด์ถอนหายใจแทบจะทันทีที่ประตูห้องปิดลง เขาอัดอึดแทบแย่ที่ต้องอยู่ใกล้ๆ ทิวากานต์แล้วทำเป็นไม่สนใจทั้งที่อยากเข้าไปกอดออดอ้อนขอคืนดีแม้คนผิดจะไม่ใช่เขาด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มยืนตั้งสติอยู่พักใหญ่จึงเดินขึ้นชั้นบนหยิบกระเป๋าเดินทางออกมากาง เสื้อผ้าของใช้บางอย่างถูกพับใส่กระเป๋ารวมไปถึงหนังสือเดินทางประจำตัว ชุดสูทสำหรับเดินทางก็เอามาใส่ซองพลาสติกกันยับไว้ ก่อนหน้าจะมาที่นี่ก็โทรไปลากับอาจารย์ที่ปรึกษาและบอกเพื่อนร่วมชั้นอย่างสาวิตรีไว้แล้วว่าจะกลับต่างประเทศยาวไม่มีกำหนดกลับแน่นอน หากอย่างช้าสุดคงเป็นช่วงเปิดเรียนหลังสงกรานต์ก็จะขอให้อีกฝ่ายช่วยจดเลคเชอร์และฝากจดงานไว้ให้ด้วย ถ้าชิ้นไหนทำคนเดียวได้ไม่มีปัญหาจะทำส่งมาให้จากอังกฤษ
ใช้เวลาไม่นานเขาก็เก็บข้าวของทุกอย่างเรียบร้อยพอดีกับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชื่อสาวิตรีทำให้เขากดรับไม่ลังเล
“ว่าไงสา”
‘ไอ้ตัวแสบบบ ทำไมฉันติดต่อนายไม่ได้ห๊ะ แล้วนี่ถูกฝรั่งที่ไหนลักพาตัวไปถึงจะไม่มาเรียน’
“คิว?” เด็กฝรั่งดึงโทรศัพท์ออกจากหูดูชื่อคนโทรเข้าเป็นสาวิตรี แหงล่ะ...เขากดบล็อคเบอร์หมอนั่นไปก็ไม่แปลกที่จะโทรหาเขาไม่ได้ นี่คงรู้เรื่องที่เขาจะกลับบ้านที่อังกฤษถึงได้โทรมา วุ่นวายไม่เข้าเรื่องจริงๆ
‘ก็ฉันน่ะสิ นี่...อย่ากดวางสายนะ ฉันรู้ว่าฉันสร้างปัญหาให้นายกับเฮียวา แต่ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้นสักนิด ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ เฮียเขาจะบ้าขอเลิกกับแกแล้วแต่งงานกับผู้หญิงเพื่อประชดน่ะ’
“แต่งงาน หมายความว่าไง วา...วาเนี่ยนะจะแต่งงาน” ขาเล็กหมดแรงยืนจนต้องนั่งลงที่ปลายเตียง ผู้ชายอดีตคนรักหน้าตาเศร้าหมองที่เขาเพิ่งเจอเมื่อกี้เนี่ยนะจะแต่งงาน แต่งกับใครกัน?
‘ใช่ ฉันได้ยินเขาขอพี่ผู้หญิงคนสวยๆ ที่พ่อเขาป่วยเป็นมะเร็งอยู่โรงบาลที่นายบังคับให้ฉันนั่งเรือข้ามฟากไปเยี่ยมด้วยกันบ่อยๆ แต่งงานนี่ได้ยินมากับหูเลยนะไม่ได้มั่ว’
“พี่ขิง...” เขาพึมพำชื่อหญิงสาวคนเดียวที่สนิทชิดเชื้อกับทิวากานต์มากที่สุด แวบแรกก็ไม่แปลกใจถ้าจะเป็นคนนี้แต่คิดแล้วก็เจ็บเสียดขึ้นมาจนหายใจไม่ออกเมื่อรู้ว่าผู้ชายที่ขอเลิกกับเขาได้ไม่ถึงสามวันดีจะทำใจได้เร็วขนาดขอคนอื่นแต่งงานปุบปับเช่นนี้ “เรื่องเขาสิ ฉันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแล้วนิ”
‘อัล...ฉันคิดว่าพี่เขาก็แค่พูดประชดไม่แต่งจริงๆ หรอกน่า กลับไปคุยกับเฮียเหอะนะ เดี๋ยวฉันจะไปด้วย ฉันจะไปขอโทษแล้วทำให้เขาเข้าใจเอง’
“พอเหอะคิว ไม่ต้องทำอะไรแล้ว... ปล่อยวาไปเหอะ ต่อให้คบกันใหม่สุดท้ายมันก็กลับมาจบแบบนี้อยู่ดี วาเขาคิดจะทิ้งฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” เขาไม่รอฟังเพื่อนสนิทคนไทยประท้วงอะไรขึ้นมาอีกรีบกดตัดสายทิ้งทันที หลังมือขาวปาดน้ำตาบนหน้าลวกๆ คว้าข้าวของเดินออกจากห้อง 2112 ลงลิฟต์ไปหาเอ็ดเวิร์ดกับคนขับรถของโรงแรมเตรียมตัวกลับลอนดอนคืนพรุ่งนี้พร้อมกับเจมส์
ความรักครั้งที่สองของเขา...มันจบลงแล้ว จบลงภายในเวลาแค่หกเดือนถึงอลันด์กับทิวากานต์จะยอมจบแต่คนินทร์ผู้เป็นต้นเรื่องกลายๆ ไม่ยอมจบแค่นี้แน่ เขาคิดอยู่นานว่าจะปรึกษาใครดีชื่อการันต์ก็โผล่มาเป็นคนแรกและถูกตัดออกไปเร็วพอๆ กับที่คิดออกเพราะตอนนี้บ้านเขาก็กำลังมีปัญหาฮึ่มฮั่มกับบ้านข้างๆ อยู่เหมือนกัน คนถัดมาจึงเป็นนักร้องหนุ่มขวัญใจมหาชนอย่างนภที่เขามีเบอร์โทร เล่าไปตีไขใส่สีอีกนิดพ่อคนดีของสังคมก็เกิดอาการของขึ้นรับปากว่าจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้ทันที แล้วไม่รู้ว่านักร้องคนซื่อไปจัดการอย่างไรเรื่องถึงได้เข้าหูวิคเตอร์ที่ถ่ายหนังไกลอยู่อีกซีกโลกหนึ่งได้
นักแสดงระดับโลกอย่างวิคเตอร์ เหลียงต่อสายตรงหาเด็กลูกครึ่งฝรั่งก่อนลูกชายตนเองทันที เขากดโทรอยู่สามครั้งคนปลายสายจึงยอมกดรับ
‘Hello’
“สวัสดีอัล นี่วิคเตอร์นะ ฉันโทรมารบกวนเวลานอนเธอหรือเปล่า’ วิคเตอร์ได้ยินเสียงถอนหายใจดังลอดผ่านลำโพงพร้อมเสียงผู้ชายอีกคนพึมพำภาษาอังกฤษอะไรสักอย่างก่อนตามด้วยเสียงพลิกตัวผ้าห่มขยับสวบสาบ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่เสียงลูกชายเขาแน่ๆ แทนที่จะรอคำตอบก็รีบพูดแทรกทันที ‘นี่ฉันรู้เรื่องหมดแล้วนะ นี่มันอะไร เลิกกับวาได้ไม่ทันไหร่ก็มีคนใหม่แล้วเหรอ”
‘พูดให้ดีๆ นะวิคเตอร์ คนที่มีคนใหม่แล้วจะแต่งงานน่ะลูกชายคุณต่างหาก ถ้าจะโทรมาหาเรื่องกันล่ะก็หยุดซะตอนนี้เลย’
“เฮ้ย! เออ - ใช่ ลูกชายฉันมันก็ผิด แต่ไหนว่าเธอรักเขามากไง ทำไมมานอนกับคนอื่นแบบนี้ล่ะ ถ้าวารู้จะโกรธเอานะ”
‘ช่างหัวมันสิ’ เขาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดที่ถูกปลุกมาทะเลาะผ่านโทรศัพท์ตอนเที่ยงคืน ‘บอกเขาไปด้วยแล้วกันว่าผู้ชายที่ผมนอนด้วยชื่อเจมส์ เฮนรี่เดอะเติร์ด เป็นนักกีฬาโปโลทีมชาติ สูงหกฟุตสองนิ้ว ผมสีน้ำตาลเข้ม ตาสีเขียว พ่อเป็นเอิร์ลมีบ้านอายุสามร้อยปีอยู่ที่เชลซี แล้วผมกำลังจะบินกลับอังกฤษพรุ่งนี้แล้วจะไม่กลับมาไทยอีกเพื่อไปเป็นสะใภ้ตระกูลสเปนเซอร์ จะจัดงานแต่งที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ด้วย แค่นี้นะ!’
สายถูกตัดไปพร้อมความงุนงงของชายวัยห้าสิบ หากด้วยความร้อนใจเป็นห่วงลูกชายคนเดียววิคเตอร์จึงรีบกดโทรศัพท์หาทิวากานต์ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเวลานี้อีกคนคงยังไม่นอนแต่จะยอมรับโทรศัพท์เขาไหมก็อีกเรื่อง โชคดีที่รอสายเพียงแค่ครั้งเดียวลูกชายที่ถอดแบบใบหน้าตัวเองออกมาก็กดรับ
‘มีอะไร’
“ฉันได้ข่าวว่าแกเลิกกับอัลแล้วกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิง นี่มันอะไรกัน เมื่อเดือนที่แล้วยังดีๆ กันอยู่เลยนี่นา”
ทิวากานต์ทำเสียงจิ๊จ๊ะ ‘ใครคาบข่าวไปฟ้องล่ะ’
“จะใครก็ช่างเหอะ แต่แกอธิบายมาซิทำไมถึงยอมแพ้แบบนี้ เป็นนักร้องแล้วทำไมถึงคบต่อไม่ได้ เดี๋ยวนี้สังคมเขาเปิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว อย่าทำตัวแบบแม่แกได้ไหม”
‘อย่ามาว่าแม่ผมนะ!’ เขาโต้กลับเสียงขุ่น ‘ผมจะทำยังไงมันก็เรื่องของผม’
“วา... พ่อไม่อยากให้แกเสียใจเหมือนพ่อกับแม่นะถึงได้โทรมาเตือน ถึงฉันจะไม่ได้เลี้ยงแกมาแต่ทำไมจะไม่รู้ว่าแกรักเด็กคนนั้นมากแค่ไหน ปล่อยไปแบบนี้จะดีจริงๆ เหรอวา คิดให้ดีนะ”
‘ผมคิดดีแล้ว’ ชายหนุ่มยังคงยืนยันคำเดิม
“แม้ว่าอัลเขาจะประชดแกกลับด้วยการแต่งงานบ้างน่ะเหรอ”
‘หา? พูดอะไรไร้สาระ เด็กนั่นเนี่ยนะจะแต่งงาน แต่งกับใคร ซาร่าเหรอ?’
“ใครคือซาร่าฉันไม่รู้หรอกนะ แต่เมื่อกี้ฉันโทรไปหาอัลก่อน เด็กคนนั้นนอนนกับผู้ชายคนอื่น ชื่อเจ...เจอะไรสักอย่างเนี่ย แล้วจะบินกลับอังกฤษไปแต่งงานกันพรุ่งนี้ที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์” เค้นความทรงจำสาธยายออกไปก็ได้ยินเสียงถอดหายใจมาจากไอ้ลูกชาย
‘วิคเตอร์ อัลนอนกับเพื่อนมันชื่อเจมส์ ผมโทรเรียกให้มาดูแลอัลเองแหละ แล้วเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ก็เป็นวิหารของราชวงศ์ คนธรรมดาจะไปแต่งได้ไง โดนอัลหลอกแล้ว’
“อ้าว ฉันจะไปรู้เหรอเห็นร่ายมาซะยาว แต่ถึงไม่แต่งงานก็กลับอังกฤษจริงๆ นะ บอกว่าจะไม่กลับประเทศไทยแล้วด้วย”
‘หึ เรื่องเขาสิ แค่นี้นะ’
“เฮ้ยๆ ห้ามวางนะ อะไรเนี่ยพวกแกสองคนจะเหมือนกันเกินไปแล้วนะ หัดมีความเมตตาให้คนแก่บ้าง เมื่อกี้อัลก็ตัดสายฉันไปคนแล้ว แกเป็นลูกชายห้ามทำเว้ย”
‘มีอะไรอีกล่ะ รีบพูดมา จะไปทำเคสแล้ว’ แกล้งทำเสียงระอาโกหกออกไปว่ามีเคส ความจริงนั่งกอดขวดเหล้าอยู่ที่ห้องยังทำใจไม่ได้ที่เจอหน้าอดีตคนรักวัยกระเตาะแบบไม่ทันตั้งตัว เห็นเด็กนั่นผอมลงอีกแล้วอดนึกเป็นห่วงไม่ได้ว่าไม่มีเขาอยู่แล้วใครจะมีบังคับกินข้าวบ้างไหม
“วาไม่คิดว่าอัลจะไปแล้วไปเลยจริงๆ เหรอ”
‘เด็กนั่นไม่ทำหรอก เขามีสัญญากับแด๊ดดี้ไว้ว่าต้องเรียนที่ไทยให้จบถึงจะเป็นนักร้องได้ ยังไงถ้ายังอยากเป็นนักร้องก็ต้องกลับมา’
“แล้วถ้าเขาไม่อยากเป็นนักร้องแล้วล่ะวา...”
‘ไม่มีทางหรอก เด็กนั่นรักดนตรีจะตาย’
“เฮ้อ... คนเรามันเปลี่ยนกันได้นะเว้ย อะไรที่เคยรักถ้าเจอของที่รักมากกว่ายังไงก็ยอมตัดใจจากของเก่าได้ง่ายๆ ที่ฉันพูดเนี่ยเพราะฉันเคยเป็นมาก่อน ไม่ได้อยากว่าแม่แกหรอกนะแต่ตอนที่ฉันคบกับเขาน่ะฉันกำลังดังเลย พอเรามีแกฉันก็ตั้งใจจะเลิกเป็นนักแสดงมาอยู่กับแม่แก ไม่ก็พาเขาไปอยู่ที่ฮ่องกงด้วยกัน”
‘แต่แม่ก็ไม่ยอมไล่คุณกลับไปเป็นนักแสดงเพื่อปกป้องชื่อเสียงให้ใช่ไหมล่ะ ผมรู้แล้วน่า...พวกป้าๆ เล่าให้ฟังเมื่อเย็นนี้เอง แต่ผมว่าแม่อ่ะทำถูกแล้วนะ ถ้าคุณไม่เป็นนักแสดงจะเอาเงินมากมายที่ไหนมาเลี้ยงผมกับแม่ให้อยู่สบายขนาดนี้ ไปรับจ้างเข็นผักมันจะได้สักกี่ตังค์’
“เออนั่นแหละ เฮ้ย เดี๋ยวก่อน...เข็นผักอะไรวะ” วิคเตอร์เบรกเจ้าลูกชาย “ถึงฉันไม่เป็นนักแสดงแต่บรรพบุรุษแกก็เป็นเจ้าของท่าเรือนะเว้ย มีเงินเยอะแยะจะตาย ฉันนี่แหละเกเรออกจากโรงเรียนมาเป็นนักแสดงเอง”
‘อ้าว จริงเหรอ’
“จะโกหกทำไม ฉันตายมรดกก็ยกให้แกอยู่ดี ถึงตอนนี้จะเหลือแค่หุ้นไม่กี่เปอร์เซ็นต์ก็เหอะ”
‘แล้วแม่กับพวกป้าๆ รู้เรื่องนี้หรือเปล่า’
“ทำไมจะไม่รู้ ฉันกับแม่แกเจอกันตอนงานฉลองครบรอบห้าสิบปีบริษัทเตี่ย แม่แกเขาฝึกงานเป็นล่ามให้คนไทยที่ทำธุรกิจด้วยกันพอดีถึงได้รู้จักกัน พวกป้าๆ แกนั่นแหละตัวดีเชียร์ให้เราสองคนคบกันจะตาย”
ได้รู้ความจริงทิวากานต์ถึงกับอ้าปากค้าง ขวดเหล้าที่กอดอยู่ก็รีบเอาไปวางไว้บนโต๊ะก่อนจะมีเรื่องตกใจมากกว่านี้แล้วเผลอช็อคจนทำตกแตก นี่เขาเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเป็นทายาทเจ้าของท่าเรือที่ฮ่องกง ไม่อยากจะคิดถึงตอนเสียภาษีมรดกเลยว่าหักไปแล้วจะเหลือเข้ากระเป๋ากันสักเท่าไหร่
“เฮ้อ...” วิคเตอร์ถอนหายใจอีกรอบของวัน “พูดแล้วมันเศร้า ถ้าตอนนั้นฉันเข้มแข็งอีกนิดไม่ยอมเห็นแก่ตัวทำตามความฝันที่แม่แกยุยงป่านนี้เราพ่อลูกคงได้อยู่กันเป็นครอบครัวอย่างมีความสุขนานแล้ว”
‘ผมหายเมาเลยนะเนี่ย’
“เฮ้ย ไหนว่ามีเคสทำไมเมาได้วะ”
‘โกหกน่ะสิ เป็นสตาฟแล้วจะอยู่เวรทำไมบ่อยๆ ให้เด็กเฝ้าไปนั่นแหละ แค่โดนโทรมาคอนซัลท์ตอนกลางคืนก็เหนื่อยแล้ว’
“ดีจริงลูกชายฉัน ตอนนี้วางขวดเหล้าเลิกเมาแล้วตั้งสติก่อนนะ พ่อถามแล้วเราก็ตอบ ยังรักอัลอยู่ไหม”
นิ่งเงียบไปนานจนวิคเตอร์คิดว่าทิวากานต์หลับคาขวดเหล้าไปแล้วจึงได้ยินเสียงตอบกลับมา ‘รัก’
“อยู่กับอัลมีความสุขไหม”
‘มาก ตื่นเช้ามาก็เจอ นั่งกินข้าวด้วยกัน ไปทำงานไปเรียนพร้อมกัน กลับบ้านด้วยกัน นอนหลับพร้อมกัน มีความสุขที่สุด’
“แล้วตอนนี้มีความสุขไหม”
‘ไม่มีความสุขเลยเตี่ย’ เสียงทุ้มจากปลายสายสั่นเครือ วิคเตอร์ยิ้มจางดีใจที่ทิวากานต์เรียกเขาว่าพ่อแม้ตอนนี้เจ้าลูกชายตัวโตคงกำลังนั่งร้องไห้น้ำตาไหลพรากอยู่อีกซีกโลก
“งั้นก็ไปตามความสุขตัวเองกลับมานะวา เห็นแก่ตัวบ้างคงไม่มีใครว่าหรอก อุตส่าห์โชคดีได้เกิดมาเจอคนที่รักแล้วทั้งทีอย่าปล่อยให้เขาหลุดมือไปง่ายๆ จับมือเขาไว้อีกครั้งคราวนี้คว้าให้แน่น เชื่อเถอะว่าบางทีคนเราก็ไม่ต้องการคนมารักเป็นพันเป็นล้านคน ขอแค่มีคนที่รักเราจริงๆ คนเดียวมันก็พอแล้ว”
เพราะอยู่กันคนละทวีปวิคเตอร์จึงไม่เห็นทิวากานต์กำลังเช็ดน้ำตาป้อยๆ เหมือนเด็กสี่ห้าขวบ ถ้าอยู่ข้างกันตอนนี้เขาคงดึงลูกชายมากอดปลอบให้หายเศร้าทำหน้าที่ทดแทนเวลาที่ขาดหายไปสามสิบปี
“เดี๋ยวพ่อไปสืบให้ว่าอัลจะบินกี่โมง วาไปนอนพักผ่อนเถอะพรุ่งนี้ต้องทำงานรักษาคนไข้อีกนะ”
‘ครับ ขอบคุณนะเตี่ย’
“ไม่เป็นไรเว้ยไอ้ลูกชาย ราตรีสวัสดิ์ลูก ฝันดี”
.
.
.