TRACK 32
สองสามีภรรยาครอบครัวโอเนลล์ก้าวลงจากรถลีมูซีนของสนามบินเมื่อมาถึงคอนโดมิเนียมระดับไฮคลาสที่ซื้อไว้ให้ลูกชายอาศัย เอเดลมาร์ยื่นศอกออกไปให้คนรักจับขณะพากันเดินเข้าไปในอาคาร ยามนี้เริ่มมีผู้พักอาศัยบางส่วนทยอยเดินออกมาจากลิฟต์ บ้างก็รอกลับขึ้นไปพร้อมด้วยอาหารเช้าเต็มสองมือ
“ป่านนี้เจ้าอัลน่าจะยังไม่ตื่น เรามากันเช้าไปหรือเปล่าคะเนี่ย”
“ดีสิ ผมจะได้เซอร์ไพรส์ไอ้ตัวแสบตั้งแต่ตื่นนอนเลย อัลลี่ต้องดีใจมากแน่ๆ ที่รู้ว่าแด๊ดดี้กับมัมมี้บินมาหาล่วงหน้าตั้งหลายวัน”
“ต้องขอบคุณกัปตันที่ทำเวลาดี แลนด์ก่อนเวลาตั้งครึ่งชั่วโมงแน่ะ” มาดามโอเนลล์หัวเราะคิกคัก ควงแขนสามีออกจากลิฟต์เมื่อถึงชั้น 21
มือเนียนนุ่มอย่างได้รับการดูแลมาอย่างดีบรรจงจิ้มรหัสปลดล็อคหน้าประตูสี่ตัว หากเมื่อเข้าไปแล้วทั้งคู่กลับประหลาดใจที่เห็นไฟในห้องเปิดสว่างโร่ เธอหันมองหน้าสามีก็เจออีกฝ่ายกำลังก้มมองรองเท้าหนังเบอร์เก้าครึ่งด้วยความฉงน
“ตาอัลพาเพื่อนมาค้างทำรายงานหรือเปล่าคะ”
“น่าจะอย่างนั้น แต่ห้องเงียบขนาดนี้สงสัยจะเผลอหลับกัน” จบประโยคจากปากหัวหน้าครอบครัวเสียงตึงตังจากชั้นบนก็ลอยเข้าหูให้ได้ยินปั๊บ ทั้งคู่มองตากันเชิงปรึกษาและเป็นเอเดลมาร์ที่เดินนำไปก่อนจนถึงตีนบันไดจึงได้ยินบทสนทนาชวนสงสัยแว่วมา
“จะลงโทษให้สมกับความผิดจนวาต้องร้องขอความเมตตาเลย”
“เอาเลยค่ะ ลงโทษพี่เลย”
ถ้าเขาหูไม่ฝาดไปเสียงแรกนั่นคือไอ้ลูกชายตัวดี ส่วนอีกเสียงเนี่ยโคตรคุ้น คุ้นมากเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน หากเป็นโชคร้ายของเอเดลมาร์ที่เป็นเขยคนไทยทั้งทีแต่ดันรู้ภาษาไทยน้อยมาก ไม่พอจะสื่อสารได้เขาจึงไม่อาจเข้าใจว่าคนบนห้องพูดคุยอะไรกัน ผิดกับภรรยาที่ได้ยินชัดเจนเข้าใจแจ่มแจ้ง หล่อนช็อกถึงขั้นอ้าปากค้างแล้วตั้งสติตัดสินใจฉุดแขนสามีให้ถอยไปตั้งหลักที่อื่นก่อนโผล่ไปเห็นฉากเด็ดลูกชายสุดที่รักกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับแฟนหนุ่ม(?) หากโชคชะตาไม่เป็นใจบรรดาลให้สามีเธอเหลือบตาสีฟ้าซีดเหมือนบุตรชายเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วมีเสื้อเชิ้ตลอยละลิ่วลงมาแปะบนหน้าพอดิบพอดี
เอเดลมาร์ตัวสั่นด้วยความโกรธ เขาย่องนำคู่ชีวิตขึ้นไปยืนหน้าห้องนอนเล็กก่อนพบภาพลูกชายสุดที่รักเปลือยท่อนบนนั่งคล่อมไอ้หมอผ่าตัดห้องตรงข้าม
What - the - HELL!!!
นี่มันเกิดบ้าอะไรวะ!!!สังหรณ์แล้วเชียวว่าไอ้หมอผ่าตัดมันไว้ใจไม่ได้ หน้าตาท่าทางเจ้าเล่ห์แบบนั้นไม่รู้มาแอบล่อลวงอัลลี่ของแด๊ดดี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่ก็ไม่รู้ไปถึงขั้นไหนแล้ว ถึงจะเห็นว่าฝ่ายคุกคามจะเป็นลูกชายตัวน้อยของตัวเองก็เหอะแต่เขาต้องลากทิวากานต์เข้าตะรางให้ได้!
คิดแล้วเขาจึงเตรียมเข้าตะครุบตัวไอ้คนร้ายพรากผู้เยาว์ เสียแต่เจ้าลูกชายตัวดีดันช่วยชายหนุ่มห้องตรงข้ามกระโดดหนีออกหน้าต่างไปเสียก่อน พอจะวิ่งลงบันไดตามไปกลับถูกแขนเล็กกอดเอวหมับรั้งไว้หน้าประตู ยื้อยุดฉุดกระชากกันน่ากลัวว่าจะกลิ้งตกลงไปข้างล่างให้หัวร้างข้างแตก สุดท้ายเอเดลมาร์ยอมแพ้ไม่ตามไปเพราะหน้าตาน่ารักที่ถอดแบบเขามาไม่น้อยกำลังถูไถออดอ้อนชวนอ่อนใจและใจอ่อน ที่สำคัญคือภรรยาคู่ชีวิตที่เหมือนจะเป็นลมไปแล้วนั่นเอง
เจ็ดโมงตรงไม่ขาดไม่เกิน อลันด์ในสภาพสวมชุดนักศึกษาสะพายกระเป๋าเป้เรียบร้อยเดินออกมาจากห้องนอนหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยม พ่อยืนกอดอกหลังตรงอกผ่ายไหล่ผึ่งประหนึ่งนายทหารหน้าห้องครัว ส่วนแม่เดี๋ยวหน้าซีดเดี๋ยวหยิบยาดมมาสูดเป็นพักๆ อยู่บนโซฟา พอทั้งคู่เห็นบุตรชายคนเดียวเดินลงมาก็หันไปมอง
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ เดินย่องมานั่งบนโซฟาเดี่ยวเมื่อเอเดลมาร์ชี้นิ้วสั่ง ชักเริ่มรู้สึกอยากเป็นลมตามมัมไปอีกคน บรรยากาศในครอบครัวตึงเครียดและน่ากลัวยิ่งกว่าตอนเขาบอกว่าจะออกจากโรงเรียนไปเป็นนักดนตรีเสียอีก
“อัล” คนถูกเรียกกระพริบตามองบิดาปริบๆ เอเดลมาร์กำลังหลับตาสูดลมเรียกขวัญกำลังใจแล้วจ้องหน้าเขากลับ“วันนี้ลูกไม่ต้องไปเรียน เราจะไปแจ้งความกัน”
“เอ่อะ... แจ้งความอะไร”
“แจ้งความจับไอ้หมอผ่าตัดข้อหาพรากผู้เยาว์ยังไงล่ะ”
“แด๊ด!” ฝ่ายโจทก์ถึงกับร้องเรียกพ่อเสียงหลง “พรากผู้เยาว์อะไรกัน ผมเกินสิบแปดแล้วนะ แล้ววาไม่ได้พรากด้วย ผมเต็มใจนอนกับเขาเอง”
“โอ๊ยตาย ฉันจะเป็นลม” ฟังไอ้ตัวแสบพูดแล้วคนเป็นแม่ถึงกับควักหายาดมกันอีกรอบ ถึงจะไม่แปลกใจที่เด็กสมัยนี้แก่นแก้วแก่แดดชิงสุกก่อนห่ามกันเท่าไหร่ แต่คำยืนยันเต็มปากเต็มคำว่า ‘ลูกชาย’ นอนกับ ‘ผู้ชาย’ ก็ชวนช็อคอยู่ดี “แม่... แม่เลี้ยงเราดีเกินไปหรือลูกถึงเป็นตุ๊ด”
“มัม!!! อัลไม่ได้เป็นตุ๊ด”
“งั้นก็เป็นเกย์” เอเดลมาร์แทรกขึ้นมา
“ตายล่ะ หรือว่าหมอวาเป็นเกย์ ทำไมไม่เห็นมีใครบอกแม่ก่อนเลย เห็นหน้าหล่อขนาดนั้น ไม่น่าเลย...”
“มัม... แด๊ด... ไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้นแหละ ผมกับวาแค่รักกันเฉยๆ ผมไม่ได้ชอบผู้ชายคนอื่นนอกจากวา วาก็ไม่ได้ชอบผู้ชายคนอื่นนอกจากผม เอาเป็นว่าถ้าไม่ใช่คนนี้ผมก็ไม่คิดไปนอนกับผู้ชายที่ไหนอีก เข้าใจไหม?”
“ไม่จ้ะ แม่ไม่เข้าใจ ขอเวลาแม่ตั้งสติแป๊บนะลูก”
“เรื่องนั้นช่างมันก่อน แต่พ่อจะเอาไอ้หมอเข้าคุกให้ได้” บิดายังคงยืนยันคำเดิม อลันด์จึงต้องอธิบายอีกรอบว่าเขาเต็มใจไม่ได้ถูกพราก หรือต่อให้พรากเขาก็อายุเกิน 18 ปีบริบูรณ์แล้วจะเอาข้อหาอะไรไปจับทิวากานต์ได้ ปกติพ่อแม่เขาไม่ใช่คนพูดอะไรเข้าใจยากแบบนี้หรอกแต่วันนี้คงช็อคสติหลุดมากกว่าถึงอธิบายไปยังไงก็ไม่เข้าใจ
เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ลุกจากที่นั่งจนเอเดลมาร์ถามว่าจะไปไหน
“ไปเรียนสิครับ ออกสายเดี๋ยวรถติดเข้าเรียนไม่ทัน”
“เดี๋ยวพ่อไปด้วย”
“เอ่อ...ไม่ดีกว่า ผมขับรถไปเองไม่รบกวนแด๊ดหรอก เดินทางมาเหนื่อยๆ นี่นา นอนหลับสักงีบนะเผื่อจะดีขึ้น มัม...ไปนอนนะ พาแด๊ดไปนอนด้วยอ่ะแหละ ไปทั้งคู่เลย ผมไปแล้วนะ บาย” พูดจบปุ๊บเด็กฝรั่งตัวแสบก็วิ่งออกจากห้องปั๊บ เอเดลมาร์วิ่งตามออกมาก็ไม่เจอตัวแล้ว หารู้ไม่ว่าไอ้ตัวดีเข้าไปแอบที่ห้องฝั่งตรงข้าม
วันนี้มีเรียนตอนบ่ายจะรีบออกไปเรียนทำไม แถมฝากสาวิตรีขาดเรียนไปแล้วด้วยยังไงวันนี้ก็โดดเรียนนั่นแหละ แต่จะให้ฝังตัวอยู่ห้องทิวากานต์ทั้งวันคงไม่ดี ตอนนี้แด๊ดกับมัมยังตกใจอยู่มากจึงไม่โวยวายใหญ่โต แต่ถ้าสติกลับมาเมื่อไหร่ทั้งเขาและคนรักนี่แหละที่จะเป็นฝ่ายเครียดแทน เขาคงต้องเตรียมวางแผนรับมือหาทางทำอะไรสักอย่าง แต่จะโทรไปปรึกษาคนตัวโตก็โทรไม่ติด คาดว่ายังไม่ได้ชาร์จแบตโทรศัพท์และดูจากเวลาก็น่าจะเริ่มงานรักษาคนไข้แล้ว
ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอะไรดีอลันด์จึงเดินขึ้นไปนอนพักเอาแรงข้างบน เมื่อคืนใช่ว่าเขาจะได้นอนเยอะ พอเห็นเตียงคุ้นตากับกลิ่นคุ้นจมูกจึงรีบโถมตัวเข้าใส่และหลับไปในเวลาไม่นาน
อลันด์ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเที่ยงกว่าจากเสียงโทรศัพท์เข้า เบอร์คุณตาโชว์หราหน้าจอทำเอาเขาลังเลอยู่นานว่าจะรับไม่รับดี อีหรอบนี้แสดงว่าแด๊ดกับมัมเอาไปฟ้องแล้วเป็นแน่ เพิ่มความเครียดให้คนตัวเล็กอีกหลายเท่า หากสุดท้ายก็กดรับโทรศัพท์เมื่อคุณตาที่รักโทรเข้ามาเป็นรอบที่สี่
การพูดคุยผ่านโทรศัพท์ไม่น่ากลัวเท่าที่คิด คุณตาถามแค่ว่าเขาอยู่ที่ไหนเพราะให้คนไปถามเพื่อนที่มหาวิทยาลัยจึงรู้ว่าวันนี้หลานชายขอลาตั้งแต่เมื่อวานซืน ไปตามที่คอนโดริมแม่น้ำก็ไม่เจอตัว อยากจะให้มาคุยด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาที่บ้านใหญ่ ซึ่งพร้อมหน้าพร้อมตาที่ว่านั้นรวมถึงทิวากานต์ด้วย เขาจึงบอกไปว่าจะเข้าไปพร้อมกับคุณหมอตอนหัวค่ำหลังอีกฝ่ายเลิกงาน ส่วนตอนนี้ยังอยู่ที่คอนโดแต่สักพักจะออกไปแล้ว
‘เอาเถอะ ยังไม่เตลิดไปไหนก็ดี มีปัญหาแล้วอย่าหนี คืนนี้มาพูดคุยกันให้รู้เรื่องไปเลย’
“ครับ”
‘เฮ้อ...อัลเอ๊ย ตารักหลานมากแค่ไหนหลานก็รู้ใช่ไหม’
“รู้ครับ ผม...ผมขอโท...”
‘ไม่ต้องขอโทษ ไม่ว่าหลานจะเป็นยังไง หลานก็ยังเป็นหลานที่น่ารักของตากับยายอยู่ดี ขอแค่อย่าทำให้ผู้ใหญ่เป็นห่วงแล้วกัน ตาจะรอเรากับหมอวาที่บ้านนะ’
“ครับคุณตา อัลรักตานะ” เขายิ้มให้คนปลายสายก่อนกดวางไป ในอกกำลังฟู่ฟ่องที่อย่างน้อยยังมีคนยอมรับเขาได้ไม่ว่าเขาจะคบกับใครที่ไหน
เมื่อรู้เป้าหมายของวัน เด็กหนุ่มจึงเตรียมตัวออกไปหาอะไรใส่ท้องข้างนอกแล้วแวะแจ้งข่าวทิวากานต์ที่โรงพยาบาลเสียเลย เขาลุกไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ แอบหยิบ Creed Aventus ของทิวากานต์มาฉีด จัดแต่งทรงผมดูเสื้อผ้าเรียบร้อยจึงคว้ากระเป๋าเป้ลงไปหยิบกุญแจรถที่ตู้รองเท้า แต่อลันด์ลืมไปว่าตอนโดนไล่ออกจากห้องเขาหยิบกุญแจรถกลับไปด้วยทั้งหมดและทิ้งไว้ที่ห้องคอนโดริมแม่น้ำหนำซ้ำยังจอดน้องมิ้ลค์ทิ้งไว้ที่มหาวิทยาลัยอีก ตอนนี้ในชามใส่กุญแจรถจึงเหลือเพียงอีกบ เอ๊ย น้องกบคันเดียวเพราะคุณหมอคนรักขับซีรีส์ไฟว์ไปทำงานแล้ว
“ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบเธอแต่ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ขอควงไปด้วยสักวันแล้วกัน” พูดกับโลโก้พอร์เช่แล้วมือเล็กก็รีบคว้ากุญแจรถติดมือไปแบบไม่ลังเล ว่าจะลองเอาไปขูดกับเสาเอาคืนที่ทำให้เขาเสียใจสักหน่อย ดูซิทิวากานต์จะทำหน้ายังไงตอนเห็นสภาพเมียรัก
.
.
.
“ผลการผ่าตัดออกมาดีมาก ตอนนี้ร่างกายผู้ป่วยยังไม่มีอาการปฏิเสธอวัยวะใหม่ พี่สุเมธฝากชมมาด้วยว่าวาเก่งมาก คราวหน้าถ้ามีเคสอีกจะยกให้ทำคนเดียว แล้ว...เมื่อคืนเป็นไงบ้างวะ” การันต์สรุปผลที่รับมาจากแพทย์เวรอีกคนให้หนุ่มรุ่นน้องฟังทันทีที่เห็นหน้าตอนเช้าและไม่ลืมตามผลที่นอนลุ้นมาตลอดทั้งคืน
“ดีครับ เข้าใจกันแล้ว”
“หือ? แค่นั้นเองเหรอวะ ทำไมเอ็งทำหน้าเหมือนไม่ดีใจ มีปัญหาอะไรหรือไง หรือว่าน้องแสบไม่ยอมให้จิ๊จ๊ะด้วย”
ทิวากานต์ถอนหายใจเฮือก หน้าซีดเซียวรอบตาดำคล้ำเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ เดินห่อไหล่ท่าทางดูอมทุกข์ มองยังไงก็ไม่เหมือนคนเพิ่งคืนดีกับแฟนมาสักนิดเดียวจนคนถามชักใจเสียเอง
“มีอะไรวะ”
“คืนดีกันเรียบร้อยแล้วนั่นแหละครับสวีทหวานได้ที่ เมื่อเช้าเลยว่าจะทำกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์สักยกสองยก พอดี๊แด๊ดดี้กับมัมมี้ไอ้ตัวแสบโผล่มาเจอตอนกำลังคร่อมพอดี แจ็คพอตแตกสิ ผมนี่หนีออกมาแทบไม่ทัน กระโดดออกหน้าต่างห้องนอนอัลมาเลย อย่างกับเป็นชู้เมียชาวบ้านงั้นแหละ”
“ว้าว น้องฉัน” เรื่องพลิกไปแบบนี้การันต์ก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน “แล้วตัวแสบล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ตอนผมหนีออกมาอัลก็ช่วยรั้งพ่อเขาให้อยู่ นี่เพิ่งเอาโทรศัพท์ไปชาร์จยังเปิดเครื่องไม่ติดเลย ว่าเที่ยงๆ จะลองโทรไปดู หวังว่าจะไม่โดนลากกลับลอนดอนไปก่อนนะ พ่อเขารักมากอยู่ อ้อนๆ หน่อยน่าจะเอาตัวรอดมาได้”
“เรื่องนี้ฉันไม่รู้จะช่วยยังไงเหมือนกันว่ะ แบบว่าเด็กพี่มันก็โตแล้วไม่ใช่พวกเพิ่งสลัดแพมเพิร์สแบบแฟนแกอ่านะ เอาเป็นว่าเรื่องใกล้คุกใกล้ตะรางอาจารย์การันต์ไม่ยุ่ง” เหมือนจะปลอบใจแต่ไม่วายแซะและเยาะเย้ยหนุ่มรุ่นน้องเนียนๆการันต์ตบไหล่รุ่นน้องปุ๊ๆ แล้วแยกย้ายกันไปทำงานของใครของมัน ทิ้งคุณหมอรูปหล่อไว้กับปัญหาใหม่ที่ดูจะแก้ยากกว่าโจทย์เก่าหลายเท่า
หากอย่างน้อยในความโชคร้ายยังมีโชคดี ไม่มีเคสในวันศุกร์นอกจากดูแฟ้มรายงานที่เรสสิเดนท์ส่งมาให้ อ่านวิจัย เคลียร์เอกสาร ให้คะแนนเด็ก แถมยังมีนักศึกษาหิ้วขนมมาฝากถึงห้องไม่ได้หวังคะแนนพิศวาสแต่ประจบอาจารย์ให้ช่วยเอ็นดูขึ้นอีกสักนิดตอนทำเคสด้วยกันก็ยังดี
ทิวากานต์กินคุกกี้ตูเล่เพลินๆ ระหว่างทำงานจนหมดกระปุก ไม้เบื่อไม้เมาอย่างท่านรองศาสตราจารย์อาคมก็ให้เกียรติมาเยี่ยมถึงห้องบอกว่าจะพาไปเลี้ยงข้าวที่บอกไว้เมื่อคืน ถึงรู้ว่าคงเป็นร้านข้าวถูกๆ ในโรงพยาบาลตามสไตล์หมอขี้เหนียวแต่ข้าวฟรียังไงก็อร่อยกว่าจ่ายเงินเองสตาฟผู้น้อยจึงตกปากรับคำไม่ลังเล
สองหนุ่มต่างวัยเดินตีคู่กันมาให้เป็นที่ประหลาดใจของบุคลากรในโรงพยาบาล ร้อยวันพันปีจะเห็นคู่นี้อยู่ด้วยกันจึงไม่แปลกที่จะมีหน่วยกล้าตายบางคนแกล้งทำท่าขยี้ตาเหมือนไม่เชื่อตอนเห็นทั้งคู่เดินผ่านหน้าไป
“อ้าว จะไปไหนกันล่ะสองคนนี้” คนทักคือแพทย์อายุรกรรมหัวใจที่ติดต่อกันบ่อยๆ เวลามีคอนซัลท์คนไข้อาการหนักจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดหากไม่ค่อยเห็นหน้ากันเท่าไหร่นักเพราะทำงานคนละตึกคนละชั้น การปรากฏตัวของอาจารย์วุฒิที่นี่จึงน่าแปลกใจไม่น้อย
“ไปหาอะไรกิน หมอนั่นแหละทำไมถึงมาแถวนี้” อาคมตอบกลับ
“มาส่งคอนซัลท์น่ะซี่ พอดีที่นู่นกำลังยุ่งๆ ไม่มีใครว่างเลย เราเพิ่งตรวจเสร็จเลยเดินเอาใบคอนมาส่งเองดีกว่า ถึงเร็วดีด้วยไม่ต้องรอใคร ไงหมอวาสบายดีนะ ได้ข่าวเมื่อวานทำเคสเปลี่ยนหัวใจเหรอ หมอเขาลือกันทั้งโรงพยาบาลว่างานเนี้ยบเหลือเกินจนอยากชมสักหน พอจะมีเคสให้พาเด็กเข้าไปดูหน่อยไหม เอาเคสเล็กๆ ไม่ยุ่งยากก็ได้”
“ผมพร้อมเสมอล่ะครับอาจารย์ ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ”
“ดีๆ กลัวแต่นักศึกษาจะเอาแต่มองหน้าหล่อๆ ของหมอแทนคนไข้”
“จะเห็นอะไรกันปิดหน้าปิดตาแบบนั้นใครเป็นใครยังไม่รู้เลย” อาจารย์อาคมเริ่มขัดเมื่อเห็นไอ้ศิษย์รุ่นน้องเริ่มหน้าบาน “แล้วหมอวุฒิเสร็จแล้วไปไหนไหม กินข้าวด้วยกันสิ”
“ไม่ล่ะๆ แม่บ้านเขาทำมาให้แล้ว นี่จะออกไปกินข้างนอกกันหรือเปล่า เออ แต่เมื่อกี้ตอนเดินมาผมว่าผมเห็นรถหมอวาเพิ่งขับเข้ามาในโรงบาลนี่นะ ไอ้รถสปอร์ตสีขาวหลังคาผ้าใบทะเบียนประมูล 28 ใช่ไหม คันนี้ทั้งโรงบาลมีหมอขับคนเดียว ผมว่าผมจำไม่ผิดนะ”
“หือ ใช่ครับ แต่ผมยังไม่ได้ออกไปไหนแต่เช้าเลยนะ แล้ววันนี้ก็ขับรถอีกคันมาด้วย”
“เอ... หรือจะเป็นของญาติคนไข้” อาจารย์วุฒิคิดแล้วก็ตาโตนึกได้ว่าเอาใบคอนซัลท์มาส่งจึงตาลีตาเหลือกเดินหายไปทิ้งความสงสัยไว้แก่ชายสองคน
อาคมมองหน้าศิษย์น้องเจ้าของรถก่อนก้าวขานำตรงไปโรงอาหารตามเจตนาเดิม นึกหาคำพูดไม่ให้ทิวากานต์ประสาทเสียเพราะรถไปก่อน “คงเป็นของคนอื่นที่ทะเบียนเหมือนกันละมัง”
“ผมขอเช็คก่อนแล้วกันครับ ติด GPS tracking ไว้” พูดจบก็หยิบโทรศัพท์ที่กลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วยไฟฟ้าเต็มเปี่ยมขึ้นกดเข้าแอพดูตำแหน่งรถ ขายาวชะงักกึกทันทีที่ตาเห็นตำแหน่งรถปัจจุบันเป็นที่โรงพยาบาลจริงๆ
“ทำไมรึ”
“รถผมอยู่นี่”
“หือ? มาอยู่ที่นี่ได้ไง”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ” ชายหนุ่มพยายามนึกถึงความเป็นไปได้ต่างๆ เขาว่ารถเขาก็ติดสัญญากันขโมยอย่างดี หนำซ้ำโจรที่ไหนมันจะขโมยรถมาจอดที่ที่เจ้าของทำงานอยู่
หรือจะเป็น... “แฟนแกเอามาขับหรือเปล่า ได้ข่าวจากรันว่าเมื่อคืนไปง้อมานิ เป็นไงง้อสำเร็จไหม”
ยังไม่ได้ทันได้พูดคำตอบที่อาคมต้องการก็มาโผล่อยู่ตรงหน้า ไอ้เด็กแสบตัวเท่าไหล่ยืนถือโทรศัพท์กับกุญแจรถพอร์เช่โบกอยู่ตรงหน้าอาคาร ผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตนมสะท้อนแสงแดดยามบ่ายวิบวับส่งให้ใบหน้าขาวดูกระจ่างตาประหนึ่งกินโอโม่เข้าไป เจ้าโจรขโมยมามอบตัวถึงที่ไม่ต้องตามจับ แหม่...ดีจริงๆ
รองศาสตราจารย์อาคมแห่งสาขาศัลยกรรมหัวใจและทรวงอกพยักหน้ารับไหว้จากเด็กฝรั่งตัวเล็กหน้าตามึนๆ อายุไม่น่าเกินสิบแปดเมื่อมีคนกลางแนะนำให้รู้จัก รู้สึกคุ้นอยู่บ้างคล้ายเคยเห็นแถวนี้แวบๆ หากไม่คิดมาก่อนว่าจะรู้จักกับหมอในโรงพยาบาลนี้ โดยเฉพาะหมอประเภทเกลียดเด็กเข้าไส้อย่างทิวากานต์
“ไหนๆ แล้วก็ไปกินข้าวด้วยเลยแล้วกัน กินอาหารไทยได้ไหม” เขาว่าไม่ลืมหันไปถามเด็กหนุ่มหน้าต่างชาติแต่พูดไทยชัดแจ๋ว
“ได้ครับถ้าไม่เผ็ดมาก”
“ดีๆ” อาจารย์อาคมฉีกยิ้มจาง เดินนำสองหนุ่มไปโรงอาหาร ตอนแรกว่าจะไปโรงร้อนแต่เห็นแก่แขกหน้าใหม่กลัวจะทนอากาศเมืองไทยไม่ได้จึงพาไปโรงอาหารใหม่ติดแอร์ สั่งอาหารกันมาคนละจานนั่งกินรวมกับคนในโรงพยาบาล บ้านๆ สมถะตามสไตล์ จากที่ว่าจะมานั่งกินให้จบมื้อไปก็กลายเป็นคุยติดลมกับเด็กหนุ่มตาฟ้าจนรู้ประวัติกันคร่าวๆ
“...แล้วก็เลยถูกแด๊ดเตะโด่งมาเรียนที่เมืองไทยนี่แหละครับ” ไอ้ตัวแสบเองคุยกับอาคมถูกคอไม่เบา สมแล้วกับที่เป็นที่เอ็นดูของคนสูงวัย แม้แต่อาจารย์จอมเฮี้ยบยังมีรอยยิ้มติดหน้าตลอดการสนทนา
“ฮืม... แล้วมารู้จักกับเจ้าวาได้ไงกันล่ะลูก ดูท่าเจ้านี่ไม่น่าจะเป็นพวกรักเด็กได้เลย”
“อยู่ห้องตรงข้ามกันครับ ได้วา เอ๊ย พี่วาช่วยเหลือมากเลย ตอนแรกที่รู้จักกันพี่วาดุมาก ชอบขู่ ชอบแกล้ง แต่ความจริงเป็นพวกปากร้ายใจดีนะครับ แล้วก็รักเด็กมากด้วย” ท้ายประโยคจงใจแซะคนข้างตัวเต็มที่ ทิวากานต์เกือบสำลักน้ำซุปข้าวมันไก่ออกทางจมูก
“หึหึ ลุงเห็นหน้ามันตั้งแต่ยังละอ่อนไม่ยักรู้ วันๆ เอาแต่กวนประสาทหาเรื่องปวดหัวให้ทุกวัน ถ้าไม่ประจบเก่ง เอ๊ย เก่งจริงคงอยู่ไม่รอดถึงทุกวันนี้หรอก”
“จะพูดอะไรก็เอาเถอะครับตามสบาย ผมลาออกไปอยู่เอกชนจริงแล้วอย่ามาเกาะขาขอร้องอ้อนวอนแล้วกัน พี่คมไม่รู้อะไรซะแล้วว่าเด็กนี่เป็นไส้ศึกถูกจ้างมาตามจีบผม ลุงเค้าเป็นผอ.โรงบาลเอกชนเครือใหญ่กว่าบ้านพี่รันอีกนะ”
“หลานพี่หมอชายหรอกหรือเนี่ย”
“ครับ ลุงคมก็รู้จักลุงชายด้วยเหรอครับ”
“รู้จักซี่ เขาเป็นรุ่นพี่ลุงเอง งั้นฝากไปบอกลุงเราด้วยแล้วกันว่าถ้าจะเอาไอ้วามันไปก็มาเอาไปเลยที่นี่ไม่ได้รั้งไว้หรอก มันน่ะรั้งตัวเองไว้ เทรนจบก็ไม่ยอมไปเกาะแข้งเกาะขาของานทำจนเขาใจอ่อนโยนตำแหน่งให้”
“พูดซะผมเสียเลยนะพี่คม ถึงมันจะจริงบ้างบางส่วนก็เหอะ”
เพราะทิวากานต์เข้ามาเรียนต่อด้วยทุนตัวเองไร้สังกัดที่ต้องกลับไปทำงานชดใช้เงินการศึกษา เมื่อสอบได้วุฒิบัติเป็นแพทย์ชำนาญการจึงเปรียบเสมือนคนตกงานกลายๆ ต้องไปหาสมัครงานตามโรงพยาบาลทั่วไป เรื่องฝีมือไม่เป็นที่กังขาอยู่แล้วโรงพยาบาลไหนก็อยากรับ แต่ทิวากานต์ไม่ชอบโรงพยาบาลเอกชน จึงรับราชการทำงานที่โรงพยาบาลเดิมตั้งแต่ตนเริ่มเรียนทางสายแพทย์ตามคำชวนของรุ่นพี่คนสนิทอย่างการันต์เพื่อรอหาทุนไปเรียนต่อต่างประเทศดีกว่า
“พอเอาทุนมาให้มันก็ไม่เอาอีก”
“ลุงคมเป็นเอาใบทุนมาให้พี่วาเหรอครับ แล้วตอนนี้ยังสมัครทันอยู่ไหม”
“หมดเขตไปตั้งแต่สิ้นเดือนที่แล้วแล้วล่ะ”
อลันด์ตาโตก่อนหันไปค้อนปะหลับปะเหลือกใส่คนรัก เพราะถ้าบอกว่าสิ้นเดือนที่แล้วก็หมายความว่าหมดตั้งแต่วันเกิดเขา ทิวากานต์ก็ไม่บอกปล่อยให้ทะเลาะกันใหญ่โตอยู่ได้ตั้งนาน ถ้าไม่ติดว่าอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่แล้วก็โรงพยาบาลล่ะก็ทิวากานต์ได้ถูกทุบเป็นกระท้อนไปแล้ว
ตอนนี้ทุนก็หมดเขตไปแล้วจะทำยังไงต่อล่ะเนี่ย!“แล้วเราน่ะขโมยรถพี่มาหาถึงที่เนี่ยมีอะไร แด๊ดดี้กับมัมมี้ยอมปล่อยตัวมาแล้วเหรอ” เมื่อบทสนทนาเริ่มเข้าตัวเขาจึงชวนเปลี่ยนหัวข้อ แต่ดูท่าจะคิดผิดเพราะประโยคถัดมาจากปากอลันด์มันเข้าตัวยิ่งกว่าเดิม เด็กลูกครึ่งตัวแสบทำท่าตกใจลืมเรื่องทุนไปชั่วคราว
“ใช่! ผมเกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย แย่แล้วล่ะวา แด๊ดกับมัมไปฟ้องคุณตาเรื่องของเราเรียบร้อยแล้ว!”
“มีเรื่องอะไรกันรึ” เสียงตกอกตกใจประหนึ่งมีเรื่องร้ายแรงทำให้อาคมอดถามไม่ได้ แต่เขาเพิ่มมารู้ว่าคิดผิดที่ถามก็เมื่อดวงตาตื่นๆ ต่างสีสองคู่หันมามองโดยไม่ได้นัดกัน
ข่าวสตาฟศัลย์คาร์ดิโออาวุโสเกิดอาการเป็นลมหน้ามืดระหว่างกินข้าวแพร่สะบัดไปทั่วโรงพยาบาลรู้ตั้งแต่รปภ. ยันอธิการบดีภายในเวลาแค่ชั่วโมงด้วยความเป็นห่วงใยสุขภาพอาจารย์หมอคนเก่าแก่ พร้อมกันนั้นก็มีข่าวอีกชุดตามคู่กันไปถึงสาเหตุที่ทำให้รองศาสตราจารย์อาคมเป็นลมล้มตึงคาโต๊ะกินข้าวเพราะหมอรุ่นน้องคู่ปรับพาแฟนมาเปิดตัว
“พี่วาพาแฟนมาเปิดตัว?” นักศึกษาสาวหน้าใสชั้นคลินิกอ้าปากค้างระหว่างฟังเพื่อนรักคาบข่าวมาบอก หากเธอติดใจที่อาจารย์อาคมเป็นลมกะเรื่องแค่นี้มากกว่า เพราะคนที่น่าจะเป็นลมหัวใจสลายน่ะคือพวกหล่อนที่แอบชอบมานานไม่น่าจะใช่อาจารย์หมออายุห้าสิบอัพ
“เขาว่ากันว่าแฟนพี่วาเป็นเด็กผู้ชายลูกครึ่งหน้าตาน่ารักอายุห่างกันรอบนึงน่ะสิยัยเม!”
“เด็กผู้ชาย... ลูกครึ่ง”
“ใช่” สาวน้อยแตงกวายืนยันคำบอกเล่าที่ได้ยินมาจากพี่พยาบาลที่ฟังมาจากเรสสิเดนท์ออโธฯ ที่ฟังมาจากแม่ค้าร้านข้าวที่อยู่ในเหตุการณ์อีกที เธอมองเพื่อนรักกระพริบตาปริบๆ ราวกำลังนึกอะไรบางอย่างจึงนึกเอะใจ “เดี๋ยวนะ ลูกครึ่ง ผู้ชาย”
“คุ้นๆ นะว่าไหม”
“เอ่อะ คงไม่ใช่ เอ่อ... น้องคนนั้นหรอกใช่ไหม”
“เหอะๆ คงไม่ใช่หรอกน่า อย่างพี่วาเนี่ยต้องสาว สวย ตัวสูง หุ่นดี เป็นผู้ใหญ่ต่างหากเนอะ พี่แกคงไม่โอเพ่นนิ่งตอนอายุสามสิบหรอกน่า” พูดปลอบใจตัวเองแล้วพากันถอนหายใจ งานนี้มีน้ำตาท่วมโรงพยาบาลแน่ๆ ถ้าหนุ่มหล่อแห่งยุคจะเปิดตัวว่าชอบเพศเดียวขึ้นมาหลังปล่อยให้สาวน้อยสาวใหญ่หลงรักมาตั้งนาน
ส่วนหนุ่มน้อย หน้ามึน ตัวเล็ก ผอมแห้ง ท่าทางเหมือนเด็กซนๆ ตรงข้ามสเปคทิวากานต์ทุกประการในบทสนทนาเมื่อครู่กำลังนั่งหาวอยู่ร้านกาแฟตราแมงดาวระหว่างรอคนรักทำงาน ในหัวพยายามคิดหาทางเอาตัวรอดกับการซักฟอกที่บ้านใหญ่เย็นนี้ยังไงดี ขนาดลุงอาคมที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้รู้เข้ายังเป็นลมล้มพับ อลันด์ล่ะนับถือคุณตาคุณยายตัวเองเหลือเกินที่รู้แล้วยังยอมรับในตัวเขาได้ สงสัยก่อนเข้าบ้านต้องแวะซื้อพวงมาลัยงามๆ ไปกราบเสียหน่อย
สี่โมงครึ่งทิวากานต์จึงโผล่หน้ามาพร้อมการันต์ ว่าที่เจ้าบ่าวแซวสองหนุ่มรุ่นน้องพอเป็นพิธีก่อนแนะแนวทางและให้กำลังใจไปสู้ศึกใหญ่เย็นนี้ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จำไว้นะเวลาคุยกับผู้ใหญ่ให้ใช้เหตุผลอย่าใช้อารมณ์ เขาจะใช้อารมณ์ตีกลับมาก็อย่าไปสน อดทนไว้เราต้องมีสติ เมื่อสติมาปัญญาจะเกิด”
“ครับ” เด็กฝรั่งพยักหน้ารับคำสอนก่อนยกมือไหว้อีกฝ่ายด้วยความเคารพ “ขอบคุณครับพี่รัน”
“ส่วนวา ในฐานะเอ็งเป็นผู้ใหญ่กว่าเอ็งต้องเป็นที่พึ่งให้น้องไม่ใช่ทำให้น้องลำบากใจ ครอบครัวเขาครอบครัวเรามันไม่เหมือนกัน ไม่มีใครยอมรับกับสิ่งที่เราเลือกได้ทั้งหมดหรอก พี่พูดเข้าใจใช่ไหม”
“ครับพี่”
“ถึงอัลจะไม่เด็กแล้วแต่ใช่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ ใครมองเขาก็คิดแหละว่าเราไปหลอกน้องมา พิสูจน์ตัวเองให้เขาเห็นว่าเราจะดูแลน้องได้ คบกันแล้วพากันได้ดี ให้ผู้ใหญ่เขาไว้ใจ เดี๋ยวเขาจะวางใจให้เราคบกันเอง แล้วอย่าลืมไปขอขมาครอบครัวน้องด้วยรู้ไหม”
“ครับ ขอบคุณมากครับพี่” ทิวากานต์ไหว้การันต์ทั้งที่ในใจอยากก้มลงไปกราบแทบเท้า การันต์นั้นเป็นเหมือนพี่ชายเป็นเหมือนพ่อของเขาไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ทำให้เขานั้นตอบแทนเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด
“ไป ไปสู้ มีความหวังได้แต่อย่าลืมเผื่อใจ แต่พี่เชื่อว่าเราสองคนจะผ่านมันไปได้ถ้ารักกันจริง”
.
.
.