ห้องนอนที่ใช้ซุกหัวตั้งแต่สามขวบบัดนี้เต็มไปด้วยกล่องลังมากมาย เจ้าของห้องยืนกอดอกดูแม่บ้านถูกอัลเบิร์ตควบคุมต่ออีกทอดเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่เขาตั้งใจจะนำไปเมืองไทยด้วยลงกล่อง โปสเตอร์นักฟุตบอลรวมไปถึงวงดนตรีสุดโปรดถูกม้วนเก็บใส่กระบอกเพื่อเอาไปทิ้งไว้ในห้องเก็บของ รูปภาพบนหัวเตียงที่เคยมีแต่รูปคู่กับพ่อแม่และโธมัสจนตอนนี้มีอีกคนสำคัญเพิ่มเข้ามาอลันด์ลงมือเก็บใส่สมุดบันทึกส่วนตัวด้วยตนเอง
แม่บ้านสี่คนช่วยกันไม่นานข้าวของทุกอย่างก็ถูกแพคเรียบร้อย ห้องนอนชั้นสามของบ้านโล่งไปอย่างน่าใจหายโดยเฉพาะกับหญิงไทยตัวเล็กที่เปิดประตูเข้ามา
“เก็บเรียบร้อยแล้วหรือจ๊ะ”
“ครับ เดี๋ยวให้โรเบิร์ตเรียกเฟดเอ็กซ์มารับได้เลย” เขาหันไปบอกอัลเบิร์ตให้ไปบอกบิดาตนเองที่เป็นพ่อบ้านใหญ่ของบ้านนี้เรียกบริษัทขนส่งมาจัดการของเตรียมขนย้ายไปกรุงเทพ
“แล้วที่อยู่อะไรที่นู่นเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“คุณยายจัดการให้แล้วครับ พร้อมเข้าอยู่ยี่สิบสี่ชั่วโมง”
“อย่าลืมขอบคุณคุณยายด้วยนะจ๊ะ แล้วหมอวาจะมากี่โมงหืม? แม่จะได้ให้เขาไปเตรียมมื้อเย็นให้”
“โทรมาบอกว่าจะถึงแล้วล่ะครับ ทางนั้นเพิ่งให้เฟดเอ็กซ์มารับของไปเอง” แขนเล็กสวมกอดเอวมารดาก่อนซุกหน้าบนบ่าเล็ก “ผมคงคิดถึงมัมกับแด๊ดแย่”
“โตจนมีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้วยังอ้อนเป็นเด็กอีกนะเรา คิดถึงก็บินกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ สิจ๊ะ”
“สามีอะไรกันวาเป็นภรรยาผมต่างหาก” พูดจบก็ถูกคนแม่ตีไหล่เพี๊ยะ คนถูกทำโทษเลยบ่นอุบอิบขยับปากไร้เสียงทำนองว่าส่วนสูงไม่ใช่ตัวชี้วัดสถานะสักหน่อย “แล้วจะหาเวลาว่างบินมาหานะครับ อ้อ ไม่รู้คุณตาบอกมัมหรือยัง วันเสาร์ปลายเดือนหน้าคุณยายจะจัดงานทำบุญให้ผมกับพี่วา ก็...คล้ายๆ งานแต่งละมั้ง มัมกับแด๊ดไปให้ได้นะ”
“ต้องแล้วแต่พ่อเรานั่นแหละจะว่างหรือเปล่า ป่ะ ลงไปข้างล่างต้อนรับคุณหมอกันดีกว่าจ้ะ ป่านนี้น่าจะถึงได้แล้วนะ”
คุณหมอรูปหล่อมาถึงบ้านโอเนลล์แล้วตามคาด เสื้อโค้ทกันฝนตัวใหญ่ถูกแม่บ้านรับไปแขวนก่อนที่ทิวากานต์จะเงยหน้าขึ้นมาเจอสองแม่ลูกเดินลงมาจากชั้นบนพอดี รอยยิ้มกว้างถูกส่งไปให้และได้รับตอบกลับมาเช่นกัน
“เก็บของเสร็จหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วล่ะ เดี๋ยวอีกสักพักบริษัทขนส่งคงมาเอา ฝนตกแล้วทำไมไม่กางร่มครับ” ปากบ่นแต่ก็สั่งแม่บ้านไปเอาผ้าขนหนูมาให้คุณหมอเช็ดหัวชื้นละอองน้ำ คนถูกดุก็แก้ตัวไปว่าเอาร่มใส่ลังส่งกลับไทยแล้ว
“หมอวารอหน่อยนะจ๊ะ แม่เพิ่งให้เขาเตรียมมื้อเย็น อัลพาพี่เขาไปนั่งเล่นก่อนไป”
ทิวากานต์ยิ้มกับคำแทนตัวของผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้า ได้ฟังกี่ครั้งก็ชื่นใจทุกทีไปเหมือนว่ามีแม่อีกคนเป็นของตัวเอง เขาเข้าไปกอดอ้อนมาดามโอเนลล์ให้พอชื่นใจก็ตามคนตัวเล็กไปเล่นกับแมวข้างบน
เมื่อพ้นสายตาคนอื่นชายหนุ่มใช้สองแขนจัดการอุ้มคนรักแนบอกแล้วจับฟัดไปชุดใหญ่ เกือบสี่ปีที่ผ่านมานอกจากน้ำหนักอลันด์จะไม่เพิ่มแล้วส่วนสูงเองก็มีชะตากรรมเช่นเดียวกัน จึงไม่แปลกที่คุณหมอวัยสามสิบสี่จะจับยกได้สบายเหมือนยกนุ่น โดยเฉพาะคุณหมอคนที่ว่าใช้เวลาว่างฟิตกล้ามเนื้อแข่งกับคู่แฝดตัวป่วนจากบ้านกริฟฟิธส์ที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยด้านวิทยาศาสตร์ในลอนดอนกันทั้งคู่ เข้าตำราที่เขาว่ายิ่งแก่ยิ่งมีเสน่ห์จริงๆ กลับไทยไปรอบนี้ไม่ต้องเดาเลยว่าทิวากานต์จะฮอตมากกว่าเก่าอีกกี่เท่า
ทุ่มตรงเอเดลมาร์ก็กลับมาพร้อมแม่บ้านเริ่มตั้งโต๊ะมื้อเย็น ตาสีฟ้าอ่อนอย่างของลูกชายปรายตามอง
‘แขกประจำ’ ของบ้านนิ่งๆ แล้วนั่งลงที่หัวโต๊ะ ทิวากานต์ถึงกับเลิกคิ้วประหลาดใจเพราะปกติเจอหน้ากันทีไรว่าที่พ่อตาหาเรื่องจิกกัดเขาทุกที แต่วันนี้มาแปลกนอกจากไม่พูดแล้วยังทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนอีกแน่ะ สงสัยจะน้อยใจที่เขาพรากลูกชายสุดที่รักไปอยู่ด้วย
เมื่อจบมื้อค่ำทั้งสี่จึงย้ายไปนั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่น เหมือนรู้ว่าบิดากำลังน้อยใจอลันด์จึงคอยคลอเคลียไม่ห่าง หามุกตลกๆ มาเล่าพอเรียกรอยยิ้มได้บ้างพอให้คนเป็นพ่อแม่ลืมเลือนความเศร้าในหัวใจไปชั่วขณะ หากไม่มีใครห้ามโลกไม่ให้หยุดหมุนได้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาหนุ่มน้อยก็ต้องจำใจลาจากอกอุ่นของผู้ให้กำเนิดเสียที
รอยยิ้มกว้างจุดขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์เมื่อถูกมือเล็กฟาดที่ไหล่หลังอลันด์เอานิ้วโป้งเช็ดแถวๆ หางตามารดาแล้วเอามาแตะลิ้นตัวเองก่อนบ่นว่าเค็ม
“ลูกเล่นชักเยอะขึ้นทุกวัน แม่ล่ะปวดหัวกับเราจริงๆ หมอวาเอาไปเลี้ยงต่อแล้วมาเบิกค่ายากับแม่ได้นะคะ แต่ถ้าเลี้ยงไม่ไหวก็เอามาคืนแม่ไม่ว่าหรอกค่ะ ดื้อขนาดนี้แม่เข้าใจ”
“ลองเอามาคืนสิน่าดู” คนตัวเล็กชี้นิ้วขู่ทิวากานต์ไว้ก่อนทั้งที่รู้ดีว่าคงไม่มีวันนั้น ยิ่งอยู่ด้วยกันเขายิ่งรู้ว่าความรักอาจจะหวือหวาน้อยลงแต่กลับซึมลึกลงในใจมากขึ้นทุกที สามปีกว่าที่ผ่านมาก็พิสูจน์ได้มากพอ
“เราอย่าดื้ออย่าเอาแต่ใจกับพี่เขามากนักล่ะอัล ถึงพี่เขาจะรักจะตามใจเราแค่ไหนก็ต้องยิ่งเกรงใจนะรู้ไหม เป็นผู้ใหญ่แล้ว จะทำอะไรคิดให้มากๆ แม่สอนเข้าใจไหมคะ”
“มัมพูดเป็นรอบที่ล้านถ้ายังฟังไม่เข้าใจอีกก็ไม่ใช่คนแล้วล่ะ”
“ตาอัล! แม่พูดยังไม่ทันขาดคำ”
ผลจากการแซะแม่ตัวเองหนุ่มน้อยจึงถูกฟาดเข้าไปอีกที ทิวากานต์ถึงกับหัวเราะรู้สึกเหมือนเห็นภาพตัวเองถูกอลันด์ทำโทษเป๊ะ แม่ลูกคู่นี้ถ่ายทอดนิสัยกันมาไม่มีเพี้ยนเลย
แต่ศึกสายเลือดก็จบลงอย่างรวดเร็วเมื่ออลันด์พุ่งเข้ากอดมารดา แก้มนิ่มถูไถกับบ่าเล็กเบาๆ ออดอ้อนเหมือนตนเองเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ “มัมดูแลรักษาสุขภาพด้วยนะ ไม่ต้องเลี้ยงผมแล้วงานก็เพลาๆ ลงบ้าง อยู่บ้านดูแลมิวมิวแทนผม แล้วให้แด๊ดเลี้ยงซะ ผมรักมัมมากนะ”
“จ้ะ แม่รู้แล้วล่ะ แม่ก็รักลูกนะ” เธอจับลูกชายมาหอมแก้มเสียงดังฟอดแล้วผละออกมาทันทีราวกับกลัวว่าถ้ายังกอดอยู่แบบนี้เธอจะทำใจปล่อยไปไม่ได้
อลันด์ก็ไม่กล้าสบตากับแม่กลัวจะร้องไห้ออกมาหันไปหาบิดาที่ยืนนิ่งอยู่บนขั้นบันไดแทน “แด๊ด...ผมฝากดูแลมัมด้วยนะ”
“นี่มันเรื่องในครอบครัวฉันไม่ต้องให้เธอมาบอกหรอก”
ปากอย่างนี้ถึงเป็นพ่อคนรักแต่ทิวากานต์ก็อยากต่อยสักเปรี้ยง เขามองอลันด์ที่หน้าเสียจะร้องไห้ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปอีก ปากกับมือใหญ่ไปไวเท่าความคิด คุณหมอยกมือไหว้มาดามโอเนลล์แล้วคว้าคันลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กมาถือก่อนเข้าไปจูงมือคนตัวเล็กเดินออกมาเลย
ในเมื่อจากกันทั้งทีลาดีๆ ไม่ได้ก็ไม่ต้องลาแม่งแล้ว ถ้ามาร้องไห้เสียใจทีหลังเขาจะสมน้ำหน้าให้“ผมรักแด๊ดนะ!” อลันด์หันหน้าตะโกนบอกเอเดลมาร์ที่ยืนทำหน้านิ่งแม้จะถูกภรรยาทุบไปหลายที น้ำตาใสๆ อาบแก้มขาว เขารู้ดีว่าพ่อนั้นรักเขามากกว่าใครแต่ผิดที่เขาเองที่รักพ่อตอบแทนได้ไม่เท่าที่รับมา ถ้าจะถูกเมินกันแบบนี้ก็สมควรแล้ว
.
.
.
ถึงจะยังรู้สึกใจหายและเศร้าไม่น้อยที่ไม่ได้ลาจากกับบิดาดีๆ แต่อลันด์ก็โตพอจะไม่เก็บมาเป็นสาระสำคัญในชีวิตให้เกิดอุปสรรคตั้งแต่การเริ่มต้นสร้างครอบครัวใหม่
คอนโดมิเนียมริมแม่น้ำที่ได้รับเป็นของขวัญวันเกิดครบรอบสิบเก้าปีถูกใช้เป็นบ้านหลังแรกสำหรับพวกเขาสองคน ทีแรกทิวากานต์ไม่ยอมเพราะรู้สึกเหมือนเกาะเด็กกิน แต่อลันด์ก็อธิบายว่าที่นี่ใหญ่กว่าและยังใกล้โรงพยาบาลกว่าคุณหมอจะได้ไม่ต้องขับรถไปกลับให้เหนื่อย ส่วนห้องเก่าก็เอาไปปล่อยเช่าเสียแล้วเอาเงินมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าส่วนกลางที่นี่แทน เมื่อมีเหตุผลขนาดนี้คนโตกว่าจึงยอมในที่สุด
ส่วนรถจากที่เคยมีสี่คันก็เหลือแค่น้องกบกับน้องมินิที่ฝากการันต์ให้ช่วยดูแลมาตลอดสามปีสภาพรถจึงยังพร้อมใช้งานเสมอ ด้านซีรีส์ไฟว์คันโตทิวากานต์ได้ขายตั้งแต่ก่อนบินไปเรียน น้องมิ้ลค์ของอลันด์เองก็มีชะตากรรมไม่ต่างกันมากนัก แต่จะให้ขับรถสปอร์ตแบบนี้ไปทำงานทุกวันคงไม่ไหว พวกเขาจึงตกลงหุ้นเงินกันคนละครึ่งซื้อบีเอ็ม ซีรีส์เจ็ดไว้ใช้งานทั่วไป โดยที่ทิวากานต์เป็นคนออกเงินทั้งหมดให้ก่อน ส่วนของอลันด์หางานทำได้เมื่อไหร่ค่อยมาผ่อนคืนทีหลัง
พวกเขากลับถึงไทยเช้าวันเสาร์ แม้จะให้แม่บ้านช่วยจัดห้องให้ก่อนแล้วแต่ของที่บินตามมาจากอังกฤษพร้อมๆ กันนั้นก็ต้องเอามาเรียงใหม่อยู่ดี ใช้เวลาทั้งวันเร่งมือทำให้เสร็จจะได้พักผ่อนเสียที แต่ทิวากานต์ยังมีเอกสารรายงานตัวให้ต้องเตรียมสำหรับเข้าทำงานในวันจันทร์นี้แล้ว
ตาสีฟ้าอ่อนทอดนิ่งมองคนรักที่นั่งอ่านเอกสารบนโซฟา เหมือนจะมีอีกหลายเรื่องให้จัดการแต่คนตัวโตรับเอาไปทำหมดคนเดียว อลันด์ที่หมดหน้าที่แล้วจึงเข้าครัวชงกาแฟมาให้
“พักก่อนนะ” เขาคลี่ยิ้มให้ทิวากานต์ก่อนเอาตัวเข้าไปซุกกับอกอีกฝ่ายเป็นการบังคับกลายๆ ให้วางงานทุกอย่างแล้วมาเล่นกับเขาเสียเดี๋ยวนี้
“เป็นแมวหรือไงฮึเรา”
“เหมียว... จะว่าไปก็ไม่ได้เล่นเป็นแมวเหมียวกันนานแล้วเนอะ”
“หึหึ อยากได้ป่ะล่ะเดี๋ยวจัดให้” ไม่รอคำตอบคนตัวโตกว่าก็จับแมวขนสีน้ำตาลฟัดชุดใหญ่จนพอใจ หลังจากนั้นก็หันไปสนใจงานในมือต่อ
อลันด์ไม่น้อยใจที่คนรักสนใจงานมากกว่าแต่กลับรู้สึกเป็นห่วง ในขณะที่เขายังมีเวลาลอยไปลอยมาเพราะยังไม่มีงานทำ ทิวากานต์ต้องรีบกลับไปทำงานชดใช้ทุนของมหาวิทยาลัยที่ส่งเขาเรียนต่อ ความจริงแล้วเวลาไม่กระชั้นแบบนี้หรอกแต่เพราะชายหนุ่มยืดเวลาไม่ยอมกลับไทยเสียเพื่อรอเขาจัดการเรื่องต่างๆ แล้วบินมาพร้อมกันถึงต้องเหนื่อยแบบนี้
“อ๊ะ ใครมาหว่า” เสียงออดเรียกหนุ่มน้อยให้ผละออกจากอกอุ่นเดินไปที่เครื่องอินเตอร์คอมฯ หน้าประตู พอรู้ว่าการันต์กับอักษรามาเยี่ยมก็รีบเปิดประตูต้อนรับทันที
คู่สามีภรรยาไม่ได้มากันแค่สองคนแต่กระเตงลูกชายอีกสองหน่อมาด้วย เขาอ้าแขนรับกอดจากอักษราแล้วรับเจ้าตัวเล็กสุดมาอุ้ม ลูกชายคนเล็กของศัลยแพทย์มือฉมังแก้มยุ้ยหน้าตาน่ารักน่าตีแถมยังหัวเราะเสียงดังเมื่อถูกคุณอาชาวต่างชาติหอมไปฟอดใหญ่ ผิดกับคนพี่ที่ยืนจับมือพ่อนิ่งไม่หือไม่อือ
“น้องฟ้าน่ารักจังพี่แอฟ อายุน่าจะพอๆ กับเจ้าฮิลลูกเพื่อนผมนะเนี่ย ส่วนนี่ก็น้องครามสินะ กี่ขวบแล้วครับ”
“จ๋ามขวดคับ” เด็กน้อยตอบฉะฉานผิดก็แต่การออกเสียงที่เพี้ยนไปเสียหน่อยเพราะฟันที่ยังขึ้นไม่ครบดีเรียกรอยยิ้มจากผู้ใหญ่ได้ไม่ยาก
อลันด์พาแขกเข้าไปหาทิวากานต์ข้างใน พอน้องฟ้าเห็นหน้าคุณอารูปหล่อแต่ตาดุก็ร้องไห้จ้าซุกซอกคออลันด์หนีจนยักษ์ชักอยากฟาดเด็กสักที ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกรุ่นพี่ที่เคารพนะโดนเบิ๊ดกะโหลกไปแล้ว ส่วนน้องครามก็นั่งกอดแขนแม่เงียบๆ ฟังผู้ใหญ่คุยกัน
“เมื่อวานถ้าไม่ติดว่ามีทำบุญที่บ้านก็จะไปรับที่สนามบินหรอก แล้วนี่เป็นไงไหวไหมเนี่ยเอ็ง เลื่อนรายงานตัวไปก่อนสักวันสองวันก็ได้นะ”
“ไหวพี่ ยังหนุ่มยังแน่นแค่นี้สบาย”
“หึ เอาเหอะ ปีหน้าก็สามห้าแล้วคงพูดว่าหนุ่มได้ไม่เต็มปาก แล้วตัวแสบเราเป็นไงบ้าง โอเคไหม”
“รู้สึกเหมือนตอนถูกแด๊ดเตะตูดมาอยู่ไทยใหม่ๆ แต่คราวนี้ถูกไล่ออกจากบ้านถาวร อดใจหายไม่ได้ครับ”
“พี่ก็เคยเป็นพี่เข้าใจ” อักษราดึงมือขาวมาจับให้กำลังใจ “แต่เดี๋ยวก็ชินจ๊ะ เพราะที่นี่ก็เป็นบ้านหลังใหม่ของแสบแล้วเหมือนกัน”
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันนะ แต่ว่าแด๊ด... อย่างน้อยผมก็อยากให้แด๊ดยอมรับครอบครัวของผมก็เท่านั้น” ชายหนุ่มวัยยี่สิบสองอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ เหมือนว่าการจากกันครั้งสุดท้ายที่ลอนดอนนั้นได้ทิ้งบาดแผลให้เขาเอาไม่น้อย
ทิวากานต์เห็นอาการคนรักจึงดึงอีกฝ่ายมากอดให้กำลังใจเงียบๆ หากในความคิดเขาจะไม่ยอมให้อลันด์ต้องเจ็บปวดจากการเลือกมารักกับเขาแน่ๆ
เขาคงต้องทำอะไรสักอย่างซะแล้วสิ....
.
.
งานทำบุญรับขวัญหลานชายคนเล็กกับคนรักถูกจัดที่บ้านของอดีตเอกอัครราชทูตย่านสายสอง ไม่มีพิธีการอะไรเป็นกิจลักษณะ มีแค่ตักบาตรพระที่เดินบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านแล้วก็แลกแหวนหลังรับประทานมื้อเช้าด้วยกัน
แขกที่มาร่วมงานก็มีแต่คนสนิท ทางทิวากานต์นั้นยกมาทั้งแก๊งป้าและหลานสาวคนสวยพ่วงตำแหน่งหวานใจหลานชายคนโตบ้านท่านทูตอย่างขัตติยา คนบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างการันต์ก็ไม่มีพลาด แม้แต่วิคเตอร์ที่ติดถ่ายภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ยังบินมาร่วมงานนี้โดยเฉพาะ ทางบ้านอลันด์เองก็มากันครบ เพื่อนสนิทคนไทยอย่างนภและคนินทร์คนบ้านใกล้ก็มา
ขาดแต่พ่อแม่เจ้าตัวที่เงียบหายไปเลยตั้งแต่วันนั้นอลันด์ตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อเห็นชายจีวรสีส้มเข้ามาใกล้ เคยเข้าแต่โบสถ์คริสต์ตั้งแต่เกิดจู่ๆ ต้องมาทำพิธีของอีกศาสนาจึงเกิดอาการเงอะงะไม่น้อย หูฟังเสียงกำกับจากคุณยายให้ถอดรองเท้าก็ถอด ให้ยกมือไหว้พระก็ไหว้ หากพอจะตักข้าวใส่บาตรตามคำสั่งคุณยายกลับถูกคนข้างตัวตัดหน้าไปก่อน
“อัลจับหลังมือพี่ไว้ค่ะ แบบนั้นล่ะถูกแล้ว” เขาทำตามอีกคนสั่งงงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมคนมือใหญ่กว่าอย่างทิวากานต์ไม่กุมมือเขาจับทัพพีแต่ให้มือเล็กๆ ของเขากุมไว้แทน หากหันไปหาคนอื่นไม่เห็นใครว่าอะไรซ้ำยังอมยิ้มกันถ้วนหน้าจึงคิดว่าทำแบบนี้คงถูกต้องตามธรรมเนียม มารู้เอาทีหลังตอนอักษราบอกว่าเป็นเคล็ดของคู่แต่งงาน มือใครอยู่บนจะได้เป็นใหญ่ในบ้าน คนได้เป็นใหญ่ถึงกับอายม้วนหน้าแดงเพราะคนรักยอมให้ตนมากเกินกว่าที่คาด (ส่วนตอนงานแต่งของการันต์กับอักษรา หญิงสาวยอมให้คนรักกุมมือแม้แม่ฝ่ายชายจะยุให้หล่อนอยู่ด้านบนก็ตาม อักษราบอกว่าแค่ตัวเองยังเอาไม่ค่อยรอด ให้พี่รันคุมความประพฤติให้น่ะดีแล้ว)
เมื่อรับพรจากพระสงฆ์เรียบร้อยแล้วทุกคนก็ลุกขึ้นยืนเตรียมกลับเข้าไปในบ้านรับประทานมื้อเช้าแล้วทำพิธีต่อไป คู่รักตัวเอกงานนี้เดินรั้งท้ายสุดเพราะอลันด์เอาแต่ชะเง้อไปหน้าบ้านหวังจะเห็นพ่อแม่ตนเองมาร่วมงานด้วย ก้มดูนาฬิกาเห็นว่าเจ็ดโมงเช้าแล้วจากสุววรณภูมิมานี่ก็น่าจะถึงสักที แต่จนแล้วจนรอดเขาไม่เห็นแม้แต่เงาได้แต่เฝ้ามองประตูรั้วเลื่อนปิดต่อหน้าต่อตา
“ยิ้มหน่อยคนดี ทำหน้าแบบนี้พี่ไม่สบายใจนะคะ” ทิวากานต์เอาแขนโอบไหล่คนรักเข้าหาตัว ดูอาการแค่นี้ไม่ต้องวินิจฉัยลึกก็รู้ว่าเป็นอะไร งานสำคัญในชีวิตแบบนี้แต่คนเป็นพ่อแม่ไม่มาเป็นใครก็ใจเสีย
“อื้อ” เจ้าตัวแสบฝืนยิ้มโอบเอวอีกฝ่ายกลับไปบ้าง
“อัลเคยฟังเพลงรักของพี่ปุ๊ไหม” จู่ๆ คุณหมอวัยสามสิบก็ถามขึ้นมา เด็กฝรั่งที่ฟังแต่เพลงไทยรุ่นคุณแม่ยังสาวส่ายหัว พี่ปุ๊คือใครยังไม่รู้จัก “โหยไรเนี่ย พลาดมากนะ สมัยพี่เรียนนะพี่ปุ๊ดังสุดๆ ไม่เชื่อไปถามพี่เราก็ได้ รู้จักกันหมดแหละ”
“เกิดไม่ทันนิจะไปรู้จักได้ไง”
“หาว่าพี่แก่เหรอ”
“ไม่ได้พูดสักคำ แต่แก่แล้วก็ยอมรับมาเหอะน่า”
“หึหึ ยิ้มแล้ว”
“หือ?” ตาสีฟ้าซีดเงยขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลา พอเข้าใจว่าที่อีกคนพูดหมายถึงอะไรจึงอดฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมไม่ได้
“เอาเป็นว่าอัลไปลองหาฟังดูนะ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนหันกลับไปทางประตูอัลลอยด์เมื่อได้ยินรถยนต์แล่นเข้ามา ตาสีฟ้าซีดเบิกกว้างยามเห็นมารดาและบิดาเดินลงมาจากรถลีมูซีนของสนามบิน น้ำตาหยดใส่ปกเสื้อสูททันทีราวสั่งได้
มาดามโอเนลล์นั้นแทบจะวิ่งบนส้นสูงเกือบสามนิ้วเข้ามากอดลูกชายที่ชักขี้แยขึ้นทุกที มือเล็กๆ คู่นั้นลูบหลังลูบไหล่เช็ดน้ำตาให้เหมือนอีกฝ่ายเป็นเด็กตัวเล็กๆ ก่อนปล่อยให้พ่อลูกเขาได้กอดกัน
“แด๊ด...”
“พ่อขอโทษ... ไม่ร้องไห้นะฮันนี่ พ่อมาหาแล้ว ไม่ร้องนะครับ”
“ฮึก นึกว่าแด๊ดกับมัมจะโกรธผมจนไม่อยากเจอหน้าอีกแล้ว”
“โธ่ ไม่เอาลูกไม่ร้อง ลูกผู้ชายไม่เสียน้ำตากันง่ายๆ นะ พ่อขอโทษ ถ้าเป็นไปได้พ่อก็อยากเห็นหน้าเราจนกว่าจะตายนั่นแหละ” เอเดลมาร์จูบปากลูกชายแรงๆ ความรู้สึกผิดเกาะกุมหัวใจเมื่อเห็นแก้วตาดวงใจต้องเจ็บปวดเพราะตนเป็นสาเหตุ อลันด์ควรมีความสุขมากที่สุดในวันสำคัญถ้าเขาไม่ถือทิฐิจนวินาทีสุดท้าย
“ผมรักแด๊ดนะ”
“พ่อก็รักลูก พอๆ เลิกร้องไห้ได้แล้ว หน้าตาดูไม่ได้เลยเจ้าลูกคนนี้” มือที่เริ่มเหี่ยวย่นตามกาลเวลาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้ลูกชาย พอเขายิ้มอลันด์ก็ยิ้ม เหมือนตอนเจ้าเด็กนี่ไปโรงเรียนอนุบาลวันแรกชะมัด
ทิวากานต์มองเหตุการณ์แสดงความรักของสองพ่อลูกแล้วก็เบาใจ เขาหันไปชูนิ้วโป้งให้มาดามโอเนลล์ที่ช่วยเกลี้ยกล่อมเอเดลมาร์ให้ยอมมางานวันนี้จนได้ ศัลยแพทย์เจ้าเล่ห์ไม่ยอมหรอกถ้างานวันนี้จะไม่สมบูรณ์เพราะหนึ่งในคนสำคัญของงานทำหน้าอมทุกข์จนงานกร่อยเนื่องจากพ่อแม่ไม่ยอมมาร่วมงาน