โคลงที่ ๗
๔ กันยายน ๒๕๕x
๑๑.๕๔ น.
เมื่อวาน ไม่มรโพสต์อิตจากอีกฝ่าย หรือว่าเขารู้แล้วว่าเราคือใคร ก็เล่นเขียนไปแบบนั้น ไม่รู้ก็ให้มันรู้ไปสิว่าตีความไม่ออก ที่ผมไม่ให้เฟสไม่ให้ไลน์ไป เพราะอย่างน้อยถ้าเขารู้ว่าผมเป็นใคร สิ่งที่เขียนไปมันจะเสียเปล่า ผมเขียนบอกเรื่องราวของตัวเองผ่านโคลงบทนั้นหมดแล้ว ตัวผมคงหาได้ไม่ยากนัก เพราะจะมีใครตัวใหญ่เท่าผมอีกล่ะ อ่อ ก็มีห้องอื่น แต่รวมทั้งโรงเรียน อ้วนแบบนี้มันมีไม่ถึง ๑๐ คน แล้วคนที่ชื่อหมี ที่อ้วนๆเป็นหมู มันก็แค่ผมคนเดียวครับ
มาตอนเช้าไม่เห็นอะไรผมก็โล่งใจ เพราะอยากคุยผ่านแค่ใบนี้เท่านั้น จริงๆตนเขียนกลอนคราวแรกก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมีใครมาตอบนะครับ แบบเขียนทิ้งไปลอยๆ แต่มีคนมาคุยด้วยผมก็ดีใจแล้วละ ถึงจะไม่กี่วันก็ตามทีเถอะนะ ต่อไปผมคงได้อยู่ตามปกติสุขกับไอ้แต๊งเหมือนเดิม
เอ๊ะ ไหนๆไม่มีใครสนใจ จีบไอ้แต๊งดีไหม
“หมี กูซื้อเค้กมาฝาก”เสียงไอ้เฟียสดังมา ทำให้ผมต้องรีบหันไปมอง โอเค เฟียส แต๊งเป็นของมึง กูยกให้เพื่อแลกกับเค้กชิ้นนี้แล้วกัน
“ขอบคุณมากเพื่อน”
“อันนี้ของแต๊ง เค้กมะพร้าว อร่อยดีนะ”
“อืม”ไอ้แต๊งรับ พักหลังดูโอนอ่อนผ่อนตามกับไอ้เฟียสมากขึ้นนะ หรือว่ามันจะเริ่มเปิดใจแล้ว แบบนี้ผมก็ต้องง้างประตูหลังเอ๊ย ประตูใจ ไอ้ประตูหลังนี่คอยไอ้เฟียสเจ้าของตัวจริงเขามาแง้มเถอะ ผมทำหน้าที่ยุ ยุขึ้นไม่ขึ้น ก็ต้องยุ
“อร่อยไหม”หล่อหล่อๆเอียงคอถามหลังจากอีกฝ่ายชิมคำแรก
“ถ้าไม่อร่อยเขาจะทำมาขายไหม ถามอะไรบ้าๆ”
“แสดงว่าชอบ”มึงเคยรู้สึกน้อยใจบ้างไหมวะเฟียส กูเห็นใจจริงๆ ไอ้แต๊งมีแต่พูดคำหักหารน้ำใจ
“ก็อร่อยดี ทีหลังไม่ต้องซื้อมาให้ก็ได้ หมดตังค์กับกูไปเท่าไหร่แล้ว”
“ไม่เท่าไหร่หรอก”
“ถ้าเป็นพ่อค้าแม่ค้า เขาจะไม่ลงทุนในตลาดแบบนี้นะ ลงมาเท่าไหร่ไม่เคยได้อะไรคืน”
“ตอนนี้อาจจะยังขาดทุน แต่เมื่อถึงเวลา กำไรที่ได้มามันจะทวีคูณ”
“ใช่เลยเฟียส วันไหนได้คบไอ้แต๊ง มึงเอาคืนทบต้นทบดอกเลยนะ”ผมสนับสนุน
“กูเพื่อนมึงนะหมี”ย้ำซะเหลือเกิน
“ก็ใช่ไง แต่กูอยากให้มึงเป็นฝั่งฝากับไอ้เฟียสสักที”
“เมื่อไหร่ที่มึงยังอ้วนอยู่ กูก็ไม่เปลี่ยนความคิด”เอาล่ะสิ ความอ้วนของฉันสัมพันธ์กับความรักของเพื่อน เอ๊ะ หรือว่าเราจะหลอกไอ้เฟียสให้มันซื้อคอร์สลดน้ำหนักหรือสมัครสมาชิกฟิตเนสดี มันลงทุนกับผมไม่เท่าไหร่ แต่ได้ใจไอ้แต๊งไปไปทั้งตัว เอิ้ก นี่ก็ฟุ้งซ่านเกิน
“หมี ลดน้ำหนักดิ ทำเพื่อกู ถ้ามึงลด แต๊งก็จะยอมเปิดใจกับกูไง”ไอ้เฟียสหัวไวมาก
“โว้ย เป็นตุเป็นตะนะมึง ต่อให้ไอ้หมีมันจะลดไม่ลด กูก็ไม่ยอมคบกับมึงอ่ะ”
“ทำไมอ่ะแต๊ง ผมไม่ดีตรงไหน”
“ทุกตรง”
“ฮ่าๆๆๆ”ขำไอ้เฟียส โดนว่านี่หน้าหุบทันที
“หึหึ พยายามหน่อยแล้วกันเฟียส พอดีคิวพี่มันเยอะ”ยักคิ้วท้าทายคนที่มาหมายปอง
“ถุ้ย กูอยากจะอ้วก”ว่าแล้วก็แย่งเค้กมะพร้าวไอ้แต๊งมากิน
“ไอ้หมี”เสียงดุจากคนซื้อเค้กมาฝาก ถามว่าไอ้หมีสนใจไหม ไม่อ่ะ ผมแย่งประจำ
๑๗.๑๕ น.
เลิกเรียนแล้วมานั่งเฝ้าไอ้แต๊งซ้อมบอล ผมนี่ชักจะทำตัวเหมือนเป็นเมียไอ้แต๊งเข้าไปทุกวัน แล้วธุระของตัวเองก็ไม่เคยมีกับเขาซะด้วย ผมนั่งเฝ้าแบบนี้ตั้งแต่ไอ้แต๊งเข้าชมรมบอลใหม่ๆ ก็หลายปีแล้วครับ บางคนก็คิดว่าผมกับไอ้แต๊งคบกัน แต่ก็ไม่ใช่ ใครจะเอาคนอ้วนแบบผม เอิ้ก หล่อสัสรัสเซีย
ผมนั่งทบทวนหนังสือเช่นเคย อ่านเองครับ ไม่ชอบติว ไม่อยากเสียตังค์ แล้วอีกอย่างโรงเรียนติวจังหวัดผม มันก็ไม่กี่ที่ และที่สำคัญ ผมชอบของฟรีมาก ไปดูคลิปจากตรงนั้นตรงนี้บ่อยๆ ประหยัดได้เยอะ ก็นั่งเขียนๆ เย็นนี้ก็ต้องติวให้ไอ้แต๊ง อย่างที่บอกไป ถ้าไม่ป้อนมัน มันไม่อยากจะทำอะไรหรอกครับไอ้นี่
เขียนเสร็จ ไปซื้อผักจากแปลงของชมรมให้แม่ ออกมาข้างสนาม ไอ้แต๊งนั่งโอดครวญพร้อมกับมีไอ้เฟียสคอยปรนนิบัติ
“เป็นไรเหรอ”
“ไอ้ไก่อ่ะดิ ไม่เตะบอล เสือกมาเตะแข้งกู”นึกออกไหมครับ กระดูกหน้าแข้งปะทะกับกระดูกหน้าแข้ง ร้าวเลย
“แต๊งไปหาหมอไหม”ใจดีแบบนี้ จะมีใครเหมือนเฟียส
“เดี๋ยวให้แม่ดูให้ก็ได้ ซี้ด อย่ากดดิ มันเจ็บ”
“ทายาให้อยู่ ไม่ได้กด”นิ้วเรียวยาวขาวผ่อนค่อยๆวนตัวยาลงบนหน้าแข้ง หัวเข่ามึงด้านมากเลยไอ้แต๊ง นี่มันหัวเขาคนหรือหัวเขาควายวะ
“ไม่ต้องยุ่งเลยมึง”ทำหน้ายู่แล้วปัดออก ขี้งอนนะสัส
“ไม่ได้ แต๊งเจ็บผมก็เจ็บ”ยังนวดวนยาบนรอยช้ำต่อไป
“เจ็บตรงไหน”ไอ้แต๊งถามซื่อๆ
“เจ็บใจที่ดูแลแต๊งไม่ได้”
“ฮิ้ววววววววววววววววววววววว พี่เฟียส แต่งเมื่อไหร่บอกผมด้วยนะพี่ ผมช่วงยาดองโหลหนึ่ง”เสียงร้องแซวจากน้องๆชมรมฟุตบอล
“คืนนี้พ่อไอ้แต๊งเข้าเวร น้าหมอนคงกลับดึก มึงไปค้างบ้านไอ้แต๊งได้นะเฟียส”ผมร่วมวงกับเขาด้วย
“เดี๋ยวได้ปากแตกทั้งคู่ พวกมึงด้วย”ชี้หน้าผม ไอ้เฟียส และคนอื่นๆที่แซว
“ทำเป็นเขินนะพี่แต๊ง”
“เฮ้ย อย่าแซว”ไอ้เฟียสทำเสียงเข้ม พวกนั้นเงียบเลยครับ นี่แหละอิทธิพลของเฟียส เงียบคือเงียบ
“มึงรออยู่นี่แล้วกัน เดี๋ยวกูไปเอารถมาก่อนนะ หรือว่าจะให้ไอ้เฟียสไปส่ง”
“ถ้ามึงให้กูกลับกับไอ้เฟียส กูยอมเดินกลับดีกว่า”
“เออ คุณชาย”ส่ายหน้าแล้วเดินไปที่โรงรถ โรงรถยังโหวงเหวงเหมือนเดิมครับ ไม่มีคนแล้วครับ แต่ก็มีรถของพวกนักบอลอยู่หลายคัน อ่อ มีนักกีฬาคนอื่นด้วย เย็นๆจะซ้อมกันหลายประเภท พวกบอลก็ซ้อมกันไป พวกบาส ตะกร้อ วอลเลย์ หลายอย่างครับ ระหว่างที่เดินไปยังรถ ก็เจอโพสต์อิตแปะที่ลับๆ ใช่ของเราหรือของคนอื่นนะ
ตัว ตนสกนธ์ข้า ไพบูลย์
ผม ผ่องผิวพรรณดูลย์ เรี่ยมเร้
ชื่อ กระฉ่อนเหล่ามนูญ ถ้วนทั่ว ณ สถาน
ภู เลื่องนามล้ำเด้ เด่นด้าว
เพื่อน ผองปองเอ่ยเอิ้น ย่อย่น
ชอบ เอ่ยตามตัวต้น อักษร
เรียก ติดปากเพิ่มพ้น ลืมเก่า นามเดิม
พี เพื่อนทวงถามว้อนท์ ที่แล้ว สื่อกลาง
ใช่จริงๆด้วย วันนี้เขาบรรยายสุขลักษณะ เอ๊ย บุคลิกภาพของเขา รูปร่างไพบูลย์นี่ยังไงนะ เต็มเนื้อเต็มหนังแน่เลย น่าจะมีกล้ามด้วยมั้ง ผิวพรรณผ่องดูลย์นี่ ขาวเสมอต้นเสมอปลาย หรือว่าดำเสมอต้นเสมอปลายวะ แต่มีคำว่าผ่อง ผิวผ่องๆ นี่มันน่าจะผิวขาว เรี่ยมเร้ ก็สะอาดสะอ้านหมดจด แสดงว่าเป็นคนที่ตัวน่าจะขาวหมดจดแน่เลย
ชื่อกระฉ่อน แสดงว่าต้องเป็นคนดัง ถ้าคนดังมันก็แก๊งเทวดา แก๊งเทวดานี่นักเรียนโรงเรียนพวกผมจะจัดลำดับเอาไว้ คือใครที่หน้าตาดีโดดเด่น ก็จะถูกจัดอยู่ในทำเนียบแก๊งเทวดา ตอนนี้มีอยู่ ๒๐ กว่าคนครับ ไอ้เฟียสคือหนึ่งในนั้นด้วย อ่อ แล้วการที่จะเป็นแก๊งเทวดา หน้าตานอกจากจะต้องหล่อแล้ว การเรียนต้องเก่งด้วย ไอ้แต๊งนี่เพราะเกรดไม่สวย เลยได้เป็นแค่นรชน คือจะมี ๓ เกรดครับ หล่อ เก่ง นี่เขาเรียกว่าแก๊งเทวดา อันดับต่อมา เก่งแต่ไม่หล่อ กับ หล่อแต่ไม่เก่ง อันนี้เขาเรียน นรชน ส่วนพวกหน้าตาธรรมดา บ้านๆเลี้ยงวัว อย่างผมก็เลี้ยงหมู จัดอยู่ในระดับ บรรพชน คือ หน้าตามึงได้ต้นฉบับบรรพชนมามาก แต่นี่เขาจัดขำๆนะ ไม่ได้จริงจัง เคยมีคนประท้วงด้วยเรื่องการจัดลำดับ แต่ว่า ทางโรงเรียนไม่เกี่ยว เราจัดกันเอง โดยมีคณะกรรมการคือ สาวสอง จากทุกชั้นปี และสองสาว จากทุกชั้นปี คือ สาวสองก็กะเทยอ่ะ เป็นตัวแทนการโหวต และสองสาว คือผู้หญิงสวยๆ ทำกันเอง ถามว่าการเรียนเราจริงจังไหม ไม่อ่ะ อะไรที่มันไร้สาระเราชอบนัก เอิ้ก
มาต่อๆ ชื่อเสียงกระฉ่อนก็แสดงว่าต้องดัง เฮ้ย แต่บางคนดังแค่ในโรงเรียนนะ ออกนอกโรงเรียนก็ดับแล้วละ มันไม่แน่หรอก แล้วคนดังมันเยอะมาก เอาจริงๆนะ ในโรงเรียนบางคนนี่โคตรหล่อ พอออกไปข้างนอก กูคิดว่าอาแปะขายหมู คือความหล่อมันโดดกลบ แต่หล่อแบบไอ้เฟียสนี่ หล่อเสมอต้นเสมอปลาย หล่อไม่บันยะบันยัง หล่อไม่ปรึกษาใคร หล่อยันเม็ดสิวอ่ะ คนอื่นก็เหมือนกัน หล่อเวอร์
มาท่อนสุดท้าย ชื่อภู คนชื่อ ภู นี่มีเป็นสิบ ไปไล่มาสิว่าภูไหนบ้าง เยอะมาก นอกจาก ภู นี้แล้ว พู แบบนี้มันก็มีด้วยนะ หลายคนอ่ะ ไม่รู้หรอกว่าใคร มาอ่านโคลงที่ ๒ อืม ชื่อ ภู แต่เพื่อนเรียกว่า พี จนติดปากแล้วลืมคำว่าภูไปเลยเหรอ แสดงว่าชื่อ ภู ไม่ได้ถูกใช้งานมานานแล้ว ถ้าเราจะเจอเขา เราต้องเจอเขาในนามว่า พี แล้ว พี มันกี่พี พีรเดช พีระพงษ์ พีรพัฒน์ พีรพรรณ อ้าว นี่ชื่อพี่มหาตวงนี่หว่า พีรพรรณ วงษ์กฤษณ์ ไอดอลผม อิอิ มาวิเคราะห์ต่อครับหรือว่า มันตัว พี ตัวแรกของภาษาอังกฤษ เออ เขาบอกว่าเพื่อนชอบเรียกว่าว่า พี ตามต้นอักษร คือเวลาที่เขาเขียนชื่อเป็นภาษาวิลาศ เอิ้ก ภาษาอังกฤษสิ มันต้องใช้ตัว พี นำหน้า โห ถ้าแบบนี้มันก็หายากแล้วละ เพราะ พี นี่มันย่อได้เยอะมาก ภูมิ ภพธร พีรวิชญ์ พงศกร ศุภกรก็ใช่ เอ๊ย ไม่ใช่ ฮ่าๆๆ หลอนเกิ้นนนนนน เอ่อ จริงๆหาแค่ พี น่าจะเจอง่ายกว่ามั้ง
มาบรรทัดสุดท้าย ทวงถามที่ว้อนท์ ยูว้อนท์อะไรของยูวะ สลัดผักเสี้ยนดองใส่เกลือสินเธาว์ วอนท์ที่แล้ว สื่อกลาง คืออะไรวะ สื่อกลาง มันก็ นกพิราบงี้เหรอ เอ๊ย หรือว่าของเราเป็นนกฮูกแบบแฮรี่ พอตเตอร์ คงไม่ใช่แล้วละ ถ้าจดหมายของผมมันร่อนมาคงต้องใช่หมูป่าในไลอ้อน คิงส์ เฮ้อ ขอสื่อกลาง คือจะเอาเบอร์ เอาไลน์ เอาเฟซ งี้เหรอ ปั๊ดโธ่ พ่อคุณเอ๋ย ถ้าเจ้าประคุณจะพรรณนาถึงตนเองแบบนี้ บ่าวก็มิกล้าให้อะไรติดต่อหรอก บ่าวเจียมตัว
หยิบโพสต์อิตแปะใส่สมุดของตนเองแล้ว ถอยรถมอไซด์ชวนไอ้แต๊งกลับบ้าน
ตัว พี ชื่อย่อ เพื่อนเรียกจนคุ้นปาก เอ้ พี นี่มันย่อมาจากอะไรดีนะ
พงษ์พิสิษฐ์ ฉิบหาย นี่มันชื่อไอ้เฟียส
แต๊งถาม : มันใช่เหรอไอ้หมี