ตอนที่ 04
คืนวันศุกร์ ร้านเหล้าคนเยอะฉิบหายยย!
เมื่อก่อนเป็นคนกิน ไม่คิดว่าจะวุ่นวายได้ขนาดนี้ วันนี้ลองมาทำงานหัวโคตรหมุน ยิ่งเด็กเสิร์ฟน้อย ๆ ผมถึงกับเดินไม่หยุด เดี๋ยวแก้วแตก เดี๋ยวขอเพิ่ม เดี๋ยวโซดาหมด ขอเอาเหล้าเข้ามาเปิดเอง ที่ต้องดูดี ๆ อีกอย่างคือพวกเมาแล้วขโมยของ เจอไอ้เหี้ยคนหนึ่งกำลังยัดเมนูใส่กระเป๋า มึงเอากลับไปให้พ่อมึงชงมาตินี่ให้ดื่มรึไงไอ้หัวกรวย
“ไหวนะมึง” พี่เม่นเดินผ่าน ผมกำลังปาดเหงื่อพอดี แอร์เย็นฉ่ำแค่ไหนก็ไม่สู้ ขานี่สั่นริก ๆ ทั้งสองข้าง ยิ่งกว่าวิ่งมาราธอน ทำไมมันเหนื่อยแบบนี้วะเฮ้ย
“มึงเอแบลคฯไปให้โต๊ะเจ็ดไป เดี๋ยวกูเอาน้ำแข็งไปเสิร์ฟเอง โต๊ะไหน”
“สิบสองครับพี่”
“เออ ไป ๆ โต๊ะนั้นคนเยอะด้วยเดี๋ยวโวยวาย ไม่ไหวก็บอกกูจะได้ไปนั่งพัก”
ผมพยักหน้า พี่เม่นตบบ่าผมแล้วยัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาแพงใส่มือ ผมหิ้วเหล้าขวดลิตรมาถึงโต๊ะใกล้เวที มากันเกือบสิบคน ดูหน้าแล้วคุ้นตาฉิบหาย เคยเดินสวน ๆ กันที่คณะวิศวกรรมนี่แหละ
“อ้าว น้องว่าน”
นั่นไง กูว่าคุ้น ที่แท้เด็กภาคคอมฯ นี่เอง พี่อาร์มทัก รับเหล้าไปจากมือผมขณะที่คนข้าง ๆ มันเปิดกระเป๋าหยิบแบงค์พันสองใบให้หน้านิ่ง จะใครล่ะครับ ไอ้พี่หงวยของผมนั่นแหละ
“ทำงานพิเศษเหรอเรา”
“ครับ” ผมว่า รับเงินมาด้วย “เพิ่งเริ่มวันแรก อ๊ะ พี่แคนเซ็นบิลให้ผมหน่อย”
“ทำวันไหนบ้างล่ะ วันนี้วันเกิดไอ้โจเพื่อนพี่เลยพามาเลี้ยง เฮ้ย พวกมึง นี่น้องว่าน โยธา”
“ไปรู้จักได้ไงวะ”
“เป็นเพื่อนน้องชมรมกู เพื่อนไอ้โต๋”
ผมยกมือไหว้ ก่อนรับบิลคืนมาจากพี่แคน “เลิกงานกี่โมง”
“น่าจะตีสามพี่ ต้องช่วยเขาเก็บร้านก่อน”
“เงินไม่ต้องทอน แต่รีบ ๆ จัดการ กูรอหน้าร้าน”
อะ?...ผมอ้าปากงง ๆ พี่แคนกระซิบพอให้ไอ้ยินกันสองคน สายตาเหมือนสอดส่องทั่วไปไม่ได้คุยกับผมดังนั้นเพื่อน ๆ เลยไม่เห็นความผิดปกติอะไร ผมพยักหน้า เห็นพี่เม่นเดินผ่านท่าทางยุ่ง ๆ เลยปลีกตัวออกมาช่วยอีกแรง ขาแทบหลุด ทำไมพี่กรีนไม่ยอมบอกผมว่ามันเหนื่อยบรรลัยแบบนี้วะ!
“เออ ว่าน กลับไง”
พี่เม่นถามเมื่องานเลี้ยงสุดเหวี่ยงของใครบางคนสิ้นสุดลง โต๊ะเก้าอี้ถูกยกขึ้นเก็บเหมือนแรกเริ่ม ผมซักผ้าถูพื้นที่มีทั้งเศษแก้วและกลิ่นอ้วกแล้วพาดตาก รู้สึกเหมือนร่างแหลกสลาย เปื่อยยุ่ยเหมือนทิชชูแช่น้ำค้างคืน
“เดี๋ยวมีพี่มารอคุยด้วยครับ คงกลับพร้อมเขา”
“มีสาวมาจีบ? โวะ เนื้อหอม”
“ไม่ใช่พี่” รีบปฏิเสธก่อนถูกเข้าใจผิด “พี่ที่คณะ พอดีรู้จักกันแล้วเขามากินเหล้าด้วย เลยรอรับ”
“ทำไมต้องรอวะ แปลก”
“มีเรื่องจะคุยด้วยมั้ง ไม่รู้ว่ะ พี่ไปฟังกับผมไหมล่ะถ้าอยากรู้”
พี่เม่นหัวเราะร่วน วางพาดมือบนบ่า “ยังไม่เสือกระดับนั้น เอาเหอะ แต่มีสาวฝากเบอร์ให้เบอร์มึงหลายคนเลย อันนี้ของแท้ กูคัดให้แล้ว บึ้มทั้งนั้น”
พี่เม่นยักคิ้ว ยื่นแผ่นกระดาษมาให้สามสี่ใบ ส่วนใหญ่แล้วเป็นบิลที่ไม่ได้ใช้ บิลเซเว่น วัตสัน มีนามบัตรของคนอื่นที่ขีดฆ่าชื่อแล้วเขียนชื่อตัวเองแทนด้วย
“กูบอกแล้วว่าผู้หญิงแม่งชอบแบบมึง เอางี้ ไว้กูติววิธีหลีสาว แล้วไง วันนี้ทิปเยอะไหม”
“เยอะมาก แต่ไม่ต้องหารเหรอพี่”
“เฮ้ย เอาไปเลย พี่สิทธิ์แกว่าใครอยากได้ทิปดีก็บริการลูกค้าให้ถูกใจ จะได้แข่งกันขยัน เมื่อก่อนพอหารแล้วมีคนอู้ มึงก็เก็บ ๆ ไว้เถอะ เป็นทุนการศึกษา”
“แล้วทุนนมลูกพี่อะ”
“กูก็มีเจ้าประจำของกูโว้ย” พี่เม่นว่า หัวเราะไปด้วย มีกลิ่นบุหรี่เจือมากับลมหายใจ เช่นเดียวกับแอลกอฮอล์ ผมเองก็ถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มไปหลายแก้วเหมือนกัน “ผู้ชายคนนั้นเหรอพี่มึง”
ผมพยักหน้า เราพากันเดินมาเรื่อย ๆ จนถึงประตูด้านหน้า พี่เม่นมีมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน เช่าบ้านพักอยู่ในซอยลึก ๆ หน่อยแต่เดินทางไม่ลำบาก
“กลับดี ๆ ล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน”
ผมยกมือไหว้ ก่อนแยกกับเพื่อนร่วมงานมาหาคนที่ยืนสูบบุหรี่พิงกำแพงช้า ๆ
“คนอื่นล่ะครับ”
“กลับหมดแล้ว”
“พี่แคนมีอะไรหรือเปล่า ที่จริงค่อยคุยกันพรุ่งนี้ก็ได้นะ ไม่ง่วงเหรอ เมาหรือเปล่า”
“ไม่ได้ดื่ม” เขาว่า อัดควันบุหรี่เข้าปอดจนปลายมวนเป็นสีสว่างวาบก่อนทิ้งลงพื้น “เอารถมา ไม่ได้จะมากินเหล้าอยู่แล้ว มาเก็บศพไอ้พวกนั้น”
“อ้าว แล้ว...”
“ส่งมันขึ้นแท็กซี่หมดแล้ว มันเอาตัวรอดกันได้ แต่มึง...”
ผมเลิกคิ้ว พี่แคนห่วงอะไรผมวะ งานก็ไม่มีอะไรเสียหน่อย “เอากระเป๋ากับมือถือมานี่”
“ครับ?”
“ส่งมา”
ผมยอมยื่นของในกระเป๋าให้อีกฝ่ายในที่สุด เขาดึงผมเข้าหา ท้องฟ้าเริ่มคำราม เมื่อเงยหน้าขึ้นไปไม่เห็นแม้แต่แสงดาว เมฆก้อนใหญ่บดบังแสงนวลของดวงจันทร์ พี่แคนทำจมูกฟุดฟิดเหมือนหยั่งรู้ว่าฝนกำลังจะตกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
“เกาะแขนกูไปที่รถ”
“หา?”
“เหนื่อยไม่ใช่เหรอ” เขาถาม ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มอง เหนื่อยจริง ๆ เหนื่อยมากด้วย ผมไม่เคยทำงานหนักขนาดนี้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่เตรียมร้านตั้งแต่หนึ่งทุ่มยันตีสาม พี่เม่นบอกว่าปกติแล้วจะมีคนคอยเปลี่ยนกะ งานไม่หนักมากขนาดนี้ แต่พอคนขาดทุกอย่างก็ตึงไปหมด พี่เม่นชินกับการทำงานแบบนี้ ส่วนผมพอเจอครั้งแรกทั้งหนักและนานเลยร้าวไปทั้งตัว
ท้องฟ้าร้องครืนอีกครั้ง บีเอ็มดับบลิวของพี่แคนเปิดแอร์จนเย็นฉ่ำ เมื่อทิ้งตัวลงไปบนเบาะนุ่ม ๆ พร้อมกับเพลงรอบดึกของคลื่นวิทยุบรรเลง ผมก็ผล็อยหลับลงลึกอย่างง่ายดาย
“...น....ไอ้ว่าน ถึงหอแล้ว”
เสียงทุ้มของชายหนุ่มดังขึ้นใกล้ ๆ ในความฝันอันมืดมิด ผมค่อย ๆ ปรือตาเปิดอย่างเกียจคร้าน ภาพข้างหน้าคือคางเบลอ ๆ มีเคราขึ้นเขียวครึ้ม สักพักเครานั้นก็ห่างออกไปเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเต็มดวงของรุ่นพี่คนเก่ง พี่แคนตบที่แก้มผมเบา ๆ อีกหลายครั้ง กระทั่งภาพทุกอย่างชัดเจน ผมนั่งอยู่ในรถ ข้างนอกฝนลงเม็ดหนัก
“ถึงแล้ว”
“ถึงแล้วเหรอ กี่โมงแล้ว”
“ตีสามครึ่ง”
“พี่แคนกลับไง”
“ขับรถ” เขาว่า “แต่หลังจากคุยกับมึงเรียบร้อยก่อน”
“คุยอะไร ไว้ค่อยคุยได้ไหม ว่านง่วงมากเลยว่ะ เหนื่อย อื้อออ”
บิดขี้เกียจยาว ๆ อวดไปหนึ่งครั้ง ได้ยินเสียงกระดูกดังกร๊อบ พี่แคนยืดตัวกลับไปใช้ข้อศอกเท้ากับพวงมาลัย มองผมด้วยสายตาสงบนิ่ง “ไม่รอ พรุ่งนี้กว่าจะตื่นก็เย็น เดี๋ยวก็ออกไปทำงานอีก”
“รีบเหรอ”
“รีบ”
“รีบอะไร เงียบไปได้ตั้งหลายวัน โด่ว”
“ไม่ใช่เวลามาพูดเล่น จะคุยกันดี ๆ ก่อนไหม”
“ว่านง่วงโว้ย”
“อย่างอแง” เขาว่า “ใช่เรื่องไหมไปทำงานที่แบบนั้น สารร่างก็ไม่ไหว เรียนก็แย่ ทำไมทำอะไรไม่รู้จักตัวเองวะ”
“ก็หาคนสอนให้อยู่นี่ไง พี่แคนไม่สอนผม”
“เรียกแทนตัวเองว่าว่านเหมือนเมื่อกี้ซิ”
“อะไร” ผมเหลือบตามอง เมื่อกี้มันคำติดปากเวลาคุยกับแม่กับพี่ไผ่โว้ย “ไม่เอาอะ”
“ทำไมดื้อวะ”
“อย่าพูดเหมือนผมเป็นเด็ก ๆ ได้ปะ พี่แคนเป็นไร เมาเหรอ ง่วงเหรอ นอนนี่ไหม ขับรถไม่ไหวแล้วมั้ง”
“มีแปรงสีฟันใหม่สักอันไหมล่ะ”
“หา?”
“วันนี้มึงหาใส่กูสองรอบแล้ว” พี่แคนว่า ปลดล็อกประตู “ลง เดี๋ยวคืนนี้นอนด้วย”
“เฮ้ย ผมพูดเล่น”
“ไม่กลับแล้ว ดึก กว่าจะคุยกันรู้เรื่องอีก”
“แต่-“ เสียงนั้นกลืนหายไปเมื่อดวงตาสีดำสนิทของอีกฝ่ายจับจ้องมา เปลี่ยนเป็นอ้อมแอ้มอยู่ในลำคอ “ก็ได้”
ผมเปิดประตู วิ่งตากฝนจากลานจอดรถหอพักนำไปก่อน พี่แคนตามมาติด ๆ ระยะทางไม่ถึงห้าเมตร แต่ฝนลงหนักแบบนี้พาลเอาเสื้อผ้าเปียกกันทั้งคู่
“บอกไว้ก่อนนะโว้ย เสื้อผ้าผมมีแต่ไซส์ผม ไม่ให้ยืมบ็อกเซอร์กับกางเกงใน”
“ใครมันจะยืมวะ” เขาว่า “รีบ ๆ กดลิฟต์ดิ อยากหนาวตายหรือไง”
“พี่มาขอนอนห้องผมนะ อย่าสั่งเด้”
“มึงขอให้กูติวหนังสือให้ไม่ใช่หรือไง กวนตีนอีกเดี๋ยวจะโดน” พอเจอย้อนงี้เงียบเลยครับ กริบเลย อยากให้สอนนะ แต่ตอนนี้เหนื่อย อยากนอนมากกว่า ลิฟต์พาเรามาถึงชั้นที่ผมอยู่ เยื้องจากลิฟต์นิดเดียวเป็นห้องพัก ไอ้โต๋เคยมาไม่กี่ครั้ง ที่เหลือก็ไม่มีใครมาอีก เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงความโสโครก ไม่จำเป็นไม่อยากให้ใครเห็นสภาพเลยไอ้ฉิบหาย
“นี่ห้องมึงรึรังหนู โวะ ซองมาม่าตั้งแต่เมื่อไรวะ”
“มาห้องคนอื่นอย่าเสียมารยาทเด้”
“โสโครก”
“ห้องผม” อย่าเสือกครับพี่หงวย พี่ควรจะสำนึกที่จะได้นอนบนเตียงนอนครึ่งหนึ่งของผมด้วยซ้ำ “ผมนอนเลยนะ พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาคุย”
“อาบน้ำ”
“เหนื่อย ไม่มีแรงจะเถียง ไม่มีแรงอาบด้วย”
“กูอาบให้ไหม” มันพูดหน้านิ่ง แต่ไม่ไหวแล้วโว้ยยย
“พี่รับไม่ได้พี่ก็กลับไปเลย ผมจะนอน อย่าเรื่องมากได้ปะ ใคร ๆ เขาก็ไม่อาบน้ำนอนทั้งนั้น”
“ไม่เหนียวตัวบ้างเหรอวะ เหนื่อยมาทั้งวัน แล้วเปียกอีกต่างหาก เดี๋ยวก็ไม่สบาย”
“พี่ก็รู้ว่าผมเหนื่อย เลิกวุ่นวายทีเหอะ ผมอยากนอน ผมจะนอน”
ว่าพลางถอดรองเท้าแล้วพุ่งหลาวลงบนเตียง ไอ้พี่แคนถอนหายใจ วางของไว้บนพื้นที่อันเล็กน้อยหน้ากระจก “งั้นลุกขึ้นมา ชูแขนขึ้น”
มันเปิดตู้ผม หยิบเสื้อสักตัวที่แขวนในตู้มาให้ ผมถูกดึงให้ลุกนั่ง สุดท้ายก็ได้เสื้อตัวใหม่มาสวมแทนเสื้อยืดย้วย ๆ ฉ่ำน้ำ ส่วนกางเกงก็ถูกปลดตะขอถอดทิ้งไว้เหลือแค่บ็อกเซอร์ติดตัว
“ยืมผ้าเข็ดตัวกับเสื้อผ้านะ”
“อือ จะทำอะไรก็ทำเหอะ”
“มึงนี่นะ” เสียงสุดท้ายพูดด้วยความเอือมระอา ผมรู้ พี่ไผ่ก็ชอบพูดเสียงแบบนี้กับผม แต่ที่ไม่เหมือนกับพี่ไผ่คือพี่แคนยื่นมือมายีหัวผมแล้วกดลงไปบนหมอนอีกทีก่อนเสียงปิดประตูห้องน้ำจะดังขึ้น และผมก็ปล่อยสติให้หลุดลอยไปกับความเพลียที่เข้ารุมเร้าทั้งสรรพางค์กาย
เที่ยงวันถัดมา เสียงของเครื่องดูดฝุ่นดังขึ้นรบกวนการพักผ่อนอันสงบเงียบของผม เมื่อปรือตาเปิดก็เห็นพี่แคนใส่กางเกงขาสั้น แบบสั้นเกินวิสัยผู้ชายทั่วไป ไม่สวมเสื้อจัดการกับห้องนอนสุดแสนจะรุงรังของผมเพียงลำพัง ด้านนอกมีเสื้อผ้าที่ซักตากแขวนไว้เต็มระเบียง ไม่ใช่ผม ไม่ใช่แน่ ดังนั้นก็หมายถึงอาคันตุกะนี่แหละที่จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
“ตื่นแล้วเหรอ”
“พี่ทำไร”
“โทษทีว่ะ เห็นแล้วทนไม่ไหว กางเกงมึงเห็ดจะขึ้นอยู่แล้ว”
“ไม่เป็นไร” ผมว่า “ขอบคุณต่างหาก”
พี่แคนไม่ตอบ โน้มตัวลงแหย่หัวดูดไปตามซอกหลังตู้เสื้อผ้า ผมบิดตัว ได้ยินเสียงของกล้ามเนื้อปริแตก กระดูกลั่น ก่อนใบหน้าจะเหยเกตามความเมื่อยล้าโดยเฉพาะช่วงขา พี่แคนจัดการทำความสะอาดเสร็จพอดี ม้วนสายเครื่องดูดฝุ่นกลับเข้าที่ ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กซับเหงื่อที่ไหล่จนชุ่มทั่วกล้ามเนื้อทั้งหน้าและหลัง
“วันนี้กูทำให้ วันหลังอย่าให้เห็นสกปรกอีก”
“พี่ทำความสะอาดเป็นด้วยเหรอ นึกว่าจะคุณหนูอีก”
“ที่จริงที่บ้านก็มีพ่อบ้าน แต่ไม่อยากให้มาวุ่นวายในห้องเลยจัดการเอง มึงเถอะ ไม่มีคนใช้แท้ ๆ ยังเสือกซกมก”
ผมหัวเราะ ไม่ได้รู้สึกผิด สักพักผ้าขนหนูเหม็นเหงื่อก็ถูกโยนมาโปะบนหน้า “แหวะ”
“ไม่ต้องมาแหวะเลย กูอาบน้ำสองรอบแล้ว มีแต่มึง ไอ้เน่า ไปอาบน้ำอาบท่า เดี๋ยวออกไปข้างนอก”
“ไปไหน ผมเมื่อยมาก” ว่าด้วยเสียงกระเง้ากระงอดทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง “พี่แคนปล่อยผมไปเถอะ อย่าฆ่าผมเลย”
“จะพาไปนวด”
“ตีหม้อเหรอ” เด้งตัวขึ้นพรวดเลยครับ พี่แคนหัวเราะหึในลำคอก่อนทำลายฝันผม “นวดแผนไทย เดี้ยงเป็นหมาอัดปี๊บแบบนี้ยังมีหน้าทำอย่างอื่นอีกเหรอเอ๋อ ไปอาบน้ำอาบท่า เดี๋ยวกูพักให้เหงื่อแห้งก่อน หิวแล้วด้วย”
ว่านหวานหวาน @Wannwannwannn เมื่อสักครู่
ผิดที่ไว้ใจ
ผิดครับ ความผิดของผมเองที่ไว้ใจไปนวดกับไอ้พี่แคน กลับมาจากหมาอัดปี๊บกลายเป็นหมาจุกระป๋อง เละเทะแออัดยิ่งกว่าปี๊บสิบเท่าตัว ผมรู้สึกได้ถึงความเหลวเป๋วของมวลร่าง จะลุกก็โอย จะนั่งก็โอย ราวกับเพิ่มอายุตัวเองเป็นหลายสิบ ปีภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
พี่แคนนั่งยิ้มกับโทรศัพท์ กระดิกเท้ายิก ๆ เหลือบตาขึ้นมองผมแล้วยกมุมปากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย ส่วนผมก็ได้แต่ทำหน้าบูดเป็นตูดลิง ร้าวระบมระทมจิตเหลือเกิน
“ไม่ไหวเลยสิ”
พูดไม่ออก นอนคว่ำหน้ากับที่นอน ไถทวิตไปเรื่อย ไอ้คุณแมวดำหายไปเลยแฮะ ว่าจะถามสักหน่อยว่าเมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง ก่อนออกไปทำงานมันก็บอกว่าจะไปดื่มเหมือนกัน กริบแบบนี้สงสัยแฮงค์ชัวร์
“โทรไปบอกพี่ที่ร้านสิว่าจะไม่เข้าไปแล้ว”
คนพูดหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเล่นบ้าง เอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มกวน ๆ และยังคงกระดิกเท้าต่อ จงใจกวนประสาทผมชัด ๆ
“ทำงั้นได้ไง พี่เม่นก็ไม่มีคนช่วยดิ”
“เรื่องของมัน”
“พี่แคนไม่เห็นใจคนอื่นเลยอะ”
“เอาตัวมึงให้รอดก่อนเห็นใจใคร” คู่สนทนาพูดเสียงเข้ม โยนมือถือลงเฉียดตรงที่ผมนอนไปนิดเดียว “จะไปทำงานหรือให้กูสอน ไอ้เกรดกาก ๆ ของมึงจะได้ขยับขึ้นมาบ้าง นึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่หน่อยสิวะ”
“ก็นึก แต่ทำแบบนี้ไม่ได้ พี่อย่าเอาแต่ใจดิ”
“กูไม่ได้เอาแต่ใจ ก็ให้เลือกเอาสักอย่าง ไอ้กุ๊ยนั่น กับแม่ที่ส่งมึงเรียน”
ผมขบริมฝีปากเข้าหากันแน่น ได้ยินแบบนี้ก็ทั้งโมโหทั้งเสียใจ “ผมแค่รับปากเขาไปแล้ว ไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนเพราะตัวเอง ถ้าผมไม่ตกลงกับพี่กรีนตั้งแต่แรกเขาอาจจะหาคนอื่นมาทำแทนก็ได้”
“แล้วทำไมตอนตัดสินใจไม่คิดดี ๆ”
“พี่เลิกด่าผมสักทีได้ไหมวะ”
ผมลุกขึ้นมา อาการเหนื่อยล้าระบมเมื่อครู่มลายหายไปเมื่อโมโหถึงที่สุด คว้าคอเสื้อรุ่นพี่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แต่เพียงแค่อีกฝ่ายเตะข้อพับขาก็กลายเป็นผมที่ร่วงลงบนตักแข็ง ๆ อีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย พี่แคนล็อกแขนผมไพล่หลังเสียงร้องโอดโอยดังขึ้นแทบจะในทันที
“เจ็บนะโว้ย!”
“ไม่เก๋าก็อย่ากร่าง”
“ปล่อยสิวะ!”
“ฟัง!”
เสียงทุ้มพูดกระชับ ผมนิ่งเงียบไปแต่ยังซี้ดปากเพราะแขนที่ถูกมัดรวมกันไว้ด้วยมือข้างเดียวด้านหลัง ลมหายใจผ่อนเข้าออกเพื่อระงับอารมณ์ ขณะที่อีกฝ่ายกลับทำเหมือนทุกอย่างสามารถอยู่ในการควบคุมได้อย่างง่ายดาย
“โทรไปคุยกับเจ้าของร้านว่ามีปัญหากับที่บ้าน ทำต่อไม่ได้แล้ว แต่จะไปช่วยคืนนี้อีกคืน”
ผมนิ่วหน้าเมื่อพี่แคนออกแรงบีบที่ข้อมือหนักขึ้น
“ตกลงไหม”
“คะ...ครับ”
“ก็แค่เนี้ย” ว่าพลางคลายแรงที่จับออก ผมสะบัดมือทั้งสองข้าง เดินไปนั่งบนเตียงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนเก่า ผู้ร้ายขยับเดินตามมา นั่งคุกเข่าแล้วดึงมือผมไปนวดตามรอยแดงเบา ๆ
“ทีหลังอย่าดื้อ เข้าใจไหม”
“นี่ถ้าว่านไม่มีพ่อ คงคิดว่าพี่เป็นพ่อไปแล้ว”
“น่ารักแล้ว”
“ครับ?”
“เรียกแทนตัวเองว่าว่านน่ะ” ดวงตาคมหลุบมองที่ข้อมือขณะที่เอ่ยประโยคนั้น จู่ ๆ ผมก็รู้สึกร้อนขึ้นมาบนหน้า ชักมือกลับมาสะบัดต่อ
“ไม่นวดแล้ว เดี๋ยวก็ระบมกว่าเก่า”
“งั้นก็นอนไป ต้องไปร้านกี่โมงเดี๋ยวปลุก”
“พี่แคนไม่กลับบ้านกลับช่องเหรอวะ”
“รอรับเด็กดื้อจากร้านก่อนค่อยกลับ” เขาว่า เหลือบตามองผม “แล้วเมื่อไรจะโทรไปบอกเจ้าของร้าน”
“ครับ ๆ โทรแล้ว ๆ” ปีนไปหยิบมือถือแทบไม่ทัน กำลังจะกดโทรหาพี่กรีนก็เหลือบตามองคนสั่งเสียก่อน “พี่แคน ถ้าผมไม่ทำงานแล้วพี่จะติวให้ผมจริงนะ”
“เออ”
“ขออะไรอีกอย่างได้ป่าว”
เขาจิ๊ปาก แสดงออกชัดเจนว่าเริ่มหงุดหงิด “ถ้าผมแทนตัวว่าว่าน พี่จะเรียกแทนตัวเองอย่างอื่นที่ไม่ใช่กูมึงได้ไหม”
คู่สนทนาจ้องหน้าผม เรามองหน้ากัน นิ่งเงียบ ไม่สั่นไหว ไม่มีใครเป็นฝ่ายขยับตัวก่อน ความรู้สึกประดักประเดิดบางอย่างก่อเกิดขึ้นในใจ
“ผม...ผมว่าเวลาพี่พูดกูมึงมันน่ากลัว”
“น่ากลัว?”
“พี่ชายผมก็ไม่พูดกูมึง”
“ไร้สาระ”
ก็ใจดำตามประสาแคนแคน ผมไม่เคยต่อรองอะไรได้เลย ทุกอย่างเป็นความต้องการของพี่แคนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องงาน ขนาดเรื่องเรียกแทนตัวเองเพราะ ๆ ยังไม่ได้ เซ็งนิด ๆ แต่ไม่ถึงกับขั้นงอแง ผมโทรไปหาพี่กรีน หลบออกมาคุยที่ระเบียง ไอ้ฮิตเลอร์นั่งกางขา เท้าข้อศอกไว้ที่เข่า ยกมือขึ้นประสานตรงหน้า ตาคมจ้องผม ดวงตาสีดำขลับขยับไหวทุกทีที่ผมเดินไปเดินมาบนระเบียง
“เรียบร้อยแล้ว”
กลับเข้ามาอีกครั้งก็บอกมัน สีหน้าพี่แคนคลายความตึงเครียดลงนิดหน่อย เขาตบหมอน คล้ายสั่งให้นอนพัก ผมล้มตัวลงแต่โดยดี ร่างกายยังปวกเปียก ไร้แรงต้านทาน พักเดียวมันก็ผล็อยหลับไปตามความอ่อนล้าของร่างกาย
“ว่าน มึงเป็นเกย์เหรอวะ”
ที่ร้านวันนี้คึกคัก แต่น้อยกว่าเมื่อวาน ผมมีโอกาสได้พักมาช่วยพี่เม่นเตรียมเหล้าบ้างก่อนอีกฝ่ายจะเปิดคำถามดาเมจรุนแรง ผมทำหน้าแหยง ไม่ได้รังเกียจ แต่ก็อดรู้สึกแปลก ๆ กับคำถามแบบนี้ไม่ได้ มันไม่เหมือนเวลาไอ้โต๋แซวผมขำ ๆ เลยสักนิด
“นี่ถามจริงจังหรือแกล้งครับ”
“ถามจริงดิวะ ก็เห็นพี่สิทธิ์บอกมึงมีปัญหากับที่บ้าน เท่าที่เห็นคนมองตาขวางก็มีแต่ไอ้นั่น”
พี่เม่นใช้คางชี้ไปโต๊ะมุมสุดที่มีคนนั่งคนเดียว สั่งเบียร์มาตั้งแต่หัวค่ำ ดื่มไปไม่ถึงครึ่ง น้ำแข็งละลายไปสองกระแป๋งแล้วก็ยังนั่งหล่อ ๆ ฟังเพลงอยู่คนเดียว
“แล้วเกี่ยวอะไรกับที่พี่สงสัยว่าผมเป็นเกย์วะ”
“ก็นั่นไม่ใช่ผัวมึงเรอะ”
เหออออ ผมสะบัดหน้าพรืด ใช่ก็แย่แล้ว “เป็นรุ่นพี่เฉย ๆ ผมขอให้เขาช่วยติวหนังสือให้ แต่เขาไม่ชอบใจอะ เกรดผมห่วยแล้วมาทำงานแบบนี้ มันเหมือนกับผมเหยาะแหยะทั้ง ๆ ที่ขอให้เขาช่วยติวมั้ง”
“เลยต้องมานั่งเฝ้า?”
“ก็...” ผมตอบไม่ได้เลยคราวนี้ มันก็แปลกจริง ๆ แหละ แต่ผมก็ไม่ได้อึดอัดที่ถูกจับตามองแบบนี้ ดีเสียอีกมีคนเป็นห่วง รอรับกลับบ้านด้วย สบ๊ายสบาย
“มันจ้องจะฟันมึงชัวร์”
“ไม่หรอก” เถียงสุดใจ “ผมไม่ใช่เกย์นะพี่”
“แต่ไม่ได้หมายความว่าไอ้นั่นมันจะชายแท้นี่หว่า กูเห็นหนุ่ม ๆ หน้าตากะลิ้มกะเหลี่ยไปขอมันชนแก้วตั้งหลายคน ไอ้ว่าน ของแบบนี้ถ้ามันไม่รู้กันใครมันจะกล้ายุ่งวะ ไอ้หล่อนั่นก็หน้าอย่างกับยักษ์”
“ผีเห็นผี ว่างั้น”
พี่เม่นพยักหน้า ตักน้ำแข็งใส่ถัง
“งั้นพี่ก็เป็น...”
“ลามปามแล้วไอ้เตี้ย เอ้า เอานี่ไป โต๊ะ 9”
ผมโดนยัดถังน้ำแข็งใส่มือพร้อมโซดาอีกสามขวด หัวเราะไปกับหน้ามุ่ย ๆ ของพี่เม่น ท่าทางเป็นคนคิดมาก เหลือบไปมองตัวคนโดนนินทา มันยังนั่งเปลี่ยว ๆ คนเดียวเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือสาวสวยสุดเซ็กซี่ถือแก้วเครื่องดื่มมาชนด้วย ไม่แปลกเลยครับ ดึงดูดเสียขนาดนั้น แถมยังมาคนเดียวอีก ถ้าไม่ติดว่ามาเฝ้าผมนะ คืนนี้คงมีได้มีเสียกันแหง สาวเจ้าอกสะบึมอย่างนี้ ของจริงด้วยครับ ดูเหลว ๆ ไม่กลมเท่าไร
“ชอบเพื่อนพี่เหรอ”
เสียงใสถามขึ้นผมยกถังน้ำแข็งวางบนโต๊ะ จู่ ๆ มือขาวก็วางบนบ่า เสียงหัวเราะดังคิกคัก โต๊ะนี้หญิงล้วน ดูแรง ๆ กันทุกคนเสียด้วย
“ขอเบอร์ผู้ชายคนนั้นมาให้พี่หน่อยสิ เดี๋ยวพี่ให้เบอร์มัน”
“เอ๊ะ? แต่พี่ผู้หญิงคนนั้นกำลังขออยู่นี่ครับ”
“พนันกันอยู่ว่าใครจะได้เบอร์ก่อน น่า นะ ช่วยหน่อย”
ยังไม่ทันจะได้ตอบ ข้อศอกผมก็ถูกรั้งจนเซไปอีกฝั่ง คนที่ถูกพูดถึงยืนประชิดตัว มองเลยศีรษะผมไปยังกลุ่มสาว ๆ “มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า”
“อุ้ย เปล่าค่ะ ชวนน้องเขาคุยเฉย ๆ หน้าตาน่ารักดี เอ๊ะ ใช่น้องเดือนวิศวะปีที่แล้วหรือเปล่า”
“จำผมได้ด้วยเหรอ”
“ตอนแรกก็ไม่แน่ใจหรอก พี่เป็นพี่เลี้ยงช่วยดูเรื่องประกวดเดือนของปาล์มน่ะ ปาล์ม บริหาร ปีเดียวกับเรา”
อ๋อ ไอ้ก้ามปูนั่น ผมพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเซไปข้างหลังอีกรอบเมื่อถูกพี่แคนดึง “ไปทำงานได้แล้ว มัวแต่อู้ เดี๋ยวก็เลิกดึก”
“จริง ๆ ก็น่าจะรู้จักกันไว้เนอะ เราชื่อพราว อยู่บริหารกัน นี่แคนใช่ป่าว”
“กลับโต๊ะแล้ว มึงก็รีบทำงาน อย่ามัวแต่แรด”
ผลักหัวผมหนึ่งทีแล้วก็เดินหนีไปเลย ไม่ตอบคำถามสาว ๆ สักคน ผมก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ เลี่ยงมาช่วยพี่เม่นต่อ โต๊ะพี่แคนยังมีสมาชิกใหม่ไปทักทายเรื่อย ๆ แต่เจ้าตัวกลับทำหน้าไม่รับแขกตั้งแต่เริ่มยันผมเลิกงานเหมือนเดิม
“ที่จริงพี่ไม่น่ามานั่งรอผมแบบนี้”
หลังเอ่ยคำอำลากับพี่เม่นและรับปากว่าจะแวะมาหาบ่อย ๆ ก็เดินกลับพร้อมพี่แคน ชายหนุ่มร่างสูงอ้าปากหาวหวอด เอาเป้ผมไปถือเหมือนเคย
“ไม่มาเฝ้าเดี๋ยวก็แรดใจแตกกว่านี้”
“ใจแตกบ้าอะไรของพี่วะ”
“เห็นสาว ๆ ไม่ได้เลยนะมึงน่ะ เอาเรื่องเรียนให้รอดก่อนเถอะ”
“มันเรื่องธรรมชาติปะ พี่นั่นแหละ บ้าเรียนก็อย่ามาบังคับคนอื่นดิ” ผมเถียงในลำคอ ไม่กล้าพูดดัง กลัวโดนหลังแหวน “อีกอย่าง รู้จักคนไว้เยอะ ๆ ไม่เห็นจะมีอะไรไม่ดี”
“คนในร้านเหล้ามันไว้ใจได้ที่ไหน”
“พี่คิดมาก”
“กูเกิดก่อนมึง ไอ้ว่าน”
“เมื่อไรจะเลิกพูดมึงกูเสียทีวะ ผมไม่ชอบเลย”
“ทีกับไอ้โต๋ยังพูด”
“มันไม่เหมือนกัน แต่ช่างเถอะ” พูดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา พี่แคนเอาแต่ใจตัวเองจะตาย ผมเดินเงียบ ๆ เงยหน้ามองฟ้าเห็นดาวดวงเดียวแล้วถอนหายใจทิ้ง พี่แคนตบหัวกลับมาให้มองทาง ผมเลยก้มลง เห็นเงาของผมกับรุ่นพี่เดินคู่กันบนถนนคอนกรีต ความสูงห่างกันประมาณสิบเซนติเมตร พอถูกไฟสีเหลืองนวลจากเสาไฟฟ้าสาดลงมากลับดูแตกต่างกันชัดเจน พี่แคนเอามือวางบนบ่า เกิดความเงียบระหว่างเรา เสียงของรองเท้าเมื่อเหยียบกระทบพื้นแข็ง ๆ ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น อธิบายไม่ถูก รู้แค่ว่ามันดีที่มีคนอยู่ด้วยตอนนี้
“เหนื่อยล่ะสิ เงียบเชียว”
“ผมไม่อาบน้ำนอนนะ”
“เรื่องของมึง”
“พี่ไม่รังเกียจผมเหรอ นอนห้องผมป่าวคืนนี้”
“ใครจะถ่อกลับบ้านให้พ่อด่าเอาป่านนี้วะ”
ผมพยักหน้า มองตรงไปบนถนนด้านหน้า อีกไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงที่พัก รู้สึกอยากให้ถนนยาวกว่านี้อีกหน่อยจัง
TBC
ด่ามันอีกค่ะพี่แคน นังว่านมันแรดค่ะ มันร้าย!
พี่แคนนี่เริ่มชัดเรื่อย ๆ ในสายตาคนอ่านแล้วเนอะ ส่วนในสายตาว่านก็......................................
ค่ะ
รู้กัน
เจอกันพุธหน้าเหมือนเดิม ช่วงนี้งานยุ่งม้ากมาก ดีที่แอบมีสต๊อกตอนนี้ไว้หน่อย แง
ใครจองโอบตะวันไป อย่าลืมไปตรวจสอบรายชื่อจากลิงค์ที่หน้าเพจนะคะ ไม่มีชื่อไม่พิมพ์เล่มแถมเผื่อนะเออ
ไหนกอดหน่อย คริ
#candynovel