ตอนที่ 14Eat hard, read harder!เป็นคำที่วนอยู่ในหัวผมตั้งแต่เช้า เมื่อคืนพี่แคนมาส่ง แล้วก็นอนที่คอนโดเลย เช้าตรู่ก็ออกไปซื้อของกินง่าย ๆ ทิ้งไว้ก่อนออกไปข้างนอกกับพี่อาร์ม เขียนโน้ตแปะตัวเล็ก ๆ ไว้ว่าให้สรุปฟิสิกส์ทั้งหมดที่เรียนในเทอมนี้ กับเขียนข้อผิดที่ผมพลาดบ่อย ๆ ด้วยปากกาสีแดงตัวเป้ง ๆ ไว้หน้าแรกให้เสร็จก่อนบ่าย ใครไม่เป็นผมไม่เข้าใจครับ มันยากแค่ไหน อะไรมันก็สำคัญไปหมดแล้วจะให้กูตัดอะไรออกครับพี่หงวยยย
ผมนั่งจมจ่อมอยู่กับความคิดสะระตะ ไม่ใช่แค่เรียน แต่มีเรื่องพี่แคนปนอยู่ด้วย เขียนสรุปได้สามบรรทัดก็นั่งคิดเรื่องพี่แคนใหม่ ค่อนข้างชัดเจน แน่ล่ะ ผมคงชอบเขาเข้าแล้ว เป็นต้นว่าอยากให้อีกฝ่ายชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นด้วยสายตา หรือวาจา อะไรก็ตามที่ทำให้ภาพพจน์ของผมในสายตาพี่แคนดูดีขึ้น ตลอดจนไปถึงการใช้เวลาร่วมกัน การสัมผัส เมื่อคืนไม่มีอะไรมากกว่านั้น เรารอรถแท็กซี่โดยการยืนจับมือกันนิ่ง ๆ ราว ๆ ครึ่งชั่วโมงได้ ในที่สุดก็มีรถแท็กซี่สีฟ้าคันมาจอดด้านหน้า สีฟ้าอีกแล้ว เป็นสีฟ้าคันที่สี่ หลังจากสีอะไรต่อมิอะไรขับผ่านหน้าไปเป็นสิบ เราปล่อยมือกัน นั่งอยู่ในความเงียบ ผมมองกระจกฝั่งหนึ่ง ส่วนพี่แคนนั่งอีกฟาก หัวใจเต้นแรงแม้ไม่สบตา พอกลับมาถึงที่หมายก็ไม่มีคำพูดอะไรอีก
ความรู้สึกของพี่แคนตอนนี้จะเป็นยังไงกัน
ผมเพิ่งเข้าใจความหมายของเพลงอยากรู้แต่ไม่อยากถามก็ตอนนี้ ผมอยากฟัง ฟังคำตอบที่ทำให้หัวใจตัวเองชุ่มชื่น แต่กลับกลัวว่าถ้าไม่ใช่ พี่แคนไม่คิดเหมือนกัน กลับกลายเป็นแค่ผมที่ล้ำเส้นเกินพอดีทุกอย่างคงเปลี่ยน และผมก็ขลาดเขลาเกินจะก้าวออกไปจากจุดนี้ จุดที่ยังมีพี่แคนอยู่
เสียงปิดประตูห้องดังขึ้น ไหล่ผมสะดุ้งเล็กน้อย เหลือบมองนาฬิกาเห็นว่ามันเที่ยงกว่า ผมสรุปไปได้แค่ครึ่งหนึ่ง แต่พี่แคนก็มาเร็วกว่ากำหนดทำให้มีข้ออ้างต่าง ๆ นานา กลิ่นหอมของข้าวผัดลอยตามมา เมื่อลุกจากโต๊ะทำงานชะโงกหน้าไปในครัวก็เห็นเจ้าของห้องตัวจริงกำลังเทข้าวผัดใส่จานช้า ๆ
“กลับมาไวจัง”
“อือ ยังไม่ได้แดกข้าวล่ะสิ มายกไป”
“ว่านเพิ่งกินนมกล้วยไปเมื่อกี้เอง” เห็นมันนอนแอ้งแม้งในตู้เย็นหลายวันแล้วเลยซัดแม่ง เดี๋ยวหมดอายุแล้วจะเสียดายทีหลัง “เดี๋ยวนี้ไม่ทำกับข้าวกินเองเลยอะ”
“ไม่ค่อยว่าง นมก็ส่วนนม อย่ามากินข้าวไม่ตรงเวลา เดี๋ยวไม่สบาย”
คุณพ่อยังหนุ่มเอ่ยเสียงนิ่ง ที่จริงนมกล้วยไม่ระคายกระเพาะผมเท่าไรหรอก ให้กินข้าวอีกก็ยังไหว เหมือนเป็นโรคจิตครับ ต้องให้พี่แคนด่าสักทีถึงจะสบายใจ เดินมาหยิบจานของตัวเองได้ สักพักเขาก็ตามมา มีโต๊ะทานอาหารสำหรับสองที่วางอยู่ในส่วนของครัว เราไม่กินกันที่นี่บ่อยนักเพราะส่วนใหญ่แล้วกับข้าวบาน ต้องลากกันไปนั่งพื้นโต๊ะเตี้ยหน้าทีวีที่มีพื้นที่มากกว่า
“อ่านไปถึงไหนแล้ว”
“ครึ่งหนึ่ง”
“วันนี้ก็อ่านให้เสร็จแล้วกัน แล้วก็นอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้สอบใช่ไหม”
“เก้าโมง”
“อย่าลืมตั้งนาฬิกาปลุก”
“โหย ใครจะลืม” ว่าพลางตักอาหารใส่ปาก มองเสี้ยวหน้าของพี่แคนไปด้วย “พี่แคนโทรมลงเยอะเลย”
“อืม”
“พักบ้างนะเว้ย” จริง ๆ ผมอยากพูดว่าเป็นห่วงต่อท้าย ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเอ่ยไปได้สบาย ๆ แต่ตอนนี้พอคิดแล้วมันก็เขิน ไม่กล้าแสดงออกชัดเจน คู่สนทนารับคำในลำคอ ผมเลยก้มหน้ากินเงียบ ๆ ต่อไป
“คืนนี้กูกลับไปนอนบ้านนะ”
“หืม? อื้ม”
“มึงจะได้นอนไว ๆ”
“พี่แคนอยู่ก็นอนไวได้” อ้อมแอ้มบอกในลำคอ แต่อีกฝ่ายไม่เห็นด้วย
“มะรืนกูมีสอบนอกตารางตัวหนึ่ง ต้องอ่านหนังสือดึก ก่อนหน้านี้ไม่ได้อ่านเลย มัวแต่ยุ่งกับโปรเจ็กต์”
“ก็อ่านไปสิ อ่านข้างนอก ว่านนอนในห้อง”
“อยากให้กูอยู่ด้วยขนาดนั้น?”
“ไม่ ๆ” ระล่ำระลักตอบ เกือบสำลักข้าว ดีที่อีกฝ่ายยื่นแก้วน้ำมาให้ดื่มเลยรอดตัวไป “ผมหมายถึง...ถ้าพี่เหนื่อยขับรถงี้ จะนอนที่นี่ก็ได้”
“ไม่ดีกว่า กูไม่เข้านอนด้วยมึงก็รอ”
นี่ผมทำเรื่องน่าอายแบบนั้นไปตั้งแต่เมื่อไรวะ พอนึกดี ๆ ก็พบว่าไม่เคยเลยสักครั้งที่ผมจะหลับก่อนพี่แคนทิ้งตัวลงข้าง ๆ กัน ไม่ได้คิดว่ารอหรอก แค่อยากรู้ว่าพี่แคนจะง่วงตอนไหนเท่านั้นเอง
“อิ่มแล้วก็ไปอ่านหนังสือต่อ”
“พักหน่อยเด้”
“อัดอ่านตอนกลางวัน กลางคืนจะได้พักผ่อนเต็มที่ อย่าไปจี้มาก มึงเตรียมพร้อมมาดีแล้วกูไม่อยากให้พลาดวันสุดท้าย”
สีหน้าของพี่แคนจริงจังกว่าครั้งไหน ผมรู้ ถ้าเป็นเรื่องเกรดล่ะก็พี่แคนเป็นห่วงผมที่สุด อันที่จริงแล้วพ่อกับแม่ผมก็ไม่ได้รู้มากว่าการเรียนก่อนหน้านี้เป็นที่น่าเป็นห่วงระดับไหน รู้แค่ว่าเรียนยาก ผมบ่นบ่อย ๆ ที่จริงแล้วก็โทรไปง้องแง้งใส่แม่ช่วงคะแนนสอบเกือบทุกมิดเทอม ที่บ้านผมไม่กดดัน ไม่ใช่ไม่ใส่ใจ เพียงแต่ตามใจจนเป็นนิสัยเท่านั้น
พี่แคนไล่อีกครั้งเมื่อเห็นผมนั่งเขี่ยข้าว สุดท้ายก็ลุกมาอ่านหนังสือต่อ คราวนี้พอมีติวเตอร์อยู่ด้วยความตั้งใจผมเลยพุ่งพรวด ทำสรุปด้วยภาษาที่อ่านง่ายด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ธรรมชาติของคนครับ พอหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน ผมเลื้อยไปบนโต๊ะ เอาคางเกยหลังมือตัวเองก่อนจะมีใครบางคนลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ
“ถึงไหนแล้ว”
“ง่วง”
พี่แคนหัวเราะ พักหนึ่งก็ล้วงกระเป๋า หยิบลูกอมเปลือกสีเงินแวววาวยื่นให้ ผมทำหน้าแหย รอบก่อนเจอเลมอนซุปเข้าไปจนลิ้นแตก คราวนี้หน้าตาเหมือนซองลูกอมรสโคล่า แต่ใครจะไปไว้ใจมันลง
“ไม่เอาอะ”
“ตื่นเลย เชื่อกู” มีรอยยิ้มเยาะทั้งในแววตาและมุมปาก แบบนี้ยิ่งไม่น่าเชื่อถือ ผมส่ายหน้า แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้ พี่แคนแกะซอง อมยิ้มหล่อ ๆ ยื่นให้ “เร็วดิ”
“พี่แคนจะแกล้งว่าน”
“ใครแกล้งวะ ก็ง่วงไม่ใช่เหรอ วันก่อนไปซื้อของที่ยูเนี่ยนมอลล์ เจอแล้วนึกถึงมึงเลยนะ”
ผมเกลียดไอ้ลูกอมนั่น ลูกอมในมือพี่แคน ที่เกลียดกว่าคือหน้าหล่อ ๆ ของมัน ท่าทางกวนประสาทที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว ช่วงก่อนหน้านี้ยังเจอพี่แคนที่ขี้เก๊ก พี่แคนคนดุ หรือกระทั่งพี่แคนตาหวานบ่อย ๆ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ มันดูมีอะไร เชี่ย ไม่มีทาง ผมไม่ไว้ใจมันหรอก
“หรือหายง่วงแล้ว”
“ยางง” ลากเสียงยานคาง จังหวะที่กำลังอ้าปากตอบก็ถูกยัดลูกอมเข้าปากจนได้ ไอ้ซัส! ลิ้นแตะเพดานปากโดยมีลูกอมทรงรีคั่นกลางเท่านั้นครับ พุ่งปรี๊ดเลย นี่มันลูกอมรสพริกนี่หว่าไอ้ห่าพี่แคน!
“เผะ! เผะ!”ถึงกับร้องไม่เป็นภาษา ตื่นจริง เผ็ดจริง ไอ้พี่แคนนั่งหัวเราะจนตัวงอตรงหน้า เมี่ยงเง้ย นิสัยไม่ดี ไอ้เลว! ใครจะยอมให้มันแกล้งฝ่ายเดียว ผมปีนขึ้นไปนั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับพี่แคน แรงจากผู้ชายสองคนดิ้นขลุกขลักทำให้เก้าอี้เอนหงาย สุดท้ายก็ล้มโครม ผมชนะ! ผมคร่อมไอ้เกย์บ้านี่ได้ อาศัยจังหวะที่มันหัวเราะปากกว้างประกบจูบลงไป ส่งต่อลูกอมจากลิ้นสู่ลิ้น ไม่มีเสียงหัวเราะอีกแล้ว เหลือเพียงแค่ผม กับหัวใจที่เต้นแรงจนแทบระเบิด
ไม่...ไม่ใช่เพราะเผ็ด รสชาตินั้นจางหายไปเมื่อได้สัมผัสริมฝีปากของอีกฝ่าย แน่นิ่ง เนิ่นนาน คล้ายกับเข็มนาฬิกาหยุดหมุน ผมไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากบดจูบลงไปและแข็งเกร็งเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง ทั้ง ๆ ที่เป็นคนเริ่มก่อนแท้ ๆ แต่กลับสั่นไปทั้งตัว
ยัดแม่! เป็นจูบแรกที่บัดซบฉิบเป๋งพี่แคนเองก็นิ่งไปพักใหญ่ ระหว่างที่เรามองตากันในระยะใกล้ มือสากก็เลื่อนมาสอดเข้าในเรือนผมจากท้ายทอย พี่แคนหลับตาลง ขยับริมฝีปากก่อน และคล้ายบังคับให้ผมทำตามในแบบเดียวกัน
รสเผ็ดแสบปากของลูกอมหายไปแล้ว กลายเป็นหวานปะแล่ม ๆ ที่ปลายลิ้น ผมเอียงคอตามที่ถูกบังคับให้ทำ เขานวดเบา ๆ ที่ต้นคอ มืออีกข้างก็ไล้บนแผ่นหลังขณะที่มือสองข้างของผมงอชิดอยู่กับอก ขยำเสื้ออีกฝ่ายจนยับย่นไปหมด
เป็นภาพที่อุบาทว์ชะมัด...ผู้ชายสองคนบนพื้น นอนทับเก้าอี้นวมล้อหมุนที่หงายเท้งเต้งในห้องนั่งเล่นของคอนโดขนาดกลาง
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แค่คิด...ผมก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว...
“จูบ?”
ผมทำข้อสอบได้มากกว่าที่คิด แต่ก็แอบคิดว่าน่าจะทำได้มากกว่านี้ถ้าไม่มีเรื่องนั้นวกวนอยู่ในหัว ดังนั้นทันทีที่สอบเสร็จก็ระเห็จตัวเองออกจากมหาวิทยาลัย ตามหาเพื่อนโต๋ถึงในร้านเกม ยืมเก้าอี้ตัวที่ว่างมานั่งข้าง ๆ แม้คู่สนทนาจะไม่ทำอะไรนอกจากเลื่อนเมาส์ไปมาแล้วโจมตีคู่ต่อสู้เป็นแสงไฟรัว ๆ
“เออ จูบ”
“เชี่ยว่าน เชี่ยเอ๊ย สัด ตาย! ตาย! เออ อย่างนั้น เดี๋ยวขอกูอีกตา”
ไอ้ห่าโต๋ กูก็นึกว่ามึงจะตกใจไปกับกู ที่ไหนได้ เกมครับ ที่พร่ำพรรณนาทั้งหมดทั้งมวลหมายถึงคู่ต่อสู้มัน ผมนั่งแกร่ว มองเข็มนาฬิกาที่แขวนไว้บนผนังร้าน รอไอ้โต๋กับภารกิจกู้ชาติของมันได้ราวสิบห้านาทีเพื่อนรักสุดสวาทขาดใจก็ผละจากหน้าจอ หมุนเก้าอี้นวมเยี่ยงพระราชาในร้านเกมมาทางผม ประสานมือถาม
“เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ”
“กูจูบพี่แคนไปแล้วไอ้สัส”
“หา!”
อันนี้ตกใจจริงใช่ไหม ไม่ใช่เพื่อนเรียกเข้ากิลอีกนะไอ้เพื่อนเวรตะไล โต๋เต๋อ้าปากค้าง ส่วนผมปวดหัวแทบระเบิด
“มันเป็นอุบัติเหตุ แบบ...กูไม่ได้ตั้งใจ ที่จริงก็ตั้งใจนิด ๆ นั่นแหละ แต่แบบ...ไม่รู้ว่ะ กูทำอะไรไม่ถูกแล้ว”
“สรุปคือตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจวะ กูงง”
“ก็เล่น ๆ กันน่ะ มันเป็นความคิดชั่ววูบ”
“เออ ชั่วจริง ๆ แล้ววูบเลยไหม พี่แคนซัดหน้าหงาย?”
“ไม่เว้ย” พูดแล้วต้องยกมือขึ้นปิดหน้า โอย ทำไมกูต้องมาเล่าอะไรแบบนี้ให้เพื่อนผู้ชายวัยยี่สิบฟังด้วยวะ “พี่แคนจูบกลับ”
“เยเฮ้ด แล้วยังไงต่อครัช เหลามา”
“ก็ไม่ยังไง พอได้สติกูก็ลุกเดินเข้าห้องเลย พี่แคนก็กลับบ้าน ไม่ได้พูดอะไรกัน ไม่รู้ว่าพี่แคนโกรธกูหรือเปล่า กูเป็นคนเริ่ม แต่ก็ไม่มีหน้าไปขอโทษ”
“คือมึงเป็นคนเอาปากไปชนเขา แล้วพี่แคนก็ดูดปากมึงต่อ อย่างนั้นเหรอ”
“เวร อย่าพูดให้ชัดนักสิวะ” ภาพมันผุดครับ เหมือนพี่แคนเพิ่งจูบผมเมื่อกี้ ทั้ง ๆ ที่เวลาผ่านไปเป็นวันแล้วก็เถอะ “กูไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อเลยว่ะ”
“คุยกับพี่แคนหรือยัง”
“ยัง นึกไม่ออกด้วยว่าจะทักยังไง”
“พี่แคนไม่ทักมึงมาบ้างเหรอ”
“ไม่เลย”
ทุกอย่างในชีวิตผมเงียบเชียบ แม้แต่ไอ้คุณแมวดำก็หายสาบสูญ ผมเมนชั่นไปขอความช่วยเหลือ ขอคำปรึกษาจากมัน แต่กริบครับ ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก ไม่รู้ว่าสอบหนักเหมือนกันหรือเปล่า สุดท้ายเลยต้องมาพึ่งคนที่ไม่น่าพึ่งที่สุดอย่างไอ้เชี่ยโต๋เนี่ย ซึ่งแน่นอน มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตผมดีขึ้นกว่าเดิมเลยแม้แต่น้อย
“แล้วมึงจะเอาไงต่อ”
“ถ้านึกได้จะมาถามมึงทำแมวอะไร”
“เออว่ะ” ไอ้โต๋เกาหัวแกรก สังคังจะขึ้นแล้วนั่น “แต่มึงมาถามกูทำไมวะ แฟนกูก็ไม่มี”
“ถ้าเป็นมึง มึงจะทำไงเล่า”
“มันก็อยู่ที่ว่ามึงรู้สึกยังไง ถ้าไม่สบายใจทำเป็นปล่อยเบลอก็ได้ พี่แคนอาจจะไม่คิดอะไร มึงดูอย่างไอ้กุ้ง มันรักเมียมันจะตาย พอมีสาวมาอ่อยเข้าหน่อยก็หางกระดิกริก ๆ ของแบบนี้ได้ฟรีใครก็เอาว้า”
“แล้ว...ถ้ากูคิดล่ะ”
“คิดจะเป็นเกย์จริง ๆ จัง ๆ น่ะเหรอ ที่เคยเกริ่นกับกูเมื่อตอนนู้นใช่ไหม”
ผมเงียบไปชั่วอึดใจ “แต่มีพี่แคนอยู่ด้วยมันก็ดีไม่ใช่เหรอวะ”
“เฮ้ยว่าน กูว่านะ ก่อนมึงจะคิดว่าจะเอาไงกับพี่แคน มึงไปตรวจสอบความรู้สึกของมึงให้ดีก่อนเถอะว่ะว่าชอบเพราะอยู่กับเขาแล้วมึงสบาย หรือชอบพี่แคนแบบคนรักกันจริง ๆ เพราะถ้ามึงแค่ติดสบายแล้วไปบอกพี่แคนว่าคิดจริงจัง คนที่เสียใจคือพี่เขา มึงอาจจะสับสน กูเข้าใจ คนเรามันก็ต้องมีช่วงเวลาแบบนี้กันบ้าง แต่อะไรรู้ไหม พี่แคนเขาชัดเจนแต่แรกว่าเป็นเกย์ เกย์ที่หมายถึงแน่ใจแล้วว่ามองผู้ชายเป็นผัวเป็นเมียได้ มึงมองพี่แคนเป็นผัวมึงได้หรือยัง ที่เขาไม่พูด ไม่ถาม กูว่าพี่แคนก็อยากได้คำตอบจากมึงเหมือนที่กูกำลังถามนี่แหละ ไม่ต้องรีบ ไอ้ห่า คิดดี ๆ ก้าวครั้งนี้แล้วถอยไม่ได้เลยนะมึง”
ผมก้มหน้า มองเล็บตัวเอง ปล่อยให้จิตใจที่ปั่นป่วนสงบนิ่ง ผมคิดกับเขาแบบไหนกันแน่...ไม่อยากเชื่อเลยว่าความรู้สึกของตัวเองมันช่างวุ่นวาย ซับซ้อนกว่าข้อสอบไหน ๆ ที่พี่แคนหามาให้ทำเสียอีก
ยี่สิบวัน
ยี่สิบวันเต็ม ๆ ที่ผมกระวนกระวายใจแบบนี้ มันไม่ใช่ความรู้สึกเดียวกับช่วงที่พี่แคนหายหน้าไปตอนสอบ มีอะไรมากกว่านั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่ความจำเป็น เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะมานั่งแกร่วตบยุงใต้ตึกภาคคอมฯ เกือบทุกวันหลังเลิกเรียนแล้วจะไม่เจอพี่แคนเลย เลวร้ายไปกว่านั้นคือโทรไปไม่รับ ไลน์ไปไม่ตอบ อย่าว่าแต่ตอบเลย แม้แต่กดอ่านให้ผมรู้ว่าพี่แคนยังสนใจจะเปิดข้อความบ้างก็ไม่มี
วันนี้ก็ไม่ต่าง ผมนั่งอยู่โต๊ะไม้ ภาคคอมพิวเตอร์ ไม่สนใจว่าเด็กเอกมันจะเดินผ่านแล้วมองเหมือนตัวประหลาด แหงล่ะ ใส่เสื้อช็อปโยธาโง่ ๆ มานั่งจับเจ่าดูดน้ำเก๊กฮวยแก้ร้อนในแบบนี้ทุกวันใครจะไม่สงสัย ผมเจอพี่อาร์มสองครั้ง รายนั้นบ่ายเบี่ยงไปว่ามาคนเดียว เรียนคนเดียว คิดว่าว่านโง่นักหรือไง เป็นไปได้ที่ไหนที่เจอพี่อาร์มที่คณะแล้วจะไม่มีพี่แคนอยู่ใกล้ตัว สองคนนี้ติดกันอย่างกับอะไรดี ถ้าพี่อาร์มออกสาวสักหน่อยคงคิดว่าเป็นแฟนกันกับพี่หงวยไปแล้วล่ะครับ
“อ้าว มึง”
ถ่อว้อย คนอยากเจอก็ไม่ได้เจอ ดันมาเจอไอ้พี่โจ๊กที่ผมค่อนข้างจะเหม็นหน้าเป็นพิเศษ เดินดูดนมกล่องมาคิดว่าเท่? เหอะ ทำหน้าหมางงใส่อีก อย่าให้ว่านพูด ว่านจะเหวี่ยง ‘รมณ์เสีย
“มาหาไอ้แคนเหรอ”
“อืม”
“เฮ้ย วันนี้พูดน้อย”
ไม่ว่าเปล่า ผลักหัวผมไปด้วยหนึ่งที ผมไม่ชอบให้ใครเล่นหัว ไม่ชอบให้ใครสัมผัสตัว ยกเว้นผู้หญิงสวย ๆ กับพี่แคน เพราะฉะนั้นเลยพาลหงุดหงิดขึ้นไปอีก สะบัดตัวหันหน้าหนีแต่แทนที่ไอ้พี่โจ๊กจะรีบ ๆ เดินหนีเหมือนที่พี่อาร์มทำพักหลัง กลับปีนเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้าม ดูดนมหมดจนกล่องยับยู่ยี่แล้วเขวี้ยงลงถังขยะที่อยู่ห่างออกไป โอเคมันเจ๋ง แต่ผมไม่มีอารมณ์จะมาชื่นชมอะไรหรอกนะ
“เป็นอะไร หน้าบึ้งตึง คะแนนเป็นไงบ้างล่ะ ออกแล้วนี่”
“ผมจำเป็นต้องรายงานพี่ปะ”
ตอบแบบไม่รักษามารยาทสุด ๆ ปล่อยสายตามองภาพข้างหน้าแบบเบลอ ๆ ให้ตายเถอะ เด็กภาคคอมฯ นี่อะไร ทำไมขยันใส่เสื้อนักศึกษาเหมือน ๆ กันไปหมด แบบนี้ผมจะสังเกตเห็นพี่อาร์มกับพี่แคนได้จากไหน ทว่าขณะที่กำลังหงุดหงิดอยู่ใครบางคนก็โดดเด่นขึ้นมา เขาสวมเสื้อนักศึกษาแขนยาวพับขึ้นไปจนถึงข้อศอก ไม่ว่าจะหน่วยก้าน ผมเผ้า บุคลิก ทุกอย่างนั้นสะกดสายตาผมได้ในทันที พี่แคนแหง คนที่เดินในคนหมู่มากแล้วเจิดจรัสแม้ไม่ทำตัวแตกต่างจะมีที่ไหนอีก กำลังจะลุกแต่แขนกลับถูกรั้งไว้ หันไปอีกทีพี่แคนก็หายไปเสียแล้ว
“ไอ้เชี่ยพี่โจ๊ก!”
“มาหาไอ้แคนเหรอ”
“เออสิวะ”
“มันหลบหน้ามึงอยู่”
ไม่บอกก็รู้ ผมรู้มากกว่ามันด้วยซ้ำว่าพี่แคนหลบหน้าผมเพราะอะไร จูบ! ใช่! จูบไงเล่า! คนที่ควรจะหนีหายต้องเป็นผมแท้ ๆ แต่กลับเป็นไอ้พี่แคนที่ชิ่งโดยไม่พูดอะไรสักคำ ผมคิด ปล่อยให้ความคิดตกตะกอน ค้นหาความรู้สึกของตัวเองวันแล้ววันเล่าก็ตอบไอ้โต๋ไม่ได้ว่าคิดกับพี่แคนแค่ไหน แต่ไม่เจอกันสิบวันเต็ม ๆ ที่ผ่านมากำลังทำให้ผมเป็นบ้า ในคอนโดของพี่แคน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองหายไปไหนไม่รู้แต่กลับทิ้งผมไว้กับภาพบรรยากาศเก่า ๆ เก้าอี้ตัวนั้น หนังสือเล่มนั้น แม้กระทั่งนาทีที่เราจูบกัน เสียงเข็มนาฬิกาเรือนนั้นก็ยังชัดเจนอยู่ในหัว
พี่แคนปล่อยให้ผมเผชิญสภาพแวดล้อมพวกนี้คนเดียวในขณะที่ตัวเองหายไปไหนก็ไม่รู้!
“ปล่อยผมเด้!”
“มันจะหนีมึงอีก อย่าไปตามเลย”
“ถ้าไม่ให้ตามแล้วจะให้ทำยังไงล่ะวะ”
“เพราะเป็นแบบนี้ถึงได้ตามเกมมันไม่ทันเสียทียังไงล่ะ โดนปั่นหัวมากี่ตลบแล้วไม่คิดจะทำให้มันร้อนใจบ้างหรือไง”
“ปั่นหัวบ้าอะไรวะ”
พี่โจ๊กยกมือข้างที่ว่างนวดขมับ สบถบางคำในลำคอ ส่วนอีกข้างก็จับผมไว้อย่างนั้น ดึงรั้งแม้พี่แคนจะหายไปจากสายตาแล้วก็ตาม
“โอเค มันจงใจ มันวางแผนจะปั่นหัวมึง ทำให้มึงคลั่ง ทำให้มึงเป็นบ้า คิดถึงแต่มัน แผนไอ้แคนเวลาจีบใครมันทำแบบนี้ ซึ่ง...บางทีกูก็ไม่แน่ใจว่ารอบนี้มันทำให้มึงคลั่งหรือมึงเป็นคนทำให้มันคลั่งกันแน่ เวรเอ๊ย ซื่อบื้อฉิบหาย”
“พี่เพ้อเจ้ออะไรของพี่วะ”
“เออ ช่างแม่งเหอะ แต่มึงจะวิ่งไปหามันแบบนี้ไม่ได้ ตายแน่ กูว่าได้มีเด็กร้องไห้งอแงเพราะผู้ชายไม่สนใจแหง”
“หมายความว่าไง”
“เจ็บหน่อยนะ”
กร็อบ“อ๊ากกกกก!”
ไอ้เชี่ยพี่โจ๊ก ไอ้เลวพี่โจ๊ก ไอ้คนซันไล ไอ้เป็นสิวที่หลัง ไอ้พลังหมูป่า ไอ้เห็ดนางฟ้าต้มไม่สุก ไอ้ลูกสนุ้กไม่ลงหลุม
มันดัดข้อมือผมครับ ถึงจะกัดกันหลายรอบแต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะลงมือกับผมได้เลือดเย็นแบบนี้ โชคดีที่แค่เอ็นข้อมือพลิก ไม่ถึงกับฉีกหรือกระดูกหัก แต่เจ็บเชี่ย ๆ ครั้งสุดท้ายที่เจ็บแบบนี้ก็ตอนล้มคางฟาดพื้นหมอเย็บนั่นแหละ คราวนี้โชคดีแค่ประคบเย็นกับพันผ้านิดหน่อยไม่ถึงกับต้องควักเข็มมาทำร้ายจิตใจกันแต่ผมก็ยังโกรธมันอยู่ดี
พี่โจ๊กนั่งไขว่ห้าง กระดิกเท้าอยู่ที่หน้าห้องยาของสถานพยาบาล ทันทีที่เห็นผมก็ยักยิ้มกวนประสาท ไม่ได้มีร่องรอยของความรู้สึกผิดฉายออกมาเลยสักนิดนั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
“พี่ไม่คิดจะขอโทษผมหน่อยหรือไง”
“ต้องขอโทษด้วยเรอะ”
“พี่นี่มันสันดานเสีย ผมไปทำอะไรให้พี่วะ”
“นี่กูเอ็นดูมึงนะเตี้ยถึงช่วยน่ะ ไม่อย่างนั้นปล่อยให้ร้องไห้โฮวิ่งตามไอ้แคนเป็นบ้าเป็นหลังแล้ว”
“ถ้าผมตามแล้วจะทำไมวะ”
“นั่งเฉย ๆ ให้มันมาหาเถอะน่า”
ยังไม่ทันได้เถียงต่อเสียงฝีเท้าของบางคนก็ดังขึ้น หลบหน่อยครับ พระเอกมา พี่แคนในชุดนักศึกษาไม่ระบุสถาบันเดินกึ่งวิ่งมาจากด้านนอก ประชิดเข้าหาผมในเวลาไม่กี่วินาที เสียงทุ้มเอ่ยขรมในลำคอ สังเกตให้ดีพี่แคนกัดฟันกรอดไปด้วย
“มึงนี่มัน!”
“หา? ผม?”
“ไอ้โจ๊กบอกมึงล้มข้อมือพลิก”
ล้มห่าอะไรวะ มันนั่นแหละหักข้อมือผม กำลังหันไปมอง อยากจะด่าต่อสักยกแต่นิ้วอุ่น ๆ ที่โผล่พ้นผ้าพันก็สัมผัสได้ถึงความหยุ่นชื้นของริมฝีปากเสียก่อน พี่แคนจูบเบา ๆ วางหน้าผากลงบนหลังมือ
“ขอโทษ ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะดูแลแล้วแท้ ๆ”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร นิดเดียวเอง ไม่ใช่ความผิดพี่แคนเสียหน่อย”
“อืม” เขาครางรับในลำคอ แต่สีหน้ายังคงเครียดขมึง มาถึงตอนนี้ก็รู้ว่าตัวเองได้รับความเป็นห่วงมากแค่ไหน ที่โต๋บอกว่าพี่แคนอาจจะไม่คิด...ผมว่าบางทีอาจจะไม่ใช่ ไม่ได้เพ้อไปเอง แต่นาทีนี้ เวลานี้ ที่ผมอยู่กับเขา ผมรู้แล้วว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกมองมาตลอด
“พี่แคนหายไปไหนมา ว่านติดต่อไม่ได้เลย”
เขาช้อนตาขึ้นมอง ไม่ตอบในทันที เราสบตากันแน่นิ่ง ความรู้สึกบางอย่างกรุ่นอยู่ในอก คล้ายจะบังคับให้ผมโผเข้ากอด แต่ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ตรงนี้ กระบอกตาร้อนผ่าว สุดท้ายผมก็ต้องเงยหน้าขึ้นเพดานก่อนน้ำตาจะหยดไหล
“กลับคอนโดค่อยคุยกัน” เสียงนั้นเบาจนแทบจะเป็นกระซิบ แต่ผมก็ได้ยินชัดเจน สิ่งที่ตอบกลับคือพยักหน้า และปล่อยให้พี่แคนกุมมือโดยไม่โต้แย้ง ผมคิดถึงพี่แคน ไม่รู้ว่ามากเท่าไร แต่มันมากเกินกว่าตัวเองจะจินตนาการไหว
“ว่าน”
“ครับ”
“กูเอารถไว้มหา’ลัยนะ เดินกลับได้ไหม”
ยังไม่ทันอ้าปากถาม พี่แคนก็พูดต่อ ผมยังคงมองที่ปลายเท้า ไม่กล้าเงยขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง
“อยากรู้ว่าถ้าเดินจับมือกันนาน ๆ จะรู้สึกยังไง”
ผมกำมือแน่นขึ้นแทนคำตอบ เจ็บที่ข้อมือนิดหน่อยแต่พอทน คนที่ทนไม่ไหวคือผู้ชายตัวใหญ่ข้าง ๆ เขาเปลี่ยนฝั่ง ประสานปลายนิ้วตัวเองเข้ากับมือข้างที่ไม่ได้พันผ้าเอาไว้ แนบแน่น เนิ่นนาน ก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะเดินนำให้ผมเดินตามโดยดุษณี
ผมรู้ว่าจูบในตอนนั้นมีความหมาย
อย่างน้อย มันก็หมายความว่าความสัมพันธ์ของผมกับพี่แคน กำลังจะเปลี่ยนแปลงตลอดไป
TBC
#ทีมพี่โจ๊ก อีว่านมันแรดค่ะ ต้องโดนซะมั่ง หึ
ตอนนี้ก้าวหน้าไปเยอะมาก ตอนที่แล้วนังว่านหนุ่มไร่อ้อยโดนด่าเยอะเหมือนเคย ชอบๆ 555555
จริงๆตอนนี้เป็นที่มาของเรื่องเลยนะ
นายเอกที่จูบก่อนและอุทานว่า ยัดแม่!
อันนี้เป็นตัวอย่างลูกอมที่เคยเอาไปแกล้งเพื่อน สนุกค่ะ แต่โดนด่าเช็ด (จำได้ว่าเคยเล่นเป็นซองสีเงินๆ ไม่แน่ใจว่าใช่ยี่ห้อเดียวกันมั้ย ใครมีโอกาสลองค่ะ ลอง!)
