ตอนที่ 24
เริ่มไม่มั่นใจว่าวันหนึ่ง ๆ มีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันหรือเปล่า บางทีก็ช้า บางครั้งก็ไว หลังจากคุยกับพี่แคนเรื่องเรียนต่อเรียบร้อยแล้วทุกอย่างดูรวดเร็วจนผมเองรู้สึกว่าเข็มนาฬิกามันไม่เท่าเดิม อยากให้โลกอ้วนกว่านี้สักนิด อย่างน้อยก็ยืดเวลาต่อไปอีกหน่อย
เสียงบอกหมดเวลาในห้องสอบจากอาจารย์ผู้คุมสอบดังขึ้น ทุกคนวางปากกาลงด้วยภาวะจำยอม นักศึกษาเกินครึ่งหายไปจากห้องสอบแล้ว ผมไม่มั่นใจว่าพวกนั้นทำได้ แต่มั่นใจว่าตัวเองทำไม่ทัน
แม้พี่แคนจะบอกว่าช่วงไฟนอลเป็นความพยายามของผมเพียงอย่างเดียว แต่แท้ที่จริงแล้วผมก็รู้ว่าเขาคอยช่วยเหลืออยู่ ทั้งชีทที่ไอ้โต๋เอามาอวด ผมจำลายมือพี่แคนได้ มีบางข้อที่เฉลยผิดแล้วเป็นรอยปากกาวงแก้แสดงวิธีที่ถูกต้องไว้ข้าง ๆ ยอมรับเลยว่าเมื่อก่อนผมไม่เคยตรวจชีทเก่าจากรุ่นพี่ เฉลยมายังไงก็ท่องไปอย่างนั้น เพิ่งมาพึงสังวรว่าความรู้ที่ได้มาเก่าก่อนผิดบานตะไท อาจเป็นเพราะเหตุนี้ด้วยที่ทำเอาคะแนนผมดิ่งลงเหวตลอดปีหนึ่งและปีสองเทอมหนึ่งที่ผ่านมา
“ทำไปกี่ข้อวะ”
ไอ้โต๋ถาม ถอนหายใจหนัก สองสามวันมานี้มันตามมาอ่านหนังสือกับผมที่คอนโด พี่แคนเปิดโอกาสเต็มที่ ตัวเองขึ้นไปอยู่กับพี่อาร์มบ้าง อยู่ห้องแล็บบ้าง เจอกันแค่ตอนกินข้าว หรือไม่ก็เดินสวนกันในโรงอาหาร สีหน้าครุ่นคิด เหมือนมีอะไรในใจตลอดเวลา
“ห้า มึงอะ”
“สามมมม กำลังทำข้อสี่ หมดเวลาก่อน”
“กูเพิ่งเขียนคำตอบข้อหกตอนหมดคาบ ข้อหนึ่งเว้นไว้ ยากสัด”
“เออ กูไปเสียเวลางมข้อนั้นโคตรนาน สุดท้ายก็ตัน ทำข้ออื่นไม่ทันอีกแม่ง แต่คล้าย ๆ กับชีทเมื่อวานเนอะ”
ผมพยักหน้า ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “พี่แคนสอบเสร็จแล้วมั้ง”
“จะไปหาเลยปะ เชี่ยกุ้งออกไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรก มันได้ทำสักข้อไหมวะ”
“เออ ไม่รู้ แต่เดี๋ยวกูกลับคณะ มึงไปด้วยกันไหม”
“ไม่อะ ไปพักสมองก่อน ขอเล่นเกมชั่วโมงเดียว เดี๋ยวตามไปที่คอนโด ไม่ได้นัดไปไหนกับพี่แคนใช่ปะ”
“เออมั้ง” ผมตอบสั้น รู้สึกหงุดหงิดเล็ก ๆ ทั้ง ๆ ที่เหลือเวลาไม่กี่วัน แต่กลับต้องห่างกันมากกว่าเก่า “จะเข้ามาก็ไลน์มาแล้วกัน เดี๋ยวกูลงไปรับ”
“เออ ๆ แดกข้าวกับพี่แคนไปเลยนะ รู้สึกผิดว่ะ ไปรบกวนเวลาพวกมึง”
“ไม่เป็นไรหรอก” ผมหมายถึงไม่เป็นไรจริง ๆ พี่แคนเองก็ไม่ค่อยว่าง “เดี๋ยวต่อไปเขาก็ไม่อยู่ด้วยแล้ว จะได้ชิน”
“ฟังดูเหงา ๆ”
“ไม่มีแฟนอย่ามาทำหน้าเข้าใจ แสรด”
“แค่นี้ต้องด่าด้วย” โต๋หัวเราะ ไม่ได้โกรธจริงจัง ผมโบกมือให้มันยิ้ม ๆ ก่อนจะแยกย้ายขึ้นรถบริการหน้าอาคารเรียนคนละสาย
ถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นมองฟ้า
ต่อไปไม่มีพี่แคนแล้ว คงเหงากว่านี้เท่าตัว
ห้องแล็บภาควิชาคอมพิวเตอร์แออัดกว่าปกติ พวกปีสี่หลายคนที่ไม่เคยเห็นหน้าจับกลุ่มติวหนังสือกันจนห้องแน่นขนัด เมื่อผมเดินเข้าไปหลายสายตาหันมองก่อนก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อเหมือนเคย ไม่มีการแนะนำ ทุกคนก็รับรู้ได้โดยอัตโนมัติถึงความสัมพันธ์ของผมกับพี่แคน คนที่กำลังพูดถึงนั่งดูจอคอมพิวเตอร์ ปลายนิ้วรัวแป้นพิมพ์ก่อนบุ้ยปากให้ผมนั่งลงข้าง ๆ
“ทำข้อสอบได้ไหม”ถามทั้ง ๆ ที่ไม่มองหน้า ผมถอนหายใจนำ แล้วตอบ
“ทำไม่ทัน” วางคางลงบนโต๊ะ พี่อาร์มนั่งที่โต๊ะตัวถัดไป เคร่งเครียดไม่ต่างกัน มีแต่พี่โจ๊กเท่านั้นที่หันมายิ้มเยาะ
“ไอ้แคนไม่ได้ไปเยอรมันมั้งงานนี้”
“ทำไม่ทันแต่ข้อที่ทำทันว่านมั่นใจนะเว้ย”
“เด็ก” คู่สนทนาไม่ได้รับเชิญสวนกลับมาเมื่อผมตั้งหน้าตั้งตาเถียง พูดแล้วเซ็ง ทำไมผมของขึ้นง่ายขนาดนี้ก็ไม่รู้ “พี่แคน ไปเที่ยวกันไหม”
เขาทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงมองที่หน้าจอเหมือนเดิม ผมรู้ว่าตัวเองนัดโต๋เอาไว้ แต่เบื่อครับ เบื่อมาก ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือหรอกถ้าเป็นแบบนี้ ผมเอ่ยถามซ้ำเพราะไม่มั่นใจว่าเขาได้ยินหรือเปล่า “ไปเดินตลาดรถไฟกัน”
“เพิ่งสอบไปตัวเดียวไม่ใช่เหรอ”
ในที่สุดคู่สนทนาก็ตอบ แต่เป็นคำตอบที่ผมไม่ได้พอใจเท่าไร คงติดนิสัยถูกพี่แคนตามใจจนชิน พอถูกปฏิเสธก็อดเซ็งไม่ได้ รู้ว่าตัวเองงอแง ไร้สาระ แต่มีบรรยากาศขมุกขมัวระหว่างผมกับพี่แคน อธิบายไม่ถูก เหมือนมันซ่อนอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย เขามีความลับ ผมรู้แค่นี้ เพียงแต่นึกไม่ออกว่าเป็นความลับเรื่องอะไรที่ค้างคาใจอยู่
“อีกตัวสอบตั้งวันอังคาร พี่แคน ไปเหอะ”
มือใหญ่วางลงบนหัวผมแทนคำตอบ เขาสนใจเพียงชั่วคราวแล้วกลับไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง มีเพียงเสียงเคาะแป้นพิมพ์ สุดท้ายผมเลยเป็นฝ่ายทนไม่ไหวลุกขึ้นก่อน
“งั้นว่านลงไปอ่านหนังสือที่ใต้ตึกนะ”
“ไปห้องสมุดสิ”
“ไม่เอา คนเยอะ”
“ข้างล่างมันร้อน”
“ก็ดีกว่าตรงนี้”
พี่แคนเหลือบมองผม เขาอาจจะรู้ หรือไม่รู้ว่าผมกำลังงี่เง่า อาการแบบนี้นอกจากคนที่บ้านก็ไม่เคยทำกับใคร คล้ายกับจู่ ๆ ก็ขาดความมั่นใจ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนบอกให้พี่แคนไปเรียนต่อแท้ ๆ แต่พอใกล้วันเข้าก็กลับเป็นคนพูดจาไม่รู้เรื่องเสียเอง ผมไม่รู้ว่ากังวลเกินไป คิดมากเกินไป หรือพี่แคนมีอะไรแต่ไม่คิดจะเล่าให้ฟังกันจริง ๆ
อืม เสร็จแล้วจะตามไป รออยู่ข้างล่าง ไม่ต้องไปไหน มีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อย”
ผมครางรับคำในลำคอ ถอนหายใจ พี่แคนไม่สนใจเหมือนเคย สุดท้ายก็พ่ายแพ้ เป็นฝ่ายลุกเดินออกมาอย่างเงียบเชียบทั้ง ๆ ที่เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน
ใต้อาคารเรียนภาคคอม ไฟยังเปิดสว่างโร่ นักศึกษาหลายคนนั่งจับกลุ่ม มีเพียงแค่ผมที่นั่งอยู่ลำพัง พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ไลน์บอกไอ้โต๋ว่าพี่แคนทำงานที่แล็บยังไม่เลิกมันก็ยกเลิกนัดกลับบ้านไปก่อน ผมอยากอยู่เจอพี่แคนอีกสักนิด กินข้าวด้วยกันสักมื้อก่อนกลับไปอ่านหนังสือก็ยังดี
เมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้แท้ ๆ ผมทำตัวไม่น่ารัก ทำตัวจุกจิกไม่เข้าท่า แต่ทั้งหมดเพราะต้องการความรักล้วน ๆ
อีกอย่างก็คือ ผมกำลังสงสัยว่าอะไรที่ซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นกันแน่ ถึงเรื่องเรียนจะเป็นควาย แต่เรื่องผู้ชายผมฉลาดนะครับ เซนส์ออฟบอยเฟรนด์อะ เข้าใจหรือเปล่า ผมว่าผมมีเซนส์อะ
“อ๊ะ!”
เสียงอุทานของใครบางคนดังขึ้นขณะกำลังเปลี่ยนหน้าหนังสือ สลับกับคิดเรื่องคนรักไปด้วย เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นอดีตของพี่แคนยืนอยู่ เขาสวมแว่นตากันแดดแม้ไม่มีแสงจากดวงอาทิตย์ กระนั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นใคร
“พี่กัส”
“พี่แคนล่ะ” เขาถาม ยกมือขึ้นกอดอก หน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย ผมไม่ตอบ แต่จะไม่หาเรื่องจนกว่าเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อกวน มีมือมีเท้าครับ ต่อให้พี่แคนจะเป็นพระเอกที่แสนดีของผมเท่าไร แต่ไอ้ว่านไม่ใช่นางเอกแน่ ๆ ผมมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประเมิน หรือนี่จะเป็นเรื่องที่พี่แคนซ่อนไว้วะ
“วันนี้ฉันนัดพี่แคนไว้ เขาไม่ได้บอกให้กลับไปก่อนเหรอถึงมานั่งนี่ หรือจะมาเฝ้า” เขายกนาฬิกาขึ้นดู กล่าวด้วยน้ำเสียงหยามหยัน “นี่ว่าน ถ้ากังวลขนาดนั้นจะให้ไปเยอรมันได้จริง ๆ เหรอ พี่แคนไม่ชอบคนขี้หึงจุกจิกนะ”
“พี่แคนบอกให้ผมนั่งรอครับ พี่กัสจะนั่งด้วยกันก็ได้”
“อ้อ เหรอ แล้วเขาอยู่ข้างบนกับพี่อาร์มเหรอ”
“ครับ” ผมตอบรับ ยกกระเป๋าที่วางฝั่งตรงข้ามขึ้น ไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงมีความรู้สึกไม่ชอบหน้าแฟนเก่าของคนรักเสมอ ไม่ถึงกับเกลียด แต่จะบอกว่าเป็นมิตรก็ไม่ใช่ ยิ่งคน ๆ นั้นยังคอยป้วนเปี้ยนคนของเราไม่ห่างก็ยิ่งไม่ชอบใจ
“แปลกนะที่มากังวลเรื่องฉันแต่กล้าปล่อยพี่แคนกับพี่อาร์มไว้ด้วยกัน ไม่รู้เหรอว่าพี่อาร์มคิดยังไงกับพี่แคน”
ผมเหลือบตาขึ้นมอง ไม่ได้ถามต่อ แต่พี่กัสก็เป็นฝ่ายเฉลยออกมาเอง “พี่อาร์มแอบชอบพี่แคนตั้งนานแล้ว ฝากปลาย่างไว้กับแมวระวังไว้เถอะ”
“ผมจำเป็นต้องรู้ด้วยเหรอครับ ในเมื่อพี่อาร์มไม่เคยอยากแย่งพี่แคนไปจากผม”
“หึ...มั่นใจเสียขนาดนั้น”
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่กัสจะพูดแบบนี้ทำไม แต่ผมรู้จักพี่อาร์ม พี่อาร์มเป็นคนดี”
“ก็แค่มดแดงแฝงพวงมะม่วง”
“เขาไม่เคยคอยหาโอกาสเข้าหาพี่แคนในเชิงชู้สาว ถ้าพี่กัสอยากให้ผมระแวงล่ะก็ผมว่ามันเสียเวลา พี่ก็เพิ่งบอกเองว่าพี่แคนไม่ชอบคนหึงจุกจิก” ผมเคาะปากกาลงบนโต๊ะ เริ่มหงุดหงิดขึ้นมานิด ๆ คนตรงหน้าถอดแว่น ยังไม่ทันพูดอะไรต่อพี่แคนก็เดินล้วงกระเป๋ามาจากด้านหลัง เงาที่ทาบลงมาทำให้พี่กัสเงียบเสียงและหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นพี่แคนก็ยิ้มหวาน ให้ตายเถอะ ถึงจะเหม็นหน้าแต่ก็ปฏิเสธไม่ลงว่าพอยิ้มแล้วอะไร ๆ ก็ดูดีไปหมด พี่กัสแม่งเป็นคนหน้าตาดีจริง ๆ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกขุ่นในอก เฮ้อ แล้วทำไมผมต้องพาลด้วยวะเนี่ย
“กัสกำลังรอเลย”
“โทษที งานมันใกล้เสร็จแล้วเลยรีบ ๆ ทำจะได้กลับคอนโดทีเดียว ว่าแต่มีอะไรล่ะ ให้ไอ้กิมโทรมานัดให้”
“ไปคุยที่อื่นได้ไหม”
“ตรงนี้แหละ” พี่แคนว่า เดินอ้อมโต๊ะมานั่งข้างผม “อ่านไปถึงไหนแล้ว”
“นิดหน่อย พี่ไปคุยกับพี่กัสก่อนก็ได้นะ” บอกตรง ๆ ผมไม่อยากเห็นหน้าพี่กัสเท่าไร ยิ่งสายตาที่เขามองพี่แคนยิ่งไม่ชอบ ไม่ใช่ว่าเกลียด ถูกต้อง ผมไม่ได้เกลียดเขา แต่ไม่ชอบ ไม่ชอบ ไม่ชอบโว้ย!
“ทำไม คุยตรงนี้แหละ ไม่ได้มีความลับอะไร”
กลายเป็นพี่กัสที่หน้าตึง กระแทกกระเป๋าสตางค์ที่ถือมาลงบนโต๊ะ เขาเป็นคนเอาแต่ใจ มองปราดเดียวก็รู้ ส่วนพี่แคนพอคบใครแล้วน่าจะเป็นพวกตามใจไปเสียหมด ปากหนักไปหน่อย แต่ใครอยู่ด้วยก็ต้องระทวยทั้งนั้น
“พี่ทัพบอกว่าพี่แคนเอาทุนเยอรมัน”
“อืม ว่านอยากให้ไปน่ะ”
“พี่แคน...”
“ที่จริง มีเรื่องที่อยากจะพูดเหมือนกันถึงบอกไอ้กิมว่าถ้ากัสอยากมาหาก็ให้มาเจอ” พูดพลางเคาะนิ้ว ผมมองพี่แคนสลับกับพี่กัสไปมา ไม่มีส่วนที่ตัวเองจะแทรกบทสนทนาได้ ดวงตาคม สีดำขลับจ้องมองไปตรงหน้า พี่กัสเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนพี่แคนจะพูดต่อ เอาจริง ๆ พูดกันตรงนี้ก็ดี พี่แคนพูดไปเถอะ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่บอกเลิกผมแล้วกลับไปหาแฟนเก่าอะ
“กูกำลังจะไปต่อนอก อยากเคลียร์ให้มันจบ ว่านเองก็จะได้สบายใจ มึงก็จะได้เริ่มใหม่ เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว เลิกวุ่นวายกับที่บ้านกู กับเพื่อนกูสักที มันเป็นไปไม่ได้ ไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้กูมีใคร”
“แต่ว่า...”
“ว่านมันไม่รู้ แต่กูรู้ตลอดว่ามึงพยายามทำอะไร วันไหนกูไม่อยู่นี่แล้วกูห่วงว่านมัน กูไม่ได้มีโอกาสมองหน้าเพื่อจะสั่งอะไรมันแล้ว ถ้ามันเข้าใจผิดอะไร กูกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้อธิบายอีก”
“หมายความว่าไง พี่บอกให้กัสหยุดทั้ง ๆ ที่กัสพยายามเพื่อจะพิสูจน์ให้พี่แคนเห็นนะว่ากัสรักพี่จริง ๆ เรื่องนั้นกัสพลาดแค่ครั้งเดียวเองนะพี่แคน ทำไมไม่ให้โอกาสกันบ้าง”
“กัส มึงพอได้แล้ว” พี่แคนพูดเสียงเรียบ ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายใกล้จะร้องไห้เต็มทน จากตอนแรกเคืองพี่กัส ตอนนี้กลับใจคอไม่ดี ผมเริ่มอยากลุกไปจากตรงนี้แล้วว่ะ บรรยากาศไม่โอเคเลย “กูรู้ว่ามึงเสียใจ กูก็พยายามทำใจให้โอกาสมึงมาตลอด ถ้ากูไม่เจอไอ้เด็กนี่กูก็คงยังคุยกับมึงได้เรื่อย ๆ แต่กูเจอมันแล้ว” พี่แคนพูดถึงผม แต่มองหน้าคู่สนทนาจริงจัง ไม่มีแววล้อเล่นในดวงตา
“กลับไปหาไม่ได้แล้ว เข้าใจที่พูดไหม”
“ถ้าอย่างนั้นก่อนหน้านี้พี่แคนจะบอกกัสทำไมวะว่าเรื่องของเรามันเป็นเรื่องของอนาคต พี่จะให้กัสพยายามทำไมวะ”
“กูรักมัน ถ้ามึงจะบีบให้กูพูดแบบนี้กูก็จะพูด กูทำให้มันเสียใจไม่ได้ กูไม่เคยบอกให้มึงพยายาม กูแค่ตอบไม่ได้ว่าจะให้อภัยมึงหรือเปล่า แต่ตอนนี้กูตอบได้แล้ว มึงฟังกูสิว่ากูตอบว่าอะไร อย่าเอาแต่ปิดหูปิดตา”
พี่กัสยกแว่นตาขึ้นมาสวม ผมคิดว่าคงกลั้นไม่ไหว ผมว่าผมเข้าใจนะ พี่แคนเล่นบทดีก็ดีใจหาย ถ้าวันหนึ่งถูกพูดใส่แบบนี้ก็คงรับไม่ได้เหมือนกัน
“กัส มึงก็เหมือนน้องกู ขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้ แต่มึงเดินต่อได้แล้ว ที่ต้องพูดต่อหน้าไอ้ว่านไม่ใช่เพราะจะหักหน้ามึง กูอยากเคลียร์ให้มันจบ อย่างน้อยก็ก่อนที่กูจะไป มึงเองก็จะได้เลิกหวังอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้สักที”
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเป็นไอ้เด็กนี่ มันไม่เหมือนกัสสักอย่างเลยนะพี่แคน หน้ามันโง่จะตายไป” ริมฝีปากสีพีชยืดเหยียด แต่ทั้ง ๆ ที่โดนด่า ผมกลับสงสารพี่กัสขึ้นมาเสียอย่างนั้น ใจหนึ่งอยากห้ามให้พี่แคนพอ แต่อีกใจบอกตัวเองว่าต้องปล่อยให้พี่แคนพูด อย่างน้อยให้จบวันนี้ดีกว่ามีเรื่องคาราคาซังตอนคนกลางไม่อยู่ ผมยังไม่อยากขึ้นหน้าหนึ่งตบกับดาราแย่งผู้ชายครับ แม่ไม่ปลื้มแน่ เดี๋ยวโดนตัดออกจากกองมรดก
“กัสไม่เข้าใจ ทำไมถึงเลือกมัน ลีลามันเด็ดหรือไง”
“มันเป็นคนที่ดีกับใจกู” เสียงทุ้มตอบเรียบ ๆ ไม่ใส่อารมณ์แต่กลับบาดลึก เป็นคำตอบที่ทำให้พี่กัสเบือนหน้าหนี และเลิกที่จะเถียง ริมฝีปากคู่นั้นบดจนเป็นเส้นตรง แก้มขาวเริ่มเปียกด้วยคราบน้ำตาที่ซ่อนไว้เท่าไรก็ไม่มิด ผมก้มหน้าลง ไม่อยากเห็นภาพแบบนี้ ผมรู้ว่ารักมีทั้งสุขและเศร้า แต่ผมก็ไม่คิดจะเห็นใครเศร้าเพราะรักเป็นต้นเหตุ
“วันนี้ที่ยอมเจอกันง่าย ๆ เพราะอยากเอาใจมันนักล่ะสิ พี่คิดว่ามันใสเหรอ มันไม่มีพิษมีภัยเหรอ มันทำหน้าซื่อ ๆ หลอกพี่ให้มาพูดจาตัดขาดกับกัสไปอย่างนั้นแหละ คิดว่าชนะแล้วสินะ”
“กัส มึงมีสติหน่อย ว่านไม่ได้รู้เรื่องที่เรานัดเจอกันวันนี้”
“พี่จะปกป้องมันทุกเรื่องเลยหรือไง”
“มันเป็นเรื่องที่คนเป็นแฟนกันต้องทำว่ะ”
“กัสเกลียดพี่!” ผมรู้ว่าเขาโกหก พี่กัสรักพี่แคนต่างหาก คนข้าง ๆ ผมขบฟันจนเห็นเป็นสันนูน กระนั้นก็ยังใจดีมากพอที่จะห่วง “อย่าเสียงดัง ที่นี่มันที่สาธารณะ ไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่ไหม กูก็หมดแล้ว มึงกลับยังไง ให้โทรเรียกไอ้กิมไหม”
“ถ้าจะเลือกมันจริง ๆ ก็ไม่ต้องมายุ่งกับกัส!” เขาปาดน้ำตาด้วยหลังมือตัวเอง ลุกขึ้นยืนอย่างหยิ่งทระนง “กัสไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องมาสงสาร แค่สมเพชตัวเองนิด ๆ ที่วิ่งตามคนโง่อย่างพี่ได้ตั้งนาน”
ถึงด่าขนาดไหนแต่คนที่เจ็บที่สุดยังเป็นเจ้าตัว เขาหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถที่พกมาด้วยเดินห่างไป ผมมองเห็นแผ่นหลังนั่นเล็กลงเรื่อย ๆ ตรงนี้เหลือเพียงความเงียบ พี่แคนถอนหายใจทิ้ง ไม่แน่ว่าสบายใจหรือหนักใจ แต่ที่นี่ แม้พี่กัสไม่อยู่แล้วก็ไม่มีใครมีความสุข
เห็นภาพอีกคนที่พยายามเข้มแข็งแม้มองปราดเดียวก็รู้ว่าอ่อนแอขนาดนั้นใครจะรื่นเริงได้
พี่แคนลูบหัวผม แต่คล้ายปลอบประโลมตัวเองมากกว่า ผมเหลือบตามองคนเสียงแข็งเมื่อครู่ด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ สีหน้าเขายังนิ่งเรียบ ไม่สื่ออารมณ์ใด ๆ
“ว่านรู้ว่าพี่แคนไม่สบายใจ” ผมพูดพลางเอนหัวพิงไหล่ มือใหญ่จึงเลื่อนมาโอบบ่าผมแทน “แต่พี่ทำดีที่สุดแล้ว”
“เดี๋ยวนี้ฉลาดนะ”
“อื้อ นี่ว่านแฟนแคนตัสนะ” ผมยิ้มให้ตัวเอง ก่อนพี่แคนจะหัวเราะในลำคอเป็นการตอบรับ
“เป็นคนอื่นคงวีนกูบ้านพังไปแล้ว นัดซ้อนมาเจอกันแบบนี้ ขอบใจที่เข้าใจ กูคิดมาตลอดว่าจะทำยังไงให้จบสวย โทษที ทำได้แค่นี้”
“ว่านไม่ได้เข้าใจนะ แล้วก็ไม่สบายใจเลยที่พี่ไม่เล่าให้ว่านฟังว่าอยากเคลียร์เรื่องพี่กัส”
“เห็นว่าช่วงนี้สอบ แต่รอให้สอบเสร็จก็คงไม่ทัน”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ว่านกับพี่เป็นคนเดียวกันแล้วนะเว้ย พี่อย่าทำเหมือนว่านไม่สำคัญได้ไหม”
“สำคัญ” ปลายจมูกเฉี่ยวหน้าผากผม ไม่กดจูบลงมาเสียทีเดียว “เพราะสำคัญเลยสังเกตมาตลอดว่ามึงไม่วางใจเรื่องเก่าของกูเสียที ก่อนไปเลยอยากจัดการอะไรให้มันเรียบร้อย”
“ครับ รู้แล้ว ว่านเชื่อพี่แคนนะ ถ้าบอกไม่มีอะไร ก็คือไม่มีอะไร”
“โตขึ้นเยอะเลย”
“ไม่หรอก” ผมตอบตามความจริง ตัวเองยังงี่เง่าก็พอรู้ เพียงแต่เริ่มคิดให้มากขึ้นแล้วเท่านั้น “ว่านแค่อยากเป็นคนที่พี่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ”
“อืม” เสียงนั้นตอบรับในลำคอ “อยากไปเดินตลาดรถไฟเหรอ”
“อือ เบื่ออะ พอคิดเรื่องที่จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วน้ำตาจะไหล”
คนที่ผมพิงบ่าอยู่หัวเราะจนไหล่สั่น ผมเหลือบตามองค้อน ตอนแรกใครวะที่งอแงไม่อยากไป ทีงี้มาทำเป็นเยาะคนอื่น
“ไล่กูไปแท้ ๆ เปลี่ยนใจตอนนี้ไม่ทันแล้วด้วย”
“รู้แล้วน่า ขออ้อนไม่ได้เหรอวะ เดี๋ยวก็ไม่อยู่ให้อ้อนแล้ว ไม่ถึงเดือนเลย โอย ว่านจะอยู่ยังไงวะ พี่แคนต้องช่วยว่านนะเว้ย ว่านเริ่มรู้สึกว่าทำใจไม่ได้แล้วอะ”
“อะไร ก็เคลียร์ให้หมดแล้วไง ทั้งเรื่องกัส ทั้งเรื่องมึงกับปาล์ม ที่บ้านกูก็โอเคกับมึงทุกคน มีอะไรให้เครียดอีก หืม?”
“พี่แคนไม่อยู่ว่านจะอ้อนใครล่ะทีนี้”
เอาหน้าผากถูแขนเสื้อ แต่กลับถูกมือใหญ่ดันไว้จนแทบหงายหลัง
“คิดจะอ้อนคนอื่นตอนกูไม่อยู่? ว่างั้น?”
“ไม่ใช่เว้ย” คนขี้หึงนี่มันก็ขี้หึงไปเสียทุกเรื่องเลยหรือไงวะ เมื่อกี้ยิ้มแท้ ๆ นึกจะหน้าบูดหน้าบึ้งก็ทำใส่กันได้ชั่วพริบตา ดูเอาเถอะใจคน “ว่านหมายถึง ต้องคิดถึงพี่แน่ ๆ”
“คิดถึงก็บินไปหา”
“เยอรมันนะไม่ใช่พัทยา”
“ใครบอกกูว่ามันอยู่ได้วะ”
“ถ้าบอกว่าอยู่ไม่ได้แล้วอะ”
พี่แคนยักยิ้ม เขารู้ว่าผมแกล้งพูดไปงั้น ใบหน้าหล่อก้มลงมาฉวยจูบที่ปาก ผมเหลือบตามองไปรอบ ๆ อาคารเรียน โชคดีที่ทุกคนคร่ำเคร่งกับตำราอยู่เลยไม่มีใครเห็นช็อตเด็ด มองคนฉวยโอกาสอุกอาจตาขวาง แต่คล้ายอีกฝ่ายไม่รับรู้
“อยู่ไม่ได้ก็ให้มันขาดใจไปเลย”
“โคตรโหด”
“งั้นจะอ้อนอะไรก็รีบอ้อน เดี๋ยวกูไม่อยู่ให้อ้อนจะได้ไม่เสียดาย”
ผมยิ้มตาปิด เลยโดนหยิกแก้มจนย้วยไปข้าง “คืนนี้อยู่กับว่านได้ปะ หยุดทำงานให้อาจารย์วันหนึ่งนะ”
“เออ ถ้าจารย์ถามว่าทำไมงานไม่เสร็จจะบอกว่าเมียอ้อนยันสว่าง”
ผมหัวเราะในลำคอ พี่แคนตอนกวนประสาทผมชอบเรียกแบบนี้ตลอด ไม่โกรธครับ ว่านแมนพอจะยอมรับความจริง เมียก็เมีย ยังไงก็ได้ขอให้ได้พี่แคนก็พอ
“มีแรงถึงสว่างหรือเปล่าเถอะ ตาโหลขนาดนี้”
เสียงหัวเราะหึดังในลำคอ พี่แคนคว้าข้อศอกให้ลุกขึ้นยืน สีหน้าเริ่มมีเค้ารางของความสุขคืนกลับมา
“มานี่เลย มึงมานี่!”
ผมโผล่หน้าพ้นผ้าห่มออกมาในช่วงสาย โชคดีที่วันนี้ไม่มีสอบเลยนอนได้นานได้เท่าที่อยากนอน สวมเสื้อยืดตัวโปรดกลับตะเข็มของพี่แคนไว้ ท่อนล่างเปลือยเปล่า ยืดออกมานอกผ้าห่มรับลมเย็น ๆ จากเครื่องปรับอากาศเชื่องช้า ส่วนคนร่วมเตียงอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน อ่านหนังสือข้าง ๆ กัน สวมบ็อกเซอร์ตัวเดียว ต้นคอมีรอยฟันงับประปราย ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเผลอกัดไปมากแค่ไหน แต่กว่าจะถึงยกสุดท้ายก็เล่นเอาหมดแรง
ผมค้นพบความผิดพลาดอย่างหนึ่งของการเป็นเกย์ เพราะความที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน การคิดเรื่องสัปดนของเราจะผุดขึ้นมาทุก ๆ นาที ผมอาจจะน้อยกว่าพี่แคน แต่ถ้าเทียบกับผู้หญิงแล้วคงมากว่าหลายเท่าตัว ที่พี่แคนเคยพูดก็ถูกกึ่งหนึ่งที่ว่าถ้าหายเจ็บแล้วจะติดใจ ส่วนอีกกึ่งที่ไม่ถูกก็คือ ผมยังไม่ทันหายเจ็บแม่งก็ระทวยโอนอ่อนตามการชักนำของอีกฝ่ายง่ายดายขึ้นทุกที
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทุ้มทักขึ้นเมื่อผมขยับตัวเข้าหา กรรไกรตัดเล็บถูกยื่นให้เป็นอย่างถัดมา พอพี่แคนเอี้ยวหลังให้ดูก็พบต้นเหตุที่ถูกสั่งให้ตัดเล็บกลาย ๆ
“ฝีมือมึง อาบน้ำแล้วแสบหลังฉิบ”
“เหรอ” หัวเราะแหะ ๆ ปัดความรับผิดชอบไปหน่อย แต่ถึงทำอีกฝ่ายเป็นแผลพี่แคนก็ไม่ได้โกรธ “เจ๊ากันไง พี่ทำตัวว่านเป็นจ้ำ”
“กวนตีน” โดนด่ารับอรุณสักหน่อยแล้วสบายใจ คว้ากรรไกรตัดเล็บเดินเข้าห้องน้ำ ส่องกระจกแล้วรู้สึกขาดทุนชะมัด ทุกที่ใต้ร่มผ้าผมถูกตีตราไว้เสียสิ้น โชคร้ายที่เกิดมาเป็นคนขาว นิด ๆ หน่อย ๆ ก็เป็นรอยง่ายดาย ใช้มือลูบตามรอยจูบ ใจหนึ่งก็หวังให้มันตีตราแบบนี้เรื่อยไปจนกว่าจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
“พี่แคนชอบคนสักไหม”
ผมตะโกนถามจากในห้องน้ำ ถามไปอย่างนั้นครับ คิดว่าว่านจะกล้าเหรอ ไม่เอาด้วยหรอก กลัวเจ็บ ถ้าชอบจะไปหาแทททูรูปตัวซีมาแปะที่ข้อมือแล้วกัน
“มึงจะสักเหรอ”
“พี่ว่าไงอะ”
ชะโงกหน้าออกมาจากห้องน้ำก็ถูกปาหมอนใส่ พี่แคนชูนิ้วกลางให้ ขอบคุณครับที่ชูแค่นิ้ว ไม่ได้ชูของจริงใส่ ว่านตกใจแย่
“เลิกคิดไปเลย”
“ทำไมล่ะ แมน ๆ นี่ไง ว่านจะสักคำว่าแคนตัส ซี เอ เอ็น ที ยู ดี”
“ยิ่งแบบนั้นกูจะยิ่งเกลียดมึงไอ้ว่าน เสร่อ”
“อะไรวะ ไม่ภูมิใจเหรอ”
“สะกดชื่อกูผิด นั่นมันอ่านว่าแคนตุ๊ดแล้วไหม”
อ้าว เหรอ นึกว่าเขียนแบบนี้เสียอีก ผมหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ขณะที่พี่แคนส่ายหัว อาบน้ำล้างตัวได้สะอาดสะอ้านก็พันผ้าเช็ดตัวเดินออกมา วันนี้มีขนมปังไข่ดาวกับเบคอนหอม ๆ ทุกเช้าหลังมีศึกหนักตลอดคืนผมจะได้เซอร์วิสพิเศษจากคนรัก บางวันก็ลงไปซื้อข้าวเช้าให้ แต่ส่วนใหญ่จะทำอะไรง่าย ๆ เตรียมไว้ให้มากกว่า ส่วนถ้าวันไหนอีกฝ่ายไม่ได้รังแกผม ก็จะเป็นในทางกลับกัน ไม่ได้เกิดจากข้อตกลง แต่ในสถานการณ์ปกติพี่แคนจะตื่นสายกว่าผมเสมอ
“บ่าย ๆ ไปหาอาหารทะเลกินไหม”
“ไป ๆ” ตอบรับทั้ง ๆ ที่ขนมปังเต็มปาก พี่แคนยื่นน้ำเปล่าให้ด้วยสีหน้าเอือมระอา ไม่ถึงนาทีผมก็ไอโขลก ขนมปังติดคอ มองหน้าแล้วส่ายหัว เดี๋ยวจับทำผัวแม่งเลยดีไหมครับ หมั่นไส้
“มึงนี่นะ เฮ้อ นี่ใช้ชีวิตมาได้ยังไงขนาดนี้”
ถึงจะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ดูหงุดหงิดจริงจัง ผมดื่มน้ำแล้วหันมายิ้มเผล่ ไม่ทุกข์ร้อน โดนดีดนิ้วใส่หน้าผากหนึ่งครั้งเพื่อความสบายใจของคนรักแล้วกินต่อ พี่แคนนั่งฝั่งตรงข้าม มองผมนิ่งจนรู้สึกประหม่า
“อะไร มองว่านทำไม”
“มองเด็กตะกละ”
เขายกมือขึ้นปัดเศษไข่แดงที่ติดข้างแก้ม ไม่รู้กระเด็นไปตอนไหน รู้อีกทีอีกฝ่ายก็เอาเข้าปาก ผมยื่นแบ่งแซนด์วิชให้ พี่แคนส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ถึง”
“อะไร”
“กัดไม่ถึง”
“พี่ก็ยื่นหน้ามาสิวะ”
“ถ้ากูยื่นไปมากกว่านี้ จะจับมึงจูบให้ปากเยินไปเลย”
ผมยัดแซนด์วิชที่เหลือเข้าปากคู่สนทนาโดยไม่รอให้ขยับตัวเข้าใกล้มากกว่าเดิม บางทีผมก็อยากได้แฟนสายมิ้งนะเว้ย ทำไมมาโหดใส่กันตลอดไม่รู้
“พี่แม่ง”
คู่สนทนาถลึงตาใส่เพราะตอบโต้ไม่ได้ คนตัวใหญ่เคี้ยวตุ้ยยกมือขึ้นชี้หน้าผมเป็นการแก้แค้น แต่ใครจะอยู่รอ ยกนมซดได้หมดแก้วก็กลับไปนอนคลุมโปงต่อแล้วครับ
“ไอ้ว่าน”
“อะไร”
“มาเก็บจานไปล้าง”
โหย แค่นี้ก็ทำให้หน่อยไม่ได้ ว่านเซ็งอะ ไม่ได้รับการปรนนิบัตรเลย ผมก้าวลงจากเตียง กลับออกมาห้องนั่งเล่น ทำหน้าอูด คนเรียกยืนกอดอกมองดุ “ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนี้ใส่เลย”
“อะไรเล่า”
“อย่าขี้เกียจ ต่อไปไม่มีคนสั่งแล้วนะ”
“รู้แล้วน่า” ไม่ต้องย้ำกันบ่อย ๆ ก็ได้ ว่านใจหาย ผมเดินส่ายหัวเข้าไปกอดพี่แคน วางหน้าผากลงบนบ่า ส่วนสูงเราช่างพอดีสำหรับท่านี้กันจริง ๆ ครับ
“อ้อนอะไร”
“อยากกอด”
“ไปล้างจานแล้วอ่านหนังสือ ถ้าจบหนึ่งวิชาจะพาไปบางขุนเทียน ถ้าไม่จบอด”
“อย่าเอาของกินมาล่อว่านแบบนี้ดิ”
“แล้วได้ผลหรือเปล่า” ผมเกลือกหน้าผากลงบนบ่ากว้าง สักพักก็เอียงคอซบ มองจากมุมนี้เห็นแค่คางของพี่แคน ไม่ต้องห่วงครับ เศษเสี้ยวของใบหน้าแฟนว่านก็ยังหล่อเหมือนเดิม “ถ้าเป็นคนอื่นหลอกว่านแบบนี้ไม่ได้นะ”
“จริงเหรอ”
“ไม่จริง” ผมหัวเราะ รีบกระโดดเหยงก่อนถูกประทุษร้าย คนรักกอดอก มองผมแล้วยิ้มตาม พอผมหันหลังเข้าครัว ตรงไปที่เคาน์เตอร์ล้างจานเท่านั้น ใครคนนั้นก็สาวเท้าเข้ากอดจากด้านหลัง สองมือหนาจับปมผ้าเช็ดตัวที่นุ่งท่อนล่างของผมไว้แน่น หางตาเห็นรอยยิ้มของปีศาจ
“ไหน จะไปให้ใครหลอก ให้โอกาสพูดอีกที”
ผมผินหน้ากลับไปเพียงเล็กน้อย โอกาสพูดอีกทีก็สิ้นสุดลง ริมฝีปากถูกปิดแน่น ไม่มีใครอยากได้คำตอบที่แท้จริง ที่แห่งนี้มีแต่คนอยากฉวยโอกาสหาเรื่องรังแกผมเท่านั้นแหละครับ
TBC
เกลียดอีว่าน ทำไมพี่แคนต้องรักมัน มันหน้าโง่ออกจะตาย /ยืมคำกัสมา
ตอนนี้เสี้ยนหนามหัวใจก็ถูกทำลายจนสิ้นซากแล้ว ทางโล่งแล้วนังว่าน พี่แคนเป็นของหล่อนย่ะ หึ! (นี่จะหมั่นไส้ทำไม)
สำหรับตอนที่แล้วว ขอบคุณคอมเมนต์ที่ติงมาเรื่องเนื้อหาย้อนแย้ง พี่ทัพจริงๆชื่อพี่ัทัพค่ะ ไม่ใช่พี่เทพ เดี๋ยวจะทับซ้อนกันกับเทพแคน เกิดคู่จิ้นใหม่ อาพรตอาจจะฆ่าลูกในไส้ได้ ส่วนสูงปรับแก้ให้เท่ากันแล้ว เมตตานังว่าน เตี้ยกว่าพี่แคน10เซ็นพอ ชั้นอยากให้พระเอกชั้นหล่อ สูง สมาร์ทฮาร์ท แกก็เตี้ยไปละกัน จะได้ดูแตกต่างเยอะๆหน่อย (แค้นฝังหุ่น) ตอนนี้จริงๆเชื่อมโยงมาจากที่พี่โจ๊กพูดเรื่องกัสแล้วว่านด่าค่ะ พี่แคนเลยอยากไปแบบหมดห่วง ต้องเรียกมาคุยต่อหน้า อาจจะดูใจร้ายแต่สุดท้ายนังต้องเลือกค่ะว่าจะรักษาความรู้สึกใครไว้
ขอบคุณจริงๆสำหรับทุกคอมเมนต์ เรื่องนี้ 25 ตอนจบ +1บทส่งท้าย กับตอนพิเศษอีกตอน เขียนเสร็จแล้ว อวดได้ (ฮรี่)
มีอะไรติดขัดเตือนกันได้ตลอดนะคะ
อยู่ด้วยกันจนถึงตอนจบนะ
#candynovel เจอกันอีกทีพุธหน้าค่ะ ^^