“นายครับ” ไอ้เด่นเรียก ผมถอนหายใจลุกเดินไปเปิดประตูให้แล้วเดินกลับมาทันที ไอ้เด่นปิดประตูห้องลง เมื่อมันหันมาเห็นว่ายูยังไม่ได้ใส่ชั้นในมันก็รีบละสายตาก้มหน้าลงมองพื้น
“พี่ธานให้มาบอกว่า ไอ้กริดมาครับ” มันรายงาน
“มึงเฝ้าหน้าห้องไว้ก่อน” ผมสั่ง ไอ้เด่นผงกหัวน้อย ๆ ก่อนออกจากห้องไป
“ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกทำแบบนี้สักที อยากตายรึไง” ผมพูด นำหลังมือไปแตะหน้าผากยูก่อนลูบหัวเขาไว้ด้วย
“ก็ไม่เหลือใครให้ห่วงสักหน่อย” ยูยิ้ม ทำท่าสนุกเพื่อปัดสถานการณ์ตามเคย ผมนั่งลงข้าง ๆ
“ต้องให้ผมพูดอีกกี่ครั้ง ว่าคุณคือคนในครอบครัว” ผมเริ่มไม่พอใจ ยูเงยหน้าขึ้นมองตาปริบ
“อย่ามาทำให้ไขว้เขวน่า” เขาต่อว่า
“แล้วนายมีอะไรล่ะ” ยูถามอีกครั้ง
“เจ้าของผับ Blackfoot น่ะ ..ใคร ?” ผมถาม
“กาย” ยูให้คำตอบอย่างไม่ลังเล
“เฮอะ..ไปเจออะไรเข้ามาล่ะ” ยูเงยหน้าหัวเราะขึ้นจมูก ผมเผยอปากอย่างเซ็งอารมณ์ ลุกขึ้นติดกระดุมเสื้อพร้อมจัดองค์ทรงเครื่องให้สภาพเหมือนตอนที่มา
“รู้ไหมว่ามันเป็นเด็กใคร” ยูตั้งคำถามแบบที่ผมให้คำตอบไม่ได้
“ถ้านาย ‘ไม่รู้’ ก็ไม่แปลกอะนะ แต่ฉันก็จะเตือนเหมือนที่นายพูดกับฉันเหมือนกันว่า..อยากตายรึไง ?” ยูกวน ผมนั่งลงอีกครั้งโดยไม่คิดพูดอะไร
“ทีสมิธ” ยูพูดขึ้น ผมขมวดคิ้วกับชื่อที่พอคุ้นหูถึงบุคคลใต้ดินที่ยังไม่มีใครเคยพบหน้า เรียกว่าอยู่ในวงการแบบดำสนิท
“มากกว่าสองปากพูดกันว่า กาย..เข้าออกบ้านพักตากอากาศของนายดำริเป็นว่าเล่น” ยูยักไหล่เล่า
“นักการเมืองดีเด่นแห่งชาตินั่นน่ะนะ ?” ผมประชดถึง
“อาฮะ..” ยูเลิกคิ้วรับ
“คุณกำลังบอกว่าทีสมิธคือดำริงั้นเหรอ”
“เปล่า..ฉันไม่ได้พูดสักหน่อย” ยูทำตาใสปฏิเสธ คล้ายเกรงที่จะให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เห็นว่าเป็นเด็กที่เก็บมาเลี้ยง แอบเลี้ยงน่ะ เลี้ยงเหมือนเด็กปั้นกลาย ๆ ทุกคนรู้แค่ว่ามันเป็นหลาน” ยูขยายความ
“เป็นข่าวเดียวที่ฉันไม่กล้าขาย” ยูเบะปากระหว่างยิ้มนิดหน่อย
“งั้นแสดงว่าที่จริงร้านนั้นเป็นของทีสมิธ” ผมพูด ยูอมยิ้มพร้อมยักไหล่นิดหน่อย
“ฉันก็ไม่รู้อะไรมากหรอก แต่ช่วงนี้..พวกไอ้กายกับไอ้กริดมากินที่ร้านบ่อย ๆ มันจองที่นั่ง VIP ตลอด อย่างที่บอก มาบ่อยพอ ๆ กับสายตำรวจที่ทำฉันปวดหัวไปหมด” ยูพูดคล้ายบ่นให้ฟังโดยไม่ลืมที่จะถอนหายใจไปด้วย
“..นั่งนานแค่ไหน” ผมถาม
“ก็สัก..สองสามชั่วโมงได้ บางทีก็แค่ยี่สิบนาทีทั้งที่เปิดไวน์ขวดครึ่งแสนยังไม่ทันหมด แปลกใช่ไหมละ”
“เคยได้ยินพวกมันพูดกันว่า พ่อของริศาให้เช่าท่าเรือแถวฉะเชิงเทราด้วยนะ”
“คุณรู้ใช่ไหมว่าพวกมันขนอะไรกัน” ผมถามตรง ๆ ยูจ้องไปที่แก้ววิสกี้ครู่หนึ่งก่อนเหลือบมามอง
“..ก็ไม่ใช่เรื่องดี หน้าตาพวกมันเหมือนทำเรื่องดี ๆ เป็นประจำเหรอ” อีกฝ่ายตอบติดตลกก่อนลุกขึ้นแต่งตัว ผมหลุดหัวเราะ นั่งมองให้เวลาจนยูแต่งตัวเสร็จ
“เท่าไหร่..?” ผมเอ่ย ทำให้คนที่ได้ยินเหล่ตามาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“งานครั้งนี้น่ะ” ผมขยายความ ดึงเอวอีกฝ่ายมาอย่างแรงจนยูเซล้มตัวนั่งลงบนตัก
“แลกกับเมื่อกี้ไปแล้ว” ยูตอบเสียงแข็ง
“ไม่ยักรู้ว่าคุณขายข่าวแลกเซ็กส์แล้ว จนตรอกขนาดนั้นเลย” ผมประชดแกล้ง ยูนำมือมาหยิกแก้มผมด้วยท่าทางหมันไส้ก่อนผละตัวลุกขึ้นยืน
“ก็..นายมัน ยกให้กรณีพิเศษมั้ง” อีกฝ่ายย้อนส่ง ๆ เดินตรงไปที่เคาน์เตอร์
“บอกมาเถอะน่าว่าเท่าไหร่” ผมย้ำเสียงนุ่มลง ยูไม่ตอบอีก ทำเมินเฉยหยิบน้ำเปล่าขึ้นดื่ม ผมถอนหายใจกับนิสัยแบบนี้ของเขา
เอาไม่อยู่หรอก คน ๆ นี้มีเรื่องฝังใจเยอะเกินไปและก็
“กวนตีนนิด ๆ ด้วย”“เอาเป็นว่าผมจะโอนเข้าบัญชีให้พรุ่งนี้แล้วกันนะ” ผมสรุปอย่างทุกที
“อย่ามาทำอะไรไร้สาระ!” ยูขมวดคิ้วขึ้นเสียงยกใหญ่
“ให้ไปพักร้อน เผื่อเอาไว้นอนเล่นที่มัลดีฟส์สักห้าหกวัน..ไม่ชอบเหรอ” ผมยิ้ม พอได้ยินอย่างนั้นเจ้าตัวก็ทำตากลอกวนไปมา มุมปากทั้งสองข้างหลุดยิ้มน้อย ๆ
“คุณนี่มัน นิสัยแย่จริง ๆ” ผมส่ายหัวบ่น
“คึ ๆ” ยูทำท่าปิดปากหัวเราะหน้าทะเล้น เราเดินออกมาจากห้องพร้อมกัน
“ว่าไงเด่น” ยูทักไอ้เด่นที่เฝ้าอยู่หน้าห้อง
“สวัสดีครับคุณยู” ไอ้เด่นผงกหัวปลก ๆ
“บอดี้การ์ดสุดหล่อของฉันล่ะ”
“พี่ธานดื่มอยู่ที่เคาน์เตอร์กับคุณกานต์น่ะครับ” ไอ้เด่นตอบ คำตอบที่ทำให้ยูเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้มเป็นหุบยิ้มจนผมหลุดหัวเราะชอบใจ ผมเดินนำออกมาก่อน เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังมาจากด้านนอกทำให้สัญชาตญาณบอกให้ฝีเท้าต้องทำการชะลอลง
“แม่งเอ๊ย! มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร!!” เสียงไอ้กริดโวยวายดังลั่นสู้กับเสียงเพลงคลาสสิกแสนหรู ผมหยุดยืนพิงกำแพงก่อนที่จะพ้นทางเดิน ตามองไปในส่วนของหน้าร้าน ไอ้กริด ไอ้กาย พร้อมกับลูกน้องของพวกมันกำลังประชันหน้ากับคนที่ผมเพิ่งได้รู้จัก
“ไอ้เต้” ลูกน้องของพี่ทัพ
ดูท่าดวงผมกับมันจะสมพงษ์กัน“ผมขอละครับ” คุณเนลเข้าห้ามกลางด้วยสีหน้าร้อนใจ
“ขอโทษกูเดี๋ยวนี้” ไอ้กริดข่มน้ำเสียงแทบกลายเป็นสบถ
“ฮ่า ๆ ๆ!” ไอ้เต้หัวเราะตอบอย่างยียวน
“หึ” ผมแสยะปากมองอย่างเพลินตา ไอ้ลูกน้องของพี่ทัพคนนี้นี่มันพยศได้ใจจริง ๆ
“ระวังปากหน่อยก็ดีมั้ง คุณกริด” ไอ้เต้พูดเสียงเย็นพร้อมพุ่งตัวเข้าหา คุณเนลเข้าไปยืนขวางกลาง
“ไปตามคุณยูมา” ไอ้กายที่นิ่งกว่าใครสั่งขึ้น
“ไม่ต้อง” ผมห้ามพร้อมดึงตัวยูเข้ามาใกล้ เขายอมหยุดอยู่กับที่อย่างว่าง่าย
“คุณยูพบแขกอยู่ครับ” คุณเนลบอก สถานการณ์สงบลงครู่หนึ่ง ไอ้กายก็เดินเข้าหาไอ้เต้ ทั้งคู่ประชันหน้ากัน ปากของไอ้กายขยับพูดอะไรสักอย่าง ความมืดของร้านทำให้ผมอ่านปากได้ไม่ถนัด
“อ้าว! คุณเนล มีอะไรครับเนี้ย!!” เสียงเฮียกานต์ตะโกนโผล่เข้ามาด้วยน้ำเสียงติดสนุกทักทายคุณเนลอย่างไม่ดูสถานการณ์ใด ผมยิ้มกว้าง เพราะรู้ว่าเฮียจงใจแก้สถานการณ์ให้เป็นไปอย่างนั้น
“ไง..กริด กาย ไม่เจอกันนานเลย มีอะไรให้ช่วยรึเปล่า ?” เฮียแกล้งทักหน้าซื่อตาใส ทุกคนต่างชะงักและเลือกที่จะผงกหัวทักทายเฮียกานต์ตอบโดยง่าย
“ไอ้บ้า” ยูพึมพำว่าเสียงแข็ง ผมกัดฟันกลั้นหัวเราะทำให้ยูมองค้อนและนำมือตีหน้าอกผมเบา ๆ
“เฮียแก..เหมาะกับคุณดีออก” ผมยิ้มกวน การที่ยูยังอยู่ในวงการนี้อย่างเฉิดฉายทั้งที่ก็ทำเรื่องที่เสี่ยงต่อชีวิตตัวเอง หนึ่งเหตุผลที่ปฏิเสธไม่ได้นั่นก็คงเพราะตัวหัวหน้าต่างก็รู้ดีว่ายูเป็นที่หมายปองของเฮีย
.. ผมเห็นเฮียกานต์แอบสะกิดคุณเนลไม่ทันให้ใครสังเกต คุณเนลจึงขอตัวและเดินตรงมาทางพวกเรา
“ฝากด้วย!” ยูกระแทกเสียงบอกงอน ๆ ก่อนเดินกลับทางเดิม คุณเนลที่กำลังจะผ่านไปผงกหัวให้ผมน้อย ๆ แล้วตามตูดยูเข้าห้องทำงานไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“มึงว่า ไอ้เต้เนี่ย มันจะโง่เรื่องผู้หญิงไหมวะ” ผมตั้งคำถามเพื่อฆ่าเวลา
“หรือน่าจะโง่พอ ๆ กับมึง”
“โธ่ นายครับ” ไอ้เด่นบ่นอิดออด
“มันบ้าดีว่ะ” ผมหัวเราะขึ้นจมูก
“แต่บ้าไม่เลือกที่แบบนี้ จัดว่าปัญญาอ่อนไปหน่อย” ผมบ่น
“อยู่กับกู มึงต้องใจเย็นกว่านี้นะ แบบไอ้พวกนี้..กูไม่ชอบ” ผมบอกเรียบ ๆ ไอ้เด่นเพียงขานรับ
“ครับนาย” เท่านั้น เรายืนมองสถานการณ์ด้านนอกสบาย ๆ เพื่อนของไอ้เต้ที่มาด้วยกันซึ่งไม่น่าจะใช่ตำรวจเข้าไปห้ามให้มันใจเย็นลง เฮียกานต์คุยกับไอ้กายอย่างเป็นมิตร ทั้งหมดต่างแยกตัวได้เพราะเฮียแกก่อนที่เฮียจะตามไอ้เต้และเพื่อนออกไปส่งที่นอกร้าน ทั้งที่นั่นไม่ใช่หน้าที่ของเฮียเลยสักนิด
“เก็บมันซะ” ผมมองริมฝีปากของไอ้กายที่ขยับพูดกับไอ้กริด แสงจากบาร์เครื่องดื่มสะท้อนเข้าพอดีด้วยไม่มีใครยืนบังจึงทำให้อ่านริมฝีปากได้อย่างชัดเจน ไอ้กริดยังคงฮึดฮัดโมโหไม่หาย ไม่นานให้หลังทุกคนต่างก็แยกตัวออกจากร้านไปทีละกลุ่ม
พี่ธานโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำฝั่งทิศใต้อย่างกับใครได้คิว สงสัยคงเข้าไปหลบอยู่ในนั้นตั้งแต่เริ่มแล้วละมัง
“หวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้ ยิ้มกว้างทักเฮียกานต์ที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม
“
ไอ้สัส! เห็นหมดแล้วสินะ” เฮียสบถยกใหญ่ พี่ธานเลื่อนเก้าอี้ข้าง ๆ เฮียกานต์ให้ผมได้นั่ง ผมหัวเราะ เท้าแขนลงบนเคานเตอร์พิงไว้ข้างหนึ่งโดยหันหน้าตรงเข้าหาเฮียที่นั่งหันข้างให้ ส่วนพี่ธานยืนเฝ้าอยู่ทางด้านหลังผมอยู่กับไอ้เด่น
“ไม่ใช่เรื่องของเฮียสักหน่อยนี่” ผมแซว
“ไอ้ตำรวจนั่นเลือดร้อนเป็นบ้า เด็กใหม่ใครวะ..ไฟแรงฉิบเป๋ง” เฮียส่ายหัวด้วยสีหน้ารับไม่ได้
“มันจะใจร้อนกันไปไหนว้า อยู่วงการนี้ทำตัวให้มันใจเย็นกันหน่อยเซ่ แล้วไอ้คำพูดที่ว่า ‘มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร’ ก็ควรจะเลิกพูดได้แล้ว แบบนี้..กูถึงได้เบื่อไอ้คนที่เรียกรวมไอ้พวกนี้ว่ามาเฟีย” เฮียถอนหายใจ ยกแก้ววิสกี้ขึ้นกระดกอย่างหงุดหงิด ผมได้แต่ยิ้มมอง ดูท่าเฮียแม่งจะหงุดหงิดจริง ๆ
“White house” ผมเหลือบตาสั่งบาร์เทนเดอร์ที่รอรับออเดอร์อยู่
“..........” อยู่ดี ๆ เฮียกานต์ก็เงียบลงไปซะอย่างนั้น ตากลอกมองไปทางเดินทางด้านหลังที่ไปยังห้องทำงานของยูก่อนเหลือบสายตามองมาที่ผมอย่างจับผิด
“มึงมานานแค่ไหนแล้ว ?” เฮียกานต์ถามเสียงเย็น
“ก่อนหน้าเฮียแป๊บเดียว” ผมโกหกเอาหน้ารอด
“ผมคิดว่าวันชกที่พัทยา เฮียน่าจะได้จากผมไปหลายสิบล้านนะ แบ่งให้เขาไปเท่าไหร่ล่ะ” ผมยกความดีความชอบกลับมาพูด เฮียแสยะปากใส่ เปิดกล่องบุหรี่ขึ้นด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์นัก ผมจึงใช้มือซ้ายที่ไม่ได้พิงเท้าเคาน์เตอร์อยู่หยิบไฟแช็กของเฮียที่วางอยู่ตรงหน้านำไปจุดให้ถึงปากของเจ้าของ
“อมยิ้มหาพ่อมึงเหรอ ไอ้สัสไฟ!” อีกฝ่ายหันมาตวาดซะดัง ปากที่คาบบุหรี่อยู่ก็ปล่อยควันออกมาในขณะเดียวกัน
“หึ ๆ ๆ” ผมก้มหน้าฟุบลงบนเคาร์เตอร์พลางหัวเราะ เฮียกานต์ยังไม่หยุดพึมพำต่อว่า
“เกลียดรอยยิ้มมึงฉิบหาย กูอยากจะข่วนหน้ามึงนัก” ให้ได้ยินกันเท่านี้
“ได้แล้วรึยัง ?” อีกฝ่ายถามด้วยสีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“อะไรครับ ?” ผมถามกลับ ทำเป็นไม่เข้าใจในความหมาย
“.........” เฮียกานต์ไม่ตอบ คีบบุหรี่ออกจากปากพลางกัดริมฝีปากล่างของตนไว้
“กูถามว่ามึงน่ะ ได้ใช้ถุงยางกับ
‘เมีย’ กูไปแล้วรึยัง” เฮียถามย้ำเสียงเข้ม ผมกะพริบตามองเฮียกานต์อย่างเนิบช้า
ปากขยับจะให้ความจริง..“ไม่ต้องตอบ!” เฮียกระแทกเสียงแทรกขึ้น ซึ่งมันทำให้ผมเกือบหลุดหัวเราะได้อีกครั้ง
“เช็ดแม่งเอ๊ย กูมาทำอะไรที่นี่..” อีกฝ่ายสบถบ่นด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ ยัดบุหรี่เข้าปากอีกครั้ง วิสกี้ถูกเสิร์ฟตรงหน้าผม ผมจึงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้เล็กน้อย มือหยิบวิสกี้ขึ้นจิบพลาง ๆ เราไม่มีบทสนทนาอีกเพราะดูเหมือนผมจะทำให้เฮียกานต์ไม่สบอารมณ์เสียแล้ว
“ดูแลให้ดีกว่านี้หน่อยสิครับ ผมอุตส่าห์ไว้ใจเฮียนะ” ผมพูด
“เหลือแต่กราบตีนนะที่กูยังไม่ได้ทำ” เฮียประชดกลับ ผมหันไปยักคิ้วยิ้ม ๆ ให้พี่ธาน พี่เขายิ้มกว้างเช่นกัน ขณะเดียวกันพี่ธานก็เหลือบมองไปทางด้านหลังผมพร้อมผงกหัวน้อย ๆ ผมจึงหันตัวกลับไปมอง ยูเดินออกมาพอดีและตั้งใจตรงเข้าหาพี่ธานทันทีเลย
“พี่ธานยังดูดีเหมือนเดิมเลยนะ” ยูชม มือแตะลงบนปกเสื้อพี่ธานอย่างถึงเนื้อถึงตัว
“คุณยูก็เหมือนกันครับ” พี่ธานยิ้มตอบอย่างสุภาพ
“ขอบคุณ” ยูยิ้มเขิน หันตัวกลับมายืนอยู่ตรงหน้าผมโดยตั้งใจทำเมินเฮียกานต์ที่ร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย
“มีอะไรต้องคุยกันเหรอ ?” ยูถาม ประโยคค่อนข้างกำกวมแต่ฟังดูก็รู้แล้วว่าประชดที่ผมมีเรื่องต้องคุยกับเฮียกานต์
“ก็กำลังคุยว่า คุณชอบผู้ชายแบบไหนกันแน่น่ะ” ผมใส่ไฟเสียเลย
“หึ” ยูหัวเราะในลำคอเล็กน้อย มือจับคอเสื้อผมให้เป็นระเบียบ
“ผู้ชายจิตบริสุทธิ์น่ะ” ยูตอบ
“พรืดดด~ คึ! หึ ๆ ๆ” ผมนำมือปิดปากกลั้นหัวเราะในทันทีเพราะเฮียกานต์นั่งสำลักควันบุหรี่ไปซะแล้ว
“..ทำงานสุจริต” ยูขยายความ ตามองมาที่อกของผมโดยมือทั้งสองข้างยังคงลูบไล้ไปมาอย่างใจเย็น เฮียกานต์กลอกตาไปทางคล้ายกับกำลังระงับอารมณ์ของตนไม่ให้เถียงตอบอยู่
“ผู้ชายธรรมดาที่ไม่โกหก ปลิ้นปล้อน กะล่อน ตอแหล แล้วที่สำคัญ..พูดเพราะหูหน่อยก็ดี” ยูเชิดหน้าพูดอย่างเย่อหยิ่ง
“แต่..แบบไฟก็ได้นะ” ยูฉีกยิ้มสรุปตาวาวจงใจยั่วคนข้าง ๆ ผมนิ่งเฉยเพราะรู้ดีว่ากำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือ
“งั้นไปก่อนดีกว่า” ยูตัดบท ปากเผยอพ่นลมอย่างเบาบางก่อนผลิยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผม
“พอดี...” เขาทิ้งน้ำเสียงลง
“ฉันแพ้ควันบุหรี่น่ะ อ้า ~ Disgusting.” ยูเบะปากเสียงเรียบ สีหน้าขยะแขยงส่งไปทางเฮียกานต์พลางโบกมือขึ้นปัดใกล้กับใบหน้าของตน เดินหน้าเชิดออกไป เฮียกานต์อ้าปากเหวอมองตาม ปากขยับพะงาบ ๆ พูดไม่ออก
“มึงก็สูบไม่ใช่รึไงวะ!” เฮียสบถไล่หลัง เสียงที่ค่อนข้างดังทำให้บาร์เทนเดอร์ต่างหันขวับเป็นจุดสนใจ แต่นึกเหรอครับว่ามันจะไปกระทบต่อมใด ๆ ของยู เจ้าตัวเดินออกจากร้านไปหน้าตาเฉยเลย
“เวรเอ๊ย” เฮียสบถ คว้าแก้ววิสกี้ของตัวเองขึ้นดื่มจนหมด เสียงกลืนดัง
“อึก!” ให้ได้ยิน
“ดัดจริตฉิบ ไม่รู้จะกวนส้นตีนกูไปถึงไหน”
“มันเป็นเกย์ภาษาอะไร วันก่อน..จับนิดจับหน่อย ตบกูซะงั้น!” เฮียหันมาบ่นอย่างอึดอัดใจ พร้อมคำพูดต่อท้ายว่า
“ต่อหน้าลูกน้องกูด้วย” นั้นพึมพำหายเข้าไปเหมือนไม่อยากให้ผมได้ยินถนัด นิ้วของเฮียเคาะลงที่เคาน์เตอร์สองสามทีเป็นการส่งสัญญาณบอกให้บาร์เทนเดอร์เติมเครื่องดื่ม
“อะไรที่อีกฝ่ายไม่ชอบก็เลิกทำซะสิครับ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง เฮียกานต์จึงนิ่งลงได้
“คนแบบเขาไม่มีทางพูดหรอก เฮียก็รู้ เขาเลือกที่จะตายอย่างโดดเดี่ยวน่ะ ก็แค่..กลั้นใจไม่หนีฆ่าตัวตายตัดปัญหาไปซะก่อน ถ้าเฮียไม่เลิกเอง..ชาตินี้ไอ้จู๋เฮียไม่มีทางได้เข้าไปทะลวงร่างกายนั้นอีกรอบแน่ คนละสิบล้านดีไหมครับ ?” ผมเลิกคิ้วชี้แนะ
“มึงนี่ ..น่าหมันไส้จนน่าถีบ” เฮียกานต์หันมาว่าตาขวาง ผมยิ้มกว้าง
“ยกพายุให้กูสิ มึงก็รู้ว่าเตี่ยกูอยากได้คนที่ไว้ใจได้มาคุมท่าเรือที่มาเก๊า แล้วกูก็อยากได้พายุ” เฮียกานต์พูด
“ไม่ให้ครับ” ผมตอบทันที น้ำเสียงเรียบเฉยแต่ก็ยิ้มประกอบให้ เฮียกานต์กวาดหางตามองมา เราจ้องตากันเขม็ง
“นั่นมันลูกหมาของผมนะ” ผมขยายความ เราต่างหัวเราะให้กันในลำคอ
ปัง !!! .. ผมกับเฮียกานต์ผงะมองหน้ากัน เสียงแว่วคล้ายเสียงปืนเงียบไปได้ไม่ถึงวินาที
ปั้ง ! ปั้ง !! ปั้งงง !!!!เสียงปืนดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้สามครั้งติดไม่มีเว้นช่วง ไม่ทันเวลาที่เราจะพูดอะไร ในสมองของผมนึกถึงแต่
“ยู” ที่เพิ่งออกจากร้านไปเท่านั้น ทั้งผมและเฮียกานต์วิ่งปรี่แทบชนสิ่งของที่ขวางทางอยู่เพื่อวิ่งออกไปยังหน้าร้านอย่างเร็วที่สุด
เสียงปืนเงียบหายไปแล้ว ไปพร้อม ๆ กับเสียงมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบท์ ผมกับเฮียกานต์ยืนนิ่ง ตากวาดมองหาบุคคลสำคัญที่ลานจอดรถทางด้านหน้า หวังในใจเพียงว่าจะไม่ใช่คนของเรา แต่แล้วก็พบร่างคุ้นตาพร้อม ๆ กับไอ้เต้ที่กำลังขยับตัวคลานเข้าไปหาร่างนั้น
“ยู !!!” เฮียกานต์อุทานดังลั่น ฝีเท้าและสีหน้าที่วิ่งตื่นอย่างกับคนบ้าที่วิ่งหนีตัวประหลาดสักอย่างที่กลัวที่สุดในชีวิต แต่ครั้งนี้กลับเป็นการวิ่งเข้าหา ฝุ่นตลบโดนใบหน้าพวกเรา เฮียกานต์ทรุดนั่งลงข้าง ๆ ร่างของยู ผมนั่งลงเปิดมือของยูที่จับอยู่ที่เอวของเขาออก
“โทรตามรถพยาบาลสิวะ!” ผมตะคอกใส่ไอ้เต้ที่ทำหน้าถอดสีอยู่ข้าง ๆ มันผงกหัวลุกลี้ลุกลนรับทราบและทำตามที่บอก
“ยะ ยู” เฮียเรียก ประคองร่างกายของยูไว้ มือของเฮียสั่นคล้ายไม่กล้าจับโดนหน้าของเจ้าของร่างกาย
“แค่เฉี่ยวน่ะเฮีย” ผมบอกเพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็น ยูหรี่ตาขึ้นมองเฮียกานต์
“โดนแค่นี้ ทำหน้าพิลึก” ยูหัวเราะมองด้วยใบหน้าอ่อนโยนตามเคย
“ใครทำ..?” เฮียกานต์ถามเสียงสั่น
“ฉันเจ็บนะ เวลานี้..ถามอะไรไม่เข้าท่า” ยูบ่ายเบี่ยงเสียงค่อย
“แม่งเอ๊ย! ใครทำวะ!!” เฮียตะคอกใส่อย่างขาดสติ ดวงตาคล้ายกับจะร้องไห้ สีหน้าร้อนรนแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เสียงคุยโทรศัพท์จากคนข้าง ๆ เงียบไปแล้ว ผมหันไปมองหน้าไอ้เต้เมื่อนึกขึ้นได้ทำให้มันหลบตาทันที
“..มันจะยิงมึง” ผมพูดเสียงเย็นลง
“มันตั้งใจจะยิงมึงใช่ไหม!” ผมพุ่งตัวเข้าหาแต่พี่ธานเข้ามาห้ามผมไว้
“กูไม่รู้! กูขอโทษ!” มันตอบ ตัวเซถอยห่างออกไป
“ไฟ พอเถอะ” ยูเรียกด้วยน้ำเสียงนุ่ม ๆ
“ไปด้วยกัน” ผมลุกขึ้น ไอ้เต้เงยหน้าขึ้นมอง มันดูงงงวยแต่ก็ยอมลุกขึ้นยืนโดยง่าย
“ไฟ ..อย่าไปนะ” ยูบอกเสียงเครือ ผมไม่ได้มองหน้ายูอีก น้ำเสียงนั่นนุ่มนวลเกินกว่าจะมองได้ เฮียกานต์ยังคงนั่งก้มหน้ากอดยูไว้แน่น ฟันที่ขบกัดของเฮียมันเด่นชัดจนผมรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่คิดห้ามผมแน่ มีแต่จะรีบไล่ให้ผมไปอยู่ในใจ เพราะถ้าผมไม่ไปเจ้าตัวก็คงจะทำอะไรสักอย่าง
ไม่ได้มีความผูกพันมากมายกับประเทศนี้อยู่แล้ว ..
นอกจากคนที่นั่งกอดอยู่นั่น...............(ไฟ)..............