ก๊อก ๆ ๆ ...ผมหันไปมองที่ประตูทางเข้าห้อง ยังไม่ทันเอ่ยปากอนุญาตอีกฝั่งหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาซะเฉย พอเห็นคนที่เดินยิ้มหน้าบานเข้ามาก็ได้แต่มองไม่ได้ต่อว่าอะไรออกไป
"เดียร์"..พริตตี้ประจำสนามแข่งของเรา เธอเป็นตัวเก็งและดาวเด่นตัวทำเงินของที่นี่เลยก็ว่าได้
"เห็นพี่ธานบอกว่าวันนี้คุณไฟมาด้วย" เดียร์ยิ้มกว้าง เดินเข้ามาหาพร้อมกับนำแขนเข้ามาคล้องคอผมอย่างสนิทสนม สถานะของเรามันเกินการวางท่าทีกันไปแล้ว ซึ่งถ้าอยู่กันส่วนตัวแล้วเธอไม่ทำอะไรเกินตัว ส่วนใหญ่ผมก็ไม่ได้ว่าปรามอะไร ผมยืนนิ่งยิ้มมอง นำมือคล้องเอวอีกฝ่ายไว้หลวม ๆ
"มีอะไร..วันหลังอย่าเข้ามาแบบนี้สิ" ผมพูดเรียบ ๆ ไม่ได้ต่อว่าหนักอะไรนัก เราสองคนเคยร่วมหลับนอนด้วยกันแล้วสองครั้ง ครั้งหนึ่งนั้นเป็นตอนที่ออกไปต่างจังหวัดกับทีมงานในบริษัทเมื่อสองเดือนก่อน ถัดจากนั้นมาอีกไม่กี่วันก็เกิดขึ้นอีกครั้งและก็ห่างหายกันไป สถานะของเจ้านายและลูกน้องยังคงเหมือนเดิม ผมคิดว่าเดียร์เองก็น่าจะรู้ตัวดีว่าไม่ควรก้าวข้ามเข้ามาหาผมมากเกินจำเป็น ซึ่งตัวผมเองก็ไม่ได้ให้เธออยู่ในสถานะพิเศษกว่าพนักงานคนอื่นแต่อย่างใด การอยู่อย่างไม่ประกาศตัวตนของเดียร์เป็นการอยู่อย่างฉลาด ใช้ชีวิตปกติ วางตัวค่อนข้างดีในหมู่พริตตี้ทีเดียว พริตตี้คนอื่น ๆ จึงไม่ค่อยกล้ามีปัญหาหรือปากเสียงกับเธอนัก
สำหรับผม เดียร์ถือว่าเป็นผู้หญิงที่สวยและหุ่นโดดเด่นกว่าพริตตี้คนอื่น ๆ ในบริษัทของเรา ไม่รู้ว่าวัน ๆ หนึ่งมีคนเข้ามาจีบเธอแล้วกี่คนต่อกี่คน หุ่นเธอเซ็กซี่มากแบบที่ใครเห็นก็ต้องเหลียวหลัง มีอย่างเดียวที่เธอทำมาคือหน้าอก ซึ่งผมว่ามันก็ดูดีไม่ใหญ่จนน่าเกลียดอะไร หน้าอกที่ทำมาจนใหญ่เกินธรรมชาติ ผมบอกตามตรงว่าผมกลัว เวลามีอะไรกับใครจึงค่อนข้างสำรวจหุ่นอยู่พอสมควร เดียร์จัดว่าเป็นผู้หญิงที่รูปหน้าสวย เธอได้ไปทำอะไรมาบ้างผมไม่รู้เพราะถ้าใบหน้าไม่ศัลยกรรมมาจนสุดโต่งผมก็ดูไม่ค่อยออกนัก ใบหน้าของเดียร์จัดว่าเป็นคนที่สวยแปลกตากว่าพริตตี้คนอื่น ๆ สิ่งเดียวที่ผมไม่ชอบคือเธอแต่งหน้าค่อนข้างจัด ผมว่ามันก็คืองานของเธอน่ะนะและมันจำเป็นต้องทำ ผู้ชายที่เข้ามาในสนามของเราก็ต้องชอบของสวย ๆ งาม ๆ กันทั้งนั้น แต่ถ้าให้ถามผมว่าผมชอบมองพวกเธอทั้งหมดไหมก็คงต้องตอบว่า
"ไม่" อาจจะฟังดูตอแหลในสายตาของผู้ชายคนอื่น ๆ สิ้นดี เอาความจริงผมมองจนเบื่อแล้ว ผมอยู่วงการนี้มาพอสมควร เจอพริตตี้มานักต่อนักซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่ตรงสเปกของผม น้อยครั้งมากที่ผมจะถูกใจและนอนกับพริตตี้ นอกจากเดียร์ที่ดูโดดเด่นกว่าพริตตี้คนอื่น ๆ แล้ว นอกนั้นปัจจุบันนี้ผมยังไม่รู้สึกตื่นเต้นอยากทำความรู้จักกับใครอีก มองไปทางไหนทั้งหน้าตาและการแต่งตัวก็ดูคล้ายกันไปหมด บางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าผมอาจจะตายด้านเร็ว ๆ นี้ก็เป็นได้ แต่ก็เปล่า อีกมุมหนึ่งผมยังเห็นว่าเดียร์ยังสามารถทำให้เลือดลมผมสูบฉีดได้อยู่ รูปหน้า หน้าอก ก้น เอว สะโพก..ทุกอย่างมันเว้าโค้งในแบบที่ควรจะเป็น เดียร์เป็นผู้หญิงที่ชอบการขับรถมอเตอร์ไซค์ นอกจากเป็นพริตตี้แล้วเธอยังหลงใหลการขับรถมอเตอร์ไซค์อีกด้วย ดังนั้น..ใครที่เห็นท่าทางและหุ่นของเธอขณะคร่อมมอเตอร์ไซค์เอาไว้ก็เป็นต้องอยากพลีกายเป็นมอเตอร์ไซค์กันเกือบทุกราย เรียกว่าเป็นสินค้าขายดีของสนามของเราเลยละครับ
"ก็คุณไฟไม่ค่อยมาเลย" เดียร์ทำหน้ามุ่ย
"ปีหน้าก็ต้องรับพริตตี้ใหม่เพิ่มด้วย ถ้าเดียร์ไม่รีบทำคะแนน..แล้วเดียร์จะอยู่ยังไงละเนี้ย" เดียร์บ่นอุบอิบ ผมหัวเราะในลำคอเบา ๆ
"ก็ไปทำกับพี่สนสิ" ผมบอกแล้วจับแขนเธอออกอย่างช้า ๆ เพราะอย่างไรคนที่มีสิทธิ์ทุกอย่างเป็นอันดับหนึ่งในสนามนี้ก็คือพี่สนเพียงคนเดียวเท่านั้น
"ก็พี่สนมีแฟนแล้วนี่คะ อีกอย่าง..พี่สนขี้บ่น น่าเบื่อจะตาย" เดียร์ว่าด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมอดขำไม่ได้ ผมที่กำลังจะเดินหนีเดียร์ออกมากลับต้องชะงักในทันทีเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นว่ามีคนแอบฟังอยู่ที่ด้านนอก อยู่ตรงประตูห้อง ผมรักษาท่าที เดินหันกลับไปหาเดียร์อีกครั้ง สายตาเหลือบมองสำรวจไปที่รองเท้าและเงาสะท้อนตรงกระจก ดูจากลักษณะรูปร่างอย่างคร่าว ๆ ก็รู้ในทันทีว่าไอ้ถ้ำมองคนนั้นนั่นคือใคร.."ไอ้กริด"
"อุ้ย" เดียร์ร้องด้วยความตกใจที่จู่ ๆ ผมก็เข้าไปกระชากเอวของเธอกลับเข้ามากอดอย่างกะทันหัน
"ถูกไอ้กริดจีบอยู่รึไง" ผมก้มลงไปกระซิบถามที่ข้างหู เดียร์หลบสายตายิ้มเขินที่ผมดันรู้ทัน
"ค่ะ"
"หึ" ผมก้มลงจูบที่ต้นคอเดียร์เบา ๆ เธอไม่ได้ว่าอะไร เดียร์รู้ว่าผมไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมที่ฉุนเกินไป กลิ่นน้ำหอมจากตัวเธอจึงเตะจมูกอย่างบางเบาเท่านั้น เดียร์นำมือมาจับไหล่ผมเพื่อประคองตัวไว้ ปลายนิ้วของผมจับเส้นผมของเธอละไปทางด้านหลัง อีกมือหนึ่งลูบไล้จากเอวของเธอต่ำลงไปอย่างเนิบช้าจนถึงสะโพก ปากยังคงคลอเคลียอยู่ที่ใบหูอย่างไม่จริงจังอะไรนัก มือที่คลึงอยู่เลื่อนต่ำลงไปถึงก้นอย่างตั้งใจยั่วอารมณ์คนที่ยืนอยู่ด้านนอก
"คุณไฟ~" เดียร์ร้องเสียงเบาเมื่อถูกผมรุกมือหนักขึ้นโดยเลื่อนมือซุกเข้าไปในกระโปรงเพื่อไปบีบแก้มก้นของเธออย่างไม่ต้องการให้มีสิ่งใดมาขวางกั้น เดียร์สะดุ้งกอดผมแน่นขึ้นกว่าเดิม ไม่มีท่าทีขัดขืน เธอเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสายตายั่วยวนทำท่าจะเข้ามาจูบผมก่อน ผมก้มหน้าลงไปแต่ไม่ยอมจูบอีกฝ่ายตรง ๆ ปากแตะลงที่ปลายคางอย่างแกล้งหยอกจนเดียร์หลับตาพริ้มในทันที
แกรก ~ "เอ๊ะ!" เดียร์ร้องหน้าเสีย ผมไม่ตกใจอะไรนัก เราสองคนหันไปมองที่ปากประตู ผมชะงักทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่เปิดประตูเข้ามากลับไม่ใช่ไอ้กริดอย่างที่คิด
"ขอโทษครับ" สมุทรก้มหน้าหนี ผมผละออกจากตัวเดียร์ช้า ๆ เธอรีบดึงกระโปรงลงปิดร่างกาย
"ขอตัวก่อนนะคะ" เดียร์รีบบอกไม่สบตาแล้ววิ่งออกจากห้องไป ผมนำมือลูบต้นคอตัวเองตามองสมุทรที่ยังไม่ยอมสบตาผมตรง ๆ
"คือ..ผมไม่ทันได้เห็น" สมุทรพยายามจะแก้ตัว
"ช่างมันเถอะ" ผมบอก เรามองหน้ากันครู่หนึ่งสมุทรก็เหลือบสายตาหนีไปอีกทาง
"มีอะไร" ผมถาม
"เด่นลืมโทรศัพท์มือถือน่ะครับ" สมุทรตอบแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะกลางห้อง ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีโทรศัพท์มือถือวางอยู่บนนั้นด้วย
"มันใช้นายเหรอ" ผมถาม รู้สึกสะกิดใจนิด ๆ
"เปล่าครับ" สมุทรเลี่ยงตอบ
"วันหลัง ถ้ามันใช้นาย..นายห้ามทำ เข้าใจไหม" ผมพูดเตือน สมุทรพยักหน้านิ่ง ๆ การไม่ขานตอบรับผม โดยพื้นฐานนิสัยของสมุทร สำหรับผมแล้วนั่นหมายถึงเขายังไม่รับทราบร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม
"เข้าใจไหม" ผมย้ำถามอีกครั้ง
"อีกฝ่ายกำลังสนุกอยู่ ผมไม่อยาก.." สมุทรพยายามจะพูดบอก
"ฉันถามว่าเข้าใจรึเปล่า" ผมพูดเสียงแข็งจนสมุทรนิ่งไป
"ครับ" สมุทรพยักหน้า ผมเดินออกมาจากห้อง สมุทรเดินตามหลังมา พี่ธาน ไอ้เด่นและไอ้เข้มเพิ่งกลับเข้ามาจากสนามทางด้านนอก ผมหันตัวกลับไปเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากมือสมุทร อีกฝ่ายมองตามด้วยสีหน้าลำบากใจ ผมมองคาดโทษไอ้เด่น
"ทีหลัง..ถ้าไม่มีปัญญาเดินกลับมาเอาเอง มึงก็ซื้อใหม่ซะ" ผมพูด ไอ้เด่นก้มหน้าก้มตารับโทรศัพท์มือถือของมันจากมือผมไป
"ขอโทษครับนาย"
"เอากุญแจรถมา" ผมแบมือ ไอ้เด่นเงยหน้าขึ้นมองผมหน้าหงอย
"กลับได้แล้วนะ" ผมสั่งพี่ธาน
"ครับ" พี่ธานพยักหน้า
"เอ่อ..นายไม่ให้ผมขับให้เหรอครับ" ไอ้เด่นรั้งผมไว้เมื่อเห็นผมจะเดินออกมา ผมไม่ได้ตอบมันแต่หันไปมองหน้าสมุทรแทน อีกฝ่ายยืนทำหน้าไม่ถูก
"สมุทร" ผมเรียกแล้วเดินนำออกมาก่อนเลย ได้ยินแว่ว ๆ ว่าสมุทรพูดอะไรกับไอ้เด่นสองสามคำก่อนจะเดินตามผมมา ผมให้สมุทรเป็นคนขับรถกลับไปที่บ้านของเขา เสร็จจากที่ผมส่งเขาเสร็จผมก็ขับกลับบ้านทันที วันนี้ต่างคนต่างกลับเร็วหน่อยก็คงดี เพราะว่าพรุ่งนี้เราต้องไปค่ายมวยแต่เช้า เสียเวลามาหลายวันแล้ว..
- - - - - - - - - - - - - - -
7:15 น. บ้านเลิศประสงค์
ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอสมุทรตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปค่ายมวยเรียบร้อย เช้านี้ซัดกล้วยไปแล้วสองลูกซึ่งน่าจะอิ่มไปได้จนซ้อมมวยเสร็จ พี่ธานตื่นแล้วเช่นกัน ตอนนี้พี่เขาเดินทางนำไปที่ค่ายมวยพร้อมกับพวกลูกน้องของผมก่อนแล้ว
"ขอโทษครับ" ผมหันไปมอง สมุทรมาถึงตามเวลาพอดี ตั้งแต่วันแรกที่นัดกันก็ยังไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะมาสายเลยสักครั้ง
"ไปกันเลยแล้วกัน" ผมพับหนังสือพิมพ์แล้ววางลงบนโต๊ะก่อนลุกขึ้น สมุทรมองตามเหมือนมีอะไรจะพูดด้วย
"เอ่อ คือว่า..เย็นนี้ผมขอกลับเร็วหน่อยจะได้รึเปล่าครับ" เขาถาม
"ทำไม" ผมถามกลับ
"ผมต้องไปรับเมฆที่โรงเรียน พอดีว่าดาวมีซ้อมรำถึงค่ำน่ะครับ..ไปรับแทนให้ไม่ได้"
"คงจะไม่ได้" ผมตอบ
"วันเสาร์นี้มีพบผู้ปกครองด้วยนะครับ ผมต้องไปรับใบจากครูที่โรงเรียน" สมุทรยังคงยืนยันเหตุผลของตนเอง
"ไม่ได้หรอก..เพราะกลางวันนี้ฉันตั้งใจไว้แล้วจะเข้าตลาด เสร็จจากนั้นฉันจะพานายกลับมาที่ค่ายอีก..จะได้ดูว่าตอนเช้ากับตอนเย็นเราทำงานกันยังไง ฉันอยากให้มันจบไปวันนี้ไปเลย" ผมบอกถึงเหตุผลของผม สมุทรนิ่งเงียบเหมือนยังคงวิตกกังวล
"เอางี้แล้วกัน..เดี๋ยวฉันให้ลูกน้องไปรับให้" ผมบอก
"ไม่ได้หรอกครับ เค้า..เอ่อ ไม่ไว้ใจคนอื่นน่ะ ผมกลัวว่าเค้าจะไม่ยอมมา" สมุทรพูดหน้าเครียด ผมเงียบลง
"ฉันจะให้พายุไปรับ นายก็โทรบอกครูที่โรงเรียนว่าจะมีคนไปรับแล้วกัน" ผมพูดเองเสร็จแต่สมุทรก็ยังดูไม่สบายใจอยู่ดี
"เห็นอย่างนั้น..พายุเก่งนะ เปิดโรงเรียนศิลปะป้องกันตัวอยู่..ดูแลเด็กเล็กเยอะแยะไปหมด วางใจเถอะ..ฉันจะให้พายุพาเมฆไปส่งให้ที่ค่ายมวยแล้วกัน" ผมบอกสรรพคุณน้องชายตัวเองบ้าง ลูกศิษย์ของพายุตัวเล็กตัวน้อยเยอะแยะไปหมด เวลารวมตัวกันแล้วน่าปวดหัวจะตาย เห็นพายุหน้านิ่งแบบนั้นแต่ก็เอาเด็กอยู่หมัดเหมือนกัน สมุทรจ้องหน้าผมอย่างใช้ความคิดก่อนยิ้มออกมาหน่อย ๆ เหมือนยอมความแล้ว
"ก็ได้ครับ" เขาตอบ
"สี่โมงใช่ไหม ฉันจะได้โทรบอกพายุให้"
"ครับ โรงเรียนเลิกสี่โมงเย็น" สมุทรบอกชัดถ้อยชัดคำเหมือนกลัวว่าคนของผมจะผิดเวลา
"โทรบอกครูที่โรงเรียนไป คนที่จะไปรับชื่อพายุ..พายุ เลิศประสงค์ ถ้าไม่ไว้ใจก็จะขอดูบัตรประชาชนก่อนก็ได้" ผมพูดแล้วเดินนำออกมา เสียงขานรับเบา ๆ จากสมุทรดังตามหลังให้ได้ยิน
"เอากุญแจรถมารึเปล่า" ผมหันกลับไปถาม สมุทรชะงักไปเหมือนไม่เข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร
"มอเตอร์ไซค์น่ะ"
"อ๋อ เอามา" สมุทรพยักห้าตอบ
"ขับตามมาแล้วกัน ลองขับเลย..จะได้ชิน" ผมบอกแล้วเดินนำไปที่โรงรถ สมุทรเดินตามมา เขากวาดตามองรถมอเตอร์ไซค์ของผม ของพี่ธานและของลูกน้องของผมทุก ๆ คันที่จอดเรียงรายอยู่นับหลายสิบคัน ผมเดินไปหยุดอยู่ที่วางหมวกกันน็อกตรวจส่วนของผมกับพี่ธาน เลือกใบใหม่ที่ซื้อมาแต่ยังไม่ได้ใช้ออกมาสองใบก่อนหยิบให้สมุทรไปหนึ่งใบที่คิดว่าน่าจะเหมาะกับเขามากที่สุด
"นายใช้อันนี้ไปก่อนแล้วกัน ฉันซื้อมาใหม่..ยังไม่ได้ใช้" ผมบอก
"ขอบคุณครับ" สมุทรรับไป
"เกือบสองหมื่นนะ ดูดี ๆ หน่อยล่ะ" ผมเตือน สมุทรหันมามองทันที ผมหัวเราะน้อย ๆ ที่เห็นหน้าเขาดูจะตกใจ
"แล้วก็ถุงมือ ฉันวางไว้ตรงนี้แล้วกันนะ..ส่วนหมวกกันน็อกของนาย ถ้าเอารถมาจอดที่นี่ให้เอาทุกอย่างไว้โซนนี้ อย่าเอาไปรวมกับไอ้พวกนั้นเด็ดขาด ปัญหาจะไม่เกิด" ผมเตือนไว้ก่อนเพราะลูกน้องผมทะเลาะกันประจำเรื่องรถ สมุทรหลุดหัวเราะคงเข้าใจในความหมายที่ผมพูดเตือน
"คันนี้" ผมหันกลับไปชี้บอกมอเตอร์ไซค์คันของสมุทร คันนี้เป็นมอเตอร์ไซค์คันที่สองของผม ซื้อสมัยตอนอยู่มัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นสปอร์ตขนาดกลาง รูปทรงของตัวรถขับออกแบบมาให้ขับได้ทั้งทางใกล้และทางไกลได้ ซึ่งรูปร่างอย่างสมุทรสามารถขับได้สบายไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
"โอเคไหม" ผมถามถึง กลัวว่าอีกฝ่ายจะขับไม่ได้เพราะดูจะเกร็ง ๆ
"ครับ" สมุทรพยักหน้ารับ
"เคยขับบิ๊กไบค์มาก่อนรึเปล่า" ผมถาม ลืมไปเลยว่าลืมถาม
"ก็เคยอยู่บ้างครับ" สมุทรตอบ ผมหยิบมวกกันน็อกมาสวม สมุทรเองก็สวมเช่นกัน
"แล้วเคยไปลงเรียนไหม" ผมถามอีกเพราะอยากจะรู้รายละเอียดเพื่อความปลอดภัยของเจ้าตัวเอง
"ไม่เคยครับ" สมุทรตอบ ผมพยักหน้าเข้าใจเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ว่าการลงเรียนคอร์สนั้นก็เป็นพื้นฐานที่สำคัญ
"ไม่เป็นไร..เดี๋ยววันหลังฉันสอน วันนี้ขับไปก่อนแล้วกัน จะได้ชินมือ" ผมบอก
"เอ่อ เกียร์ธรรมดา ขับมีคลัตช์เป็นใช่ไหม" ผมเริ่มระแวง
"หึ พอเป็นครับ" สมุทรตอบยิ้ม ๆ
"หึ..อะไรคือพอเป็น โอเค งั้นขึ้นก่อนเลย" ผมบอกแกมสั่งเพราะจะดูวิธีการทรงตัวของเขาและจะดูการออกตัวด้วย สมุทรพยักหน้าแล้วขึ้นคร่อม
"สตาร์ทไฟฟ้านะ เสียบกุญแจ" ผมบอก สมุทรทำตามที่สั่ง
"น้ำหนักรถสองร้อยกิโลโดยประมาณ เครื่องยนต์ 4 จังหวะ ขนาดเครื่อง 820cc ออกตัวรถอย่ารีดคลัตช์ล่ะ ทำบ่อย ๆ เครื่องยนต์จะเสื่อม โอเคนะ" ผมแนะนำคร่าว ๆ ให้ก่อนเป็นความรู้ คิดว่าเด็กจบเทคนิคอย่างสมุทรน่าจะเข้าใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไว สมุทรพยักหน้าเข้าใจ
"ออกตัวรถให้ดูหน่อย" ผมสั่งเพราะอยากจะรู้ว่าเขาออกตัวรถได้ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งถ้าเขาใช้คลัตช์เป็นและไม่รีดคลัตช์ให้ผมระคายหูก็ถือว่าสอบขั้นต้นผ่าน สมุทรสตาร์ทรถและขับเคลื่อนตัวรถออกไปให้ผมดูระยะทางหนึ่ง เพียงแค่ฟังเสียงการออกตัวรถผมก็รู้ทันทีว่าเขาจะควบคุมมันได้หรือไม่ ซึ่งการออกตัวของเขาถือว่าใช้ได้ แสดงว่ามีความรู้อยู่บ้างพอสมควร
ผมอมยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างพอใจและขึ้นคร่อมรถคันของตนเอง สมุทรหยุดรถรอผมอยู่ที่เดิม เขายังไม่ขับออกไปก่อน ผมชอบวิถีการทำงานในหน้าที่นี้ของเขาเพราะผมแทบไม่ต้องบอกอะไรเลยเกี่ยวกับการวางตัวว่าเขาควรทำตัวอย่างไร อีกฝ่ายดูจะเรียนรู้สิ่งรอบ ๆ ตัวได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเวลาที่เขาทำอะไรก็ดูไม่น่ารำคาญจนเกินไปอีกด้วย
ผมขับรถนำออกมา สมุทรขับทิ้งช่วงจากผมไว้ประมาณหนึ่ง เสียงรถของเราค่อนข้างดังเมื่อขับมาพร้อม ๆ กันแบบนี้ เพียงไม่กี่นาทีถึงที่หมาย ผมขับไม่เร็วเท่าไหร่เพราะแถวนี้เป็นเขตชุมชน เมื่อขับมาถึงค่ายมวย นักมวยที่ซ้อมมวยกันอยู่พากันหันมามอง พวกมันคงสงสัยที่ดันเห็นรถคันโปรดของผมมาพร้อมกันถึงสองคันทั้งที่พี่ธานก็อยู่ที่ค่ายมวยแล้วเรียบร้อย
ผมนำรถไปจอดในที่จอดรถสำหรับมอเตอร์ไซค์ เดินเข้ามาในค่าย ผมหันกลับไปมองสมุทรก็พบว่าเขากำลังสำรวจไปรอบ ๆ ค่ายตลอดเวลา ผมเงียบมอง ปล่อยให้เขาดูได้เต็มที่จนสมุทรหันมาสบตากับผมพอดี เราต่างเงียบมองหน้ากัน
"เปลี่ยนไปเยอะนะครับ" สมุทรอมยิ้มบอก สีหน้าเหมือนนึกถึงความหลัง
"นายเคยมาเหรอ" ผมถามเพราะไม่รู้มาก่อน สมุทรพยักหน้าเล็กน้อยเหมือนไม่ต้องการจะตอบ
"แค่ครั้งสองครั้ง ที่จริง..จำไม่ค่อยได้แล้ว" สมุทรตอบแกมหัวเราะ เขาเบือนหน้าไปอีกทาง เราต่างเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ผมนำกระเป๋าไปวางที่เก้าอี้ข้าง ๆ ประตูทางเข้าออฟฟิศ สมุทรนำมาวางตาม
"ค่ายนี้เป็นสาขาใหญ่ เรามีอีกสองสาขาย่อยคือที่สุขุมวิท แล้วก็ที่สมุทรปราการ..สองที่นั้นส่วนใหญ่รับสอนมวย แต่ที่สาขาใหญ่ นักมวยที่ขึ้นชกให้จะอยู่ที่นี่เป็นหลัก" ผมเริ่มแนะนำรายละเอียด
พ่อขยายค่ายมวยออกไปหลายสาขา มีอยู่ในประเทศไทยทั้งหมด 3 สาขา สาขาใหญ่คือที่นี่ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้บ้านของผมมากที่สุด อาจไม่ได้อยู่ในย่านธุรกิจใจกลางเมืองกรุงเทพอย่างสาขาย่อยอื่น แต่ก็ยังอยู่ในตัวกรุงเทพที่สามารถมาไหนไปไหนได้สะดวกทั่วถึง ผมชอบอยู่แถวนี้มากกว่าอยู่ใจกลางเมืองเพราะแค่ขนาดแถบนี้เองการจราจรก็ยังวุ่นวายบรม
สาขาย่อยสาขาแรก พ่อของผมริเริ่มก่อตั้งมันตั้งแต่สมัยที่พ่อยังมีไฟ สาขานั้นอยู่ใจกลางเมืองย่านสุขุมวิท ส่วนอีกสาขาหนึ่งอยู่ที่สมุทรปราการ ในส่วนของประเทศไทยก็มีอยู่เท่านี้ ส่วนค่ายมวยสาขาที่ต่างประเทศมีแค่ที่ฮ่องกง พ่อของผมเคยเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนที่นั่น ปัจจุบันผมขายหุ้นไปแล้วแต่ยังคงติดต่อกับค่ายที่นั่นและร่วมงานกันมาเสมอ
พ่อของผมได้เริ่มลงทุนและก่อตั้งค่ายมวยที่ฮ่องกงร่วมกับเพื่อนสนิทชาวฮ่องกงที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันอย่าง "ลุงฮาน" ทุกวันนี้ที่นั่นลุงฮานเป็นคนดูแลอยู่ ผมเดินทางไปเยี่ยมแกบ้าง ไปดูงานบ้างเป็นระยะ บางครั้งก็พาลูกน้องไปเที่ยวพักผ่อนด้วย ระหว่างค่ายมวยของลุงฮานที่นั่นกับค่ายมวยของผมที่ประเทศไทย เรายังติดต่อ แลกเปลี่ยนผลัดกันดูแลนักมวยของกันและกันเป็นระยะ
"สาขาใหญ่เป็นที่เดียวที่สอนมวยไทยโบราณด้วย..ศาสตร์มวยลพบุรี มวยพระนคร" ผมเล่าประวัติและที่มาที่ไปอย่างคร่าว ๆ พ่อของสมุทรอย่างลุงยอดเองก็เป็นที่รู้กันดีในวงในว่าแกมีฝีมือเชี่ยวชาญทางด้านศาสตร์มวยคาดเชือกเป็นอย่างมาก ถ้าแกไม่ด่วนเสียชีวิตไปซะก่อนก็คงเป็นครูฝีมือดีอีกคน และผมคิดว่าลูกไม้คงจะหล่นไม่ไกลต้นนักน่ะนะ
"นายก็น่าจะพอรู้ แม่ไม้พวกนี้เราไม่สอนคนนอก" ผมบอก
"ไอ้นนท์..เด่นมวยโคราช ศิษย์เก่าพ่อเกียรติ..สมัยเด็กมันเติบโตที่นั่น" ผมบอกถึงชื่อนักมวยที่เก่งฉกาจทางด้านมวยโคราชคนหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง
"เกียรติ โคราช" สมุทรพูดขึ้น
"ใช่" ผมตอบ ว่าแล้วว่าอีกฝ่ายต้องรู้จัก
"นั่นไอ้นพ..ศาสตร์มวยโบราณ มือดีที่สุดของค่ายเราในตอนนี้" ผมชี้ไปที่ไอ้นพที่กำลังวอร์มร่างกายอยู่ข้างเวทีทางด้านหน้าออฟฟิศ ไอ้นพหันมาเห็นผมพอดี มันรีบยกมือไหว้ทักทาย ผมพยักหน้าให้
"นายล่ะ" ผมหันกลับไปหลอกถาม สมุทรนิ่งไป
"ผมก็เป็นมวยทั่ว ๆ ไป เท่าที่ควรจะเป็นนั่นแหละครับ" อีกฝ่ายหลบหลีกที่จะตอบความจริง ผมไม่ได้ต้องการต้อนเขาแต่ผมเพียงแค่ต้องการความจริง
"ที่บอกพายุว่าจะไม่โกหกนั่นก็โกหกสินะ" ผมอดเหน็บไม่ได้ สมุทรช้อนตามองผมนิ่งอย่างเอาเรื่อง
"ก็คุณกำลังทำในสิ่งที่คุณต้องการนี่ครับ" สมุทรพูดเสียงเรียบชี้แจง ผมอมยิ้มมุมปากน้อย ๆ
"เคยเรียนคาดเชือกรึเปล่า" ผมถาม สมุทรยังคงนิ่ง เขาคงปรับอารมณ์ตามผมไม่ทัน
"ครับ..ก็พอเป็นบ้าง" อีกฝ่ายยังคงเลือกที่จะตอบเหมือนขอปัดประเด็นไปที ผมเลือกที่จะไม่พูดอะไรอีกเพราะของแบบนี้ต้องใช้เวลาเดี๋ยวก็รู้
"โซนนั้น..ที่พักนักมวยทั้งหมด ที่จอดรถของคนในออฟฟิศ เราแยกส่วนกับลูกค้ากันชัดเจน" ผมชี้ไปอีกฝั่งหนึ่งของค่ายมวย
"นี่เป็นออฟฟิศ พนักงานจัดตาราง โปรแกรมทุกอย่าง..ค่ายเราทำงานกันที่นี่ มีปัญหาอะไรติดต่อที่นี่ได้เลย มีเจ้าหน้าที่อยู่ประจำทุกวัน ตรงนู้นเป็นห้องน้ำกับห้องอาบน้ำของนักมวยและเทรนเนอร์ ฝั่งนู้นของลูกค้า" ผมชี้บอกทาง สมุทรมองตามอย่างตั้งใจจดจำ
"ปกติแถวนี้นักมวยจะซ้อม แต่สอนลูกค้า..เทรนเนอร์ เครื่องออกกำลังกายจะอยู่ฝั่งนู้น" ผมชี้มือไปเดินแนะนำไปด้วย สมุทรเดินตามและพยักหน้ารับทราบตลอดเวลา
"มีคำถามไหม" ผมถามกลับบ้าง
"ลูกค้ามากแค่ไหนครับ" สมุทรถาม
"ต่อวันก็ ไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน" ผมตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้กลัวว่าอีกฝ่ายจะเกร็ง ซึ่งบางที่จริงยอดมากกว่านี้ แต่สมุทรก็ยังมีท่าทางนิ่งขรึมเช่นเคย
"ห้องประชุมอยู่ทางด้านหลังออฟฟิศ..อยู่ไปนาน ๆ เดี๋ยวก็คงรู้ดีว่าอะไรเป็นยังไง" ผมบอก
"ครับ"
"พี่นี" ผมหันไปเรียกเพราะเห็นพี่นีเพิ่งมาทำงานพอดี เธอชะงักที่เห็นผมแต่เช้าและรีบยกมือไหว้ ผมกวักมือให้เธอเข้ามาหา
"นี่พี่นี..ส่วนนี่สมุทรครับ" ผมแนะนำ
"สวัสดีค่ะ" พี่นียิ้ม ทั้งสองคนยิ้มทัก ผมหันไปมองหาลุงลอย
"ลุงลอยแกไปไหน" ผมบ่นถึง
"พี่ธาน! ลุงลอยล่ะ" ผมตะโกนถามพี่ธานที่กำลังกระโดดเชือกอยู่กับพวกไอ้เด่น
"ลุงลอย!" พี่ธานตะโกนสุดเสียงเรียกให้ เช้า ๆ แบบนี้ยังไม่มีลูกค้า ส่วนใหญ่เราก็จะอยู่กันแบบง่าย ๆ สบาย ๆ บ้าน ๆ อย่างนี้ละครับ
"ลุง..ลุงลอย! คุณไฟเรียกกกกก!!" พวกลูกน้องของผมพากันช่วยประสานเสียงเรียกซะดังลั่นจนพี่ธานต้องหุบปากเงียบไป ผมหัวเราะ เหมือนพวกมันจงใจจะเรียกแกล้งลุงไปอย่างนั้นเอง ทุกคนต่างพากันยิ้มรับเมื่อได้ยินเสียงลุงลอยขานรับไกล ๆ ว่า..
"เอ้อ!" ในสำเนียงติดถิ่นเกิด ครู่หนึ่งลุงลอยก็เดินมา ผมยกมือไหว้ แกมองมาที่สมุทรด้วยสีหน้าสงสัย สมุทรรีบกยกมือไหว้ทักทายอย่างนอบน้อม
"ลุงครับ..นี่สมุทร ลูกของลุงยอด แล้วก็นี่ลุงลอย จะเป็นคนดูแลนายที่ค่ายนี้" ผมแนะนำทั้งคู่ ลุงลอยเงยหน้ามองหน้าสมุทรไม่วางตา สมุทรยกมือไหว้อีกครั้ง เราสี่คนเงียบลงครู่หนึ่ง ลุงลอยมองสมุทรหัวจรดเท้า