ตอนที่ 16
..ไฟ..6:30 น. บ้านเลิศประสงค์
"นี่รูปความคืบหน้าของค่ายศรไกรครับ" อยู่ ๆ พี่ธานก็ยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าผมที่กำลังซิทอัพอยู่ วันนี้ผมกับพี่ธานตื่นตั้งแต่ตีห้า ออกไปวิ่งด้วยกัน กลับมาซ้อมมวย ตอนนี้ก็วอร์มร่างกายใกล้เสร็จเต็มทีแล้ว
"พี่นี่ เริ่มทำอะไรไม่ต่างจากไอ้เด่นแล้วนะครับ" ผมว่าเรื่องมารยาท พี่ธานยิ้มเขิน
"งานเร็วดีนะ" ผมชม พี่ธานปิดโทรศัพท์มือถือและวางทิ้งไว้ ก่อนนำมือมาแตะที่ขาของผมเหมือนบอกให้ยกสูงขึ้นเพื่อเพิ่มความยากในการฟิตร่างกาย ผมหายใจเข้าและหายใจออกลึกยาวมากขึ้น
"แล้ว..ตำรวจสงสัยอะไรไหม" ผมถามถึงเพราะตั้งแต่วันนั้นมา สมุทรก็ไม่มีท่าทีกังวลอะไรเลย
"ไม่ครับ เรื่องเงียบกริบยิ่งกว่าแม่ค้าในตลาดตีกันซะอีก" พี่ธานพูดแกมประชด ผมหัวเราะขึ้นจมูกอย่างเข้าใจในความหมาย
"วันเสาร์นี้พี่เข้าไปดูที่ค่ายอีกรอบแล้วกันนะ" ผมสั่ง
"ได้ครับ ผมว่ากำลังจะนัดสถาปนิกเรื่องแบบงานพอดี" พี่ธานตอบ ผมพยักหน้ารับทราบ
"วันนี้คุณมีนัดกับป๋าจงนะครับ อย่าลืมล่ะ" พี่ธานเตือนความจำ
"รู้แล้วน่า" ผมพูด
"แล้ว จะให้ผมไปด้วยไหมครับ คุณมีคู่หูใหม่แล้วนี่" พี่ธานอมยิ้มแซว ๆ ผมเหล่มองและหยุดขยับร่างกาย
"ว่าแล้วก็.." ผมเบ้ปากแกมเจ้าเล่ห์ พี่ธานยิ้มมองด้วยสายตาไม่ไว้ใจผมขึ้นมา
"เดี๋ยวผมไปกับหมอนั่นแล้วกัน" ผมยักคิ้วแสยะยิ้มกว้างกว่าเดิม พี่ธานส่ายหัวยิ้ม ๆ
"เป็นรอยยิ้มที่ไม่ซื่อตรงเลยนะครับ พี่หึงผมกับสมุทรก็พูดมาตรง ๆ ก็ได้" ผมพูดกวนพร้อมกับลุกขึ้นนั่งสบาย ๆ เท้าแขนไปทางด้านหลัง
"ถ้าคุณชอบจริง ๆ ก็จีบจริงจังไปเลยสิครับ" พี่ธานพูดตรงประเด็น หย่อนก้นนั่งลงตรงเบาะที่นั่งของเครื่องออกกำลังกาย ผมเงียบ หันไปจ้องหน้าพี่เขา อีกฝ่ายยักไหล่เหมือนกับบอกผมว่า..ผมพูดผิดตรงไหนกัน
".........." ผมอมยิ้มและรักษาความเงียบเอาไว้ ลุกขึ้นยืนเพราะไม่อยากให้เส้นยึดทันทีที่หยุดเคลื่อนไหวร่างกาย พี่ธานมองตามผมตลอดเวลา ผมเดินไปหยุดนำก้นพิงไว้ที่โต๊ะสนุกเกอร์ซึ่งห่างจากตรงที่พี่ธานนั่งอยู่เพียงเมตรสองเมตรเท่านั้น เราต่างมองตากันไม่วางตา ผมเคลื่อนไหวใบหน้าตัวเองไปมาอย่างต้องการใช้ความคิด ที่จริงก็แค่อยากกวนตีนพี่ธานมากกว่าอะนะ
"ขอจูบก่อนได้ไหมล่ะ แล้วค่อยว่ากันทีหลัง" ผมพูดขึ้นเล่น ๆ ไปงั้น พี่ธานหัวเราะขึ้นจมูก
"แค่จูบก็น่าจะตอบได้อยู่ว่าไปต่อได้ไหม" ผมยักคิ้วพลางหุบยิ้มลงทีละนิด
"หึหึหึ" พี่ธานหัวเราะออกมา นำมือลูบท้ายทอยตัวเองแล้วถอนหายใจ
"เขาบอกว่าปากผมสวยด้วย พี่คิดว่าไง" ผมกวนพี่ธานต่ออีก พี่ธานหันมาเลิกคิ้วมองหน้าผมด้วยสีหน้าดูแปลกใจ ผมเลิกคิ้ว พยักหน้าตอบให้พี่ธานด้วยสีหน้าแบบเดียวกันกับพี่เขา เรียกว่าเราชอบเลียนแบบสีหน้ากันมากขนาดแม้กระทั่งคนใกล้ตัวก็ยังเกลียดที่จะเห็นเราทั้งคู่อยู่ด้วยกันนะครับ
"ครับ คุณเป็นผู้ชายที่ปากสวย น่าจูบมากที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา" พี่ธานพูดบอก
"ก็ถ้าคุณไม่ใช่นายน้อยของผมมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่ลูกของคุณท่าน ฐานะเราเท่ากัน แล้วถ้าผมไม่ได้รู้ลึกนิสัยของคุณมาก่อน แน่นอนว่าปากของคุณมีส่วนให้ผมอยากลองจีบคุณดูแน่ ๆ" พี่ธานพูดกวน ทั้งการใช้คำพูดและสีหน้าต้องการกวนตีนผมอย่างเห็นได้ชัด
"นั่นสินะครับ ถ้าผมได้พี่ละก็..มีแต่กำไรเห็น ๆ" ผมแสยะยิ้มมองพี่ธานกลับอย่างไม่ยอมความและไม่รู้สึกใด ๆ ต่อคำกวนอารมณ์ของพี่เขาด้วย
"พี่ก็รู้ว่าผมเซ็กส์จัด แล้วจากที่เราอยู่ด้วยกันมานาน ถ้าพี่กับผมบวกกันขึ้นมาละก็..อารมณ์นี่เรียกว่าขึ้นแบบลงไม่เป็นเลยนะ ตายคาเตียงแน่ ๆ" ผมยักคิ้วเจ้าชู้ให้
"คุณไฟ! หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลยครับ!!" พี่ธานกระชากเสียงอย่างสุดทน ผมหลุดหัวเราะ มากวนผมก่อนเองแต่ดันรับไม่ได้ซะงั้น
"ถ้าคุณท่านมาได้ยิน ได้ฆ่าผมแน่" พี่ธานทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
"ถ้าพายุอยู่ มันต้องพูดว่า..ขอโทษอาป๊าที่อยู่บนสวรรค์ด้วยฮะ ยุดูแลเฮียไม่ดีเอง ฮ่า ๆ ๆ ๆ" ผมหัวเราะอย่างยั้งไม่อยู่ พี่ธานยิ้มคล้ายอ่อนใจ
"ก็เพราะปากคุณเป็นแบบนี้นี่ไงครับ พูดแต่ละคำ ดันตรงกันข้ามกับรูปปากไปซะหมด" พี่ธานบ่น ผมหัวเราะอย่างไม่คิดอะไร นำลิ้นออกมากัดอย่างรู้สึกแปลก ๆ ในความรู้สึกของตัวเอง ถูกชมแกมกัดด่าก็โอเคอะนะ
"แต่ก็นั่นแหละครับ ถ้าสมมุติผมเป็นสมุทร ในสายตาของเขาตอนนี้ คุณคือคนหล่อที่ไม่ควรเข้าใกล้" พี่ธานเลิกคิ้วพูด สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย ครั้งนี้ดูท่าจะจริงจัง
"นี่กำลังจะให้กำลังใจรึเปล่าครับ ผมจะได้ทำหน้าถูก" ผมถามยิ้ม ๆ
"คุณโปรดก็เคยบอกคุณแล้วนี่ครับ ว่าหน้าตาคุณถึงจะดีแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยให้ลดความร้ายกาจบนหน้าให้ลดลงไป ดังนั้น ถ้าอยากจีบเขาให้ติดละก็ ผมก็พอมีตัวช่วยอยู่บ้าง.." พี่ธานยักคิ้ว ทำท่าเหนือกว่า ผมแสยะยิ้ม ครั้งนี้มองพี่ธานแทบแดก
"ผมแนะนำว่า ให้คุณไฟกรุณาเลิกพูดกวนอีกฝ่าย เลิกใช้คำพูดสองแง่สองง่าม" พี่ธานบอก
"สองแง่สองง่าม" ผมขมวดคิ้วเบะปากย้ำคำพูดของพี่ธานพร้อมกับผายมือออกทั้งสองมืออย่างรับไม่ได้ เพราะไอ้สองแง่สองง่ามที่ว่านี่มันเกิดมาเพื่อผมเลยนะครับ
"เวลาที่ชอบใจอะไร ขอให้เลิกแสยะยิ้มแบบที่ผมพร่ำบอกแต่เด็กว่า..ให้ให้คุณเลิก" พี่ธานเริ่มเข้าโหมดคุณพ่อ ผมหัวเราะน้อย ๆ เบะปาก เลิกคิ้วมองพี่ธานอย่างอยากรู้ว่าพี่เขาจะว่าอะไรอีก
"แล้วก็เลิกไอ้นิสัยชอบเลิกคิ้วข้างเดียว ทำตาไม่รับรู้ระหว่างที่ฟังคนอื่นพูดอยู่ด้วยครับ ผมบอกเป็นร้อยครั้งแล้วว่ามันดูเสียมารยาท" พี่ธานว่า
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ" ผมหยุดหัวเราะเพราะเมื่อครู่พี่ธานทำหน้าตาตลกมากจริง ๆ
"หยุดฟังผมให้จบก่อนครับ" อีกฝ่ายทำเสียงเข้ม ผมยกมือขึ้นส่งสัญญาณบอกว่าให้ต่อได้เลย
"ที่สำคัญไปกว่านั้น ขอให้เลิกทำตาเจ้าเล่ห์เวลามองเขาสักที ผมรู้ครับว่าคุณถูกใจเขาน่าดู แต่เพราะแค่หน้าเจ้าชู้ ๆ ของคุณ อีกฝ่ายคงเอือมที่จะเห็นจะแย่ จบครับ..หึหึ ต้องปรับตัวเยอะเลยนะครับท่าน" พี่ธานแสยะยิ้มเจ้าเล่ก์หนักกว่าเก่า ผมเบะปากพยักหน้างึกงักขอผ่านไปที
"พี่น่ะ เริ่มเรียนรู้นิสัยลามปามผมตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะครับ บางทีผมชักเริ่มสงสัย" ผมพูด พี่ธานยิ้มเขิน
"อีกอย่าง ใครจะอยากเกิดมาหน้าตาแบบนี้กัน พี่ก็รู้ ๆ อยู่.." ผมย้อน เรามองตากันนิ่ง สายตาของพี่ธานเริ่มระแวงมองมาที่ผม
"ไม่เห็นความยุติธรรมเลย กับบางคนที่เจ้าชู้หลบใน แต่กลับได้หน้าตานิ่ง ๆ อย่างกับหินอะนะ" ผมว่าเหน็บ
"ขอแนะนำอีกอย่าง.." พี่ธานเอ่ยแทรก
"เชิญ" ผมอนุญาต ประมาณว่า
"ไม่ว่าพี่ธานจะพูดอะไร ผมก็รับได้ทุกอย่าง" "ดูจากน้ำหนักการลงนวมเมื่อวานแล้ว คุณคงต้องหลอกให้อีกฝ่ายยอมโอนอ่อนเองด้วยนะครับ เพราะผมไม่อยากให้พี่ทัพมาเดือดร้อนช่วยปิดคดีนองเลือดของพวกคุณ" พี่ธานพูดติดตลกแต่ผมคิดว่ามันสามารถเป็นเรื่องจริงตามที่พี่ธานเตือนมากกว่า
"ท้าทายจริง ๆ" ผมทำเสียงกระเส่าจนพี่ธานหัวเราะ พี่เขาจ้องผมไม่เลิกเลยเหมือนรอคำตอบอะไรอย่างนั้น
"เซ็กซี่ดีนะว่าไหม" ผมพูดคนละเรื่อง
"ผมหมายถึงไอ้เข้มน่ะ" ผมเบ้ปาก ชี้นิ้วไปที่ไอ้เข้มที่เดินใส่แค่กางเกงบอลออกมาจากด้านหลังห้องน้ำ มันถือตะกร้อติดมือออกมาด้วย
"นายครับ เล่นไหมครับ" ไอ้เข้มตะโกนถาม ผมพยักหน้าตอบส่ง ๆ ก่อนที่ไอ้เข้มจะเดินไปที่ลานด้านนอก ผมเหล่ไปมองที่คนข้าง ๆ อีกครั้งเพราะรู้สึกว่าพี่ธานยังคงจ้องผมอยู่ไม่ยอมไปไหนเลย
"กลัวแห้วเหรอครับ" พี่ธานพูด ผมหันไปมองตรง ๆ กัดลิ้นไว้อย่างเคยชิน
"หึ" ผมหัวเราะขึ้นจมูก
"..ก็แค่" ผมพึมพำนึกคำพูด เท้าเอวพลางเงยหน้ามองไปอีกด้านของโรงฝึก
"หมาหยอกไก่ไปก่อน ถ้าอีกฝ่ายไม่ว่าอะไร..แล้วเดี๋ยวค่อยจีบ" พี่ธานอ่านใจผมทันที ผมมองปรามเพราะอีกฝ่ายพูดได้ตรงประเด็นจนน่าหมันไส้จริง ๆ
"แต่งงานกันไหมครับ" ผมจ้องหน้าพี่ธาน พี่ธานที่ทำหน้าขรึมแกมเจ้าเล่ห์อยู่เมื่อครู่หลุดยิ้ม
"ไม่มีใครรู้ใจผมเท่าพี่อีกแล้วนะ" ผมทำหน้าจริงจัง
"อีกฝ่ายน่ะ เป็นคนที่ใจเย็นนะครับ ใจดี แต่ดูลึก ๆ แล้วนี่ค่อนข้างไปทางเย็นชาเลยล่ะ" พี่ธานเปลี่ยนเรื่องวิเคราะห์ ผมนิ่งฟัง
"ใช่..หึ พี่ก็เห็นเหมือนผมใช่ไหมล่ะ ผมสัมผัสได้ว่าหมอนั่นน่าจะตายด้าน" ผมว่า
"ก็มีด้านที่เหมือนคุณอยู่ไม่น้อยนะ" พี่ธานย้อนยิ้ม ๆ
"ตกลงไก่ตุกติกบ้างไหมล่ะครับ เผื่อผมจะได้เอาใจช่วย" พี่ธานกลับมาแซวเรื่องเดิม
"ไก่ไม่ตุกติกเลย น่าใจหายจริง ๆ" ผมทำหน้าหนักใจ พี่ธานหัวเราะอีกครั้ง
"หยอกไก่แล้วต่างหาก" ผมเบะปากพูดขึ้นโต้ง ๆ อย่างยอมรับนิด ๆ ว่าก็แหย ๆ บุคคลที่กำลังพูดถึงอยู่เหมือนกัน ก็บอกปัดไม่ได้น่ะนะว่าผมถูกใจเขาหลาย ๆ อย่าง พี่ธานหัวเราะอย่างอ่อนใจที่ผมตอบอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้
"เปล่าหรอก ก็แค่..ถูกใจน่ะ" ผมพูดแก้ เรามองหน้ากันครู่หนึ่ง
"ระวังหน่อยก็ดีนะครับ เพราะรักก่อนมักเสียเปรียบ" พี่ธานยักคิ้วเตือน สายตาดูเยาะเย้ยมากกว่าจะบอกเตือนน่ะนะ
"งั้นเหรอครับ" ผมอมยิ้มอย่างไม่สนใจ
"ผมว่า แบบนั้นยิ่งน่าลองไปกันใหญ่ ก็ผมมันได้เปรียบมาเกือบทั้งชีวิตแล้ว" ผมย้อนตอบอย่างไม่วิตกต่ออะไร ว่าไปว่ามาก็รู้สึกตื่นเต้นดีแปลก ๆ
"หึ..คุณนี่มันจริง ๆ" พี่ธานส่ายหัวรับไม่ได้
ถ้าให้พูดตามตรงก็คงเป็นไปตามอย่างที่ผมบอกพี่ธาน การได้รักใครสักคนที่เรารักจากใจจริงมันคงเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดดี ตลอดมาผมรอคนที่จะสามารถทำให้ผมรู้สึกแปลกพิลึกแบบที่ผมต้องการรู้สึกและไม่เคยมีมาก่อนแบบนี้ได้ ประเด็นของผมอาจไม่ได้อยู่ที่อีกฝ่ายจะรักผมตอบหรือไม่ แต่มันคงอยู่ที่เพราะเขาสามารถทำให้ผมสนใจและตกหลุมรักได้ก็แค่นั้น ถ้าเขาคือคน ๆ นั้นโดยแม้ว่าเขาจะรักผมหรือไม่ก็ตาม ผมคิดว่าแค่นี้มันก็สุดยอดแล้ว ตลอดมาผมไม่เคยรู้สึกรักใครจริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่สิ ผมไม่เคยตกหลุมรักใครเลยสักครั้งมากกว่า เคยได้แค่รู้สึกชอบ ได้หลงใหลและมีความเป็นห่วงเป็นใยให้ กรอบสิ้นสุดอยู่แค่ที่ตรงนั้นมาเสมอ ที่ผ่านมาเป็นเพียงความชอบและหลงใหลอย่างผิวเผิน ซึ่งถ้าสมุทรจะทำให้ผมหลงรักได้หัวปักหัวปำขนาดที่พี่ธานอ่านออก การที่ผมจะต้องเสียเปรียบสักนิดสักหน่อยเพื่อให้หัวใจได้ว้าวุ่นดูบ้าง มันคงเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับผมน่าดูชมทีเดียว
ผมกับพี่ธานเดินออกมาพร้อมกับพับขอบกางเกงเพิ่มไปอีกทบหนึ่ง เพื่อให้ขากางเกงล่นขึ้นมา มันจะสบายต่อการเคลื่อนไหวร่างกายมากยิ่งขึ้น เราเริ่มจับกลุ่มเตรียมดวลตะกร้อ ไอ้เด่นอยู่ฝั่งเดียวกับผม ส่วนไอ้เข้มอยู่ฝั่งเดียวกับพี่ใหญ่ของมัน ส่วนคนอื่น ๆ ยังคงออกกำลังกายอยู่ในโรงฝึก พวกเราเล่นตะกร้อจนแทบลืมเวลา จากที่เล่นติดสนุกในตอนแรกก็เริ่มนับคะแนนและต้องการเอาแพ้ชนะ รู้ตัวอีกทีว่าเจ็ดโมงครึ่งแล้วก็ตอนที่สมุทรเดินทางมาถึงบ้าน ดูเขาค่อนข้างแปลกใจที่เห็นผมและลูกน้องอยู่ที่สนามและยังไม่มีใครอาบน้ำเลยสักคนเดียว หลายครั้งผมแอบรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่ผมไม่มีลูกพี่ลูกน้องหรือญาติสนิทเป็นผู้หญิง ไม่อย่างนั้นคงลำบากใจที่จะเลี้ยงดูแน่ ๆ เพราะพวกเราอยู่กันง่าย ๆ แบบนี้จนติดเป็นนิสัย อีกนิดเดียวก็แทบแก้ผ้าต่อหน้ากันอยู่แล้ว
"พอแล้วมึง เดี๋ยวพี่ธานจะแพ้ไปมากกว่านี้" ผมแซว ไอ้เด่นอมยิ้ม เราจับมือกันเพื่อเลิกเกมก่อนแยกย้าย ส่วนไอ้เข้มยังคงเดาะตะกร้อคนเดียวต่อ ผมเดินไปหาสมุทรที่ยืนอยู่ด้านในโรงฝึก
"หวัดดีครับ" อีกฝ่ายทักทายพร้อมกับยิ้มให้นิด ๆ พอนึกถึงคำพูดของพี่ธานเมื่อกี้นี้ปุ๊บ สายตาก็เหไปทางอื่นปั๊บอย่างกับโดนสะกิดต่อมอะไรในใจ
"เดี๋ยวเราต้องออกไปข้างนอก ฉันไปอาบน้ำก่อน" ผมบอก
"ครับ" สมุทรพยักหน้ารับทราบ ผมเดินออกมา ได้ยินพี่ธานกำลังคุยกับสมุทรต่อ ผมกลับขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว เสร็จแล้วก็กินข้าวเช้าต่อคนเดียวเพราะพายุยังไม่ตื่นและไอ้ดินก็ออกไปเรียนตั้งแต่เช้า ประมาณเก้าโมงครึ่งผมเดินทางออกจากบ้าน ไอ้เด่นเป็นคนขับรถอย่างเคย สมุทรเลือกที่จะไปนั่งข้างหน้าด้านข้างคนขับ ผมไม่ว่าอะไรเพราะถ้าเขาเลือกที่จะมานั่งข้าง ๆ ผมโดยที่ผมไม่ได้เอ่ยปากชวน ผมคิดว่านั่นจะเป็นการเสนอหน้าเกินไป ถ้าเขาทำแบบนั้นขึ้นมาจริง ๆ ผมอาจจะรู้สึกไม่ชอบใจและเปลี่ยนใจไม่ชอบเขาทั้งหมดทีเดียว ทั้งที่ ๆ จริงแล้วผมก็อยากให้เขามานั่งด้านหลังมากกว่าน่ะนะ
- - - - - - - - - - - - - - -
11:02 น. ร้านอาหารครัวยิ้ม
"สวัสดีครับป๋า" ผมยกมือไหว้ทักทายป๋าจงที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารอยู่ก่อนแล้ว ผมเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับสมุทรโดยให้ไอ้เด่นเฝ้ารถอยู่ที่ลานจอดรถ ลูกน้องของป๋านั่งแยกอยู่โต๊ะข้าง ๆ กันด้วย
"หวัดดี ๆ นั่ง ๆ" ป๋าจงปัดมืออย่างกันเอง แกเหลือบมามองสมุทรด้วยสีหน้าแปลกใจก่อนหันมามองหน้าผม โดยปกติถ้าผมมาหาป๋า ผมจะไม่ให้ใครเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยนอกจากพี่ธาน
"เอ่อ..ป๋าครับ นี่สมุทรครับ" ผมแนะนำ สมุทรยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม ป๋ายกมือรับไหว้แต่สายตาก็ยังไม่ยอมละจากสมุทรแม้แต่นิดเดียว
"สมุทร ลูกชายของลุงยอดน่ะครับ" ผมขยายความให้ทราบ สมุทรอมยิ้มคงเพราะประหม่าในสายตาของป๋าจงที่มองเขาไม่วางตา ป๋าอมยิ้มมองสมุทรคล้ายเอ็นดู
"นั่งสิ..นั่งด้วยกัน" ป๋ายิ้มบอกแล้วเลื่อนเก้าอี้นั่งลงอีกครั้ง ผมพยักหน้าอนุญาตให้สมุทรนั่งตามที่ป๋าบอก สมุทรรอให้ผมนั่งลงก่อน เขาจึงเลื่อนเก้าอี้นั่งลงตามทีหลัง
"เอาอะไรดี ไวน์ไหม" ป๋าถามผม
"น้ำเปล่าครับ" ผมบอกพนักงานที่เดินมาถึงพอดี
"เราล่ะ" ป๋าหันไปถามสมุทร
"น้ำเปล่าแล้วกันครับ ขอบคุณครับ คือผม..ไม่ดื่ม" สมุทรอมยิ้มน้อย ๆ ด้วยท่าทีเกรงใจ
"หึหึหึ ฮ่า ๆ ๆ!" ป๋าจงหัวเราะออกมาดังลั่น ไม่รู้ว่าชอบใจอะไร ผมส่ายหัวยิ้ม ๆ สมุทรชะงักไปแล้ว
"เหมือนไอ้ยอดไม่มีผิด" ป๋ายิ้มกว้างชี้หน้าสมุทร
"ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่..สมัยเป็นวัยรุ่น มันตามฉันกับพ่อไอ้ไฟไปช่วยเก็บเงินค่าที่ ผู้หญิงชวนมันไปนอนด้วย มันยังไม่ไปเลย! ชอบเข้าวัด เป็นเรารึเปล่าล่ะ" ป๋าพูดจ้อ พยักหน้าให้สมุทรเหมือนเดาในคำตอบ สมุทรไม่ตอบแต่กลับอมยิ้มและเหลือบตาต่ำลงคล้ายกับยอมรับ
"เข้าซ่องเสร็จ ต้องไปเข้าวัดเพราะมัน อั๊วประสาทจะแดก" ป๋าจงกระแทกเสียง ผมปิดปากหัวเราะ สมุทรยิ้มเขิน ๆ
"ได้นึกถึงวันเก่า ๆ แล้วมัน ดีจริง ๆ" ป๋ายิ้มกว้าง
"เดี๋ยวสถาปนิกก็มาแล้ว รอแป๊บนะ..นี่ป๋าสั่งอาหารไปบ้างแล้ว แกสั่งสิไฟ" ป๋าพูดเสียงดังเหมือนจะบังคับกลาย ๆ
"ผมไม่ค่อยหิวอ่ะครับ" ผมบอกป๋า
"สั่งอะไรมากินเล่นก็ได้!" ป๋าไม่หยุดคะยั้นคะยอ แกหันไปกวักมือเรียกพนักงานทันทีอย่างไม่รีรอ ครู่หนึ่งพนักงานก็นำเมนูมาให้ ผมจึงสั่งอาหารกินเล่นไปสามอย่าง ตัดรำคาญป๋าเพราะป๋าเป็นคนนิสัยแบบนี้ ลูกหลานที่รู้จักและรักต้องได้กินดีอยู่ดีเท่านั้น เรานั่งคุยกันเพื่อฆ่าเวลารอสถาปนิกที่กำลังเดินทางมาถึง ส่วนใหญ่ก็คุยเรื่องระหว่างธุรกิจของผมกับป๋าจง หลังจากที่สถาปนิกนำแบบงานของผับมาให้ผมและป๋าจงได้เลือกดู วันกำหนดงาน แจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายเบื้องต้น จัดการทุกอย่างเสร็จก็ปาไปเกือบสองชั่วโมง สถาปนิกก็ขอตัวกลับออกไป ผมอยู่คุยกับป๋าจงแกก่อนเพราะแกคุยติดลมบน กินไปคุยกันไป ส่วนใหญ่ติดที่แกบ่นนู่นนี่ให้ฟังเสียมาก คงเพราะนาน ๆ จะมีคนพูดคุยถูกคอนั่นแหละครับ
"ป๋าอารมณ์ดี ๆ นะครับ" สมุทรชมหลังจากที่เราส่งป๋าจงขึ้นรถกลับออกไปแล้ว
"อืม..พ่อทูนหัวของไอ้พายุมันน่ะ" ผมพูดติดตลกไปอย่างนั้นเพราะพายุค่อนข้างเป็นที่รักของป๋าจงพอสมควร และพายุเองก็รักป๋ามากเช่นกัน
"ดูเหมือน ป๋าจะสนิทกับพ่อของผมมาก" สมุทรพูดขึ้น คำพูดคล้ายคำถามมากกว่า ผมชะงัก
"ก็ไม่เชิง" ผมตอบ ที่จริงผมก็จำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ไม่รู้ว่าพ่อของผม พ่อของสมุทรและป๋าจงสนิทกันมากแค่ไหนอย่างไรก็ด้วย
"ป๋าสนิทกับพ่อของฉันมาก ก็คง..พอได้เจอกันอยู่บ้างละมัง ฉันเอง..ตัวไม่ได้ติดกับพ่อน่ะ รายนั้นไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก ส่วนใหญ่ฉันอยู่กับพี่ธาน" ผมตอบปัด ๆ ไป ความจริงคือลุงยอดตัวติดพ่อผมยิ่งกว่าพี่ธานที่ต้องตามติดผมตลอดเวลาเสียอีก สมุทรพยักหน้าเงียบ ๆ เหมือนเพียงรับรู้แต่ไม่ขอแสดงความคิดเห็นอะไร ผมเองก็ไม่อยากจะพูดให้มากไปกว่านี้ด้วย
"ป๋าแกขี้เหงาน่ะ" ผมเปลี่ยนเรื่อง สมุทรอมยิ้มมองด้วยสายตาไม่เชื่อในคำพูดของผม
"แกมีเมียเยอะ" ผมว่า
"นั่นคือผลกระทบของความเป็นคนขี้เหงาเหรอครับ" สมุทรย้อน
"หึ ฮ่า ๆ ๆ ๆ" ผมหัวเราะ เอาซะยั้งไม่อยู่ สมุทรอมยิ้ม
"ฉันหมายถึง เป็นประเด็นที่แยกกันน่ะ เมียแก..ที่นับได้แบบจริงจังก็ห้าคน" ผมเริ่มเดินกลับไปที่รถช้า ๆ ไอ้เด่นเห็นผมแล้ว มันจึงรีบมายืนรอพร้อมกับสตาร์ทเครื่องเตรียมรอไว้เรียบร้อย
"เมียแกทุกคนแกเปิดเผยด้วยหมด แต่ไม่เคยแต่งนะ..ก็แบบ มีไปเรื่อย ๆ" ผมเล่า
"เมียห้าคน มีลูกด้วยกันทุกคน..ทุกวันนี้ก็ยังดูแลทุกคนดีหมด ทั้งที่บางคนก็ไปมีครอบครัวใหม่แล้ว ป๋าแกเป็นคนเด็ดขาดน่ะ เห็นแกเสียงดังขี้โวยวายอย่างนั้น ตรงกันข้ามแกค่อนข้างใจดี" ผมหยุดเดินเมื่อถึงรถ สมุทรยืนฟังอย่างตั้งใจ
"แต่แปลก ลูกของแกแทบไม่ได้ดีสักคน" ผมพูดพลางถอนหายใจ
"..ทำอะไรก็เจ๊ง ป๋าแกก็ค่อนข้างเขี้ยวกับลูกตัวเองน่ะ ไม่เคยให้เงินง่าย ๆ หรอก ลูกก็เกเรหนีไปนู่นไปนี่ แกก็เลยติดที่จะพูดคุยกับฉันแล้วก็พายุเป็นพิเศษ" ผมเล่าก่อนจะนิ่งมองหน้าสมุทรโดยทิ้งคำพูดไว้ในใจว่า
"ไม่แน่ เดี๋ยวป๋าก็คงจะถูกใจนายด้วยอีกคน" "ไปเถอะ" ผมตัดบทดื้อ ๆ ไอ้เด่นเข้ามาเปิดประตูรถให้ผมอย่างรู้หน้าที่ ผมสั่งให้มันขับรถตรงไปที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ร้านอาหารครัวยิ้มมากที่สุด วันนี้ผมไม่มีนัดที่ไหนแล้ว อยากจะเดินเล่นสักหน่อย โดยปกติผมชอบที่จะกลับบ้าน แต่วันนี้ก็แค่อยากจะอยู่ข้างนอกต่อก็เท่านั้น
"นายเข้าไปก่อนเลย" ผมสั่งสมุทร เขาหันมามองผมเหมือนระแวงที่เห็นผมยืนอยู่กับไอ้เด่นด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ แต่สุดท้ายสมุทรก็ยอมเดินเข้าไปในตัวห้างก่อน