ตอนที่ 22
..ไฟ.."เข้าไปในบ้านก่อนสิหยา" ยายของสมุทรบอกเธอ ตอนนี้สมาธิของผมไปจับจ่ออยู่กับการมาและการไปของแต่ละคนที่ด้านนอก สายตาเหลือบไปมอง เมื่อประตูมุ้งลวดเปิดออกผู้หญิงที่ชื่อหยาก็เดินเข้ามา เธอชะงักมองหน้าผมด้วยความตกใจที่พบว่ามีคนแปลกหน้าร่วมอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย
"หวัดดีฮะ" เมฆยกมือไหว้เธอ ท่าทีดูคุ้นเคย
"สวัสดีจ้ะ" หยายิ้มรับ เธอผงกหัวยิ้ม ๆ ทักทายผม ผมเพียงผงกหัวตอบเล็กน้อย พร้อมด้วยสายตาที่เมินเฉยเพราะไม่ต้องการทำความรู้จักกันเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันสมุทรก็กลับเข้ามาในบ้านพร้อมกับผู้ชายที่ชื่อสูง
"คุณไฟครับ..นี่พี่สูงครับ เป็นลูกของลุงเสือ" เจ้าตัวแนะนำ สูงหยุดยืนมองผมด้วยท่าทีนอบน้อม
"สวัสดีครับ" ผมลุกขึ้นและกล่าวทักกลับพอเป็นพิธี
"สวัสดีครับ" สูงผงกหัวยิ้มกว้าง เขาก้มหัวไว้เล็กน้อยคล้ายกับเกรงใจอะไรอยู่สักอย่าง
"เอ่อ นี่หยาครับ หยา..นี่คุณไฟ เจ้านายผมเอง" สมุทรบอก
"สวัสดีค่ะ" เธอยกมือไหว้ทักทายอีกครั้ง ผมผงกหัวน้อย ๆ เท่านั้น สถานการณ์ดูเกร็ง ๆ ไปกับบรรยากาศการแนะนำตัวที่ไม่เป็นปกติธรรมชาติ
"เรามีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ" หยาหันไปพูดบอกสมุทร
"ได้สิ..งั้นเดี๋ยวขึ้นไปคุยกันข้างบนก็ได้" สมุทรยิ้มนิด ๆ เจ้าตัวดูเกรงใจที่จะพูดคุยตรงนี้เพราะมีผมอยู่ด้วยเป็นแน่
"ขอตัวก่อนนะคะ" เธอหันมาบอกเราทุกคน
"ตามสบายเลย" สูงตอบรับ สังเกตได้จากสายตาแล้วทั้งหยาและสูงน่าจะรู้จักกันมาพอสมควร ผมมองสมุทรที่เดินขึ้นไปบนบ้านพร้อมกับเธอ เมื่อทั้งคู่หายตัวไปแล้วบ้านจึงกลับมาเงียบลงอีกครั้ง
"เอ่อ..ขอบคุณนะครับที่ช่วยเหลือค่ายของเราไว้" จู่ ๆ คนตรงหน้าก็พูดขึ้น ผมหันไปมองหน้าเขาในทันที ด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าสมุทรจะบอกเรื่องนี้กับใครด้วย ทั้งที่ผมกำชับแล้วว่าห้ามเขาปริปาก ผมจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งอย่างไม่คิดจะตอบรับใด ๆ
"ผมเป็นคนเค้นสมุทรเองน่ะครับว่าไปเอาเงินมาจากไหน เกรงว่าเขาจะไปเอามาจากที่ ๆ ไม่ดี"
“หึ..ผมก็ไม่ใช่ที่ ๆ ดีนักหรอก” ผมอมยิ้มมุมปากตอบห้วน ๆ จึงทำให้อีกฝ่ายชะงักไปครู่
“ขอโทษครับ อาจทำให้คุณไม่พอใจ แต่ผมอยากขอบคุณจากใจจริง ๆ” เขาย้ำบอกด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม ผมกวาดตามองอีกฝ่ายหัวจรดเท้าและยังคงนิ่งเฉยไปด้วยความเงียบ
"ไม่เป็นไร..” ผมเอ่ย สูงเงยหน้าขึ้นสบตาผมทันที
“ผมเองก็ดึงนักมวยค่ายคุณมาแบบไม่ชอบธรรมด้วยเหมือนกัน" ผมพูด เขาตัวสูงเท่า ๆ กันกับผม รูปร่างท่าทางแล้วไม่ใช่คนที่ดูไม่เอาไหนอะไร
"เจ้าตัวเป็นคนมีฝีมือ" ผมเอ่ย
"ครับ..มีฝีมือเกินไปที่จะอยู่ค่ายอย่างผม" สูงยิ้มเจื่อนด้วยใบหน้าปนเศร้า ผมนิ่งมองและไม่ปฏิเสธ
"ถ้าผมมีเมื่อไหร่ จะรีบใช้คืนในทันทีเลยครับ" เขาบอก ผมไม่ตอบกลับในทันทีเพราะกำลังใช้ความคิดว่าควรพูดสิ่งใดในสถานการณ์เช่นนี้ ผมไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ เวลาที่เห็นใครตรงหน้ากระทำการใดที่แสดงออกว่าเราควรเชื่อใจ ใจผมมักสะดุดนิ่งและแบ่งเผื่อไว้ 50/50 เสมอ
"ก็ดี.." ผมตอบรับห้วน ๆ ได้เท่านี้ ไม่ใช่ว่าต้องการเงินคืน ผมตั้งใจอยู่แล้วว่านี่จะเป็นการให้แบบให้เปล่า นั่นหมายถึงว่าผมไม่คาดหวังที่จะได้คืนจากสมุทร แต่การตอบรับเช่นนี้ก็เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดว่าเขาจะได้เงินง่าย ๆ จากผมไปเสมอ แน่นอนว่าผมไม่ไว้ใจคนตรงหน้า ผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างไร เขาจริงใจต่อสมุทรแค่ไหน ? สมุทรมีมุมที่โง่บรมมากกว่าที่เห็นหรือเปล่า ? ดังนั้น การให้เงินไปโดยง่ายในครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายก็ได้
"เดี๋ยวยังไง ผมขอตัวก่อนนะครับ..ต้องไปดูแลที่ค่ายต่อ" สูงยิ้มบอก ผมพยักหน้ารับ
"ไปแล้วนะเมฆ"
"หวัดดีฮะ" เมฆรีบยกมือไหว้ สูงหันมาผงกหัวให้ผมอีกครั้งยิ้ม ๆ ก่อนออกจากบ้านไป เสียงร่ำลายายที่นั่งอยู่ทางด้านนอก ผมได้แต่เท้าเอว ตามองไปทางบันไดบ้าน ด้านบนบ้านเงียบมากจนผมไม่ได้ยินอะไร แค่อดสงสัยไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นถึงขนาดต้องพากันไปคุยบนบ้านเลยงั้นหรือ มองแป๊บเดียวก็วิเคราะห์ฉากหลังได้อย่างไม่ยากเลยว่า สองคนนี้ได้เสียกันแล้วอย่างแน่นอน
"นี่.. มืดมน" ผมนั่งลงอีกครั้ง เมฆหันมามอง
“ตกลงชอบชื่อนี้งั้นเหรอ ?” ผมเลิกคิ้วถามด้วยอดกวนไม่ได้ เมฆส่ายหัวหน้ามุ่ยทำเอาผมหัวเราะขึ้นจมูกได้นิดหน่อย
"พี่ชายนายน่ะ เขาพาผู้หญิงมาบ้านบ่อยไหม" ผมถาม คนฟังเงียบไปครู่และจ้องหน้าผมเขม็งเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ ผมสูดหายใจเข้าลึกยาวเพื่อคิดประโยคที่ให้เด็กฟังแล้วเข้าใจง่ายที่สุด คุยกับเด็กนี่มันเลือกใช้คำยากจริง ๆ นะครับ
"ฉันหมายถึง ผู้หญิงน่ะ ? นอกจากพี่หยาของพี่ชายนายแล้ว..เขาเคยพา คนอื่น มาบ้าน อีกไหม" ผมอธิบายเน้นเป็นคำ ๆ เมฆนั่งนึก ซึ่งเป็นการนึกที่ค่อนข้างยาวนานมากจนผมชักเริ่มมีอารมณ์
“ตอบเร็ว ๆ สิวะ” ผมเร่ง
"..ไม่เคย" เมฆส่ายหัวตอบ
“ไม่เคย ‘ครับ’ สิ!” ผมขมวดคิ้วเตือน อีกฝ่ายเหสายตาลง
“..ครับ” มันเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงค่อยเบาลงไปในลำคอ ก่อนจะตั้งใจทำการบ้านต่อ ผมเอนหลังพิงเก้าอี้ ไอ้ที่บอกว่าไม่เคยน่าจะวิเคราะห์ออกไปได้หลายประเด็น “หนึ่ง”..สองคนนี้รักกันมาก “สอง”..ให้เกียรติและเป็นห่วงครอบครัวจึงไม่ค่อยพาสาวมาบ้าน แต่กรณีพาออกไปนอกบ้านอันนี้มองไม่เห็นจึงถือว่าไม่นับอยู่ในกรณี “สาม”..ไม่นอกลู่นอกทางเรื่องใต้สะดือ หรืออาจมีความหมายอื่น ๆ อีกแต่ไม่ขอวิเคราะห์ต่อแล้วกัน
เวลาผ่านไปเกือบ ๆ ครึ่งชั่วโมงที่ตั้งแต่สมุทรและหยาขึ้นไปบนบ้าน ผมเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ ไม่ใช่เพราะสงสัยว่าสองคนนั้นขึ้นไปบนบ้านทำไม แต่รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ผิดที่ผิดเวลา เจ้าของบ้านที่เป็นลูกน้องของผมที่ดูไม่ค่อยสนใจผมนัก หากเป็นลูกน้องคนอื่นไม่มีทางกล้าปล่อยผมทิ้งไว้แบบนี้แน่ ระหว่างที่นั่งอยู่มีคำถามผุดขึ้นมาตลอดว่า
"ควรนั่งอยู่ต่อ" หรือ
"กลับออกไปดี" คิดไปคิดมาแบบที่หาจุดจบและคำตอบไม่ได้ เวลาได้ล่วงเลยมาทีละนิด ถ้าผมยังเลือกที่จะอยู่ต่อจนถึงอาหารมื้อเย็นและถ้าผู้หญิงคนนี้อยู่ร่วมโต๊ะด้วย บรรยากาศมันจะโอเคหรือไม่ มันผิดจังหวะก็ตรงที่ผมดึงดันที่จะเข้าบ้านสมุทรมาเองเสียแต่แรกและดันมารู้สึกแปลก ๆ เวลาที่มีคนไม่คุ้นเคยมาร่วมหายใจด้วย ก่อนหน้านี้ก็ทราบดีว่าเจ้าของบ้านไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่นักหรอก
..การคิดวกไปวนมา สุดท้ายผมก็เลือกที่จะนั่งอยู่ต่อ รู้สึกเหมือนเก้าอี้มันดูดก้นผมไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น อยากรู้ว่าผู้หญิงคนที่ชื่อหยามีลักษณะนิสัยอย่างไร สนิทกับคนในบ้านหลังนี้แค่ไหนและคำถามอีก ฯลฯ ดาวเข้า ๆ ออก ๆ ระหว่างหน้าบ้านกับหลังบ้านเป็นระยะ เธอวุ่นกับการจัดเตรียมอาหารและคอยสอบถามผมเป็นตลอดด้วยความเป็นห่วงและเกรงใจ ผมนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือไปพลางและสอนการบ้านเมฆไปด้วยจนหยาเดินลงมา เธอหยุดยืนมองมา ผมยังคงทำเมินแกล้งว่าไม่ได้ยินและไม่เห็นอะไร
"ขอตัวกลับก่อนนะคะ" หยาพูดขึ้นทำให้ผมต้องละสายตาจากโทรศัพท์ขึ้นมองเธอ อีกฝ่ายฉีกยิ้มให้นิดหน่อย เมื่อเราสบตากันเธอก็หลบสายตาผมไปในทันที
"ดาว..พี่หยากลับแล้วนะ" เสียงตะโกนจากสมุทรทำลายความเงียบนี้ลงไปได้ เขายืนหยุดอยู่ตรงปากประตูกลางบ้านที่แบ่งระหว่างหน้าบ้านและทางเข้าครัว
"ค่า!" ดาวส่งเสียงตอบ เสียงวิ่งดังตามติดมาทันที
"กลับแล้วเหรอคะพี่หยา ไม่อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนเหรอ ดาวหุงเผื่อไปแล้วนะเนี่ย" ดาวถามด้วยสีหน้าผิดหวัง
"พี่ต้องเข้าเวรน่ะ เอาไว้คราวหน้านะ" หยายิ้มบอกแล้วเข้าไปลูบหัวดาวเบา ๆ
"พี่ไปแล้วนะเมฆ" เธอหันมาลา เมฆผงกหัวยกมือไหว้อีกครั้ง สงสัยว่าที่บ้านคงเห็นว่าไอ้เด็กนี่พูดไม่ค่อยเป็น เลยสอนให้ไหว้ดะเอาไว้ก่อนลูกเดียว ช่างเป็นการปลูกฝังความมืดมนอะไรเช่นนี้
"กลับก่อนนะคะ" หยาผงกหัวให้ผมอีกครั้ง ผมผงกหัวตอบ เธอออกไปใส่รองเท้าที่หน้าบ้าน สมุทรเดินตามหยาไป เขาเดินผ่านผมโดยก้มหัวให้ผมเล็กน้อย เสียงคนข้างนอกพูดคุยร่ำลากัน เมื่อเสียงเงียบลงไปแล้วผมจึงเดาได้ว่าสมุทรคงเดินออกไปส่งเธอ ประมาณห้านาทีให้หลังเขาก็กลับเข้าบ้านมาอีกครั้ง..
"ขอโทษด้วยนะครับ" สมุทรบอก ผมไม่ตอบ เพียงช้อนสายตาไปอีกทางเท่านั้น มืดกดปิดหน้าจอโทรศัพท์แล้ววางมันไว้บนโต๊ะอย่างเก่าเพราะความจริงมันหมดประโยชน์มานานแล้ว
"ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าบอกคนที่ค่ายน่ะ" ผมเปลี่ยนเรื่อง รู้สึกคาใจเรื่องนี้ที่สุดมาได้ครู่ใหญ่ ๆ ผมไม่ชอบให้ใครขัดคำสั่งเรื่องงาน ไม่เว้นใครทั้งนั้น
"ขอโทษครับ" อีกฝ่ายชะงัก เหสายตาลงต่ำ
“ฉันจะเตือนความจำไว้อย่าง..” ผมเอ่ย อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมอง เมฆหยุดทำการบ้านลงดื้อ ๆ
“ไม่ว่ายังไง สถานะของฉันก็ยังเป็นเจ้านายของนาย” ผมเตือนเสียงเย็น ใช่ว่าผมล้ำเส้นในบางส่วนของชีวิตเขาเกินกว่าเจ้านายและลูกน้อง แต่เรื่องงานเขาไม่ควรล้ำเส้นในส่วนที่ผมไม่อนุญาต ทำงานอยู่กับผมเขาจำเป็นต้อยแยกแยะให้ได้ว่าเรื่องไหนที่ผมชอบ และเรื่องไหนที่ผมไม่ชอบ
“.........” สมุทรยืนเงียบ เขาแทบไม่ขยับตัวและไม่มองหน้าผมอีก
"ถ้านายเชื่อใจคนพวกนั้น..ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร ที่ฉันไม่ให้บอก..เพราะเงินสามารถทำให้คนบางคนตอแหลได้อย่างไม่น่าเชื่อ” ผมพูดเรียบ ๆ เมื่อเขามองมาผมจึงจ้องสบตาอีกฝ่ายเขม็ง
“ถ้านายไม่ปกป้องตัวเอง มันก็เรื่องของนาย”
“ซึ่งถ้านายชอบวัดใจ.. ฉันเองก็ชอบเหมือนกัน” ผมจงใจพูดกวนพลางอมยิ้มมุมปากเล็กน้อยเพื่อเตือนเขาเป็นนัยยะ สองสิ่งในชีวิตที่ผมได้พบเจอมาตั้งแต่เด็ก สองสิ่งที่วงการนี้ทำให้ผมเห็นว่าคนเราสามารถเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาได้ สันดานที่เก็บซ่อนไว้เบื้องลึกนั้นแตกออก คือหนึ่ง “ความตาย” และสองคือ “เงิน”
"ครับ ผมเข้าใจ ขอโทษด้วยครับที่ขัดคำสั่ง" สมุทรพยักหน้ารับด้วยใบหน้าสำนึกผิดและไม่มีคิดที่จะตอบโต้ผมอีก
"ช่างมันเถอะ" ผมปัดไปที เพราะถือว่าได้พูดในส่วนที่ควรพูดแล้ว
"เดี๋ยวผมขอตัวไปช่วยดาวทำกับข้าวดีกว่า จะได้เสร็จเร็ว ๆ" เขาบอก ผมพยักหน้าส่ง ๆ อนุญาต สมุทรเดินเข้าครัวไป
“คำว่า ‘ตอแหล’ น่ะ พี่นายใช้บ่อยไหม ?” ผมถามเมฆ อีกฝ่ายมองมาก่อนส่ายหัวแทนคำตอบ
“หึ..งั้นเหรอ โทษทีแล้วกัน” ผมเบะปากไปที รู้อยู่แล้วล่ะว่าไม่น่าจะมีคำ ๆ นี้หลุดออกมาจากคน ๆ นี้ได้
พ่อของผมเคยบอกว่าพ่อและแม่ของสมุทรเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน ประหยัดมัธยัสถ์ ซึ่งผมว่าของแบบนี้เป็นเรื่องยากที่จะสอนให้เป็นเหมือนต้นแบบอย่างพ่อและแม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มได้ การปลูกฝังของครอบครัวก็มีส่วนอยู่ แต่โดยรวมแล้วการที่คนเราจะเป็นอย่างไรมันก็ปัดไม่ได้ว่าวัดกันที่สิ่งที่นำติดตัวมาก่อนเกิด ที่ถึงแม้สิ่งแวดล้อมจะพร่ำบอกให้คนเราใฝ่ดีหรือใฝ่ต่ำให้ตาย สันดานดิบก็จะสอนให้เขาเลือกที่จะไม่เป็นไปตามสิ่งนั้น ๆ ผมเชื่อเรื่องที่ว่าการมาเกิดของคน ๆ หนึ่งในครอบครัวหนึ่ง มันมีเหตุมีปัจจัยแบ่งอยู่ 50/50 เพื่อการคัดเลือกให้คนเราได้เกิดมาในครอบครัวที่มีพื้นฐานเหมือนตนเอง ผม พายุ ไอ้ดินหรือพี่ธาน แม้จะไม่ได้เกิดมาในท้องแม่เดียวกัน แต่เมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันจึงไม่ได้มีพื้นฐานแตกต่างสุดโต่งไปจากต้นตระกูลนัก สมุทร ดาวหรือว่าเมฆก็ไม่ได้แตกต่างไปจากผู้ให้กำเนิดพวกเขาเลยเช่นกัน
..ระหว่างการนั่งรออยู่ที่โต๊ะ ผมและเมฆส่วนใหญ่ใช้กระแสจิตคุยกัน เพราะส่วนตัวผมก็ขี้เกียจขยับปากและขี้เกียจเลือกคำพูดมาใช้ด้วย ให้หลังประมาณครึ่งชั่วโมงอาหารก็เสร็จพร้อมตั้งโต๊ะ บรรยากาศของบ้านนี้ยังคงเดิม ๆ อย่างที่ผมเคยสัมผัสได้ก่อนหน้า เป็นครอบครัวที่อบอุ่นคนละแบบกับครอบครัวของผม หลังจากที่กินอาหารเสร็จทุกคนช่วยกันยกจานชามเข้าไปเก็บ ผมนั่งคุยกับยายสมุทรเป็นเพื่อนจนดาวเสร็จธุระออกมา เธอก็ขอตัวลาผมเพื่อพายายขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นบน
“ยายนายก็ไม่ค่อยดีแล้ว ทำไมไม่ให้นอนข้างล่างล่ะ” ผมถาม
“เคยมีงูเข้ามาในบ้านน่ะครับ ตอนนั้นผมไม่อยู่..ดาวกลัว” สมุทรที่กำลังทำความสะอาดโต๊ะอยู่เงยหน้าขึ้นตอบผม
“..แต่ยายไม่กลัวหรอกครับ” เขาขยายความยิ้ม ๆ พร้อมก้มหน้าเช็ดต่อ ผมหลุดหัวเราะ อีกฝ่ายเหลือบมองมาและยิ้มกว้างจนเห็นฟัน ผมได้แต่จ้องมอง หลายครั้งที่ผมปัดไม่ได้ว่าผมละสายตาจากรอยยิ้มนี้ของเขาได้ยาก เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ซื่อตรงจนแทบหาความเลวร้ายไม่พบเลยจริง ๆ นั่นคงเป็นเสน่ห์ของเขาละมัง
“ติดมุ้งลวดให้แล้วแต่ดาวก็ยังกลัวอยู่ดี” สมุทรพูดแกมบ่น
“ดาวนอนกับยาย ?” ผมถาม
“ครับ..เมฆด้วย” สมุทรตอบ พร้อมนำผ้าที่เพิ่งเช็ดโต๊ะเสร็จไปใส่ตะกร้า
“เมฆเป็นภูมิแพ้น่ะครับ ข้างบนสะอาดกว่า” อีกฝ่ายพูดก่อนหยิบผ้าอีกผืนหนึ่งที่สะอาดกว่าผืนก่อนมาเช็ดมือซ้ำอีกครั้ง
"พี่สมุทร" เมฆเดินมาในมือถือแผ่นกระดาษโบรชัวร์
"หือ ?" สมุทรหันกลับไปมองพร้อมหยิบโบรชัวร์ออกจากมือของเมฆไปดู ผมเห็นว่านั่นเป็นโบรชัวร์คอร์สเรียนกังฟู อีกทั้งยังเป็นของโรงเรียนพายุอีกด้วย เมื่อสมุทรอ่านเสร็จเขาก็เหลือบสายตามามองผมเล็กน้อย
“สาบานได้ว่า ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น” ผมอมยิ้มพูดดักคอก่อนเลย ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าไอ้มืดมนไปได้โบรชัวร์แผ่นนั้นมาจากที่ไหน
"ทำไมครับ" สมุทรยังเฉย เขาละสายตาจากผมแล้วก้มลงถามเมฆ
"เมฆอยากเรียน" เมฆตอบ
"ไม่ได้" สมุทรตอบพร้อมกับคืนโบรชัวร์ไปให้
“มาก็เรียนครับ” เมฆพูด แต่พี่ชายของมันยังนิ่งเฉยด้วยใบหน้าขึงขัง
“พี่บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้สิ” สมุทรย้ำไม่มองหน้าใคร
"ทำไม ก็เรียนไปสิ..ถ้าเรื่องเงินละก็เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง" ผมพูดแทรก
"ไม่ได้ครับ" สมุทรย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทำเอาเมฆหน้าหงอยลงชัดเจน
"ขึ้นไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้อ่านหนังสือแล้วเข้านอน" สมุทรก้มลงอุ้มเมฆขึ้น
"ลาคุณไฟก่อน" เขาสั่งพร้อมหันตัวให้เมฆหันหน้ามาทางผม เมฆยกมือไหว้ผมน้อย ๆ ไม่ยอมเงยหน้ามามอง ดูท่าจะงอนพี่ชายตัวเองซะแล้ว สมุทรอุ้มเมฆพาไปส่งที่ตีนบันได พอเมฆขึ้นบ้านไปแล้วเขาจึงเดินกลับมาและนั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้าม ไม่ไกลจากผมนัก
"ทำไมถึงไม่ให้เรียน ฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรเสียหายตรงไหน" ผมถามเรื่องเดิม
"อย่าพูดเรื่องนี้เลยครับ" สมุทรปัด
"พายุสอนดีนะ ในประเทศไทยมีโรงเรียนสอนกังฟูสักกี่โรงเรียนกันเชียว" ผมว่า
"ถึงไม่เรียน น้องผมก็ยังมีชีวิตปกติสุขดี" สมุทรย้อนทันที คำพูดฟังประชดประชันติดปลายเสียงอยู่นิดหน่อย
"แต่บางครั้งมันก็จำเป็น.." ผมย้อนอย่างไม่ยอมความเช่นกัน
"นายปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามันจำเป็น" ผมประชดกลับบ้าง พลางอมยิ้มมุมปากตอบให้
"ถ้าไม่จำเป็น คงไม่เทียวไปซ้อมอยู่ทุกวัน ..ใช่ไหมครับ ?" ผมเลิกคิ้ว
"หยุดพูดได้แล้วครับ แล้วก็เลิกทำหน้าตาเหมือนรู้อะไรไปหมดสักที" อีกฝ่ายว่า
"งั้นเหรอ" ผมตอบด้วยน้ำเสียงแหบ ๆ อมยิ้มพลางกวาดตามองอีกฝ่ายด้วยรู้สึกชอบใจในคำพูดเชิงว่าปรามเมื่อครู่
"ฉันว่าเป็นเรื่องที่ดีนะที่น้องนายสนใจอยากจะเรียน คนเราก็ต้องมีเรื่องที่สนใจเป็นพิเศษกันบ้าง โดยเฉพาะกับน้องนายแล้วยิ่งควรสนับสนุนไปกันใหญ่” ผมเบ้ปากพูด คนตรงหน้านั่งฟังเงียบ ๆ
“ดูหน้าหมอนั่นสิ ..ซื่อบื้อออก" ผมพูดว่าอย่างจงใจ ทำเอาสมุทรทำท่าเหมือนจะอมยิ้มออกมาแต่ก็ไม่ยิ้มออกมาตรง ๆ ซะทีเดียว ทำไมผมถึงมองว่าคนตรงหน้ามีปฏิกิริยาที่น่าแกล้งอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ทราบ
"เรื่องหน้าตาก็มีผลทำให้คนอื่นเข้าใจผิดกันได้ เป็นธรรมดาของมนุษย์โลกที่กล้าเหยียบคนที่ภายนอกดูอ่อนแอกว่า..ขนาดฉันยังชอบเลย" ผมยักคิ้ว เอนหลังพิงสบาย ๆ พูดให้ฟัง อีกฝ่ายส่ายหัวยิ้ม ๆ
“มีอำนาจก็ใช้! ทางที่ดีบ้าง..ไม่ดีบ้าง มีกำลังก็อยากแสดง..วางท่า โอ้อวด เสร่อ มีปากก็ต้องพูด..เรื่องดีบ้าง เรื่องจังไรบ้าง พูดทำให้คนอื่นเจ็บปวดต้องมีเยอะกว่าพูดเรื่องที่มีความสุขอยู่แล้ว ก็มันสนุกปากนี่นะ..เป็นธรรมดา” ผมพูดเพ้อเจ้อไปเรื่อยด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ
“คุณไฟครับ” สมุทรเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม ผมอมยิ้มมุมปากมองเขาและยอมเงียบลง เราต่างนั่งอยู่ในความเงียบร่วม ๆ ห้านาที อีกฝ่ายนั่งสงบเสงี่ยมคล้ายรอให้ผมเป็นฝ่ายออกคำสั่ง
"ตอนที่พายุไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนระยะสั้น ๆ ที่อเมริกา สมัยมัธยมต้น..” ผมเล่าถึง เงยหน้ามองเพดานพร้อมถอนหายใจเมื่อต้องนึกถึงความหลัง
“มันถูกรุ่นพี่เจ้าถิ่นที่นั่นหาเรื่อง เพราะว่า..ผู้หญิงอเมริกันที่คุณครูสั่งให้ดูแลมันน่ะดันเป็นดาวเด่นในหมู่โจร แล้วเธอก็ติดพายุแจ” ผมเล่าปนหัวเราะ สมุทรอมยิ้มนิด ๆ
“พายุน่ะ น็อกฝรั่งตัวใหญ่กว่าด้วยมือเปล่าทีเดียวหลายคนกลางสนามบาส กลายเป็นฮีโร่ของเพื่อน ๆ ที่ฉันต้องรีบให้ทำเรื่องกลับประเทศไทยแทบไม่ทัน ฉันที่เป็นพี่..ดุด่ามันว่ามึงไม่ควรทำแบบนี้ แต่ในใจกลับรู้สึกภูมิใจกับมันสุด ๆ” ผมแสยะยิ้ม สมุทรหลุดหัวเราะ
“ใช่แล้ว..ไอ้ซื่อบื้อนั่นมันน้องชายฉันเอง อะไรทำนองนั้น" ผมพูดติดตลกไปที เมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มผมจึงเงียบลง
"เดี๋ยวฉันให้คนมาติดแอร์ให้นะ" ผมเปลี่ยนเรื่อง
"ตอนกลางวันไม่ร้อนตายเลยเหรอ" ผมบ่น รู้สึกว่าตรงนี้เพิ่งจะมาเย็นก็ตอนช่วงเย็น ๆ นี่ล่ะ คิดว่าตอนกลางวันคงร้อนระอุมากเป็นแน่
"พวกผมอยู่กันได้ครับ" สมุทรพูด คิ้วของเขาเริ่มขมวดเข้าหากันนิด ๆ
"เดี๋ยวฉันให้คนมาติดแอร์" ผมย้ำคำเดิม
"ไม่ครับคุณไฟ อย่ามาทำอะไรไม่เข้าท่า"
"ตอนกลางวันยายนานจะได้อยู่สบาย ๆ" ผมอ้าง ครั้งนี้สมุทรเงียบทันที
"ขอบคุณนะครับ..แต่ผมบอกว่าไม่เอาก็ไม่เอาสิครับ อย่าทำให้ผมลำบากใจได้ไหม" สมุทรส่ายหัวน้อย ๆ เขาไม่ยอมมองหน้าผมเลย
"งั้นติดเฉพาะข้างล่างนี้ก็ได้ เผื่อให้น้อง ๆ นายได้ทำการบ้าน อ่านหนังสือเย็น ๆ อยากเปิดเมื่อไหร่ก็เปิด ไม่เปิดมันก็ไม่ได้ร้องขอข้าวกินสักหน่อย" ผมบอก
"ตามนั้นนะ" ผมสรุปให้ อีกฝ่ายถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ผมนั่งเงียบมองหน้าเขา สมุทรเองก็เงียบด้วยเช่นกัน อีกฝ่ายหันหน้าไปทางอื่นอยู่พักหนึ่ง พอหันกลับมาก็สบตาเข้ากับผมที่จ้องเขาอยู่ก่อนหน้าแล้วพอดี สายตาที่จ้องตอบมาทำให้ผมหลุดอมยิ้มมุมปากด้วยรู้สึกชอบใจ ผมจับจ้องมองอยู่อย่างนี้จนคนตรงหน้าเหสายตาไปทางอื่น
"จะกลับรึยังครับ" เขาถามขึ้น
"ไล่เหรอ ?" ผมถามกลับห้วน ๆ
"ครับ..เจ้านายมาขลุกอยู่บ้านลูกน้องแบบนี้ เหมาะควรแล้วเหรอครับ" สมุทรหันกลับมามองตอบเอาคืน
"ก็เหมาะกว่าพาผู้หญิงขึ้นไปคุยบนห้องอะนะ" ผมเบ้ปากน้อย ๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้
"คุยนอกห้องครับ ไม่ได้คุยในห้อง" สมุทรสวนทันควัน
"ให้เกียรติกันน่าดู" ผมเบะปาก พยักหน้าหงึก ๆ
"คุณต้องการอะไรกับประเด็นนี้ของผมครับ"
"ก็ไม่มีอะไร แค่เป็นคนขี้สงสัย..ไม่ได้รึไง" ผมย้อน สมุทรไม่ตอบโต้อีก เขาเลือกที่จะเงียบคงเพราะรำคาญผมแล้วละมัง
“มีเซ็กส์ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่” คำถามนี้ทำเอาสมุทรหันขวับมามอง สายตาเรียบนิ่งเริ่มบอกว่าไม่พอใจ
“ให้เดา..เกินครึ่งปีแล้วแน่ ๆ อึดอัดแย่เลยนะ ?” ผมกวาดตามองยิ้ม ๆ
“ผมทราบดีครับว่าคุณเป็นเจ้านายผม แต่ผมจะรู้สึกขอบคุณมาก..หากคุณไฟจะช่วยระวังเรื่องที่พูดอยู่ให้ผมสักหน่อย” สมุทรพูดเตือน สายตาที่สุขุมกำลังแฝงไปด้วยความดุดันที่เจ้าตัวมี
“ฮึ!” ผมหัวเราะชอบใจ แลบลิ้นออกมากัดพลางยิ้มมอง
“ฉันรู้สึกถูกใจอะไรบางอย่างล่ะนะ” ผมบ่นลอย ๆ
“กลับก่อนแล้วกัน" ผมตัดบท ลุกขึ้นพลางถอนหายใจนิดหน่อย สมุทรลุกตามในทันที เมื่อเดินออกมาจากบ้าน เจ้าของบ้านก็เดินตามหลังผมมาเงียบ ๆ จนถึงรถ
"ขอบคุณนะครับ" สมุทรพูดขึ้นโต้ง ๆ ผมที่กำลังจะเดินไปถึงหน้าประตูฝั่งคนขับก็ต้องหยุดชะงัก นิ้วที่แกว่งกุญแจรถยนต์อยู่ก็หยุดด้วย รอยยิ้มนิด ๆ ผุดขึ้นมาที่มุมแก้มเมื่อได้ยิน ผมจึงหันตัวกลับไปมอง
"..ครับ" ผมยิ้มกะล่อนตอบรับ อีกฝ่ายคล้ายกับจะหลุดยิ้มแต่เขาดันเบือนหน้าหนีผมไปดื้อ ๆ ซะก่อน ผมยิ้มกว้างกลับมาขึ้นรถ ยิ้มทำไม..
นี่กูก็ยังงงตัวเอง... ... ... ... ... ... ...