ตืด ๆ ๆ ..เสียงโทรศัพท์เครื่องของผมสั่นเตือน สมุทรทำหน้าที่นำขึ้นกดรับแทนเจ้าของ
“สวัสดีครับ..ครับ” อีกฝ่ายขานตอบอยู่สองสามคำก่อนยื่นโทรศัพท์มาให้
“จากพี่ธานครับ” เขาบอก
“ผมพูด” ผมทัก
“คุณไฟครับ นพอาการไม่ดีเลยครับ” พี่ธานเอ่ยเข้าประเด็น ผมยืนนิ่ง กลอกตาลงโดยไม่เอ่ยตอบใด ๆ
“เหมือนมันจะถูกวางยาน่ะครับ แล้วทางผู้จัดจะให้เราถอนตัวให้ได้” พี่ธานบอก
“มันอาการหนักแค่ไหน” ผมถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
“ถ่ายเป็นเลือดครับ” พี่ธานตอบด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน
“เมื่อไหร่ ?” ผมซัก
“เมื่อครู่ครับ ผมเห็นอาการมันไม่ปกติมาสักพักแล้ว แต่เมื่อครู่อาการหนักขึ้น”
“มันพูดรู้เรื่องไหม”
“ไม่ค่อยรู้เรื่องครับ” พี่เขาตอบ ผมเงียบลงชั่วขณะ ปลายสายก็เช่นกัน
“รถพยาบาลมารึยัง เอามันไปโรงพยาบาล” ผมสั่ง
“คือ..มันไม่ยอมไปน่ะครับ มันจะอยู่รอคุณให้ได้” พี่ธานอ้ำอึ้งบอกก่อนทิ้งน้ำเสียงลงอย่างเกรง ๆ
“คุณไฟครับ ผมว่า..” ปลายสายเอ่ยเสียงเบาลง
“เอาเป็นว่าผมจะไปเดี๋ยวนี้” ผมตัดบทพร้อมกดวางสายทันที สมุทรรับโทรศัพท์กลับคืนไป
“ตรงไปสนาม ไอ้นพถูกวางยา” ผมบอก
“ครับนาย” ไอ้เด่นผงกหัวรับทราบ เราออกเดินทางในทันที ตารางการชกแบ่งออกเป็นทั้งหมดสี่คู่ภายในวันเดียว โดยคัดจากนักมวยค่ายใหญ่เท่านั้น หากคิดให้ดี การที่ตัดมือดีของผมออกไปนั่นหมายถึงว่าค่ายของผมจะต้องให้นักชกโนเนมอย่างสมุทรขึ้นชกแทน ผมไม่ได้บอกว่าสมุทรไม่ไหว แต่ผมกำลังบอกว่า “สมุทรโนเนม” นั่นหมายความว่าพวกนั้นไม่คิดว่าสมุทรจะสามารถชนะในรอบลึก ๆ ได้ หรือทางเลือกอีกทางหนึ่งที่ผมทำได้คือ ผมจะต้องถอนตัวออกจากการแข่งขัน
นาฬิกาบอกเวลาเกือบ ๆ บ่ายโมงครึ่ง ณ ขณะนี้ งานจะเริ่มเปิดพิธีตอนบ่ายสองโมงครึ่ง เริ่มการชกจริงของคู่หลักตอนบ่ายสามโมงครึ่งโดยประมาณ หนึ่งคู่ต่อสามยกจึงเป็นการใช้เวลาหาเงินได้ในช่วงสั้น ๆ แต่สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนเป็นกอบเป็นกำทีเดียว
“.........” ทุกคนในห้องพักพากันลดเสียงลงทันทีเมื่อเห็นผมปรากฏตัว ไอ้นพนอนอยู่บนเตียงเตรียมสำหรับเคลื่อนย้าย ลุงหมอนพ่อของไอ้นพยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี พี่ธานและไอ้เด่นเคลียร์คนในค่ายออกจากห้องในทันทีอย่างรู้หน้าที่ ประตูห้องปิดสนิทลงเมื่อนักมวยและพนักงานออกจากห้องไปจนเกือบหมด เหลือเพียงครูมวย เทรนเนอร์คนสำคัญ พายุและลูกน้องของผมเท่านั้น สภาพของไอ้นพไม่ต่างจากคนป่วยใกล้ตาย ตัวของมันซีดเซียว รูม่านตาที่ดูไม่ปกติ ตามันเบิกขึ้นสะลึมสะลือเพื่อมองมาที่ผม
“กูอยากฆ่ามึงจริง ๆ” ผมกัดฟันบ่นเดินเข้าไปประชิดติดกับเตียง สภาพหนักขนาดนี้ยังจะฝืนรออยู่อีก ทั้งลุงหมอนและพยาบาลหลบทางให้
“จำได้ไหมว่ากินอะไรเข้าไปบ้าง” ผมถาม
“.........” ไอ้นพเพียงกะพริบตา มันส่ายหัวน้อย ๆ ไร้สติ ความเงียบในห้องทำให้ผมได้ยินชัดเจนว่ามันหายใจไม่ถนัด
“คุณ ..ไฟ” อีกฝ่ายเรียกเสียงเครือ มือที่สั่นเทาพยายามขยับคล้ายกับจะยกขึ้น ผมเห็นอย่างนั้นจึงเป็นฝ่ายนำมือเข้าไปจับมือของมันตอบเอาไว้ด้วยความหนักแน่น
“ขอ.. โทษ” ไอ้นพพูดบอก ปลายเสียงแหบหายเข้าไปในลำคอจนแทบได้ยินไม่ถนัด
“ขอโทษนะคะ เรารอไม่ได้แล้วนะคะ คนไข้ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล” พยาบาลพูดขึ้นหน้าเจื่อนไม่สบตาผม
“เอาไปได้เลย” ผมบอกเธอ
“ไม่ต้องห่วงทางนี้ หน้าที่มึงคือห้ามตาย..กูสั่ง” ผมพูดเสียงเข้มบอกคนที่นอนอยู่พลางวางมือของมันลงตามเดิม ไอ้นพหลับตาหรี่ลงทั้งอย่างนั้น เมื่อทีมปฐมพยาบาลเข้ามาจะนำตัวมันออกไป ผมจึงวางมือลงบนหน้าผากของไอ้นพเบา ๆ อีกครั้งหนึ่ง เสียงประตูปิดลง ไอ้นพออกไปแล้ว
“มึงตามไปเฝ้าไอ้นพไว้..เอาคนไปสองคน มีอะไรตุกติกลงมือได้เลย” ผมสั่งไอ้เด่น
“ครับนาย” ไอ้เด่นก้มหัวลงน้อย ๆ ตามทีมปฐมพยาบาลออกไปทันที มือขวาที่ล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงค่อนข้างแฉะ ความนิ่งเฉยที่ปรากฏออกมา ตามจริงแล้วในใจกำลังเดือดเป็นไฟ ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่มองหน้าใครจึงทำให้ทุกคนในห้องในตอนนี้ไม่แม้แต่จะขยับตัว
“คุณไฟครับ..ทางนั้นถามเราว่า ตกลงจะเอาสมุทรขึ้นชกแทนหรือว่าจะถอนตัวน่ะครับ” พี่ธานเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ผมมองหน้าพี่ธานก่อนเหล่มองไปทางสมุทรครู่หนึ่ง เจ้าของชื่อยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงอาการเช่นเคย
“สองทางเลือกเหรอ..?” ผมถามตาขวาง พี่ธานหลบตาไม่ตอบ
“ฮึ! ง่ายไปมั้ง” ผมสบถห้วน ๆ
“ไฟ..ถือโอกาสเปิดตัวสมุทรไปเลยสิ” ลุงลอยเรียกสติ
“จบง่ายไปมั้งครับลุง” ผมพูดตัดบทลุงลอยตาขวาง ลุงเงียบลง ผมถอนหายใจเบา ๆ พยายามควบคุมตัวเอง
“ตำรวจอยู่ไหน ?” ผมกวาดตามองทุกคนด้วยคำถามที่ไม่ได้กระแทกกระทั้นแต่อย่างใด แต่นั่นละว่า..ไร้เสียงตอบรับจากใครเช่นกัน
“อีหรอบเดิม” ผมแสยะปากหัวเราะ คู่แรกที่ไอ้นพต้องขึ้นชกนั้นเป็นการขึ้นชกกับนักมวยชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นตัวแทนของค่ายน้ำมนต์จากภาคอีสาน ผมเชื่อว่าสมุทรสามารถเอาชนะได้ แต่คนที่สร้างเรื่องคงไม่คิดอย่างเดียวกับผมแน่ สถานการณ์ในตอนนี้สำหรับผมมันเปลี่ยนไปแล้ว
ถึงสมุทรจะชนะแล้วยังไงไม่ทราบ ถ้าเขาได้เข้าไปในรอบต่อ ๆ ไปทุกอย่างอาจจะเป็นไปตามแผนที่พวกมันวางไว้ทั้งหมดก็ได้
“ก็นะ..อีกฝ่ายอุตส่าห์เปิดเกมมาให้แล้วทั้งที” ผมฉีกยิ้มติดตลกแต่ในห้องกลับอึมครึมไม่ขำด้วยเสียอย่างนั้น
“ไฟ แกไปเล่นตอบมันแบบนั้น ถ้าเกิดแกเป็นอะไรขึ้นมาอีกคนล่ะ” ลุงลอยเตือนหน้าเครียด
“มันเป็นทฤษฏีหยอกเล่นน่ะครับลุง”
“กำลังมีคนท้าทายว่า ผม..ที่ไม่มีปู่กับพ่อคุ้มกะลาหัวอยู่ตอนนี้ ถ้าถูกเหยียบหน้าแบบนี้แล้วผมจะทำยังไงต่อ” ผมแสยะยิ้มอธิบาย ลุง ๆ ต่างหน้าเสียที่ผมไม่ไว้หน้าแม้กระทั่งกับลุงลอย
ก๊อก ๆ ๆ“เชิญ” ผมขานรับ ผู้ชายแปลกหน้า ใส่สูทใส่แว่นตาเดินเข้ามาด้วยใบหน้าตื่น ๆ
“เอ่อ..สวัสดีครับคุณไฟ ทางเราอยากทราบว่า ตกลงทางชัยโรจน์จะส่งนักมวยขึ้นชกไหมครับ” อีกฝ่ายถามด้วยใบหน้าสุภาพจนน่าถีบ
“แน่นอนครับ” ผมยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรกลับ
“งั้นผมรบกวนขอให้ทางคุณคอนเฟิร์มเรื่องรายชื่อด้วยนะครับ” เขายิ้มให้
“ไฟ เลิศประสงค์ครับ” ผมตอบ
“เอ๊ะ!” อีกฝ่ายชะงัก เหลือบตาโตขึ้นมองมา ผมหมุนตัวตรง ๆ พลางเดินเข้าไปหาก่อนเว้นระยะไว้ช่วงหนึ่ง
“มีปัญหาอะไรงั้นเหรอครับ” ผมฉีกยิ้มถาม อีกฝ่ายเลิ่กลั่กเปิดกระดาษในมือดูซ้ำอย่างร้อนรน
“เอ่อ แต่ว่า..รายชื่อที่ทางค่ายมวยชัยโรจย์ให้กับทางเรามาในตอนแรกไม่ใช่ชื่อนี้นี่ครับ เป็นชื่อ..เอ่อ นายสมุทร มั่นรักษา” มันว่า
“อ๋อ ลูกน้องผมคงเขียนชื่อผิดไปน่ะ โทษที” ผมปัด
“เอ่อ งั้นคงไม่ได้หรอกครับ คือว่า..มันผิดกฏน่ะครับ” อีกฝ่ายพูดหน้าเจื่อน ผมหุบยิ้มลงทีละนิดเพราะขี้เกียจจะฉีกปากยิ้มเกินจำเป็นแล้ว
“ใครตั้งกฏ ? ขอผมคุยด้วยหน่อยจะได้ไหมละครับ” ผมถาม
“หือ.. คุณแว่น” ปลายเท้าจ้ำเข้าหาอีกครั้งโดยไม่ทันสั่งการ คนตรงหน้าหน้าถอดสีถอยหลังไปสองสามก้าวทันควัน
“รีบเก็บหางมึงแล้วไสหัวไปซะก่อนที่กูจะกรอกยามึงเหมือนที่ลูกพี่ของพวกมึงทำกับคนของกู!” ผมกัดฟันพูดเสียงเย็น อีกฝ่ายไม่รอช้าวิ่งออกจากห้องไปในทันที
“ระยำ! เฮือก!!” ผมร้องสบถ ขาเตะเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าอย่างห้ามใจไม่อยู่ เสียงกระแทกดัง
“โครม!” ลั่นห้องก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลง ลมที่พ่นออกมาทางปากไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นมากนัก กลับแต่จะหงุดหงิดมากกว่าเดิม ผมหลับตาลงฟังเสียงลมหายใจของตัวเองอยู่พักหนึ่ง เมื่อรู้สึกดีขึ้นแล้วจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“เอ่อ คุณไฟคะ” พี่นีเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ เหมือนกับไม่แน่ใจว่าตัวเธอเองควรพูดออกมาดีหรือไม่
“เราส่งรายชื่อนักมวยเป็นคนแรก ๆ ไม่ว่าจะเวทีไหนเซียนมวยก็ต่างพนันข้างนพทั้งนั้น พี่คิดว่า..ถ้าครั้งนี้เป็นแผน” พี่นีพูดเสียงเบา
“ครับ เป็นแผนที่ตื้นดีใช่ไหมละครับ” ผมพูดห้วน ๆ ปนหัวเราะ ตาเหลือบมองไปทางสมุทรอีกครั้ง ผมจ้องหน้าเขาเขม็ง
“ก็ดี..งั้นผมจะเปลี่ยนแผนให้พวกมันใหม่” ผมยิงฟันให้ทุกคนพลางเท้าเอวมอง
“ผมจะขึ้นเอง” ผมสรุป
“น่าสนุก..” ผมสบถยิ้ม ๆ ลุงลอยถอนหายใจเฮือกใหญ่คล้ายเอือมระอา แกส่ายศีรษะยิ้มน้อย ๆ ในที่สุด
“ทุกอย่างเหมือนเดิม ใครมีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไป อย่างอื่นผมจัดการเอง” ผมสั่ง
“พี่นีรู้ไหมครับว่าห้องเสี่ยเจียนอยู่ไหน” ผมถาม
“รู้ยิ่งกว่ารู้ซะอีกค่ะ” เธอยิ้มตอบ
“หึ..ชอบจัง อะไรมั่นอกมั่นใจแบบนี้น่ะ” ผมยิ้มชมเธอทำให้เจ้าตัวหลุดหัวเราะเขิน ๆ พี่นีเดินนำทางออกไปก่อน เมื่อพายุเข้ามาขนาบข้างผม พี่ธาน สมุทรและไอ้เข้มจึงตามติดมา เมื่อมาถึงห้องทำงานของเสี่ยเจียน พี่นีเป็นฝ่ายเข้าไปติดต่อคนของเสี่ยเจียนให้ เมื่อเรียบร้อยแล้วผมจึงสั่งให้เธอกลับไปทำงานต่อ
“เสี่ยครับ คุณไฟจากค่ายชัยโรจน์มาขอพบครับ” ไม่ทันให้ลูกน้องของเจ้าของกิจการคนปัจจุบันนี้ได้ส่งสารจบ ผมก็เดินตรงดิ่งเข้าไปอย่างไม่รักษามารยาทใด ๆ ทำให้คนในห้องต่างตื่นตระหนก
“หวัดดีครับเสี่ย” ผมยิ้มทัก เสี่ยเจียนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานที่กลางห้อง เป็นที่รู้กันว่าแกเป็นคนดังที่เชื่อเรื่องฮวงจุ้ยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ห้องทำงานของแกก็เลยใหญ่อลังการ ถ้าให้แกบรรยายรายละเอียดในห้องนี้มาสักหนึ่งหน้ากระดาษเอสี่ก็คงไม่จบ
“ถ้าคนของเสี่ยไม่ลดปืนลง พวกเราคงคุยกันยากนะครับว่าไหม” ผมยิ้มเล็กน้อย ลูกน้องคนสนิทที่ข้างโต๊ะทำงานของเสี่ยแกหนึ่งคนและประจำอยู่ที่มุมห้องอีกฝั่งละคน เสี่ยเจียนกลอกตาขึ้นมองมาด้วยท่าทางสงบนิ่ง
“ก็ลื้อหุนหันพลันแล่นเข้ามาแบบนี้ มันก็เป็นธรรมดา” เสี่ยเจียนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ก็มีเรื่องให้ต้องหุนหันพลันแล่นนี่ครับ” ผมตอบ เสี่ยจ้องมองมา ผมเองก็มองตอบกลับเช่นกัน
“กี่ปี ๆ ลื้อก็ยังขวานผ่าซากเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ” เสี่ยแกอมยิ้มด้วยใบหน้าชอบใจ แก้ววิสกี้ในมือของเสี่ยเคลื่อนวางลงอย่างเนิบช้า ผมยืนเงียบ ต้องยอมรับว่าเสี่ยเจียนเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าของกิจการนี้มากกว่าเสี่ยปรีดาเยอะเลย
“ในบรรดาเด็กที่อายุเท่าลื้อที่ฉันรู้จัก มีแต่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมพึ่งบารมีพ่อแม่ทั้งนั้น คงมีแต่ลื้อนี่ล่ะที่ถูกใจอั้วที่สุด หึ ๆ ๆ” อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอ
“ขอบคุณครับ ตามตรงแล้วผมก็ชอบเสี่ยเหมือนกัน” ผมยิ้มตอบ
“เป็นไง..? น้องชายลื้อยังมือตีนไวอยู่เหมือนเดิมรึเปล่าล่ะ เฮ้อ~ อั๊วอยากได้คนแบบนี้ไปช่วยคุมร้านที่เมืองนอกจริง ๆ น้า นักเลงฝรั่งพวกนั้นน่ะ..มีแต่พวกร่างยักษ์ที่ไม่รู้ว่าควรจะเอามือตีนตัวเองไปเก็บไว้ที่ตรงไหน” เสี่ยถอนหายใจพูดแกมบ่นที่แฝงไปด้วยนัยยะกวน ๆ ผมไม่ตอบ พายุเองก็เฉยเช่นกัน
“เก็บปืนซะ..ฉันไม่อยากเห็นรอยตีนของมันบนหน้าพวกแกหรอกนะ” เสี่ยเจียนพูดติดตลก กวาดตามองไปทางพายุพร้อมโบกมือขึ้นให้ลูกน้องของตนลดปืนลง
“วันดี ๆ แบบนี้ มีอะไรให้ฉันช่วยรึไง ถึงได้ยกโขยงกันมา”
“นักมวยของผมถูกวางยา” ผมเข้าเรื่อง เสี่ยเจียนชะงักไปครู่ เราต่างมองตากันเขม็ง ผมแทบไม่เชื่อว่านี่คือแผนของเสี่ยเจียน ตามสัญชาตญาณแล้วมันบอกผมว่า “ไม่น่าใช่”
“ลื้อพูดอะไรของลื้อ อั๊วให้คนดูแลเรื่องนี้อย่างดี” เสี่ยหน้าถอดสี
“งั้นผมคงวางยานักมวยค่ายตัวเองงั้นมั้งครับ” ผมย้อน เสี่ยเจียนหุบปากเงียบ
“ผมไม่ขออะไรมาก..” ผมเอ่ยอย่างใจเย็น
“เปลี่ยนรายชื่อตัวสำรอง ผมจะขอเป็นคนขึ้นชกเอง” ผมพูด
“หึ ๆ ๆ เข้าง่าย..ออกคงไม่ง่ายหรอกมั้ง” เสียงคนแปลกหน้าแสยะพูดแทรกเข้ามา ผมไม่หันกลับไปมองเพราะพอจะเดาได้ว่าเป็นเสียงหมาตัวไหน
“ฝาโลงตอนตายของเสี่ยเหรอครับ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ หากเสี่ยอยากออกยากกว่าผมละก็ ผมจะเจาะฝาโลงปิดให้เสี่ยอย่างมิดชิดเลย” ผมตอบกลับลอย ๆ
“ไอ้ไฟ!!!” เสี่ยปรีดาสบถ
ฉับ! ปึก!! กรอบ!!! ...เสียงกระดูกถูกบิดหักดังลั่น เสียงลูกน้องของเสี่ยปรีดาที่เป็นเจ้าของมือที่ถือมีดอยู่ร้องดังระงม
แกรก!!!“โว้ว~” ผมเล่นเสียงพลางยิ้มกว้าง ทำตาเหลือกแกล้งเป็นตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ข้อมือของลูกน้องเสี่ยปรีดาถูกพายุบิดหักเข้าให้เสียแล้ว ทำให้ปลายมีดที่ควรจะอยู่ที่คอผมกลับถูกจ่อไปที่คอของเจ้านายใหญ่ของมันแทน เสี่ยปรีดายืนตาเหลือก ปากกระบอกปืนจากไอ้เข้มจ่ออยู่ที่หัวของลูกน้องของเสี่ยอีกต่อหนึ่ง ตอนนี้จึงไม่มีแม้แต่ใครจะขยับตัว โดยเฉพาะไอ้เสี่ยอัปรีย์นี่ก็ด้วย
“ไวเหลือเชื่อเลยใช่ไหมละครับ น้องชายผมน่ะ” ผมส่งยิ้มพิมพ์ใจไปให้
“ค่ายเราอยู่กันแบบหมากับเจ้านายน่ะครับ หมา..มักเลียนแบบพฤติกรรมเจ้านาย เจ้านายอ่อนปวกเปียก หมามันก็อ่อนปวกเปียกไม่ต่างหรอก..ว่าไหมละครับเสี่ย”
“ที่สำคัญผมมีแต่หมาล่าเนื้อซะด้วย” ผมฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมทำเอาเสี่ยปรีดาเดือดตาแทบทะลัก
“ก่อนตาย..พ่อมึงคงทิ้งไว้แต่สมบัติ ไม่ได้สอนให้พวกมึงมีสัมมาคารวะสินะ ถุย!” เสี่ยปรีดาสบถยิ้ม ๆ
“หือ! เสี่ยนี่..ปากเหม็นจังเลยนะครับ” ผมทำท่าตกใจหน้าแขยงเห็นเป็นประเด็นตลก
“ไอ้เวรเอ๊ย!” เสี่ยปรีดาขึ้นเสียงด้วยความโมโหอีกครั้ง พอมันขยับตัวจึงทำให้ปลายมีดที่แหลมคมเจาะเข้าไปที่คอหอยมากกว่าเดิมโดยที่พายุไม่ต้องออกแรงทำอะไรเลย
“อึก” อยู่ ๆ เจ้าตัวก็ชะงักนิ่งไปซะอย่างนั้น ผมยิ้มเจ้าเล่ห์มองอย่างชอบใจโดยไม่คิดจะเอ่ยปากห้าม
“เฮีย..” เสี่ยปรีดาเรียกเสี่ยเจียนคล้ายขอความช่วยเหลือ ผมนิ่งเฉยทำเป็นไม่ได้ยิน ทุกคนเงียบสนิทอีกครั้ง
“อาไฟ บอกน้องลื้อให้ลดมือซะ” เสี่ยเจียนพูด
“.........” ผมเหลือบมองพายุก่อนพยักหน้าอนุญาตให้มันทำตามที่เสี่ยเจียนบอก พายุปล่อยมือออกช้า ๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อมือของมันพ้นจากลูกน้องของเสี่ยปรีดาได้มันก็ตวัดตัวถีบตัวลูกน้องเสี่ยปรีดาจนอีกฝ่ายตัวกระเด็นไปติดกับกำแพงอีกด้านหนึ่ง เสียงกระแทกดังลั่นแต่ไม่มีใครคิดจะสนใจว่ามันเจ็บปวดหรือไม่ เสี่ยปรีดาก้าวถอยห่างไปอย่างเว้นช่วง
“ผมไม่มีเวลามาทะเลาะด้วยหรอกครับ คนพูดมาก..ฉิบหายมาเยอะแล้ว” ผมเบะปากยิ้ม ๆ ให้เสี่ยปรีดา อีกฝ่ายขบฟันแน่นด้วยใบหน้าแค้นจัด
“รบกวนใส่ชื่อผมลงไปด้วยครับเสี่ย ด้วยความเคารพ..ถือว่าผมขอ” ผมพูดบอก เสี่ยเจียนถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่
“แต่มันเป็นกฏนะ อั๊วเองก็ไม่อยากจะผิดคำพูดแบบนั้น” เสี่ยเจียนว่าหน้าเครียดไม่ต่าง
“ผมเข้าใจครับ แต่อย่าหาว่าผมอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะครับ ด้วยวิถีการทำงานแล้วผมเองก็เคารพเสี่ย พ่อผมก็เคารพเสี่ย แต่เรื่องนี้ผมคงปล่อยไปเงียบ ๆ ไม่ได้” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แม้ความลามปามกับคนตรงหน้าก็ตาม
“น่าแปลกนะครับ นักมวยชื่อดังที่เซียนมวยต่างมาเกาะเวทีเตรียมดูถูกวางยากะทันหัน แต่กลับไม่มีนักข่าวสักเงาหัวเดียว ผมไม่ยักรู้..ว่าคนของผมถูกลืมขนาดนั้น” ผมพูดปนหัวเราะก่อนหุบยิ้มลงทีละนิด
“ถ้าหากเสี่ยจะไม่เปลี่ยนเป็นชื่อผม ความสัมพันธ์ของเราคงจบกันตรงนี้ และขอเรียนให้ทราบ..ด้วยความสัจจริง ไอ้นพเป็นตัวเงินตัวทองของผม ดังนั้น..ผมจะขุดรากถอนโคนเอาตัวการออกมาเปิดโปง เก็บบัญชีให้หมดทุกบาททุกสตางค์แบบที่เสี่ยจะนึกภาพไม่ออกเลย” ผมเบะปากลงเล็กน้อย เสี่ยเจียนกวาดตามองผมด้วยสายตาที่เริ่มไม่พอใจ มือของแกหยิบซิการ์ขึ้นพลางจุดสูบ
“ฮึ!” เจ้าของห้องหัวเราะขึ้นจมูกขึ้นท่ามกลางห้องที่เงียบเชียบ
“อั้วเคยแอบคิดนะว่าไอ้หวนมันทำยังไงถึงได้ลูกแบบลื้อมา ในวงการเรา..มันก็บอกปัดไม่ได้ว่าอยากได้ลูกแบบลื้อสักคน แต่ไอ้คำพูดกร่าง ๆ กับอั้วนั่นน่ะ ลื้อคิดดีแน่แล้วใช่ไหม” เสี่ยเจียนอมยิ้มท้าทาย
“ครับ..พ่อก็เคยบอกให้ผมลด ๆ ลงบ้าง โทษทีครับที่ดูเหมือนจะฝังรากลึกมากไปหน่อย ถ้าหากเสี่ยคิดว่าผมท้าทาย ผมก็จะขอตอบว่าใช่” ผมตอบเสียงเข้มพร้อมจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
“ผมพยายามไม่ทำให้ใครเดือดร้อน..เรื่องไหนทนได้ผมก็ไม่เคยตอบโต้ เพราะนั่นคือวิถีการทำงานของพ่อ ผมคิดว่าเสี่ยคงทราบดี แต่นี่คือคนของผม..ผมไม่ได้ใจดีเหมือนพ่อหรอกนะครับ มีคนทำให้คนในบ้านของผมเดือดร้อน โดยที่จริง ๆ แล้ว คนพวกนั้นคงไม่รู้ว่ากฏที่สามารถทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนเป็นไฟได้น่ะ..มันเป็นยังไง” ผมเอ่ยแกมประชดถึงคนข้าง ๆ เสี่ยเจียนนิ่งไป แกเอนหลังพิงพนักพิงพลางมองพวกเราทุกคน
“รับปากอั้วได้ไหมล่ะว่าเรื่องนี้ต้องเงียบที่สุด” เสี่ยว่า
“ผมรับปากครับ” ผมตอบรับทันที
“เอาชื่ออาไฟเข้าการแข่งขัน” เสี่ยเจียนสั่งลูกน้องคนสนิท
“ครับเสี่ย” อีกฝ่ายผงกหัวรับทราบและรีบออกจากห้องไปทำตามคำสั่ง
“เฮีย! เฮียทำแบบนี้ได้ยังไง มันผิดกฏที่เราตกลงกันไว้นะ!” เสี่ยปรีดาโวยวายเป็นเดือดเป็นร้อน
“ฉันตัดสินใจแล้ว หุ้นใหญ่ตอนนี้คือฉัน..และนี่มันงานของฉัน” เสี่ยเจียนตอบหน้านิ่ง เสียงเข้มและเด็ดขาดทำให้เสี่ยปรีดาหันขวับมามองผมทันใด
“ขอบคุณครับเสี่ย” ผมยิ้มบอกก่อนหันกลับมามองตอบเสี่ยปรีดา ทั้งผมและอีกฝ่ายต่างจ้องหน้ากันเขม็ง สายตาที่เคียดแค้นจากมันบอกได้เลยว่า พวกมันคงได้สูญเงินมหาศาลแน่ ๆ ผมเดินเข้าหามันอย่างเนิบช้า คนตรงหน้ายืนนิ่งสู้ไม่ขยับ
“การอยากได้ของ ๆ คนอื่น ชีวิตมักไม่สงบสุขหรอกครับ” ผมอมยิ้ม มองเสี่ยปรีดาด้วยความว่างเปล่า
คนอย่างมันช่างว่างเปล่าไร้ความหมายสำหรับผมเสียจริง“แล้วนี่..คือขั้นตอนแรกของการไม่สงบสุข” ผมเข้าไปกระซิบกระซาบที่ข้างหู
“เปลี่ยนแผน..? ฮิ ๆ ๆ ๆ วู้!” ผมแสยะหัวเราะด้วยน้ำเสียงกวนอารมณ์พร้อมนำลิ้นออกมากัดดุนเล่นมองหน้าอีกฝ่ายอย่างนึกสนุก
“ผมแนะนำอะไรให้เอาไหมครับเสี่ย ชู่~ แค่เงียบปากของเสี่ยเอาไว้ครับ” ผมทำปากจู๋พร้อมนำนิ้วชี้ปิดปากตัวเองประกอบ
“หากเสี่ยฉลาดพอ เสี่ยจะเป็นคนเดียวที่ยังพลิกเกมทัน” ผมพูด เสี่ยปรีดาถลึงตาโต คิดว่าอีกฝ่ายคงรู้แล้วแน่ว่าผมรู้ทัน
“เอาเป็นว่า! หากเสี่ยรู้ตัวคนวางยาละก็..ฝากบอกคนพวกนั้นด้วยนะครับว่าให้ฝึกให้หนักกว่านี้ จะได้ไม่เที่ยวไปวางยาใคร” ผมฉีกยิ้ม
“...มันเปลืองเงินค่ายาน่ะครับ ก๊ากกก!!!” ผมขยายความ เงยหน้าขึ้นสูงพร้อมอ้าปากหัวเราะดังลั่น นำปลายนิ้วมือสะกิดตีเข้าที่ไหล่เสี่ยปรีดาหยอก ๆ สองสามทีทิ้งท้ายก่อนเดินจากมา
............(ไฟ)............