[ อา. 2 ต.ค 59 ]
ตอนที่ 29 http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49086.1020_ _ _ _ _ _ _ _ _ _
ตอนที่ 30
..ไฟ..ถนน 316 : ตลาดศรี“ติดต่อทางนั้นไปว่าผมจะเจรจาขอซื้อ แจ้งราคาเดิมไปก่อน..โอนคนละครึ่ง ถ้าอีกฝ่ายไม่ตกลง ผมไม่เอา” ผมส่งงานกันลืม พี่ธานผงกหัวรับทราบ เราสามคนเพิ่งกลับมาจากชลบุรีและผมสั่งให้ตรงมาที่ตลาดศรีแห่งนี้เพราะต้องการดูงานของตลาดใหม่เพิ่งเปิด เมื่อเช้าพวกเราออกจากโรงแรมแต่เช้าจึงทำให้มีเวลาว่างเหลือค่อนข้างมาก
“อยากกินโอเลี้ยง” ผมหันไปมองหน้าสมุทรแกมสั่ง
“ครับ” สมุทรผงกหัวน้อย ๆ รับทราบ
“พี่ธานเอาอะไรดีครับ” เขาถาม
“ชามะนาวแล้วกัน” พี่ธานตอบ สมุทรเดินจากไปอย่างมีเป้าหมาย ผมหันกลับมามองหน้าพี่ธานอีกครั้ง
“ถ้าผมจะบอกว่าพี่กลับโรงแรมไปก่อนได้เลย..จะเหมือนไล่รึเปล่า ? ที่จริงผมอยากไล่นะ แต่ขอถามความคิดเห็นดูก่อน ในฐานะพี่ใหญ่” ผมพูด เก็บแฝงแววตากรุ้มกริ่มที่จงใจกวนพี่ธานเอาไว้ด้วย
“ถึงคุณไล่ผม..แต่เห็นทีวันนี้คงจะไม่ได้ครับ” อีกฝ่ายตอบด้วยคำพูดเด็ดขาด ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มสุภาพชน
“ไม่เอาน่า” ผมขมวดคิ้วบ่นทันควัน
“คุณไฟครับ คุณเจ็บอยู่..แล้วสมุทรก็ไม่ยอมใช้ปืน เหตุการณ์แบบนี้บอกตามตรงว่าผมยังไม่สบายใจเลยครับ” พี่เขาพูดหน้าเครียด
“ไม่ยักรู้ว่าพี่จริงจังกับเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ แบบนี้ด้วย” ผมเบ้ปาก พี่ธานสงบลง
“อีกอย่าง..ตอนนี้พี่ก็ไม่ได้พกเหมือนกัน ?” ผมเบิกตา ผายมือออกไปทางพี่ธานเล็กน้อย
“จะให้ผมพกก็ได้ครับ” พี่เขาย้อนทันที
“จิ! พี่ใหญ่” ผมเบือนหน้าหนีพร้อมถอนหายใจเซ็งจัด
“พี่ก็รู้..เดี๋ยวนี้มีแต่ไอ้พวกระยำสังคมที่ควงปืนไปมาเป็นว่าเล่นทำให้เราอยู่ยากไปหมด ถ้าเราถูกตำรวจจับข้อหานี้ขึ้นมา..คงขายขี้หน้าแย่นะครับ” ผมบ่นติดตลกทำให้พี่ธานกวาดตามองผมด้วยแววตาที่เกือบจะหลุดซีเรียสกับเรื่องก่อนหน้า
“แล้วพี่คิดว่าผมมีโอกาสเยอะนักรึไง เมื่อวานผมเสนอหมอนั่นว่าถ้าผมชนะ เขาจะยอมเดทกับผม” ผมยักไหล่
“ใช่..เดทในความหมายของผมกับอีกฝ่ายคงไม่เหมือนกันแน่” ผมขยายความ
“แถมไอ้โปรดยังปากดีบอกว่าผมไม่น่าจะมีทางจีบอีกฝ่ายติด”
“แต่อยู่ดี ๆ ผมก็ดันมั่นใจว่าผมจะจีบติดขึ้นมา แล้วถ้าพี่ยังติดหนึบผมแบบนี้ นี่ล่ะอุปสรรค” ผมทำหน้าทะเล้น พี่ธานกลั้นอมยิ้มเอาไว้ เราหันข้างวางฟอร์มให้กันชั่วขณะหนึ่ง
“ยิ้มทำไมครับ อยากตายรึไง” ผมมองหัวจรดเท้าทำให้อีกฝ่ายฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม พอผมเดินเข้าหาพี่ธานก็ก้าวถอยหลังในทันที
“พี่ก็คิดเหมือนไอ้โปรดงั้นเหรอ คิดดีนี่” ผมแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์
“จิ! ฉี่~” ผมจิปากพลางกัดฟันไว้แน่นด้วยรู้สึกเหมือนถูกหยามขึ้นมา พี่ธานผายมือขึ้นคล้ายบอกปฏิเสธ เราหยุดสบตานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“รู้อะไรไหมครับ..?” พี่เขาเอ่ย ผมเท้าเอวทั้งที่ไม่ยอมหันตัวกลับไปมองพี่ธานดี ๆ ได้เพียงแต่เหลือบสายตามองเหล่ไปที่เป้าหมายเท่านั้น
“ผมจะยอม เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคุณทำแบบนี้”
“ผมขอรอที่รถนะครับ นายใหญ่” พี่ธานสรุปพร้อมสรรพนามปิดประโยคกึ่งบังคับ
“ไม่เอาน่า” ผมถอนหายใจ
“อย่าให้ผมกลับเลยครับ ผมขอร้อง” พี่เขาย้ำ สีหน้าตึงเครียดตรงหน้าทำให้ผมยอมเงียบลง
“โอเค” ผมพยักหน้ายอมรับ อีกฝ่ายจริงจังขนาดที่เอ่ยปากไล่ต่อไม่ลง พ่อค้าแม่ขายและคนที่มาเดินตลาดต่างมองผมกับพี่ธานกะหลับกะเหลือก ไม่นานให้หลังสมุทรก็กลับมาพร้อมกับถุงโอเลี้ยงและชามะนาวอย่างละถุง
“อ่าว สมุทรไม่กินเหรอ” พี่ธานถาม
“ไม่ครับ” สมุทรยิ้มตอบ ผมรับโอเลี้ยงมาดูด ยืนรอให้พี่ธานเป็นฝ่ายเอ่ยปากบอกลา
“เดี๋ยวสมุทรอยู่กับคุณไฟนะ พี่มีธุระต้องไปทำแป๊บนึง”
“ได้ครับ” สมุทรพยักหน้ารับ
“ฝากด้วยนะ” พี่ธานย้ำ เหลือบตามองมาทางผมครู่เดียว ผมยักคิ้วตอบให้ก่อนที่พี่ใหญ่จะเดินจากไปด้วยใบหน้าของพี่ผู้นิ่งขรึมที่เล่นละครตบตาเก่งชนะเลิศ
“บายครับพี่ใหญ่~” ผมฉีกยิ้มพร้อมโบกมือลาพี่ธานเป็นงานเป็นการ เมื่อก้าวขาเดินต่อสมุทรก็จ้ำเท้าตามหลังมาทันที ผมตั้งใจเดินทอดน่องไปเรื่อย ๆ ที่ตั้งใจมาที่ตลาดนี้เพราะต้องการมาดูการบริหารงานของที่นี่เนื่องจากเป็นตลาดเปิดใหม่ อีกทั้งยังได้เสียงตอบรับไปในทางที่ดีอีกด้วย ในมุมมองของผมเจ้าของสถานที่ค่อนข้างมีบุญเก่า ตลาดแห่งนี้ขายได้ดีเกิดจากบริเวธรอบ ๆ ที่เป็นพื้นที่ชุมชนเก่าแก่ จุดนี้จึงทำให้เป็นจุดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ค่อนข้างหนาตา
ตลาดจัดโซนอาหารที่ขายสำหรับกินได้เลยแยกโซนจากอาหารสดอย่างชัดเจน ทำให้เลือกเดินได้สะดวก นอกจากนี้ยังมีโซนขายของทั่วไปซึ่งสามารถเดินต่อเข้าไปถึงย่านชุมชนเก่าแก่ได้ด้วย บางบ้านถือโอกาสนี้ใช้หน้าบ้านของตนเปิดเป็นร้านขายของจิปาถะ ฯลฯ ผิดกับที่ตลาดของผมที่อยู่แยกจากตัวชุมชนไปมาก
“สะอาดดีนะครับ” สมุทรเอ่ยชม
เราไม่ได้พูดคุยกันตั้งแต่ที่พี่ธานแยกตัวออกไป โอเลี้ยงในมือของผมพร่องไปแล้วครึ่งถุงทำให้น้ำแข็งที่ละลายเริ่มกวนใจ มันคอยแต่จะหยดลงไปที่ก้นถุงและทำให้เปื้อนรองเท้าบ้างในบางครั้งจนรู้สึกน่ารำคาญ ผมจึงยื่นถุงเจ้าปัญหาไปให้สมุทรถือแทน อีกฝ่ายรับไปถือไม่มีปากเสียง ร้านขนมรังผึ้งที่เรากำลังจะเดินผ่านส่งกลิ่นหอมเพิ่งอบเสร็จสดใหม่ทำให้ผมถึงกับต้องหยุดยืนที่หน้าร้าน แม่ค้าชะงักมือที่เพิ่งนำขนมชิ้นล่าสุดออกมาจากเตา สายตาของเธอเพ่งมองผมตั้งแต่ศีรษะและหยุดการกระทำดังกล่าวอยู่เพียงแค่ครึ่งท่อน ควันลอยพวยพุ่งปะทะหน้าเราทั้งคู่ เมื่อควันจางลงเราจึงสบตากัน เธอต้อนรับพร้อมรอยยิ้มกว้าง ๆ ทักทาย
“เพิ่งอบเสร็จร้อน ๆ เลยจ้า” แม่ค้าบอกสรรพคุณ
“เอาชิ้นนึงครับ” ผมสั่ง อยากลองกินแค่นิดเดียว กลิ่นมันหอมมากจนอดใจไม่ลองไม่ได้
“ได้จ้ะ” เธอขานรับ คีบขนมรังผึ้งชิ้นล่าสุดนั้นใส่กระดาษห่อสะอาดก่อนยื่นมาให้ ผมจ่ายเงินไปพร้อมรับมาชิมไม่สนใจคนข้าง ๆ ที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน
“ฉันจะไม่ถามหรอกนะว่านายจะเอารึเปล่า” ผมพูดไปกินไปไม่มองหน้าสมุทร ตาจ้องมองร้านริมทางที่เดินผ่าน
“เพราะถ้านายอยากกินเดี๋ยวฉันจะป้อน” ผมหันไปเลิกคิ้วให้
“ผมไม่ได้อยากกินครับ” อีกฝ่ายปฏิเสธพร้อมอมยิ้มไว้ให้เห็นนิดหน่อย
“ใช่..อย่ากินเลย กินมาตั้งหลายเจ้าก็ไม่เห็นเจอผึ้งสักตัว” ผมยักไหล่หมายถึงขนมในปาก สมุทรหลุดหัวเราะ รอยยิ้มธรรมชาติที่เห็นฟันเรียงขาวสะอาดตาดึงดูดสายตาอีกเหมือนเคย
“ของดอง” ผมอุทาน มองเห็นร้านขายของดองตรงหน้าใกล้ ๆ
“คุณชอบเหรอครับ” สมุทรถามหน้าเหวอ
“พายุชอบกิน ฉันก็ชอบ..นาน ๆ ที”
“เอามะม่วงดองครับ” ผมสั่ง
“องุ่น..มะปราง แล้วก็กระท้อนด้วย เอาถุงใหญ่หมดเลยครับ” ผมชี้นิ้วบอก แม่ค้าดูตกใจที่เห็นผมสั่งถึงหลายอย่าง เป็นการสั่งไปเผื่อพอสำหรับพวกคนอื่น ๆ ด้วย จัดว่าเป็นของโปรดของคนในค่ายเลยก็ว่าได้ แม่ค้าจัดใส่ถุงมัดให้อย่างดี เมื่อจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วสมุทรจึงรับหน้าที่นำถุงไปถืออย่างเคย
“เดินไปย่านชุมชนไหมครับ ผมเห็นมีร้านอาหารเปิดขายตามบ้านด้วย คุณหิวรึเปล่า” สมุทรถาม ผมมองหน้าเขาเพราะสีหน้าที่แสดงออกนั้นเหมือนเขามีความสนใจอยากที่จะไปจึงได้เอ่ยปากชวน
“เอาสิ” ผมตามใจ เราเดินพ้นโซนขายอาหารต่อจนสุดทาง ไม่มีอะไรสะดุดตาให้ผมเลือกซื้อ ตอนนี้เกือบสิบเอ็ดโมงเต็มแก่แล้ว ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแต่กลับไม่รู้สึกหิวสักนิด
“เฉาก๊วยโบราณ ของโปรดพี่ธาน” ผมพูด ขาหยุดยืนหน้าร้านเฉาก๊วยที่ตั้งอยู่เยื้อง ๆ กับหน้าร้านขนมเบื้องโบราณ สมุทรหัวเราะเบา ๆ ที่ได้ยิน
“นายล่ะ หิวรึเปล่า” ผมถาม
“ไม่หรอกครับ แต่ร้อน ๆ แบบนี้ผมยังไงก็ได้” เขาตอบ
“งั้นนั่งพักร้านนี้แล้วกัน” ผมสรุปด้วยความรวดเร็ว เราสองคนหาที่นั่งเหมาะ ๆ ด้วยเพราะไม่มีลูกค้าจึงเลือกนั่งได้ตามสบาย เราทั้งคู่สั่งเฉาก๊วยคนละถ้วย สมุทรสั่งเฉาก๊วยโบราณ ส่วนผมสั่งเฉาก๊วยชาไทย คาดว่าเจ้าของร้านเฉาก๊วยกับร้านขนมเบื้องน่าจะเป็นญาติพี่น้องกัน
“รับอะไรเพิ่มไหมจ๊ะ” แม่ค้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณย่าออกมาต้อนรับ
“ขอน้ำเปล่าสองแก้วครับ” ผมตอบ
“เอาข้าวเหนียวมะม่วงไหมจ๊ะ ของเราอร่อยน้า” เธอยิ้ม
“ไม่ครับ ขอบคุณ” ผมตอบ ไม่นานให้หลังเฉาก๊วยและน้ำเปล่าของเราทั้งคู่ก็ถูกนำมาเสิร์ฟ รสชาติของชาไทยที่ไม่หวานจนเกินไปและความนุ่มของเฉาก๊วยถือว่าใช้ได้ทีเดียว
“บทคุณจะกินง่าย คุณก็กินง่ายดีนะครับ” คนตรงหน้าพูดขึ้น
“ชมหรือประชดไม่ทราบ” ผมว่า สมุทรไม่ตอบ เขาเพียงช้อนตามองผมด้วยแววตาแฝงความหมายก่อนก้มลงตักเฉาก๊วยกินต่อ บทสนทนาไม่เกิดขึ้นระหว่างที่กินกันอย่างเนิบ ๆ
“ตอนเด็ก ๆ ฉันชอบมาเดินตลาดมาก เวลาที่แม่บ้านจะออกไปจ่ายตลาด ฉันมักจะเกาะไปด้วยทุกที” ผมบอก รสชาติของน้ำชาไทยเริ่มจางลงเพราะน้ำแข็งที่ค่อย ๆ ละลาย
“ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงชอบไปนัก” ผมพูดแกมบ่น
“ผมก็เหมือนกัน” สมุทรเสริม เราหัวเราะนิดหน่อยก่อนจบหัวข้อนี้ลง
การเล็มเฉาก๊วยในแก้วเป็นไปโดยไม่รีบร้อน สังเกตการกินของสมุทรแล้ว เขาเป็นคนที่กินเรียบร้อยแต่ค่อนข้างไว เพียงแป๊บเดียวเขาก็ฟาดเฉาก๊วยจนหมดเรียบเหลือแต่น้ำแข็ง ส่วนผมเป็นคนที่กินอาหารไวแต่อิ่มเร็ว ยิ่งถ้าได้รับรู้รสชาติแล้วและถ้าจู่ ๆ เกิดเบื่อหรืออิ่มขึ้นมาก็มักจะหยุดกินในทันที..
.. ซอยถัด ๆ ไปส่วนใหญ่ขายพวกเสื้อผ้าและของเล่นสมัยก่อน เช่นพวกลูกแก้ว หมากเก็บ โยโย่ เก็บฝึกสมอง เป่าลูกโป่งวิทยาศาสตร์อะไรพวกนั้นก็ได้พบหนาตาที่นี่
“เคยสงสัยไหมว่าเป่าไปเพื่ออะไร แต่เจอทีไรเหมือนมีพลังบางอย่าง..เป็นต้องซื้อมันทุกที” ผมบ่นถึง ตาจ้องมองไปที่ของเล่นตรงหน้า มันคือลูกโป่งวิทยาศาสตร์ในตำนานเลยก็ว่าได้
“เด็กสมัยนี้เขาก็ไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนสมัยเราหรอกครับ ผม..ก็ไม่ค่อยตื่นเต้นกับของเล่นสมัยนี้เท่าไหร่”
“หึ หัวโบราณจังนะคุณสมุทร” ผมแสยะหัวเราะมอง สมุทรอมยิ้มไม่ปฏิเสธ
“มีเกมยิงห่วงน้ำด้วย!” ผมชี้นิ้วไปด้วยความตกใจ สมุทรยิ้มกว้างเอื้อมตัวหยิบขึ้นมาให้ผมดู คุณลุงเจ้าของร้านยืนขนาบข้างมองพวกเรายิ้ม ๆ ใบหน้าของแกอ่อนโยนและดูอยากขายของเป็นอย่างมาก แต่ตั้งแต่ผมมายืนอยู่ที่หน้าร้าน แกยังไม่เอ่ยปากพูดเลยสักคำเดียว
“มันยังเล่นได้อยู่เหรอครับ” สมุทรถามด้วยความสงสัยไม่ต่างจากผม
“เล่นได้อยู่นะ” ลุงแกตอบ
“ผมเอาอันนี้” ผมชี้ไปที่ของในมือของสมุทร
“เอ่อ สองอัน” ผมสั่ง ลุงเจ้าของร้านพยักหน้า กุลีกุจอเปิดกล่องเพื่อหยิบเกมยิงห่วงน้ำชิ้นใหม่อีกอันมาให้
“คุณไฟครับ ?” สมุทรเลิกคิ้วยิ้ม ๆ เหมือนเหลือเชื่อว่าผมเอาไปทำไมหลายอัน
“อีกอันให้เมฆนะ” ผมบอก คนข้าง ๆ พึมพำเสียงเบาว่า
“คุณนี่มันจริง ๆ” ขณะเดียวกันสายตาเหลือบไปเห็นกล่องหมากฝรั่งสมัยเด็กที่กินเป็นประจำ จำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นขายกล่องละเท่าไหร่
“อันนี้ด้วยครับ สองกล่อง” ผมบอก มือชี้ไปที่กล่องหมากฝรั่ง ลุงแกหยิบทุกอย่างนำไปใส่ถุงพลาสติก สิ่งของที่สมัยก่อนรู้สึกแพงแต่ตอนนี้มันกลับถูกจนแทบน้ำตาไหล เราเดินจากมาและตรงตามตรอกซอยลึกเข้าไปเรื่อย ๆ
“เฮ้อ ขายไปทำไมวะ ถูกจนน้ำตาแทบกระเด็น” ผมบ่นถึงชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไปของลุงเจ้าของร้าน มือที่เพิ่งแกะซองนำหมากฝรั่งเข้าปากก็เก็บซองกลับใส่ถุงลงอย่างเดิม
“แต่ก่อนกว่าจะซื้อได้แต่ละชิ้น ต้องเจียดเงินค่าขนมมาซื้อนะ” ผมบ่นติดตลก ยื่นถุงไปตรงหน้าคนข้าง ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายถือ สมุทรรับไปยิ้ม ๆ คล้ายเห็นด้วย ดูเหมือนวันนี้เขาจะยิ้มบ่อยมากเป็นพิเศษ
“สมัยเด็กนายชอบเล่นอะไร” ผมหันไปมองอีกฝ่ายที่เดินเยื้องอยู่ทางด้านหลังผมไปเล็กน้อยคล้ายกับยังไม่ลืมหน้าที่ของตน
“ลูกแก้วครับ ที่มีติดมือบ่อย ๆ ก็ลูกแก้ว”
“เล่นกับดินกับทราย..ง่ายดี” เขาขยายความ ผมเบะปากยิ้ม ๆ
“ส่วนฉันชอบเอาแบงก์กาโม่ไปใส่กระเป๋าตังของพ่อกับแม่ รับรองว่าอันนี้สนุกยิ่งกว่าลูกแก้วของนายอีก” ผมพูดถึงความหลัง
“หึ ๆ ผมพอจะดูออกครับว่าคุณคงชอบอะไรทำนองนั้น”
“ก็ว่าไป” ผมรับคำง่าย ๆ
เราเดินต่อไปเรื่อยจนสุดซอย มีทางเลี้ยวแยกออกเป็นสองทาง ทางซ้ายซึ่งน่าจะเป็นทางที่สามารถกลับเข้าไปในตัวตลาดเดิม ส่วนทางขวาผมไม่ทราบว่าออกไปแล้วจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ด้วยความที่เกรงว่าคนที่มาด้วยจะเริ่มเบื่อจนออกปากชวนกลับ ซึ่งก็ไม่คิดว่าเขาจะกล้าชวนหรอกนะ แค่กันไว้ดีกว่าแก้ เท้าจึงตัดสินใจเดินเลี้ยวไปทางด้านขวาแทน
“เอ่อ..ใช่ คุณไฟครับ ที่จริงคุณควรจะกินข้าวด้วยนะครับเมื่อกี้นี้ คุณยังไม่ได้กินยาก่อนอาหารกลางวันเลย” สมุทรทักขึ้น ตามองนาฬิกาข้อมือของตนด้วยใบหน้าห่วงหน้าพะวงหลัง
“ลืมไปแล้ว” ผมตอบส่ง ๆ เมินหน้าหนี อีกฝ่ายเงียบ
“ยาอยู่ในรถไม่ใช่เหรอ ?” ผมพูด เผื่อว่าเขาจะตัดใจไม่บังคับให้เราต้องกลับไปที่รถในตอนนี้
“ครับ..งั้นเดี๋ยวผมกลับไปเอาให้นะครับ” สมุทรทำท่าจะไปจริง ๆ
“ไม่ต้องหรอกน่า! เดี๋ยวก็กลับแล้ว..กินยา กลับโรงแรม แล้วก็ไปกินข้าวที่โรงแรมพอดี” ผมรีบสรุปให้เสร็จ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายไปเนื่องจากขี้เกียจรอ ผมถอนหายใจพร้อมก้าวเดินต่อ
“ไม่มีอะไรให้น่าดูแล้วมั้ง” ผมออกปากบ่น มืออีกข้างที่ไม่ได้จับไม้เท้าอยู่ล้วงเข้ากระเป๋าสบาย ๆ สมุทรเดินตาม มือถือของพะรุงพะรังแต่คิดว่าคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงสำหรับเขา เราเดินผ่านซอยอีกสองซอยถัดไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าจะมีอะไรอีกหรือไม่ ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งใกล้เขตชุมชนมากขึ้นเท่านั้น นั่นหมายถึงมันกำลังสิ้นสุดร้านค้าเต็มทีแล้ว
“วันนี้ไม่รวมเดทนะ” ผมพูดท้วงขึ้นก่อน
แม่งไม่คุ้มสักหน่อย“แต่คุณพูดเองเมื่อเช้านี้ว่าวันนี้คือเดท” สมุทรย้อนเอาเรื่อง ผมเมิน คอตั้งตรงพลางกลั้นอมยิ้มไว้
“ฉันลืมไปว่าวันนี้ยังเป็นวันทำงานอยู่” ผมหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่ายพร้อมเลิกคิ้ว ย่นปากเข้าหากันกวนอารมณ์ สมุทรจ้องหน้าผมครู่หนึ่งและพ่นลมหายใจออกมา
“คุณนี่มันเชื่อถือไม่ได้จริง ๆ” อีกฝ่ายกัดฟันบ่นด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก
“หึ ๆ” ผมหัวเราะในลำคอเพราะเพิ่งได้เห็นสีหน้าแบบนี้ของเขาเป็นครั้งแรก
“อย่าพูดอะไรที่ทำให้ฉันเจ็บปวดสิ มันจะกระทบกระเทือนถึงแผลได้นะ” ผมโยนความผิด ก้าวขาเลี้ยวเข้าซอยขวามือโดยทันทีเพราะคาดว่าน่าจะเป็นทางที่ทะลุกลับไปที่ตลาดได้
ผู้ชายอย่างผมคงต้องยอมรับอย่างเห็นแก่ตัวว่า รูปลักษณ์ภายนอกเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจทางเพศของเราได้เป็นอันดับแรก เราทุกคนชอบมองของที่สบายตาอยู่แล้ว ผมมักรับรู้ได้ถึงกลิ่นบางอย่างที่แม้ผู้หญิงหรือผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าจะไม่สมบูรณ์แบบทั้งหมด
แต่จะต้องมีกลิ่นของฟีโรโมนที่สามารถทำให้เราแทบคลั่งได้ นั่นล่ะคือประเด็นหลัก
.. ผู้ชายแต่ละคนมีสัญชาตญาณของความเป็นผู้นำที่มีมากน้อยไม่เท่ากัน เคยมีคนพูดว่าผู้ชายมีสัญญาตญาณของนักล่า ผมไม่คิดอย่างนั้น สำหรับผม ผู้หญิงบางคนมีสัญชาตญาณนี้เยอะกว่าผู้ชายบางคนเสียอีก ความเป็น “แม่” ที่ทำทุกอย่างได้เพื่อลูก นั่นคือความเป็นผู้นำแบบที่เปรียบหาไม่ได้แล้ว
ผมไม่ค่อยล่าเนื้อเท่าไหร่ ไม่เคยกระเหี้ยนกระหือรือออกล่าเพื่อให้ได้คู่นอนมา ไม่ใช่คนประเภทที่จะสนอกสนใจที่จะคบใครพร้อมกันได้ถึงหลายคน ผมไม่ได้กำลังจะบอกว่าผมไม่สามารถมีอารมณ์ทางเพศกับคนหลาย ๆ คนได้ แน่นอนว่าผมมักมีอารมณ์ทางเพศกับสิ่งน่าสนใจได้เสมอนั่นละ แต่ในกรณีพิเศษ ผมกำลังหมายถึงกรณีพิเศษแบบที่ว่า ผมไม่เคยออกตัวจีบใครเพื่อให้ได้มาพร้อมกัน มากไปกว่านั้นมักจะหมดความสนอกสนใจ
“ใครสักคน” ในทันทีที่ได้เรียนรู้ตัวตนอีกฝ่ายเพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยค แต่ลึก ๆ แล้วผมเชื่อเหลือเกินว่าในชีวิตของเราอย่างน้อยจะต้องได้เจอ
#ใครสักคน ที่ทำให้เราอยากปล่อยตัวเองให้หลงกายหยาบนั้นได้แน่ ที่ผ่านมาผมไม่เคยตั้งคำถามว่าถ้าเมื่อเจอแล้วผมจะจัดการอย่างไรกับมันได้
เดินเข้าหาอย่างกับสิงโตที่จ้องจะตะครุบเหยื่ออย่างนั้นหรือ ? หึ..มันก็จะดูบ้าดีเดือดไปนิดหน่อย
“..........” ความคิดทำให้ผมหยุดเท้าที่จะเดินต่อ คนที่เดินขนาบข้างหยุดด้วยเช่นกัน เบื้องหน้าเป็นซอยลึกยาวออกไปไกล บ้านใกล้เรือนเคียงแถว ๆ นี้ค่อนข้างเงียบสงบกว่าซอยที่เราเพิ่งเดินผ่านมา หูผมเงียบฟังถึงความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างเรา และเมื่อเริ่มก้าวขาเดินต่ออีกครั้งสมุทรก็ก้าวเดินตามทันที ความรู้สึกรับรู้ได้ตลอดเวลาว่าอีกฝ่ายกำลังมองการกระทำของผมอยู่ มันทำให้รอยยิ้มผุดออกมาที่มุมปากอย่างห้ามไม่ได้
นั่นไม่มีสาเหตุนี่หรือเปล่า ???.. การเฝ้าคอยที่จะได้เห็นหน้า
.. การหยอกเอินที่สนุกแม้จะเล็กน้อย
.. การเคลื่อนไหวของร่างกายที่ค่อนข้างไม่เป็นธรรมชาติ
.. การกระทำที่พยายามดึงดูดให้อีกฝ่ายสนใจ
.. การทำให้อีกฝ่ายหลุดยิ้มเพราะเรา
.. การกระทบกันของร่างกายที่แม้เพียงนิดเดียวก็ทำให้หัวใจผิดเพี้ยน
.. การหลงใหลที่สามารถปิดบังความผิดในการกระทำนั้นได้
.. การสนอกสนใจที่มากไปจนหักห้ามตัวเองไม่อยู่
“..แล้วก็เป็นบ้า” ผมพึมพำกับตัวเอง คำตอบในใจที่ไม่เคยถาม ไม่เคยตรวจสอบตัวเองให้แน่ชัดเพราะคิดว่ามันไม่สำคัญ ตอนนี้กลับพยายามยืนยันเป็นคำตอบที่ตักเตือนผมอย่างชัดเจนว่า ความรู้สึกไม่เพียงพอกับคนข้าง ๆ นี้มันคือหลุมที่กำลังพยายามถีบให้ผมตกลงไป
“คุณว่าอะไรนะครับ ?” สมุทรรีบจ้ำเท้าให้ทันพร้อมก้มหน้ามาถามด้วยแววตาสงสัย ผมหยุดเดิน เบื้องหน้าตอนนี้คือใบหน้าของเขา
“หลุมดำน่ะ” ผมตอบลอย ๆ สมุทรเบิกตาฉงน อีกฝ่ายมองลงไปบนพื้นถนนเหมือนพยายามที่จะหาคำตอบ เมื่อเขามองแล้วไม่พบ
“หลุมดำ” ที่ผมพูดถึงบนพื้นถนนเขาก็หันมามองหน้าผมอีกครั้ง
“ฉันกำลังคิดว่า..” ผมเอ่ยก่อนทิ้งน้ำเสียงลงครู่หนึ่ง เรามองกันไม่วางตา
“ตอนนายแก้ผ้า จะต้องดูดีกว่าตอนใส่เสื้อผ้าแน่ ๆ ..ก็เลยรู้สึก” ผมทิ้งจังหวะเพราะสมุทรนิ่งไปแล้ว
“อยากจูบขึ้นมา” ผมกวาดตามอง รอยยิ้มแทบไม่ปรากฏออกมาบนใบหน้าของผมแต่ไม่รู้ทำไมผมแน่ใจว่าอีกฝ่ายคงเห็นอยู่แน่ว่าผมกำลังยิ้มอยู่ ร่างกายที่ต่างยืนนิ่งสนิทของเราทั้งคู่ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ขยับมองแววตาของกันและกัน ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ สมุทรยังคงไม่ขยับหนีจึงทำให้ผมหยุดการกระทำของตัวเอง เลือกที่จะจ้องเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายเท่านั้น
“เจอแล้วล่ะ” ผมยิ้มบอกกับตัวเอง หรือบอกเขาก็ไม่ทราบ สมุทรกะพริบตาเล็กน้อย ผมหันตัวกลับมาเดินต่อพลางแสยะยิ้มออกมาด้วยความพอใจในคำตอบ ผมเคยคิดมาเสมอว่าคนที่จะทำให้ผมสนใจเป็นพิเศษกว่าคนอื่นได้จะต้องมีความหมายมากพอให้ผมได้เสียเวลา ผมไม่เคยรู้เลยว่าจะคน ๆ นั้นจะเป็นคนลักษณะไหน แน่ละว่าเมื่อได้คำตอบแล้วคนนั้นที่ผมเลือกจะต้องไม่ทำให้ผมเสียใจที่ได้รู้สึกชอบน่ะนะ