❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

คุณทีมใคร????

ทีมปิญญ์ # หล่อเลวแบบนี้ใช่เลย จัดหนักจัดเต็ม
26 (15.3%)
ทีมขนมผิง # แกมาทำร้ายชั้นเรอะ ไม่ยอม ฉันจะเอาคืน
38 (22.4%)
ทีมแฝดลูกหมู # ปล่อยให้พ่อๆไปเคลียกันเอง มุ้งมิ้งกันสองคน
106 (62.4%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 170

ผู้เขียน หัวข้อ: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖  (อ่าน 291161 ครั้ง)

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
ทำไมไม่เปิดูผลตรวจอ่ะ จะได้รู้ๆไปเลยยยย :katai1:

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ขัดใจเรื่องไม่ยอมเปิดดูผลตรวจนี่แหละ  :katai1:


ออฟไลน์ white_destiny

  • รักไม่เคยมีจริง
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 873
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +378/-199
ทำไมปิญไม่เปิดผลตรวจดู
อะไรของนายนะปิญ
สมควรที่โดนแบบนี้

ออฟไลน์ armize

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เรื่องนี้สุดยอด. ขอบอกเลยมันมาก

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
ถอนหายใจหนักๆ
อยากให้ปิญญ์ล้มให้หนัก

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
งง คนทั่วไปไม่น่าต่อสู้กับความอยากรู้อยากเห็นได้ 100 % เลยต้องรีบเปิด ดูว่าเป็นลูกตัวเองหรือเปล่า  อาการปินส์ไม่ปกติมาก อ่านแล้วรู้สึกว่า มันตะงิดใจมากค่ะ ????

ออฟไลน์ VentoSTAG

  • ไม่รักอย่าทำให้มโนฯ GO AWAY!!!
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 606
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-9
เอือมอีตาปิญญ์แล้วอ่ะ นิสัยเดิมๆเลย เห็นว่ายอมรับว่าตัวเองผิดก็ไม่รับให้หมด
ยังจะคาดโทษคนอื่นอีก(จริงๆ มันก็ไม่ได้ผิดทั้งหมดนิ พ่อเค้าปลูกฝังมา)
หนมผิงเอาให้มันลงมาเดินดิน เด็ดปีกเทวดาทรามๆ ที่ชื่อปิญญ์ให้ร่วงเลยลูก
ให้มันมาเริ่มใหม่จากศูนย์ :katai1: :katai1: :a14: :a14:

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
15 คุณพ่อมือใหม่

 

              มื้อเช้าจบลงด้วยบรรยากาศที่แสนจะอึดอัด หน้าที่เก็บโต๊ะถูกโยนโครมลงมาที่ขนมผิงโดยปริยาย ถ้าเขาไม่ทำแล้วจะเป็นใครไปได้ บางทีการที่ปิญญ์ชานนท์ทำแบบนี้คงต้องการที่จะแก้แค้นให้เขาได้เจ็บใจ ต้องการที่จะให้เขาต้องอยู่ในความบงการโดยเอาภาพพวกนั้นมาข่มขู่ แต่ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าก็คือการที่อีกฝ่ายเอาลูกๆมาแอบอ้างใช้เป็นตัวประกันเพื่อให้เขาได้ยอมทำตามโดยง่าย

              ขนมผิงต้องจัดการล้างจานและเก็บทุกอย่างให้เข้าที่ดังเดิม ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จ ร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากครัวก็พบว่าลูกหมูสองตัวกำลังนั่งขนาบข้างกับร่างสูง ใบหน้ากลมแป้นเงยหน้ามองบางอย่างในมือของปิญญ์ชานนท์ตาเป็นมัน ยิ่งทำให้ขนมผิงแทบปรี่เข้าไปดึงเอาเด็กๆออกมาจากการล่อลวง

              ปิญญ์ชานนท์เป็นคนประเภทไหนกันถึงได้เอาขนมหวานมาหลอกล่อลูกของเขาอยู่เรื่อย ขนมผิงมองตาคู่กลมลุกวาวก็อดหงุดหงิดไม่ได้

              “ลูกผมไม่ใช่หมูนะจะได้เอาอะไรต่อมิอะไรให้กินทั้งวัน”ขนมผิงว่าพลางฉวยเอาแท่งช็อกโกแลตในมือของอีกฝ่ายแย่งเอามา

              “ฉันยังไม่ได้พูดเลยสักคำว่าลูกของนายเป็นหมูน่ะ…ถึงจะไม่ต่างเท่าไรก็เถอะ”

              ตาคู่ดุจ้องมองสองแสบร่างจ้ำม่ำสลับกัน มันก็จริงอย่างที่ปิญญ์ชานนท์ว่าว่าลูกของเขาไม่ต่างอะไรจากลูกหมูเลย ใบหน้าที่ทั้งกลมจนหน้าหยิก อีกทั้งรูปร่างเจ้าเนื้อชวนให้น่ากอด เลี่ยงไม่ได้เลยที่ขนมผิงจะคล้อยตาม

              “ยังไงก็ช่าง คุณจะให้เด็กๆกินขนมพร่ำเพรื่อแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

              “เด็กๆอยากกิน ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร นายจะอะไรนักหนา จริงไหม”ปิญญ์ชานนท์หันไปถาม

              แต่ดูเหมือนปลากริมกับสลิ่มจะไม่ค่อยได้สนใจคำถามของชายหนุ่มเลยเมื่อตาคู่กลมโตจ้องช็อกโกแลตในมือของขนมผิงแทบจะไม่กระพริบตา

              และแววตาอันอ้อนวอนที่ส่งมานั้นก็เป็นอาวุธชั้นดีที่ให้ขนมผิงใจอ่อน หากเขาไม่ยอมให้ขนมหวานในมือกับเด็กๆมีหวังอีกไม่นานเด็กๆคงจะร้องงอแงแน่

              “ป๊าจะให้กินช็อกโกแลต แต่ต้องมาเปลี่ยนแพมเพิตก่อน โอเคไหมครับ”ขนมผิงต่อรอง

              “ฮับ”

              “ฮ๊าบบบบบ”

              สองแสบรีบตอบรับตาเป็นประกาย

              “ยังไงนายก็ยอมอยู่ดี”เสียงแขวะแว่วมาจากใครบางคนเรียกให้ขนมผิงอดหันไปมองค้อนไม่ได้

              แต่นั่นปิญญ์ชานนท์ก็ทำเป็นไม่ใส่ใจและหันไปสนใจกับรายการทีวีตรงหน้าแทน เห็นดังนั้นขนมผิงจึงหันไปสนใจเปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูปให้กับเด็กๆแทน แต่เมื่อปลดกางเกงของลูกชายคนโตก็ทำให้เขาต้องชะงักกับสิ่งที่ได้เห็น

              “คุณปิญญ์!! คุณทำอะไรกับลูกของผม”ถามออกไปเสียงดัง

              “ทำอะไรที่นายว่ามันคืออะไรล่ะ”อีกฝ่ายเอี้ยวตัวมาถาม

              “ใครเป็นคนเปลี่ยนแพมเพิตให้เด็กๆ”

              “ฉันเป็นคนเปลี่ยนเอง จะมีใครมาเปลี่ยนให้อีกล่ะนอกจากฉัน”ปิญญ์ชานนท์ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านกับท่าทีไม่พอใจ

              ซึ่งนั่นทำให้ขนมผิงแทบอยากจะถอดเอาผ้าอ้อมสำเร็จรูปออกจากก้นของปลากริมแล้วปาเข้าไปที่อีกฝ่าย

              มีอย่างที่ไหนกันที่คนเราจะใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปให้กับเด็กหลับด้านโดยเอาข้างหน้ามาไว้ข้างหลังแบบนี้!!

              “คุณมันบ้าไปแล้ว คนดีที่ไหนเขาจะใส่แพมเพิตให้เด็กกลับด้านแบบนี้กัน”ขนมผิงต่อว่าเสียงดังอย่างเหลืออด

              ผู้บริหารที่เก่งกาจอย่างปิญญ์ชานนท์สอบตกเรื่องนี้โดยไม่ต้องส่งสัยเลย ถึงแม้ขนมผิงจะประหลาดใจที่ปิญญ์ชานนท์เป็นคนเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับเด็กๆ แต่กับแค่การใส่ผ้าอ้อมมันไม่น่าจะยากเย็นจนถึงกับใส่ผิดด้านกันได้ง่ายดายแบบนี้

              “ฉันจะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ ใส่แบบไหนมันก็เหมือนกันนั่นล่ะ”อีกฝ่ายยังคงเถียงข้างๆคูๆ

              “หรือว่าคุณใส่กางเกงในกลับด้านแบบนี้ล่ะ”

              “ใครจะไปใส่กางเกงในแบบนั้น ฉันก็เห็นว่าเด็กๆน่าจะฉี่บ่อยแล้วด้านนั้นมันหนามันน่าจะซับน้ำดีกว่า แล้วมันผิดตรงไหน”

              ช่างเป็นความคิดที่ทำให้ขนมผิงต้องเบ้ปากใส่อีกฝ่ายทันที

              “ช่างเถอะ คนอย่างคุณคงจะคิดเรื่องอื่นไม่เป็นนอกจากเรื่องเงินกับเรื่องดูถูกคนอื่น”

              “ฉันดูถูกก็เฉพาะคนที่สมควรโดนดูถูก”

              ปิญญ์ชานนท์เบือนหน้าหนี แต่ขนมผิงคงจะตาฝาดไปอีกล่ะมังที่เห็นหูของอีกฝ่ายขึ้นสีแดงเรื่อ หรือว่าปิญญ์ชานนท์จะรู้สึกอายกันนะที่ใส่ผ้าอ้อมให้เด็กๆผิดด้านทั้งที่เป็นเรื่องง่ายๆ แต่เขาเชื่อว่าคนหน้าด้านอย่างปิญญ์ชานนท์คงจะไม่อายอะไรง่ายๆแบบนี้หรอก

 

              -----------------------------------------------------------

 

              ตกสายปิญญ์ชานนท์ทำให้สิ่งที่ขนมผิงยิ่งรู้สึกว่าถูกบีบบังคับเมื่ออีกฝ่ายเอาโทรศัพท์ที่ไม่รู้ว่าเก็บเอาไปซ่อนตรงไหนเอามาให้เขา ขนมผิงจำใจต้องโทรบอกที่บ้านว่าพาเด็กๆมาพักร้อนกับเพื่อนที่เจอกันโดยบังเอิญตามที่อีกฝ่ายบอก แม้ว่าไม่อยากที่จะบอกออกไปแบบนั้น แต่ภาพรวมถึงคลิปวีดีโอที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายนั้นทำให้ขนมผิงยอมอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่อย่างให้เรื่องทุกอย่างมันต้องบานปลายโดยที่ท้ายที่สุดผลมันมาตกอยู่ที่ครอบครัว

               “พอใจรึยัง”ถามพลางยื่นโทรศัพท์คืนให้ และคำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือการไหวไหล่

              ริมฝีปากได้รูปขบเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อนึกถึงบทสนทนาของแม่เมื่อครู่ที่เอาแต่ถามไถ่อย่างเป็นห่วง

              “เสื้อผ้ากับของใช้ของผมคุณเอามันไปไว้ที่ไหน”

              “ฉันเก็บเอาไว้อย่างดีนายไม่ต้องห่วง ระหว่างนี้นายก็ใช้ของฉันไปก่อนแล้วกัน”

              “ผมไม่อยากใช้ของร่วมกับคนอย่างคุณ”

              “ถ้าอย่างนั้นนายจะไม่ใส่อะไรก็ได้ ฉันเองก็ไม่ขัดหรอกนะ นายคงไม่อายใช่ไหมในเมื่อฉันเคยเห็นมันมาหมดแล้ว”ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้ม

              ขนมผิงรู้สึกร้อนไปทั้งตัวเมื่ออีกฝ่ายทอดสายตามองเขาหัวจรดเท้า ราวกับว่าสายตาคู่นั้นมองเขาอย่างทะลุปรุโปร่งทั้งที่เขายังใส่เสื้อผ้าอยู่

              “คุยกับคุณก็เสียเสลาเปล่าๆ”ตัดบทก่อนจะเบือนหน้าหนีไปมองดูเด็กๆกำลังนั่งเล่นของเล่นใหม่หน้าทีวีกันเพลินๆ

              ของเล่นที่เด็กๆเล่นเป็นของเล่นใหม่ทั้งหมดที่ยังไม่ผ่านการแกะกล่อง ขนมผิงไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเอามันมาจากไหน แต่มันก็คงจะไม่พ้นอำนาจของเงินที่อีกฝ่ายถืออยู่สักเท่าไร

              ไม่ใช่แค่ของเล่นเท่านั้นที่ทำให้ขนมผิงแปลกใจ แต่รวมไปถึงเสื้อผ้า ของใช้เด็ก ขนมขบเคี้ยว และต่างๆนานาที่จำเป็นจะต้องใช้ ไม่รู้เลยว่าสถานที่แบบนี้มีของพวกนี้เตรียมพร้อมเอาไว้ได้ยังไง อดคิดไม่ได้เลยว่าปิญญ์ชานนท์นั้นเตรียมการสำหรับเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว

 

              ขนมผิงเดินเลี่ยงเข้ามาในห้องนอนเมื่อเด็กๆกำลังเพลิดเพลินกับการเล่น และเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องกลัวว่าปิญญ์ชานนท์จะขโมยเอาลูกๆไปเมื่อเขาทั้งคู่นั้นติดอยู่ที่เกาะนี้เหมือนๆกัน

              มือผอมเปิดเอาประตูตู้เสื้อผ้าออกเมื่อสำรวจดูข้างใน แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เสื้อผ้าของเด็กๆนั้นถูกเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว ภายในตู้เสื้อผ้าถูกแบ่งอย่างเป็นสัดส่วนระหว่างเสื้อผ้าเด็กกับเสื้อผ้าของปิญญ์ชานนท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วมันไม่มีเสื้อผ้าสำหรับเขาเลยสักชิ้น ไม่มีแม้แต่กางเกงชั้นในขนาดพอดีตัวกับเขาเลย

              แต่เรื่องเสื้อผ้าในเวลานี้มันไม่สำคัญเท่ากับเครื่องมือสื่อสารที่ขนมผิงต้องการจะใช้มันในเวลานี้ แต่ยิ่งค้นเท่าไรก็ดูเหมือนว่าจะไม่เจออะไรที่สามารถเอื้อประโยชน์ได้เลย

              ขนมผิงได้แต่ถอนหายใจก่อนจะมองไปยังเตียงเดี่ยวสองเตียงที่ตั้งอยู่กลางห้อง อดคิดไม่ได้เลยว่าคืนนี้เขากับเด็กๆจะนอนกันยังไงในเมื่อเตียงมีแค่สองเตียง และขนาดของมันก็รองรับได้แค่ผู้ใหญ่คนเดียว

              ขนมผิงถอนหายใจอีกครั้งอย่างปลงตก เขากับลูกจะต้องอยู่ที่นี่อีกเจ็ดวันในสภาพไหนกันนะ เวลาเจ็ดวันมันช่างล่าช้าราวกับเจ็ดเดือน ไม่อยากจะคิดเลยว่าระหว่างนี้เขาจะต้องถูกปิญญ์ชานนท์ดูถูกดูแคลนอีกสักกี่ครั้งเชียว

              “นั่นนายกำลังหาอะไรอยู่ล่ะ”เสียงทุ้มถามเรียกให้หันไปมองร่างสูงกำลังยืนกอดอกพิงกรอบประตู

              “ก็แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะ”ย้อนถามกลับไปพลางปิดประตูตู้เสื้อผ้าลง

              “เกี่ยวสิ นายก็รู้ดีว่านายกับฉันเกี่ยวข้องกันยังไง”

              “ผมกับคุณเป็นแค่เพื่อนร่วมโลกที่แย่งอากาศหายใจกันแค่นั้น”ขนมผิงตอบอย่างไม่หยี่ระกับอีกฝ่ายสักเท่าไร

              ซึ่งนั่นก็ทำให้ร่างสูงดูน่าเกรงขนมของปิญญ์ชานนท์สาวเท้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าคมคายไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใดใด ทพให้ยากที่จะคาดเดาว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่

              “จนป่านนี้ยังจะไม่ยอมรับอีกรึไงว่านายอยู่ในฐานะอะไร…ทุกอย่างของนายก็คือ…ของฉัน”

              ในตาคู่ดุจ้องลึกเข้ามาจนขนมผิงนึกใจสั่น เหมือนเดิมที่ใบหน้านั้นยังไม่แสดงออกถึงอารมณืใดใดทั้งสิ้น

              “คู่แข่ง”ขนมผิงพูดออกไปเสียงเบา

              “คู่แข่งอะไร?”

              “ผมกับคุณอยู่ในฐานะของคู่แข่งยังไงล่ะ คู่แข่งที่สักวันหนึ่งจะทำให้คนอย่างคุณเต้นเป็นเจ้าเข้ายังไงล่ะ”ขนมผิงแสยะยิ้ม

              ปึง!!!

              ทว่าก็สะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงปึงดังอยู่ข้างหู ห่างจากใบหน้าเขาไปเพียงไม่กี่เซนเท่านั้นที่หมัดของอีกฝ่ายจะกระแทกลงมาอย่างแรง แต่ที่ผิดคาดคือมันเฉียดใบหน้าของเขาไปแค่ปลายก้อยแล้วไปลงเอาที่ตู้เสื้อผ้าแทน

              แต่เหนือสิ่งอื่นใดตาคู่สวยต้องเบิกกว้าง ลมหายใจสะดุดราวกับถูกดูดดึงขโมยเอาไปก็คือริมฝีปากหยักที่กดลงมาทาบทับบนริมฝีปากของเขาอย่างรุนแรง อารามตกใจทำให้ขนมผิงก้าวถอยหนี แต่ก็ไปไหนไม่รอดเมื่อแผ่นหลังชิดติดกับตู้เสื้อผ้า

              ร่างกายราวกับถูกไฟช๊อตให้หยุดนิ่ง รวบรวมแรงทั้งหมดผลักอกให้อีกฝ่ายถอนจูบออกไป มีเพียงเสียงลมหายใจที่พรูออกมาจากจมูกของอีกฝ่ายเท่านั้นที่ขนมผิงได้ยิน เขายกมือขึ้นมาขยี้เช็ดปากตัวเองอย่างรังเกียจกับจูบที่ไม่เต็มใจจะตอบรับ

              “ขยะเขยง!!”สบถออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบทั้งที่ก้อนเนื้อในอกกำลังเต้นรัว

              “ในระหว่างที่อยู่ที่นี่ ฉันไม่ต้องการได้ยินหรือว่าคุยเรื่องงาน จำเอาไว้!!หากนายขืนพูดเกี่ยวกับเรื่องงานแม้แต่คำเดียวฉันไม่หยุดไว้แค่นี้แน่”

              ขนมผิงรับรู้ได้ทันทีว่าปิญญ์ชานนท์นั้นไม่พอใจเขาเรื่องอะไร ใบหน้าหล่อเหลานั้นแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นขนมผิงไม่คิดที่จะสนใจอยู่แล้วในเมื่อเขาไม่จำเป็นจะต้องฟังคำสั่งของปิญญ์ชานนท์ตราบใดที่มันไม่มีผลกระทบกับข้อต่อรอง

              “ปะป๊า”เสียงเบาโหวงเรียกก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาในห้องนอน

              “เข้ามาทำไมครับ ทำไมไม่เล่นกันข้างนอกล่ะ”ขนมผิงถาม

              “กิมได้ยินเสียงดัง น้องหลิ่มกลัว เสียงอะไรเหรอฮับ”เจ้าตัวกลมคนพี่เงยหน้าขึ้นมาถามท่าทางตกใจ

              “ไม่มีอะไรครับ คุณลุงซุ่มซ่ามสะดุดล้มไปโดนตู้น่ะครับ ปลากริมอย่าเอาอย่างนะครับ”แกล้งตอบจงใจให้ปิญญ์ชานนท์ดูเสียหน้า

              จะเรียกว่าตัดคะแนนความนิยามจากอีกฝ่ายก็ได้เมื่อตอนนี้เด็กๆพากันติดปิญญ์ชานนท์แจไม่ยอมห่าง ไม่อยากจะยอมรับแต่ก็ต้องยอมเมื่อวูบหนึ่งใจของขนมผิงนั้นรู้สึกกลัวว่าความสนิทสนมเกินจำเป็นในครั้งนี้จะทำให้เสียเด็กๆไป

              เขาคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิอยู่ใกล้กับเด็กๆ เขาคนเดียวก็พอสำหรับปลากริมและสลิ่ม แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าเด็กๆต้องการพ่ออีกแล้ว เขามั่นใจพอว่าเขาสารถทดแทนในส่วนที่ขาดหายไปได้

แค่ผมเท่านั้น แค่ผมคนเดียวก็พอที่จะได้อยู่ใกล้ เด็กๆไม่ได้ต้องการพ่อ เขาต้องการเพียงแค่ผม

              “คุณลุงไม่เจ็บหรอกครับ ปะป๊าว่าปลากริมไปเล่นกับน้องข้างนอกดีกว่า”ขนมผิงไล่ลูกชายทางอ้อมเพื่อให้อยู่ไกลจากอีกฝ่ายมากที่สุด

              “ใครบอกว่าฉันไม่เจ็บล่ะ ฉันเจ็บ เจ็บตรงนี้”

              แต่ปิญญ์ชานนท์ก็แย้งขึ้นมา หนำซ้ำยังย่อตัวลงไปชี้หน้าผากตัวเอง แต่มันจะเจ็บได้ยังไงในเมื่อหัวของปิญญ์ชานนท์นั้นไม่ได้กระแทกกับอะไรเลย!!

              เขามันเจ้าเล่ห์!!

              และที่ใสซื่อจนขนมผิงหงุดหงิดคงไม่พ้นร่างจ้ำม่ำของลูกชายคนโตเดินต้วมเตี้ยมเข้าไปหาอีกฝ่ายก่อนจะเป่าลงไปบนหน้าผาก

              “ฟู่วววว”

              ดูเหมือนปิญญ์ชานนท์จะอยากเยาะเย้ยขนมผิงมากเมื่อตาคู่เจ้าเล่ห์นั้นกำลังเหลือบมองมาที่ขนมผิงราวกับโอ้อวด แทบอยากจะปรี่เข้าไปดึงตัวลูกชายออกมาหากไม่กลัวว่าลูกชายจะตกใจเสียก่อน

              “ฉันไม่เจ็บแล้วล่ะ เก่งมาก”มือใหญ่ลูบหัวทุยๆไปมาคล้ายให้รางวัล

              ขนมผิงได้แต่มอง จะทำหน้าไม่พอใจมากก็ไม่ได้ กลัวว่าปลากริมจะเห็นเข้าแล้วพาลเข้าหาอีกฝ่ายมากกว่า

              “หลบไปสิ”ปิญญ์ชานนท์ยืดตัวขึ้นยืนก่อนจะคว้าเอาร่างจ้ำม่ำขึ้นมาอุ้มแนบอก

              บอกได้เลยว่าอารมณ์หวงลูกของขนมผิงในตอนนี้กำลังปะทุขั้นมาจนเกือบจะถึงขีดสุด แต่ก็แสดงออกมากมาไม่ได้ เขากลัวเหลือเกินว่าเด็กๆจะให้ความสำคัญกับปิญญ์ชานนท์มากกว่า!!

              และเมื่อไม่ยอมหลบก็ต้องถูกเบียดจนเซออกมาจากหน้าตู้เสื้อผ้า ปิญญ์ชานนท์เปิดประตูตู้เสื้อผ้าอย่างใจเย็นทั้งที่แขนทั้งหนึ่งยังอุ้มเอาปลากริมเอาไว้ ชายหนุ่มรื้อค้นเอาอะไรบางอย่างออกมา

              อะไรบางอย่างที่ทำให้ขนมผิงหรี่ตาจ้องมองไม่วางตา กางเกงว่ายน้ำตัวจิ๋วที่เหมือนกันสองตัวถูกหยิบออกมาจากตู้ รวมถึงกางเกงว่ายน้ำของปิญญ์ชานนทท์เองก็ด้วย

              “คุณเอามันออกมาทำไม”

              “ฉันจะพาเด็กๆไปเล่นน้ำหน้าบ้าน”

              “ไม่ได้ ผมไม่อนุญาต!!”

              “ฉันก็ไม่ได้ขออนุญาตนายนี่”

              หากเปรียบขนมผิงเป็นกาต้มน้ำ น้ำที่อยู่ในกาตอนนี้คงจะเดือดจนแทบจะดันฝาปิดออกมาได้เลยทีเดียว ทว่าก็ทำได้เพียงแต่จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยใบหน้าไม่พอใจเล็กน้อยเท่านั้น

              “ปะป๊า”พอปฏเสธก็ยิ่งแล้วใหญ่เมื่อเสียงเล็กๆเรียกเบาๆคล้ายจะอ้อนวอน

              “ผมไม่อนุญาต”ขนมผิงยืนยันคำเดิม

              “ฉันไม่จำเป็นต้องขออนุญาต”

              “แต่ปลากริมกับสลิ่มเป็นลูกของผม!! คุณจะมาพาลูกคนอื่นไปไหนมาไหนตามอำเภอใจไม่ได้นะคุณปิญญ์”

              บอกออกไปแบบนั้นถึงแม้ว่าขนมผิงจะรู้ดีอยู่เต็มอกว่าพ่อของเด็กแฝดคู่นี้คือคนที่เขากำลังพูดด้วยอยู่

              แต่ในเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธในการมีตัวตนของเด็กๆไปตั้งแต่แรกแล้ว มันก็หมายถึงการที่ไม่มีสิทธิแม้จะแตะต้องด้วยซ้ำ

              “ฉันจะยอมขออนุญาตนาย ถ้าหากเด็กสองคนนี้เป็นลูกของนายแค่คนเดียว”ปิญญ์ชานนท์ตอบกลับมาก่อนจะอุ้มเอาลูกชายคนโตออกไป

              และนั่นก็ทำให้ขนมผิงตัวชากับคำพูดแฝงความนัยน์ของอีกฝ่าย มันหมายความว่ายังไงกันแน่กับสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์พูด!!

              “คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”ขนมผิงเดินตามมาติดๆก่อนจะถามออกไป

              “นายก็คิดเอาเองสิ เอานี่ไป! ถ้าว่างมากนักล่ะก็ใส่นี่ให้ลูก”

              กางเกงว่ายน้ำตัวหนึ่งถูกโยนมาให้ ขนมผิงจึงต้องรับเอามาใส่ให้สลิ่มอย่างเลี่ยงไม่ได้…ทั้งที่ยังไม่ได้คำตอบจากคำถามที่ถามออกไป

 

              ขนมผิงอุ้มเอาสลิ่มเดินลงมายังชายหาดหน้าบ้านตามร่างสูงที่เอาตัวแสบคนพี่นั่งขี่อยู่บนคอ

              “ปะป๊า ขี่คอแบบนั้น”สลิ่มชี้ไปที่พี่ชายที่กำลังนั่งอยู่บนคอของชายหนุ่ม

              “แน่ใจนะครับ”ขนมผิงถามพลางกลืนน้ำลายลงคอ

              และนั่นก็ทำให้ปิญญ์ชานนท์มองมาคล้ายเป็นการเยาะเย้ย ลูกๆของเขาใช่ตัวเล็กๆซะที่ไหนล่ะ ด้วยวัยสองขวบเกือบจะสามขวบรูปร่างติดไปทางเจ้าเนื้อออีกทั้งยังโตไวกว่าเด็กทั่วไปทำให้เขาค่อนข้างคิดหนักที่จะทำตามคำขอของลูกชาย แค่อุ้มนานๆเขาก็รู้สึกเมื่อยแล้ว แต่ปิญญ์ชานนท์นั้นกลับยกเอาทั้งสองคนขึ้นมาอุ้มพร้อมกันได้สบายๆ

              “ฮับ อยากขี่แบบยุงปิน”

              “เอางั้นก็ได้ครับ”เมื่อลูกชายคนเล็กยืนยันเขาก็ต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

              คลื่นน้ำยังคงสาดซัดเข้ามากระทบฝั่ง ขนมผิงกับปิญญ์ชานนท์ยืนอยู่ในระดับน้ำไม่ลึกมาก ไม่ลืมที่จะสวมห่วงยางแบบปลอกแขนให้กับเด็กๆ อีกทั้งยังคอยจับเด็กๆเอาไว้ไม่ยอมปล่อยในขณะที่เด็กๆพากันเล่นน้ำอย่างสนุกสาน

              ทว่าปิญญ์ชานนท์ก็ยังคงสอบตกในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอยู่ดีเมื่อมือใหญ่คอยจะจับเด็กๆโยนขึ้นฟ้าให้เด็กๆส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก บ้างก็จับโยนลงน้ำบ้างให้ขนมผิงต่อว่า แต่นั่นอีกฝ่ายก็ทำเป็นไม่ได้ยินอยู่ดี

              “เย้ พี่กิมหลิ่มมาแล้ววว”สลิ่มร้องดีใจพลางเกาะหัวของขนมผิงเอาไว้แน่นเมื่อถูกจับขึ้นมานั่งขี่คออย่างที่ขอ

              “มาแข่งกันไหมใครฉูงกว่า”ปลากริมยิ้มกว้างจนเห็นเหงือก

              “มาเยย แข่งกัน”สลิ่มรับคำท้า

              ความไร้เดียงสานั้นรีบตอบกลับไปโดยไม่ดูเลยว่าความสูงของเขานั้นแตกต่างจากปิญญ์ชานนท์แค่ไหน

              “ฮ่าๆ ของหลิ่มเตี้ยกว่า”

              “ไม่ใช่ ฉูงกว่าต่างหาก ปะป๊าฉูงอีก ฉูงๆ”พอโดนพี่ชายล้อก็หน้ามุ่ยออกปากสั่งยกใหญ่

              “ยุงปินฉูงอีกฮับ”

              “ปะป๊าฉูงๆอีก”

              “ยุงปิญญ์เอาอีก”

              “ปะป๊า ฉูงๆ”

              กลายเป็นว่าขนมผิงต้องเหยียดปลายเท้าออกเพื่อที่จะตามใจลูกชายให้ลูกชายได้ยืดมือขึ้นต่อให้สูงอีกแข่งกับคนพี่

              แต่ดูเหมือนว่าไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันของเด็กๆซะแล้วเมื่อริมฝีปากหยักจงใจเหยียดยิ้มเย้ยให้ขนมผิงยอมไม่ได้และเขย่งปลายเท้าให้สูงขึ้นอีก

              “เย้ ปะป๊า เอาอีก”สลิ่มพอเห็นว่าสูงขึ้นก็ได้ใจสั่งยกใหญ่ ไม่ได้ดูเลยว่าขนมผิงนั้นเขย่งปลายเท้าจนสุดแล้ว

              “จะชนะแย้วฮับปะป๊า”

              “พอรึยังครับ”ขนมผิงถาม

              ไม่วายถลึงตาใส่อีกฝ่ายเมื่อใบหน้าที่กวนประสาทนั้นทำให้เขาเริ่มที่จะหงุดหงิดมากขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นก็คือตาคู่คมกริบกำลังจ้องมองมาที่เขา สายตาไล่ไปทั่วผิวกายท่อนบนของเขาอย่างหยาบคาย

              “เท่ากันแย้วฮับ แต่ต้องฉูงอีก”

              “แต่ปะป๊าไม่ไหวแล้วนะครับ ฮะ ฮึก”

              ขนมผิงสะดุ้งเฮือก ไม่ทันตั้งตัวปิญญ์ชานนท์ก็ก้าวเข้ามาใกล้จนเกือบชิด แขนแข็งแรงโอบเอาเอวสอบของขนมผิงดึงให้เซเข้าไปใกล้ มือใหญ่ลูบลงมาที่บั้นเอวชวนให้ขนลุก ขนมผิงนึกเคืองตัวเองทันทีที่ไม่ได้ใส่เสื้อเพราะไม่อยากจะยอมแพ้อีกฝ่ายที่โชว์แผ่นอกแข็งแรงเรียกคะแนนจากเด็กๆ

              “ทะ ทำอะไรของคุณ!!”

              ตอนนี้ระยะห่างแทบจะไม่หลงเหลือเมื่อเอวกำลังถูกโอบเอาไว้ ใกล้จนขนมผิงได้ยินเสียงลมหายใจจากอีกฝ่ายที่เป่ารดลงมาบนใบหน้า

              “นายจะพยายามไปทำไมในเมื่อรู้อยู่ว่าต้องแพ้อยู่ดี”

              “ถ้าไม่ลองทำก็ไม่รู้หรอกว่าจะทำได้หรือไม่ได้”

              ขนมผิงเบือนหน้าหนีเมื่อประโยคของอีกฝ่ายนั้นราวกับแฝงความนัยน์เอาไว้ มือข้างหนึ่งที่ว่างจากการจับเจ้าตัวแสบด้านบนยันอกเปลือยชุ่มน้ำไม่ให้เข้ามาใกล้ไปมากกว่านี้

              “แล้วนายจะดันทุรังทำไปทำไมในเมื่อมันไม่มีประโยชน์”

              “ผมทำทุกอย่างเพื่อลูกๆของผม จะอะไรผมก็ทำทั้งนั้น ผมไม่สนหรอกว่าทำได้หรือไม่ได้”

              “แล้วตัวนายล่ะ มีความสุขหรือเปล่า”

              “แน่นอน ถ้าลูกผมมีความสุขผมก็มีความสุข…ถอยออกไป!!”ความที่ปิญญ์ชานนท์เข้ามาใกล้อกีทั้งใบหน้านั้นโน้มลงมาทำให้ขนมผิงออกปากไล่อีกฝ่ายทันที

              “อะไรกัน ไหนบอกว่าถ้าลูกมีความสุขก็จะยอมไงล่ะ”ปิญญ์ชานนท์ว่าพลางเหลือบตาขึ้นไปมองเด็กๆข้างบน

              “มานี่ คิสกัน คิสกัน”เจ้าตัวกลมตอนนี้พากันกอดกันแน่นพลางจุ๊บปากรักกันแบบที่เคยสอนไว้

              กิจกรรมของเด็กๆนั้นเลี่ยงไม่ได้เลยที่ทำให้ขนมผิงต้องอยู่เฉยเพื่อที่จะไม่ขัดจังหวะ

              “รักกัน คิสคิส จุ๊บ”

              ไม่รู้ว่าลูกๆจะมาคิสอะไรกันตอนนี้ตอนนี้ยังนั่งอยู่บนคอของคนอื่น ขนมผิงแทบจะยกมือขึ้นมากุมขมับกับความใกล้ชิดจนได้กลิ่ลมหายใจจากอีกฝ่าย

              “จุ๊บ!!”

              และสัมผัสอุ่นวาบโฉบลงมาบนแก้มทำเอาขนมผิงตาโตจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจในสิ่งที่คาดไม่ถึง ขนมผิงจ้องมองแววตาที่ดูเหมือนจะพึงพอใจของอีกฝ่าย

              “คุณมันโรคจิต!!”บอกพลางเสียงเบาจ้องมองอีกฝ่ายตาขวางเพื่อไม่ให้ลูกได้ยินแล้วจำเอาไปพูด

              “หึหึ”

              มีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอของอีกฝ่ายเท่านั้นที่ทำให้ขนมผิงอยากจะผลักอีกฝ่ายให้ล้มลงไปแล้วต่อยเข้าไปที่ใบหน้ายียวนนั้นแรงๆ แต่เขาก็ทำไม่ได้เมื่อกำลังเสียเปรียบเพราะตัวกลางอย่างเด็กๆกำลังอยู่ด้วย

              “ปะป๊ากับยุงปินคิสกัน เย้ๆ”

              “ปะป๊ายักยุงปิน ยักกันๆ”

              คำว่ารักทำให้หัวใจของขนมผิงกระตุกวูบ คนอย่างปิญญ์ชานนท์น่ะเหรอจะรู้จักคำว่ารัก หากว่าคนไร้หัวใจแบบนั้นรู้จักคำว่ารักทุกอย่างมันก็คงจะดีกว่านี้…เขาคงไม่ต้องมานั่งเคียดแค้นอีกฝ่ายมากเท่านี้

              ขนมผิงไม่อยากจะคิดเลยว่าอีกหกวันที่เหลือจะต้องทนกับอะไรบ้างทั้งที่เขาทั้งเกลียดทั้งชังอีกฝ่าย แต่ทำไมกันนะเขาถึงต้องมาติดอยู่ที่นี่และต้องใกล้ชิดกับอีกฝ่ายขนาดนี้

              แล้วทำไมกันนะ ทำไมปิญญ์ชานนท์ในเวลานี้ถึงได้ทำดีกับเด็กๆราวกับว่ากำลังรับบทบาทของความเป็นพ่ออยู่…ทำราวกับไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับเขามาก่อน

 

              --------------------------------------------------------------------
มีต่อ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 07:26:31 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
ต่อ
 

              มื้อกลางวันเป็นอาหารง่ายๆอย่างไข่เจียวกุ้งสับใส่แครอทสับเล็กน้อยเพื่อให้เด็กๆได้รับสารอาหารเพิ่มเติม ไม่นานหลังจากกินข้าวเสร็จ เด็กๆก็พากันหนังท้องตึงหนังตาหย่อน ขนมผิงจึงต้องพาเอาเด็กๆเข้านอนกลางวัน เจ้าตัวเล็กขยี้ตาปริบๆไปมาพลางเกาะชายเสื้อของเขาเอาไว้หลวมๆแล้วเดินตาม

              “นายจะพาลูกไปไหน”

              “จะภามทำไม”

              “ฉันไม่ได้ถามเพื่อให้นายถามกลับ”ปิญญ์ชานนท์พูดข่มเสียงพลางยื่นหน้าเข้ามาจนชิด จมูกโด่งอยู่ห่างแก้มของเขาเพียงแค่คืบ

              “ผมจะเอาเด็กๆเข้านอน”

              “นอนตอนนี้?”

              “ก็ใช่ เด็กๆต้องนอนกลางวัน คุณไม่รู้รึไงครับคุณปิญญ์”ขนมผิงบอกอย่างไม่ใส่ใจสักเท่าไร

              เรื่องแค่นี้อีกฝ่ายยังไม่รู้เลย นับประสาอะไรกับกการที่เขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่กับเด็กๆตามลำพัง

              “จำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องนอนตอนนี้”

              “คุยกับคุณก็เสียเวลาเปล่าๆ หลบไป”

              ขนมผิงตัดบทก่อนจะเบี่ยงหลบเข้ามาในห้องนอนแล้วอุ้มเอาสองแฝดขึ้นมานอนบนเตียง ไม่ลืมที่จะห่มผ้าให้ ตาคู่สวยเฝ้ามองเด็กๆพากันผล็อยหลับก่อนที่จะซุกกายเข้ากอดกันอย่างเคยชิน

 

              ขนมผิงออกมาข้างนอกอีกทีก็เมื่อเด็กๆหลับสนิทดีแล้ว ตั้งใจว่าจะมาเตรียมอาหารมื้อเย็นเพราะเห็นว่าในตู้เย็นมีของทะเลอัดแน่นอยู่เต็มตู้ แปลกใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าไม่เจอเข้ากับเจ้าของสีหน้ากวนอารมณ์นั่งอยู่ที่โซฟา แต่ก็ดีเมื่อมันทำให้เขาหายอึดอัดขึ้นเยอะในตอนที่อีกฝ่ายไม่อยู่

              และเมื่อกำลังกาวเดินเข้าไปในครัว ขนมผิงก็ต้องชะงักเท้าเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงของปิญญ์ชานนท์แว่วออกมาคล้ายจะคุยกับใคร แต่แม้จะเงี่ยหูฟังก็ยังได้ยินไม่ชัดเจนอยู่ดี

              “ผมได้คำตอบที่คุณถามผมแล้ว”

              “ผมคิดว่าผมต้องการมองเห็นพวกเขาตลอดเวลา”

              “ก็ได้ แล้วผมจะลองไปคิดดู”

              ปิญญ์ชานนท์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร?

              แล้วคุยอยู่กับใครกัน?

              เสียงเงียบไปพักใหญ่ทำให้ขนมผิงแน่ใจว่าอีกฝ่ายเลิกคุยโทรศัพท์ไปแล้ว ถึงได้เดินย้อนมายังห้องนั่งเล่นแล้วนั่งลงบนโซฟาทำทีว่าไม่รู้เรื่องอะไร

              หากว่าปิญญ์ชานนท์คุยโทรศัพท์ที่ในครัว ก็แสดงว่าปิญญ์ชานนท์เก็บโทรศัพท์ซ่อนเอาไว้ในครัวสินะ

              “เด็กๆหลับไปแล้วรึไง?”เสียงทุ้มถามพลางหรี่ตามอง

              “ใช่”

              “ฉันมีอะไรอยากจะถามนายหน่อย”เจ้าของร่างสูงใหญ่ทิ้งกายลงข้างๆกัน

              “มีอะไรล่ะครับ”ขนมผิงถามพลางขยับหนีเมื่อปิญญ์ชานนท์นั่งลงมาเบียด

              “นายเป็นลูกแท้ๆของคุณพิศณุจริงๆใช่ไหม”

              “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ”คำถามของปิญญ์ชานนท์ทำให้ขนมผิงถามกลับไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวทันที

              คำถามนี้ราวกับเป็นการดูถูกแม่ของเขาไม่ใช่รึไงว่าเป็นพวกหลายสามี

              “ฉันถามก็ตอบคำถามฉันมา”

              “ใช่ ถ้าใช่แล้วจะทำไม คุณจะทำอะไร จะดูถูกผมกับแม่ผมเหมือนที่เคยทำรึไง”

              “ฉันถามนายดีดีนะขนมผิง นายอย่ามาหาเรื่องกันได้ไหม”

              จบคำพูดแขนก็ถูกดึงเข้าไปหา

              “อย่ามาแตะตัวผม มันน่าขยะแขยงคุณไม่รู้รึไง”

              ขนมผิงผลักอกอีกฝ่ายเอาไว้ แต่นั่นเป็นเหมือนการจุดระเบิดเวลาเมื่อปิญญ์ชานนท์โถมกายเข้ามาใส่ก่อนจะจับไหล่ทั้งสองข้างของเขาเอาไว้แน่น ท่าทีไม่พอใจ

              “ยังจะกล้าพูดว่าขยะแขยงผัวตัวเองอีกรึไง ฉันอุตส่าห์ใจเย็นกับนายแล้วนะ!!”อีกฝ่ายกัดฟันบอก

              “คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสวมหน้ากากนี่”

              “อย่ามายั่วโมโหฉันนะขนมผิง ตอบมาแค่ว่าว่าใช่หรือไม่ใช่”

              “คุณก็อย่ามาบังคับผมให้มันมากนักนะ”

              ขนมผิงยกเท้าขึ้นมาถีบเข้าที่หน้าท้องแข็งแรงของอีกฝ่ายอย่างแรง แต่ดูเหมือนว่าปิญญ์ชานนท์จะรู้ทันและโถมน้ำหนักลงมากดทับ

              “อย่ามาดื้อด้านนะขนมผิง”

              “คุณเองก็อย่ามายุ่งกับครอบครัวของผม อย่ามาแตะต้องลูกผม อื้อ!!”

              ไม่ทันจะพูดจบริมฝีปากหยักก็กระแทกลงมาอย่างรุนแรง ร่างถูกกดให้นอนราบลงไปบนโซฟา

              “อื้อ ปล่อยสิ บ้าเอ้ย!!”

              ขนมผิงพยายามเบี่ยงหน้าหลบ แต่กลับกลายเป็นว่าริมฝีปากของปิญญ์ชานนท์นั้นเลื่อนลงไปซุกไซร้าที่ซอกคอของเขาแทน

              “นายผิดเองนะที่ยั่วโมโหฉัน”ปิญญ์ชานนท์ว่าพลางระดมจูบไม่หยุด

              มือใหญ่ข้างหนึ่งกดช่วงคอของขนมผิงเอาไว้ไม่ให้ดิ้นไปมากกว่านี้ มืออีกข้างก็ดึงเอาชายเสื้อของเขาขึ้นมาก่อนจะเคล้นคลึงไปทั่วร่างกาย

              “คุณบ้าไปแล้วรึไง เด็กๆอยู่ข้างใน”

              “นายจะยอมตอบคำถามฉันดีดีหรือว่าจะให้ฉันทำจนเด็กๆตื่นขึ้นมาเห็นฉันกับนายกำลังเล่นสนุกกันอยู่ล่ะ”ปิญญ์ชานนท์เงยหน้าขึ้นมาถาม

              วิธีสกปรกทำให้ขนมผิงนึกชังอีกฝ่าย

              “ผมก็ตอบไปแล้วไงว่าใช่”

              ขนมผิงเบือนหน้าหนีริมฝีปากที่ฉกลงมาอีกรอบ อดที่จะใจเต้นแรงกับสิ่งที่เกิดไม่ได้ หลายครั้งของวันแล้วที่ปิญญ์ชานนท์มักจะฉวยโอกาสทำเรื่องน่ารังเกียจกับเขา มันมากเกินไปที่ขนมผิงจะรับไหวกับความเกลียดชังที่มีต่ออีกฝ่าย

              “ถ้าอย่างนั้นนายก็หยุดกวนโมโหฉันสักที”ปิญญ์ชานนท์ยอมลุกออกไปในที่สุด

              “คนแบบคุณมันน่ารำคาญ”

              “ต้องเป็นเหมือนนายวุฒิรึไงนายถึงจะชอบน่ะ”

 

              ปิญญ์ชานนท์ประชดประชันกลับมา และนั่นทำให้ขนมผิงนึกขึ้นได้ว่าหลังจากงานเลี้ยงเปิดตัวเขาเองก็ไม่ได้พบกับคุณวุฒิอีกเลย ขนมผิงเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าคุณวุฒิจะอยู่ต่อ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังให้อีกฝ่ายหายไปจากชีวิตแบบนี้

              “คนอย่างคุณเทียบเขาไม่ได้หรอก”

              “แล้วจะต้องเป็นแบบไหนล่ะ นายถึงจะยอมรับ”ชายหนุ่มถามกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง

              “แบบไหนผมก็ไม่ยอมรับทั้งนั้น…ถ้าเป็นคุณ”

              “นั่นนายจะไปไหน!!”ปิญญ์ชานนท์ถามเมื่อมือผอมกำลังเลื่อนประตูกระจกบานใสที่กั้นระหว่างระเบียงกับภายในบ้านออก

              ขนมผิงไม่ตอบแต่กลับเดินออกมาและปิดประตูบานเลื่อนลงราวกับว่าไม่ได้ยินคำถามของอีกฝ่าย

              ส่วนลึกของเขากำลังถูกสั่นคลอนเมื่อปิญญ์ชานนท์กำลังก้าวเข้ามาเป็นส่วนเกินในชีวิตในตอนที่เขาคิดว่ามันไม่จำเป็น ห้ามไม่ให้ความคิดบางอย่างมันขึ้นมาได้เลยว่า ถ้าหากในวันนั้นวันที่เขาแบกหน้าเข้าไปเรียกร้องให้อีกฝ่ายรับผิดชอบกับชีวิตที่เกิดขึ้นและอีกฝ่ายยอมรับขึ้นมา…วันนี้จะเป็นยังไง

 

              ร่างสูงโปร่งนั่งอยู่บนโขดหินก่อนจะจ้องมองไปยังผืนน้ำทะเล เกรียวคลื่นสีสวยถูกซัดสาดเข้ามากระทบฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกพัดพามาจากที่ที่แสนไกลและไม่ต้องสนใจว่าจะไปสิ้นสุดอยู่ที่ใด ไม่เหมือนกับจิตใจของเขาในเวลานี้ เขามีเป้าหมายที่วางเอาไว้และคาดหวังถึงผลตอบรับที่ตามมา ขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยความรู้สึกโกรธแค้นที่มีเพื่อที่มันจะสำเร็จไปได้ด้วยดี

--------------------------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 07:27:05 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ angelnan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
ปิญไม่สำนึกนะ ถ้าตอนจบปิญ เข้า รพ บ้า เราจะไม่สงสัยเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ VentoSTAG

  • ไม่รักอย่าทำให้มโนฯ GO AWAY!!!
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 606
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-9
ปิญญ์ ควรปรึกษาจิตแพทย์จริงๆนั่นแหละ หรือไม่ก็
นักจิตวิทยา เอาทัศนคติลบๆ ออกไป เอาคติดีๆ ใส่เข้ามาใหม่
แกจะได้ไม่ทำตัวเป็นผู้ดีที่กริยาทราม

เอ๊ะ...อารมณ์ขึ้น ทำไมผมอิน :mew3:

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
โอว้ะ เริ่มเข้มข้นขึ้นทุกตอน ขนมผิงจะใช้เดหลีให้เป็นประโยชน์นังไงเนี่ย  :hao4:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ขนมผิงไม่ให้เวลากับลูก มันชักไม่มีแล้วนะ ไหนว่ารักลูกไง

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
แน่ใจเหรอว่าเป็นวิธีที่ดี

ผิงเริ่มร้ายขึ้นเรื่อยๆ

พระเอกนายเอกคู่นี้ไม่น่าจะลงเลยกันได้

ก็เหมือนเส้นคู่ขนานอะ

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
อ่านตอนนี้สงสารทั้งปิญญ์และขนมผิงจริงๆ  ปิญญ์ก็คงเจอครอบครัวกดดันและฝังความคิดมา ขนมผิงก็เจ็บใจจนกลายเป็นความอยากเอาคืนให้สาสม  เห้อออ รอ รอ รออ่านตอนใหม่คับ ลุ้นว่าจะรักกันยังไง ทั้งสองคนจะได้พูดความในใจกันยังไง

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
อ่านยังไงก็ยังเกลียดปิญญ์เหมือนเดิม
ส่วนขนมผิง รู้สึกจะเอาความแค้นนำ จนไม่สนใจลูกๆเกินไปแล้วนะ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รู้สึกว่าล่มจมกันหมดทุกฝ่าย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
16 ป่วย

              มื้อเย็นของวันแรกเป็นไปอย่างเงียบงัน ทิฐิที่เกิดขึ้นจากการกระทบกระทั่งทางวาจาทำให้ขนมผิงเลือกที่จะเมินเฉยการมีตัวตนของอีกฝ่ายบนโต๊ะอาหาร

              เด็กๆยังคงร่าเริงเหมือนกับทุกที ต้องยกความดีความชอบให้ที่ทำให้บรรยากาศไม่ถึงกับเงียบไปซะทีเดียว

              “อาหร่อยไหมฮับ ปะป๊าทำกับข้าวอาหร่อย”ลูกหมูตัวเล็กยิ้มแป้นให้กับชายหนุ่ม ปากเล็กๆอ้าปากงับเอาแครอทชิ้นเล็กหั่นลูกเต๋าเข้าปากเคี้ยวตุ้ย

              “นั่นสินะ อร่อยผิดคาดเลยล่ะ”ชายหนุ่มยิ้มเอาใจเจ้าตัวเล็ก

              โต๊ะอาหารตั้งอยู่นอกระเบียงบ้านเพื่อรับลมเย็นจากทะเล ขนมผิงกับสลิ่มนั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน อีกฝั่งปิญญ์ชานนท์ที่แย่งเอาคนพี่ไปดูแลแทน วูบหนึ่งที่ขนมผิงสัมผัสได้ถึงความเป็นครอบครัว แต่นั่นเขาก็แค่คิดไปเองในเมื่อความเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันยังคงไม่จางหายไปจากจิตใจ

              หลังจากที่มีปากเสียงกัน ปิญญ์ชานนท์ไม่ได้เข้ามายุ่งกับขนมผิงอีกเลย มีก็แค่เป็นครั้งคราวเท่านั้นที่เผลอสบตากันแล้วต่างคนต่างหันกลับไปทำในสิ่งที่ตนเองสนใจ

 

              ในขณะที่อีกฝ่ายนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา ขนมผิงกลับเล่นกับเด็กๆอยู่บนพื้นของห้องนั่งเล่น มีเพียงเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆเท่านั้นที่ดังกลบบรรยากาศอันน่าอึดอัดในครั้งนี้เอาไว้

              ตาคู่สวยจ้องมองโมเดลทรงเลขาคณิตในมือของลูกชายคนโต ไม่รู้ว่าปล่อยให้ใจเหม่อลอยไปถึงไหน รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงเล็กเสียงน้อยของสลิ่มคุยกับปิญญ์ชานนท์สนุกสนาน

              “ยุงปินฮับ”เจ้าตัวแสบคนน้องปีนขึ้นไปบนตักของอีกฝ่าย

              “ว่าไง หืม?”ตอบเสียงอ่อนพร้อมก้มลงมากดจมูกลงกับแก้มกลมเบาๆ

              พอโดนฟัดแก้มเจ้าตัวก็หัวเราะคิดคัด มือป้อมโน้มเอาคอของชายหนุ่มลงมาก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบกระซาบบางอย่างแล้วหัวเราะชอบใจ

              อิจฉา…คงเป็นคำนิยามอารมณ์ของขนมผิงได้ดีที่สุดในตอนนี้

              จากใบหน้าเฉยเมยกลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาเมื่อถูกกระซิบบอกอะไรบางอย่าง ปิญญ์ชานนท์พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกระซิบตอบให้เจ้าตัวเล็กหัวเราะเสียงดังอีกรอบ

              “ปะป๊า”

              ในระหว่างที่ขนมผิงกำลังจ้องมองปิญญ์ชานนท์กับลูกคนเล็ก เจ้าตัวแสบคนพี่ก็กวักมือเรียกให้เขาก้มลงไปหา

              “ว่าไงครับ”

              “จะถาม”เสียงเล็กเสียงน้อยกระซิบข้างหูชวนให้ขนลุก

              “ถามอะไรครับ”

              “ปะป๊าว่ายุงปินหล่อไหมฮับ”

              เป็นคำถามที่ทำเอาขนมผิงขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดีกับคำถามนี้ที่ปลากริมถาม

              “ไม่ครับ”ตัดสินใจตอบเสียงเบาพลางส่ายหน้า

              ตาก็เหลือบอีกฝ่ายที่ยังคงคุยกระหนุงกระหนิงกับลูกชายคนเล็กไม่ยอมหยุด

              “แต่กิมว่ายุงปินหล่อมากเลยนะฮับ”

              “ไม่รู้สิ แต่ปะป๊าว่าไม่นะครับ”

              “ทำไมล่ะฮับ”

              “แล้วทำไมปลากริมต้องถามแบบนี้ล่ะครับ”

              “กิมกะน้องหลิ่มชอบยุงปิน ยุงปินหล่อ ใจดีด้วย”

              สิ่งที่ลูกชายคนโตบอกทำเอาขนมผิงตัวชา เขาไม่ต้องการให้เด็กๆชอบหรือพึงพอใจในตัวปิญญ์ชานนท์เลย ไม่แม้สักนิด

              ไม่ครับ ปะป๊าว่าปะป๊าหล่อกว่า”ขนมผิงพยายามดึงความสนใจมาทางตนเองแทน แต่ปลากริมกลับส่ายหน้าก่อนจะดึงให้เขาก้มลงไปใกล้อีกครั้ง

              “ยุงปินใจดี กิมกะน้องหลิ่มอยากให้ยุงปินเป็นพ่อ นะฮับปะป๊า”

              ขนมผิงรู้สึกหน้าชาราวกับถูกตบนับร้อยพันครั้ง สิ่งที่ลูกชายกำลังร้องขอทำให้ก้อนเนื้อในอกรู้สึกเจ็บแปลบจนแทบหายใจไม่ออก มันยากมากที่จะพยายามทำให้ใจสงบกับความร้อนรุ่มที่มันเกิดอยู่ในใจ

              “นะฮับ”เจ้าตัวกระตุกแขนเสื้อขออีกครั้ง

              “ไม่ครับ”พยายามปฏิเสธให้นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้

              “งั้นปะป๊าจุ๊บปากหน่อยฮับ กิมอยากจุ๊บ”

              ใบหน้ากลมเงยหน้าขึ้นมาทำปากยื่นลอยหน้าลอยตาใส่ อดไม่ได้ที่ขนมผิงจะยอมทำตามคำขอ เขายอมทำตามคำขอที่แสนง่ายดายดีกว่ายอมทำตามคำขอก่อนหน้าที่เป็นราวกับคมมีดกรีดลงมาในใจ

              เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ก้มลงไปจุ๊บปากลูกชายคนโตตามคำขอ ขนมผิงเหลือบเห็นปิญญ์ชานนท์กำลังก้มลงจุ๊บปากลูกชายคนเล็กเช่นเดียวกับตัวเอง น่าแปลกใจทำให้ขนมผิงชะงักแล้วจ้องมองลูกชายคนเล็กสลับกับคนโตไปมา และยิ่งทำให้แปลกใจมากกว่าเดิมเมื่อสลิ่มปีนลงมาจากโซฟาแล้วเดินต้วมเตี้ยมปีนขึ้นมานั่งบนตักของเขา

              ปลากริมเองก็เช่นกัน เจ้าตัวปีนขึ้นไปบนโซฟาก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งอยู่บบนตักของปิญญ์ชานนท์

              “อะไรกันครับ ทำอะ อุ๊บ”

              แต่พอจะถามริมฝีปากเล็กรูปกระจับก็จุ๊บลงมาที่ปากของ คอถูกแขนเล็กๆของลูกชายคนเล็กโน้มลงไปก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบเบาๆข้างหูที่ทำให้หน้าร้อนขึ้นมาทันที

              “เอาจูบยุงปินมาฝากฮับ”

              เมื่อตั้งตัวได้ว่าแฝดตัวแสบทั้งสองจะทำอะไรก็สายไปเสียแล้ว ริมฝีปากเล็กๆของลูกชายคนโตแตะลงบนริมฝีปากได้รูปของปิญญ์ชานนท์ในแบบเดียวกัน

              ทำไมกันนะ สิ่งที่เด็กๆกำลังทำอยู่มันถึงได้ทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนยิ่งกว่าที่อีกฝ่ายทำเสียอีก

 

              -----------------------------------------------------------------

             

              ตึกดึกเด็กๆก็พากันง่วงเมื่อถึงเวลานอน ขนมผิงอุ้มเอาเจ้าตัวเล็กคนน้องเตรียมจะพาไปเข้านอนแล้วให้คนเกาะชายเสื้อแล้วเดินตามเข้ามาในห้องนอน

              “เดี่ยวฉันอุ้มไปเอง”เสียงทุ้มบอกเบาๆก่อนจะก้มลงอุ้มคนพี่แล้วเดินตามเข้ามาในห้องนอน

              ขนมผิงวางร่างจ้ำม่ำลงบนเตียง จัดให้ทั้งคู่นอนในท่าที่สบายแล้วห่มผ้าให้

              ตาคู่สวยหันไปมองอีกเตียงด้วยสายตาอันว่างเปล่า คิดไม่ออกเลยว่าเตียงเดียวที่ว่างนี้จะเป็นของใคร พอจะหันไปถามเอาความกับตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องมาติดอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องไปเสียก่อน

              “นั่นคุณจะไปไหน”

              “คืนนี้นายนอนที่นี่กับเด็กๆไปก่อน”

              “แล้วคุณล่ะ”ถามพลางจ้องมองแผ่นหลังกว้างที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม

              “นายเคยใส่ใจฉันด้วยเหรอ”อีกฝ่ายเลิกคิ้วหันมาถาม

              มันดูแปลกไปเมื่อสีหน้านั้นดูไม่เหมือนกับทุกที ดูคล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังปกปิดอะไรจากเขาอยู่

              “ผมมี่วันจะใส่ใจคนอย่างคุณ อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย”แต่คำตอบที่ตอบออกไปนั้นก็กลับต่างจากความรู้สึกโดยสิ้นเชิง

              “งั้นก็ดี นายเองก็คงไม่อยากจะนอนร่วมเตียงกับฉันนักหรอก หรือว่านายอยากล่ะ ฉันจะได้เปลี่ยนใจ”

              ปิญญ์ชานนท์ทำท่าจะก้าวเข้ามาใกล้ ทำให้ขนมผิงสะดุ้งเล็กน้อย

              “ไม่ ผมไม่ต้องการ”

              “หึ!! งั้นก็ดี”

              ไร้วี่แววความเย่อหยิ่งในดวงตาคู่นั่น ตาคู่ดุจ้องมองมาที่เขาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาคิดว่ามันแปลกไป ขนมผิงเลือกที่จะเบือยหน้าหนีเมื่อรู้สึกอึดอัดกับสายตาคู่นั้น

              พลันก็ต้องสะดุ้งเมื่อแขนแข็งแรงโอบเอาเอวเข้าไปกอดโดยไม่ทันตั้งตัว เพียงเสี้ยววินาทีตาคู่สวยก็ต้องเบิกกว้างเมื่อริมฝีปากร้อนกดทับลงมา เพียงแค่วูบเดียวเท่านั้น แต่ก็ทำให้ขนมผิงใจสั่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น และมั่นยิ่งสั่นรัวเมื่อได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะเดินออกไป

              “ของแบบนี้ฉันไม่ชอบรับฝากจากใคร”

 

              -----------------------------------------------------------

 

              เสียงฝนด้านนอกปลุกให้ขนมผิงตื่นขึ้นมา อากาศหนาวเย็นส่งให้ต้องขดตัวเข้าหาไออุ่นจากผ้าห่ม แต่พอนึกถึงเด็กๆที่นอนอยู่เตียงข้างๆก็ทำให้ลุกขึ้นมาเพื่อที่จะดึงผ้าห่มที่ถูกถีบจนร่นลงไปให้เข้าที่เข้าทาง

              ความคิดบางอย่างพลันก็เกิดขึ้นชั่ววูบทำให้ต้องขมวดคิ้วมุ่น วูบหนึ่งเขาเผลอเป็นห่วงปิญญ์ชานนท์ที่นอนอยู่ด้านนอก แต่คนอย่างอีกฝ่ายนั้นมันเลวร้ายเกินไปที่เขาจะทำใจยอมรับว่าเป็นห่วงได้ แต่ถ้าว่าอีกฝ่ายเกิดไม่สบายขึ้นมา สุดท้ายแล้วก็จะเอาไข้มาติดเด็กๆเอาในที่สุด

              ขนมผิงถอนหายใจหยิบผ้านวมของตัวเองติดมือออกมา เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบว่าทีวีถูกเปิดทิ้งเอาไว้ ขาวยาวก้าวเข้าไปใกล้โซฟาชะโงกหน้าดูก็เจอเข้ากับร่างสูงนอนขดตัวตะแคงคู้อยู่กับโซฟาตัวยาว เปลือกตาประกับแพขนตาดกดำนิ่งสนิทไม่ไหวติง ซ่อนเอานัยน์ตาคู่เย่อหญิงเอาไว้ข้างใต้ส่งให้ตอนนี้ดูไม่น่าจะมีพิษภัยเหมือนกับตอนที่ตื่นเลย เสียงลมหายใจที่พรูออกมานั้นบ่งบอกถึงอาการหลับลึก

              ขนมผิงไม่รู้ตัวเลยว่าเสียเวลาไปนานแค่ไหนกับการยืนจ้องอีกฝ่ายในขณะหลับ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่เคยมีโอกาสที่จะเห็นอีกฝ่ายหลับต่อหน้าแบบนี้มาก่อน

              คนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อของลูก

              ยิ่งเพ่งมองมากเท่าไร ความเหมือนทางกายภาพของเด็กๆกับคนคนนี้ก็ยิ่งชัดเจนมากเท่านั้น ขนมผิงวางผ้าห่มคลุมกายอีกฝ่ายอย่างลวกๆ พยายามเตือนใจว่าเขาทำสิ่งนี้ก็เพื่อลูก ไม่ใช่เพื่อตัวของอีกฝ่าย

              “อืม”เสียงครางเบาๆจากอีกฝ่ายก่อนจะขยับตัวทำให้ขนมผิงชะงัก

              ทว่าปิญญ์ชานนท์ก็ไม่ได้ตื่นมาอย่างที่คิดเอาไว้ ถ้าหากว่าอีกฝ่ายตื่นมาแล้วพบว่าเขาเอาผ้าห่มมาให้ นึกไม่ออกเลยว่าควรจะแสดงสีหน้าแบบไหนออกไปดี ขนมิงถอนหายใจอีกครั้งอย่างเหนื่อยใจ เขาเดินกลับเข้าไปในห้องนอนก่อนจะจัดการดันเตียงที่เขานอนเมื่อครู่ไปชิดกับเตียงของเด็กๆ จัดการสอดตัวเองเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วพาดแขนกอดสองแฝดเอาไว้อย่างเบามือ

              น้อยครั้งนักที่เขาจะนอนร่วมเตียงกับเด็กๆ เพราะเขาต้องการที่จะฝึกให้เด็กๆพึ่งพาตัวเองได้ตั้งแต่เด็กๆ แต่นานๆครั้งก็คงจะไม่เสียหาย ในเมื่อตอนนี้เขาเองก็รู้สึกอ้างว้างราวกับต้องการหาที่ยึดเหนี่ยว

              เหลือเวลาอีกแค่หกวันที่จะต้องติดอยู่ที่นี่กับคนที่เฝ้าบอกว่าเกลียดชังอยู่ตลอดเวลา

 

              -------------------------------------------------------------

 

              เปลือกตาปรกคลุมด้วยแพขนตายาวกระพริบตาปริบๆไล่ความง่วงเมื่อแสงแดดอ่อนๆส่งเข้ามาภายในห้อง ขนมผิงลุกขึ้นจากเตียงทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหน้าที่ที่ถูกยัดเยียดมานั้นคือการจัดการเรื่องอาหารการกินในระหว่างที่อยู่ที่นี่ พอหันไปมองเด็กๆก็พบว่ากำลังนอนหลับกอดกันอย่างสบายใจ

              เมื่อเดินออกมาก็พบว่าใครอีกคนไม่ได้ใครอีกคนไม่ได้นั่งจิบกาแฟดูทีวีอย่างที่จินตนาการเอาไว้ ร่างสูงใหญ่ยังคงนอนขดตัวไม่ไหวติงอยู่บนโซฟาภายใต้ผ้าห่มที่เขาเอามาให้

              เสียงหอบหายใจติดขัดกับเสี้ยวหน้าที่โผล่พ้นผ้าห่มนั้นแดงก่ำซ้ำมีเหงื่อชื้นทำให้ขนมผิงเริ่มใจไม่ดีสักเท่าไร คิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนจะขยับเข้าไปใกล้แล้วแตะมือลงบนหน้าผากของอีกผ่ายอย่างเบามือ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่ออุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายขึ้นสูงจนต้องชักมือกลับ

              เมื่อเห็นดังนั้นใจหนึ่งของเขากำลังกระซิบว่าให้เดินออกมาจากตรงนั้นแล้วทิ้งอีกฝ่ายให้เผชิญกับชะตากรรมของตัวเอง แต่อีกใจนั้นกลับคัดค้านออกมาโดยไม่มีสาเหตุ

 

              กะละมังบรรจุน้ำกับผ้าขนหนูผืนเล็กถูกเตรียมมาวางลงบนโต๊ะกลางจนได้ ขนมผิงเอาผ้าผืนเล็กชุบน้ำแล้วบิดจนหมาด เขาจะถือซะว่าเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกก็แล้วกัน อีกอย่างขืนปล่อยเอาไว้เด็กๆคงจะมองว่าเขาเป็นคนใจดำแล้วพาลไม่ชอบใจแน่

              เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงจะรู้สึกเจ็บใจไม่น้อยที่ลูกๆเห็นอีกฝ่ายดีกว่าตน มันค่อนข้างจะสะเทือนใจมากขึ้นไปอีกเมื่ออีกฝ่ายมีสถานะเป็นพ่อที่แท้จริง และที่สำคัญ คำพูดที่ออกจากปากเด็กนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดไม่ยอมหายไปไหน…คำพูดที่ว่าเด็กๆต้องการให้ปิญญ์ชานนท์มาเป็นพ่อ

              หรือว่าแท้จริงแล้วมันเป็นสัญชาติญาณกันนะ ขนมผิงไม่รู้ว่าจะเรียกสิ่งนี้ว่าอะไรดี

              ทันที่ที่ผ้าขนหนูหมาดน้ำอุณหภูมิเย็นแตะลงบนหน้าผาก นัยน์ตาคู่ดุที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลืกตาก็ค่อยปรือขึ้นมา ชั่ววูบแววตาที่แสดงออกมานั้นดูแปลกใจกล่อนจะเปลี่ยนเป็นนัยน์ตาที่อ่อนแรง]’

              “อา เช้าแล้วเหรอ”ปิญญ์ชานนท์พูดคล้ายกับแก้เก้อ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมามองรอบๆ

              “นอนไปเถอะ คุณตัวร้อน ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนจะดีกว่า”ขนมผิงชักสีหน้าเบือนหน้าหนี

              “งั้นเหรอ ถึงว่าทำไมฉันถึงได้รู้สึกปวดหัว”

              ปิญญ์ชานนท์ทิ้งตัวลงบนโซฟาอีกครั้งอย่างอ่อนแรง อดไม่ได้ที่ขนมผิงจะหันไปมองเสี้ยวหน้าแดงก่ำของอีกฝ่ายจากพิษไข้

              พอสังเกตดีดีก็เห็นรอยช้ำที่หลังมือข้างขวาของชายหนุ่ม ถึงมันเกือบจะหายดีแล้วแต่มันก็ยังคงมีร่องรอยให้เห็นว่าก่อนหน้านั้นมันจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน แต่นั่นขนมผิงก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันนัก

              “ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วก็เช็ดตัวเอาเองก็แล้วกัน ผมจะไปทำอาหารเช้าให้เด็กๆ”บอกก่อนจะลุกขึ้นยืน

              “อืม”

              “อ้อ แล้วก็อีกอย่าง…อย่าอยู่ใกล้เด็กๆล่ะ ผมไม่อยากให้เด็กๆติดไข้จากคุณ กลัวว่าเชื้อความเห็นแก่ตัวมันจะติดมากับเชื้อไข้”บอกเสียงเรียบก่อนจะเดินหนีออกมา

              ไม่รู้ว่าทำไมต้องพูดออกไปแบบนั้น อาจจะเพราะความเกลียดที่มีอยู่ก็ได้ หรือว่าความอิจฉาที่ไม่อยากให้เด็กๆเข้าใกล้อีกฝ่ายกันนะ

 

              ---------------------------------------------------------------

 

              “ปะป๊า ทำไมถึงไม่ให้เข้าใกล้ยุงปินล่ะฮับ”ปลากริมถามทั้งที่ในมือยังมีถังใบเล็กกับที่ตักทรายอยู่ในมือ

              “ลุงปิญญ์ไม่สบายครับ ถ้าติดไข้จากลุงปิญญ์หมอจะจับฉีดยา”

              “แล้วยุงปินเป็นอะไรมากไหมฮับ หลิ่มเป็นห่วงยุงปิน”

              “ไม่ครับ เขาไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกครับ”ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบทั้งที่ภายในอกนั้นร้อนราวกับเอาไฟมาสุม

              ลูกๆพากันเอาแต่ถามถึงชายหนุ่มจนเขานึกอิจฉาและร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ขนมผิงจ้องมองเด็กๆเล่นอยู่กับกองทรายบนหาดทรายหน้าบ้าน ในขณะที่ปิญญ์ชานนท์นั้นเมื่อกินมื้อเช้าเสร็จก็หลับไปด้วยฤทธิ์ยาในทันที

              ขนมผิงอดสงสัยไม่ได้เลยว่าคนแข็งแรงแบบนั้นทำไมจู่ๆถึงได้ไม่สบายหนักขนากนี้ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นเหตุให้ต้องป่วยเลยสักนิด คิดได้ดังนั้นก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกรอบเมื่อรู้ตัวว่าความคิดกำลังถูกแทรกแซงโดยอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์

 

              --------------------------------------------------------------

 

              “นี่อาหารกลางวันแล้วก็ยา”ขนมผิงบอกพลางวางถาดอาหารลงบนโต๊ะ

              “แล้วเด็กๆล่ะ”ปิญญ์ชานนท์เงยหน้าขึ้นมาถาม

              “ผมกับเด็กๆจะออกไปกินที่โต๊ะนอกระเบียง”

              “ฉันอยากกินข้าวพร้อมเด็กๆ”

              “ไม่ครับ ผมไม่ต้องการให้เด็กๆติดเชื้อโรคไปจากคุณ”

              “หึ มันจะติดกันได้ง่ายขนาดนั้นรึไง ขนมผิง”แค่นเสียงบอกราวกับประชดประชัน

              “ไม่รู้สิ”ขนมผิงไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

              “ยังไงฉันก็ยืนยันคำเดิมอยู่ดี”

              “ถ้าคุณกินข้าวกินยาแล้วมีแรงเดินไหวก็ตามใจ แต่ผมบอกไว้ก่อนว่าห้ามเข้าใกล้ลูกของผมเกินไป ไม่อย่างนั้นผมไม่ยอมให้คุณได้เข้าใกล้เด็กๆอีกแน่”

              พูดจบก็เดินออกไปด้านนอกโดยไม่รีรอให้อีกฝ่ายต่อความยาวสาวความยืด ขนมผิงไม่ต้องการที่จะมองเห็นสายตาตัดพ้อ

 

              เด็กๆดูจะเงียบลงไปถนัดตาเมื่อไม่ได้เล่นกับผู้ใหญ่ที่ดันกลายเป็นหวัด ขนมผิงจัดท่าทางให้เด็กๆนั่งเข้าที่ก่อนจะเริ่มจัดอาหารใส่จานให้เด็กๆ แต่ยังไม่ทันได้กินเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากตัวบ้าน ในมือนั้นถือถาดอาหารของตัวเองเอา

              ช่างเป็นคนป่วยที่ดื้อด้านจริงๆ ยังมีหน้าที่จะเดินออกมาตากลมแรงๆข้างนอกทั้งที่ป่วยขนาดนั้น เพียงเพราะว่าเพื่อที่จะกินข้าวกับเด็กๆตามที่ขออย่างนั้นหรือ? เดาใจไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

              “เย้ๆ ยุงปินมาแย้ว”คนพี่ยกมือดีใจยกใหญ่

              “เย้ ยุงปินมากินข้าวด้วย”คนน้องเอาบ้าง

              เขาเริ่มจะนึกเคืองเด็กๆซะแล้วสิกับการตื่นเต้นที่ปิญญ์ชานนท์มากินข้าวด้วย

              “ตอนเคี้ยวอยู่ปะป๊าบอกว่าไงครับเด็กๆ”

              “ห้ามพูดฮับ”คนพี่รับเสียงแผ่ว

              “ปะป๊าบอกว่าไงครับ”หันไปถามอีกคนที่ไม่ยอมตอบ

              “ห้ามพูดฮับ”ตอบรับเสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน

              “ไม่เห็นจะต้องไปดุลูกเลยนี่”อีกเสียงแย้งขึ้นมาจากฝั่งตรงข้ามทำให้ต้องตวัดตามองด้วยความไม่พอใจ

              “คุณเองก็เหมือนกัน!!”

              ขนาดผู้ใหญ่ยังถูกดุ มีหรือที่เด็กๆจะไม่พากันเงียบแล้วก้มหน้าก้มตากิน แต่ก็ไม่วายหันไปยิ้มจนตาหยีให้กับอีกฝ่ายที่เพิ่งจะเริ่มกินเช่นกัน

              ขนมผิงเห็นดังนั้นจึงตักข้าวเคี้ยวแรงๆเต็มปากอย่างไม่พอใจ มองไปยังฝั่งตรงข้ามก็เข้ากับรอยยิ้มบางเบาส่งให้กับเด็กๆ

              อีกแล้วกับรอยยิ้มที่เขาไม่คุ้นเคย

 

              -------------------------------------------------------------

 

              ตกบ่ายขนมผิงพาเด็กๆเข้านอนตามปกติ แต่พื้นบ้านที่เริ่มมีทรายติดเท้าเข้ามาและฝุ่นต่างๆตามบนโต๊ะทำให้ขนมผิงต้องมานั่งเก็บกวาดเพราะไม่อยากให้ฝุ่นนั้นส่งผลต่อสุขภาพของเด็กๆ

              ในระหว่างที่กำลังสวมบทบาทของคนรับใช้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ความรู้สึกแปลกๆราวกับถูกมองก็ทำให้หันมองมองยังโซฟาเห็นว่าปิญญ์ชานนท์กำลังจ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว เขาสบตากับอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจก่อนที่แต่ละคนจะพากันหันหนีไปคนละทาง

              เมื่อถูพื้นเสร็จก็เช็ดโต๊ะต่อ ความแคลงใจยังคงอยู่จนขนมผิงพยายามบังคับไม่ให้หันไปมองเพราะกลัวว่าจะถูกจ้องก่อนอยู่เหมือนเมื่อครู่ แต่สุดท้ายก็ดันหันกลับไปมองอีกจนได้ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เมื่อตาคู่ดุดูอ่อนแรงกำลังจ้องมองมาอยู่ ทั้งที่อยากจะหันหนีเหมือนก่อนหน้า แต่ปากก็ถามออกไปก่อนที่ใจจะห้ามได้ทัน

              “นี่คุณไม่นอนพักผ่อนรึไงครับคุณปิญญ์ เอาแต่มองคนอื่นเขาอยู่ได้”

              แทบอยากจะยกมือตบปากตัวเองแรงๆสักทีกับไอ้ประโยคที่ดูเหมือนว่าเป็นห่วงที่พูดออกไปนั่นเมื่อนึกขึ้นได้

              “ฉัน เอ่อ…ฉันไม่ได้มองนายสักหน่อย”อีกฝ่ายปฏิเสธออกมาข้างๆคูๆ

              พอจ้องมองดีดีก็พบว่าใบหน้าคมคายนั้นกลับมาแดงเรื่ออีกครั้ง ทั้งที่กินยาไปแล้วแต่ทำไมไข้ถึงได้มาขึ้นจนหน้าแดงอีกล่ะ!!

              “ก็เห็นอยู่ว่าคุณมองผม”

              “นายหลงตัวเองรึไง”พูดพลางหลบตาก่อนจะทำทีเป็นหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ

              “ช่างเถอะ ผมคงจะตาฝาดไปเอง”

              ขนมผิงเบ้หน้าอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ

              เพล้งงงง!!

              ทว่าเสียงของแตกอยู่ไม่ไกลก็ทำให้สะดุ้งหันขวับไปมองทันที เศษแก้วเศษเล็กเศษน้อยกระจายอยู่เต็มพื้น ดีที่เจ้าตัวต้นปัญญ๋หานั่งอยู่บนโซฟา ไม่อย่างนั้นเศษแก้วพวกนั้นคงกระเด็นไปโดนเอาจนได้

               “บ้าเอ้ย”ปิญญ์ชานนท์สบถอย่างขัดใจ มือใหญ่เอื้อมไปหยิบเศษแก้วที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น

              “คุณไม่ต้องเก็บเดี่ยวผมทำเอง ไม่สบายอยู่ยังจะมาหาเรื่องเดือดร้อนคนอื่นอีก”

              แต่ดูเหมือนคำสั่งของขนมผิจะไม่ได้เข้าหูของอีกฝ่ายเลยเมื่อปิญญ์ชานนท์นั้นไม่ฟังและก้มลงเก็บเศษแก้ว

              “โอ๊ะ!!”ชายหนุ่มสะดุ้งก่อนจะชักมือกลับ

              “ก็ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้อง สมองคุณไม่ทำงานเพราะพิษไข้รึไงกัน”

              “ฉันไม่เป็นไรหรอก ฉันจะเก็บเอง”

              ขนมผิงไม่รู้เลยว่าความดื้อดึงนั้นเกิดจากทิฐิหรือว่าความหยิ่งทระนงที่ไม่ต้องการให้ใครมาช่วยกันนะ แต่แบบนี้มันไม่ดูมากเกินไปหน่อยรึไง

              เพี๊ยะ!!

              ขนมผิงปัดเข้าที่มือใหญ่นั้นแรงๆจนเกิดเสียงดัง เพราะความไม่พอใจประกอบกับหงุดหงิดมาตลอดทั้งวันทำให้เผลอไม่ออมแรงออกไป

              “นอกจากจะเห็นแก่ตัวแล้วยังจะงี่เง่าอีกรึไง”

              ขนมผิงรีบหยิบทิชชู่ยัดมือของปิญญ์ชานนท์ให้ซับเลือดที่ซึมออกมา โชคดีที่แผลไม่ลึกมากนัก

              “คราวหลังก็ระวังด้วยล่ะ”เป็นการบอกเตือนที่คล้ายจะเป็นการตำหนิเสียมากกว่า

              “ฉันไม่ตั้งใจให้นายเดือดร้อน”

              นั่นทำให้ปิญญ์ชานนท์มองมาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด อันที่จริงขนมผิงไม่ได้ต้องการพูดเหมือนกับตำหนิให้อีกฝ่ายได้รูสึกแย่ หากแต่อารมณ์ที่อัดอั้นทำให้เผลอพูดออกมาโดยไม่ได้ยั้งคิด

              “ช่างเถอะ แค่อย่าหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ผมอีกก็พอ”

              ยอมรับเลยว่าเขาอาศัยท่าทีอ่อนแอของอีกฝ่ายจากพิษไข้เพื่อข่มอีกฝ่าย

              “เดี๋ยวสิ”ปิญญ์ชานนท์เรียกเอาไว้ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

              ก่อนที่ข้อมือของเขาจะถูกมือร้อนผ่าวดึงเอาไว้ ขนมผิงไม่ได้โต้ตอบ เขาเพียงแค่หันไปมองด้วยท่าทีนิ่งเฉยเท่านั้น

              “ขอบใจสำหรับผ้าห่ม”

              มันเป็นเพียงแค่ประโยคสั้นๆที่พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เป็นประโยคที่ไม่มีอะไรแอบแฝงความนัยน์เอาไว้ แต่ทำไมกันนะ ทำไมขนมผิงถึงได้รู้สึกว่าก้อนเนื้อในอกมันเต้นรัวขึ้นมา

 

              ----------------------------------------------------

             

              กลายเป็นว่ามื้อเย็นถูกจัดขึ้นโต๊ะข้างในบ้านแทน ยอมรับว่าส่วนหนึ่งแล้วเขาไม่ต้องการจะให้อีกฝ่ายดันทุรังตามออกมานั่งกินข้าวตากลมแรงๆข้างนอก และจบมื้อเย็นอันเรียบง่ายไปในที่สุด

              ขนมผิงกับเด็กๆยังคงนั่งเล่นที่พื้นห้องกับเด็กๆ ส่วนปิญญ์ชานนท์นั้นนั่งอยู่บนโซฟาที่เดิม ทั้งที่ทีวีเปิดเอาไว้ แต่ตาคู่ดุคมกริบนั้นไม่ได้จ้องมองรายการที่ฉายอยู่แต่อย่างใด ตาคู่นั้นกลับมองมาที่เด็กๆราวกับว่าต้องการสังเกตพฤติกรรมอันไร้เดียงสาตลอดเวลา

              “ปะป๊าฮับ แกะอันนี้ให้หน่อยฮับ”ปลากริมสะกิดแล้วยื่นของเล่นให้

              ขนมผิงรับกล่องของเล่นที่ยังไม่ได้ผ่านการปิดมาแกะออกให้

              “ยุงปิญญ์เป็นอาไยฮับ เจ็บไหม”เสียงเจื้อยแจ้วของสลิ่มถามดังมาจากโซฟาเรียกให้ขนมผิงหันไปมอง

              เผลอแปบเดียวเจ้าตัวแสบคนน้องก็แอบเข้าหาปิญญ์ชานนท์จนได้ ทั้งที่เขาบอกเอาไว้แล้วเชียวว่าไม่ให้เข้าใกล้อีกฝ่ายเพราะจะติดไข้

              “ฟู่ววววว”

              มือเล็กป้อมจับเอานิ้วที่ติดปลาสเตอร์แปะแผลเอาไว้ก่อนปากเล็กๆจะห่อทำปากกลมแล้วเป่าลมใส่ด้วยท่าทางน่าชัง

              นั่นเรียกรอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าคมคายได้เป็นอย่างดี ขนมผิงที่ทำท่าจะดุลูกที่เข้าไปใกล้คนป่วยเลยทำได้แค่เบือนหน้าหนีทำทีเป็นว่ามองไม่เห็นการกระทำของพ่อลูก

              ก็แค่แตะกันที่ปลายนิ้ว…คงจะไม่เป็นอะไร



              ------------------------------------------------------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 07:28:21 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
เป็นกำลังใจให้นะคะ รู้สึกว่าเรื่องนี้มีความขัดแย้งเยอะมาก รู้สึกถึงความพยายามของคนแต่งที่พยายามจะให้เรื่องมีสีสัน สนุก แต่มันก็ดูเว่อร์ๆ มากในหลายจุด ความเป็นปินส์ที่โดนสปอยและเหมือนมีปัญหาชีวิตครอบครัวกับชีวิตความรักมันดูเยอะไปจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้จริงๆ  ส่วนผิงยิ่งเล่นเยอะจนรู้สึกเป็นตัวละครที่อ่านแล้วปวดหัวมาก แต่นัทสึคิดว่า ประสบการณ์และการอ่านทวนเรื่องหลายๆครั้งมันจะทำให้ปรับไปในแนวทางที่ควรจะเป็นเอง ตอนนี้อ่านแล้วยังมองไม่ออกว่า เด็กๆจะมีบทบาทเป็นกาวใจยังไง หวังว่าตอนหน้าผิงกับเด็กเจอปินส์แล้วจะมีความเป็นครอบครัวมากขึ้นนะคะ  สู้ๆค่ะ  เรื่องแรกๆทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าทำได้ดีแล้วค่ะ

ออฟไลน์ VentoSTAG

  • ไม่รักอย่าทำให้มโนฯ GO AWAY!!!
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 606
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-9
 :m31: ไม่เห็นต้องไปกลัวมันเลย คลิปหลุดมาก็เท่ากับอีปิญญ์แฉตัวเองด้วย
ได้ข่าวว่ากำลังจะแต่งกับ "เดหลี" ถ้าคนรู้ว่ามันเอาลูกชายบริษัทคู่แข็งอย่าง "ผิง"
ใครจะเชื่อใจหรือไว้ใจมัน ศรีธัญญา สวนปรุง ที่ไหนก็ได้มาจับอีปิญญ์ไปรักษาที :katai1:
 :m31:    :m31:    :m31:

ออฟไลน์ angelnan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
มันเริ่ม น่าเบื่อแล้ว แบบว่า ปัญหาอะไร มันประดังมาพร้อมกัน จนมันเป็นนิยายอะไรไปแล้ว ผิงก็ดูเหมือนจะสู้ปิญ แต่ดูท่าแล้ว คงจะแพ้ไปเรื่อยๆ เพราะผิง เป็นคนดีแต่คิด พอเจอปัญหาก็รนราน ทำอะไรไม่ถูก ดินตามเกมเข้าไปเรื่อย พอจะดีจะดี เอาอีก ผิงโดนอีกแล้ว

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
แล้วเมื่อไร่จะรู้ความจริงซะทีเนี่ย

สงสารใครดี ก็ไม่มีใครให้สงสาร

จะสงสารก็แต่เด็กๆอะ


ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
ทั้งปิญญ์ทั้งผิงนั้นมีลักษณะที่เป็นเหมือนพวก Emotional unstable มากๆ  โกรธเกรี้ยวไม่ได้ดังใจก็เขวี้ยงข้าวของ ทุบตี ทำร้ายตัวเอง  คือถ้ามีคนปกติที่อยู่ใกล้ๆก้ต้องบอกแล้วว่าไม่ได้การแล้ว นายป่วยแล้วนะ  สมควรตัองเข้าหาจิตแพทย์เพื่อรับการบำบัดรักษา   อ่านๆมาแรกๆไม่ชอบนะ แต่มาตอนนี้คือรู้สึกว่าการกระทความคิดอ่านตรรกะทั้งหลายมันป่วยไข้ไปแล้ว   คำพูดที่ออกมาก็ซ้ำๆกันบ่อยมาก   มันจะมากไปแล้วนะ   คนต่ำๆ  คนร่านๆ  อะไรแบบนี้   เหมือนปิญญ์เองก็หาทางออกจากวังวนความรู้สึกที่หมักหมมไม่ได้   ที่คุณรู้สึกนั้นมันไม่ปกติ  ตอนนี้ก็มาปมอีกอัน  ปมคนรักที่ตายไป  แล้วก็เป็นขนมผิงที่เป็นต้นเหตุ แต่ไม่เห็นขนมผิงนึกถึงเลย  หรือไม่รู้?  ถ้าคนเราเป็นต้นเหตุให้คนอื่นตาย  หรือมีประสปการณ์แบบนี้มา มันจะฝังใจนะ  แต่ไม่เคยคิดถึงเลยนี่ก็

ผิงต้องถามตัวเองแล้วว่าผิงกลายเป็นอะไร?  เพื่อการทำลายล้างศัตรูคนที่ผิงคิดว่าเป็นตัวอันตรายกับครอบครัว ผิงยอมทำในสิ่งที่ต่ำ ทิ้งลูกเพื่อเอาชนะปิญญ์   ผิงโฟกัสความสำคัญของชีวิตและคำว่าครอบครัวผิดไปแล้ว   ทิ้งเวลาไปนานๆสักปีสองปี ไม่แคล้วลูกจะเห็นผิงเป็นคนแปลกหน้า    ความเป็นแม่มันหายไปหมดเลย   เหมือนผิงลงมาลุยน้ำลึกเกินกว่าที่ตัวเองสามารถประคองตัวได้  จะไปเอากับเดหลีก็เอาไปเถอะ  เห็นนิสัยเดหลีแล้วเหมือนพวกเศรษฐีใหม่ที่ต้องโชว์พาวเวอร์ว่ามี  ปิญญ์ก็คงไม่รังเกียจหรอกเอาไปให้พ้นทางเสีย

ปิญญ์กับผิงเหมือนกันเลยนะ  - ปัดอะไรๆไปก่อนเพราะไม่ไหวแล้ว  ตักอาหารเข้าปากมากกว่าที่ตัวเองมีปัญญาเคี้ยวค่ะ

อนาคต 2 บริษัทนี้นะ - เอามาร่วมทุนกันเอง  ผนวกเข้าด้วยกันเพราะผู้บริหารไม่มีปัญญาทำคนเดียวได้

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ขนมผิงจมอยู่กับความแค้นมากเกินไป อีกไม่นานมันจะกระทบชีวิตครอบครัวแน่ๆ :katai1:

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
17 หมอนข้าง

                                 “เด็กๆ มาเข้านอนกันได้แล้ว”

                                 ขนมผิงเรียกเด็กๆเมื่อนาฬิกาบอกเวลาเกือบจะสามทุ่ม

                                 เขาปรายตามองใครอีกคนที่นั่งมองมาทางเขาและเด็กๆ ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาความคิดว่ามันคืออะไร

 

                                 เสียงฝนที่ตกดังแว่วมาจากข้างนอกและเริ่มตกแรงขึ้นเรื่อยๆ สภาพอากาศเริ่มเย็นลงจนเห็นได้ชัด

                                 ใจของเขานึกอยากจะตัดความอ่อนไหวที่มันกำลังเกิดขึ้นมาชั่วครู่ แต่กระนั้นใบหน้าที่อ่อนลงของอีกฝ่ายจากพิษไข้ก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับไปมอง

                                 เด็กๆปีนขึ้นเตียงเตรียมพร้อมแล้วที่จะนอน ทว่าขนมผิงยังคงยืนคาอยู่หน้าประตูห้องนอนหันหลังกลับไป

                                 มองไปยังชายหนุ่มกำลังเอนตัวลงนอนราบกับโซฟา ซุกตัวเข้าผ้าห่ม

                                 อากาศรอบตัวที่เย็นจัดอาจจะส่งผลเสียต่อคนป่วย…เขาพยายามคิดเข้าข้างตัวเอง

                                 เขาไม่ได้สนใจใยดีอีกฝ่ายหากว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อเด็กๆ

                                 ถ้าปิญญ์ชานนท์อาการทรุดหนักกว่านี้ เวลาเข้าใกล้เด็กๆ เด็กๆอาจจะติดไข้ไปด้วย

                                 ใช่ เขาทำเพื่อเด็กๆ ไม่มีทางที่เขาจะเห็นใจคนแบบปิญญ์ชานนท์เด็ดขาด!

 

                                 “คุณจะเข้ามานอนข้างในก็ได้ ผมไม่อยากจะเอาเปรียบเจ้าของบ้านอย่างคุณสักเท่าไร”พูดเสียงแข็งออกไปแล้วเบือนหน้าหนี

                                 เพราะกลัว….กลัวสายตาที่ส่งกลับมา…สายตาที่ทำเหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

                                 “ไม่เป็นไร ฉันไม่อยากจะบังคับฝืนใจนาย”อีกฝ่ายผงกหัวขึ้นมาตอบ ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย

                                 “อย่าเข้าใจผิดว่าผมเป็นห่วงคนอย่างคุณล่ะ ผมก็แค่ไม่อยากให้เด็กๆมองว่าผมใจร้ายกับคุณก็แค่นั้น อีกอย่างถ้าอาการของคุณแย่ไปมากกว่านี้ มันอาจจะมาติดลูกของผม ผมไม่ต้องการให้ลูกของผมรับเชื้ออะไรมาจากคุณ”

                                 “หึ นั่นสินะ”

                                 อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอ คิดอยู่แล้วว่าคนที่เปลี่ยนไปอย่างขนมผิงคงจะไม่ใยดีอะไรเขามากมายขนาดนั้นนอยู่แล้ว ถึงจะเผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปบ้างก็ตาม

                                 ปิญญ์ชานนท์ถือผ้าห่มเดินตามเข้ามา มองดูเตียงเดี่ยวสองหลังถูกดันมาติดกัน

                                 ร่างเล็กจ้ำม่ำทั้งสองต่างมองมาที่เขาตาใส กระพริบตาปริบๆพลางยิ้มรับจนตาหยี

                                 “ยุงปิญญ์มานอนกับพวกเราเหรอฮับปะป๊า”

                                 “ใช่ครับ ลุงปิญญ์จะเข้ามานอนในห้องกับพวกเรา”

                                 “เย้ ยุงปิญญ์จะมานอนด้วย”เจ้าแสบทั้งสองต่างก็กระโดดโลดเต้นดีใจกันยกใหญ่

                                 “นอนกันได้แล้ว เดี๋ยวป๊าจะแยกเตียง”ขนมผิงปรามจับสองแสบเสียงดังให้นั่งลงแต่ไม่วายหัวเราะกันคิกคักอย่างดีใจ

                                 ปิญญ์ชานนท์ได้ยืนมองเด็กน้อยสองคนส่งยิ้มมาให้เขาก่อนจะหันไปช่วยอีกคนแยกเตียงเดี่ยวออกมา

                                 “ไม่ต้อง ผมทำเองคนเดียวได้”

                                 ทันทีที่เข้าไปใกล้ก็ถูกปฏิเสธแทบจะทันที มือถูกปัดออกด้วยแรงที่ไม่น้อยแต่ก็พอใจผละออกมาได้

 

 

                                 “นั่นนายจะไปไหน”

                                 ชายหนุ่มถามคว้าแขนเล็กกว่าเอาไว้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันหลังเตรียมจะเดินออกไปจากห้องนอนหลังจากเด็กๆพากันหลับ

                                 “ผมจะไปนอนข้างนอก อ้อ”

                                 “ฉันจะไปนอนข้างนอก หากว่ามันทำให้นายเดือดร้อน”

                                 “ไม่จำเป็น ผมไม่อยากจะนอนร่วมห้องกับคุณสักเท่าไร”           

                                 “นายกล้าทิ้งฉันให้อยู่ตามลำพังกับเด็กๆรึไง นายกลัวฉันจะแตะต้องเด็กๆไม่ใช่เรอะ”ปิญญ์ชานนท์แสร้งยิ้มแต่ก็ยังไม่ปล่อยมือ

                                 พยายามยิ้มยั่วทิฐิของอีกฝ่าย พยามยามดึงรั้งเอาไว้ เพราะอากาศข้างนอกมันหนาวมากกว่าในห้องนอนหลายเท่าตัว เขารู้ดี

                                 “อย่าคิดจะแตะต้องลูกของผม แม่แต่ปลายก้อยคุณก็อย่าหวังว่าผมจะยอม”

                                 ได้ผลชะงัด ร่างสูงโปร่งเดินไปหยิบหมอนแล้วปล่อยมันลงบนพื้นข้างเตียงของเด็กๆ…เขาตั้งใจจะนอนบนพื้น

                                 “ถ้านายนอนบนพื้นนั่น เด็กๆคงจะมองนายกับฉันยังไง”

                                 “คุณอย่ามาถือสิทธิ์เอาลูกผมมาอ้างนั่นอ้างนี่”สุดท้ายก็ต้องยอม

                                 หยิบหมอนข้างมากั้นเอาไว้ตรงกลาง

                                 ขนมผิงพยายามย้ำเตือนความคิดตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ทุกอย่างก็เพื่อเด็กๆ เพื่อเด็กๆเท่านั้น

                                 ไม่มีวันยกโทษให้เด็ดขาด…ไม่มีวันลบเลือนความแค้นที่อัดแน่นอยู่เต็มอกแน่นอน

 

                                 เด็กแฝดสองคนต่างก็ซุกตัวเข้าหากันใต้ผ้าห่มผืนหนา ขนมผิงมองภาพลูกชายทั้งสองคนด้วยความรู้สึกหวงแหน

                                 อีกฝ่ายก็เช่นกัน ปิญญ์ชานนท์จ้องมองแผ่นหลังของใครอีกคน ทิฐิสูงจนยากจะลด ชายหนุ่มมองผ่านแผ่นหลังนั้นไป จ้องมองดูเด็กน้อยที่พากันหลับพร้อมกับรอยยิ้ม

 

                                 เป็นปิญญ์ชานนท์ที่ล้มตัวลงนอนก่อน ต่างจากอีกคนที่พยายามปิดกั้นความโกรธแค้นที่มี

                                 ใกล้เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น มีเพียงหมอข้างใบเล็กที่กั้นระหว่างคนทั้งสองคนเอาไว้

                                 มันยากที่จะทำให้จิตใจได้สงบลง ในเมื่อความคิดที่เกิดขึ้น ต่างฝ่ายต่างก็ไม่คิดที่จะละทิ้งมัน

                                 อีกคนที่อยู่ในที่สูงคุ้นเคยแค่การมองดูใครอีกคนจากมุมมองที่ไม่มีความเป็นจริงไม่คิดที่จะยอมลงมาเพื่อสัมผัสความจริงที่ซ่อนเอาไว้

                                 อีกคนก็เช่นกันจุดที่ต่ำที่สุดทำให้ทิฐิที่เกิดขึ้นผลักดันให้เขาสร้างกำแพงเพื่อปิดกั้นความตัวตนเอาไว้ภายใน ไม่คิดที่จะยอมพังมันลง เพียงเพื่อปกป้องสิ่งที่หวงแหนมากที่สุด

 

 

==================================================================

                                 แสงแดดลอดเข้ามาผ่านผ้าม้านที่เปิดแง้มเอาไว้ปิญญ์ชานนท์กระพริบตาถี่ๆปรับสายตาให้ชินแสงอาทิตย์ที่ผ่านลอดหน้าต่างเข้ามา

                                 วงแขนแข็งแรงสัมผัสถึงความอุ่นทำให้เขานึกประหลาดใจ เขาลอบมองคนที่ยังคงหลับอยู่ข้างๆ

                                 จากที่นอนหันหลังให้กับเขาเมื่อคืน ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายหันหน้าเข้ามาหา เบียดเข้ามาจนชิดกับหมอนข้างที่กั้นเอาไว้

                                 ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่เคยมีรอยยิ้มประดับอยู่ในความทรงจำเมื่อนานมาแล้วดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

                                 ไร้ความเกลียดชังที่ฉายอยู่บนนั้น ไร้ความแค้นที่เคยมีให้กันยามนอนหลับ หากย้อนเวลากลับไปได้ ทุกอย่างมันคงจะง่ายขึ้น

                                 แขนที่ไม่รู้เมื่อไรเผลอก้าวข้าวหมอข้างไปโอบอีกฝ่ายให้เข้ามาหา ยอมรับว่าไม่รู้ตัว และก็ยอมรับว่าใบหน้าที่ดูไม่มีพิษภัยนั้นทำให้เขาเลือกที่จะเมินเฉย

                                 เขาเมินเฉยความคิดตัวเองที่สั่งให้ดึงมือกลับมา เขาปล่อยให้จิตใต้สำนึกที่ไม่รู้ว่าคืออะไรสั่งให้ปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นำพาตัวเองสู่ห้วงนิทรา

                                 เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว….ใช่…ขอแค่อีกสักพัก อีกสักพักเท่านั้นที่จะยอมรับสิ่งที่เคยปฏิเสธมาตลอด

 

                                 ขนมผิงกระพริบตาไล่ความง่วงออกไปตามสัญชาติญาณ แดดที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา เป็นนาฬิกาปลุกชั้นดี หากแต่แรงกดทับจากสิ่งที่ส่งผ่านไออุ่นออกมานั้นทำให้ต้องขมวดคิ้ว

                                 หัวใจดวงเล็กเต้นระรัว ในยามเช้าเช่นนี้มันไม่ควรเลยที่จะต้องมีความคิดวุ่นวายเกิดขึ้นในสมอง

                                 เขาปัดมือของปิญญ์ชานนท์ออก ไม่แรง แต่ก็มากพอที่จะทำให้ใครที่หลับไปอีกรอบรู้สึกตัว

                                 ร่างสูงโปร่งในชุดนอนหลวมโพรกลูกขึ้นจากที่นอนไม่พูดอะไร

                                 ไร้คำพูด ไร้คำทักทายใดใด

 

                                 “ปะป๊า”ร่างจ้ำม่ำใต้ผ้าห่มผืนหน้าเริ่มขยับตัวส่งเสียงเรียกตามเคย

                                 “เดี๋ยวป๊าไปเตรียมน้ำอุ่นก่อนนะครับ ปวดฉี่กันไหม”

                                 “อื้อ/อื้อ”สองแสบรีบพยักหน้าปีนลงจากเตียงแล้วเดินเกาะชายเสื้อขนมผิงเข้าห้องน้ำไปคนละข้าง

                               

                                 “ปะป๊า”เจ้าแสบคนพี่เรียกขณะยืนรอแปรงสีฟันที่ขนผิงกำลังบีบยาสีฟันใส่ให้

                                 “ว่าไงครับ”

                                 “ยุงปิญญ์หายรึยังฮับ กริมอยากเล่นกะยุงปิญญ์”

                                 “หลิ่มก็อยาก”

                                 ต่างคนต่างแข่งกันพูดเงยหน้าขึ้นจ้องมองตาใส

                                 “ยังครับ ลุงปิญญ์ยังไม่หายดี วันนี้ก็ห้ามเข้าใกล้ โอเคไหมครับ”

                                 “ว้า กริมอยากเล่นกับยุงปิญญ์จังฮับ”

                                 “เสียดายจัง”

                                 “เล่นกับป๊าก็ได้นี่”บอกพลางส่งแปรงสีฟันให้ลูกๆ

                                 ความอิจฉากับความหวงแหนผุดขึ้นมาในความคิดอย่างห้ามไม่ได้

                                 เขาไม่เข้าใจ ทำไมเด็กๆถึงได้อยากเข้าใกล้คนเลวๆอย่างปิญญ์ชานนท์นัก

                                 หรือเป็นเพราะสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นกันที่ทำให้ทั้งปลากริมและสลิ่มพยายามที่จะเข้าหาอีกฝ่ายตลอด

 

 

 

                                 เข้าวันที่สามแล้วที่ปิญญ์ชานนท์ยังคงอาการไข้ไม่ยอมลดลงถึงแม้จะกินยาที่มีอยู่ก็ตาม และก็เข้าวันที่สี่เช่นกัน ที่จะต้องอยู่ที่เกาะนี้ เกาะที่ราวกับกรงขังริบรอนอิสระภาพที่ควรจะมี

                                 สองคืนแล้วที่ตื่นขึ้นมาพบกับท่อนแขนแข็งแรงพาดอยู่บนตัว ทั้งที่ควรจะคิดรังเกียจ แต่กลับเมินเฉยไม่รู้สึกอะไร

                                 “นี่ยาของคุณ”

                                 เมื่อไรไม่รู้ที่ต้องกลายเป็นคนที่ดูแลทั้งเด็กๆทั้งคนป่วย จู่ๆก็ต้องรับสถานะแบบนี้ไม่ทันได้ตั้งตัว

                                 ไร้หนทางผลักไสหรือไม่ยอมผลักไสเอง ข้อนี้เขาไม่เคยหยิบยกมันขึ้นมาคิด

 

                                 ปิญญ์ชานน์ในวันนี้สีหน้าดูมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างต่างจากสองวันที่ผ่านมา เสียงที่แหบแห้งเริ่มจะดีขึ้นบ้าง

                                 เขาไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะพิษไข้หรืออะไรที่ทำให้คนอย่างปิญญ์ชานนท์เปลี่ยนไป

                                 “ขอบคุณ”

                                 อีกฝ่ายยื่นแก้วน้ำกลับคืนให้

                                 อาหารมื้อเช้าจบไปแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ต้องมานั่งดูหนังคอมมาดี้แนวครอบครัวกันพร้อมหน้า

                                 มีบางครั้งที่เผลอยิ้มกับมุกตลกพร้อมๆกับเด็กๆที่หัวเราะชอบใจ มีบางครั้งที่ดวงตาเผลอสบเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว

                                 ดวงตาที่ไร้วี่แววของความเกลียดชัง…ของอีกฝ่าย

                                 “ปะป๊า”เจ้าแสบคนพี่จิ้มที่ขาให้หันไปมอง

                                 “ว่าไงครับ”

                                 “อันนี้สวยไหมกริมกะน้องหลิ่มช่วยกันวาดฮับ”สองแสบช่วยกันชูกระดาษแต้มสีเทียนให้ดู

                                 สีเทียนถูกแต้มลงบนกระดาษขาวแต่งแต้มเป็นรูปร่างของคนสี่คนจับมือกันอยู่บนภาพนั้น

                                 คนสี่คน…..

                                 “ทำไมถึงมีสี่คน”ถามลูกเสียงเบา ปกติจะมีแค่สามคนเท่านั้น

                                 “อันนี้กริมกะน้องหลิ่ม อันนี้ปะป๊า ส่วนอันนี้ยุงปิญญ์ไงฮับ”

                                 “มียุงปิญญ์ด้วย”คนน้องพยักหน้าขึ้นลงไปมาเสริมคำบรรยาย

                                 “ทำไมต้องมีเขาด้วยล่ะ”

                                 สิ่งแรกที่เกิดขึ้นในใจคือความไม่พอใจ

                                 ตอนนี้อะไรอะไรสำหรับเด็กๆแล้วจะต้องมีคนอย่างปิญญ์ชานนท์แทรกอยู่ตลอด

                                 “กริมกะน้องหลิ่มชอบยุงปิญญ์ อยากให้ยุงปิญญ์อยู่ด้วย”

                                 “ใช่ฮับ กริมอยากให้ยุงปิญญ์อยู่ด้วยทุกวันเลย”

                                 “แต่ป๊าไม่อยาก”ขนมผิงขมวดคิ้ว

                                 แต่ไม่นานก็ต้องคลายปมลงเมื่อเด็กน้องทั้งสองมองเห็นปฏิกิริยาไม่พอใจของเขาแล้วพากันกระพริบตาปริบๆรอยยิ้มเริ่มจางลงอย่างเห็นได้ชัด

                                 “แต่กริมกะน้องหลิ่มอยากให้ยุงปิญญ์อยู่ด้วย นะฮับ”

                                 “นะฮับปะป๊า หลิ่มไม่อยากลบยุงปิญญ์ออก”

                                 สุดท้ายก็ต้องยอม ยอมเพราะอีกไม่กี่วันก็จะแยกจากกันอยู่ดี เมื่อหลดออกไปจากที่นี่ เด็กๆก็จะลืม ลืมว่ามีคนอย่างปิญญ์ชานนท์อยู่ในชีวิต

                                 “ก็ได้ครับ”

                                 พออนุญาตสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ออกไป ความหวังลมลมแล้งๆของเด็กๆกำลังทำให้คนที่มองมาจากโซฟากลางห้องรู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

 

                                 จู่ๆก็หันมามองใครอีกคนที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ไม่รู้เลยว่าถูกมองอยู่ก่อนหน้า

                                 เผลอสบตาแล้วมองลึกลงไป เจอกับสิ่งที่อาจจะเรียกว่าความหวังหรืออะไรสักอย่าง

                                 ขนมผิงเองก็ไม่แน่ใจ

                                 เจ้าตัวกลมทั้งสองต่างก็กระโดดไปมา วิ่งเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ที่มองมาห่างๆ

                                 รูปวาดถูกเอาไปอวด

                                 ชั่วเวลาที่อีกฝ่ายหันไปมองรูปวาด จู่ๆรอยยิ้มที่ไม่เคยเห็นก็ออกมาอีกแล้ว รอยยิ้มที่มีให้แต่กับเด็กๆ

                                 ‘PAPA KRIM HLIM D’PIN’

                                 ตัวอักษรภาษาอังกฤษง่ายๆถูกลงไป ตัวD ปริศนานำหน้าชื่อของใครอีกคนเรียกให้ความสงสัยเกิดขึ้น แต่ก็ไม่คิดจะไถ่ถามว่าตัวอักษรที่ไม่รู้ความหมายนั้นคืออะไร

 

                                 “D’อันนี้คืออะไรครับ”ปิญญ์ชานนท์ถามเสียงเบา ไม่ขยับเข้าไปใกล้เพราะกลัวเด็กๆจะติดไข้

                                 จึงได้แค่ถามเสียงเบา ไม่อยากให้ขนมผิงได้ยิน

                                 แขนแข็งแรงถูกนิ้วเล็กๆสะกิดให้ก้มลงตามมืออวบๆที่กวักเรียก

                                 “อันนี้คือแดดดี๊ฮับ แต่ยุงปิญญ์ห้ามบอกปะป๊านะฮับ ปะป๊าจะโกรธ”

                                 “ใช่ฮับ ห้ามบอกนะฮับป๊าป๊ะจะไม่ยิ้ม”คนน้องเสริมพากันหัวเราะคิกคัก

                                 ปิญญ์ชานนท์กำลังยิ้ม ยิ้มไม่รู้ตัวให้กับประโยคอันไร้เดียงสานั่น

                                 ยิ้มโดยที่ไม่รู้ว่ามีใครอีกคนมองมาด้วยความอิจฉา

                                                                                                                                     

 

                                 วันเวลาแห่งความสุขสำหรับใครคนหนึ่งผ่านไปไวเสมอ แต่วันเวลาสำหรับความทุกข์ของใครอีกคนก็ผ่านไปช้าเสมอเช่นกัน

                                 ล่วงเลยเข้าสู่คืนวันที่ห้า ขนมผิงนั่งดูรายการข่าวฆ่าเวลาพลางดูเด็กๆที่กำลังเล่นของเล่นชิ้นโปรด

                                 ปิญญ์ชานนท์หายเข้าไปในครัว พักใหญ่แล้ว แต่เขาเลือกที่จะไม่สนใจ

                                 “ปะป๊าฮับ หิวน้ำ”

                                 “กริมก็หิวฮับ”เด็กเรียกให้หันไปสนใจ

                                 จึงได้ละจากหน้าจอทีวีเดินไปยังห้องครัว ประตูห้องครัวปิดอยู่ ต่างจากที่เคย เสียงพึมพำดังลอดออกมาทำให้ต้องเงี่ยหูยืนยันสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

                                 “ผมได้คำตอบที่คุณถามผมแล้ว”

                                 ปิญญ์ชานนท์คุยโทรศัพท์อีกแล้ว?

                                 ขนมผิงเงี่ยหูมากขึ้น ไม่ได้ต้องการรู้ว่าคุยกับใคร ต้องการรู้ว่าคุยเรื่องอะไรต่างหาก

                                 แล้วตลอดมาโทรศัพท์นั้นถูกเก็บอยู่ที่ไหนกันแน่ ทำไมเขาถึงไม่เคยเจอมัน

                                 “ไม่ใช่ว่าผมต้องการที่จะมองเห็นพวกเขาตลอด แต่ผมต้องการที่จะอยู่ใกล้พวกเขาตลอดเวลามากกว่า”ปิญญ์ชานนท์ตอบกลับ

                                 มันยิ่งทำให้ขนมผิงไม่เข้าใจว่าปิญญ์ชานนท์กำลังหมายถึงอะไร เสียงที่ได้ยินผ่านบานประตูมันขาดหาย และทำไมถึงต้องคุยในเวลาแบบนี้กัน

                                 “ผมจะลองเก็บเอาไปคิดดูแล้วกัน”

                                 เป็นเหมือนประโยคจบบทสนทนา ขนมผิงหยัดตัวขึ้นถอยหลังไปหลายก้าวแสร้งทำทีว่าพึ่งจะเดินมา

                                 เป็นจังหวะเดียวกับประตูเปิดออก

                                 “นาย!!”ปิญญ์ชานนท์เรียกแค่นั้น ไม่ได้พูดอะไรต่อ ดูเหมือนจะแปลกใจที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาพอดี

                                 “ผมจะมาเอาน้ำให้เด็กๆ ไม่ได้มาตามคุณหรอกนะ อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย”เลือกที่จะพูดจายียวนเพื่อปกปิดสิ่งที่ตนมั่นใจ

                                 เครื่องมือสื่อสารชิ้นเดียวที่สร้างความหวังให้ถูกยืนยันที่อยู่ชัดเจนแล้วว่าอยู่ที่ครัวแห่งนี้

                                 “งั้นเหรอ”ปิญญ์ชานนท์ตอบรับแล้วเดินกลับไปยังโซฟาที่ประจำ

                                 อาการไข้ของเขาลดลงมากจนเกือบจะหายดี ทำให้พอมีโอกาสใกล้ชิดเด็กๆได้บ้าง

                                 ชายหนุ่มวายเหลือบมองแผ่นหลังของใครอีกคน คนที่เขาไม่สามารถลบให้ออกไปจากความคิดได้สักที

                               

 

================================================================

 

                                 ฤทธิ์ยาแก้ไข้ที่กินไปทำให้ปิญญ์ชานนท์หลับสนิท ขนมผิงคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น

                                 ร่างสูงโปร่งลุกออกมาจากเตียง เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้

                                 ไฟในห้องครัวถูกเปิดสว่าง สายตาคมนิ่งสอดส่องหาบริเวณที่ตนคิดว่ายังไม่ได้สำรวจในห้องนี้

                                 เหมือนโชคชะตาเข้าข้าง ตาเหลือบมองเห็นตู้เบรกเกอร์ที่ถูกติดตั้งสูงขึ้นไปบริเวณข้างประตูด้านใน

                                 มันจะไม่สะดุดตาหากว่ามันไม่ถูกเปิดแง้มออกมาเล็กน้อย ที่ที่เขามองข้ามไป

                                 เป็นอย่างที่คิด เครื่องมือสื่อสารถูกหยิบออกมาแล้วเปิดเครื่อง ขีดสัญญาณโทรศัพท์ปรากฏขึ้นมาเพียงแค่สองขีด แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะใช้มันเพื่อขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่ไว้ใจ

                                 เบอร์คนสนิทที่รู้จักถูกกดอย่างรวดเร็ว

                                 สิ้นสุดสักทีเวลาที่เหมือนกับอยู่ในคุกแห่งนี้….

                                 ‘แทนทัพครับ’

                                 อีกฝ่ายตอบรับกลับมา

                                 “คุณแทนทัพครับ นี่ขนมผิง”

                                 ‘คุณผิงคุณหายไปไหนมา จู่ๆแม่คุณก็บอกว่าคุณไปเที่ยวกับเพื่อน’

                                 “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน คุณช่วยมารับผม….”

                                 ยังพูดไม่ทันจบเสียงฝีเท้าเบาๆจากด้านนอกทำให้สะดุ้งเล็กๆ

                                 รีบกดวางแทบจะทันที สัญญาไปแล้วว่าจะอยู่อย่างนิ่งเงียบในเวลาเจ็ดวันที่ตั้งเอาไว้

                                 เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆทำให้ต้องรีบวางสิ่งของนั้นเอาไว้ที่เดิมแล้วปิดลง

                                 ไม่อยากให้ข้อตกลงเป็นโมฆะ เพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบกับเด็กๆ

                                 แสร้งเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำดื่มออกมา

                                 จังหวะเดียวกับที่ใครอีกคนเดินเข้ามาพอดี

                                 ขนมผิงปรายตามองอีกฝ่าย แล้วเดินสวนออกมา ไม่พูดอะไร

                                 ชั่ววินาทีที่เดินสวนออกมา ใบหน้าที่ฝืนทำเป็นไม่รู้เรื่องก็แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ยากจะคาดเดาความรู้สึก

                                 โทรศัพท์ที่ปกติจะปิดเครื่องเอาไว้เมื่อใช้เสร็จถูกหยิบออกมา หน้าจอยังสว่างวาบเพราะมีสายเรียกเข้า

                                 ไร้เสียงไร้สั่นมีเพียงแสงไฟที่ปรากฏเบอร์แปลก

                                 ปิญญ์ชานนท์กดรับ

                                 ‘ฮัลโหล คุณผิง ได้ยินผมไหมครับ คุณผิง คุณได้ยินไหม คุณจะให้ผมไปรับที่ไหน ผมเป็นห่วงคุณนะครับ  ฮัลโหล ฮะ’

                                 เสียงของผู้ชายดังลอดออกมา ราวกับสิ่งที่พยายามกักเก็บเอาไว้มันปะทุออกมาอีกครั้ง

                                 เพราะอะไรกัน ทั้งที่พยายามที่จะเข้าใกล้ พยายามที่จะลงมาจากที่สูงเพื่อที่จะสัมผัสความเป็นจริง

                                 แต่กลับได้รับสิ่งตอบแทนที่มีค่าเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในความคิด

         ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม…..

 

===================================
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 07:32:24 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด