❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

คุณทีมใคร????

ทีมปิญญ์ # หล่อเลวแบบนี้ใช่เลย จัดหนักจัดเต็ม
26 (15.3%)
ทีมขนมผิง # แกมาทำร้ายชั้นเรอะ ไม่ยอม ฉันจะเอาคืน
38 (22.4%)
ทีมแฝดลูกหมู # ปล่อยให้พ่อๆไปเคลียกันเอง มุ้งมิ้งกันสองคน
106 (62.4%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 170

ผู้เขียน หัวข้อ: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖  (อ่าน 292238 ครั้ง)

ออฟไลน์ kung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
ผิงอย่ายอมง่ายๆนะ ถึงลูกจะคิดถึงอิปินแต่พ่อที่เลวแบบนั้น เราว่าอย่าเอามาเป็นพ่อเลย อินมากเกลียดผู้ชายที่ดีแต่ใช้กำลังแถมไม่เห็นค่าเรา เสียเวลาอะ แต่คนเขียนบอกไม่ดราม่าเราก็จะพยายามยอมรับในจุดนี้ จุดที่อิปินเป็นพระเอก แต่อยากบอกว่าเป็นพระเอกคนแรกที่ตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงตอนนี้เรายังไม่เห็นสิ่งดีๆที่อิปินทำเลยอะ มีแต่ขืนใจแก้แค้นนายเอกตลอดๆ เฮ้อ ขอสักทีเหอะอิปิน :z6: :angry2:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
มันจะเป็นความรักที่ตัดสินใจผิดพลาดแน่หรือ

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปในแนวของเกมการต่อสู้แย่งชิง มองไม่ค่อยเห็นความรักแทรกอยู่เท่าไหร่

หลังจากแก้แค้นกันไปมา มันจะเหลืออะไรสำหรับ 2 คนนี้  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
24 ปู่กับหลาน

 

                            “นั่นแกพาเด็กที่ไหนเข้ามาในบ้านกัน”เสียงแข็งกร้าวดังขึ้นเมื่อเดินผ่านเข้าไปยังโถงของบ้าน

                            อาทิตย์บังคับรถวีลแชร์เข้ามาใกล้จับจ้องมองเด็กตัวเล็กรูปร่างจ้ำม่ำสองคนหลบอยู่ด้านหลังของลูกชาย นานมากแล้วที่ลูกชายของเขาไม่ได้พาใครเข้ามาในบ้านเลยแม้แต่เพื่อน

 

                            “ใครเหรอฮับ”

                            ใบหน้ากลมๆของปลากริมชะโงกหน้าออกมาถามเสียงแผ่ว ดวงตาโตใสจ้องมองไปยังอาทิตย์ด้วยแววตาหวาดกลัว

                            คนตรงหน้าทั้งดูน่ากลัวและเสียงดุไปในเวลาเดียวกันจนเจ้าสองแสบเบี่ยงตัวไปหลบอยู่ด้านหลังของปิญญ์ชานนท์มือป้อมๆจับชายเสื้อของชายหนุ่มแน่น

                            “พ่อของฉันเอง”เขาตอบสองแสบด้วยเสียงเบายกมือขึ้นลูบหัวเจ้าสองแสบสลับกัน

                            การกระทำของปิญญ์ชานนท์เรียกให้อาทิตย์แปลกใจ ปกติคนอย่างลูกชายไม่แสดงท่าทีอ่อนโยนกับใครง่ายๆ แต่กลับมีท่าทีอ่อนโยนกับเด็กสองคนนี้

                            ดวงตาแข็งกร้าวของชายสูงวัยจับจ้องมองที่เด็กแฝดทั้งสองไม่วางตา ใบหน้าของเด็กแฝดหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับลูกชายของตนมากเกินไป มากเสียจนรู้สึกว่าเรื่องราวมันเริ่มทะแม่งขึ้นมา

                            “ผมคิดว่าพ่อจะไปพักผ่อนที่หัวหินวันนี้”

                            “ถ้าฉันไปฉันก็คงไม่รู้ว่าแกแอบเอาเด็กเข้ามาในบ้าน”อาทิตย์ยังคงจ้องมองไปยังเด็กแฝด

 

                            “คะ คุณปู่ใช่ไหมฮับ เรียกคุณปู่ถูกรึเปล่าฮับ”ปลากริมเงยหน้าขึ้นมา ช้อนตาถาม

                            “เรียกว่าคุณปู่เหรอ”สลิ่มพึมพำตาม

 

                            “แกอย่าบอกฉันนะ ว่าเด็กสองคนนี้เป็นลูกแก”ในที่สุดอาทิตย์ก็ถามออกไปด้วยความสงสัยที่มีมากเกินจะอยู่เฉยได้

                            “ใช่ครับ ปลากริมกับสลิ่มเป็นลูกของผมเอง”ปิญญ์ชานนท์ยอมรับเต็มปาก เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าต่อไปนี้เขาจะไม่หนีความจริงไม่ว่าจะด้วยอะไรเขาก็จะไม่ผลักไสไล่ส่งเด็กๆออกไปจากชีวิตอีกแน่นอน

                            “นี่แกกำลังจะบอกฉันว่าแกมีลูกที่โตขนาดนี้โดยที่ฉันคนนี้ไม่เคยรู้อะไรมาก่อนอย่างนั้นเรอะ”

                            “ครับ”

                            “แกจะบ้ารึไง ลูกของแกโตขนาดนี้ ทำไมแกถึงไม่เคยบอกฉัน”

                            “ผมเองก็พึ่งรู้ ไม่ต่างอะไรจากพ่อนักหรอก”ปิญญ์ชานนท์ตอบทำให้ชายชรานิ่งงัน

 

                            “แม่ของเด็ก…เป็นใคร”

                            “เดี๋ยวพ่อก็รู้เอง”

                            “นี่มันเวรกรรมอะไรของฉันกันนะ ถึงได้เจอแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง” บ่นพลางยกมือขึ้นมากุมขมับ ดวงตาจ้องมองเด็กตัวเล็กรูปล่างจ้ำม่ำทั้งสองไม่วางตา

 

                            “พวกเราเป็นลูกของพ่อปินเหรอฮับ”ปลากริมเงยหน้าขึ้นมาถามเกาะชายเสื้อของเขาแน่น

                            “หลิ่มไม่เข้าใจฮับ”สลิ่มเองก็เอียงคอมองเขาเช่นกัน

                            “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเธอก็เข้าใจเอง อีกไม่นาน”ถึงแม้ว่ามันจะสายเกินไป แต่เขาก็จะพยายามชดเชยในหน้าที่ให้กับเวลาที่เสียไป ชดเชยให้กับสิ่งที่ตนเองได้ทำเอาไว้ ต่อให้ต้องดูเหมือนเป็นผู้แพ้ แต่เขาก็จะทำเพื่อครอบครัว

 

 

                            “ชื่อแปลกพิลึก”อาทิตย์บ่นให้กับชื่อของเด็กๆ

                            “คนนี้กิมฮับ”ปรากริมยิ้มกว้างส่งไปให้คุณปู่ยกมือไหว้แล้วก้มตัวลงท่าทางน่าเอ็นดู

                            “อันนี้น้องหลิ่ม”สลิ่มไหว้ตามพี่บ้าง ตอนนี้เลิกหลบอยู่ด้านหลังของปิญญ์ชานนท์แล้ว

                            “คนพี่ชื่อปลากริมครับ คนน้องชื่อสลิ่มครับ”ปิญญ์ชานนท์กำชับให้อีกทีดันเด็กๆออกมายืนด้านหน้า

                            “งั้นเหรอ มาใกล้ๆฉันสิ”อาทิตย์กวักมือข้างที่ยังใช้งานได้เรียกให้เด็กๆเอียงคอมองแล้วหันมามองหน้ากัน

                            “ไปเถอะ พ่อฉันไม่ทำดุพวกเธอหรอก”เขาดันหลังเจ้าสองแสบให้เดินเข้าหาผู้เป็นพ่อ

                            “คุณปู่เป็นพ่อของพ่อปินเหรอฮับ”

                            “ใช่ ฉันเป็นพ่อของพ่อพวกเธอเอง”ชายชราเอื้อมมือขึ้นลูบหัวเด็กทั้งสอง

                            “ทำไมคุณปู่ต้องนั่งรถเข็นล่ะฮับ”

                            “ฉันไม่สบายน่ะ”

                            “แล้วคุณปู่เดินเองไม่ได้เหรอฮับ”คนน้องถามบ้าง เดินเข้าไปเกาะขาของอาทิตย์

                            “อันที่จริงฉันก็ยังพอเดินได้ แต่ฉันไม่อยากเดิน ก็แค่นั้น”ตอบไปตามจริงเพราะการนั่งวิลแชร์สะดวกกว่าการที่ต้องใช้ไม้เท่าเดินเป็นร้อยเท่าเมื่อเทียบกับร่างกายครึ่งซึกที่ใช้งานไม่ได้

                            “แต่กิมชอบเดินนะฮับ ไปได้ทุกที่เลย”

                            “งั้นเหรอ แล้วพวกเธออยากให้ฉันเดินรึเปล่าล่ะ”

                            “ฮับ อยากให้คุณปู่เดินมากกว่า”สลิ่มหยักหน้าไปมายิ้มให้กับอาทิตย์

                            เป็นสิ่งที่ไม่ทันตั้งตัวเมื่อจู่ๆก็ได้รู้ว่าตัวเองมีหลานถึงสองคนที่โตขนาดนี้แล้ว กริยาช่างจ้อทำให้อาทิตย์เผลอยิ้มให้กับบทสนทนาน่าเอ็นดูกับคำถามมากมายที่เด็กๆสรรหามาถามเขาไม่หยุดหย่อน

                            “ปิญญ์แกไปบอกให้มะลิเอาขนมไปให้ชั้นที่สวนที ชั้นอยากจะไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้านสักหน่อย”

                            เหมือนจะเผลอไผลหลงคารมกับเจ้าสองแสบที่หลอกล่อให้อาทิตย์เป็นพวกเห่อหลานได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง

                            รอยยิ้มที่ปิญญ์ชานนท์ไม่เคยเห็นประดับอยู่บนใบหน้าของบิดานับตั้งแต่ป่วยกลับคืนมาอีกครั้ง

                            “ครับๆ”ปิญญ์ชานนท์ส่ายหน้าเล็กน้อย แทนที่เขาจะได้ใช้เวลาอยู่กับลูกเพื่อชดเชยเวลาส่วนที่ขาดหาย ดูเหมือนว่าจะโดนแย่งเวลาไปซะแล้ว

                            ไม่คิดว่าพ่อของเขาจะเปิดใจยอมรับใครง่ายๆ ทุกอย่างมันเหนือความคาดหมายที่ พ่อของเขากลับหลงหลานซะยิ่งกว่าอะไร จากที่ไม่ค่อยยอมเดินไม่ยอมทำกายภาพบำบัด แต่พอเด็กๆเข้ามาไม่ถึงชั่วโมงกลับจับมือกันถือไม้เท้าเดินไปที่สวนหลังบ้านโดยมีพยาบาลส่วนตัวดูแลอยู่ไม่ห่าง

                            ปิญญ์ชานนท์ทิ้งกายลงบนเก้าอี้ในสวนจับจ้องมองผู้เป็นพ่อกำลังยิ้มให้กับเด็กๆอย่างมีความสุข บางทีนี่อาจจะเป็นสัญญาณที่ดี

                            เงินทองที่เขาและพ่อทุ่มเทมันทำให้เขาเริ่มคิดได้…ว่านั่นมันไม่ใช่ทั้งหมดที่ต้องการ

                            ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความไม่กี่ประโยคแล้วส่งไปยังเบอร์ที่เขาไม่ได้ติดต่อมาร่วมสี่เดือน

 

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

                           

                            “แม่คนนั้นใครเหรอครับ”

                            “คนนั้นน่ะเหรอ คุณปิญญ์ลูกชายคุณอาทิตย์ เพิ่งจบมาใหม่ๆ กำลังจะเข้ามาเรียนรู้งานต่อจากพ่อเขา”

                            “ดูน่ากลัวนะครับ”บอกไปอย่างนั้นแต่ก็มองตามอีกฝ่ายไม่วางตา

                            เรือนกายสูงใหญ่ดูสง่ารับกับใบหน้านิ่งเฉยดูสุขุมน่าเกรงขามทั้งที่ยังอายุไม่เยอะเลยด้วยซ้ำ

                            สมแล้วที่เป็นลูกเจ้าของบริษัท

                            “แม่ เดี๋ยวผิงไปห้องน้ำก่อนนะ”

                            “อย่าเดินไปทั่วล่ะ เดี๋ยวจะไปเกะกะใครเขาเข้า”ลำดวนเตือน

                            “ครับๆ”พยักหน้าตอบรับ ทั้งที่สายตาจดจ้องริมทางเดินที่เป็นทางไปห้องน้ำ

                            อยากจะไปดูใกล้ๆว่าคนอะไรทำไมถึงได้ดูน่ากลัวทั้งที่อายุมากกว่าเขาแค่ไม่กี่ปี แต่ก็ทำตัวเหมือนคนอายุมาก

                            ถึงอย่างนั้นก็ดูน่ามองยังไงไม่รู้ ถึงได้เดินตามเข้ามาในห้องน้ำแบบนี้

                            ขนมผิงล้างมือ ตาก็จ้องมองเงาสะท้อนของกระจกห้องน้ำ แต่ดวงตาคมนิ่งดูซุกซนไม่ได้จ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองแต่อย่างใด

                            หากแต่กำลังจับจ้องเงาสะท้อนของร่างสูบใหญ่ที่กำลังล้างมืออยู่ข้างๆ

                            แม้แต่ตอนล้างมือยังดูน่ากลัว

                            ขนมผิงถอนหายใจเมื่ออีกฝ่ายเดินออกไปจากห้องน้ำ

                            ถ้าหากถูกตาดุดันขนาดนั้นจ้องเอาจะรู้สึกยังไงนะ

                            คงจะรู้สึกกลัวจนทำตัวไม่ถูก…

                            กำลังจะก้าวเดินออกจากห้องน้ำเพื่อกลับไปหาผู้เป็นมารดา

                            ทว่าสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับกระเป๋าสีดำเงานอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น

                            พอเปิดขึ้นมาใบหน้าที่ปรากฏบนบัตรประชาชนทำเอาอมยิ้ม ในบัตรประชาชนกับตัวจริงไม่เหมือนกันสักนิด

                            ขนมผิงเดินออกมา กลับไปหามารดาของตนเพื่อถามหาเจ้าของกระเป๋าเงินใบนี้

                            “แม่ คนเมื่อกี้ คุณ เอ่อ คุณปิญญ์ใช่ไหม เขาไปไหนแล้ว”

                            “น่าจะกลับแล้วนะ เมื่อกี้ผิงไม่เห็นเหรอ”

                            “งั้นผิงไปก่อนนะแม่ อย่ากลับบ้านดึกล่ะ”ขนมผิงยิ้มโบกมือลารีบเดินออกมา

                            ประตูลิฟกำลังจะปิดลง ใบหน้าคมคายของชายหนุ่มที่เขาคิดว่าน่ากลัวปรากฏอยู่ตรงหน้า

                            “รอด้วยครับ รอด้วย อย่าพึ่งไป”ขนมผิงออกวิ่งทันทีเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังจะไปไม่ทันลิฟ

                            คล้ายกับคนในลิฟจะใช้เวลาคิดอยู่เล็กน้อยก่อนจำกดเปิดประตูให้

                            “ขอบคุณครับ”ขนมผิงหอบจนตัวโยน เพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แค่วิ่งระยะสั้นๆก็ทำเอาหอบไม่ใช่เล่น

                            ขนมผิงยืนขนาบข้างกับอีกฝ่าย ปรายตามองลาดไหล่กว้างของอีกฝ่ายแล้วเปรียบเทียบด้วยสายตา

                            คนคนนี้สูงกว่าเขาตั้งเยอะ

                            ถ้าเขาอายุมากกว่านี้จะสูงเท่านี้ไหมนะ…

                            ไม่รู้ว่าคนคนนี้เป็นคนแบบไหนกัน แม้แต่ยืนรอลิฟลงชั้นล่างยังยืนนิ่งเฉยทำมาดขรึมอยู่ได้

                            แทนที่จะยื่นกระเป๋าคืนให้ก็เปลี่ยนใจ อยากจะรู้ว่าเสียงของอีกฝ่ายเป็นยังไงกัน

                            จะน่ากลัวเหมือนหน้าตารึเปล่า

                            ขนมผิงเอียงคอ

                            “ผมชื่อผิง คุณชื่ออะไรเหรอครับ ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม”

                            ถามออกไปพร้อมกับยิ้มเล็กๆ

                            อีกฝ่ายนิ่งอยู่พักใหญ่ทำให้ขนมผิงยิ้มเก้อขมวดคิ้วเล็กๆ เพื่อกดดัน

                            “ทำไมฉันต้องบอกเธอ”น้ำเสียงห้วนก้องกังวานทำเอาขนลุก

                            เสียงก็น่ากลัวเหมือนหน้าตาไม่มีผิด

                            “นะครับบอกผมหน่อย”ฉีกยิ้มกว้างให้ หวังจะได้รอยยิ้มกลับคืน แต่ก็เปล่า

                            “เธอจะรู้ไปทำไม”

                            “นะครับ บอกผมหน่อย ผมอยากรู้ชื่อคุณจริงๆ”อีกฝ่ายตอบ ใบหน้าแดงเล็กๆทำให้ขนมผิงแปลกใจ

                            หรือว่าอากาศในนี้จะร้อน…แต่ก็ไม่นี่

                            “แล้วนามสกุลล่ะครับ”

                            “อนันตไพลิน”ยังคงแสดงท่าทีนิ่งเฉย

                            ขนมผิงฉีกยิ้มกว้างให้กับคนแปลกตรงหน้าที่เอาแต่ทำตัวขรึมก่อนจะดึงมือของเจ้าตัวเข้ามาหาแล้ววางเจ้ากระเป๋าเงินเจ้าปัญหายัดใส่มือของอีกฝ่าย

                            “ไปก่อนนะครับ ผมมีนัดกับเพื่อ เดี๋ยวจะไม่ทันเอา”

                            โบกมือลาไม่ลืมที่จะส่งยิ้มกับคนน่ากลัวก่อนจะสาวเท้าออกจากลิฟ

                            คนอะไรแปลกคนจริงๆ

                            แต่ก็ดูน่ามองไปอีกแบบ เหมือนมองแล้วจะดึงดูดสายตาไม่ให้ละไปไหนได้

 

                            แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่อดีต อดีตที่เขาเผลอมองคนอื่นเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก

                            เสียงข้อความเข้าทำให้ละจากแฟ้มงานหลายสิบที่กองอยู่บนโต๊ะหยิบโทศัพท์ขึ้นมาดู

                            อารมณ์ที่นิ่งสงบราวกับน้ำมันที่ถูกจุด้วยเปลวไฟโหมลุกไหม้ในพริบตา

                            ‘ลูกอยู่กับฉัน มาคนเดียวล่ะ ฉันอยากจะต่อรองกับนาย’

                            อีกแล้วที่ปิญญ์ชานนท์ขโมยลูกของเขาไป ต่อให้เขายิ่งเก็บซ่อนลูกเอาไว้มากแค่ไหนคนอย่างปิญญ์ชานนท์ก็เอาลูกเขาไปจนได้

                            ขนมผิงรีบกดโทรศัพท์ด้วยความร้อนรน เรื่องลูกเป็นเรื่องเดียวเท่านั้นที่เขายอมไม่ได้เด็ดขาด

                            “คุณถือดียังไงถึงขโมยลูกผมไป”

                            ‘ปลากริมกับสลิ่มเป็นลูกของฉันเหมือนกัน’ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

                            “ผมจะแจ้งตำรวจ”

                            ‘ก็เอาสิ ฉันคิดว่าถ้าเรื่องถึงขั้นขึ้นศาล นายอาจจะเสียลูกให้กับฉันก็ได้’

                            “ไม่มีทาง คุณก็รู้ว่าเรื่องมันไม่ง่าย คุณปิญญ์ เด็กสองคนนั้นไม่ได้ถือสัญชาติไทย”ปลากริมและสลิ่มได้รับสิทธิพิเศษจากสถานทูตให้สามารถถือสัญชาติอังกฤษเพราะเป็นเด็กที่เกิดจากผู้ชาย เขาได้ทำสัญญากับสถานทูตยอมให้ตัวเองเป็นกรณีศึกษาเป็นเวลาสองปีหลังจากเด็กๆคลอด เพื่อปกป้องเด็กๆ หากมีการฟ้องเพื่อเรียกร้องสิทธิจะต้องเป็นเรื่องวุ่นวาย มันจะทำให้เรื่องยุ่งยากากขึ้น โดยที่เงินไม่สามารถจัดการง่ายๆเหมือนกับที่คนอย่างปิญญ์ชานนท์เคยทำมาตลอด

                            ‘เรื่องนั้นฉันรู้ดี แต่ฉันเองก็อยากทำหน้าที่พ่อ อยากได้เด็กๆมาอยู่ด้วย นายก็รู้’

                            “คุณคิดอะไรอยู่กันแน่ ทั้งที่…”ทั้งที่ตัวเองเป็นคนผลักไสไล่ส่งเขากับเด็กๆ

                            ยังไม่ทันจะพูดจบปลายสายก็ตัดไปก่อน ขนมผิงจ้องมองหน้าจอด้วยความเจ็บใจ ตอนนี้ใจของเขากำลังร้อนรุ่ม ความคิดมีแต่เรื่องลูกอยู่เต็มหัวไปหมด

                            ไม่เข้าใจ เขาจะต้องทำถึงขนาดไหนกันแน่ ปิญญ์ชานนท์ถึงจะเลิกยุ่งกับลูกของเขาสักที

                           

 

                            “คุณผิง จะไปไหนครับ จะกลับแล้วเหรอครับ”

                            “วันนี้ผมจะกลับแล้ว ฝากคุณดูเอกสารที่ผมเซ็นอนุมัติด้วย”

                            “แต่คุณมีนัดทานข้าวเย็นและคุยงานกับคุณอิงอร นัดนี้สำคัญมากนะครับ จะยกเลิกไม่ได้ อีกอย่างเอกสารที่อยู่บนโต๊ะเป็นเอกสารที่ผมเลือกเอาไว้แล้วว่าคุณต้องเซ็นภายในวัน”

                            “อะ อะไรกัน”ขนมผิงพึมพำร่างกายราวกับจะหมดแรง แทบจะทรงตัวไม่ไหว

                            นี่ฟ้าลงโทษเขารึยังไงกัน ทั้งที่อยากจะไปตามเอาลูกคืนใจจะขาดแต่กลับต้องรอทำงานที่มีอยู่ท่วมหัวให้จบ

                             “คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ”แทนทัพแตะลงที่แขนของขนมผิงด้วยความเป็นห่วงเมื่อใบหน้าของขนมผิงซีดเผือดลง

                            “ไม่ ผมไม่เป็นไร ให้แม่บ้านเอากาแฟมาให้ผมด้วย”พยายามตั้งสติเหมือนกับทุกทีเพื่อไม่ให้อารมณ์โกรธเข้าครอบงำ

                            “แต่วันนี้คุณดื่มกาแฟไปสามแก้วแล้ว”แทนทัพแย้ง

                            “ผมไม่เป็นไร สั่งให้แม่บ้านเอามาเถอะ”ขนมผิงตัดบทปิดประตูห้องทำงานลงอีกครั้ง

                            ร่างสูงโปร่งทิ้งตัวลงบนเก้าอี้บุนวมราคาแพงยกมือขึ้นกุมขมับ

                            ทั้งที่เป็นผู้ชนะ…แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้สึกว่ากำลังชนะเลยสักครั้ง

 

 
                                             ----------------------------------------------
มีต่อ


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 07:55:10 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
 :katai1: :katai1: :katai1:  สงสารอีปิณณ์ดีไหมนะ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
แอบไม่ชอบเดหลีเลย

แล้วนี่ขนมผิงจะหมั้นกับนางจริงๆ? :ling3:

สงสารสองแฝด พ่อแม่ต้องมาตีกันอย่างนี้ :katai1:

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
เราว่าผิงกำลังหน้ามืดตามัวกับอำนาจกับชัยชนะที่ได้มา
เดาเอาจากที่พ่อผิงเตือนแล้วผิงก็ไม่ใส่ใจ
ฐานกำลังอำนาจของผิงที่ได้มาก็ไม่ต่างอะไรกับปราสาททราย
เพราะทุกคนเข้ามาร่วมด้วยมีจุดร่วมเดียวกันก็คือผลประโยชน์กับการแก้แค้น
ทำให้ฐานนั้นไม่มั่นคงและกลวง
ถ้าเดหลีรู้ว่าเจ้าแฝดนั่นเป็นลุกของปิญญ์กับผิงท่าจะได้โก่งตัวถอนหมั้นในทันที
ปิญญ์นั้นคนเขียนทิ้งปมไว้เมื่อก่อนว่าทรนงมากเกินไป
ไม่มีเวลาดูแลร่างกายและงานได้อย่างเต็มที่
มาตอนนี้ถอยออกมา ได้มีเวลามานั่งคิด
ถ้าคิดได้ก็สามารถสร้างคุณค่าให้กับตัวเองขึ้นมาได้
โดนโฟกัสไปที่ลูกกับสิ่งที่ตัวเองต้องการทำ + สมควรทำ
งานที่บริษัทก็ปล่อยให้ผิงทำไป   เร่งรีบขยายบริษัทขนาดนั้น
จะทำงานได้ขนาดไหนที่จะไม่ละเลยลูก
ขนมผิงตอนนี้เป็นตัวละครที่แบนมากๆค่ะ มีด้านเดียวที่อยากเอาชนะเท่านั้น
ปิญญ์มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจากตัวละครแบบแบนๆ
มาเป็นตัวละครแบบตัวกลมที่ดูมีหลายด้านหลายมิติหน่อยก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของคนเขียนแล้ว

ป.ล  การปลดปิญญ์นี่ไม่ต้องเอาเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติหรอกหรือ? ไม่น่าใช่เดินดุ่มๆเข้ามาแบบนี้นะ

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :katai5:  กลับมาอ่านหลังจากที่ไม่ได้อ่านเรื่องนี้มาพักใหญ่ เพราะรู้สึกเหมือนเนื้อเรื่องมันหลุดกรอบไปมั้ยหรือว่าคนเขียนสนุกกับการได้แกล้งผิง  (อันนี้ความคิดส่วนตัวนะ)   ตอนนี้เลยอ่านหลายตอนมาก   :z3:


ตอนกลางเรื่องเหมือนทุกอย่างจะดีขึ้นนะ ที่ไปอยู่ด้วยกัน ผิงกับปิญเปิดใจให้กันมากขึ้น  แต่สุดท้ายก็พังเพราะอิตาปิญ   


มาจนตอนนี้  บอกเลยว่าสะใจ  แต่แอบติเรื่องปลดระดับผู้บริหารออกนั้น  การที่ผิงขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่นั้นแน่นอนตำแหน่งคือประธาน  แต่ปิญเองก็ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสองเหมือนเดิม  การจะปลดนั้นเราว่าจะต้องปลดผ่านการประชุมบอร์ดบริหาร หรือ ก็คือปลดผ่านห้องประชุม  ไม่สามารถเดินมาบอกชิ่วๆให้ปิญเดินออกไปแบบนี้ได้ แต่ถามว่าสะใจมั้ยที่อิตาปิญโดนแบบนี้ บอกเลยว่าโคตรสะใจ


แต่ในตอนที่ผิงทำหน้างงๆกับท่าทางง่ายๆของปิญนั้น เหมือนผิงจะคาดหวังเอฟเฟคจากปิญมากกว่านี้ แต่พอเจอแบบชิลๆเลยเหมือนเรือที่ลอยเคว้งๆ แบบอืม จะเอายังไงต่อไปดีอะไรทำนองนี้

มาถึงการคาดเดาตอนต่อไปดีกว่า  เดาว่า สองตัวนี้กำลังจะวิ่งสวนกันอีกรอบ คือปิญเริ่มคิดได้  แต่ในขณะที่ผิงนั้นจะงานรัดตัวจนละเลยลูกๆ  ส่วนปิญนั้นหลังจากที่โดนถีบลงมาจากหอคอยงาช้างจะเริ่มมองเห็นอะไรได้กว้างกว่าเก่า   


เชื่อว่า สองแสบเนี่ยแหละจะเป็นตัวเชื่อมของสองคนนี้  แต่ในที่นี้เราไม่อยากให้สองแสบไปติดใจอะไรตาปิญมากขนาดนั้นเพราะในความรู้สึกของเรา  เด็กๆอาจจะคิดถึงบ้างแต่ไม่ได้ต้องการคนอื่นๆไปมากกว่าพ่อแม่ของตน  ในที่นี้่ปิญเป็นแค่ลุง ไม่ใช่พ่อจะให้เด็กๆมาติดแจเหมือนพ่อเลยเราว่ามันไม่ค่อยโอในความรู้สึกของเรา(คนเดียว)เท่าไหร่ 

ปล. อยากจะลงโทษอิตาปิญด้วยแหละ  หยิ่งนักตอนนั้น  ตอนอยู่บนหอคอยงาช้างเนี่ยอลังการความคิดเหลือเกิ๊นนน ดัดสันดานมันให้ดีก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่


และสุดท้ายขอบอกว่าสู้ๆจร้า  เป็นกำลังใจให้  เพราะอย่างที่เคยบอกไปเราชอบพล็อตของเรื่องนี้ มันดีนะแต่อาจจะยังมือใหม่เลยกะแนวทางของเรื่องลำบากไปหน่อย  :3123:

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ไม่เชื่อว่าผิงจะมีเวลาให้ลูกหรอก ทำงานมากขนาดนั้น
ส่วนปิญญ์ กลับมาเป็นคนปกติซักที ดีใจด้วย

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
เราว่าผิงกำลังหน้ามืดตามัวกับอำนาจกับชัยชนะที่ได้มา
เดาเอาจากที่พ่อผิงเตือนแล้วผิงก็ไม่ใส่ใจ
ฐานกำลังอำนาจของผิงที่ได้มาก็ไม่ต่างอะไรกับปราสาททราย
เพราะทุกคนเข้ามาร่วมด้วยมีจุดร่วมเดียวกันก็คือผลประโยชน์กับการแก้แค้น
ทำให้ฐานนั้นไม่มั่นคงและกลวง
ถ้าเดหลีรู้ว่าเจ้าแฝดนั่นเป็นลุกของปิญญ์กับผิงท่าจะได้โก่งตัวถอนหมั้นในทันที
ปิญญ์นั้นคนเขียนทิ้งปมไว้เมื่อก่อนว่าทรนงมากเกินไป
ไม่มีเวลาดูแลร่างกายและงานได้อย่างเต็มที่
มาตอนนี้ถอยออกมา ได้มีเวลามานั่งคิด
ถ้าคิดได้ก็สามารถสร้างคุณค่าให้กับตัวเองขึ้นมาได้
โดนโฟกัสไปที่ลูกกับสิ่งที่ตัวเองต้องการทำ + สมควรทำ
งานที่บริษัทก็ปล่อยให้ผิงทำไป   เร่งรีบขยายบริษัทขนาดนั้น
จะทำงานได้ขนาดไหนที่จะไม่ละเลยลูก
ขนมผิงตอนนี้เป็นตัวละครที่แบนมากๆค่ะ มีด้านเดียวที่อยากเอาชนะเท่านั้น
ปิญญ์มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจากตัวละครแบบแบนๆ
มาเป็นตัวละครแบบตัวกลมที่ดูมีหลายด้านหลายมิติหน่อยก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของคนเขียนแล้ว

ป.ล  การปลดปิญญ์นี่ไม่ต้องเอาเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติหรอกหรือ? ไม่น่าใช่เดินดุ่มๆเข้ามาแบบนี้นะ

 :katai2-1: เห็นด้วยนะ

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
รู้สึกว่า ผิงรักหรือชอบปินโดยไม่รู้ตัวแน่นอน พอยิ่งเห็นปินส์ทิ้งตัวเองและลูกเลยแค้นและทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะ เรียกร้องความสนใจ มองว่า ผิงตาบอดไปแล้ว แต่สงสัยว่า ถึงปินส์อ่อนลงแล้วก็คงทำให้ผิงมองในแง่ลบอยู่ดี และถึงปินส์จะดีกับลูก คนเป็นแม่อย่างผิงก็คงมองว่า ปินส์ทำเพื่อลูกแต่ไม่ได้รักผิงอยู่ดี บอกเลยว่า จุดนี้มันเกินการแก้ไขแล้ว สุดท้ายคนที่เสียใจที่สุดก็คือ ผิง เพราะงานก็ไม่ใช่สิ่งที่อยากได้ ปินส์ก็กลายเป็นเรียกร้องแต่ลูก ไม่ได้สนใจผิงเลย ถ้าปินส์ขอโทษผิงสักหน่อยมันคงจะดีกว่านี้ แถมสายใยพ่อลูกตัดยังไงก็ตัดไม่ขาด ถ้าสักวันความลับเปิดเผย พ่อแม่ผิงคงยอมให้ปินส์พบลูก ไม่มีใครจะทิฐิพรากพ่อลูกออกจากกันได้หรอก พ่อปินส์เองก็คงจะเริ่มกลับมาดี ยิ่งถ้ารู้ว่ามีหลานยิ่งจะอ่อนลงอีก 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
ตอนนี้ขนมผิงก็ทำในสิ่งที่ตัวเองสำเร็จแล้วอยาก
ให้ขนมผิงหยุดได้เเล้ว
คุณปิญญ์ก็เรียนรู้การกระทำของตัวเองที่ผ่านมาเเล้ว
ต่อจากนี้อยากให้คุณปิญญ์เดินหน้า
ง้อขนมผิงอยากให้ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตของคำว่าครอบครัว
ิอยากให้เด็กๆมีความสุข

ขอบเรื่องนี้มากๆๆดำเนินเรื่องเร็วภาษาสวยงาม
เป็นกำลังใจให้ผู้เเต่งนะ

ออฟไลน์ korkwan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กรี๊ดดดด ไรท์มาต่อที แต่ตอนหน้าขอเป็นให้ผิงกับคุณปิญญ์คืนดีกันน้า อ่านไปแล้วปวดหัวจายย  :katai5: :z3: เป็นกำลังใจให้น้า

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
ต่อ
 

                            “คุณผิงครับ ผมว่าคุณน่าจะรอให้สันขับรถมารับ หรือไม่ก็ให้พนักงานเอาร่มมาให้คุณก็ได้ ถ้าไม่งั้นคุณจะเปียกเอาได้นะครับ”

                            “ไม่เป็นไร ผมไม่อยากรอ”

                            “แต่ผมไม่เห็นด้วย คุณไม่ได้พักผ่อนมาหลายวัน คุณอาจจะไม่สบาย”

                            “นั่นไม่ใช่ปัญหา”

                            “ถึงอย่านั้นผมก็อยากให้คุณรอ เดี๋ยวผมจะไปบอกพนักงานให้เอาร่มมาให้”

                            “ผมรอไม่ได้”

                            เพราะเขาแทบจะไม่ไหวแล้ว กว่าจะจบนัดทานข้าวเย็นกับลูกค้าเสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปหลายชั่วโมง นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มเศษๆ

                            ฝนที่เริ่มตกปรอยๆในตอนแรกตอนนี้กำลังตกหนักจนเนื้อตัวเปียกปอนไปหมด แต่เขาไม่สนใจเสียงห้ามของแทนทัพ

                            วิ่งผ่านสายฝนไปยังรถของตัวเอง ขับรถออกไปด้วยตัวคนเดียว ต่างจากทุกครั้งที่มีการ์ดคอยขับรถให้

 

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                            นาฬิกาบอกเวลาจะสามทุ่มแล้ว แต่ก็ยังไร้วี่แววของขนมผิง ชายหนุ่มจ้องมองรายการทีวีโดยที่ไม่ได้สนใจว่ารายการจะดำเนินต่อไปอย่างไร

                            ตอนนี้เขากำลังแปลกใจที่ขนมผิงมาช้ากว่าที่เขาคิดได้มากขนาดนี้ เขาฝากเด็กๆไว้กับพ่อและบุรุษพยาบาลที่มาดูแลพ่อของเขาในกะดึก แล้วนั่งรออีกฝ่ายอยู่ในห้องรับแขก

                            แสงไฟในบ้านที่เปิดเอาไว้เพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเสี้ยวหน้าที่ดูกังวลของชายหนุ่ม เขายังคงกังวลและสงสัยว่าทำไมแม่ที่หวงลูกอย่างขนมผิงถึงยังไม่มา

                            สำหรับขนมผิงแล้ว ลูกคือสิ่งเดียวที่เป็นจุดอ่อน สิ่งเดียวที่เขาจะทำให้ขนมผิงยอมให้กับเขาได้

                            เสียงฝนด้านนอกเริ่มตกแรงขึ้นทุกที เขาไม่อยากจะยอมรับว่าเขาเป็นห่วงอีกฝ่าย ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นมาทำให้เขาคิดหาคำตอบอีกครั้ง…ว่าทำไม

                            สุดท้ายเข็มสั้นของนาฬิกาตกอยู่ระหว่างเลขเก้าและเลขสิบ รถยนต์คันสีดำสนิทก็มาจอดเทียบประตูบ้าน

                            ขนมผิงที่ลงมาจากรถในสภาพเปียกปอน ดวงตาคมนิ่งกำลังแดงก่ำขนเขาอดที่จะแปลกใจกับสภาพแบบนั้นของขนมผิงไม่ได้

                            “ลูก…ลูกของผมอยู่ไหน”ถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวแต่ก็สั่นพร่าในเวลาเดียวกัน

                            “นายตัวเปียก น่าจะเช็ดตัวให้แห้งก่อน”ปิญญ์ชานนท์ตอบก่อนจะทำท่าเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่อยู่บนห้อง

                            “ผมไม่อยากเสียเวลา”

                            “แต่ฉันอยากจะคุยกับนาย”

                            “ผมจะไม่คุยอะไรกับคุณ นอกซะจากเรื่องที่คุณจะยอมขายหุ้นที่อยู่ในมือคุณ”ขนมผิงเชิดหน้าเล็กน้อยจ้องมองปิญญ์ชานนท์ด้วยท่าทางไม่พอใจ

                            “ฉันอยากจะตกลงเรื่องลูก แต่ก่อนอื่นนายน่าจะเช็ดตัวให้แห้งก่อน”เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พยายามไม่ใส่ใจกับท่าทีก้าวร้าวแบบนั้นของขนมผิง

                            “ลูกของผมอยู่ที่ไหน ผมไม่อยากให้ลูกของผมอยู่ที่นี่นานนักหรอกนะคุณก็น่าจะรู้ดี”

                            ขนมผิงยังคงถามหาแต่ลูกเช่นเคย ทว่าปิญญ์ชานนท์กลับไม่สนใจและเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบน

                            “ตามมาสิ”

                            เขารู้ว่าขนมผิงจะต้องตามเขาขึ้นมาอย่างแน่นอน

                            “ผมจะไม่อดทนกับคุณนานนะครับ คุณปิญญ์”ขนมผิงพยายามข่มอารมณ์ยามที่เดินตามปิญญ์ชานนท์ขึ้นมายังชั้นบน

                            “นั่นฉันรู้ดี เข้าไปสิ””

                            ปิญญ์ชานนท์เปิดประตูห้องนอนบ่ายหน้าให้ขนมผิงเดินเข้าไปก่อน ทว่าพอขนมผิงเข้ามาด้านในเด็กๆกลับไม่ได้อยู่ในห้องหรือนอนอยู่บนเตียงอย่างที่คิดเอาไว้ พอหันไปดวงตาแข็งกร้าวก็กระตุกวูบ

                            ปิญญ์ชานนท์ยืนขวางประตูแล้วกดล็อกลงอย่างย่ามใจ

                            “คุณเอาเด็กๆไปซ่อนไว้ที่ไหนกันแน่ ผมไม่ได้มีเวลาว่างมาเล่นกับคุณ”

                            “ฉันรู้ว่างานของนายมันเยอะมากแค่ไหนขนมผิง แต่ฉันก็ยังอยากที่จะตกลงกับนาย…เรื่องลูกของเรา”

                            “ลูกของผม!! ไม่ใช่ของเรา”

                            “นั่นนายรู้แก่ใจดี”

                            “คุณไม่คิดว่ามันจะสายเกินไปรึไง คุณปิญญ์ที่คุณจะมาเรียกร้องสิทธิเอาตอนนี้ ในเมื่อคุณเองที่เป็นคนผลักไสผมกับลูกออกไปจากชีวิต”ขนมผิงพูดอย่างเหลืออด

                            คนตรงหน้าช่างหน้าด้านหน้าทนเสียจริง ทั้งที่เป็นคนไล่เขากับลูกออกไปจากชีวิต แต่ตอนนี้กลับจะมาแย่งลูกไปจากเขา มันจะไม่มากไปหน่อยรึยังไงกัน

                            “ฉัน…”ปิญญ์ชานนท์นิ่งเงียบความความผิดพลาดของตนในอตีด

                            “เลิกยุ่งกับผมและลูกสักที”ทั้งที่พยายามเข้มแข็งแต่พอเป็นเรื่องนี้ทุกอย่างกลับพังทลายลงทุกที

                            “ฉันรู้ แต่ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้…เด็กๆต้องมีพ่อ”

                            “หึ พ่ออย่างนั้นเหรอ ผมนี่ไงที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้เด็กๆมาตลอด”

                            “นายก็รู้ว่ายังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ นายเป็นทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันไม่ได้หรอก ขนมผิง”ปิญญ์ชานนท์แตะลงที่ต้นแขนของขนมผิงอย่างเบามือ

                            เขากำลังลดตัวลงมาเป็นผู้แพ้ แล้วอ้อนวอน ยอมรับกับสิ่งที่ขนมผิงกำลังทำเพื่อกดให้เขาจมลงเบื้องล่าง

                            ขนมผิงปัดมือเขาออกในทันที ดวงตาแข็งกร้าวแดงก่ำและสั่นระริกไปในเวลาเดียวกัน

                            “ถ้าคุณไม่ยอมคืนลูกมาให้ผมภายในนาทีนี้ ผมจะแจ้งตำรวจ คนที่กำลังจะจวนตัวอย่างคุณคงไม่อยากมีเรื่องไม่ดีติดตัวใช่ไหมล่ะ”ขนมผิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมกดเบอร์

                            “พอถึงตอนนั้นทุกคนก็จะรู้กันหมดว่านายกับฉันมีลูกด้วยกัน เราจะเสียกันทั้งสองคน”ปิญญ์ชานนท์ดึงมือขนมผิงเอาไว้

                            นั่นเป็นความจริง หากข่าวแพร่งพรายออกไปถึงเรื่องการฟ้องร้องและเรื่องที่เขามีลูกมันอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ไม่ใช่แค่กับปิญญ์ชานนท์แต่มันหมายถึงเขากับครอบครัวด้วย ขนมผิงลดมือลง

                            สมองมันอื้ออึงจนคิดอะไรไม่ออกเมื่อตอนนี้พื้นที่ความคิดมีแค่ลูกเข้ามาแทนที่อยู่เต็มไปหมด

                            “ถอยไป ถ้าคุณไม่บอกไม่เป็นไร ผมจะไปตามหาเด็กลูกของผมเอง คุณแย่งลูกจากผมไม่ได้หรอก ยังไงลูกก็ต้องเลือกผมอยู่ดี”ขนมผิงผลักอกของชายหนุ่มให้ถอยออกจากหน้าประตู

                            ปิญญ์ชนนท์ถอนหายใจออกมา ขนมผิงยังคงดื้อรั้นไม่ยอมเขาอีกเช่นเคย เขาไม่ต้องการที่จะแย่งปลากริมกับสลิ่ม แต่เขาต้องการทำหน้าที่ในฐานะพ่อที่เขาบกพร่องมาตลอดสี่ปี

                            ทว่าขนมผิงก้าวไปเพียงแค่ไม่กี่ก้าวเหมือนโลกทั้งใบมันกำลังหมุนคว้าง ร่างกายเบาเหมือนเป็นอากาศในชั่วพริบตา ภาพเบื้องหน้าค่อยๆเบลอลงจนสุดท้ายก็มืดสนิท

                            ร่างสูงโปร่งที่ดูซูบลงไปเยอะล้มลงสู่อ้อมแขนของชายหนุ่มที่รับเอาไว้ได้ทัน

 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                            เสียงโทรศัพท์มือถือดังปลุกให้คุณหมอที่กำลังดูหนังที่กำลังฉายอยู่หน้าจอทีวีสะดุ้งเพราะหนังที่กำลังดูอยู่เป็นหนังที่ค่อนข้างสยองขวัญพอควร

                            ไฟหน้าจอโทรศัพท์กระพริบโชว์เบอร์แปลกเรียกให้คุณหมอขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างแปลกใจ

                            เพราะเบอร์ที่โชว์มันถูกเมมชื่อเอาไว้แล้วเรียบร้อย

                            ‘ลูกจ้าง’

                            เท่าที่จำได้เคยรู้จักใครที่ชื่อแบบนี้มาก่อน แล้วไม่เคยเมมชื่อใครแบบนี้อีกด้วย ด้วยความสงสัยจึงได้กดรับไปให้มันจบๆ

                            “คุณวุฒิครับ”

                            “ดื่มกันไหมครับ”

                            “เอ่อ?”งงกับคำชวนประหลาด

                            “ผมรออยู่ข้างล่าง…คอนโดของคุณ”

                            “คุณเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า”

                            “ถ้าคุณเป็นคุณหมอโรตจิตล่ะก็ไม่”เสียงปลายสายหัวเราะในลำคอ ประโยคนี้ทำให้คุณวุฒิเข้าใจในทันทีว่าเจ้าของเสียงปลายสายคือใคร

                            แต่ที่สงสัยอยู่เวลานี้คือชื่อที่เมมเอาไว้ในโทรศัพท์ต่างหาก เขาเมมเอาไว้ตอนไหนกัน หรือว่า…คืนนั้น

                            “ไม่เอาด้วยหรอก คุณกลับไปเถอะ”ออกปากไล่ทันทีทันใด

                            ไม่อยากจะเจอแทนทัพเพราะว่ามองหน้าอีกฝ่ายไม่ติด เขากับแทนทัพมีอะไรกันทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ

                            ใช่…เขาไม่ได้ตั้งใจแน่นอน…แล้วแทนทัพล่ะ ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่

                            “คุณจะไล่ผมกลับทั้งๆที่ฝนตกหนักขนาดนี้ ไม่ใจร้ายไปหน่อยรึไงครับ”

                            “อะ เอ่อ”คุณหมอสะอึกเล็กน้อย ขนาดเขาอยู่ในห้องยังได้ยินเสียงฝนชัดเจนขนาดนี้บ่งบอกว่าฝนตกหนักกว่าตอนหัวค่ำเสียอีก

                            “ผมตัวเปียก”

                            “คุณมาได้ก็ต้องกลับได้”

 

                            ถึงจะปฏิเสธไปแบบนั้นสุดท้ายก็ยอมให้กับเลขาจอมตื๊อเข้าจนได้

                            “นึกว่าคุณจะไม่ยอมลงมา”แทนทัพยกถุงบรรจุกระป๋องเบียร์อวดเป็นการทักทาย

                            “เฮ้อ”คุณหมอได้แต่ถอนหายใจ เดินนำไปไม่พูดไม่จา ไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้าขาวสะอาดกำลังขึ้นสีเล็กๆ

 

                            “ทำไมคุณถึงไม่ไปดื่มที่บ้านของตัวเอง”ถามพลางปรายตามองแทนทัพในชุดของเขาที่คิดว่ามันหลวมที่สุดแล้วแทนทัพก็น่าจะใส่ได้

                            “ผมแค่สงสัยว่าทำไมอาทิตย์ที่ผ่านมาคุณไม่โผล่ไปที่บริษัทเลย”

                            “นั่นมันเรื่องของผมว่าแต่…ทำไมคุณถึงได้เปียก”อดสงสัยไม่ได้เพราะที่จอดรถก็มีร่มให้ตลอดจนถึงตัวตึก

                            “ถ้าผมจะบอกว่าเรื่องของผมเหมือนกับคุณล่ะ”แทนทัพยิ้มเล็กๆ เพราะคำตอบของเขาทำให้คิ้วของคุณหมอขมวดข้าหากัน

                            “งั้นก็เรื่องของคุณ”คุณวุฒิตัดบท

                            เหตุผลที่ไม่ได้โผล่ไปที่นั่นเลยมันจะเป็นเพราะใครไปได้นอกจากตัวปัญหาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา ใครมันจะอยากไปเจอหน้าคนที่ดันเผลอมีอะไรด้วยกันตอนเมา

                            “ไม่ดื่มเหรอครับ”แทนทัพส่งกระป๋องเบียร์ให้ ทว่าคุณวุฒิกลับไม่ยอมรับ เพราะเข็ดกับเครื่องดื่มมึนเมาจนตั้งปนิธานเอาไว้แล้วว่าจะไม่แตะต้องมันเด็ดขาด

                            “ผม…เลิกดื่มแล้ว”

                            คำตอบทำให้แทนทัพอดยิ้มไม่ได้ คุณหมอตรงหน้าอ่านง่ายซะยิ่งกว่าอะไร ถึงไฟในห้องจะสลัวมีเพียงแสงทีวีกับไฟจากห้องอื่นที่ส่องเข้ามา แต่แทนทัพก็พอจะเห็นเสี้ยวหน้าที่แดงเรื่อของคุณหมอได้อย่างชัดเจน

                            “แปลกๆนะครับ”

                            “ปะ แปลกอะไรอีก”พยายามตั้งสมาธิดูหนังที่ฉายอยู่หน้าจอทีวีแต่แทนทัพก็ดูจะไม่ปล่อยให้เขาสงบง่ายๆ

                            “คิดว่าคุณกำลังกลัวอะไรอยู่รึเปล่า”
                            “ผมจะต้องกลัวอะไร”

                            คุณวุฒิถามออกไป แทนทัพไม่ตอบกลับไหวไหล่คล้ายกับไม่ใส่ใจจะตอบกลับ ยิ่งทำให้คุณวุฒิหงุดหงิดมากกว่าเก่า

                            “จะมากวนโมโหกันรึไง”พึมพำกับตัวเองใช้หางตามองเลขาของรุ่นน้องที่กำลังนั่งจิบเบียร์ แต่ก็พอจะรู้ว่าตาคู่คมนั้นกำลังมองมาที่เขา

                            “มองอะไรของคุณ”

                            “คุณห้ามใครมองคุณไม่ได้หรอกคุณหมอ”

                            “รีบๆกินแล้วก็รีบกลับไปสักที”

                            “ฝนตกหนักขนาดนี้ อีกอย่างถ้ากินหมดนี่ผมคงจะกลับไม่ไหว”แทนทัพโบ้ยหน้าไปที่ถุงของร้านสะดวกซื้อ

                            นี่มันเวรกรรมอะไรของเขากันแน่ ทั้งที่ไม่อยากจะเจอหน้า แต่แทนทัพก็มาให้เขาเห็นหน้าถึงที่

                            “กลับแท็กซี่ก็ได้นี่”

                            ขืนอยู่ใกล้นานกว่านี้เขาคงจะต้องไปให้เพื่อนที่เป็นจิตแพทย์ช่วยรักษาเข้าจนได้

                            “ทำไมถึงไล่ผมล่ะครับ”

                            “ไม่ได้ไล่ ก็แค่…”แค่ไม่อยากอยู่ใกล้…ก็แค่นั้น

                            “ใจคอคุณจะไม่รับผิดชอบผมหน่อยเหรอครับ”แทนทัพถามคำถามที่ทำให้หัวใจของคุณหมอเต้นระรัวทันที

                            “อะ อะไรนะ”

                            คุณวุฒิหันไปถามทันทีอย่างไม่เชื่อหู ดวงตารีเล็กภายใต้กรอบแว่นกำลังเบิกกว้างจ้องมองใบหน้าคมคายของแทนทัพ

                            “เรื่องนั้นคุณน่าจะรู้ดี”

                            แทนทัพลุกขึ้นมาจากโซฟาตัวเดี่ยวแล้วทิ้งกายลงข้างตัวของคุณหมอ เมื่อเข้ามาใกล้คุณวุฒิก็ได้กลิ่นฉุนของแอลกอฮอลชัดเจน จนรู้สึกได้ทันทีว่ากระป๋องเปล่าไม่กี่กระป๋องบนโต๊ะมันไม่ใช่ทั้งหมดที่แทนทัพดื่มมันเข้าไปแน่

                            คุณวุฒิมัวแต่อึ้งกับปริมาณแอลกอฮอลที่คนนิ่งๆอย่างแทนทัพดื่มเข้าไป ไม่ทันได้ตั้งตัวมือใหญ่ก็ตรงเข้ามาที่ใบหน้าแล้วดึงแว่นตากรอบหนาของเขาออกไป

                            กว่าจะรู้ตัวภาพตรงหน้ามันก็พร่าเบลอ ดวงตารีเล็กเบิกกว้างเมื่อความร้อนชื้นและกลิ่นฉุนของเครื่องดื่มมึนเมาล่วงล้ำเข้ามาในโพลงปาก

                            “ฮื้อ”

                            คุณหมอดันอกของคนเมาไม่ให้เขามาใกล้ไปมากกว่านี้ ลิ้นร้อนของแทนทัพสอดเข้ามาตวัดรัดลึงกับลิ้นของเขา

                            คุณวุฒิแทบจะหยุดหายใจกับการกระทำที่จู่โจมโดยไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ ในที่สุดคุณหมอหนุ่มก็ผลักเจ้าของร่างสูงใหญ่ออกห่างจากตัวจนได้

                            “คุณทำบ้าอะไรของคุณ”ควานมือหยิบแว่นตามาสวมใส่ ทว่าพอจ้องมองไปที่ใบหน้าของเลขาหน้านิ่งอย่างแทนทัพก็พบว่าอีกฝ่ายดันหลับไปแล้ว

                            ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้ชีวิตวุ่นวายถึงขนาดนี้ไปได้ แค่เผลอเมาไปครั้งเดียว เผลอมีอะไรกับคนที่เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งอีกทั้งยังเป็นเลขาของรุ่นน้องที่เขาชอบไป ชีวิตมันรู้สึกว่าทั้งวุ่นวายทั้งน่าหงุดหงิด

 

                            แล้วเมื่อครู่ถ้าจำไม่ผิดแทนทัพพูดให้เขารับผิดชอบอย่างนั้นเหรอ หรือว่าเขาเข้าใจผิดไปเอง…ต้องบ้าไปแล้ว

แน่ๆ

 

-------------------------------------------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 07:55:45 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
ขนมผิงรู้ว่าลูกๆหายไปจะเป็นยังไงนะ ไม่อยากจะคิด บ้านอีปิณญ์แตกแน่ๆ

ออฟไลน์ yisren.

  • #คนที่ฉันไม่เคยลืม
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 830
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
คือ...ถ้าขนมผิงจะมีทิฐิสูงแล้วมันแปลกยังไงอ่ะ โดนเขาข่มขืนนะเออ ไม่ใช่สมยอมแม้แต่น้อย แล้วดูสันดานแต่ละอย่างที่ปิญญ์ทำ แล้วจู่ๆมาดีเงี้ย เห้ย ถ้ายอมใจอ่อนนี่เรียกโง่ยังน้อยไปเลยนะ คืออ่านมานี่คำว่า สารเลว ผุดขึ้นมาในหัวเป็นระยะ  และสิ่งแรกที่ผิงควรทำก่อนจะตะบี้ตะบันแก้แค้นคือสอนลูกอ่ะ จริงๆนะ ก็เข้าใจว่าเด็ก แต่แบบเหมาะกับการลักพาตัวมากเลยอ่ะ ไปกับใครง่ายไปหมด หรือว่าเด็กก็เป็นงี้หมดเหรอ อันนี้เราไม่รู้ สรุป สมกับเป็นนิยายนั่นแหละ ข่มขืนก็มารักกันได้ เป็นกันหลายเรื่องด้วย 555555555  :katai5:

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :เฮ้อ:  อ่านไปก็คันๆในใจแปลกๆ  คำถามผุดขึ้นมาในใจว่า ' อีกแล้วหรอ ? '  ทำไมมันเหมือนวนในอ่างแปลกๆ


อาจจะดูก้าวก่ายไป  แต่ถ้าเราบอกว่า ลื้อแล้วแต่งใหม่เถอะ   เราจะเสือกเกินไปมั้ย ? ไม่รู้ว่ามีใครคิดเหมือนเรามั้ย


หรือเราคิดไปเองคนเดียวว่า  ตอนนี้การหาทางลงให้สองคนนี้มันยากเกินไปแล้ว  ปิญและผิงเหมือนเส้นขนาน  ไม่มีทางที่จะมาบรรจบกันได้อีก


มันยากเกินไป  ความรู้สึกดีๆอาจจะเคยมีช่วงนึงแต่สุดท้ายก็พังไม่มีชิ้นดีแถมยังเขียนทับด้วยความเลวทรามของอิปิญอีก


สำหรับเราที่เคยถามว่าทำไมผิงถึงไม่ไซโครลูกๆไปเลยว่าอิปิญมันเลวยังไง   ตอนนี้ก็ยังคิดแบบเดิมอยู่ 


คนเราถ้าพ่อมันจะเลวขนาดนี้ก็อย่าให้ลูกมันรู้จักมักจี่กันไปเลยดีกว่า  กันออกไปให้ห่างที่สุด 


อ่านแล้วเหมือนคนเขียนพยายามจะเอาเด็กๆเนี่ยแหละเชื่อมความสัมพันธ์ของสองคน เอาเด็กๆมาผูก 


แต่ทำไมเรารู้สึกไม่อิน  ออกแนวน่าลำคาญด้วยซ้ำ  ถ้าลูกตัวเองที่เลี้ยงมาจะเชื่อฟ้งคนอื่นมากกว่าตัวเองเนี่ยตัดทิ้งเลยดีกว่ามั้ย 


ไม่ได้บอกให้เด็กๆฟังทุกอย่างที่ผิงกรอกใส่หู  แต่สอนมันบ้างสิ  ว่าอะไรเป็นอะไร  นี่อะไรกันกลายเป็นแทบผิงไม่เคยสอนห่าอะไรเลย


บอกแต่ไม่ๆๆๆ แล้วเหตุผลเคยบอกเด็กๆมั้ย  แต่กลับกันเด็กๆไม่เคยคิดถึงจิตใจของคนเป็นแม่ ความผูกพันธ์มันแทบไม่มีเลยหรอ 


ถึงเรียกร้องจะเจอแต่คนนั้นคนนี้  กับอิปิญเนี่ยเลี้ยงดูกันมาเท่าผิงหรอถึงติดแจเป็นขี้ติดตูด  ถามหาหลังอาหารทุกมื้อเลยมั้ย 


มันออกจะย้อนแย้งกันไปด้วยซ้ำ  โอเคเข้าใจว่าอิปิญมันคีปลุค ใจดีแล้วผิงเป็นแม่ใจร้ายที่คอยขัดใจ  แต่บางทีแบบบนี้ก็เกินไปจริงๆ



ถึงได้บอกอ่านทีไรก็ขัดใจ

ปล.ความรู้สึกของเราคนเดียว อาจจะแรงไปบ้างของโทษด้วยแต่มันมาใจจริงๆที่รู้สึกขัดๆเวลาอ่าน  ถ้าคนเขียนไม่ชอบหรือไม่พอใจสามารถบอกเราได้นะยินดีกลับมาลบให้

สู้ๆจร้าติดตามอยู่  :3123:

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
เด็กอายุ 3 - 5 ขวบนี่ไม่รู้อะไรหรอกค่ะ  ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งก็คือเด็กๆเคยเจอและได้อยู่กับปิญหลายครั้งแล้ว  ตอนที่อยู่กับยาย   มีแม่อยู่ด้วย   ไปโรงพยาบาลด้วยกัน   อยู่ที่เกาะ มิหนำซ้ำยังได้อยุ่ด้วยกันตามลำพังด้วยเพราะขนมผิงป่วย  เด็กรับรู้ด้วยสัญชาตญาญค่ะว่าคนไหนที่ชอบหรือไม่ชอบตัวเอง   ในช่วงขนาดนี้กำลังเริ่มเป็นช่วงที่เด็กกำลังเริ่มดื้อ เริ่มต่อต้านกับคนใกล้ชิด  เช่น ไม่ยอมใส่เสื้อผ้าที่พ่อแม่เตรียมให้  ไม่ยอมนอน เป็นต้น   เจ้าแฝดชอบปิญเพราะเคยได้เล่นกับปิญ แล้วปิญเองก็รักเจ้าแฝด   ไม่แปลกใจที่ไปกับปิญง่ายๆ   ครูผู้ดูแลที่โรงเรียนต่างหากที่ไม่สมเหตุสมผลสะเพร่าที่ปล่อยเด็กไปกับคนแปลกหน้าที่จนทเองก็ไม่เคยเห็น  ปกติน่าจะมีการโทรเช็คกับผู้ปกครองเด็กก่อนปล่อยไป

โลกตะวันตกจะถือมากๆกับพ่อแม่ที่เลิกกันแล้วเสี้ยมลูกให้เกลียดอีกฝ่าย   ปัญหาของผู้ใหญ่ไม่ใช่ปัญหาของเด็ก  อย่าเอาภาระอันนี้ไปผลักให้เด็ก   หากว่าจำเป็นก็ต้องควรหาคำอธิบายที่สมควรและมีเหตุผลมาบอกเด็กไม่ใช่แค่บอกว่าพ่อเอ็งมันเ-ี้ยนะลูก อย่าไปกับมันอะไรแบบนี้ 

ไม่ปฏิเสธว่าปิญเลว  ตอนนี้ยังไม่มีเหตุผลที่ผิงควรจะกลับมาหาปิญ   ดูๆแล้วปิญเองก็ไม่ได้โฟกัสไปที่คืนดีกับผิง แต่เป็นการโฟกัสไปที่ลูกมากกว่า  เป็นบุคลิกอีกด้านหนึ่งของปิญที่พยายามแก้ไขส่วนหนึ่งของชีวิตในเรื่องลูก  นี่ยังไม่ทำให้ปิญเป็นเทวดานะ  เป็นแค่อีกด้านหนึ่งเท่านั้นเอง   คนบางคนเป็นผัวที่เลวหรือเป็นคนที่แย่มากๆแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นอย่างอื่นที่ไม่ดีไปด้วย  อาจจะเป็นพ่อที่ดีและน่ารักก็ได้

เรายังเฉยๆไม่คิดว่าผิงกับปิญจะกลับมาหากัน   ปิญเริ่มเปลี่ยนจากแย่มากมาแย่น้อย  แต่ผิงเริ่มเปลี่ยนเป็นแบบปิญช่วงก่อนๆ

วุฒินี่เป็นหมอที่อะไรจะคิขุอาโนเนะขนาดนี้?  โดนซั่มไปจนเจ็บช่วงล่างนี่ยังไม่รู้อีกหรือว่าโดนเอาเมื่อคืน?

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
 :เฮ้อ: จะหมั้นกับเดหลีจริงเหรอขนมผิง?

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
เรื่องวุ่นวายจนเดาตอนจบไม่ถูก แต่รู้สึกอยากให้เด็กๆมีความสุข ถึงปินส์จะขโมยเด็กๆ มาก็ดีกว่าให้อยู่กับขนมผิง แม่ที่ละเลยลูกเพราะจะเอาชนะปินส์ อยากให้ปินส์ชดเชยให้เด็กๆ และก็จำได้ตอนประชดปินส์ พ่อปินส์เคยบอกว่า อยากอุ้มหลาน เพราะฉะนั้นได้เจอหลานก็คงจะใจดีกับเด็กๆ  เรื่องนี้เหมือนผู้ใหญ่ตีกัน แต่เด็กไม่เกี่ยว ชอบตรงที่ผิงไม่สปอย์ลูกให้เกลียดพ่อ และปินส์ก็ไม่เคยบอกด้านไม่ดีของผิงที่เขาเข้าใจว่า ผิงใช้ร่างกายล่อผู้ชาย ล่อผู้หญิงเผื่อผลประโยชน์ซึ่งตอนนี้เราก็รู้สึกว่า ผิงเป็นแบบนั้นไปแล้วทั้งที่ตอนแรกเคยปฎิเสธ และโกรธที่ปินส์เคยดูถูก นับวันผิงยิ่งถลำลึกไปมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
ผิงคืออะไรอะ ความแค้นบ้งตาอยากเอาชนะจนละเลยลูกอ่ะ...งานนี้เราว่าอยู่พ่อแบบปินน่าจะมีความสุขกว่าอยูปะป๋าแบบผิงน่ะ ...เลยเถิดถึงขนาดจะหมั้นจะแต่กะคนอิ่นเพื่อความสะใจจนลืมนึกถึงลูกรึป่าว

ออฟไลน์ meanmena

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
รออ่านต่อค่ะ คุณหมอเรา ..จริงป่าว

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2016 02:47:52 โดย NeLy เนลี่ »

ออฟไลน์ aiyarin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงอยากให้ชื่อว่า บัวลอย  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
พ่อปินส์ทักถูกชื่อลูก ปลากริมกับสลิ่มมันแปลกจริงๆ ตอนนี้รู้สึกปินส์อ่อนลงมาเยอะ แต่ก็สงสารผิง เพราะผิงเหมือนจะแค้นว่า ตอนนั้นทิ้งตัวเองและลูกไปตอนนี้จะมาเรียกร้องสิทธิ์ความเป็นพ่อทำไมอีก อยากให้ผิงลดทิฐิลง เพราะถึงแก้แค้นไป ผิงก็รู้ดีว่าตนเองไม่มีความสุข ยอมให้ปินส์ชดใช้ชดเชยให้ดีกว่า อย่างน้อยยังทำให้ลูกได้มีพ่อมีแม่  เด็กน่ะค่ะ เขาไม่ต้องการชื่อเสียง เงินทอง แต่ต้องการความอบอุ่นของครอบครับต่างหาก

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
ในตอนแรกนั้นปิญญ์ไม่แน่ใจหรือเชื่อว่าผิงท้องหรือลูกเป็นของตัวเองไม่ใช่หรือ?  ไม่เถียงว่าปิญญ์นิสัยแย่ทำแต่เรื่องร้ายๆ  แต่ก็ควรแยกออกให้ถูกส่วน   การที่ปิญญืไม่เชื่อเรื่องผิงท้องก็ไม่แปลกเพราะว่าผู้ชายท้องได้เป็นเรื่องที่ผิดสามัญ  ตามที่คนเขียนลงไว้ว่าผิดปกติจนสามารถทำให้กริมกับหลิ่มได้สัญชาติอังกฤษแลกกับการเป็นกรณีศึกษา   แต่ถึงลูกจะถือสัญชาติอื่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนเป็นพ่อจะไม่สามารถฟ้องเพื่อขอสิทธิ์การเป็นบิดาไม่ได้  โดยเฉพาะคนที่มีฐานะอย่างปิญญ์   อีกอย่างปิญญ์ไม่น่าที่จะเสี่ยงล้มละลาย   หุ้นที่ถือไว้ยังไม่ได้สิ้นมูลค่า  ปิญญ์ไม่ได้ไปกว้านซื้อหุ้นเพิ่ม
ที่เสียไปก็คือสิทธิ์ในการบริหารบริษัท  ก็ไม่น่าที่ปิญญ์จะถึงกับล้มละลาย    ผิงเสียอีกที่เสียเงินกว้านซื้อหุ้นน่าจะระวังตัว  ดีที่คนเขียนลงประเด็นผิงกรำงานจนละเลยลูก
ผิงไม่น่าจะไหวได้นานกว่านี้หรอก  มันเป็นการทำอะไรที่เกินตัว  MD ระดับใหญ่ๆจะมีทีมผู้ช่วยที่มากกว่าเลขาที่ช่วยกลั่นกรอง สรุปงาน นำเสนอเจ้านาย   นายก็อ่านไปสิคะ รายงาน รีพอร์ท  ประชุม  ตัดสินใจอะไรก็ว่าไป

มาดูผิงบ้าง   ขนาดเรื่องลูกสำคัญแต่ผิงก็ไม่อาจทิ้งงานไปหาลูกได้ในทันที จุดนี้นำเสนอออกมาดีค่ะ  ความรู้สึกที่ว่าได้ชัยชนะที่ว่างเปล่ามานี่เริ่มชัดเจนแล้ว   โดยเฉพาะถ้าหากว่าผิงได้เห็นลูกรักปิญญ์หรือคนอื่น มีความสุขกับคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง  คนเป็นพ่อแม่ทนไม่ได้หรอกค่ะ   งานที่กำลังทำอยู่ ผิงทำคนเดียวไม่ไหวหรอก 
เราเองยังอยากเชียร์ให้ปิญญ์ตั้งบริษัทใหม่  ปรับไลฟ์สไตล์ใหม่ให้เข้ากับลูก เอาลุกเป็นจุดศูนย์กลาง    นอกเรื่องนิดนะ ศาลครอบครัวที่ยุโรปนี่พิจารณาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเด็กซึ่งบ่อยครั้งไม่ใช่ว่าใครที่มีเงินมากกว่า  แต่เป็นคนที่เหมาะสมกับการดูแลเด็กๆ มีเวลาให้มากกว่า   เช่นสมมุติว่าเด็กได้รับบาดเจ็บที่โรงเรียนแล้วพ่อไปหาทันทีหรือแม่ที่ส่งคนไปรับ  อันนี้พ่อดูดีกว่าเยอะค่ะ

หวังว่าปมเรื่องรุ่นพ่อแม่ปิญญืกับผิงจะได้รับการคลี่คลายเร็วๆนี้นะคะ

ป.ล  อยากถามชื่อคนอื่นสมควรบอกชื่อตัวเองก่อนค่ะ  กริมกับหลิ่ม ทำได้เพราะเป็นเด็กแต่ผิงโตแล้วไม่น่ารักเลยค่ะ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
ขนมผิงเป็นลมเลยอะดิ ทำงานเยอะเกิ๊นน

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ปิญญ์ ไปรับเด็กๆออกมาจาก รร.ได้โดยที่จนท./ครู ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนนี่เราว่าไม่เมกเซ้นส์เลยค่ะ
ชื่อเด็ก..เอ่อ มันก็แปลกจริงๆแหล่ะ แต่คิดว่าคงเป็นแค่ชื่อเล่น? ถ้าเป็นชื่อจริงนี่คงไม่ไหว
ผิงตรรกะความคิดพิลึกอ่ะ ตอนที่ไปเซ้าซี้ถามชื่อคนอื่น เป็นเรา เราก็ไม่บอกหรอกค่ะ เดินหนีเลย คิดว่าเป็นพวกโรคจิตแน่ๆ
หมอ...แบ๊วเกิน ไม่ค่อยสมเหตุสมผลกับอายุ หน้าที่การงาน

ปล. เห็นด้วยกับคุณ freja ผู้ชายบางคนเป็นพ่อที่ดีมาก แต่เป็นผัวเฮงซวย ...รู้จักอยู่คนนึง

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
25 ดูแล

                        ปิญญ์ชานนท์จับจ้องมองใบหน้าซีดเซียวของขนมผิง บนหน้าผากมีผ้าขนหนูที่เขาชุบน้ำหมาดแปะเอาไว้เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ลดลง

                        ชายหนุ่มจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดตัวให้ขนมผิงอย่างใจเย็น ร่างกายของขนมผิงดูซูบผอมกว่าครั้งก่อนที่เจอกันจนสังเกตได้ชัด

                        “นายมีความสุขมากไหมที่ชนะฉัน”

                        ชายหนุ่มพึมพำกับเจ้าของใบหน้าซีดเซียวที่กำลังหลับใหล รอยแผลเป็นบนแผ่นท้องยังคงเด่นชัดตอกย้ำว่าขนมผิงให้กำเนิดลูกของเขาให้ลืมตาขึ้นมาดูลูก

                        ความรู้สึกบางอย่างมันเริ่มเด่นชัดยามที่เขามองใบหน้าที่ดูไร้พิษภัยที่อยู่เบื้องหน้า อยากให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับขนมผิงมันจบลงแล้วเริ่มทุกสิ่งทุกอย่างกันใหม่

                        หากแต่ขนมผิงคงไม่ยอมให้กับเขาง่ายๆ…เขารู้เขาทำผิด และไม่สามารถย้อนเวลาไปแก้ไขสิ่งที่เคยทำเอาไว้ได้

                        ปิญญ์ชานนท์จับจ้องมองร่างกายร้อนผ่าวที่อยู่ในชุดนอนของเขาด้วยแววตารู้สึกผิด หากแต่อะไรบางอย่างมันยังไม่ลงตัว ความค้างคาที่ทำให้เขาวางใจไม่ได้ทั้งหมดทำให้ใจของเขายังคงถือทิฐิอยู่

                        ขนมผิงกำลังจะหมั้นกับเดหลี…ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหลักที่เขายังไม่ยอมรับใจตัวเองเขาไม่พอใจ…ที่ขนมผิงจะแทนที่เขาด้วยคนอื่นโดยเฉพาะกับเดหลีเพื่อที่จะหยามกัน

                        “น้ำ ขอน้ำ”เสียงแหบแห้งเรียกให้ปิญญ์ชานนท์หันไปมอง ดวงตาสีอ่อนกำลังหรี่ปรือขึ้นมาสั่นระริกราวกับมันหนักอึ้ง

                        ชายหนุ่มจ่อหลอดไปที่ริมฝีปากแห้งผากอย่างเบามือ…เขาไม่ได้จำใจทำ เขารู้ดี

                        “แค่กๆๆ”

                        “ค่อยๆกิน ถ้ารีบนายจะสำลัก”เสียงของปิญญ์ชานนท์ที่ปลอบประโลมกับอ้อมแขนที่พะยังให้ขนมผิงนั่งอย่างถนัดถนี่ทำให้ดวงตาคมนิ่งเบิกกว้าง

                        “คุณปิญญ์!!”ขนมผิงผลักร่างของอีกฝ่ายออกจากตัวทันที แต่ด้วยแรงที่มีเพียงน้อยนิดไม่มีแรงแม้แต่จะพยุงตัวเองทำให้ดูเป็นวางมือไว้บนอกของอีกฝ่ายมากกว่า

                        “นายนอนต่อเถอะ”

                        “ลูก…เอาลูกคืนมา”ถึงกระนั้นขนมผิงก็ยังมองข้ามเขาแล้วเรียกหาแต่ลูกเสมอ

                        “นายไม่สบายตัวร้อนมาก นายควรจะพักผ่อน”

                        “ผมจะไปหาลูก”ขนมผิงยันตัวขึ้นยืนอย่างทุกลักทุเล แต่ไข้ที่ขึ้นสูงประกอบกับความรู้สึกเวียนหัวที่เกิดขึ้นฉับพลันทำเอาทรุดอีกครั้ง ทว่าอ้อมแขนของปิญญ์ชานนท์ก็รับเอาไว้ได้ทัน

                        “ไม่ต้องห่วง ฉันคืนลูกให้กับนายแน่ แต่ต้องหลังจากที่เราตกลงและนายนอนพักผ่อนซะก่อนที่จะเป็นอะไรไปมากกว่านี้”

                        “หึ เป็นห่วงผมรึไงกัน”ขนมผิงถามประชด เหยียดยิ้มทั้งที่ริมฝีปากแห้งกรังจนดูน่ากลัว

                        “ใช่…ฉันเป็นห่วง”ปิญญ์ชานนท์ตอบกลับ “กลัวว่านายจะเอาไข้ไปติดลูกของเรา”

                        วูบหนึ่งที่คำตอบแรกทำเอาใจของขนมผิงเต้นกระหน่ำ หากแต่ประโยคถัดมาทำให้หัวใจดวงเล็กๆสั่นไหว

                        ปิญญ์ชานนท์ก็แค่ห่วงลูกของเขา…ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเป็นห่วงเขาแน่ เขาแค่คิดไปเอง

                        “หึ คนอย่างคุณไม่เคยเป็นห่วงใครหรอก”

                        “นายพูดเหมือนรู้จักฉันดี”

                        “ผมไม่เคยคิดที่จะอยากรู้จักกับคุณ”ถึงแม้ว่าครั้งแรกที่เจอกันจะคิดอย่างนั้นก็ตาม

                        “นายนอนพักเถอะ”

                        “ผมจะพาลูกกลับ”

                        “ข้างนอกฝนตกหนัก ลูกจะไม่สบาย”อีกแล้วที่ปิญญ์ชานนท์ชอบเอาลูกมาอ้าง ชอบทำราวกับว่าเป็นห่วงลูกหนักหนาทั้งที่เป็นคนผลักไสเขากับลูกออกจากชีวิต

                        “อย่ามาทำเหมือนกับรู้ดีไปหน่อยเลย”ขนมผิงลุกขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้ร่างกายกลับถูกกดให้นอนราบลงบนเตียง

                        ปิญญ์ชานนท์ขึ้นคร่อมทับร่างของขนมผิงเอาไว้ กัดไม่ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นได้อีก เขาไม่ชอบใจที่ขนมผิงขัดคำสั่งเขา ไม่พอใจที่ขนมผิงพยายามจะพาลูกหนีไปจากเขาอีกครั้ง

                        “ฉันบอกให้นายนอนพัก นายก็ต้องนอนพัก”

                        “อย่ามาสั่ง”

                        “นายไม่ใช่เด็ก”

                        “นั่นมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ ถอยออกไป ผมจะได้พาลูกออกไปจากบ้านหลังนี้สักที”

                        “หัดฟังกันบ้างได้ไหม!!”ปิญญ์ชานนท์ตวาดเสียงดังจนขนมผิงสะดุ้งลดมือที่ผลักไหล่ของอีกฝ่ายลง จ้องมองดวงตาดุดันมองมาที่เขาด้วยความไม่พอใจ

                        “แล้วคุณล่ะ เคยฟังผมบ้างไหม”ขนมผิงถามออกไปบ้าง พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นเครือ

                        แต่หลายออย่างในเวลานี้มันกำลังผลักดันให้เขากลับมาอยู่ที่จะเดิม…

                        “อยากให้คนอื่นฟังคุณ แต่คุณไม่เคยฟังใคร มันไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยรึไง”มือผอมทุบลงไปที่แผ่นอกของชายหนุ่ม

                        “ฉัน…”

                        “คุณไม่ใช่รึไงที่ผลักไสผมกับลูกออกไปจากชีวิต พูดจาดูถูกเหมือนกับชีวิตของคนอื่นไม่มีค่า แล้วตอนนี้คุณจะมาต้องการอะไรอีก คุณต้องการอะไร ไม่คิดว่ามันจะสายไปหน่อยรึไง ฮึก ทุเรศสิ้นดี”ขนมผิงพูดออกไปอย่างเหลืออด กระบอกตารู้สึกร้อนผ่าวเกินจะกักเก็บสิ่งที่อัดอั้นเอาไว้ได้ไหว

                        พิษไข้กำลังรุมเร้าฉุดดึงด้านที่อยู่ในส่วนลึกเผยออกมาต่อหน้าของปิญญ์ชานนท์

                        ชายหนุ่มนิ่งงันกับสิ่งที่ขนมผิงพูดออกมา…มันคือความจริง ความจริงที่เขาเพิ่งจะยอมรับและทำให้เขารู้สึกผิดไปจนวันตาย

                        “ฉันอยากจะแก้ไข”

                        “คุณพูดบ้าอะไร!!”ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ทั้งแหบพร่และสั่นเทาเบือนหน้าหนีดวงตาคู่นั้นที่มองมา

                        นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด หากแต่เขายังไม่พร้อมที่จะยอมรับว่ามันคือความจริง

                         “ฉันอยากจะขอโอกาสจากนาย ฉันอยากจะทำหน้าที่ที่ฉันละเลยมันมาตลอดสี่ปี นายจะให้โอกาสฉันได้ไหม”

                        “หึ คุณคิดว่าโอกาสมันขอกันได้ง่ายๆรึไง ไม่มีทาง ผมไม่มีทางให้คุณแตะต้องลูกของผม”

                        “เด็กๆต้องการพ่อ นายก็รู้”

                        “ผมนี่ไงพ่อของพวกเขา”ขนมผิงหันกลับมาจ้องมองปิญญ์ชานนท์ด้วยความไม่พอใจ

                        “นายไม่ใช่ นายรู้ดี”

                        “อีกหน่อยก็ใช่ คุณก็รู้ดี เด็กๆกำลังจะมีแม่”ขนมผิงตอบเสียงสั่น เขากำลังจะหมั้นกับเดหลี กำหนดการมันออกมาแล้ว เหลือก็แค่พิธีหมั้นที่เป็นทางการ

                        “หมายความว่าไง”

                        “คนฉลาดอย่างคุณน่าจะเข้าใจได้ง่าย”

                        “ขนมผิง!!ฉันถามว่ามันหมายความว่ายังไง”ปิญญ์ชานนท์ดึงร่างของขนอมผิงให้เข้ามาหากอดรัดร่างของขนมผิงเอาไว้

                        เขาไม่รู้ว่าเขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร รู้แค่ร่างกายมันสั่งให้ทำแบบนั้น ดึงรั้งอีกฝ่ายเข้ามากอดถึงแม้ว่าขนมผิงจะพยายามดิ้นรนด้วยแรงที่แทบไม่มีเหลือก็ตาม

                        “นายโกรธฉันที่ฉันผลักไสนายกับลูกออกไปจากชีวิตใช่ไหม ขนมผิง”ปิญญ์ชานนท์ถามออกไป ทว่าขนมผิงกลับเบือนหน้าหลบผลักดันร่างของปิญญ์ชานนท์ที่โถมทับลงมาราวกับว่ารังเกียจ

                        “นายตอบฉันมาสิ นายโกรธฉันเกลียดฉันเพราะฉันไล่นายกับลูกไปในวันนั้นใช่ไหม”เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ชีวิตของเขาเหมือนกับถูกลงโทษแบบนี้

                        ขนมผิงไม่ตอบคำถามของปิญญ์ชานนท์แม้แต่คำเดียว ทว่าร่างกายในอ้อมกอดที่แน่นราวกับบ่วงโซ่กำลังสั่นเทา เสียงกัดฟันกับเสียงสะอื้นเล็กดังลอดไรฟันออกมาเรียกให้ปิญญ์ชานนท์ชะงัก

                        “นายตอบฉันมาสิ ตอบอะไรมาก็ได้ เหตุผลที่นายไม่ยอมให้ฉันเจอลูก เหตุผลนายกำลังจะแทนที่ของฉันด้วยคนอื่นแบบนี้”

                        “ผม…ไม่จำเป็น…ต้องตอบคำถามคุณ”เสียงนั้นแหบพร่า ความร้อนของร่างกายข้างใต้ส่งผ่านมาทำให้ปิญญ์ชานนท์รับรู้ได้ทุกวินาทีอีกฝ่ายนั้นมีตัวตนอยู่ในอ้อมกอดเขาเวลานี้

                        หากแต่ถ้าเขาปล่อยให้ขนมผิงหลุดออกจากอ้อมกอดนี้ไป เขารู้แน่ว่าไม่มีทางที่ขนมผิงจะกลับมา ไม่มีทางที่เขาจะอยู่เคียงข้างขนมผิงกับลูกได้อย่างที่เขาต้องการในเวลานี้

                        สาบเสื้อนอนของเขาที่อยู่บนตัวขนมผิงถูกเลิกขึ้น ชายหนุ่มลูบฝ่ามือผ่านท้องน้อยไล่ขึ้นไปบนแผ่นอกจนขนมผิงสะดุ้ง

                        เขาต้องการตีตราลงบนร่างกายนี้อีกครั้ง ประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ว่าขนมผิงเป็นของเขาคนเดียวไม่ใช่ใครอื่น ไม่ใช่ใครที่จะมาแทนที่ได้

                        กระดุมเสื้อค่อยๆถูกปลดทีละเม็ด ขนมผิงหายใจหอบจากพิษไข้จนหน้าแดงก่ำ แต่ดวงตาสั่นระริกกลับแสดงความกราดเกรี้ยวออกมา

                        “เอาสิ ทำเหมือนทุกครั้งที่คุณเคยทำ ทำให้มันจบๆไป เสร็จแล้วผมกับลูกจะได้ออกไปจากที่นี่สักที”

                        “ฉัน…ไม่ยอมให้มันจบง่ายๆ”ราวกับเป็นคำประกาศกร้าวริมฝีปากร้อนจูบลงบนริมฝีปากแห้งผาก แผ่วเบาแต่ก็จาบจ้วง

                        ขนมผิงไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงต่อต้าน ไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน ปิญญ์ชานนท์ก็แค่ใช้ร่างกายของเขาเพื่อตอกย้ำให้เขาจมดิ่งกับความอัปยศที่อีกฝ่ายมอบให้…ก็แค่นั้น

                        “มั่นใจแล้วรึไง ว่าจะไม่ใช้ถุงยาง”ขนมผิงกระซิบ เหยียดยิ้มอย่างดูแคลน ปิญญ์ชานนท์จะป้องกันตลอดเพราะสำหรับอีกฝ่ายแล้วคิดว่าเขาเป็นคนสำส่อน

                        “ไม่…มันไม่จำเป็น”ปิญญ์ชานนท์ยกยิ้มก่อนจะสอดกายเข้าไปไม่ฟังเสียงร้องห้าม

                        ขนมผิงเบิกตากว้าง กายของปิญญ์ชานนท์สอดเข้ามารวดเดียวจนผวาเข้าไปกอดรัดอีกฝ่าย ร่างกายมันสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้

                        “ยะ หยุด”ขนมผิงร้องห้าม ทว่าปิญญ์ชานนท์ที่อยู่ในห้วงความคิดของตัวเองกลับกระทั้นกายเข้าหาไม่หยุด

                        ถึงแม้จะต้องถูกขนมผิงโกรธเกลียดอีกสักแค่ไหน ก็จะไม่มีทางปล่อยขนมผิงกับลูกไปอีกเด็ดขาด เขาจะไม่ยอมถูกแทนที หรือให้ใครมาแทนทีอีกครั้ง จะกักขังขนมผิงด้วยอ้อมกอดนี้เอาไว้

                       

                        ชายหนุ่มสอดกายเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าถึงร่างอยู่อยู่ข้างใต้จะหมดสติไปแล้วก็ตาม

                        ตีตรา จับจอง หรือแสดงความเป็นเจ้าของ อะไรที่ทำได้ก็จะทำทั้งหมด เขาจะขาดใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้…

                        น้ำกามสีขาวขุ่นไหลย้อนลงมาผ่านปากทางสีช้ำแสดงความเป็นเจ้าของได้อย่างชัดเจน ปิญญ์ชานนท์ทิ้งกายลงข้างๆเจ้าของร่างที่กำลังหลับใหล ประทับจูบบนลาดไหล่ผอมบางอย่างแผ่วเบา ดึงรั้งเอาอีกฝ่ายเข้ามากอดภายใต้ความรู้สึกอิจฉาที่ยังคงคุกรุ่น

 

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                        คุณหมอหนุ่มตื่นรู้สึกตัวอีกทีแสงแดดที่ส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างคอนโดชั้นกว่าสามสิบ เสียงกอกแกรกทำให้คุณวุฒิขยี้ตาผงกหัวขึ้นมามองอย่างเคยชิน

                        “รถติดไหมครับป้านิ่ม”ทักทายยามเช้าอย่างง่วงงุนมองดูหญิงวัยกลางคนกำลังเปิดประตูห้องนอนเข้ามาเหมือนทุกทีที่จะมาปลุกแล้วทำความสะอาดห้อง แล้วคุณวุฒิก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนมีแขก มองผ่านประตูที่เปิดเห็นโซฟาที่ว่างเปล่าแล้วถอนหายใจ

                        กลับไปได้สักที…ตัวปัญหาที่นึกถึงทีไรแล้วปวดหัวทุกที

                        “ไม่ติดหรอกคะคุณวุฒิ ว่าแต่เมื่อคืนเพื่อนมาเหรอคะ”

                        “อะ ครับ เพื่อนมา”จะเรียกว่าเพื่อนก็ไม่น่าจะใช่ แต่จะให้เรียกความสัมพันธ์นี้ว่าอะไรเขาก็เรียกไม่ถูก

                        “ป้านิ่มเจอเขาเหรอครับ”

                        “ค่ะ หน้าตาดีเชียว เหมือนดาราฝรั่งเลยนะคะ”

                        “ป้านิ่มก็ชมเกินไป ว่าแต่…เขาออกไปตอนไหนเหรอครับ”ถามไปอย่างนั้น ไม่ได้อยากรู้อะไรนักหนาก็แค่…โล่งใจที่ตัวปัญหาออกไปสักที

                        “หืม ออกเอิกที่ไหนล่ะคะ พูดเป็นเล่นไป”

                        “ครับ?”

                        “ก็นอนอยู่ในห้องข้างๆคุณวุฒิเองไม่ใช่เหรอ อย่ามาอำป้าหน่อยเลย”ป้านิ่มขำ แต่คุณวุฒิไม่ขำ กระพริบตาปริบๆ ตะแคงหันหลังไปอีกยังฝั่งเตียง เห็นกลุ่มผมสีดำสนิทโผล่พ้นผ้าห่มผืนหนาขึ้นมา

                        “ฮะ เฮ้ย!! ได้ไง”คุณวุฒิอุทาน เมื่อแขนของชายหนุ่มพาดลงบนเอวของเขา

                        อุตส่าห์เอาผ้าห่มไปให้แล้วทิ้งให้นอนอยู่ข้างนอก แล้วอะไรยังไงถึงได้โผล่มาบนเตียงได้

                        ปึงงงงงง

                        ร่างสูงใหญ่ของแทนทัพถูกฝ่าเท้าของคุณหมอยันลงจากเตียงด้วยความตกใจ

                        “แหมเล่นกันน่ารักเชียว ท่าทางจะสนิทกันนะคะ”ป้านิ่มหัวเราะคิกคักเดินออกไปหลังจากที่ปลุกเจ้าของห้องเสร็จสรรพ

                        “โอยยยย อะไรล่ะครับคุณหมอ”แทนทัพบนอุบกุมสะโพกตัวเองป้อยทั้งที่ยังไม่ลืมตา

                        “ทำไมถึงมานอนบนเตียงผมได้ล่ะ”

                        “เดินมาครับ”แทนทัพขมวดคิ้วเล็กๆปีนขึ้นมานอนเอนกายลงบนที่นอน

                        “ใครอนุญาตให้คุณเข้ามาในห้องนอนคนอื่น”

                        “ก็คนอื่นยังเคยเข้าไปในห้องนอนผมเลยนี่ครับ”

                        “ตื่นแล้วก็กลับไปได้แล้วครับ ฝนหยุดตกแล้ว”คุณหมอออกปากไล่อย่างเคยชิน

                        “ไปไล่เพื่อนอย่างนั้นได้ไงล่ะคะ ป้าต้มข้าวต้มปลาเอาไว้ ลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟันแล้วมากินข้าวต้มกันดีกว่าค่ะหนุ่มๆ”

                        “เขาไม่กินหรอกป้านิ่ม เดี๋ยวเขาต้องไปทำงานต่อ”

                        “ใครบอกล่ะครับ วันนี้วันเสาร์ ผมไม่ทำงาน”แทนทัพยิ้มเล็กๆกับเจ้าของห้องที่พยายามจะไล่เขา

                        “งั้นก็ล้างหน้าล้างตาเลยค่ะ อีกเดี๋ยวป้าเก็บเสื้อผ้าเสร็จป้าก็ไปแล้ว เดี๋ยวลุงแม้นรอนาน”

                        “ครับๆ”คุณหมอผงกหัวเบาๆแล้วลุกออกจากเตียง เพราะถ้าไม่ลุกป้านิ่มก็คงจะวนเวียนอยู่แถวนี้จนกว่าเขาจะลุกจนได้

                       

 

                        คุณวุฒิจ้องมองหน้าของคมคายของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามพลางตักข้าวต้มเข้าปาก แทนทัพดูมีท่าทีผ่อนคลายเกินจนเขาหมั่นไส้กับท่าทางสบายอารมณ์และรอยยิ้มที่กวนอารมณ์ของอีกฝ่าย

                        “มองผมมีอะไรเหรอครับ หรือว่า…มีอะไรติดปากผม”

                        “ไม่มี”คุณหมอหลบตาตาแพรวพราวที่มองมาก้มหน้าก้มตาตักข้าวต้มเข้าปาก “กินเสร็จแล้วก็ไปไปสักที”

                        แทนทัพไม่ตอบแต่กลับยิ้มให้กับดวงตาไม่พอใจภายใต้กรอบแว่นคู่นั้น

                        “ไปเดินเล่นกันหน่อยไหม”จู่ๆแทนทัพก็ชวนขึ้นมาหลังจากต่างฝ่ายต่างกินข้ามต้มจนหมดชาม

                        “ผมต้องเข้าเวร”

                        “เข้าเวรอะไรกันล่ะครับคุณหมอ วันนี้วันหยุดของคุณ”แทนทัพหัวเราะในลำคอกับท่าทางหลุกหลิกของคนโกหกไม่เนียน

                        “รู้ได้ไง”

                        “ผมเห็นเขียนเอาไว้ในปฏิทิน”แทนทัพโบ้ยหน้าไปยังปฏิทินตั้งโต๊ะหน้าทีวีที่เขียนตารางเตือนความจำเอาไว้ครบถ้วน

                        คุณวุฒิถอนหายใจ หากอากาศร้อนกว่านี้เขาคงเหงื่อตกออกมาแน่นอน

                        “ผมไม่ไป”

 

                        แต่สุดท้ายก็พาตัวเองมายังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ๆจนได้ คุณวุฒิถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวัน

                        นาฬิกาพึ่งจะบอกเวลาสิบโมง ดวงตารีเล็กภายใต้กรอบแว่นปรายตามองชายหนุ่มในชุดกางเกงสามส่วนกับเสื้อยืดของเขา ถึงแม้จะเป็นการแต่งตัวแบบง่ายๆแต่ก็ยังสามารถส่งให้เจ้าตัวดูดีเรียกให้หลายๆคนที่เดินผ่านปรายตามองมาที่พวกเขาตลอด

                        คุณวุฒิหยิบป๊อปคอร์นในถังขึ้นมาเคี้ยวอย่างไม่อยากจะใส่ใจ ให้กับคนข้างๆ พอคิดย้อนกลับไปเขาไม่น่าหลงเชื่อคำชวนของแทนทัพเลยสักนิด

                        หลังจากคืนนั้นแทนทัพก็ตามเขาแจไม่หยุด พอไล่ก็กลับยิ้มส่งมาให้ราวกับว่าคำไล่ของเขาเป็นคำเชิญชวน

                        “อีกตั้งเกือบชั่วโมงกว่าหนังจะฉาย ไปเดินเล่นกันไหมครับ”

                        “ไม่”ตอบปฏิเสธแทบจะทันที

                        “ไปหน่อยนะครับ แค่นี้เอง”ข้อมือถูกดึงให้ลุกตามไปจนได้

 

 

                        “จะไปไหนล่ะครับ”แทนทัพคว้าข้อมือของคุณวุฒิเดินกลับมาก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินหนี

                        “ผมไม่เล่น”ขมวดคิ้วจ้องมองเครื่องเล่นชู๊ตบาสที่อยู่เบื้องหน้า

                        “เอาหน่อยนะครับ ไม่เห็นเป็นอะไร ไม่มีใครรู้หรอกว่าคุณเป็นหมอ ไม่ต้องอาย”แทนทัพไหวไหล่

                        “คุณบ้ารึไง ผมบอกว่าผมไม่เล่น”

                        “หรือกลัวจะแพ้”แทนทัพยุแยง

                        “ผมน่ะนะจะแพ้คุณ ไม่มีทาง สมัยเรียนผมมาเล่นกับผิงบ่อย”คุณหมอไม่ยอมแพ้กอดอกหันมาจ้องมองชายหนุ่มด้วยแววตามั่นใจ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อชื่อที่พูดถึงคือชื่อของตัวกลางระหว่างเขากับชายหนุ่ม

                        “ถ้าแพ้วันหยุดหน้าของคุณต้องยกให้ผมนะครับ”แทนทัพกระพริบตาเรียกสติไม่ใส่ใจกับชื่อที่ทำให้หัวใจของเขาชาขึ้นมาเล็กๆ

                        “ก็ได้ แต่ถ้าคุณแพ้คุณต้องยอมทำตามที่ผมขอหนึ่งอย่าง แต่ตอนนี้ผมยังคิดไม่ออก ติดเอาไว้ก่อน ตกลงไหม”
                        “ตามนั้นครับ”แทนทัพไหวไหล่

                        ลูกบาสถูกหยิบแล้วโยนใส่ห่วงครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างบ้าระห่ำ การแข่งขันระหว่างคุณหมอกับเลาขาเป็นไปอย่าไม่มีใครยอมใครเรียกให้คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็หันมามองเพราะด้วยอายุที่ไม่น่าจะมาเล่นอะไรแบบนี้กันแล้วแต่ก็ยังจะเล่นด้วยท่าทางที่จริงจังเกินอายุ

                       

                        “แฮ่กๆ ไงล่ะ ผมบอกแล้ว แฮ่ก”คุณหมอหอบหายใจถี่แขนทั้งสองข้างปล่อยทิ้งลงเพราะความล้า ริมฝีปากเผยอขึ้นมาสูดเอาอากาศเข้าปอดถี่รัว

                        “ฮะ ฮะ ไม่คิดว่าคุณจะเก่งขนาดนี้นะครับ”แทนทัพยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้

                        “ผม แฮ่ก มาเล่นบ่อย หลังสอบเสร็จน่ะ”

                        “ผมเล่นครั้งสุดท้ายตอนมอปลาย”แทนทัพยิ้มกับข้อมูลที่ตัวเองได้มาโดยไม่ต้องถามอย่างพอใจ

                        อย่างน้อยคุณวุฒิก็เริ่มพูดคุยกับเขามากขึ้นโดยไม่ต้องให้เขาเป็นฝ่ายถามเอง

                        “ไปกันเถอะครับ หนังใกล้ฉายแล้ว ผมหิวน้ำแล้วล่ะ”แทนทัพความมือนุ่มของคุณหมอเอาไว้ก่อนจะจับจูงให้เดินตามไป

                        คุณวุฒิจ้องมองแผ่นหลังของแทนทัพก่อนจะก้มลงมองมือใหญ่ที่ประสานรับกับมือของเขา

                        แต่ก่อนมือนั้นเคยเป็นของขนมผิง นานมากแล้วที่มาเที่ยวด้วยกันแบบนี้ นานจนเขาเริ่มจะลืมครั้งสุดท้ายที่มาด้วยกัน ขนมผิงเป็นคนเดียวที่สอนให้เขารู้จักใช้ชีวิตเรียบง่ายเหมือนคนอื่นๆโดยไม่ยึดติดความหรูหราที่ครอบครัวหยิบยื่นให้

                        เป็นแบบนี้มันก็ทำให้เขากลับมารู้สึกเหมือนกับมีคนอยู่ข้างๆอีกครั้ง จากที่จะเอาคำขอมาสมอ้างให้แทนทัพเลิกยุ่งกับตัวเอง ตอนนี้กลับเปลี่ยนใจเก็บมันเอาไว้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็ตาม

 

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
มีต่อ


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 07:57:07 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
ต่อ
 

                        เสียงเคาะประตูปลุกให้ปิญญ์ชานนท์ที่กำลังหลับสะดุ้งตื่น ดวงตาดุดันหรี่ตามองใบหน้าซีดเผือดของร่างในอ้อมกอด เขาไม่ปฏิเสธเลยว่าลึกๆใจใจของเขาดีใจแค่ไหนที่ตื่นมาแล้วเจอขนมผิงยังหลับอยู่ในอ้อมกอด

                        “ว่าไงครับ”ปิญญ์ชานนท์เปิดประตูออกมาเล็กน้อยแล้วใช้ร่างกายบังเอาไว้ไม่ให้ผู้มาเยือนมองเห็นข้างในห้อง

                                    อดแปลกใจไม่ได้ที่ผู้เป็นพ่อขึ้นมายังชั้นบนทั้งที่ตั้งแต่ป่วยก็ไม่เคยขึ้นมาอีกเลยถึงแม้ว่าจะต่อเติมตัวบ้านติดตั้งลิฟท์เอาไว้ทางด้านข้าง

                        “ฉันพาเด็กๆดูบ้าน เด็กๆบอกว่าอยากเห็นห้องนอนของแก”ชายชราไหวไหล่ปรายตามองเจ้าสองแสบที่ตื่นมาวิ่งเล่นพาเขาเดินกันแต่เช้า

                        “ไว้ตอนอื่น ตอนนี้ผมไม่สะดวก”

                        “แกจะมาไม่สะดวกอะไร ลูกของแกอยากจะเห็นห้องนอนแก เรื่องแค่นี่เอง”อาทิตย์เคาะไม้เท้าหรี่ตามองลูกชายเหมือนมีอะไรปกปิดเอาไว้

                        “ผมบอกว่าไม่สะดวกก็ไม่สะดวกสิครับพ่อน่าจะพาเด็กๆไปดูหนังที่ห้องนั่งเล่น”ปิญญ์ชานนท์พยายามบ่ายเบี่ยง ร่างของขนมผิงยังคงนอนเปลือยอยู่ใต้ผ้าห่มโดยที่เขายังไม่ได้ทำเช็ดความสะอาดให้เลยสักนิด

                        “พ่อปินหลิ่มอยากเห็นห้องพ่อปิน”

                        “กริมก็อยากเห็นฮับ ให้พวกเราดูหน่อยนะฮับ”เจ้าสองแสบกระตุกขากางเกงของชายหนุ่ม ดวงตากลมโตช้อนตามองเขาด้วยท่าทางน่าเอ็นดู พยายามจะมองลอดเข้าไปข้างใน

                        “ปะป๊านี่”

                        “ปะป๊าจริงด้วย”เจ้าสองแสบมองลอดขาของเขาไปยังร่างของขนมผิงที่หลับอยู่บนเตียง

                        ปิญญ์ชานนท์ถอนหายใจออกมา ไม่ทันตั้งตัวเจ้าสองแสบก็วิ่งเข้าไปหาขนมผิงจนได้

                        “ปะป๊าโป๊”

                        “ทำไมปะป๊ามาอยู่ที่นี่ล่ะฮับ ปะป๊าไม่ยอมกลับบ้านเลย”สลิ่มหันมาถามเขาด้วยความดีใจ

                        ขนมผิงไม่กลับบ้านเพราะงานยุ่งมาหลายวันแล้วทำให้เด็กๆไม่ค่อยได้เจอหน้า พอเห็นเข้าต่างก็คิดถึง ปีนขึ้นไปบนเตียงเพื่อจะพูดคุยกับปะป๊าของตัวเอง

                        “อย่าเข้าใกล้มากไป พวกเธอจะติดไข้”ปิญญ์ชานนท์อุ้มเด็กๆมายืนข้างเตียงก่อนจะดึงผ้าห่มคลุมกายให้ขนมผิงปิดร่องรอยเอาไว้

                        ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาพยายามปิดเอาไว้พ้นสายตาของเด็กไร้เดียวสาแต่ก็ไม่สามารถพ้นสายตาของคนอาบน้ำร้อนมาก่อนได้

                        อาทิตย์กำไม้เท้าในมือแน่นจ้องมองร่างลูกชายของผู้หญิงที่เขาเคยใส่ร้ายจนชีวิตพังพินาศด้วยแววตาสั่นเทา

                        “หมายความว่าไง ปิญญ์ชานนท์ แกทำอะไรลงไป”

                        “ผม…”

                        “นี่มันผู้ชายนะ แกทำแบบนี้ได้ยังไง คนคนนี้ก็เป็น…ลูกของลำดวน”ประโยคสุดท้ายอาทิตย์พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน

                        “เพราะผมรู้ไงถึงได้เป็นอย่างนี้”ปิญญ์ชานนท์ตอบหลบตามองพื้นห้องด้วยความรู้สึกผิด

                        “แล้วแม่ของเด็กสองคนนี้ล่ะ แกเอาเขาไปไว้ที่ไหน แกจะให้เขาคิดกับแกว่ายังไง”อาทิตย์ถามเสียงแข็งต่างจากนัยน์ตาที่กำลังสั่นระริกจ้องมองร่องลอยต่างๆบนลาดไหล่ที่โผล่พ้นเหนือผ้าห่ม

                        “เรื่องมันยาว พ่อไม่เข้าใจหรอก”ยาวเสียจนไม่รู้ว่าเขาจะเริ่มต้นเล่ายังไง ยาวเสียจนจับต้นชนปลายเพื่อกลับไปแก้ไขไม่ถูก

                        “ถึงจะยาวยังไงแต่ก็ก็สมควรจะบอกฉันบ้าง ไม่ใช่ใช้ฉันอยู่อย่างคนไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับลกตัวเองอย่างนี้”

                        “ถ้าผมบอกว่าขนมผิงเป็นแม่ของเด็กสองคนนี้พ่อจะเชื่อรึเปล่าล่ะ”ปิญญ์ชานนท์เงยหน้าขึ้นสบตากับผู้เป็นพ่อ ดวงตาคมดุจ้องมองดวงตาที่มองมานิ่งไม่ไหวติง

                        “แกพูดบ้าอะไร”

                        “ขนมผิงเป็นคนอุ้มท้องของเด็กสองคนนี้ เป็นแม่ของเด็กสองคนนี้”

                        “แกคิดว่าเรื่องนี้มันตลกนักรึไง”

                        “ผมเองก็อยากให้มันเป็นเรื่องตลก แม่มันไม่ตลกเลยสักนิด ผมทำขนมผิงท้องเมื่อสี่ปีที่แล้ว”

                        “แล้วทำไมแกไม่บอกฉันตั้งแต่ตอนนั้น”

                        “ผมบอกพ่อไปพ่อจะเชื่อผมรึไง…ขนาดผมเองผมยังไม่เชื่อ”มิหนำซ้ำยังไล่ขนมผิงกับลูกออกไปจากชีวิต

                        อาทิตย์ถอนหายใจเบือนสายตาจากลูกชายทอดมองร่างที่กำลังหลับจากพิษไข้โดยมีเด็กแฝดร่างอ้วนท้วนยืนมองอยู่ข้างเตียงตาปริบๆ

                        ปิญญ์ชานนท์เดินไปเปิดลิ้นชักหัวเตียงหยิบซองเอกสารที่เก็บเอาไว้ยื่นให้บิดา ดวงตาคมกร้านของอาทิตย์สั่นเล็กๆเมื่อมองเนื้อหาบนแผ่นกระดาษในมือยืนยันว่าสิ่งที่ได้รับฟังเป็นความจริง

                        ซึ่งนั่นก็หมายความว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย ขนมผิงเป็นลูกของลำดวน ผู้หญิงที่เขาทำให้ชีวิตพังย่อยยับ อีกทั้งเป็นแม่ของหลานๆที่น่ารักน่าชังอีกสองคน ความผิดพลาดที่แก้ไขไม่ได้ทำให้อาทิตย์แทบลมจับกับสิ่งที่เพิ่งจะรับรู้

                        “เรื่องนี้แกกับฉันต้องรับผิดชอบ”อาทิตย์บอกลูกชาย ถึงแม้ว่าจะกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เขาจะปล่อยให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในอดีตจะผ่านไปสู่อนาคตไม่ได้

                        “ถ้าทำอย่างนั้นได้ง่ายก็คงจะดี”ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง

                        “แกหมายความว่ายังไง”

                        “ขนมผิงไม่ได้ยินยอม ผมบังคับและก็ทำร้ายเขา”

                        “แกจะบอกว่า…เด็กสองคนนี้เกิดมาจากความไม่ตั้งใจของแกอย่างนั้นรึไง”อาทิตย์พูดเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน

                        “ผม…ไม่คิดว่าขนมผิงจะท้อง ผมไล่เขากับลูกกลับไป ทั้งที่ขนมผิงมาบอกให้ผมรับผิดชอบ เพียงเพราะเขาเป็นลูกของคุณลำดวน”ปิญญ์ชานนท์สารภาพผิด

                        อาทิตย์ได้ยินก็นิ่งงันกับคำบอกเล่าของลูกชาย ถ้าหากมูลเหตุทั้งหมดเกิดจากความเกลียดชังที่เขาและลูกชายมีต่อลำดวนและลูก ทั้งหมดทั้งมวลนั่นเกิดขึ้นเพราะเขา หากแต่ตอนนี้เขายังละอายไม่กล้าจะบอกความเป็นจริงแก่ลูกชาย

                        “เรื่องนี้แกไม่ผิด มันมีอะไรมากกว่าที่แกรู้”

                        แล้วความเงียบก็เข้าปรกคลุมสองพ่อลูก ปิญญ์ชานนท์หันไปมองเด็กๆกับขนมผิงที่ยังคงหลับทั้งที่รอบตัววุ่นวายขนาดนี้

                        ชายเสื้อถูกกระตุกด้วยมือป้อมให้หันไปมอง ปิญญ์ชานนท์ก้มมองร่างเล็กจ้ำม่ำของลูกชายคนน้องก่อนะอุ้มขึ้นมา

                        “มีอะไรเหรอ?”

                        “ทำไมปะป๊าไม่ตื่นล่ะฮับ”เจ้าตัวถาม ดวงตากลมโตจ้องมองมาที่เขา

                        “ปะป๊าตัวร้อนมากเลยนะฮับพ่อปิน”ปลากริมเขย่งเท้าแตะมือลงบนแก้มของปะป๊า

                        หัวใจของปิญญ์ชานนท์กระตุกวูบ ทำร้ายขนมผิงอีกครั้งทั้งที่ยังจับไข้

                        “ไหนให้ฉันดูหน่อย”เขาวางลูกชายลงแล้วแตะมือกับผิวกายของร่างที่นอนหลับ

                        อุณหภูมิร่างกายที่ขึ้นสูงทำให้ชายหนุ่มร้อนรน อาการไข้จากเมื่อคืนไม่ได้ทุเลาเลยสักนิดถึงแม้ว่าเขาจะเช็ดตัวให้ขนมผิงหลายต่อลายรอบ

                       

                        “แกควรพาเขาไปโรงพยาบาล”ผู้เป็นพ่อเตือนหากแต่ชายหนุ่มกลับไม่ต้องการอย่างนั้น ไม่อยากปล่อยขนมผิงไปจากที่นี่ เพราะเขารู้ดีว่ามันยากที่จะดึงรั้งเอาขนมผิงกับลูกกลับมา

                        “ผมจะตามหมอ”

                        “งั้นแกก็โทรตามเจ้าวุฒิมาก็ได้”

                        “ไม่…ต้องไม่ใช่นายวุฒิ”คนที่ถึงแม้จะเป็นญาติสนิท แต่กลับทำให้เขารู้สึกอิจฉาเวลาที่อีกฝ่ายอยู่ใกล้ขนมผิง

                        “ตามใจแก งั้นฉันจะตาหมอที่รู้จักให้ก็แล้วกัน”

 

 

                        หลักจากที่หมอมาถึงผ่านไปนับหลายสิบนาทีที่ปิญญ์ชานนท์ยืนรออยู่ไม่ไกลจากเตียงนอนของตนเอง จ้องมองผมตรวจร่างกายของขนมผิงอยู่ไม่ห่าง

                        “พ่อปินฮับ ปะป๊าจะหายไหมฮับ”เจ้าตัวแสบคนพี่ถามเสียงเบายื่นมือป้อมๆมาจับมือของเขาไว้แน่น

                        “ต้องหายสิ”

                        “ปะป๊าตัวร้อน”สลิ่มอกเสียงสั่น

                        “อีกเดี๋ยวปะป๊าของพวกเธอก็หาย”

 

                        “เป็นยังไงบ้างครับ”ปิญญ์ชานนท์ปรี่เข้าไปถามทันทีที่หมอตรวจเสร็จ

                        “ตอนนี้คนไข้ไข้ขึ้นสูงมาก ทางที่ดีให้แอดมิดที่โรงพยาบาลดีกว่านะครับ คนไข้ตากฝนมาอีกทั้งดูเหมือนไม่ค่อยได้พักผ่อน ต้องเข้าตรวจโดยเร็วที่สุดเพราะคนไข้มีภาวะเสี่ยงเป็นปอดบวม”คุณหมอตอบ

                        สุดท้ายปิญญ์ชานนท์ก็ต้องปล่อยขนมผิงไปอยู่ดี ความเป็นห่วงที่เกิดขึ้น มันไม่ได้เป็นการเสแสร้งหรือเป็นความรู้สึกจอมปลอมแต่อย่างใด…เขากำลังเป็นห่วงขนมผิง

                        “ครับ”

                        “ถ้างั้นผมจะให้ทางโรงพยาบาลส่งรถมารับให้เร็วที่สุด”คุณหมอบอกก่อนจะเก็บกล่องอุปกรณ์

 

                        “สีหน้าแกดูไม่ดีเท่าไร”อาทิตย์ทักเมื่อความเงียบเข้ามาปรกคลุมภายในห้องอีกครั้ง ลูกชายของตนดูสีหน้าไม่ดีนักต่างจากปรกติที่มักจะทำสีหน้านิ่งเฉย

                        “ผม…ไม่เป็นไร”ปิญญ์ชานนท์ส่ายหน้าดึงตัวลูกชายให้ออกห่างจากเตียงกันไม่ให้ติดเชื้อจากขนมผิง

                        “แกกลัวว่าเขาจะพาลูกแกหนีไปอีกครั้งใช่ไหม”

                        คำถามที่ผู้เป็นพ่อถามออกมาทำให้ปิญญ์ชานนท์นิ่งเงียบ คำตอบมันมีอยู่แล้วแต่เขากลับไม่กล้าที่จะตอบออกมา ได้แต่พยักหน้าเบาๆตอบคำถามผู้เป็นพ่อ

                        ในบางครั้งคนที่เก่งกล้าสามารถไปทุกเรื่องแท้จริงแล้วอาจจะไม่ได้เก่งไปซะทุกเรื่องไป

                        ความคิดของเขากำลังหยุดนิ่ง สมองราวกับหยุดทำงานเมื่อพยายามหาทางแก้ปัญหา คิดในสิ่งที่สมควรทำเพื่อแก้ไขสิ่งที่มันเกิดขึ้น หากแต่ยิ่งคิดเท่าไรสมองมันก็ยิ่งตื้อจนรู้สึกว่าตัวเองแทบจะบ้าตายกับคำถามที่เกิดขึ้นเป็นร้อยเป็นพัน สุดท้ายก็เหลือเพียงคำถามเดียวที่สำคัญที่สุด

 

                        เขาต้องทำยังไง…เพื่อที่จะดึงรั้งขนมผิงกับลูกไว้โดยที่ไม่มีฝ่ายใดรู้สึกเจ็บ

 

-------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 07:57:40 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด