❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

คุณทีมใคร????

ทีมปิญญ์ # หล่อเลวแบบนี้ใช่เลย จัดหนักจัดเต็ม
26 (15.3%)
ทีมขนมผิง # แกมาทำร้ายชั้นเรอะ ไม่ยอม ฉันจะเอาคืน
38 (22.4%)
ทีมแฝดลูกหมู # ปล่อยให้พ่อๆไปเคลียกันเอง มุ้งมิ้งกันสองคน
106 (62.4%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 170

ผู้เขียน หัวข้อ: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖  (อ่าน 291148 ครั้ง)

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ขนมผิงที่ดื้อด้านมากกกกกกกก :ruready

ออฟไลน์ aukuzt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
อ่านเรื่องนี้แล้ว ถ้าจะบอกว่ารอลุ้นคู่รอง  :ling1: โอ๊ยๆ  :-[

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
แอบเซ็ง ดูเหมือนเส้นทางขนมผิงจะเดินสวนทางกับปินส์อีกรอบ ตอนท้องผิงยอมลงเพื่อลูกเดินมาหาปินส์ถึงบริษัท  แต่ปินส์กลับผลักไส แต่ตอนนี้กลายเป็นปินส์ที่ยอมลงเพื่อลูก แต่ผิงไม่ยอมให้โอกาสอีกแล้ว

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
กำลังสุกคับ ลุ้นมากๆว่าจะดำเนินไปทางไหน พ่อแม่จะทะเลาะกันอีกนานมั้ย
 รอ รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
26 ปล้น

 

                   “แม่”ขนมผิงเรียกผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงแหบพร่าหลังจากตื่นขึ้นมาพบกับเพดานห้องสีขาวสะอาดไม่คุ้นตากับกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อฉุนจมูกเห็นแม่ของตนนั่งอยู่ข้างเตียง

                   “ตื่นแล้วเหรอ กินน้ำก่อนนะผิง”ลำดวนรีบกระวีกระวาดหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะจับหลอดป้อนให้ลูกชาย “ค่อยๆกินนะ”

                   “ลูก ลูกผิงล่ะแม่ เขาเอาลูกผิงไป”สิ่งแรกที่ขนมผิงเรียกหายังคงเป็นลูกชายอยู่วันยันค่ำ

                   “เด็กๆอยู่กับพ่อ แม่ให้พ่อเขาพากับบ้านไปแล้ว อยู่โรงพยาบาลเชื้อโรคมันเยอะ”

                   ผู้เป็นแม่ตอบด้วยท่าทางเป็นห่วงเป็นใย อันที่จริงเธออยากจะถามลูกชายด้วยซ้ำว่าลูกของเธอหลานๆไปอยู่กับปิญญ์ชานนท์ได้ยังไง อีกอย่างเมื่อคืนวานเธอได้รับโทรศัพท์จากอีกฝ่ายบอกว่าขนมผิงกับลูกอยู่กับเขา ซึ่งนั่นสร้างความแปลกใจให้แก่ลำดวนมากเพราะเธอทราบดีอยู่แล้วว่าลูกชายแค้นเคืองคนของอนันตไพลินแค่ไหน อีกทั้งร่องรอยที่ปรากฏตามตัวลูกชาย มันทำให้เธอทิ้งความสงสัยที่เกิดขึ้นไม่ได้

                   ลำดวนจ้องมองลูกชายในขณะที่ลูกชายของเธอยังคงแสดงสีหน้าว่าเป็นห่วงและหวงลูกของมากขนาดไหน

                   “แม่ไม่ได้โกหกผิงนะ”ขนมผิงถามเสียงพร่า ดวงตาดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

                   “แม่จะโกหกผิงให้ได้อะไรล่ะ”

                   คำตอบของลำดวนทำให้ขนมผิงชะงักหลุบตาจ้องมองสายน้ำเกลือที่หลังมือ

                   “หมอจะให้ผิงกลับบ้านเมื่อไร”

                   “ยังไม่มีกำหนด อย่างน้อยก็คงสักสองสามวันนั่นแหละ ดีที่ไม่เป็นปอดบวม แล้วเรื่องอะไรถึงไปตากฟ้าตากฝนอย่างนั้นล่ะ”

                   “ผิงอยากกลับบ้าน ผิงอยากออกจากโรงพยาบาลวันนี้ ผิงต้องกลับไปทำงาน”ขนมผิงไม่ตอบคำถามของมารดา แต่กลับเลี่ยงตอบในสิ่งที่ทำให้มารดาของตนรู้สึกไม่ดี

                   “วันนี้วันเสาร์นะผิง”ลำดวนพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มไม่พอใจลูกชาย ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาลูกเริ่มกลับบ้านดึกอีกทั้งตอนนี้กลับถือตำแหน่งประธานของบริษัทใหญ่เอาไว้ในมือถึงสองที่ทำให้ไม่มีเวลาแม้แต่จะกลับมานอนพักที่บ้าน ได้แต่นอนค้างที่คอนโด หรือหนักกว่านั้นก็นอนค้างที่ทำงานจึงทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อน ถึงแม้ว่าเธอกับสามีจะเตือนแล้วก็ตาม

                   “แต่งานผิงเยอะ แม่ก็รู้” ถึงแม้จะเป็นวันอาทิตย์แต่ด้วยจำนวนงานที่เยอะถึงแม้จะมีผู้ช่วยเพิ่มอีกหลายคนแต่ก็ยังอยากจะทำด้วยตัวเองตรวจสอบให้รอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความระแวงกลัวว่าคนอย่างปิญญ์ชานนท์จะไม่ยอมง่ายๆและกลับมาเอาคืนตน

                   “แม่ไม่อยากพูดแบบนี้กับผิงนะ แต่ถ้าผิงไม่พักบ้างแม่คงรู้สึกว่าแม่เป็นแม่ที่ไม่ดี ปล่อยปะละเลยลูกจนลูกเป็นแบบนี้”ลำดวนเบือนหน้าหนี

                   “แม่!!”

                   “กี่ครั้งแล้วที่แม่กับเด็กๆต้องมานั่งรอผิงกลับบ้านแต่ผิงก็ไม่กลับ ผิงรู้บ้างไหมว่าเด็กๆจะรู้สึกเหงาแค่ไหนกัน”

                   “ผิงทำทุกอย่างเพื่อลูกของผิง”ทำเพื่อปกป้องลูกจากคนคนนั้น…แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยแต่กลับแย่ลงกว่าเก่า

                   ไม่มีความสุข ไม่มีความยินดี…มีแต่ความว่างเปล่าห้อมล้อมอยู่รอบๆตัว

                 

                   “การที่ผิงทำงานเยอะมีงานที่ดี มีหน้าที่ที่ต้องดูแลมากมายมันไม่ได้ทำให้แม่คิดว่าผิงทำเพื่อลูกเลย แต่กลับตรงข้ามกันด้วยซ้ำ ผิงกำลังทำร้ายลูกทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนรอบตัวที่รักและห่วงใยผิงมากกว่า”ลำดวนพูดเสียงสั่นพร่า สัญชาติญาณของความเป็นแม่ที่อยู่ในตัวของลูกชายเธอเข้าใจดี หากแต่เส้นทางที่ลูกชายของเธอกำลังเดินอยู่นั้นมันผิด มันกำลังสวนทางกับสิ่งทุกคนต้องการ

                   ขนมผิงนิ่งอึ้งกับคำพูดของมารดา ดวงตาคู่คมเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมากับสิ่งที่พึ่งจะได้รับรู้มาจากความคิดของคนอื่นที่ไม่ใช่ตนเอง แม่ของเขาพูดถูก ทิฐิของตัวเขากำลังทำร้ายคนที่เขารัก

                   “หยุดเถอะนะผิง แม่อยากให้ผิงปล่อยวาง ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีคำว่าสายเกินไป แม่เชื่ออย่างนั้น”

                   “แต่เขาทำร้ายแม่ ทำร้ายพวกเราขนาดนี้ แม่จะให้ผิงปล่อยวางได้ยังไง”

                   “เรื่องมันอาจจะเกิดจากความผิดพลาด ผิงคิดว่าเด็กๆสำคัญกับผิงมากที่สุด ผิงก็ควรทำให้มันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เอาแต่ความคิดมาเป็นบรรทัดวางเอาไว้ว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น แล้วทำให้เรื่องทุกอย่างมันไม่มีจุดสิ่นสุดแบบนี้”

                   “แม่จะให้ผิงทำยังไงในเมื่อผิงหันหลังกลับไม่ได้”ในเมื่อเขาถอยไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มีทางเดียวคือต้องเดินหน้าไปต่อจนสุดทาง

                   “ขายหุ้นคืนเขาไปเถอะนะ แค่นี้เขาคงได้รับบทเรียนพอแล้วล่ะ”ลำดวนตอบ มือที่เริ่มขึ้นริ้วรอยแตะลงบนแขนของลูกชายอย่างเบามือ

                   “ยังหรอก แค่นี้มันยังไม่พอสำหรับสิ่งที่เขาทำกับพวกเรา”ที่ร้ายแรงสุดก็คือการผลักไสไล่ส่งลูกของตัวเอง

                   “ผิง! แล้วผิงจะทำยังไงต่อไป ทำให้เขาหมดตัว ล้มละลายแล้วตัวเองต้องทำแต่งานทำให้ลูกๆขาดความอบอุ่นโตขึ้นมาเป็นเด็กมีปัญหาอย่างนั้นเหรอ นั่นคือสิ่งที่ผิงต้องการใช่ไหม”

                   “ผิง…”

                   “ผิงโตแล้วแม่รู้แม่ไม่ควรห้ามหรือบงการอะไร แต่แม่คิดว่านี่มันมากเกินไป แม่ปล่อยปะละเลยลูกชายของตัวเองให้ทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก แม่มั่นใจว่าคุณปิญญ์เขารู้สึกผิดแล้วกับสิ่งที่เขาทำ แต่แม่เชื่อว่าเรื่องทุกอย่างมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเขา ตอนนี้ผิงเองก็น่าจะหยุดสักที ก่อนที่อะไรๆมันจะเลวร้ายไปกว่านี้”

                   เธอรู้ดีว่าปิญญ์ชานนท์คงจะได้รับบทเรียนที่สาสมแล้ว จากแววตาที่เคยดูเย่อหยิ่งทระนงตนตอนนี้เปล่าเปลี่ยนเป็นแววตาที่หม่นมองเต็มไปด้วยความสับสนในตอนที่เธอมาถึงโรงพยาบาล ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามซ่อนมันเอาไว้ก็ตาม

                   เธอเปิดประตูเข้ามาในห้องพบว่าชายหนุ่มทายาทของอนันตไพลินกรุ๊ปที่เธอเคยทำงานด้วยกำลังกุมมือของลูกชายของเธอ แต่นั่นมันก็เพียงแค่แวบเดียวเมื่อเธอเข้ามาเขาก็ปล่อยมือออกแล้วละความสนใจไปที่เด็กๆแทน แล้วที่น่าแปลกใจไปมากกว่านั้นก็คือ หลานๆของเธอสนิทกับชายหนุ่มมากกว่าที่ควรจะเป็น หากเท่าที่เธอจำได้ ปิญญ์ชานนท์พึ่งเคยจะเจอกับหลานของเธอแค่ครั้งเดียว…บางทีมันอาจจะมีอะไรที่เธอมองข้ามไปถึงความสัมพันธ์ของลูกชายของเธอกับปิญญ์ชานนท์คนนี้…แต่สิ่งที่เธอคิดมันก็อาจจะเป็นเพียงความรู้สึกที่คิดไปเอง เธอเชื่ออย่างนั้น

 

                   “ทำไม…ผิงกับลูกถึงไปอยู่กับคุณปิญญ์ได้ล่ะ”ลำดวนถามเสียงเบา ในที่สุดเธอก็ทนเก็บความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจไม่ไหว

                   หากแต่ลูกชายของเธอกลับนิ่งเงียบกับคำถาม ดวงตาสีโศกคู่ที่ได้มาจากเธอกำลังหลุบตาไม่กล้าสบตาขอเธอที่จ้องมอง

                   “ผิงไม่บอกแม่ก็ไม่เป็นไป เวลาไหนที่ผิงพร้อมจะบอกแม่ผิงค่อยบอกก็ได้ แม่ไม่บังคับ”เพราะเพียงแค่การที่เธอถูกประณามใส่ร้ายมันไม่น่าจะทำให้ลูกชายของเธอลุกขึ้นมาเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ จากคนที่อ่อนโยนกลับก้าวร้าว ราวกับผลิดฝ่ามือ

 

                   “นี่ก็จะเที่ยงแล้ว เมื่อกี้พนักงานเอาข้าวต้มกับยามาให้ กินก่อนก็แล้วกัน เย็นๆพ่อเขาคงจะพาเด็กๆมาหานั่นแหละ”ลำดวนตัดบทดันโต๊ะอาหารเลื่อนเข้าไปใกล้ลูกชาย

                   ขนมผิงตักข้าวต้มกินไปเพียงไม่กี่คำ ถึงแม้จะรู้สึกแปลกที่ปิญญ์ชานนท์ยอมปล่อยเด็กๆง่ายๆทั้งที่ก่อนหน้ายังยืนยันจะไม่คืนลูกให้เขา แล้วที่มากไปกว่านั้นกลับพาเขามาโรงพยาบาลทั้งที่ทำเรื่องน่ารังเกียจกับเขาจนต้องเป็นอย่างนี้ ทั้งที่ควรจะทิ้งเขาเอาไว้ปล่อยให้เขาช่วยเหลือตัวเองมากกว่า

                   “แม่ก็หาอะไรกินได้แล้ว อย่ามัวแต่มองผิงกิน”ขนมผิงบอกหลังจากกินยาหลังอาหารตามเข้าไป

                   “แม่รอให้ผิงกินเสร็จก่อน แล้วแม่จะไปหาอะไรกินเอง”

                   “งั้นแม่ก็ไปได้แล้ว ผิงกินข้าวกินยาแล้ว ไม่ใช่เด็กๆจะต้องมานั่งเฝ้าเหมือนเมื่อก่อนสักหน่อย”

                   “ไม่ใช่เด็กก็อย่าทำตัวเด็กก็แล้วกัน แม่ลงไปข้างล่างก่อน ถ้าง่วงก็นอน อย่าฝืน หมอบอกให้พักผ่อนมากๆ”

                   “ครับ”ขนมผิงรับคำส่งยิ้มจางๆให้มารดา

                   ความรู้สึกผิดกำลังก่อเกิดขึ้นภายในจิตใจ คำเตือนของมารดาฉุดให้สำนึกได้ว่ากำลังก้าวขาลงไปในเส้นทางที่ผิด

 

                   ฤทธิ์ของยาเริ่มทำงานทำให้ดวงตาคมนิ่งเริ่มปรือปรอยในที่สุดมันก็ปิดลง หลังจากที่ขนมผิงหลับลงตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ไม่นานร่างสูในชุดลำลองดูผ่อนคลายก็เปิดประตูเดินเข้ามาท่ามกลางความเงียบสนิทมีเพียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ครางแผ่วเบา

                   ปิญญ์ชานนท์นั่งลงบนเก้ากี้ข้างเตียง ดวงตาดุดันที่อ่อนแววลงไปมากจ้องมองใบหน้าขาวซีดดูไร้พิษสงของขนมผิง ฝ่ามือใหญ่แตะลงใบโครงหน้าของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

                   สุดท้ายเขาต้องยอมปล่อยลูกๆไปโดยที่ยังไม่ได้ตกลงกับขนมผิงทั้งที่รู้ดีว่าหนทางที่จะเข้าใกล้ทั้งสามคนนั้นดูไกลออกไปทุกที เขาภาวนาให้การที่เขาทำร้ายขนมผิงในครั้งสุดท้ายจะเกิดผล ภาวนาให้สิ่งนั้นนำทางเขาสู่เส้นทางที่สามารถแก้ไขสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ ถึงแม้ว่าจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องที่เคยทำผิดเอาไว้ในอดีตไม่ได้ก็ตาม

                   เขาโน้มใบหน้าเข้าหาคนที่กำลังหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยา ริมฝีปากร้อนผ่าวกดจูบลงบนริมฝีปากแห้งฝากเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้

                   สุดท้ายเขาก็ทำได้แต่ใช่วิธีอย่างคนขี้ขลาด….

 

----------------------------------------------------------------------------------------------------

                 

                   “คุณจะตามผมมาทำไม”คุณหมอหนุ่มหันไปบ่นอุบเมื่อแทนทัพตามเขามาตั้งแต่เขาได้รับโทรศัพท์จากเพื่อร่วมรุ่นที่อยู่ต่างโรงพยาบาลว่าขนมผิงไม่สบายจนต้องแอดมิด ซึ่งตอนนั้นเขากำลังจะเข้าไปในตัวโรงภาพยนตร์เพื่อดูหนังกับแทนทัพ แต่ก็ต้องเป็นอันยกเลิกล่มไม่เป็นท่า มิหนำซ้ำแทนทัพยังตามเขาติดแจมาด้วยขนาดนี้

                   “คนไข้ก็เป็นเจ้านายผมเหมือนกัน”แทนทัพไหวไหล่ ซึ่งอันที่จริงหากชั่งน้ำหนักดู เขาเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าตามคุณหมอตรงหน้าที่รีบร้อนมาที่นี่หรือว่าจะมาเยี่ยมไข้ขนมผิงกันแน่

                   “ผมหมดคำจะพูดกับคุณแล้วจริงๆเลยคุณแทนทัพ”

                   “งั้นก็ไม่ต้องพูดสิครับ อย่าลืมว่าคุณติดหนังผมหนึ่งเรื่อง”

                   คุณหมอหนุ่มไม่ตอบแต่กลับถอนหายใจอย่างปลงตกอีกทั้งยังเป็นห่วงขนมผิงที่ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่รู้จักกันมาถึงขนมผิงจะไม่ถึงกับแข็งแรงอะไรมากมาย แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่จะป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างนี้เลยสักครั้งมันทำให้เขาร้อนรนได้มากเลยทีเดียว

                   ทว่าระหว่างที่กำลังรีบร้อนเพื่อไปยังห้องผู้ป่วยหมายเลขห้องที่ถามมาจากเพื่อน แขนก็ถูกดึงรั้งให้ฝีเท้าชะงักนิ่งไม่ให้ไปต่อ คุณวุฒิถึงได้หันกลับไปมองอีกฝ่าย

                   “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอกครับ ห้องผู้ป่วยไม่ได้หายไปไหน”

                   แทนทัพอดไม่ได้ที่จะห้ามปรามคนรีบร้อนที่ดูจะร้อนรนเกินไปจนเขานึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย คุณวุฒิยกเลิกการดูหนังกับเขากลางคันอีกทั้งก้าวเดินอย่างรีบร้อนเพื่อที่จะไปหาขนมผิงโดยที่ไม่สนใจหากว่าเขาไม่ชวนคุยระหว่างทางที่มา แสร้งทำทีเป็นกวนอารมณ์ให้อีกฝ่ายไม่พอใจ

                   ความรู้สึกเล็กๆน้อยๆที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดกับคนเจ้าระเบียบอย่างตัวเองมันกำลังทำให้จิตใจที่นิ่งเฉยว้าวุ่นและรู้ได้ทันทีว่าคุณวุฒิไม่ยอมตัดขาดความรู้สึกที่มีต่อขนมผิงง่ายๆแน่…แล้วเหตุใดเขาจึงต้องมานั่งคิดเรื่องราวจุกจิกแบบนี้

                   แทนทัพปล่อยมือออกจากแขนของคุณหมอ ดูเหมือนว่าจะตั้งสติได้แล้วออกเดินด้วยย่างก้าวที่มั่นคงต่างจากเมื่อครู่ แทนทัพได้แต่มองแผ่นหลังโปร่งของอีกฝ่ายและเดินตามไปติดๆ

                   มองดูฝ่ามือสีสะอาดบิดลูกบิดประตูห้องพิเศษเปิดออกอย่างเบามือด้วยเสียงที่เงียบงันอาจะเป็นเพราะรีบเร่งหรืออย่างไรก็ตามที่ทำให้คุณวุฒิลืมเคาะประตูก่อนจะเข้าไป ฝีเท้าของคนข้างหน้าชะงักนิ่งจนเขาที่ไม่ทันสังเกตเพราะกำลังคิดเพลินเกือบจะชนเข้ากับแผ่นหลังของอีกฝ่าย

                   ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำเอาเขาชะงักตามติดๆไม่แพ้กัน ร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองต่างจากทุกทีที่มักจะอยู่ในชุดทางการดูสุขุมกำลังโน้มหน้าเข้าหาใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากหยักกำลังแตะลงบนริมฝีปากบางเฉียบและแห้งฝาก

                   คุณวุฒิก็เช่นกัน เขากำลังช็อคกับสิ่งที่ได้เห็น ญาติผู้พี่ของเขากำลังจูบกับรุ่นน้องที่เขาหลงชอบมาตลอด ความสัมพันธ์ที่ขาไม่รู้ว่ามองข้ามไปเมื่อไรทำให้ตกใจจนมือที่จับลูกบิดประตูสั่นเทา

                   แต่แล้วภาพตรงหน้าก็ดับวูบกลายเป็นมือมิดเมื่อมือใหญ่ปิดลงมาทาบทับกรอบแว่นดึงให้เขาถอยออกห่างแล้วปิดประตูลงอย่างเบามือ

                   ทำไมญาติผู้พี่ของเขาถึงได้ทำเช่นนั้นกัน….มีอะไรที่เขายังไม่รู้เกี่ยวกับสองคนนี้กันแน่

 

                   มือของแทนทัพจับจูงมืออ่อนนุ่มของคุณหมอให้เดินตามมาจนถึงลานจอดรถ เปิดประตูรถของตนแล้วดันคุณหมอที่กำลังนิ่งอึ้งกับสิ่งที่เห็นเข้าไปนั่งข้างคนขับแล้วปิดประตูลง

                   เขาเองก็ไม่แพ้กัน เขาเองก็ตกใจที่คนที่ขนมผิงแสนจะเกลียดชังจากการแสดงออกอย่างชัดเจนจะจูบขนมผิงอย่างนั้น หลายอย่างมันกำลังปะติดปะต่อ ก่อนหน้าเขาไม่เข้าใจว่าทำไมขนมผิงถึงได้ดูเกลียดชังและจ้องที่จะโค่นยักษ์ใหญ่อย่างปิญญ์ชานนท์ให้ล้มลงมา เขาเพียงแค่ทำตามคำสั่งและความต้องการเพื่อให้อีกฝ่ายพึงพอใจ นั่นคือความสุขของตัวของเขาเอง

                   หลายอย่างที่เกิดจากความคาดเดา ตอนนี้เลขาหนุ่มเริ่มประกอบจิ๊กซอติดต่อกัน เด็กแฝดสองคนที่เขาช่วยขนมผิงเลี้ยงดูมากับมือหน้าตาช่างเหมือนกับปิญญ์ชานนท์ยิ่งนักหากเอามาเปรียบเทียบกันจะเห็นความเหมือนได้อย่างชัดเจน แต่นั่นมันก็แค่การคาดเดา น่าแปลกที่ตอนนี้เขากับไม่หยี่ระกับมันสักเท่าไร หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกกระวนกระวายใจมากกว่านี้ หรืออาจจะเป็นเพราะคนที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ข้างกายกัน ชายหนุ่มหันไปมองใบหน้าขาวสะอาดซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด

                   “ดูเหมือนคุณจะยังไม่รู้นะครับ”แทนทัพเปิดประเด็นเรียกให้คุณหมอหันมามองด้วยแววตาที่กำลังสั่นระริก

                   “ยังมีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีก”ยังมีมากกว่านี้อีกไหมนอกเหนือจากญาติผู้พี่ของเขามีความสัมพันธ์ที่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจกับคนที่เขาชอบมาตลอด

                   “เรื่องเด็กแฝดสองคนนั้น คุณผิงคุณคงไม่ได้บอกความจริงกับคุณ”

                   “ความจริงอะไรกัน”คุณวุฒิจ้องมองดวงตาคมคายของอีกฝ่าย ดวงตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจเล็กๆปะปนกับความสับสนวุ่นวาย

                   “คุณผิงเป็นคนอุ้มท้องเด็กสองคนนั้นเอง”

                   “นะ เรื่องบ้าอะไร ผมไม่ได้ตลกกับคุณนะคุณแทนทัพผิงจะตั้งท้องได้ยังไง ในเมื่อ…”คุณวุฒิชะงัก

                   ขนมผิงเคยบอกว่าตอนเกิดร่างกายติดของตนกับแฝดผู้พี่ที่เป็นผู้หญิง บางทีเรื่องนี้มันอาจจะเป็นไปได้ แล้วใครกันล่ะที่เห็นพ่อของเด็ก…หรือจะเป็นญาติผู้พี่ของเขา

                   คุณหมอหวนนึกถึงใบหน้าของเด็กแฝดลอยขึ้นมา ใบหน้าช่างคลับคล้ายญาติผู้พี่ของตนเมื่อสังเกตดูดีๆ

                   “เป็นไปไม่ได้ ผมจะไปถามผิงเอง ผมต้องการคำตอบจากปากผิงเท่านั้น”คุณหมอผละออกเตรียมเปิดประตูรถ หากแต่แทนทัพกลับทำในสิ่งที่ทำให้เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเอง

                   มือใหญ่ของอีกฝ่ายดึงรั้งแขนเอาไว้ฝ่ามืออีกข้างดึงรั้งศีรษะของเขาโน้มเข้าไปหา มันรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ถูก เมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวฉกจูบลงมา สอดลิ้นเข้ามาพยายามดูดดึงให้คล้อยตาม

                   ดวงตารีเล็กภายใต้กรอบแว่นเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ดวงตาหลุกหลิกไปมาอย่างตกใจกลัวว่าใครจะมาเห็นเพราะเป็นลานจอดรถที่ใครจะโผล่มาเมื่อไรก็ได้ทุกเมื่อ

                   ถึงแม้พยายามผลักดันให้อีกฝ่ายปล่อยตน แต่กระต่ายหรือจะสู้หมาป่าเจ้าเล่ห์ที่ภายนอกดูสุขุมภายในกลับแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ รสจูบที่ถูกป้อนให้กับลังฉุดดึงให้คุณหมอจมลงสู่ห้วงแห่งความว่างเปล่า หลับตาลงแล้วเปิดรับสิ่งที่อีกฝ่ายมอบให้ด้วยความเต็มใจ นานนับหลายนาทีกว่าจะผละออกจากกัน มีเพียงความเงียบที่เข้ามาขวางกั้นระหว่างคนทั้งสองภายในรถยนต์คันสีดำสนิท

                 

                   “คุณติดหนังผมเรื่องหนึ่ง ผมขอทวงคืน”แทนทัพพูดแล้วสตาร์ทรถขับออกไปแบบไม่รอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย

                   “ตะ ตามใจ”คุณหมอตอบเสียงขาดหาย ใบหน้าแดงเรื่อ กระชับแว่นดันขึ้นแล้วหันไปมองนอกหน้าต่างอย่างน้อยอาการของขนมผิงจากที่ดูแล้วคงไม่เป็นอะไรมาก หากพวกเขาเข้าไปก็คงเป็นเพียงแค่ส่วนเกินในเวลานี้ … ใช่แล้ว เขาเป็นส่วนเกิน ไม่มีความสำคัญพอที่จะบอกได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่แม้จะบอกว่าหายไปที่ไหนเพราะอะไรตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านมา

                 

---------------------------------------------------------------------------------------------

 

                   “ขนมผิงเป็นไงบ้าง”อาทิตย์ถามอาการเมื่อลูกชายเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม

                   “เป็นไข้หวัดปกติ หมอให้นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล”ปิญญ์ชานนท์ตอบด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

                   เขาปฏิเสธความรู้สึกเป็นห่วงที่อัดแน่นอยู่เต็มอกของตัวเองไม่ได้เลย อีกทั้งความรู้สึกหึงหวงที่ตามมาทุกครั้งหลังจากที่คิดว่าขนมผิงจะต้องแต่งงานกับเดหลี และที่ว่างข้างๆที่ควรจะเป็นเขาจะถูกแทนที่ด้วยคนอื่น

                   “ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว คราวนี้ก็มาที่เรื่องของแก ฉันอยากรู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ความสัมพันธ์ของแกกับขนมผิงเป็นมายังไงกันแน่  ทำไมแกถึงต้องไปทำร้ายเขาจนมีลูกกับแกแบบนั้น”

                   “เพราะว่าขนมผิงเป็นลูกของคุณลำดวน และผมไม่ชอบที่เขาทำตัวใกล้ชิดคนอื่นโดยเฉพาะกับคนใกล้ตัวของผมของผม ผมก็เลย…”ปิญญ์ชานนท์เสียงแผ่วท้ายประโยค ในตอนนั้นเขายอมรับว่าเขาไม่พอใจที่ขนมผิงใกล้ชิดกับคุณวุฒิ

                   “มีอะไรที่แกกำลังเข้าใจผิดอยู่ ปิญญ์ชานนท์”

                   “ผมเข้าใจอะไรผิด”

                   “อันที่จริงลำดวนเขาไม่ได้ผิดอะไรเลย มีแต่ฉันคนเดียวที่เป็นคนผิด เรื่องทั้งหมดฉันกับเป็นคนใส่ร้ายลำดวนเอง ฉันทำไปเพราะความโกรธแค้น เรื่องมันถึงได้ยานปราย แกเลยต้องมารับกรรมต่อจากฉันเอาแบบนี้”

                   “พ่อกำลังพูดอะไร”

                   “แกได้ยินไม่ผิดหรอก ปิญญ์ชานนท์ ฉันเป็นคนใส่ร้ายทั้งหมด เรื่องทุกอย่าง สั่งให้คนสร้างข่าวลือ เพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง”อาทิตย์สารภาพกับลูกชายเสียงเครือ ใบหน้าประดับริ้วรอยหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคมกร้าวดูเศร้าสร้อยทันทีเมื่อนึกถึงผลร้ายที่ตามมาตกที่ลูกชายของตน

                   “พ่อทำแบบนั้นไปทำไม ผมไม่เข้าใจ”ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับคนเป็นพ่อ จ้องมองใบหน้าเศร้าหมองนั้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้รับฟัง

                   “ตอนนั้นฉันยอมรับว่าฉันทำไปเพราะความโกรธแค้น หากฉันรู้ว่าเรื่องทั้งหมดจะต้องเป็นแบบนี้ฉันคงไม่ทำ แกก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้”

                   “เรื่องทุกอย่างมันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว แต่ผมไม่เข้าใจว่าพ่อทำลายชีวิตคนอื่นได้ลงคอได้ยังไงกัน”

                   “เพราะความโกรธความแค้นไงที่มันบังตาฉันเอาไว้ มันสายไปแล้วที่ฉันจะกลับไปแก้ไข แต่ฉันอยากก็ไม่อยากให้แกรู้ตัวเมื่อสายเกินไปสำหรับฉัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะฉันเป็นคนผิด ไม่ใช่แก แกควรทำในสิ่งที่แกสมควรต้องทำ ฉันเองก็จะทำในสิ่งที่ฉันต้องทำเหมือนกัน”อาทิตย์บอกลูกชายด้วยความรู้สึกผิด ความโล่งใจก่อเกิดขึ้นในใจทีละเล็กน้อยราวกับยกภูเขาออกจากอกหลังจากปิดบังเรื่องนี้มานับหลายปี เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อคนอื่นบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อลูกชายของเขาเองที่ยังคงสับสนกับความรู้สึกอันคลุมเครือ

                   “ผม…ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหน”

                   “ความรู้สึกของแกไง ฉันอยากรู้ว่าแกรู้สึกยังไงกับขนมผิง”

                   “ผม…”ก่อนหน้าคำว่าเกลียดมันเอ่อล้นออกมาจากหัวใจ ทว่าตอนนี้ความจริงที่ปรากฏทำให้ความรู้สึกผิดมันถาโถมเข้ามา ยิ่งพยายามคิดก็ยิ่งเจอเข้ากับทางตัน เขาคิดทระนงตัวว่าตัวเองถูกต้อง ตัวเองดีที่สุด อยู่เหนือจากคนอื่น ทำตัวเป็นผู้พิพากษาตัดสินชะตากรรมชีวิตของขนมผิงด้วยความเลือดเย็น ทำร้ายชีวิตของอีกฝ่ายจนย่อยยับด้วยการกระทำของตัวเอง จนทำให้คนดีดีคนหนึ่งต้องเปลี่ยนตัวเองสร้างกำแพงสูงขึ้นมาโอบล้อมตัวเองปกป้องตัวเองจากคนอื่นๆ

                   “ว่าไง แกยังไม่รู้ใช่ไหมว่าตัวเองรู้สึกยังไง”

                   “ผมไม่รู้”

                   “แกถูกสอนถูกเลี้ยงดูมาให้โตขึ้นมาเป็นคนเย็นชา ไม่แปลกใจที่แกจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดกำลังรู้สึกคืออะไร”

                   “เรื่องของตัวเอง ผมย่อมรู้ดีที่สุด”ปิญญ์ชานนท์ส่ายหน้าถึงตอนนี้ยังคงสับสน นิสัยทระตนของเขายังคงไม่หายไปง่ายๆ

                   “แล้วแกรู้สึกยังไงล่ะ แกบอกว่าแกไม่พอใจเขาที่เขาเข้าใกล้คนอื่น มันเพราะอะไรถ้าไม่ใช่ว่าเพราะแกชอบเขา แกอ้างว่าแกเกลียดเขาแกถึงได้ทำร้ายร่างกายเขา ทั้งที่แกทำแบบนั้นเพราะแกน่าจะหึงหวงที่เขาชอบคนอื่นมากกว่าแกไม่ใช่รึไง เพราะแกมัวแต่ตอกย้ำความคิดว่าแกเกลียดเขาตามที่ฉันปลูกฝังเอาไว้ในความคิดของแก มันเลยทำให้แกไม่รู้สึกตัวว่าแกกำลังรู้สึกยังไง”

                   “ถึงพ่อจะพูดซะยืดยาวมันก็ไม่ได้ทำให้ผมหายรู้สึกผิดกับขนมผิง”

                   “มันคงไม่ง่ายที่ฉันจำทำให้แกเลิกโง่เรื่องพรรค์นี้ ฉันบอกเรื่องที่ฉันควรจะบอกกับแกไปทั้งหมดแล้ว ที่เหลือก็แค่แกจะกลับไปคิดว่าแกรู้สึกยังไงกับขนมผิงกันแน่ ต่อให้ฉันพูดจนน้ำลายแห้งแกคงนั่งบื้ออยู่อีกนาน”ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าให้กับลูกชายแล้วพยุงตัวขึ้นลุก เพราะได้เวลาที่ต้องเดินกายภาพบำบัดกับพยาบาลส่วนตัว

                   “ผมช่วย”ปิญญ์ชานนท์ประคองให้บิดาลุกขึ้นจับไม้เท้าได้สะดวก ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเองก็สนใจแต่งาน และก็เงินทองมากกว่าที่จะคอยดูแลผู้เป็นพ่อเลยสักครั้ง คิดแค่ว่าเงินมากมายที่หามาจะชดเชยด้วยการจ้างพยาบาลส่วนตัวฝีมือดีมาดูแลแทน แต่เปล่าเลยสักนิด เขาคิดผิด

                 

                   ปิญญ์ชานนท์นั่งมองผู้เป็นพ่อเดินย้ำเท้าเปลือยลงบนพื้นหญ้าในสวนหลังบ้าน อันที่จริงสิ่งที่พ่อของเขาพูดมาทั้งหมดมันก็ช่วยให้เขาเหมือนใกล้จะคิดออกแต่ก็ยังคงคิดไม่ออกอยู่เหมือนเดิม เขาเริ่มที่จะยอมรับตัวเองขึ้นมาแล้วว่าตัวเขาค่อนข้างโง่ตามที่พ่อเขาได้สบประมาสเอาไว้ ชายหนุ่มถอนหายใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรูปลูกแฝดหน้าจอ

 

---------------------------------------------------------------------------------------------------------
มีต่อ



 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 07:58:58 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
ต่อ
 

                   หนึ่งอาทิตย์ถัดมา ปิญญ์ชานนท์ได้รับนัดจากแทนทัพเลขาคนสนิทของขนมผิงให้เข้าไปเจอที่บริษัท ข้อตกลงที่ทำเอาทั้งเคืองทั้งหัวเราะให้กับความโง่เขลาของตัวเองถูกเสนอมาให้เขา ขนผิงยินดีที่จะคืนตำแหน่งประธานให้กับเขา และขายหุ้นคืนให้เขา ซึ่งนั้นเป็นเรื่องดี แต่เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกเคืองใจกับพิษสงค์ของแม่เด็กแฝดก็คงไม่พ้นราคาที่เรียกว่าปล้นกันยังน้อยไป ราคาสามเท่าของราคาหุ้นนั่นมันไม่ใช่น้อยเลย

                   อีกอย่างสถานการณ์ความเชื่อถือของอนันตไพลินกำลังตกอยู่ในระดับที่ต่ำจนเรียกได้ว่าค่อนข้างหมดหวังที่จะทำให้ฟื้นกลับมายังจุดสูงสุดได้ดังเก่า ซึ่งแน่นอนราคาที่ถูกเสนอมานั้นแค่ทรัพย์สินส่วนตัวของเขามันยังไม่พอ

                   “คุณผิงฝากมาบอกว่าคุณจะปฏิเสธข้อเสนอก็ได้นะครับ คุณผิงไม่ได้บังคับ”แทนทัพพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้าโดนตรงกับปิญญ์ชานนท์

                   พอมองดูใบหน้าหล่อเหลาดูสุขุมถึงแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในชุดลำลองแบบสบายอีกทั้งหนวดเคราขึ้นครึ้มแต่ก็ยังคงดูน่านับถือ ไม่เหมือนกับญาติคนน้องที่ไม่ค่อนสงบเสงี่ยม อีกทั้งยังกวนอารมณ์ได้ง่าย พอคิดแบบนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กๆ

                   “คุณกำลังยิ้มอะไร”ปิญญ์ชานนท์ถามเสียงแข็ง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายกำลังเยาะเย้ยกับการแก้แค้นของขนมผิงครั้งนี้ด้วยการขายหุ้นที่ราคาแสนแพงกับคนที่ตกงานอย่างเขา

                   “เปล่าครับ ขอโทษที่ทำให้คุณเข้าใจผิด”

                   “งั้นเหรอ”ปิญญ์ชานนท์ตอบรับท่าทางเฉยชา จ้องมองแผ่นกระดาษในมือแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

                   “บอกขนมผิงว่าผมตกลง แต่ผมขอเวลาสองเดือน”

                   “ครับ ไม่มีปัญหา ผมจะแจ้งคุณผิงให้ทราบ”แทนทัพรับปากก่อนะเก็บเอกสารของตัวเองลงแฟ้มหลังการนัดคุยแบบคร่าวๆจบลง

                   “ผมมีอะไรอยากจะถาม”

                   “ครับ?”แทนทัพเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเอกสาร

                   “กับน้องชายของผม คุณจริงจังกับเขามากแค่ไหน”ปิญญ์ชานนท์โผล่งถามออกไปตามตรง เขารู้มากสักพักจากพ่อและพี่ชายของคุณวุฒิแล้วว่าเลขาของขนมผิงไปมาหาสู่กับญาติผู้น้องของตนอย่างผิดสังเกต คุณวุฒิเป็นลูกชายคนเล็กของบ้านนั้น อีกทั้งยังชอบทำตัวแปลกแยกจากคนที่บ้านจึงต้องตามดูอยู่ห่างๆเพราะเป็นห่วงความเป็นอยู่ของลูกชายคนนี้

                   “คุณกำลังพูดถึงอะไร”แทนทัพตอบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่ยอมรับกับสิ่งที่ทำ หากแต่คนบ้านอนันตไพลินไม่น่าไว้วางใจพอที่จะยอมรับ หรือบอกออกไปตามจริง กลัวว่าคุณวุฒิจะถูกที่บ้านบังคับแหมือนคนอื่นๆ

                   “ถึงเขาไม่ได้ใช้นามสกุลอนันตไพลิน แต่เขาก็เป็นคนของอนันตไพลิน ผมอยากให้คุณรู้เอาไว้ ก็แค่นั้น”

                   “ครับ เรื่องนั้นผมเข้าใจดี”แทนทัพตอบก่อนจะเดินออกไปจากห้องของผู้บริหารสูงสุด

 

                   ปิญญ์ชานนท์จับจ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่มเลขาของขนมผิงออกไปจนลับตา อันที่จริงเขารู้สึกเหมือนกับกำจัดคู่แข่งไปได้ทีเดียวถึงสองคน หากแต่ว่าคุณวุฒิเป็นน้องชายของเขา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปล่อยปะละเลย

                   “เป็นยังไงบ้างครับ”มาลิศถามเสียงเรียบ เดินเข้ามายืนเคียงข้างเจ้านาย

                   “นายพอมีเงินจะให้ฉันยืนไหมล่ะ”ปิญญ์ชานนท์ตอบคล้ายกับกำลังสมน้ำหน้าตัวเองเล็กๆ หัวเราะในลำคอเรียกให้ลูกน้องคนสนิทเอียงคอหันมามองด้วยความประหลาดใจกับอารมณ์ขันที่ไม่เคยเจอ

                   “ไม่ตลกนะครับ ว่าแต่เขาเรียกราคาคุณเท่าไร”มาลิสถามเจ้านายอย่างเป็นห่วง ถึงปิญญ์ชานนท์จะดูเย็นชา บางครั้งก็อารมณ์รุนแรง หากแต่ก็ยังมีข้อดีในการช่วยเหลือลูกน้องมาตลอด

                   “สามเท่า นายคิดว่าไง แม่ของลูกฉันกำลังจะปล้นฉันหมดตัว”

                   “ครับ หวังว่าคุณจะมีเงินเหลือจ่ายเงินเดือนผม”

                   “ถ้าไม่มีอะไรฉันกลับล่ะ ฝากนายดูแลแทนฉันด้วยล่ะ คิดว่าคงมีอะไรต้องทำอีกเยอะ”ปิญญ์ชานนท์แตะไหล่ลูกน้องก่อนจะเดินจากไปอีกคน

                   มาลิศได้แต่ถอนหายใจ ที่เจ้านายของตนเปลี่ยนไปมากขนาดนี้หลังจากถูกแม่ของลูกตัวเองเล่นงานจนยับเยิน แต่มันก็เป็นการเปลียนแปลงไปในทางที่ดี

                   ปิญญ์ชานนท์ขับรถยนต์คันหรูมาหยุดอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้ามของโรงเรียนอนุบาลเอกชนชื่อดัง ดวงตาดุดันจับจ้องมองบรรดาพ่อแม่พ่อปกครองต่างก็จูงมือลูกหลานของตัวเองออกมาหลังจากถึงเวลาเลิกเรียน

                   เขากวาดสายตามองหาร่างอันคุ้นเคยท่ามกลางเหล่าบรรดาผู้ปกครองหรือพี่เลี้ยงทั้งหลายจนในที่สุดก็สะดุดตาเข้ากับร่างสูงโปร่งในชุดลำลองสบายตาอุ้มร่างเด็กผู้ชายผิวขาวจ้ำม่ำเอาไว้แนบอก มือข้างหนึ่งจับจูงเด็กผู้ชายผิวสีน้ำผึ้งอีกคนให้เดินตามมา

                   ปิญญ์ชานนท์ถอนหายใจให้กับความโลภของตัวเอง นอกจากจะห้ามใจไม่ให้มาซุ่มดูทั้งแม่ทั้งลูกไม่ได้ก็พอแรงอยู่ หนำซ้ำยังจะคิดที่จะอยากเดินออกไปแล้วอุ้มเจ้าตัวอ้วนจ้ำม่ำทั้งสองมากอดฟัดให้สมกับความคิดถึง แล้วก็จับคนแม่มาจูบให้สมกับความแสบสันต์ที่ทิ้งเอาไว้กับราคาหุ้นที่เรียกมาซะแพงหูฉี่

                   จนกระทั่งขนมผิงกับลูกหายลับสายตาเข้าไปในรถแล้วขับออกไปทิ้งให้เขาจมอยู่กับความเงียบงันภายในตัวคนที่กำลังเข้าปรกคลุมฉุดให้อยู่ในภวังค์ของความคิดอีกครั้ง

                   ราคาหุ้นที่ขนมผิงเรียกมา นอกจากจะหมดตัวแล้วเขายังจะต้องไปกู้จากธนาคารอีกจำนวนหนึ่งเพื่อรวบรวมให้เพียงพอกับราคาที่อีกฝ่ายเสนอมาให้

                   มั่นค่อนข้างจะเสี่ยงกับสถานการณ์ที่กำลังย่ำแย่แต่นั่นก็ไม่เท่ากับความคิดความสับสนวุ่นวายที่วนเวียนอยู่ในเวลานี้ เขารู้สึกผิดที่ทำร้ายขนมผิงจากความไม่รู้และความโกรธแค้นของตัวเองที่สร้างขึ้นมา

                   เเต่ไม่มีเลยสักนิดที่เขาจะรู้สึกเสียใจกับการกระทำในตอนนั้นที่ได้ทำลงไป เพราะการที่ได้ผูกมัดขนมผิงเอาไว้คือสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด หากย้อนเวลากลับไปได้เขาก็ยังคงจะทำมัน เพียงแต่คนละวิธีกันเท่านั้นเอง ตอนนี้เขาค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าบางสิ่งที่ทำให้เขาตามตอแยและคอยฉุดรั้งขนมผิงนั้นไม่ใช่ความแค้น หากแต่เป็นความรักความหึงหวงที่ถูกความเคียดแค้นบังตาเอาไว้ทำให้เขาหน้ามืดตามัวทำในสิ่งเลวร้ายลงไป

                   ผลักดันให้ตอนนี้เป้าหมายและจุดประสงค์ของเขาไม่ใช่การเอาชนะขนมผิงทางธุรกิจ ไม่ใช่การเอาชนะด้วยการผูกมัดขนมผิงทางร่างกายและแย่งลูกคืนมา หากแต่เป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือการชนะใจ เขาอยากที่จะชนะใจขนมผิง

 

                   แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนที่จะถึงวันงานหมั้นของขนมผิงในอีกสี่เดือน จะต้องยอมรับในบทลงโทษที่ขนมผิงทิ้งเอาไว้และแก้ไขมันให้ดีพอที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่ตนนั้นได้ทำเอาไว้

 

--------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 07:59:41 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เรื่องนี้ อาทิตย์ควรมีคำอธิบายดีๆ  เรื่องมาถึงขนาดนี้ ยังจะถือทิฐิอมพะนำอยู่ได้
ท่าทาง สองแฝดจะมีน้องคนใหม่ในไม่ช้า

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่พอดี

 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
อั้ยยยย เริ่มหนุกขึ้นเรื่อยๆค่าา

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
คิดว่าอีกไม่นานทุกอย่างคงจะดีขึ้นนะๆๆๆ

รอๆๆๆๆๆต่อ

ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
27 แพ้ท้อง

                   ในที่สุดปิญญ์ชานนท์ก็รวบรวมเงินได้จำนวนมากพอที่จะซื้อหุ้นคืนจากขนมผิงตามราคาที่อีกฝ่ายเสนอมาด้วยการใช้ทรัพย์สินส่วนตัวและการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินที่ค่อนข้างจะยากเมื่อมูลค่าของเงินที่ได้มานั่นจะต้องนำมาลงกับองค์กรที่ใกล้จะล้มละลายเต็มทนทว่าด้วยความดื้อพยายามกับเครดิตที่เคยมีอยู่ก่อนหน้าทำให้ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ

                   อันที่จริงบรรดาคนรอบตัวต่างก็ลงความเห็นขัดแย้งกับและแนะนำให้จัดตั้งบริษัทใหม่แทนที่จะเอานำเงินจำนวนมากไปเสี่ยงอย่างสูญเปล่า แต่ด้วยความคิดที่จะรักษาองค์กรที่ผู้เป็นพ่อรักอีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่น ดังนั้นเขาจึงยอมไม่ได้เด็ดขาดที่จะปล่อยให้มันล้มละลายไปด้วยน้ำมือของตัวเอง

                   “น่าแปลกที่วันนี้แกกลับบ้านไว”อาทิตย์ทักลูกชายเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องทานข้าวขณะที่กำลังจะเริ่มมื้ออาหาร

                   สามเดือนแล้วที่เขาทำงานหนักเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบและการทำงานต่างๆในบริษัทนานครั้งที่จะกลับบ้านเร็วอย่างวันนี้หลังจากที่เสียเงินไปจำนวนมากเพื่อทวงคืนอนัตไพลินกรุ๊ปกลับมาอยู่ภายใต้อำนาจของตน

                   “พอดีงานเสร็จไวว่าที่ผมคิดเอาไว้ เลยว่าจะมากินข้าวที่บ้านหลังจากที่ไม่ได้กินด้วยกันกับพ่อมานาน”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่เลือนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของผู้เป็นพ่อแล้วนั่งลง

                   “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าแกกำลังทำอะไรอยู่ แต่เห็นแกยังสบายดีอยู่อย่างนี้ฉันก็ดีใจ”

                   “ผมไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก ว่าแต่วันนี้มีอะไรกินบ้าง”หันไปถามแม่บ้านที่กำลังยกชามกับข้าวควันกรุ่นเข้ามา

                   “มีเนื้อตุ๋นยาจีนค่ะ พอดีคุณอาทิตย์อยากทานป้าเลยตุ๋นเอาไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืนวาน”แม่บ้านตอบพลางวางชามเนื้อตุ๋นควันกรุ่นลงบนโต๊ะเบื้องหน้าสองพ่อลูก

                   ทว่าทันทีที่ได้กลิ่นปิญญ์ชานนท์ก็รู้สึกคลื่นเหียนจนแทบจะทนไม่ไหว ความรู้สึกอยากจะอาเจียนทำเอาต้องอุดจมูกแล้วลุกออกจากโต๊ะอาหาร

                   “แกเป็นอะไร”

                   “ไม่รู้เหมือนกัน ผมรู้แค่ว่ามันเหม็นจนรู้สึกคลื่นไส้”ปิญญ์ชานนท์ตอบใบหน้าคมคายยู่หน้าใส่ชามเนื้อตุ๋นเบื้องหน้า

                   “ฉันไม่เห็นว่ามันจะเหม็นอะไร กลิ่นของมันก็ปกติดี

                   “ช่างเถอะ ผมกินอย่างอื่นดีกว่า”ว่าแล้วชายหนุ่มก็ลุกหนีไปนั่งยังเก้ากี้ตัวท้ายสูดของโต๊ะไกลพอที่จะไม่ได้กลิ่นอาหารชามเนื้อฉุนจมูกจนแทบอาเจียนนั่น

                   “ปกติไม่เห็นแกจะบ่นอะไร”อาทิตย์ส่ายหน้าก่อนจะลงมือกินอาหาร ไม่สนใจลูกชายที่ปกติก็ไม่ได้อะไรมากมายกับเมนูอาหารตรงหน้าของเขา

                   “ว่างๆก็ไปหาหมอซะบ้าง”

                   “ผมไม่ได้ป่วยอะไร”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่ตักแกงจืดตรงหน้ากินแทน

                 

                   “ป้ามะลิ ของหวานมีอะไรกินบ้าง”ทันทีที่กินข้าวเสร็จปิญญ์ชานนท์ก็ถามหาขนมหวานแทบจะทันทีทั้งที่ปกติเขาจะไม่แตะของหวานเลยด้วยซ้ำถ้าไม่จำเป็นเรียกให้ทั้งอาทิตย์และแม่บ้านอย่างป้ามะลิเอียงคอมอองออย่างแปลกใจ

                   “เอ่อ มีบัวลอยค่ะคุณปิญญ์ จะรับเลยไหมคะ”

                   “ครับ เอามาเลย”ปิญญ์ชานนท์พยักหน้า “พ่อมองหน้าผมทำไม”หันไปถามผู้เป็นพ่อเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกมอง

                   “ปกติแกไม่กินของหวาน”

                   “ผมก็ไม่เคยสังเกตตัวเอง”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่ “แต่วันนี้รู้สึกว่าผมอยากกิน”

                   “มาแล้วค่ะ บัวลอยไข่หวานถ้าไม่อิ่มป้ามีขนมอาลัวชาววังเพิ่งจะซื้อมาจากร้านเมื่อเช้าสดๆใหม่ๆเลยนะคะป้าเอาใส่โหลไว้เผื่อหนูปลากริมกับหนูสลิ่มจะแวะมาอีก”

                   “ไม่ครับ สองคนนั้นไม่แวะมาแล้ว”แต่เขาจะเอามาอยู่ด้วยให้ได้ต่างหาก

                   “เหรอคะ ป้าเสียดายจัง น่ารักน่าชังกำลังซนเชียว”

                   “ก็ลูกผมนี่ ว่าแต่ขนมอะไรที่ว่าป้ามะลิเอามาให้ผมเลยก็ได้ คิดว่าบัวลอยคงไม่พอ”

                   “ค่ะๆ เดี๋ยวป้าจะไปหยิบมาให้ทั้งโหลเลยแล้วกัน”

                   “แกไม่ได้กินข้าวกลางวันมารึไง กินอย่างกับไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน”

                   “ผมก็กินปกติ”เขาไหวไหล่ ตักขนมบัวลอยหอมกะทิอบควันเทียนเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจ

 

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                   “ผิง ทำอะไรอยู่ลูก”ลำดวนชะโงกหน้าเข้ามาในห้องนั่งเล่นมองดูลูกชายนอนราบกับพื้นบุโฟมกันกระแทกจ้องมองโทรศัพท์ในมือ

                   “พอดีคุณแทนทัพเขาส่งข้อความมาบอกว่าพรุ่งนี้มีเอกสารที่ต้องเข้าไปดู ว่าแต่วันนี้แม่มีอะไรให้ผิงกับเด็กๆกินบ้าง”ขนมผิงยันตัวขึ้นลุกแล้วเอื้อมมือไปยีหัวเจ้าลูกชายแฝดสองแสบไปมาด้วยความหมั่นเขี้ยวจนได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ

                   สามเดือนหลังจากขายหุ้นคืนให้ปิญญ์ชานนท์ เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะปล่อยวางและตัดขาดความสัมพันธ์กับปิญญ์ชานนท์โดยสิ้นเชิง จากที่ทำงานหนักเพราะต้องดูแลกิจการถึงสองฝั่ง อีกทั้งยังต้องคอยระแวงกลัวว่าปิญญ์ชานนท์จะมาเอาคืนจึงทำให้ไม่มีเวลาพอที่จะใส่ใจคนที่อยู่รอบตัวและปล่อยปะละเลยลูกชายจนทำให้ลูกชายรู้สึกแย่กับความเหินห่างที่เกิดขึ้น เขามีผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอีกสามคนซึ่งจะรับงานต่อจากแทนทัพอีกที แต่ละคนก็จะรับผิดชอบงานที่แตกต่างกัน แต่สุดท้ายก็จะสรุปงานแล้วส่งผ่านแทนทัพมาถึงตัวเขาเพื่ออนุมัติตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญ และมันก็เป็นการดีมากเลยทีเดียวที่เขามีเวลาพอที่จะให้กับลูกชายและครอบครัวมากขึ้น

                   “มีพะแนงเนื้อน่ะ ส่วนของเด็กๆก็ต้มจืดกับผัดผัก กับกุ้งทอด”ลำดวนตอบพลางกวักมือเรียกเด็กๆไปล้างมือ

                   “พะแนงเนื้อน่าอร่อยอีกแล้ว”ขนมผิงยิ้มจับให้เจ้าแฝดตัวกลมลุกขึ้นไปหาคุณยายเพื่อล้างมือก่อนทานข้าว

                   ในห้องทานข้าวกับข้าวเริ่มทยอยวางลงบนโต๊ะทีละอย่างจนถึงอย่าสุดท้ายก็คือพะแนงเนื้อ ทันทีที่ควันหอมฉุยคละคลุ้งไปทั่วห้องขนมผิงก็รู้สึกเหม็นจนแทบอยากจะอาเจียนออกมาทันที

                   “เป็นอะไรผิง ไม่สบายอะไรรึเปล่า”พิศนุแตะไหล่ลูกชาย

                   “ผิงไม่เป็นไร ผิงแค่รู้สึกเหม็นแกงพะแนง”

                   “เหม็นอะไรล่ะผิง แม่ไม่เห็นเหม็นอะไรเลยนะ ออกจะหอมใบมะกรูดกับเครื่องแกงขนาดนี้”

                   “แต่ผิงเหม็นเนื้อ”ขนมผิงส่ายหน้าลุกเดินออกไปเพราะทนกลิ่นของอาหารจานเนื้อตรงหน้าไม่ไหวทิ้งให้คนอื่นๆในห้องต่างก็มองตามด้วยความแปลกใจ

 

                   “ไม่เป็นไรนะผิง ทำไมจู่ๆถึงได้เหม็นแกงพะแนงขึ้นมาล่ะ แม่ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรแปลกนี่”ลำดวนเดินเข้ามาในครัวแตะไหล่ลูกชายเบาๆเมื่อเห็นว่าหน้าของลูกชายซีดเผือด

                   “ผิงไม่เป็นไร”

                   “แล้วนี่กินข้าวกินปลารึยังล่ะ”ลำดวนถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่สบายรึเปล่า ลองไปให้หมอตรวจเช็คหน่อยก็ดีนะ”

                   “ผิงไม่เป็นไร ผิงกินข้าวแล้ว แม่ไม่ต้องห่วง”ขนมผิงยิ้มถึงแม้จะยังรู้สึกคลื่นไส้อีกทั้งรู้สึกไม่ค่อยมีแรงขึ้นมาแปลกๆ

                   “งั้นก็ดีแล้ว”

                   “มาแล้วค่ะคุณผิง บัวลอยไข่หวานที่บอกว่าอยากทาน”ป้าแม่บ้านยื่นถ้วยขนมบัวลอยหอยฉุยมาให้

                   “ขอบคุณครับป้านิ่ม”ขนมผิงยิ้มก่อนจะรับชามขนมหวานมาไว้ในมือ

                   “อะไรกัน ยังจะกินของหวานอีกเหรอ”

                   “ผิงอยากกิน เดี๋ยวผิงขอไปกินก่อนนะแม่”ขนมผิงยิ้มให้มารดาก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้ลำดวนมองตามลูกชายด้วยความสงสัยที่เกิดขึ้นอีกครั้ง

                   “เหม็นกลิ่นเนื้อเหมือนครั้งที่แล้วเลย”ลำดวนส่ายหน้าให้กับความคิดมากของตัวเอง

 

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

 

                   “ดูหน้าซีดๆนะครับ”เลขาหนุ่มทักเจ้านายเมื่อใบหน้านิ่งเฉยนั้นซีดเซียวต่างจากทุกที

                   “ก็คงงั้น พักนี้กินอะไรเข้าไปก็ออกมาหมด ของที่เคยกินก็เหม็นจนกินไม่ลง”ปิญญ์ชานนท์ส่ายหน้าพลางตรวจแฟ้มเอกสารตามปกติ น่าแปลกที่ช่วงนี้เข้ารู้สึกทั้งอยากอาหารและก็เหม็นอาหารจนไม่อยากจะกินไปในเวลาเดียวกันโดยเพราะพวกเนื้อวัว แค่เหม็นอาหารยังไม่พอ น้ำหอมราคาแพงที่เคยใช้เขายังต้องเปลี่ยนกลิ่นใหม่เพราะกลิ่นที่เคยใช้มานานนับหลายปีดันมารู้สึกเหม็นเอาตอนนี้ซะได้

                   “น่าจะลองไปหาหมอดูนะครับ”

                   “เมื่อวานฉันแวะไปแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ หมอบอกแค่ว่าพักผ่อนน้อย”ทั้งที่เขาพักผ่อนตามคนปกทั่วไป

                   “นั่นขวดโหลอะไรครับ ผมไม่เคยเห็นมาก่อน”มาลิศถามก่อนจะรับแฟ้มเอกสารที่ยืนกลับคืนมา ขวดโหลใสภายในบรรจุขนมทรงกรวยปลายแหลมอันเหล็กหลากสีเรียกความสนใจให้กับเลขาหนุ่มได้เป็นอย่างดี

                   “นี่น่ะเหรอ ขนมอาลัว นายจะลองกินไหมล่ะ อร่อยกว่าที่เห็น นายน่าจะลองดู”พูดจบก็ดันขวดโหลบรรจุขนมสีสดยื่นไปด้านหน้าเลขา

                   “ปกติผมไม่เคยเห็นคุณกินของพวกนี้ นี่มันหวานมาก”มาลิศขมวดคิ้วเมื่อลองหยิบขนมอันเล็กจิ๋วส่งเข้าปาก

                   “ฉันคิดว่ามันอร่อย”

                   “ครับ คุณว่าไงผมก็ว่าอย่างนั้น”

                   เลขาหนุ่มตอบประชดเล็กๆ กล้าที่จะพูดคุยกันสนิทมากขึ้นกว่าเก่าเมื่อเจ้านายของตนเปลี่ยนไปมาก จากที่เคร่งครัดและเป็นระเบียบอีกทั้งเจ้าอารมณ์ เวลานี้กลับเป็นผู้บริหารหนุ่มอารมณ์ดีพูดคุยกับลูกน้องด้วยท่าทางสบายๆไม่เหมือนเก่า

                   “ว่าแต่เครื่องจักรล็อตใหม่ที่สั่งไปมาเข้ามาเมื่อไร”ปิญญ์ชานนท์เงยหน้าขึ้นมาถาม

                   “อาทิตย์หน้าครับ”

                   “อืม งั้นนายไปทำงานต่อได้แล้ว ถ้ามีอะไรฉันค่อยเรียกอีกที”ปิญญ์ชานนท์ตัดบทเปิดแฟ้มเอกสารออร์เดอร์สั่งผลิตล็อตที่สองที่เพิ่งจะได้มาหลังจากปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจจากผู้ผลิตชั้นต้นเปลี่ยนเป็นผู้ผลิตขั้นตอนสุดท้ายนั่นก็คือแปรรูปสิ่งทอเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ

                   เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้หากเขายังขืนชนกับมณีรัตน์โดยตรงด้วยการขายสินค้าที่เหมือนกัน แน่นอนไม่มีทางที่อนันตไพลินกรุ๊ปจะไปรอก ทางเดียวที่จะไปรอดได้คือการทำอะไรที่แตกต่าง ยอมเป็นฝ่ายที่ก้าวถอยออกมาเพื่อที่จะเดินต่อไปและดูเหมือนว่ามันจะได้ผลดีกว่าที่คาดเอาไว้มากด้วยเครดิตที่เคยทิ้งสร้างทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้

                 

                   --------------------------------------------------------------------------------------------------

มีต่อ



 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 08:01:14 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
ต่อ


                   คุณวุฒิถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวัน ดวงตารีเล็กภายใต้กรออบแว่นจ้องมองนาฬิกาข้อมือเรือนแพงพาลให้นึกถึงรุ่นขนมผิง เวลาที่บนหน้าปัดบ่งบอกว่าเลยเวลานัดมาเกือบชั่วโมงทำเอาคุณวุฒิขมวดคิ้วมุ่นเพราะทนรอคนที่ผิดนัดต่อไปไม่ไหวแล้ว

                   ขากาวก้าวออกจากอาคารฉุกเฉินที่อยู่ด้านหน้าโรงพยาบาลเพื่อเรียกรถแท็กซี่ด้วยที่ไม่ได้เอารถส่วนตัวมาเพราะมีนัดจึงทำให้เขาค่อนข้างที่จะเริ่มหงุดหงิด

                   “คุณหมอ คุณจะไปไหน”เดินออกมาเกือบถึงประตูโรงพยาบาลรถคันหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาขับขนาบข้าง เสียงเรียกที่คุ้นเคยทำเอาใบหน้าขาวสะอาดเบือนหนีไปอีกทางเกร็งคอแข็งด้วยความไม่พอใจที่อีกฝ่ายปล่อยให้เขารอนาน

                   “ขึ้นรถสิครับ”แทนทัพเรียก ทว่าคนถูกเรียกกลับทำหูทวนลม

                   “   ”

                   “คุณหมอโรคจิตครับ ถ้าขืนยังงอนแล้วไม่ยอมขึ้นรถผมจะลงไปฉุดคุณขึ้นรถนะครับ”แทนทัพออกปากขู่พลางหัวเราะในลำคอเมื่อคุณหมอสะดุ้งเล็กๆหันมาเหวี่ยงค้อนวงโตให้

                   “คุณปล่อยให้ผมรอนาน”

                   “ผมขอโทษ โอเคไหม ขึ้นรถได้แล้วครับ คุณไม่หิวรึไง”คำถามนี้ทำให้คุณวุฒิยิ่งขมวดคิ้วมากกว่าเก่าเพราะแขนท้องรออีกฝ่ายมาร่วมชั่วโมงแล้ว สุดท้ายก็เปิดประตูขึ้นมานั่งข้างคนขับจนได้

                   “เห็นแก่ที่คุณกำลังหิว ผมจะยอมยกโทษที่คุณมาสายให้ก็ได้”

                   “ครับๆ คุณหมอ”เลขาหนุ่มส่ายหน้ากับคนวางฟอร์มใส่แล้วขับรถออกไป

 

                   “ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ ไหนคุณบอกผมว่าหิว”

                   “จะทำกับข้าวก็ต้องมีวัตถุดิบสิครับ”

                   “ผมไม่ได้หมายความว่าจะทำเอง”คุณหมอเบ้หน้า เพราะการที่แทนทัพจะทำกับข้าวเองมันหมายถึงการต้องไปใช้ครัวของใครสักคนระหว่างเขากับแทนทัพ ซึ่งการอยู่ด้วยกันสองต่อสองเขารู้สึกว่ามันไม่ค่อยปลอดภัยต่อใจเขาสักเท่าไร

                   “ทำกินเองนั่นแหละครับ ถูกปากที่สุดแล้ว”แทนทัพตัดบทเดินอ้อมมาเปิดประตูรถเพราะคุณวุฒิคงไม่ยอมลงจากรถแน่หากไม่คะยั้นคะยอ

                   จนในที่สุดคุณหมอที่ตอนนี้สมควรจะได้นอนตีพุงสบายใจอยู่ที่ห้องกลับต้องมาเข็นรถเข็นเดินตามเลขา ต่างคนต่างก็แต่งกายด้วยชุดสุภาพเป็นทางการเรียกให้บรรดาแม่บ้านที่มาจับจ่ายของสดต่างก็มองด้วยความสนใจ

                   “ได้ของครบรึยังคุณแทนทัพ”

                   “เรียกชื่อผมเฉยๆก็ได้ครับ ไม่ต้องเรียกซะเต็มยศ”แทนทัพไหวไหล่ยกหัวผักกาดขาวสีเขียวอ่อนขึ้นมาหมุนรอบๆเพื่อหาตำหนิ

                   “ได้ของครบรึยังคุณลูกจ้าง”สรรพนามที่เปลี่ยนใหม่ด้วยความไม่เต็มใจคราวนี้ค่อนข้างจะเจ็บจี๊ดเรียกให้คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยเลยทีเดียว

                   “ครับๆ ใกล้ครบแล้ว เหลือแค่เนื้อสัตว์ครับ”

                   แทนทัพตอบส่งเจ้าหัวผักกาดขาวในมือใส่รถเข็นแล้วเดินนำไปยังส่วนของเนื้อสัตว์ เขาเลือกเนื้อสัตว์ที่แพ็คสำเร็จอยู่ตรงหน้าพักหนึ่ง ความเงียบงันของคุณหมอที่คอยบ่นเรื่องเวลาทำให้ชายหนุ่มแปลกใจเงยหน้าจากแพ็คอาหารขึ้นมามองใบหน้าขาวสะอาดประดับกรอบแว่นคุ้นตา ทว่าแทนทัพก็ต้องชะงักเมื่อดวงตารีเล็กกำลังสั่นไหวเล็กน้อย คุณวุฒิกำลังจ้องมองไปยังอีกฝั่งในโซนเครื่องปรุงที่อยู่ไม่ไกล ร่างสูงโปร่งผิวขาวสะดุดกำลังยืนเลือกเครื่องปรุงอยู่

                   แทนทัพจ้องมองปฏิกิริยาของคุณหมอแน่นิ่ง ทั้งที่ก้อนเนื้อในอกกำลังสั่นไหวแปลกๆ คุณวุฒิทอดมองขนมผิงอยู่ครู่หนึ่งก่อนขายาวจะตัดสินใจก้าวพาตัวเองออกไป แต่เขาก้าวไปข้างหน้าได้เพียงแค่ครึ่งก้าวเมื่อมือใหญ่แตะลงมาที่แขนของเขาแล้วกุมเอาไว้

                   คุณวุฒิหันกลับมามองใบหน้าเรียบนิ่งของอีกฝ่าย แทนทัพส่ายหน้าให้เล็กน้อย คล้ายกับกำลังอ้อนวอน ทว่าคุณวุฒิกลับเลือกที่จะไม่ฟังดึงมือใหญ่ที่กุมแขนของตนไว้ออกแล้วก้าวเดินไปหาใครอีกคนที่เขาไม่ได้เจอมานาน

                   “ผิง”คุณหมอเรียกเสียงเบาเดินมาหยุดที่ด้านหลังของขนมผิง

                   “พี่วุฒิ”

                   “มาคนเดียวเหรอครับ”คุณวุฒิพยายามสร้างรอยยิ้มที่เหมือนกับทุกที แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกว่ามันยากราวกับกำลังฝืนเมื่อนึกถึงภาพของพี่ชายรวมสกุลจูบขนมผิงในวันนั้น

                   “ไม่ครับ ผิงมากับแม่ กับเด็กๆแล้วก็พี่เลี้ยงเด็ก น่าจะอยู่แถวนี้ พอดีผิงมาเดินหาของนิดหน่อย สบายดีไหมครับ”ขนมผิงทักทายพร้อมกับยิ้มกว้าง

                   เป็นยิ้มที่เหมือนเดิมและไม่ได้แต่งแต้มชวนให้นึกถึงวันแรกที่เขาเจออีกฝ่าย

                   “พี่สบายดี แล้วผิงล่ะ สบายดีไหม”

                   “ผิงสบายดี ว่าแต่ทำไมพี่วุฒิถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ผิงไม่คิดว่าจะเจอพี่วุฒิในแผนกอาหาร”

                   “เอ่อ พี่”คุณวุฒิเป็นฝ่ายอ้ำอึ้ง

                   “คุณแทนทัพ”แทนคำตอบของเขาเมื่อขนมผิงเรียกชื่อใครอีกคนที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

                   “มาซื้อกับข้าวเหรอครับ”

                   “ก็ไม่เชิง ผมพาเด็กๆมาเดินเล่นด้วย แล้วคุณล่ะ”

                   “ผมมาซื้อกับข้าว”แทนทัพตอบเสียงเรียบปรายตามองร่างสูงโปร่งข้างกายด้วยสายตานิ่งเฉย

                   “มาด้วยกันเหรอครับ”ขนมผิงถามด้วยท่าทางแปลกใจ ทว่าสิ่งที่คุณวุฒิชิงตอบไปเสียก่อนทำให้แทนทัพนิ่งอึ้ง

                   “เปล่า ต่างคนต่างมาน่ะ”

                   “งั้นเหรอครับ ผิงนึกว่าพี่วุฒิจะมากับคุณแทนทัพ”ขนมผิงยิ้มให้กับทั้งคู่ ถึงแม้ว่าจะนึกแปลกใจเพราะทั้งสองคนดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่เขามองไม่เห็นคั้นอยู่ตรงกลาง

                   “ครับ”

                   “งั้นผิงไปหาแม่กับเด็กๆก่อนนะครับ เดี๋ยวจะรอกันนาน แล้วเจอกันนะครับ”ขนมผิงตัดบท บอกลาแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งสองที่ถึงแม้จะยืนอยู่เคียงข้าง ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือไปสัมผัส แต่ต่างฝ่ายต่างรู้สึกราวกับอีกฝ่ายอยู่ไกลจนแทบมองไม่เห็นกันและกัน

                   แทนทัพคุณวุฒิมาที่คอนโดของเขา ถึงแม้ว่าคุณวุฒิเองจะค่อนข้างแปลกใครที่ครั้งนี้แทนทัพเลือกคอนโดของตัวเองแต่เขาก็เลือกที่จะเงียบดังเดิมตั้งแต่ออกมาจากซุปเปอร์มาร์คเกต

                   คุณวุฒิกดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวีไปช่องแล้วช่องเล่า ทว่ายังไม่มีรายการทีวีช่องไหนดึงดูดความสนใจของเขาไปจากใครอีกคนที่เงียบมาตลอดทาง ตั้งแต่กลับมาถึงห้อง แทนทัพก็เอาแต่ทำอาหารอยู่เงียบๆคนเดียว ไม่มีคำพูดยียวนหรือก่อกวนใจเขาเหมือนทุกที ความอุ่นตรงช่วงแขนที่โดนสัมผัสยังคงอยู่ไม่หายไปไหน เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้ระหว่างเขากับแทนทัพมีบรรยากาศที่น่าอึดอัดเช่นนี้ รู้เพียงแต่เขาไม่ชอบมันเอาซะเลย

                   กระทั่งมื้ออาหารที่ควรจะทำให้ทั้งเขาและแทนทัพอารมณ์ดีกลับกลายเป็นมื้ออาการที่เงียบงัน ไม่มีเสียงพูดคุยต่างออกไปจากเดิม

                   “เอ่อ ขอบคุณสำหรับอาหารนะ ผมจะกลับแล้ว”คุณวุฒิบอกเสียงเรียบลุกขึ้นจากโซฟาเมื่อเห็นว่าแทนทัพจัดการเรื่องในครัวเสร็จเรียบร้อย

                   “ผมไปส่ง”น้ำเสียงที่ตอบบทสนทนากับเขายังคงเรียบเฉยฟังดูน่าอึดอัด

                   “ไม่เป็นไร ผมกลับเองได้”คุณหมอส่ายหน้า

                   “ผมไปส่งเอง”

                   “ผมบอกว่าผมกลับเองได้”

                   “คนของอนันตไพลินหยิ่งแบบนี้ทุกคนรึเปล่าครับ”

                   “คุณพูดถึงอะไร”คุณวุฒิหันขวับกลับมาเมื่อถูกพาดพิงถึงนามสกุลที่ตนไม่ได้ใช้

                   “ชอบยืนอยู่บนความรู้สึกของคนอื่นแบบนี้รึเปล่าครับ”แทนทัพฝืนยิ้มมุมปากจ้องมองใบหน้าขาวสะอาดของคุณหมอ

                   “ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร แต่ถ้าหากจะพาดพิงถึงพี่ชายผมล่ะก็ คุณคงต้องไปพูดกับเขาเอง”

                   “ผมกำลังพูดถึงคุณ”แทนทัพเอื้อมมือกุมมือที่จับลูกบิดไว้ไม่ให้เปิดมันออก ระยะที่ใกล้จนได้ยินลมหายใจซึ่งกันและกันทำให้ความคิดของเขาร้อนรุ่ม ต่างจากคุณหมอที่กลับยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจในความเข้าใจยากของแทนทัพ

                   คุณวุฒิเงยหน้าขึ้นมองตอบดวงตาคมนิ่งของแทนทัพ เริ่มไม่พอใจกับท่าทีกำกวมและใกล้ชิดกันเกินเหตุโดยไม่มีอะไรมาเป็นตัวตัดสินว่ามันคืออะไรแบบนี้

                   “ถอยไป ผมจะกลับ”

                   คุณวุฒิยืดตัวตรง เขาสะดุ้งเล็กๆเมื่อแทนทัพเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ บีบบังคับให้เขาจนมุมอยู่หน้าประตูห้อง เขาถูกกักให้อยู่ในอ้อมแขน ก่อนที่จะเอ่ยถามหรือต่อว่าอะไร ใบหน้าของแทนทัพก็โน้มเข้ามาใกล้จนเกือบชิด จมูกโด่งเป็นสันจรดลงบนจมูกของหมอหมิ่นเหม่ จนคุณวุฒิเริ่มรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ทันราวกับกำลังถูกแย่งอากาศหายใจ

                   ชั่ววินาทีที่สบตาคู่นั้น แว่นตากรอบหนาก็ถูกดึงออกไปจากหน้า เขาไม่รู้ว่าก้อนเนื้ออ่อนนุ่มที่จู่โจมลงมาบนริมฝีปากเขาใช่ปากของแทนทัพหรือไม่ กายสูงใหญ่แนบชิดตึงให้เขาติดอยู่กับประตูห้อง เอวถูกรวบเข้าไปกอดแน่น ลมหายใจของเขากับเลขาหนุ่มกำลังถูกแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ถึงแม้จะตกใจและพยายามผลักดัน ทว่าแทนทัพกลับไม่ปล่อยให้เขาหลุดไปง่ายๆ

                   ตอนนี้คุณวุฒิไม่รู้ว่าแววตาของแทนทัพเป็นอย่างไรในเมื่อภาพตรงหน้ามันทั้งมัวและเบลอจนปะติดไม่ถูก นานนับหลายนาทีที่ลิ้นร้อนตวัดเข้ามาในโพลงปาก เกี่ยวกระหวัดให้จนมุมแล้วจู่โจมราวกับว่ากำลังโกรธเคืองเขาอยู่

                   “อะ อื้อ งือ”คุณหมอเบือนหน้าหนี รู้สึกว่าลมหายใจกำลังจะขาดห้วงหากไม่ผละออกมา แต่ดูเหมือนชายหนุ่มตรงหน้าของเขาจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ รมฝีปากร้อนผ่าวตามลงมาประกบจูบทาบทับดังเดิม

                   นานจนขาเริ่มที่จะอ่อนแรงทรงตัว น้ำลายเริ่มก่อตัวเหนียวหนืดไหลย้อนออกมาที่มุมปาก ในที่สุดแทนทัพก็ยอมผละจูบออกไป แต่ก็ยังคงไม่ยอมคืนแว่นตาให้กับเขา

                   “แฮ่ก วะ แว่นผม”คุณหมอทวงคืน แต่กลับไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ เขาหอบหายใจโกยเอาอากาศเข้าปอดราวกับได้ชีวิตใหม่ ใบหน้าขาวใสแดงระเรื่อไม่รู้ตัว

                   “คุณค้างที่นี่เถอะ ข้างนอกฝนตกแล้ว”

                   “แว่นผม”คุณวุฒิยังคงทวงแว่นคืน ยื่นมือมาด้านหน้า ภาพตรงหน้าพล่าเบลอจนไม่อยากที่จะเสี่ยงก้าวเดินไปไหน

                   “ผมจะคืนให้คุณพรุ่งนี้เช้า”

                   “คุณอย่ามากวนโมโหผมนะ”

                   “ผมไม่ได้ต้องการกวนโมโห ผมแค่ต้องการลงโทษ”ท้ายประโยคกลับพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่วเบา ถึงแม้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิมากพอที่จะทำแบบนี้กับคุณหมอตรงหน้า แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเคืองอีกฝ่ายที่จ้องมองคนอื่นที่ไม่ใช่เขาด้วยสายตาแบบนั้น

                   “ผมไม่ตลกกับคุณ”คุณวุฒิเอื้อมมือควานหาแว่น แต่มือก็ถูกจับเข้าไปกุมไว้ ดึงให้เดินตามไปยังห้องนอน

                   “อาบน้ำกันนะครับ”แทนทัพบอกขณะที่ดวงตาคมกริบกำลังสังเกตกับปฏิกิริยาท่าทีจากอีกฝ่าย แล้วก็ต้องหลุดยิ้มออกมาเมื่อคุณหมอหน้าแดงเรื่อ ท่าทางเก้งก้างเมื่อไม่มีแว่นเรียกให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว

                   “ใครจะไปอาบกับคุณ คืนแว่นผมมา แล้วต่างคนต่างอาบ”

                   “อย่าบอกนะครับว่าคุณไม่เคยอาบน้ำกับผู้ชายด้วยกัน”

                   “นั่นมันก็เรื่องของผม เอาแว่นคืนผมมาสักที”

                   “ใจเย็นๆสิครับ อยู่เฉยๆ”แทนทัพเอ็ด จับให้คุณหมออยู่นิ่ง มือใหญ่ค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของอีกฝ่ายออก

                   “ทะ ทำอะไรของคุณ”

                   “อาบน้ำไงครับ”

                   “ผมบอกว่าผมจะอาบเอง”

                   “จะอายอะไรล่ะครับ ในเมื่อผมเคยเห็น…ทั้งหมดนี่แล้ว”

                   “หยุดพูดสักที”คุณวุฒิยื่นคำขาด ริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากันอย่างเจ็บใจ

                   เสื้อผ้าถูกถอดออกจนหมดเหลือเพียงแค่กางเกงชั้นในขาสั้นแนบเนื้อ ทำเอารู้สึกหนาวๆขึ้นมายังไงไม่รู้ เขาไม่รู้ว่าแทนทัพกำลังมองเขาอยู่หรือไม่ รู้แค่ว่ารู้สึกว่ากำลังถูกดวงตาคู่คมกริบคู่นั้นจ้องมองตลอดเวลา

                   สายน้ำอุ่นค่อยๆไหลผ่านร่างกาย ทั้งที่มันไม่ใช่น้ำเย็นแต่มันก็ทำให้ร่างคุณหมอสั่นเล็กๆได้ แทนทัพจ้องมองร่างกายตรงหน้า ผิวกายของคุณวุฒิขาวสะอาดบ่งบอกว่าเจ้าของดูแลมันอย่างดี กายสูงโปร่งแทบจะไม่มีกล้ามเนื้อเพราะเจ้าของไม่ชอบออกกำลังกายกำลังเรียกให้ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอฝืดเคือง

                   “ผม ทำเองได้”คุณหมอรีบเอื้อมมือมาคว้าก้อนสบู่ที่กำลังถูหลังตนแทบจะทันที หันแผ่นหลังให้แทนทัพ

                   เวลาในห้องน้ำช่างผ่านไปช้าราวกับเป็นชั่วโมง คุณวุฒิถอนหายใจเมื่อสวมใส่ชุดนอนของแทนทัพได้สำเร็จด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ ขาทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มซุกกายลงไปในผ้าห่มผืนหน้า ได้ยินเสียงฝนตกกระทบพื้นระเบียงอยู่ด้านนอกกล่อมให้รู้สึกง่วงขึ้นมา ไม่นานก็รู้สึกว่าเตียงด้านข้างยวบลงไปเรียกให้คุณวุฒิถอยกายหนีเล็กน้อย ทว่าก็ถูกดึงเข้าไปรวบกอดจนตัวเกร็ง

                   เกือบครึ่งชั่วโมงที่นอนตัวแข็งในอ้อมกอดของอีกฝ่ายจนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ คุณวุฒิเงยหน้ามองอีกฝ่ายผ่านความมืดถึงแม้ว่าภาพตรงหน้ามันกำลังพล่าเบลอ

 

                   “ต้องการอะไรกันแน่”เขาพึมพำถามออกไปทั้งที่รู้ว่าแทนทัพไม่ได้ยิน ทั้งที่เขากับแทนทัพใกล้ชิดกันจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่าย แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าเขากลับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่เลย

 

 

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 08:01:58 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
พระเอกเราเริ่มฉลาดแล้ว

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
ตอนนี้เรื่องคืบหน้าไปได้เยอะเลยค่ะ สงสารทั้งขนมผิงและลูกๆ ที่ต้องมาจมอยู่ในปัญหา มันเกิดเพราะปินส์ แต่จริงๆ ถ้าปินส์รเชื่อว่า ผิงท้อง  ปินส์คงไม่เลวขนาดไล่ทั้งแม่ทั้งลูกหรอกค่ะ ถึงจะแค้นก็คงยังรักลูกของตนเองบ้าง แต่เรื่องมันมาจากการที่ปินส์ไม่เชื่อและไม่ยอมรับตัวเอง ถึงตอนนี้รู้สึกว่า ผิงฝังใจมาตลอดว่า ปินส์เลว ทิ้งได้แม้กระทั่งลูกตัวเอง แต่อยากรู้ว่า ถ้ารู้ว่าปินส์ไม่ได้ตั้งใจจะทอดทิ้ง และปินส์ก็รักลูกรักผิง ผิงจะตัดสินใจอย่างไร เพราะหลายตอนที่อ่านแล้วรู้สึกว่า ผิงก็หวั่นไหวมากๆ และลึกๆก็หวังให้ปินส์อ่อนโยนบ้าง

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
มีผู้ชายที่ไหนบ้างล่ะที่ท้อง?  ขนาดคุณวุฒิที่เป็นหมอยังไม่เชื่อ  ถึงเรื่องนี้จะเป็น MPREG แต่ไม่เห็นบอกที่ไหนเลยว่าการที่ผู้ชายท้องได้เป็นเรื่องปกติ   เราถึงคิดว่าปิญญ์ไม่เชื่อที่ผิงท้องไม่ใช่ความผิดที่ใหญ่หลวงขนาดนั้น   พื้นฐานความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่แน่นเพราะเจออคติจากพ่อของปิญญ์ที่โกหก   ปิญญ์เองก็แทบจะไม่เชื่อว่าพ่อตัวเองตอแหล   ตรงนี้เราไม่เหมาว่าปิญญ์ผิดมาก  ขนาดเอกสารที่ตัวเองสั่งให้หามาก็ยังไม่เปิดอ่านเลย  บอกได้มากๆถึงนิสัยของปิญญ์  ที่ไม่สามารถเรียงลำดับความสำคัญหรือจัดระเบียบชีวิตตัวเองได้   ไม่ผิดที่คนอ่านส่วนใหญ่จะเข้าข้างฝ่ายรับหรือนายเอกซึ่งก็เพราะอ่านจากมุมมองของนายเอกเสียมาก    เราว่าปิญญ์ผิดในส่วนอื่นๆ เช่นการดูถูก  การกระทำไม่ดีอื่นๆ เพราะตัดสินใจทำเอง ไม่ใคร่ครวญ  แต่ก็ไม่ใช่คนที่กู่ไม่กลับ     ผิงเองก็เริ่มตาสว่างแล้วแต่ในความรู้สึกของเราผิงยังเด็กมากๆโดยวัดจากการกระทำและความคิดอ่าน   อย่างที่บอกว่าผิงยอมแลกลูกๆกับการได้สัญชาติอังกฤษโดยแลกกับการเป็นหนูทดลองให้รัฐบาลอังกฤษนี่ก็บอกได้เลยว่าเอาส่วนไหนคิด? นี่คือการคิดอ่านของคนเป็นแม่?  ไม่เห็นด้วยค่ะ  ก็คงได้แต่คอยดูกันต่อไป

ในเรื่องการซื้อหุ้นคืน ถ้าเป็นเรานะ  เราไม่ซื้อคืนในราคาสามเท่าหรอก  เพราะที่บอกมาก็คือหุ้นของบริษัทนี้ตกต่ำจนกู้คืนขึ้นมาแทบไม่ได้อีกต่อไปแล้ว   ปิญญ์ควรเก็บเงินรอสอยวันที่ตกต่ำจนผิงต้องขายมากกว่าหรือไม่ก็ตั้งบริษัทเอาใหม่   การรู้สึกผิดหรือการอยากทดแทนไม่ได้หมายความว่าควรยอมทุกอย่าง   การเอาเงินมาลงตรงนี้ทำให้เอาตัวเองไปอยุ่ในมุมจนตรอก   จะเอาอะไรมาสู้กับผิงในเรื่องลูกล่ะ?   ในเมื่อบริษัทนี้เป็นสิ่งที่ผิงต้องการทำลายก็น่าจะปล่อยให้ผิงทำลายไปเสีย จะได้หายกันแล้วมาเริ่มต้นใหม่  ผิงเองก็ไม่น่าจะเดินงานไหวต่อได้ น่าจะท้อง  น่าจะต้องแบ่งเวลาไปให้ลูกด้วย

มีคำผิดหลายคำนะคะ   เช่น รีไรท์   

เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของเนื้อเรื่องและตัวละครแล้วค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
ปิญญ์สู้ๆนะ ทำทุกอย่างให้ดีขึ้นนะ อีก สี่เดือนขนมผิงท้องป่องแน่ๆ ๕๕๕
  รอรออ่านตอนต่อไปคับ ลุ้นๆ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
28 กลลวง

                        “ปะป๊ามาถึงคนสุดท้าย ปะป๊าเป็นลูกหมู คิกๆๆ”เด็กวัยสี่ขวบหัวเราะคิกคักใส่ขนมผิงเพราะว่าเขาแกล้งแพ้ให้กับบรรดาลูกชายที่ชวนกันวิ่งแข่งเข้ามาในบ้านเพราะฝนข้างนอกเริ่มลงเม็ด

                        “ปะป๊าเป็นแม่หมู คิกๆ ปะป๊าแพ้”แฝดอ้วนคนน้องหัวเราะชอบใจปรบมือให้กับตัวเองที่ตัวเองเข้าเส้นชัยคนแรก

                        “โอเค งั้นตามสัญญาพรุ่งนี้ปะป๊าจะพาไปกินไอติมอีก ตกลงไหม”ขนมผิงยิ้มกับลูกชายบ้ายอ ต่างก็คิดว่าวิ่งแข่งชนะเขาได้

                        ฝนข้างนอกเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆโชคดีที่เขาไปรับลูกกลับมาจากโรงเรียนก่อนที่ฝนจกตก ขนมผิงส่ายหน้าเล็กๆถือกระเป๋านักเรียนสองใบเดินตามร่างจ้ำม่ำกิ่งวิ่งกึ่งกระโดดเพื่อจะไปทักทายคุณตาคุณยายหลังกลับจากโรงเรียนตามปกติ

                        “อย่าวิ่งครับเด็กๆ”

                        “ถ้าไม่วิ่งพรุ่งนี้จะกินไอติมได้เยอะรึเปล่าฮะ”ตัวแสบคนโตหันมาต่อรอง

                        “กินได้ครับ ถ้าปลากริมไม่กลัวอ้วนเป็นหมู”

                        “งั้นกิมไม่กินเยอะก็ได้ฮะ กิมจะหล่อๆเหมือนพ่อปิน”เจ้าตัวแสบยิ้มแก้มปริแต่ก็ต้องมุ่ยหน้าเมื่อขนมผิงขมวดคิ้วใส่

                        “หล่อเหมือนปะป๊าก็ได้”เจ้าตัวแสบอุบอิบเดินคอตกตามสลิ่มเข้าไปในห้องรับแขก

                        ขนมผิงถอนหายใจอีกครั้ง หลายครั้งแล้วที่เขาต้องคอยปรามลูกไม่ให้เรียกปิญญ์ชานนท์ว่าพ่อ ต่อให้เขาถอยหลังออกมาจากความโกรธแค้นที่เกิดขึ้น ละทิ้งความเกลียดที่ฉุดดึงเอาความสุขของเขาไปจนเกือบหมด แต่ชื่อของปิญญ์ชานนท์ก็ยังคอยวนเวียนอยู่ในความคิดของเขาอยู่ดี

                        ขนมผิงเดินตามเด็กๆเข้าไปในห้องรับแขก ทว่าโซฟาเบื้องหน้าในห้องรับแขกกลับมีแขกไม่ได้รับเชิญนั่งอยู่ก่อนแล้ว กระเป๋านักเรียนสองใบในมือร่วงหล่นลงพื้นทันทีด้วยความเหม่อลอย

                        “คุ คุณมาทำอะไรที่นี่”ดวงตาสีโศกเปี่ยมด้วยความสุขเมื่อครู่กลับฉายแววเกรี้ยวกราดแทบจะทันที

                        ปิญญ์ชานนท์!! ปิญญ์ชานนท์กำลังนั่งอยู่ตรงนั้น เบื้องหน้าของเขา ในบ้านของเขาบนตักของอีกฝ่ายในตอนนี้กำลังมีเด็กๆปีนขึ้นไปนั่ง ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมนั่นทำให้เขาทั้งโกรธและอิจฉา

                        “กลับมาแล้วเหรอผิง”ลำดวนทักทายลูกชาย

                        “เขาเข้ามาอยู่ในบ้างของเราได้ไง”

                        “แม่กับพ่อออกไปทำธุระมา เห็นว่าเขารถเสียอยู่ในซอยบ้านเรา พอดีใกล้จะมืดแล้ว อีกอย่างฝนก็จะตก แม่ก็เลยให้เขามาหลบฝนข้างในบ้านเราก่อน”ลำดวนอธิบายหันไปหาสามีเพื่อให้สามีช่วยยืนยันคำพูดของเธอโดยการพยักหน้าตอบรับ

                        ขนมผิงหันกลับไปมองชายหนุ่มที่เขาสุดแสนจะเกลียดอีกครั้ง ดวงตาสีโศกวูบไหวกับรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมา รอยยิ้มที่ไม่ใช่การเย้ยหยัน แต่มันดูเป็นรอยยิ้มที่ก่อกวนอารมณ์เขาเสียมากกว่า

                        “ให้เขากลับแท็กซี่ก็ได้”

                        “คุณปิญญ์เขาต้องรอช่างมาซ่อมรถ แล้วฝนก็กำลังจะตก กว่าแท็กซี่จะผ่านเข้ามาในซอยฝนก็ตกพอดี”พิศนุช่วยอธิบาย

                        ทว่ารอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนหน้าของปิญญ์ชานนท์มันไม่มีตรงไหนเลยสักนิดที่ขนมผิงจะคิดว่าอีกฝ่ายจะบังเอิญมารถเสียในซอยบ้านตนแบบนี้

                        “งั้นก็ให้ลุงแม้นไปส่งเขา”

                        “ลุงแม้นเขาขอพ่อกลับบ้านไปต่างจังหวัดเมื่อตอนบ่ายตอนนี้ไม่มีใครอยู่หรอก”

                        “งั้นก็ให้เขายืมรถของเราไปก่อนสิ เอารถผิงไปก็ได้ ทำยังไงก็ได้ให้…”

                        “ผิง!!มานั่งข้างแม่”ลำดวนตัดบนลูกชายเมื่อรู้สึกว่าลูกชายของเธอกำลังเริ่มจะเสียมารยาทกับแขกมากเกินไป ถึงแม้ว่าจะรู้เต็มอกว่าลูกชายของตัวเองเกลียดอีกฝ่ายมากแค่ไหนก็ตาม

                        “งั้นผิงขอตัว”

                        “ผิง แม่บอกให้มานั่งข้างแม่”

                        สุดท้ายขนมผิงก็ต้องทิ้งตัวลงนั่งข้างๆมารดา ไม่วายเรียกให้เด็กๆออกห่างจากปิญญ์ชานนท์แล้วมานั่งกับตนแทน

                        “คุณชอบกินแกงเทโพกับต้มจับฉ่ายไหมคะคุณปิญญ์ วันนี้มื้อเย็นเรามีแกงเทโพกับต้มจับฉ่าย ถ้าไม่รังเกียจก็ร่วมมื้อเย็นกับเราเลยนะคะ”ลำดวนชวนคุย

                        “แม่!”ขนมผิงปรามขึ้นมาแทบจะทันทีแต่กลับถูกลำดวนหยิกเข้าให้ที่บั้นเอวจนสะดุ้งเล็กๆ

                         แค่อีกฝ่ายนั่งยิ้มสบายอารมณ์อยู่ในบ้านของเขามันก็พอแรงอยู่แล้ว แม่เขายังจะชวนกินมื้อเย็นร่วมโต๊ะกันอีก

                        รอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้นั่นไม่ได้บอกเลยสักนิดว่ากำลังรู้สึกผิดหรืออะไรเลย อีกทั้งยังยิ้มตอบพ่อกับแม่ของตนราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อนในอดีตแค่มอก็รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา

                        “ชอบครับ ผมชอบกินกับข้าวที่ใส่กะทิกับเครื่องแกง มันอร่อยดี”ปิญญ์ชานนท์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่วายปรายตามองดูท่าทางไม่พออกพอใจของขนมผิง

                        “นึกว่าคุณจะชอบกินเนื้อซะอีก อันที่จริงผมอยากจะกินพวกเนื้อมากกว่า แต่ไม่รู้ตาผิงเป็นอะไรถึงได้คอยแต่เหม็นเวลามีเนื้ออยู่ในกับข้าว”

                        “น่าแปลกนะครับ พักนี้ผมเองก็เป็นเหมือนกัน ตอนนี้แม้บ้านเลิกทำกับข้าวที่มีเนื้อไปได้พักใหญ่แล้วล่ะครับ”

                        “จริงเหรอคะ บังเอิญจังเลยนะคะเนี่ยที่ตาผิงก็เป็น”ลำดวนยิ้มคอยดึงลูกชายเอาไว้ไม่ให้ลุกหนี

                        เธอทราบดีว่าลูกชายของเธอแค้นเคืองปิญญ์ชานนท์มากแค่ไหน แต่ในเมื่อทุกอย่างจะจบลงเธอก็ต้องการให้มันจบจริงๆอย่างที่เธอต้องการ เธออยากจะให้ลูกชายเลิกอคติกับอีกฝ่ายเสียที

                        ถึงแม้จะรู้ดีว่าไม่มีทางที่ปิญญ์ชานนท์จะมารถเสียในซอยบ้านของเธอหากไม่จงใจ และไม่มีทางที่ขนมผิงจะคุยดีและโยนทิฐิทิ้งไปง่ายๆ หากแต่ปิญญ์ชานนท์ที่ยอมแสร้งทำเรื่องน่าอายแบบนี้เธอจึงทนไม่ได้จริงๆที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

                        และต่อให้ปิญญ์ชานนท์เดินตามลูกชายของเธอมากแค่ไหน ลูกชายของเธอก็เดินหนีไปมากกว่านั้น คนอาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมรู้ดีว่าอะไรคืออะไร ระหว่างลูกชายและผู้ชายคนนี้ ถึงแม้ว่าตอนนี้อาจจะยังไม่แน่ใจและได้แต่คอยดูอยู่ห่างๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะไม่ยื่นมือเข้าไปแก้ไขเรื่องที่มันอาจจะผิดพลาดในอนาคต

                        “พ่อปินจะกินข้าวกะพวกเราเหรอฮะ”ปลากริมถามเสียงใสหลังจากที่ผู้ใหญ่สนทนากันมาพักใหญ่ปล่อยให้เด็กๆวิ่งเล่นไปรอบๆ

                        “ปลากริม!!”ขนมผิงไม่ชอบให้ลูกชายเรียกปิญญ์ชานนท์ว่าพ่อ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็ตาม

                        “ก็ไม่เห็นจะเสียหายนี่ถ้าเด็กๆอยากจะเรียกฉันแบบนั้น”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่ มุมปากยกสูงจงใจยั่วอารมณ์

                        “เด็กๆดูสนิทกับคุณดีนะคะ”ลำดวนยิ้ม ไม่ใช่แค่สนิทกันธรรมดา แต่สนิทกันมากจนผิดสังเกต อีกทั้งยังเรียกปิญญ์ชานนท์ว่าพ่อ

                        “ครับ ผมก็คิดว่าเป็นอย่างนั้น”ชายหนุ่มตอบดึงให้เจ้าตัวกลมที่กำลังปีนขึ้นตักให้มานั่งบนตักแล้วหยอกล้อด้วยท่าทางที่อ่อนโยนต่างจากปิญญ์ชานนท์ในภาพลักษณ์ที่คนอื่นๆคุ้นเคย

                        ลำดวนหรี่ตามองลูกชาย ถึงดวงตาคู่นั้นของขนมผิงจะดูแข็งกร้าวแต่มันก็กำลังไหววูบอยู่ข้างใน เธอหันไปมองที่ชายหนุ่มอีกคนที่เธอรู้จักมาตลอดเวลาที่เธอทำงานอยู่ด้วย เธอรู้ดีว่าปิญญ์ชานนท์ไม่ใช่คนอ่อนโยน และไม่ใช่คนที่จะยอมใครง่ายๆ

                        “นี่ก็ได้เวลามื้อเย็นแล้ว ผมว่าเราไปกินข้าวกันดีกว่านะ ไปเด็กๆ พอมีคนอื่นไม่สนใจตากันบ้างเลยนะ สงสัยคงจะลืมตากันแล้ว”พิศนุโอดครวญเรียกร้องความสนใจ ชายสูงวัยจ้องมองลูกชายอดีตคู่แข่งการค้าเรียกคะแนนความนิยมจากเด็กได้เกินกว่าที่ควรจะเป็นไปมาก มากจนน่าสงสัย

                       

                        “ต้มจับฉ่ายอร่อยไหมคะ”

                        “อร่อยมากครับ”ปิญญ์ชานนท์พยักหน้าหลังจากตักต้มจับฉ่ายเข้าปาก ดวงตาคมกริบเหลือบมองร่างสูงโปร่งนั่งตรงข้าม ขนมผิงยังคงดูไม่พอใจและไม่สบอารมณ์เขาสักเท่าไร แต่นั่นเขาก็คิดไว้แล้วว่ามันจะต้องออกมาในรูปแบบนี้

                        “นั่นขนมผิงเป็นคนทำเอง เห็นลุกขึ้นมาทำตั้งแต่เช้า”พิศนุเสริมให้

                        “ลูกชายบ้านนี้ทำกับข้าวอร่อยดีนะครับ โชคดีที่ผมมีโอกาสได้ชิมฝีมือของเขาอีก”ชายหนุ่มยิ้ม แต่คำว่าอีกทำให้ขนมผิงคิ้วกระตุกขึ้นมาทันที

                        “รีบกินแล้วก็รีบกลับไปได้แล้ว”

                        “ฝนยังตกอยู่”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่ไม่ใส่ใจยิ่งทำให้ขนมผิงหงุดหงิดมากกว่าเก่า อารมณ์แปรปรวนที่ช่วงมีมีมากก็ยิ่งมากเข้าไปอีกเมื่อมันกำลังถูกกวน

                        “ก็แค่เปียก หรือว่าคุณโดนน้ำไม่ได้ล่ะ”พูดตอบกลับทั้งที่ไม่มองหน้า พลางตักอาหารเข้าปาก

                        เขาพยายามไม่สนใจรอยยิ้มนั่น พยายามไม่มองดวงตาคู่นั้น จะไม่ใส่ใจกับความรู้สึกวูบไหวที่เกิดขึ้นมาโดยที่ใจของตัวเองนั้นไม่ยินยอม

                        “ของหวานมีบัวลอย ยังไหวอยู่ไหมคะ”ลำดวนขัดบทสนทนา ที่ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ลูกชายก็ยังคงเป็นฝ่ายบึ้งตึงใส่ก่อนอยู่ดี

                        น่าแปลกที่อารมณ์ของคนหยิ่งทระนงตนอย่างปิญญ์ชานนท์ยังคงคงตัว มิหนำซ้ำถ้าหากว่าเธอไม่เข้าใจผิดล่ะก็ ปิญญ์ชานนท์ตรงหน้ายังดูมีอารมณ์ขันมากกว่าคนก่อนเสียอีก มากกว่าตอนแรกที่ลูกชายของเธอยังไม่กลับมาด้วยซ้ำ

                        “ไหวครับ ของโปรดผมเลยล่ะ”

                        “โกหก คนอย่างคุณน่ะเหรอจะมาชอบของหวาน”

                        “ทำไมล่ะ ดูเหมือนนายจะรู้จักฉันมากกว่าที่ฉันคิดนะ”ปิญญ์ชานนท์ก็ยังคงส่งยิ้มยียวน

                        และมันก็ทำให้ขนมผิงกัดฟันเมื่อประโยคนั้นย้อนคืนตน มันทำให้เขาเหมือนกับคนที่ใส่ใจรายละเอียดของอีกฝ่าย รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายมากกว่าที่ควรจะเป็นในฐานะคนที่เขาควรจะโกรธแค้น และแล้วขนมผิงเลือกที่จะเงียบแล้วตักบัวลอยสีสวยถ้วยที่สองเข้าปาก

                        “ดูเหมือนนายจะหิว”

                        “เรื่องของผม”

                        “ปะป๊า กินบัวลอยอ๊าม”เจ้าตัวแสบคนพี่สะกิด

                        “หลิ่มมั่ง หลิ่มก็กินด้วย อ๊าม”สลิ่มสะกิดบ้าง

                        ทว่าคนๆเดียวมัวแต่ป้อนให้เด็กๆก็พาลจะไม่ได้กิน ปิญญ์ชานนท์หัวเราะในลำคอเล็กน้อย จ้องมองแม่ป้อนขนมให้ลูกแฝดจนตัวเองอดกินอย่างสนใจ

                        “มานี่สิ เดี๋ยวฉันช่วยป้อน”ปิญญ์ชานนท์เรียกสองแฝด

                        “ได้เหรอฮะ”สลิ่มหันขวับยิ้มแก้มปริทั้งที่ก้อนบัวลอยยังเคี้ยวตุ้ยอยู่ในปาก

                        “ได้สิ”

                        “อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง นี่มันลูกของผม”ในที่สุดขนมผิงก็หลุดคำพูดนี้ออกมาอีกครั้ง ซึ่งนั่นมันน่าจะเรียกให้ปิญญ์ชานนท์ไม่พอใจ แต่ปิญญ์ชานนท์ยังคงยิ้ม

                        “ไม่ใช่ลูกของนายคนเดียว”

                        ประโยคกำกวมจากปากชายหนุ่มทำให้ผู้ล่วงเลยเข้าสู่วัยชราทั้งสองนั่งเงียบจ้องมองปฏิกิริยาเหมือนจะเป็นสงครามทางวาจาแต่ก็เหมือนจะไม่ใช่  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นบทสนทนามันกลับมีอะไรเคลือบแคลง

                        ขนมผิงจึงต้องนิ่งเฉยจำยอมไม่อยากแสดงออกถึงอารมณ์ของตัวเองมากกว่านี้เพราะว่าถูกพ่อแม่คอยจับตามองอยู่ไม่ไกล ไม่รู้ว่าปิญญ์ชานนท์จะมาไม้ไหนกันแน่ แต่ความลับที่ปิดเอาไว้มันยังคงค้ำคอเหม็นชักติดหลังบังคับไม่ให้ขยับไปไหนได้ง่ายๆ

                        -8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-8-

 

                        “คิดว่าพายุน่าจะเข้านะคะ คุณคงไม่ได้กลับบ้านง่ายๆ เดี๋ยวดิฉันจะให้ตาผิงพาไปที่ห้องรับรองแขกชั้นบนนะคะ”

                        “ทำไม่แม่ไม่พาไปเองล่ะ”

                        “เดี๋ยวแม่จะเอาเด็กๆไปอาบน้ำนอน”

                        “ผิงทำเอง”

                        “อย่ามาดื้อกับแม่ โตๆกันแล้วนะผิง”ลำดวนเอ็ดลูกชาย

                        “ก็ได้”ขนมผิงจำยอม พูดจบก็เดินหนีไม่รอคนเดินตาม

                        “ขอบคุณครับ”ปิญญ์ชานนท์หันกลับมาบอกกับลำดวนก่อนจะเดินตามเจ้าตัวไป

                        ลำดวนส่ายหน้ากับคำขอบคุณ เพราะน้อยครั้งจนแทบจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าคำๆนี้หลุดออกมาจากปากชายหนุ่มครั้งสุดท้ายตอนไหน

                       

                        “นี่ห้อง”เปิดประตูห้องรับรองแขกออกอย่างไม่เต็มใจ จงใจเดินหนีทันทีเมื่อส่งแขกเสร็จ คิดว่าจะไปส่งเด็กๆเข้านอนต่อ

                        ทว่าแขนกลับถูกคว้าเอาไว้แล้วดึงเข้าไปหา ขนมผิงเบิกตากว้าง เกือบจะตั้งหลักไม่ทันแล้วถลาเข้าใส่อีกฝ่าย

                        “ทำบ้าอะไร”ขนมผิงผลักอกอีกฝ่าย

                        “ฉันแค่จะถามว่าห้องของนายอยู่ไหน”

                        “เรื่องของผม”

                        “เลิกพูดว่านั่นเป็นเรื่องของนายสักที นายน่าจะลองเปลี่ยนมาเป็นคำว่าเราดู”

                        “คุณต้องการอะไรกันแน่!!”

                        เขากำลังคิดว่าที่ปิญญ์ชานนท์ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้เพราะต้องการจะก่อกวน หรือไม่ก็อาจจะกำลังมาเปิดเผยความจริงทั้งหมดให้ทุกคนรู้ ซึ่งนั่นเขายอมไม่ได้เด็ดขาด

                        “ฉันไม่ต้องการให้ทั้งหมดเป็นเรื่องของนายหรือเรื่องของฉัน แต่ฉันต้องการให้ทั้งหมดเป็นเรื่องของเรา”

                        “ถ้าจะมาเพื่อพูดไร้สาระคุณก็กลับไปเถอะ”

                        ขนมผิงเดินหนี ไม่ใส่ใจคำพูดไล่หลัง ไม่ใส่ใจคำพูดต่อๆมาที่ทำให้รู้สึกว่ากำลังหวั่นไหวไปกับมัน เขาไม่รู้ว่าปิญญ์ชานนท์กำลังต้องการอะไร รู้แค่ไม่อยากจะฟังในตอนนี้ มันเหมือนกับแพงที่สร้างเอาไว้คั่นตรงกลางระหว่างเขากับอีกฝ่ายกำลังจะแตกร้าว

                        ขนมผิงปิดประตูห้องของตัวเองลงกั้นระหว่าเขากับปิญญ์ชานนท์เอาไว้ ไม่วายมองเห็นสายตาของคนตรงหน้า สายตาที่ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังเป็นก้อนหินที่แข็งแกร่งกำลังถูกน้ำหยดลงมาทีละหยดโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อไร

 

                        --------------------------------------------------------------------------------

                        เสียงเคาะประตูทำให้ปิญญ์ชานนท์ชะงักละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือลุกไปเปิดประตู หวังว่าจะเป็นขนมผิงแต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่

                        “เอาน้ำขิงมาให้น่ะค่ะ คืนนี้อากาศน่าจะหนาว”ลำดวนชูถาดให้เห็น

                        “ขอบคุณครับ”

                        ปิญญ์ชานนท์เบี่ยงตัวให้ลำดวนเข้ามาก่อนจะรับเอาถาดน้ำขิงกับจานมะม่วงน้ำน้ำปลาหวานและเสื้อผ้าเอาไว้ แต่ทันทีที่ได้กลิ่นควันจากน้ำขิงกรุ่นจมูก ชายหนุ่มก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาทันที ดวงตาคมกริบหรี่ลงเล็กน้อยพลางยกมือกุมจมูกตนเอง

                        “เหม็นเหรอคะ”

                        “ครับ”ปิญญ์ชานนท์พยักหน้าเรียกให้ลำดวนรีบยกแก้วเซรามิคบรรจุน้ำขิงไปตั้งเอาไว้อีกทาง

                        “น่าแปลกนะคะ เมื่อกี้ยกไปให้ตาผิง รายนั้นเองก็เหม็นอย่างกับอะไรดี”

                        “เขาก็ไม่ชอบเหรอครับ”

                        “แต่ก่อนก็ชอบนะคำ แต่พักนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไรถึงได้เหม็นนั่นเหม็นนี่อีกแล้ว”

                        “ผมเองก็เป็นเหมือนกัน”ปิญญ์ชานนท์รับคำจ้องมองมะม่วงในจานพลันน้ำลายในปากก็เริ่มผลิตออกมามากจนเกือบจะไหลออกมา

                        “นี่มะม่วงน้ำปลาหวานค่ะ พักนี้ผิงเขาชอบกิน ไม่แน่ใจว่าคุณชอบรึเปล่าเลยเอามาให้ด้วยเผื่อดึกๆจะหิว”

                        “ครับ ช่วงนี้ผมอยากกินอะไรเปรี้ยวๆพอดี”

                        “ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันไปนอนก่อนนะคะ ส่วนนั้นชุดนอนตาผิงคิดว่าคุณน่าจะใส่ได้”

                        “ขอบคุณมากครับ”ปิญญ์ชานนท์เอ่ยขอบคุณอีกครั้ง

                        คนบ้านนี้ทุกคนดีกับเขาต่างจากที่เขาคาดเอาไว้ ทุกคนต้อนรับและไม่มีอะไรเคลือบแคลงกับรอยยิ้มที่ส่งมาให้เลยสักนิด ถึงแม้ว่าขนมผิงยังคงเป็นขนมผิงที่ยังคงโกรธเคืองเขาอยู่

                        “คุณลำดวนครับ”ปิญญ์ชานนท์เรียกเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกไป

                        “มีอะไรเหรอคะคะ”

                        “ผม…ขอโทษ”พูดออกไปเพราะรู้สึกว่าอยากจะพูด

                        “สิ่งไม่ดีที่ถูกทับถมลงไปแล้วก็อย่าขุดคุ้ยมันขึ้นมาให้เละเทะเลยค่ะ ปล่อยให้มันสลายไปเป็นปุ๋ย ให้ต้นไม้ได้ออกดอกออกผลดีกว่า”

                        ลำดวนยิ้มปิดประตูลงทิ้งให้ชายหนุ่มจมอยู่กับความคิดตัวเองอีกครั้ง

 

                        ---------------------------------------------------------------------------------
มีต่อ


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 08:03:48 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ปิญญ์น้ำยาดีจริง ผิงก็แม่วัวพันธ์ดี ลูกดกจริงๆ

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
ท้องอีกแล้วๆๆๆๆๆ :mew1:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
แพ้ท้องกันแบบแพคคู่เลย  :hao7:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
ว้าวๆท้องแล้ว ลุ้นคับลุ้น
รอ รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
ผิงท้องครั้งนี้ คิดว่า อารมณ์คนท้องที่ต้องการคนที่เป็นพ่อของลูกใส่ใจดูแลจะเป็นกาวใจชั้นดีที่ทำให้ทั้งคู่คืนดีกันได้นะคะ   คิดว่าครอบครัวจะได้มีทั้งพ่อแม่ลูกสักที ตอนนี้เหมือนทั้งคู่จะลดทิฐิลงไปได้มาก

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
ต่อ


                        ขนมผิงละมือจากขวดโหลใส่ขนมลุกไปเปิดประตูเพราะได้ยินเสียงเคาะ คิดว่าเป็นมารดาของตน ทว่ามือก็ต้องชะงักดันประตูปิดลงทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่ไม่อยากจะเจอ

                        “เดี๋ยวสิ!”

                        ปิญญ์ชานนท์เอามือกั้นประตูเอาไว้ก่อนที่มันจะปิด ชายหนุ่มยิ้มกริ่มกับชุดนอนลายหมีพูของอีกฝ่ายด้วยท่าทางขบขัน

                        “คุณมีธุระอะไร”ขนมผิงถามเสียงแข็งรู้สึกอับอายกับชุดนอนพ่อลูกที่ตั้งซื้อเอามาใส่เพื่อเอาใจเด็กๆเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะทำให้ตนอับอายได้แบบนี้

                        “ฉันไม่รู้ว่านายจะชอบแบบนี้”ปิญญ์ชานนท์กระเซ้า

                        “แล้วคุณเป็นคนประเภทไหนกัน ถึงถอดเสื้อเดินในบ้านคนอื่นแบบนี้”ขนมผิงตอกกลับจ้องมองร่างสูงใหญ่ตรงหน้าอย่างขุ่นเคืองใจ ถึงท่อนล้างจะสวมใส่กางเกงนอนของเขาแต่ท่อนบนกลับเปลือยเปล่าอวดแผงอกล่ำสีเข้มไล่ไปถึงหน้าท้องแบนราบมีมัดกล้ามปกคลุมดูอนาจาร

                        “ฉันไม่ได้ถอด ฉันแค่ใส่มันไม่ได้”ปิญญ์ชานนท์ยกเสื้อนอนที่ลำดวนเอามาให้ขึ้นอวด

                        “นอกจากจะเดือดร้อนชาวบ้านคุณยังจะหน้าด้านอีก”ขนมผิงปล่อยให้ประตูเปิดออกแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อที่จะไล่อีกฝ่ายออกไปโดยเร็วที่สุด

                        ทว่าไม่ทันไรหลังจากได้ยินเสียงประตูห้องปิดลงร่างก็ถูกดึงให้ล้มลงไปบนเตียงโดยมีร่างของอีกฝ่ายรองรับ

                        จมูกโด่งเฉียดเข้ามาที่พวกแก้มอีกแค่นิดเดียวที่ริมฝีปากหยักนั้นจะแตะลงมา ขนมผิงเกร็งตัวไปชั่วขณะแขนทั้งสองข้างถูกกอดรวบให้แนบลำตัวทำให้ไม่สามารถขัดขืนอีกฝ่ายได้ รอยยิ้มกวนอารมณ์ของปิญญ์ชานนท์ยังคงลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า ทำให้ขนมผิงกัดฟันแน่น

                        “คิดจะทำอะไร”

                        “ไม่รู้สิ บางทีฉันอาจจะคิดถึงเวลาที่นอนกอดนายก็ได้”

                        “ไร้สาระ ถ้าคุณไม่ปล่อยผมจะร้องเรียกคนอื่น”

                        “ก็เอาสิ ฉันอยากให้พ่อแม่นายรู้จะแย่ว่าฉันเป็นพ่อของเด็กๆ”ปิญญ์ชานนท์ขู่ หากแต่เขาจะไม่ทำ เขาไม่อยากบังคับขนมผิงไปมากกว่านี้ หากขนมผิงยังไม่พร้อม

                        “หน้าด้าน”

                        “ฉันยอมรับ”

                        “ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาต่อว่าคุณดี คุณจะเอาอะไรอีกในเมื่อผมคืนทุกอย่างให้คุณแล้ว”

                        “ไม่ นายไม่ได้คืนทุกอย่าง สิ่งที่นายปล่อยมันจากมือมันไม่ใช่ทุกอย่าง เพราะทุกอย่างของฉันมันรวมถึงนายและลูกของเรา”

                        “คุณพูดไม่รู้เรื่อง”ขนมผิงเบือนหน้าหนีหลบสันจมูกที่เฉียดลงมาอีกรอบจนมันแตะเข้าที่พวกแก้ม

                        “ฉันพูดไม่รู้เรื่องหรือว่านายไม่คิดจะฟังที่ฉันพูดกันแน่”

                        พูดจบริมฝีปากหยักก็กดจูบลงปิดปากที่กำลังจะเปิดเถียง ขนมผิงขมวดคิ้วมุ่นให้กับลิ้นที่ร้อนสอดเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว มันเกี่ยวกระหวัดดุนดันลิ้นของเขา แต่มันไม่ได้หยาบคายอย่างที่คุ้นเคย แค่มันรู้สึกอ่อนหวานจนทำให้เกือบจะเผลอคล้อยตาม

                        นานนับหลายนาทีกว่าจูบที่ร้อนราวเทียนไขถูกเพลิงลน ขนมผิงหอบหายใจ นานแล้วที่ไม่ได้ถูกจูบ นานแล้วที่ไม่ได้ใกล้ชิด นานจนลืมว่าเคยรู้สึกอย่างไร เพราะว่าตอนนี้ความรู้สึกที่ส่งผ่านมาทางอ้อมกอดมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

                        “นอนเถอะ”ปิญญ์ชานนท์กระซิบก่อนจะกดจูบลงบนขมับของขนมผิง

                        ทั้งที่ไม่น่าจะหลับลงในอ้อมกอดนี้ แต่มันราวกับเป็นเรื่องคุ้นชินเป็นอย่างดี ดึงให้ขนมผิงจมลงสู่ห้วงนิทราได้อย่างง่ายดาย เหลือเพียงแต่ปิญญ์ชานนท์ที่ยังคงลืมตาอยู่ในความมืด

                        มือใหญ่อาศัยช่วงที่อีกฝ่ายหลับใหลสอดเข้าไปในเสื้อ ลูบเอาผิวเนื้อแผลเป็นลอยนูนออกมาอย่างแผ่วเบา

                        อยากจะไถ่ถามว่าเจ็บไหมกับการที่ต้องอุ้มชีวิตที่ไม่ได้เต็มใจให้เกิดมา หากแต่มันคงจะเป็นการดูถูกและตอกย้ำความรู้สึกซึ่งกันและกันในเมื่อตอนนี้เขาและขนมผิงต่างฝ่ายต่างก็ยินดีที่มีชีวิตเล็กๆเกิดมาถึงสองชีวิต

 

                        -----------------------------------------------------------------------------------------

 

                        ขนมผิงลืมตาขึ้นมาอีกทีในเวลารุ่งสางเหมือนกับทุกวัน หากแต่ว่าวันนี้ไม่เหมือนกับทุกวันเมื่อดวงตาสบเข้ากับแผงอกแข็งแรงในระยะประชิดจนแทบจะทิ่มกับจมูก พอนึกได้ก็ผละกายออก ทว่าแขนที่โอบรัดบั้นเอวเอาไว้ดึงรั้งให้เขาผละออกไปจากชายหนุ่มไม่ได้

                        “ปล่อย”

                        บอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเบือนหน้าหนีเมื่อใบหน้านั้นโน้มลงมาใกล้

                        “ตื่นแล้วเหรอ หน้านายตอนหลับนี่น่าดูกว่าที่คิด หรือว่าแต่ก่อนฉันไม่ทันได้สังเกตกันนะ”นี่คือคำพูดยามเช้าที่ค่อนข้างจะกวนอารมณ์ให้ขนมผิงไม่พอใจเพราะมันบ่งบอกว่าปิญญ์ชานนท์ตื่นก่อนเขาและจ้องเขาอยู่นานแล้ว

                        “กลับบ้านคุณไปสักที อย่ามาแย่งคนอื่นเขาหายใจอยู่อย่างนี้มันน่ารำคาญ”

                        “ฉันไม่เห็นจะรำคาญ”โอบรัดเอวนั้นแน่นขึ้นทำให้ร่างสูงโปร่งแนบชิดกับตน แก่นกายแข็งขืนรับอรุณตามธรรมชาติเสียดสีกันไปมาเรียกให้ขนมผิงหน้าชาเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ

                        แล้วในที่สุดขนมผิงก็ตัดสินใจดันอกชายหนุ่มออกสุดแรงยกเข่าขึ้นมากระแทกไปที่ส่วนนั้นของปิญญ์ชานนท์ ถึงไม่แรงมาก แต่มันก็พอที่จะสั่งสอนแล้วทำให้ชายหนุ่มปล่อยเขาออกจากอ้อมแขนเสียที

                        “หวังว่าผมออกมาจากห้องน้ำแล้วจะไม่เจอคุณ”ปลายตามองอีกฝ่ายด้วยความพึงพอใจกับท่าทีคุดคู้เหมือนจะเจ็บจุกแบบนั้น ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

                        “ขนมผิง นายกล้าทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง”

                        เสียงกัดฟันดังไล่หลัง ทว่าขนมผิงกลับเลือกที่จะทำเป็นไม่ใส่ใจ ความอบอุ่นที่เขารู้สึกได้เวลาที่ถูกอีกฝ่ายกอดนั้นคืออะไรกันแน่

 

                        ทางด้านชายหนุ่มร่างสูงได้แต่นอนคู่กายกุมของรักเอาไว้ ไม่เจ็บมากแต่ก็จุกเลยทีเดียวสำหรับเขา ทำไมแม่ของลูกถึงได้ร้ายนักทำให้เขาได้เจ็บใจอยู่ตลอด

                        “พ่อปินเป็นอะไรเหรอฮะ”เสียงใสร้องทักวิ่งเข้ามาในห้อง     

                        “พ่อปินทำไมอยู่ห้องปะป๊าล่ะฮะ”

                        “ตื่นกันแล้วเหรอ”ปิญญ์ชานนท์อ้าแขนรับเจ้าสองแฝดที่ปีนขึ้นมาบนเตียงแล้วโถมเข้าใส่

                        ดูเหมือนว่าเด็กๆจะโตกันเร็วเกินไปทำให้เขาเกือบจะหงายหลังลงไปเพราะน้ำหนักของลูกหมูสองตัวที่โถมลงมา

                        “เมื่อคืนนอนที่นี่เหรอคะ”ลำดวนผงะเล็กน้อยเมื่อเปิดประตูห้องลูกชายแล้วพบชายหนุ่มในสภาพกึ่งเปลือยบนเตียงลูกชาย

                        “ครับ พอดีผมไม่ค่อยคุ้นสถานที่”ตอบกลับไปโดยไม่ลังเล

                        “งั้นฝากเด็กๆสักครู่นะคะ ตั้งหม้อข้าวต้มเอาไว้กลัวจะเดือดจนล้นเอา”

                        “ได้ครับไม่มีปัญหา ใช่ไหมลูกหมู”ปิญญ์ชานนท์ยิ้มรับเอามือผลัดกันยีหัวเจ้าเด็กแฝดไปมาหยอกล้อด้วยความเอ็นดู

                        “ฮะ/ฮะ”

                        “ขอบคุณมากค่ะ”ลำดวนยิ้มให้ เธอรู้สึกพอใจแปลกๆที่เห็นเด็กๆเข้ากับปิญญ์ชานนท์ได้ดี มันเหมือนมีอะไรที่มองไม่เห็น แต่ก็จะฟันธงอะไรในเวลานี้ไม่ได้

                        “พ่อปินฮะ”ปลากริมกระตุกแขน

                        “ว่าไง”

                        “พ่อปินพาพวกเราไปเที่ยวหน่อยได้ไหมฮะ”

                        “ได้สิแล้วอยากไปไหนกันล่ะ”

                        “กิมอยากไปเล่นม้าหมุนฮะ”ใบหน้ากลมแป้นฉีกยิ้มกว้างปีนขึ้นมานั่งบนตัก

                        “ได้สิฉันจะพาไป”

                        “แล้วกินไอติมได้ไหมฮะ”คราวนี้เจ้าแฝดคนน้องปีนขึ้นมานั่งบนตักอีกฝั่งเงยหน้าขาวแก้มป่องจ้องมองด้วยความสงสัย

                        “ได้สิ”

                        “แต่ปะป๊าบอกว่าถ้ากินไอติมเยอะจะกลายเป็นลูกหมู”สลิ่มเอียงคอทำแก้มป่อง

                        “งั้นเหรอ แต่มันก็จริง ถ้าพวกเธอกินเยอะก็จะอ้วนเป็นลูกหมูแล้วปะป๊าของพวกเธอก็จะกลายเป็นแม่หมู”

                        ประโยคสุดท้ายชายหนุ่มจงใจปรายตามองร่างสูงโปร่งในชุดคลุมอาบน้ำส่งยิ้มเล็กๆไปให้อีกฝ่ายอย่างจงใจ

                        “หน้าด้านจริง”ขนมผิงอุบอิบขมวดคิ้วจนคิ้วแทบจะชนกัน

                        ปิญญ์ชานนท์คงยังอยู่ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องสักทีมิหนำซ้ำยังมาตีสนิทกับลูกๆอีก

                        “ปะป๊า พ่อปินบอกจะพากิมกะน้องหลิ่มไปเล่นม้าหมุน”ลูกก็พอลูกบอกแล้วไม่เคยฟังว่าห้ามเรียกปิญญ์ชานนท์ว่าพ่อ

                        “เดี๋ยวปะป๊าพาไปเอง เขาต้องไปทำงาน ใช่ไหม งานคุณน่าจะเยอะจนล้นมือนี่”

                        “ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ใช่ แต่ตอนนี้ไม่ สำหรับครอบครัวแล้วเวลาของฉันมีเหลือเฟือ”

                        คำว่าครอบครัวทำให้หัวใจของขนมผิงกระตุกวูบเหมือนร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกรอบ เขาไม่ได้คิดไปเองว่าปิญญ์ชานนท์จงใจใช้คำนี้

                        “นะฮะปะป๊า ไปเล่นม้าหมุน”

                        “ปะป๊า ไปนะฮะไปเล่นม้าหมุนกัน”

                        เจ้าสองแฝดส่งสายตาอ้อนวอนกันสุดฤทธิ์ ดวงตากลมโตกระพริบตาปริบๆจ้องมองมาที่เขาอย่างมีความหวัง

                        “ก็ได้ แต่”

                        “จะแต่อะไรของนายอีกรีบแต่งตัวได้แล้ว แล้วก็หาเสื้อผ้าเตรียมไว้ให้ฉันด้วยล่ะ ฉันจะอาบน้ำแล้ว”ยิ่งกวนอารมณ์ยามเช้าของขนมผิงให้ได้ขุ่นเข้าไปใหญ่ด้วยคำสั่งที่เอาแต่ใจเหมือนเคย

                        “เย้ ไปเล่นม้าหมุน ม้าหมุน กั๊บกั๊บ”

                        “ได้เล่นม้าหมุนแล้ว เย้ ไปกับปะป๊าไปกับพ่อปิน”

                        สองแฝดพากันกระโดดดีใจในขณะที่พ่อและแม่ต่างก็มองตากัน คนหนึ่งไม่พอใจแต่หัวใจกำลังวูบไหวแต่อีกคนกลับกำลังพึงพอใจรู้สึกถึงความสุขที่ไม่เคยมี

                       

                        -------------------------------------------------------------------------------------

                       

                        “ปะป๊า อันนั้นอะไรเหรอฮะ น่าอร่อยจังเลย”เสียงใสใสของคนพี่ถามพลางชี้ไปที่ร้านขายขนมสายไหมสีหวานดูฟูนุ่ม

                        สองแสบมองตามพากันน้ำลายสอกับเจ้าน้ำตาลฟูเสียบไม้น่ากิน

                        “อันนั้นเรียกว่าสายไหมครับ แต่กินแล้วจะฟันผุ”ขนมผิงบอกลูกชาย

                        “ถ้าไม่อยากให้ฟันผุก็แค่แปลงฟัน”ปิญญ์ชานนท์แย้งเหยียดยิ้มเล็กน้อยจ้องมองมาทางเขา

                        “ถ้าคุณไม่ยุ่งสักเรื่องจะเป็นอะไรไหมครับ”

                        “ก็ให้ลูกลองกินไม่เห็นจะเป็นอะไร”

                        “มันเป็นขนมไม่มีประโยชน์”คุณแม่ขมวดคิ้วเผชิญหน้ากับคุณพ่อ

                        เกิดศึกเล็กๆโดยที่เดิมพันเป็นขนมสายไหมสีสวยที่พาให้เจ้าสองแฝดน้ำลายสอ ขนมผิงจ้องตาปิญญ์ชานนท์เขม็ง แค่ทำท่าเหมือนมากันเป็นครอบครัวมันก็พอแรงอยู่แล้ว

                        “กินนิดกินหน่อยจะเป็นอะไรไป”

                        “คุณอย่าสอนให้เด็กๆได้อะไรง่ายๆได้ไหม”

                        “ได้ง่ายๆมันก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยไม่ใช่รึไง”ชายหนุ่มตอบ

                       

                        ปลากริมจับมือของขนมผิงเอาไว้เงยหน้ามองปะป๊าของตัวเอง สลิ่มเองก็เช่นกัน จับมือปิญญ์ชานนท์เอาไว้แล้วมองหน้าชายหนุ่ม นานนับหลายนาทีกว่าศึกที่รู้อยู่แล้วว่าใครจะชนะจะจบลง

                        สองแฝดยิ้มแก้มปริกัดขนมสายไหมหวานล้ำเข้าปากเคี้ยวตุ้ยท่าทางเอร็ดอร่อยอยู่ตรงม้านั่ง เบื้องหน้ามีปิญญ์ชานนท์กับขนมผิงยืนกอดอกเฝ้าอยู่ไม่ห่าง

                        “ถ้าลูกผมฟันผุล่ะก็เป็นเพราะคุณ”

                        “ลูกของเรา”ปิญญ์ชานนท์แก้ “แล้วก็สายไหมไม้เดียวแบ่งกันกินแค่นี้ไม่ได้ทำให้ฟันผุง่ายขนาดนั้นหรอกนะ นายกลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง”

                        “เป็นห่วงไม่ได้หมายความว่ากลัว”

                        “มันจะต่างกันสักเท่าไรเชียวหากว่านายห่วงมากเกินไป จริงไหม เช็ดปากหน่อยสิ”ชายหนุ่มย่อตัวลงเช็ดคราบน้ำตาลละลายติดมุมปากเจ้าสองแฝด

                        ขนมผิงถอนหายใจอีกรอบ หลายครั้งแล้วที่ปิญญ์ชานนท์ชอบทำตัวเหมือนกับเป็นพ่อที่ดีทั้งที่ไม่ใช่มาตั้งแต่แรก

                        “ไม่เอาแล้วฮะ มันหวาน ไม่ชอบแล้ว”ยื่นไม้ขนมสายไหมให้กับชายหนุ่ม

                        “เห็นไหมผมบอกแล้วว่ามันไม่ได้เรื่อง”ขนมผิงทับถมทันที ทำตัวเหมือนกับแม่ที่คอยเป็นห่วงลูกไปซะทุกเรื่อง

                        “อย่างน้อยก็ได้ลอง จะได้รู้ว่าไม่ชอบเพราะอะไร นายก็น่าจะกินดู”

                        ไม่รอให้ขาดคำขนมสายไหมฟูฟ่องก็จิ้มเจ้าที่ริมฝีปากบางจนมันละลายติดหนึบเป็นคราบเพราะหลบไม่ทัน

                        เด็กๆหัวเราะกันคิกคักกับคราบน้ำตาลที่ติดบากขนมผิงไม่เว้นแม้กระทั่งปิญญ์ชานนท์เองที่หัวเราะในลำคออย่างพอใจที่แกล้งเขาได้

                        “ทำบ้าอะไร”

                        ขนมผงยกมือขึ้นจะเช็ดคราบน้ำตาลที่ปากออกทว่ามือใหญ่ก็ชิงเกลี่ยนิ้วลงมาเช็ดให้ที่ริมฝีปากก่อนแล้ว

                        ราวกับวินาทีนั้นเนิ่นนานที่ดวงตาสีโศกสบตาเข้ากับดวงตาคมกริบนัยน์ตาวาววับนั่น มันเกลี่ยเช็ดคราบน้ำตาลที่ติดออกไปอย่างอ่อนโยน และก็เป็นอีกครั้งที่หัวใจดวงเล็กในอกมันรู้สึกวาบหวิว

                        “หวานไหมล่ะ”ไม่พอแค่นั้นแต่ปิญญ์ชานนท์กลับทำให้ขนมผิงรู้สึกไม่พอใจมากกว่าเดิมเมื่อชายหนุ่มแลบลิ้นเลียนิ้วติดคราบน้ำตาลที่เช็ดออกไป

                        ความรู้สึกที่จู่โจมภายในเวลาไม่กี่วินาทีมันมากพอที่จะทำให้ขนมผิงเดินหนีเพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่

 

                        ทั้งที่ควรจะเกลียดชังและเคียดแค้นแต่ตอนนี้มันเหมือนกับว่าความรู้สึกนั้นได้ถูกมือที่มองไม่เห็นช่วงชิงเอาไป มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ระหว่างเขากับปิญญ์ชานนท์

 

 --------------------------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 08:04:36 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด