❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

คุณทีมใคร????

ทีมปิญญ์ # หล่อเลวแบบนี้ใช่เลย จัดหนักจัดเต็ม
26 (15.3%)
ทีมขนมผิง # แกมาทำร้ายชั้นเรอะ ไม่ยอม ฉันจะเอาคืน
38 (22.4%)
ทีมแฝดลูกหมู # ปล่อยให้พ่อๆไปเคลียกันเอง มุ้งมิ้งกันสองคน
106 (62.4%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 170

ผู้เขียน หัวข้อ: ❖กุหลาบซ่อนหนาม❖ Mp+ตบจูบ ❖ บทส่งท้าย : อาลัว บัวลอย ❖ 06-02 ❖  (อ่าน 291652 ครั้ง)

ออฟไลน์ เอมมี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 572
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เมื่อไรจะสวีทหวานกัน

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
น่ารักจังเลย ตั้งแต่ที่ปิญญ์แพ้ท้องตามผิงแล้ว นี่ลูกในท้องยังหวงผิงอีก :-[

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ความสัมพัส่อแววดีขึ้นนะจ๊ะ คึๆ o13

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
555555 หวงคุณแม่ซะงั้น

ออฟไลน์ kitwiphat

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-7
สนุกมากเลยครับผม :katai2-1: :katai1:แต่คำผิดเยอะ

ออฟไลน์ kitwiphat

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-7

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
30 ขอร้อง


   ถ้าหากใครผ่านมาเห็นชายหนุ่มที่นั่งยิ้มให้กับแท่งสีขาวทรงยาวในซองพลาสติกใสอย่างปิญญ์ชานนท์คงหาว่าเขากำลัง
เป็นบ้าแน่

   ชายหนุ่มนอนเหยียดขาไปตามความยาวของโซฟาตัวใหญ่ในห้องรับแขกของบ้านอนันตไพลิน เขายังจดจำวันที่ได้รับของ
ชิ้นนี้มาอยู่ในมือ เป็นสิ่งของที่ดูเหมือนไร้ราคาแต่มันกลับมีค่ามากมายสำหรับเขาในเวลานี้ แถบตรวจตั้งครรภ์ที่แสดงผลตรวจขึ้น
มาสองขีด ช่างเป็นวันที่มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายในคราวเดียวกัน

   เรื่องที่เป็นเรื่องร้ายก็คงจะไม่พ้นเรื่องที่ทำเอาเขาแทบบ้าเพราะถูกพ่อของขนมผิงปฏิเสธแบบไม่เหลือเยื่อใยถึงแม้จะ
เป็นการปฏิเสธอย่างสุภาพก็ตาม ส่วนเรื่องดีที่ทำให้เขาลืมเรื่องที่ถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้ลูกชายของบ้านนั้นก็คงจะเป็นเรื่องที่เขา
ได้รู้ว่าขนมผิงกำลังตั้งท้อง หลายวันแล้วที่ใช้เวลาว่างนอนยิ้มไปกับแถบแท่งตรวจในมืออย่างมีความสุขราวกับคนเสียสติ

   ต้องขอบคุณคนที่เขาส่งให้คอยตามดูขนมผิงอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดที่เก็บสิ่งนี้มาจากห้องน้ำโรงพยาบาลแล้วเอามาให้เขา
ทำให้เขาสืบจนได้ผลตรวจที่แน่นอนมาจนได้



   “แกเป็นบ้าอะไร นอนยิ้มคนเดียวอยู่ได้”



   เสียงไม้เท้ากระทบพื้นไม่ได้ปลุกปิญญ์ชานนท์จากภวังค์ แต่เป็นเสียงกระแนะกระแหนของผู้เป็นพ่อมากว่าที่ทำให้เขาหุบ
ยิ้มลงมาเล็กน้อย แต่มันก็ยังคงหลงเหลือรอยยิ้มระรื่นประดับอยู่บนใบหน้าคมคายอยู่

   “ผมไม่ได้บ้า พ่อก็รู้”

   “ใช่ฉันรู้ว่าแกไม่ได้บ้า แต่เมื่อไรแกจะจัดการเรื่องที่ทำให้แกนอนยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนเป็นคนบ้าสักที”


   “นั่นสินะ ผมเองก็อยากให้พ่อช่วยอะไรผมอย่างสักอย่าง”



   ----------------------------------------------------------------------------------------



   ขนมผิงถอนหายใจออกมาแรงๆเฮือกใหญ่เมื่อผู้ชายที่เวลานี้เข้ามาก่อกวนชีวิตของเขาจนวุ่นวายยืนพิงรถรอเขาเหมือนกับ
หลายวันที่ผ่านมาไม่มีผิด ต่างกันก็แค่วันนี้เป็นวันหยุดเด็กๆไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่จำเป็นที่ปิญญ์ชานนท์จะต้องมาที่นี่ไม่ใช่รึไงกัน

   ขนมผิงเดินผ่านปิญญ์ชานนท์ไปเปิดประตูรถ และก็เหมือนเดิม มือที่เขาคุ้นเคยกับหลายวันที่ผ่านมาเอื้อมมาดันประตูเอา
ไว้ไม่ให้เปิดออก


   “วันนี้วันหยุด เด็กๆไม่ได้ไปโรงเรียน คุณคงจะประสาทหลอนจนหลงลืมวัน”

   “ฉันรู้ ฉันมาชวนนายไปกินข้าวด้วยกัน รู้สึกว่าบังเอิญคิดถึงกับข้าวฝีมือนายขึ้นมา”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่ยกยิ้มขึ้นมา
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวันนี้ยืนรออีกฝ่ายจนเมื่อยขาเพราะวันนี้เด็กๆไม่ได้ไปโรงเรียนเลยไม่จำเป็นที่ขนมผิงจะต้องรีบเลิกงานไปรับ
เด็กๆเหมือนทุกวัน

   “กลับบ้านไปนอนฝันเถอะ”สบถเล็กๆก่อนจะเดินหนีอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะต้องจอดรถทิ้งไว้หน้าบริษัทมาหลายวันติด



   “นายกำลังจะไปไหน”ปิญญ์ชานนท์รีบจ้ำเท้าเดินตามมาติดๆ สมกับเป็นขนมผิง ถึงช่วงนี้จะไม่ตอบโต้แต่ก็จะใช้วิธีเงียบใส่
หรือเดินหนีอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด


   “ต้องการอะไรกันแน่”ถามทันทีเพราะถูกดึงแขนเอาไว้ไม่ให้เดินหนี ดวงตาคู่คมสวยตวัดมองปิญญ์ชานนท์อีกครั้ง ไม่

เข้าใจว่าคนคนนี้จะมาตามติดชีวิตของเขาเพราะอะไรกันแน่ในเมื่อเขาก็ยอมที่จะถอยออกมาแล้ว

   “ฉันก็บอกนายไปแล้ว ว่าฉันอยากกินกับข้าวฝีมือนาย”

   “ไร้สาระ”

   “ไปเถอะน่า วันนี้นายเองก็ไม่ต้องรีบไปรับลูกนี่”บอกพลางจับแขนขนมผิงเอาไว้แน่นเพราะเจ้าตัวยังไม่ยอมอยู่นิ่งๆให้จับ
ง่ายๆ

   “ผมไม่ไป”

   “ไปเถอะนะขนมผิง ฉันอยากจะกินข้าวกับนาย…แค่สองคนดูบ้าง”เท่าที่จำได้ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะมีโอกาสกินข้าวกับ

ขนมผิงตามลำพังโดยไม่มีคนอื่น

   “ขอปฏิเสธ”

   “ไปเถอะน่า ฉันขอร้อง”ปิญญ์ชานนท์ดึงยื้อขนมผิงเอาไว้ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ แต่สิ่งที่ทำให้ขนมผิงหยุดและยอมเดินตาม
ปิญญ์ชานนท์ไปที่รถของอีกฝ่ายไม่ใช่เพราะว่าถูกดึงให้เดินตาม แต่เป็นเพราะคำว่าขอร้อง

   ปิญญ์ชานนท์ข้อร้องเขาอย่างนั้นหรือ? ถึงใบหน้าจะแย้มยิ้มออกมาเหมือนกำลังก่อกวน แต่นัยน์ตาคู่คมคู่นั้นปฏิเสธไม่ได้
เลยว่าแสดงออกมาอย่างที่พูดจริง คนอย่างปิญญ์ชานนท์ขอร้องคนอื่นเป็นตั้งแต่เมื่อไร



   “ไหนคุณบอกว่าจะไปกินข้าว แล้วแวะมาที่นี่ทำไม”อดถามด้วยอารมณ์ไม่พอใจไม่ได้ เข้าใจว่าคนท้องหงุดหงิดง่ายก็ช่วงนี้
ที่มีอีกฝ่ายมาคอยก่อกวน

   “ก็บอกแล้วไงว่ารู้สึกคิดถึงกับข้าวฝีมือนายขึ้นมา”ตอบพลางวนรถจอดหน้าซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆหลังจากขับรถออกมานาน
ร่วมชั่วโมง

   “ใครเป็นคนบอกว่าผมจะทำกับข้าวให้คุณกิน”

   “เถอะน่า มาถึงขนาดนี้แล้ว นายจะดื้ออีกทำไม หงุดหงิดง่ายไปรึเปล่า”ปิญญ์ชานนท์พูดเหมือนตัดบทแล้วเดินลงจากรถ
ไป

   “เกิดหน้ามึนอะไรขึ้นมา”คนในรถสบถอีกครั้งพลางกอดอกจ้องมองชายหนุ่มเดินอ้อมมายังประตูรถด้านข้างคนขับ

   “ลงมาได้แล้วคุณแม่”

   “จะดีมากถ้าคุณจะเลิกเรียกผมแบบนั้น”

   “นายเองก็เลิกขมวดคิ้วสักที ฉันไม่ได้พานายมาฆ่า”ไม่พูดเปล่านิ้วชี้ยาวจิ้มลงมากลางหน้าผากของขนมผิงแล้วจงใจขยี้ไป
มาเมื่อไม่ยอมลุกออกจากรถ แต่ก็ถูกปัดออกทันที

   

   ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เมฆเริ่มก่อตัวครึ้มทำท่าว่าฝนจะตก อีกทั้งเวลาที่เย็นจัดจนเกือบจะมืดทำให้ทั้งในรถทั้งถนนเงียบงัน
มีเพียงเสียงเพลงเบาๆเปิดคลอ

   “ตอนนี้นายสบายดีไหม เจ็บหรือปวดตรงไหนบ้างหรือเปล่า”ถามขึ้นมาเมื่อต่างฝ่ายต่างเงียบอยู่นาน


   “ทำไมจู่ๆถึงได้ถามขึ้นมา?”ช่างเป็นคำถามที่บ้าบอไม่รู้จุดประสงค์อะไรสักอย่าง
   “ก็แค่อยากถาม”


   “ไม่”

   “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”รู้ว่าคำตอบที่ตอบมาไม่ใช่ไม่เป็น แต่คือไม่บอกต่างหาก ถึงอย่างนั้นเขาเองก็รอให้ขนมผิงเป็นฝ่าย
บอกกับเขาเองด้วยความยินยอมโดยไม่ต้องคาดคั้นถามมากกว่า  ปิญญ์ชานนท์เลี้ยวรถจอดยังที่จอดรถในตึกของคอนโดของ
เขา

   

   “คอนโดของฉันเอง”บอกเมื่อเห็นว่าขนมผิงมีท่าทีสงสัย แต่ก็ได้รับคำตอบทางสายตาที่เหมือนกับคำว่า“ไม่ได้ถาม”ตวัด
กลับมาทันที

   ห้องชุดขนาดใหญ่เป็นอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียวที่หลงเหลืออยู่หลังจากที่เขากัดฟันจำยอมต้องขายทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่มีมูลค่าไปเกือบหมดเพราะพิษสงของใครบางคนที่เล่นเอาเขาเกือบจะหมดตัว

   “ฉันไม่ค่อยได้มา ครั้งแรกกะว่าจะขายไปซื้อหุ้นราคาขูดรีดจากคนขายเขี้ยวลากดิน แต่คิดว่าคงจะต้องใช้เข้าสักวัน เลย
เก็บเอาไว้”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่และเป็นอีกครั้งที่สายตาคู่นั้นตวัดกลับมามองไม่พอใจเช่นเดิม






   “กินเสร็จผมจะกลับเลย”กับข้าวจานสุดท้ายวางลงบนโต๊ะ กลิ่นอาหารหอมฟุ้งไปทั่วห้องเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงาน
ได้เป็นอย่างดี

   “ยังไงก็ได้ เดี๋ยวฉันไปส่ง”เพราะเขาไม่อยากบังคับขนมผิงไปมากกว่านี้ กลัวว่าขนมผิงจะอึดอัด

   “ไม่ต้อง เดี๋ยวผมให้คนมารับเอง”

   “บอดี้การ์ดของนายคนนั้นใช่ไหม”


   “ผมเลิกจ้างไปแล้ว”

   ตอบพลางตักข้าวใส่จานอย่างไม่ใส่ใจไม่รู้ทำไมถึงได้เลิกจ้าง อาจจะเป็นเพราะเวลานั้นรู้สึกเหนื่อยที่จะต่อสู้เพราะชัยชนะ

ที่ได้มานั้นมันไม่ได้หอมหวานอย่างที่คิดเอาไว้ หรืออาจจะเป็นเพราะท่าทีของคนตรงหน้ากัน เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อไรกันที่ท่า

ทีของปิญญ์ชานนท์เริ่มจะเปลี่ยนไปจนเขาไม่กลัวและไม่อึดอัดมากนักที่อยู่อยู่ใกล้อีกฝ่าย


   “ดีแล้วฉันจะได้เข้าใกล้นายได้ง่ายๆ”ปิญญ์ชานนท์เองก็ตอบออกมาง่ายๆอย่างที่พูดจริงๆ แต่เขาไม่รู้เลยว่าประโยคที่พูด
ออกมากำลังทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามใจสั่น

   “ไว้กินเสร็จแล้วฉันไปส่งนายเอง ไม่ต้องรอคนมารับให้เสียเวลาพักผ่อนเปล่าๆ”





   “บ้าจริง!!”

   ขนมผิงสบถออกมาไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรของวัน ฝนที่ตั้งเข้าตั้งแต่เมื่อตอนเย็นตกลงมาจนได้ นาฬิกาบนฝาผนังบอก

เวลาสองทุ่มป่านนี้เขายังอยู่ที่คอนโดของปิญญ์ชานนท์ตามลำพังกับอีกฝ่าย

   “ผมต้องการร่ม”หันไปบอกกับใครอีกคนที่ยืนยิ้มเหมือนจะพึงพอใจ

   “ที่ห้องนี้ไม่มีของพรรค์นั้นหรอก”

   “ช่างเถอะ”บอกปัดพลางหยิบเสื้อคลุมที่ถอดวางเอาไว้เตรียมเดินออกมา

   “นายกำลังจะไปไหน ก็เห็นไม่ใช่รึไงว่าฝนมันตกอยู่”

   “ผมจะกลับแท็กซี่”

   “มันอันตราย”เขาไม่ยอมปล่อยให้ลูกเมียตัวเองไปตากฝนนั่งรถแท็กซี่ตอนที่ฝนตกหนักแบบนี้แน่ ปิญญ์ชานนท์ดึงขนมผิงเอาไว้

   “ปล่อย”

   “ผมไม่ปล่อยให้คุณกลับไปทั้งที่ฝนยังตกอยู่แบบนี้หรอกนะ”

   “ผมเองก็ไม่ต้องการที่จะมานั่งรอให้ฝนหยุดตกอยู่ในห้องเดียวกับคุณแบบนี้หรอก”

   “ขนมผิง”คราวนี้ปิญญ์ชานนท์จับต้นแขนตั้งสองข้างของขนมผิงให้หันมามองที่เขา ดวงตาดุดันฉาบไปด้วยความห่วงใจ
จ้องมองตาคู่สีโศก ดึงให้ขนมผิงเข้ามาใกล้ “นายก็รู้ว่าฝนตกมันอันตราย ค้างที่นี่เถอะนะ อย่างน้อยก็ให้ฝนหยุดตกก่อนก็ยังดี
ฉันพร้อมจะไปส่งนายทุกเวลาที่นายต้องการ ขอแค่ไม่ต้องให้นายไปเสี่ยงแบบที่นายกำลังจะทำอยู่ตอนนี้”





   สุดท้ายทั้งที่ไม่คิดจะยอม แต่คำถามที่ว่าคนอย่างปิญญ์ชานนท์ขอร้องคนอื่นเป็นตั้งแต่เมื่อไรทำให้ขนมผิงเดินออกมาจาก
ห้องน้ำในคราบของชุดนอนลายเรียบสีเข้ม

   ปิญญ์ชานนท์เป็นคนตัวใหญ่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ไม่ใช่คนตัวเล็กแต่ชุดนอนที่ใส่อยู่มันก็หลวมและยาวจนต้องพับเพื่อไม่ให้
ลากพื้นและเดินสะดุด และสภาพของเขามันก็ทำให้คนที่นอนรอคิวอาบน้ำต่อจากเขาอมยิ้มเหมือนกำลังกลั้นขำ

   “ไม่ยักรู้ว่าชุดนอนของฉันเหมาะกับคุณแม่อย่างนายขนาดนี้”

   “ประสาท”คำก็คุณแม่สองคำก็คุณแม่เหมือนกับปิญญ์ชานนท์กำลังจะเรียกร้องความสนใจจากเขาด้วยการกวนอารมณ์ที่
พยายามนิ่งสงบให้ขุ่น

   ขนมผิงทิ้งตัวลงนั่งริมขอบเตียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกเพื่อบอกมารดาว่าเขาติดฝนอยู่ที่ทำงาน ถึงจะโกหก แต่ก็
เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย

   

   ไม่นานประตูห้องน้ำก็เปิดออกอีกครั้งตามด้วยกลิ่นสบู่แบบเดียวกันลอยฟุ้งออกมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินตามกลิ่นออกมา

   “ทำอะไรอยู่”

   “นั่นมันเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ผมมีสิทธิที่จะทำอะไรโดยที่ไม่ต้องคอยบอกใคร”จงใจตอบแบบยียวนออกไปเพราะรู้สึกว่า
ปิญญ์ชานนท์ชักจะเข้ามายุ่งกับชีวิตของเขามากจนรู้สึกว่ามันมากจนตั้งรับไม่ทัน

   “ฉันขอใช้สิทธิความเป็นสามีของนายตรวจสอบว่านายกำลังทำอะไรกับโทรศัพท์ ใครจะรู้ว่านายอาจจะแอบคุยกับอีหนู

ที่ไหนก็ได้”

   ไม่พูดเปล่าปิญญ์ชานนท์ยังเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของขนมผิง เข่าข้างหนึ่งยกขึ้นชันกับผืนที่นอนข้างตัวของอีกฝ่ายจน
มันยวบลง ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ฉุดดึงให้ขนมผิงเงยหน้าขึ้นมามองอย่างประหลาดใจ

   แต่นั้นก็เหมือนกับขุดหลุมฝังตัวเองเมื่อปิญญ์ชานนท์ไม่ยอมหยุดเอาๆไว้แค่ตรงนั้น มือใหญ่คว้าโทรศัพท์จากมือของขนม
ผิงแล้วโยนทิ้งลงบนเตียงไม่สนใจว่ามันจะไปตกอยู่ตรงไหน จมูกโด่งเฉียดลงบนหน้าผากมน ไล่ลงมาที่จมูกเกือบ จมูกของเขา

กับขนมผิงเกือบจะแตะกันหากขนมผิงไม่ถอยหนีส่งผลให้หงายราบไปกับผืนเตียงโดยที่ไม่ตั้งใจ แต่มาถึงขนาดนี้แล้วปิญญ์ชา
นนท์ก็ไม่ยอมหยุดง่ายๆแน่นอน

   การเห็นคนรักอยู่ในชุดนอนของตัวเองหลังจากอาบน้ำเสร็จใหม่ๆมันเหมือนกับเป็นตัวปลุกกระตุ้นอารมณ์ชายชั้นดีให้ลุกขึ้น
มาโหมกระหน่ำเหมือนกองไฟที่ถูกราดด้วยน้ำมัน

   เขาเคลื่อนกายขึ้นคร่อมทับร่างสูงโปร่งที่นอนราบอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวสะอาดเต็มไปด้วยความประหม่า
   “ถอยไป”

   ขนมผิงสั่ง พยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปรกติ ตกใจที่ปิญญ์ชานนท์ทำแบบนี้ ตกใจจนรู้สึกว่าหายใจไม่ทั่วท้อง มันเหมือน
กับร่างกายไม่มีแรงเอาซะดื้อๆ

   “นายก็ผลักฉันออกเองสิ”

   เพราะตอนนี้ปิญญ์ชานนท์เองก็แทบจะระงับอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่ กลิ่นสบู่เหมือนกัน แต่ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามันต่าง กลิ่น
กายของขนมผิงช่างเร้าอารมณ์จนเสียห้ามมันเหมือนไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของเขาเลย

   และขนมผิงเองไม่ได้ผลักไสเขาให้ลุกออกไป ไม่แม้จะเบือนหน้าหลบริมฝีปากของเขาที่โน้มลงไปชิด อีกเพียงเศษเสี้ยว
ของปลายก้อยที่ริมฝีปากของเขากับขนมผิงห่างกัน


   ในที่สุดชายหนุ่มก็ทนแรงปลุกเร้าทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรเลยแม้เล็กน้อยไม่ไหว ริมฝีปากหยักกดจูบลงไปแนบสนิท
ค่อยๆบดคลึงลงบนริมฝีปากอ่อนนุ่ม

   กลิ่นหอมเย็นของยาสีฟันยังคงหลงเหลือ คล้ายกับยิ่งกระตุ้นให้ชายหนุ่มอยากที่จะเข้าไปทักทายด้านในที่ไม่ได้ลิ้มรสมา
นาน ลิ้นร้อนสอดเข้าไปเค้นคลึงทันท่วงทีดั่งใจนึก

   ถึงแม้จะมีแรงสะดุ้งเล็กๆและแรงผลักเบาๆจากร่างข้างใต้ แต่เขาก็ไม่คิดว่านั่นเป็นการต่อต้านหรือผลักไสแต่อย่างใด
เพราะดวงตาคู่สีดำสนิทของขนมผิงได้ปรือลงจนปิดสนิทยามที่ลิ้นของชายหนุ่มเกี่ยวกระหวัดหยอกเย้าเชิญยวนอยู่ข้างใน

   มือทั้งสองข้างของขนมผิงกำต้นแขนของปิญญ์ชานนท์เอาไว้แน่นเงยหน้าขึ้นคล้ายจะหลีกหนีแต่มันก็เหมือนกับเป็นการ
ตอบรับให้ปิญญ์ชานนท์ได้ล่วงล้ำเข้ามาอย่างถนัดถนี่

   เสียงฝนข้างนอกหน้าต่างยังคงตกชุก ปิญญ์ชานนท์ยังคงจูบและเคล้าคลึงข้างในอย่างแผ่วเบาละเลียดเหมือนกับกินของ
หวานที่มันสามารถละลายได้ในปากทันทีที่ลิ้มลอง ความอุ่นร้อนของกายสูงใหญ่ที่ทาบทับส่งผ่านให้ขนมผิงได้รับรู้ถึงความรู้สึก
ของอีกฝ่ายที่สื่อออกมาทางภาษากาย

   ปิญญ์ชานนท์ถอนจูบออกไปแล้ว แต่ยังคงละเลียดอยู่ที่ริมฝีปากอิ่ม เคล้นคลึงจูบย้ำๆให้ขนมผิงได้มึนงง เพราะความคิดที่
มีมากจนเกินไปทำให้เวลานี้ไม่รู้สึกว่าอยากจะคิดอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายสัมผัสราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่คุ้นเคย และอดเถียงไม่ได้ว่า
มันอาจจะเป็นความรู้สึกโดยหาที่ปะปนอยู่ในความเคยชิน

   ชายหนุ่มลิ้มชิมรสจากริมฝีปากบางอยู่พักใหญ่ จนมือใหญ่ค่อยๆเลื่อนลงมาปลดประดุมเสื้อนอนของร่างข้างใต้ทีละเม็ด


อย่างใจเย็น เวลานี้เขาตื่นตัวเต็มที่แล้ว และการที่ขนมผิงไม่ได้ปฏิเสธนั้นก็ทำให้ยิ่งลำพองใจ

   กระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายถูกปลดออก แผ่นอกแบนราบอีกทั้งเรียบเนียนลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า ฝ่ามือใหญ่แหวกเปิดเอาสาบ
เสื้อออก มือหนาเลื่อนลงไปเคล้นคลึงที่บั้นเอวของขนมผิงค่อยๆเน้นย้ำก่อนจะสอดมือเข้าไปใต้ขอบยางยืดของกางเกง
   “อุ อุ๊ก “

   ทว่า เสี้ยววินาทีที่มือนั้นจะสอดล่วงล้ำเข้าไปในกางเกง ร่างสูงใหญ่ก็ลอยหวือหงายหลังลงไปก้นจ้ำเบ้าบนพื้นห้องนอน
ด้วยแรงส่งจากฝ่าเท้าของคนที่วิ่งผ่านเข้าไปในห้องน้ำด้วยความเร็วที่แทบจะมองตามไม่ทัน ตามมาด้วยเสียงอาเจียนอย่างหนัก
ดังมาจากในห้องน้ำ



   “หวงแม่สินะ”



   ปิญญ์ชานนท์หัวเราะเล็กๆในลำคอคล้ายกับหัวเราะเยาะกับตัวเองอย่างตลกร้าย ก่อนจะเดินตามขนมผิงเข้าไปในห้องน้ำ
กึ่งกลางร่างกายของเขายังคงตื่นตัวเหมือนสิงโตที่กำลังคำรามในเวลาที่กำลังจะออกล่าเหยื่อ ทว่าหมูป่าน้อยที่เป็นเหยื่อตัวนั้น
ได้หนีไปเสียแล้ว

   ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเดินเข้าไปใกล้ร่างที่โก่งตัวอาเจียนอยู่ตรงชักโครก ยกมือขึ้นมาลูบหลัง สัมผัสได้ถึงแรงสะดุ้ง
เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร

   อาหารมื้อเย็นที่พึ่งจะกินด้วยกันไปถูกขย้อนออกมาจนหมด เขาไม่ได้รังเกียจเลยสักนิดแต่กลับกันเขากลับรู้สึกเห็นใจและ
รู้สึกผิดเสียมากกว่า

   “นายเดินไหวไหม”


   เขาประคองขนมผิงออกมาจากห้องน้ำ ราวกับว่าอารมณ์ของคนท้องมันเปลี่ยนได้ง่ายดายหรือว่าอะไรเขาเองก็ไม่แน่ใจ
เพราะทันทีที่เอื้อมมือเข้าไปหมายจะประคองก็ถูกปัดออกทันที

   “นายนอนพักก่อน เดี๋ยวฉันออกไปเอาน้ำมาให้”

   เขาบอกเสียงเบาก่อนจะเดินออกไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับยื่นแก้วน้ำส่งให้

   ขนมผิงหลุบตาจ้องมองปลายเท้าตัวเอง แสดงออกถึงท่าทางครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะรับแก้วน้ำนั้นมาดื่ม ไม่อยากที่
จะตอบรับน้ำใจอะไรจากปิญญ์ชานนท์ แต่คนที่ทำให้เขาต้องจมอยู่กับความทรมานแบบนี้มันจะเป็นใครไปได้ถ้าหากไม่ใช่ปิญญ์
ชานนท์ คนที่เขาคอยตอกย้ำหัวใจว่าเกลียดแสนเกลียด และเขาก็ย้ำเตือนความคิดของตัวเองเสมอว่าปิญญ์ชานนท์นั้นก็เกลียด
ตนเองเช่นกัน

   “นายอยากกินอะไรที่เปรี้ยวๆ หรืออะไรที่ทำให้นายหายคลื่นไส้ไหม”

   เมื่อขนมผิงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาปิญญ์ชานนท์จึงย่อตัวคุกเข่าข้างหนึ่งเงยหน้าให้สายตาอยู่มนระดับเดียวกัน ฝ่ามือใหญ่
แตะลงบนผิวหน้าของขนมผิงเบามือเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือเช็ดหยดน้ำที่เกาะอยู่ที่มุมปาก ความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมานั้นทำให้หัวใจ
ของขนมผิงสั่นรัว ความรู้สึกบางอย่างที่มันวูบขึ้นมาฉุดให้เกิดความสับสนปัดมือของปิญญ์ชานนท์ออกอีกครั้ง



   “คุณต้องการอะไร ที่ทำอยู่เป็นเพราะอะไรกันแน่ เมื่อไรจะไปจากชีวิตของผมกับลูกสักที”

   เขาตั้งคำถามเดิมๆกับอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาในแต่ละครั้งไม่เคยทำให้รู้สึกพึงพอใจในคำตอบได้
เลยสักครั้ง ทั้งหมดมันเป็นเพราะอะไรกันแน่ หรือว่าคำตอบที่ได้รับมันไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการจะได้ยิน

   “ถ้าฉันพูดออกไปในตอนนี้ นายอาจจะไม่เชื่อที่ฉันพูด เวลามันจะเป็นตัวตอบคำถามของนายเอง”

   “ออกไปจากชีวิตของพวกเราเถอะนะ ออกไปสักที”น้ำเสียงนั้นสั่นเครือ

   “ไม่ว่านายจะไล่ฉันยังไงฉันก็ไม่มีทางปล่อยนายไปอีกอยู่ดี”

   “แล้วถ้าผมขอร้องล่ะ คุณจะยอมไปไหม จะยอมหายไปจากชีวิตของผมกับลูกไหม ขอร้องไปสักที คุณจะเข้ามาในชีวิต
ของพวกเราอีกทำไม ในเมื่อคุณเองก็เกลียดผมไม่ใช่รึไง ต่างคนต่างอยู่ อย่ามาข้องเกี่ยวกันอีกเลย ผมไม่อยากที่จะ…ไม่อยากที่
จะเห็นหน้าคุณอีกต่อไปแล้ว ไม่อยากที่จะ”

   ไม่อยากที่จะต้องมาคิดกับความรู้สึกบ้าๆที่มันเกิดขึ้นมาในเวลาที่ปิญญ์ชานนท์มาทำดีด้วย ไม่อยากที่จะคาดหวังว่าจะมี
ใครรอตนอยู่เหมือนเมื่อวานอีกไหม ไม่อยากจะคาดหวังอะไรเพราะความเจ็บปวดที่เคยได้รับมันมากเกินไปที่จะเปิดใจให้กับฝัน
ลมลมแล้งๆ

   ไม่อยากที่จะยอมรับว่าเวลานี้ตัวเขาเองรู้สึกราวกับเด็กเล็กๆที่แสนจะอ่อนแอร้องไห้ให้กับอะไรก็ตามที่ทำให้ตัวเองรู้สึก
เสียใจ น้ำตาที่ไหลรินลงมาเป็นตัวบ่งบอกถึงความบอบช้ำภายในได้เป็นอย่างดี เหมือนที่เคยเป็นในอดีต

   แต่ครั้งนี้มันกลับมีฝ่ามือนั้นคอยรองรับ คอยปัดเช็ดเอาความเจ็บปวดที่หลั่งรินให้เหือดแห้ง ประคองใบหน้าจูบซับลงมาบ
นพวงแก้ม

   “คุณคิดจะทำอะไรกันแน่ จะมาทำดีกับผมทำไม…ในเมื่อเราเกลียดกัน”

   “เปล่าเลย ฉันไม่ได้เกลียดนาย ฉันไม่ได้เกลียดนายเลย ขนมผิง”แต่ฉันรักนาย เขาอยากจะพูดคำนี้ออกไป แต่มันยังไม่ถึง
เวลา “ที่ฉันทำเพียงเพราะฉันอยากจะทำ ไม่ใช่เพราะว่าฉันเกลียดนาย”

   “ใครมันจะไปเชื่อ คนอย่างคุณ…คนที่เห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง”

   “ฉันยอมรับว่าฉันเป็น แต่นั่นมันเป็นเพียงอดีต”

   “แล้วที่คุณทำทั้งหมดมันเพื่ออะไร จะเข้ามาในชีวิตของผมกับลูกอีกทำไม ผมถามว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ ช่วยตอบ
อะไรที่มันชัดเจนจะได้ไหม”ทนไม่ไหวที่จะต้องมาตีความคำตอบต่างๆนานาอีกแล้ว ขนมผิงผลุดลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินหนี

   ความอ่อนไหวทางสภาวะอารมณ์ของเขาในเวลานี้มันอ่อนแอเกินไป ทว่าข้อมือก็ถูกรั้งดึงเอาไว้ไม่ให้เดินหนี ถูกคึงเข้าไป
สวมกอดจากทางด้านหลังอย่างง่ายดาย

   “นายอย่าหนีอีกเลยฉันขอร้อง อย่าหนีทั้งที่ฉันยังไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนกับนาย อย่าหนีให้ฉันต้องคอยตามหานาย
เหมือนกับคนบ้าที่ไม่รู้อะไรอีกเลยนะขนมผิง”

   “ปล่อยเถอะ”

   “ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่มีวันปล่อย ตราบใดที่ฉันยังอยู่ต่อให้ต้องทิ้งศักดิ์ศรีให้นายมองฉันเหมือนเป็นสุนัขข้างทางฉันก็จะทำ
ถ้ามันสามารถทำให้นายหนีฉันไปไหนไม่ได้ ฉันขอร้อง ถอนหมั้นเถอะนะขนมผิง ยกเลิกงานหมั้นซะ”

   คำขอของปิญญ์ชานนท์ทำให้ขนมผิงชะงักมือที่พยายามแกะอ้อมแขนของปิญญ์ชานนท์ออกจากเอว ดวงตาสีโศกไหว
ระริกอีกครั้ง สิ่งที่ปิญญ์ชานนท์กำลังพูดถึงเป็นอีกอย่างที่ทำให้เขาหนักใจ ในเมื่อเขากำลังท้องลูกของปิญญ์ชานนท์…อีกครั้ง

   “ไม่ เป็นไปไม่ได้ มันยกเลิกไม่ได้”

   การยกเลิกงานหมั้นที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนหน้ามันเป็นเรื่องใหญ่ ฐานะและหน้าตาของครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมันเป็น
สิ่งสำคัญที่เขาจะทำลายไม่ได้ เขาไม่อยากทำให้ครอบครัวของตัวเองต้องมาแปดเปื้อนเพราะสิ่งที่เขากระทำ

   “ต้องได้สิ กับแค่ยกเลิกแค่นี้”

   “ผมบอกว่ายกเลิกไม่ได้ไง ปล่อยเถอะ ผมจะออกไปนอนข้างนอก”ขนมผิงบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา

   “นายเป็นเมียของฉัน”

   “ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก”

   “ก็ได้ แต่นายนอนในห้องนี้เถอะนะ ข้างนอกอากาศเย็น มันจะทำให้นายป่วยได้”ชายหนุ่มดึงให้อีกฝ่ายนอนลงบนเตียง
ก่อนที่ความเงียบจะเข้าปรกคลุมภายในห้อง มีเพียงเสียงฝนเท่านั้นที่เป็นเหมือนบทเพลงกล่อมให้ต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในความคิด
ของตัวเอง

   ร่างกายของขนมผิงจมอยู่ในอ้อมกอดของปิญญ์ชานนท์  บวกกับความเหนื่อยล้าและความคิดมากมายที่เข้ามาถาโถม
ทำให้หลับไปอย่างง่ายดายโดยไม่ขัดขืนอ้อมแขนที่กอดรัดเอาไว้ ปิญญ์ชานนท์เองก็เช่นกัน ความอบอุ่นที่ตัวเองโอบกอดอยู่ใน
เวลานี้ทำให้เขารู้สึกมีความสุข ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วคราวที่ความรู้สึกอิจฉาก่อเกิดขึ้นในใจ แต่มันก็แค่นั้นในเมื่อทุกอย่างเขา
เตรียมแผนรับมือเอาไว้แล้ว เขาจะไม่ยอมให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาในเวลานี้หนีไปได้เหมือนครั้งก่อน เขาจะต้องล้มเลิก
งานหมั้นของขนมผิงให้ได้ ถึงแม้จะต้องใช้วิธีที่สกปรกแค่ไหนก็ตาม

   

   ---------------------------------------------------------------------------------------


มีต่อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 08:06:28 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3

   “เอารูปพวกนี้ส่งให้นักข่าวแล้วก็พวกหนังสือซุบซิบดารา ฉันต้องการให้รูปพวกนี้ออกในรายการข่าวบันเทิงของทีวีทุกช่อง
แล้วก็หนังสือซุบซิบดาราทุกเล่ม”

   รูปถ่ายจากมุมอับมากมายจากหลายสถานทีนับสิบใบถูกวางลงบนโต๊ะทำงานเบื้องหน้าของชายหนุ่มรอยยิ้มร้ายเหยียดลง
บนริมฝีปากเช่นเคยเรียกให้ชายหนุ่มเลขาของเขาอมยิ้มตาม ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจเลยสักนิดกับสิ่งที่เจ้านายของตนกำลังทำอยู่

   “ได้ครับ วันพรุ่งนี้รูปนี้จะปรากฏอยู่ในข่าวทุกช่อง และหนังสือทุกเล่มที่กำลังจะออกวางขาย”มาลิศตอบรับเจ้านาย

   “อืม ไปได้แล้ว ขอบใจนายมาก”

   

   หลังจากที่เลขาคนสนิทเดินออกไปไม่นาน เสียงข้อความของแอพพลิเคชั่นบางอย่างก็แจ้งเตือนให้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
ตรวจเช็ค เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ รูปถ่ายชุดใหม่ถูกส่งมาเพิ่มเติม และคราวนี้ชายหนุ่มก็ค่อนข้างพอใจกับความใกล้ชิดที่มากเกิน
พอดีของคนสองคนที่ปรากฏอยู่ในรูป อดไม่ได้ที่จะโทรหาใครคนที่ส่งรูปพวกนั้นมาให้เขา

   ‘ว่าไง รูปพวกนั้นชัดพอไหม’ปลายสายตอบรับทันทีที่กดรับสาย

   “อืม ชัดพอแล้ว วันพรุ่งนี้ฉันจะให้คนส่งเช็คไปให้นาย”

   ‘อะไรกัน คนกันเองแค่นี้ ว่าแต่ทำไมแกถึงให้ฉันไปจีบเดหลีทั้งที่รู้ว่ายัยนั่นกำลังหมั้นแล้ว’

   “ไม่จำเป็นที่นายจะต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้”

   ‘หรือเป็นเพราะที่หล่อนถอนหมั้นแก ฮ่า ฮ่า แกนี่ร้ายใช่ย่อย ไหนจะแก้แค้นยัยเดหลี ไหนจะหักอกคู่แข่ง’

   “มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอกน่ามาเวล ว่าแต่นายจะกลับแคนาดาเมื่อไรกัน”

   “อืม ก็คงอีกไม่นานหรอก แต่ยังไงก็ต้องขอบใจแกมากนะสำหรับค่าขนมในช่วงที่ฉันหลบงานมาพักร้อนแบบนี้”

   “คงไม่มีใครพักร้อนในหน้าฝนเหมือนกับนายหรอกนะ แต่ถึงยังไงฉันก็ต้องขอบใจนายมาก ครั้งนี้ฉันติดหนี้บุญคุณนายครั้ง
ใหญ่”

   ‘ติดหนี้อะไรกัน ถือซะว่าฆ่าเวลา ว่าแต่แกดูแปลกๆไปนะปิญญ์ ตั้งแต่เรียนจบเราไม่ได้เจอกันนานจนแกเพี้ยนไปรึเปล่า
เหมือนจะเปลี่ยนไปมาก หรือว่าฉันแค่คิดไปเอง’

   “ไม่นี่ นายคงจะคิดไปเองจริงๆ ถ้าไม่มีอะไรฉันไม่รบกวนนายแล้วล่ะ”

   ‘โอเค บาย แล้วเจอกัน’

   ปิญญ์ชานนท์วางโทรศัพท์เครื่องแพงลงบนโต๊ะทำงาน มือใหญ่ปลดเน็กไทเล็กน้อยอย่างผ่อนคลายก่อนจะค้าเอากรอบรูป
ที่ตั้งอยู่ที่มุมโต๊ะมาจดจ้อง ส่งยิ้มให้มันราวกับคนบ้า แต่เป็นใครเล่าทำงานมาเหนื่อยๆจะไม่นั่งยิ้มให้กับรูปของลูกเมียตัวเอง รอ
อีกแค่ไม่นาน ครอบครัวที่เขาหวังเอาไว้ก็จะสมบูรณ์ เพื่อทุกคน



   -------------------------------------------------------------------------------------



   “เอ่อ คุณพิศค่ะ คุณแน่ใจนะคะว่าครั้งที่แล้วคุณบอกไม่ให้คุณปิญญ์เข้าใกล้ลูกเรากับเด็กๆ”

   “ใช่ ผมก็คิดว่าผมพูดไปแบบนั้น แต่ไหงมันถึงได้เป็นแบบนี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”สองคนสูงวัยกระซิบกระซาบผลัดกัน
มองหน้าแขกที่ไม่เคยได้รับเชิญแต่ก็พาตัวเองมาถึงที่นี่อีกจนได้ พร้อมกระเช้าผลไม้เถาใหญ่เช่นเคย

   “วันนี้ผมมารับเด็กๆไปทานข้าวนอกบ้านน่ะครับ”ตอบเองเสร็จสรรพพร้อมอวดยิ้มอย่างเป็นมิตร

   “แต่ว่าตาผิงพาเด็กๆไปกินไอศกรีมข้างนอกกันหมดแล้ว เห็นทีคุณคงจะมาเสียเที่ยวแล้วล่ะ”พิศณุกล่าวไม่วายวางท่าทีนิ่ง
สงบต่างจากทุกทีที่มักจะอยู่ในคราบของผู้ใหญ่ใจดี

   “อย่างนั้นเหรอครับ ว่าแต่คุณพ่อกับคุณแม่รู้หรือเปล่าครับว่าขนมผิงกับลูกไปที่ไหนกันผมจะได้ตามไปถูก”

   “เอ่อ”ลำดวนถึงกับตอบไม่ถูก หันไปกระพริบตาปริบๆให้กับสรรพนามที่ถูกเปลี่ยนอีกแล้ว แอบกระตุกชายเสื้อสามีเบาเบา
ให้จัดการแขกไม่ได้รับเชิญตรงหน้าเสียที อีกไม่นานลูกชายของเธอก็ต้องแต่งงานแล้ว จะให้มีใครเดินเข้าออกบ้านมาหาบ่อยๆก็
คงจะดูไม่เหมาะ แล้วยิ่งไปกว่านั้นใครที่ว่าก็เป็นผู้ชายเสียด้วย

   “เรื่องนี้ก็ไม่รู้หรอกนะว่าที่ไหน ผมว่าคุณอย่าตามไปเลยดีกว่า เพราะลูกชายของคงจะอยู่กับคู่หมั้นของเขา”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมคิดว่าผมตามไปถูก ถ้าอย่างนั้นผมลาเลยนะครับ ไว้ผมจะมาเยี่ยมคุณพ่อกับคุณแม่ใหม่”

   นี่ล่ะมั้งคงจะเรียกว่ามัดมือชก ปิญญ์ชานนท์ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง ถ้าอายเขาก็คงอด เขาคิดเช่นนั้นถึงได้ปลุกความ
มั่นใจและความกล้าเพื่อจะด้านแล้วได้



   _______________________________________________________



   “ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะคะคุณผิง เดหลีชักน้อยใจซะแล้วสิ”

   “ช่วงนี้ผมไม่ค่อยสบายน่ะครับ เลยไม่ได้ออกมาเจอคุณ”ขนมผิงตอบไปอย่างนั้น ไม่รู้ทำไมเขาถึงยังต้องฝืนยิ้ม

   เขายอมรับว่าไม่มีเวลาให้กับเดหลีเพราะความรู้สึกผิดเป็นชนักติดหลังของเขาทำให้คิดไม่ตกว่าเขาจะทำหน้าอย่างไรเวลา
เจอหน้ากับเธอทั้งที่ในท้องยังมีลูกของปิญญ์ชานนท์อยู่ข้างใน

   “อย่างนั้นเหรอคะ ถ้าไม่สบายก็น่าจะบอก เดหลีจะได้เป็นฝ่ายไปหาเอง”

   “ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ สั่งอาหารกันดีกว่าเด็กๆคงหิวแล้ว”ขนมผิงบอกปัดหันไปลูบหัวสองแฝดที่คุยเล่นกันคิกคักจิ้ม
นิ้วลงไปบนเมนูอาหารอย่างอารมณ์ดี

   “ดีเหมือนกันค่ะ แต่เดหลีกินมากไม่ได้นะคะ ช่วงนี้ไดเอท”

   “อืม”ขนมผิงพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ

   ไม่ได้ใส่ใจจนไม่รู้ว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขาชะงักอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไรกับความเหินห่างที่ไม่รู้ทำไมเธอถึง
คิดว่ามันเพิ่มมากขึ้นทั้งๆที่วันหมั้นก็ใกล้เข้ามาทุกที

   มันทำให้เธอเริ่มเหงาและเคืองใจ เพราะขนมผิงไม่มีเวลาให้เธอเลย จะออกมาหาเธอทีก็ในเวลาที่เธอเป็นฝ่ายนัดออกมา
แต่ส่วนมากก็มีเด็กๆตามติดมาด้วย ถึงแม้ว่าเธอจะรักเด็ก แต่บางครั้งเธอก็ต้องการมีเวลาส่วนตัวกับคนที่กำลังจะมาใช้ชีวิตที่
เหลืออยู่กับเธอบ้าง ไม่แปลกที่เธอจะเผลอใจให้กับคนอื่นที่เข้ามาใกล้ชิดกับเธอเลยสักนิด



   “ระวังร้อนครับ”ขนมผิงหันไปบอกลูกชายเช่นนั้นก่อนจะก้มลงเช็ดเศษอาหารมุมปากของลูกชายทีละคน

   “ฮะ กริมเป่าก่อน”

   “หลิ่มอยากกินไอติมแล้วฮะ”

   “เดี๋ยวปะป๊าสั่งให้ครับ แต่ต้องกินในจานให้หมดกันก่อน”

   “ได้ฮะ จะกินให้หมดเลย”

   สองแฝดผลัดกันตอบรับ ยิ้มจนแก้มป่องสีชมพูใสบวมจนปริ สร้างโลกส่วนตัวกันใครอีกคนในวงออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่รับรู้
ว่ามือแต่งแต้มสีทาเล็บนั้นกำลังกำช้อนส้อมในมือแน่น

   “อิ่มแล้วเหรอครับ ทำไมถึงทานน้อยล่ะ”ขนมผิงเหลือบไปเห็นจานอาหารของอีกฝ่ายที่ยังหลงเหลืออาหารอยู่เต็มจาน

   “อิ่มแล้วค่ะ เดหลีไม่ค่อยหิว”

   “ครับ”

   ถึงจะดูมึนงงกับท่าทีของเดหลีที่แทบจะไม่แตะอาหารแต่ขนมผิงก็เลือกที่จะหันไปดูแลลูกๆมากกว่า จนไม่ได้สังเกตเห็น

เลยว่าใครอีกคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ และหยุดอยู่ที่โต๊ะของพวกเขา



   “บังเอิญจังเลยนะ ไม่คิดว่าจะมาเจอพวกเธอที่นี่”น้ำเสียงสูงที่ดูน่าหมั่นไส้ทำให้ขนมผิงตวัดตาไปมองผู้มาเยือนทันที

   ทำไมกันนะเขาถึงได้รู้สึกว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนไป และทำไมกันนะเขาถึงได้รู้สึกว่าคนคนนี้ไม่ได้บังเอิญอย่างที่พูดเอาไว้
เลย แต่ถึงอย่างนั้นเด็กๆก็พากันดีใจจนออกนอกหน้า

   “พ่อปิน/พ่อปิน”

   “ทำไมถึงได้มาที่นี่ล่ะ แล้วทำไมเด็กๆถึงเรียกเขาว่าพ่อล่ะคะ”ประโยคแรกถามเอากับคนที่ใช้คำว่าบังเอิญแต่ประโยคถัดมา
หันมาถามเอากับขนมผิง

   เธอค่อนข้างแปลกใจเลยทีเดียวที่อดีตคู่หมั้นกับว่าที่คู่หมั้นจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันต่อหน้าเธอแบบนี้ แล้วดูเหมือนทั้ง
คู่จะรู้จักกันมากกว่าที่เธอคิดว่าเป็นเพียงคู่แข่งทางธุรกิจเสียด้วย

   “บางทีเด็กๆอาจจะอยากได้ฉันเป็นพ่อมากกว่าอยากได้เธอเป็นแม่ก็ได้ ใครจะไปรู้”

   ปิญญ์ชานนท์ไม่เท้าความเชิญตัวเองนั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะไม่วายหันไปยกยิ้มให้กับว่าที่คุณแม่เพื่อกวนอารมณ์

   “ประสาท”

   “หึหึ ฉันกำลังหิวพอดีเลยสินะ ว่าแต่เธอ อิ่มแล้วใช่ไหม”หัวเราะในลำคอเล็กๆ แล้วยกมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งอาหารก่อน
จะหันไปถามผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม

   “อะ อ่อ ค่ะ เดหลีอิ่มแล้ว ว่าแต่พี่ปิญญ์ ทำไมถึงได้”

   “เธอจะถามอะไรก็ถามมา ฉันหิวจนอยากจะจับใครแล้วนี้กินเลยล่ะ”พูดติดตลกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทำให้เดหลียิ่งแปลก
ใจ มองดูท่าทีขี้เล่นอุ้มเอาเด็กๆมากอดมาหอมให้ได้หัวเราะคิกคักนั่นอะไรกัน มันไม่ใช่ปิญญ์ชานนท์คนเย็นชาที่เธอเคยรู้จักเลย
สักนิด

   “ไม่มีอะไรค่ะ แค่สงสัยว่าทำไมถึงได้โผล่มาแถวนี้”

   “ถ้าเธออิ่มแล้วจะกลับก่อนก็ได้นะ ไม่มีใครว่า ใช่ไหมขนมผิง นายคงจะไม่ว่า”

   “ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ”

   มันเหลือเกินกับผู้ชายคนนี้จริงๆ คงจะมีแค่เด็กๆที่ดีใจกับการโผล่มาแบบตั้งใจของอีกฝ่าย เหลือแค่เขากับเดหลี อันที่จริง
เขาเองก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรเพราะพฤติกรรมของปิญญ์ชานนท์เริ่มเปลี่ยนไปมากในช่วงพักใหญ่ที่ผ่านมา แต่กับเดหลีเธอดู
ค่อนข้างจะแปลกใจจนตกใจเลยก็ว่าได้



   “เดี๋ยวเดหลีขอตัวไปรับโทรศัพท์สักครู่นะคะ”เธอขอตัวเมื่อชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์เครื่องแพงเป็นชื่อที่ในเวลานี้
คงเป็นคนที่เธออยากจะคุยมากที่สุดในเวลาที่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างที่เป็นอยู่

   เธอเดินออกไปและไม่นานก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ใบหน้าแดงเรื่อซ้ำยังติดอมยิ้มอยู่ที่มุม
ปาก

   “งานด่วนเหรอครับ”แทนที่จะเป็นว่าที่คู่หมั้นคนปัจจุบันที่ต้องถาม แต่ทำไมถึงได้โดนอดีตตัดหน้าถามไปเสียได้

   “ค่ะ เดี๋ยวเดหลีขอตัวก่อนนะคะ มีงานด่วนเข้ามา ไว้วันหลังเดหลีนัดคุณออกมาอีกทีนะคะ”

   “ครับ ไม่เป็นไร ขับรถดีดีนะครับ”

   “ค่ะ บายค่ะ”

   เธอเดินอ้อมไปฝั่งโต๊ะตรงข้าม จงใจโน้มหน้าลงไปจรดกลีบปากสีแดงฉาดลงบนแก้มของขนมผิงประทับรอยสีแดงของ
ลิปสติกเอาไว้ให้ใครบางคนที่มองได้ขุ่นเคืองขึ้นมาทันที แล้วเธอก็เดินจากไป

   แต่ก็ไม่มีใครรู้เห็นเกี่ยวกับรอยยิ้มของผู้มาใหม่เลยสักนิด รอยยิ้มที่แสยะอย่างพึงพอใจและแสนจะเจ้าเล่ห์ของปิญญ์ชา
นนท์

   

   “เมื่อไรคุณจะเลิกให้คนตามพวกเราสักที”ขนมผิงกัดฟันพูดให้ได้ยินกันแค่สองคน

   “ไม่มีกำหนด ใครจะรู้ว่าเมียของตัวเองจะแอบหนีมากินข้าวกับผู้หญิงอื่นแบบนี้”

   “ถ้าปากว่านักก็เอาของพวกนี้ยัดใส่เข้าไปเถอะ ผมเหนื่อยที่จะคุยกับคุณเต็มที”ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ทำไมกันนะ ความ
อึดอัดที่มีอยู่มันกลับเลือนหายไปในพริบตา

   

   “คิดจะทำอะไร”อุทานออกมาพร้อมเบือนหน้าหลบกระดาษทิชชู่ที่จงใจเช็ดลงมาบนแก้ม

   “อย่าให้ใครมาแตะต้องตัวนายง่ายๆสิ”

   “นั่นมันก็เรื่องของผม”

   “มันก็เป็นเรื่องของฉันเหมือนกันที่ฉันจะหึง”

   “หึงคู่หมั้นเก่าสินะ”ขนมผิงอดเหยียดยิ้มดูแคลนให้กับคำพูดประชดประชันของตัวเองไม่ได้

   “นายนี่บางทีก็เหมือนกับเด็กที่เข้าใจอะไรยากเหมือนกันนะ”

   “คุณเองก็หน้าหนาเหมือนกับถนนที่รถวิ่งเหยียบย่ำเท่าไรก็ไม่ยอมพังสักที”

   “ปากอย่างนี้อยากโดนจูบโชว์ลูกสักทีไหมล่ะ”

   คำขู่ที่ไม่เพียงแค่ขู่แต่ใบหน้าคมคายประดับยิ้มระรื่นนั้นกลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนต้องผงะทำให้เผลอกลืนน้ำลายลงคอไป
อึกใหญ่ ไม่ว่ายังไงมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะสบัดปิญญ์ชานนท์หน้าหนาคนนี้ให้หลุดไปจากชีวิต



ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-07-2016 03:57:03 โดย NeLy เนลี่ »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ขนมผิงจะทำยังไงต่อไปล่ะเนี่ย ไหนจะท้องใหม่อีกรอบแล้วยังมีปิญญ์คอยตามตื้ออีก
อยากให้อิปิญญ์มันเจ็บมากกว่านี้จัง เพราะเท่าที่อ่านยังไม่สาสมกับที่เคยทำกับขนมผิงเลย

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
31 แผนการร้าย




   “นี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมถึงยังมีข่าวพวกนี้หลุดออกมาไม่เว้นแต่ละวัน แกลืมไปแล้วรึไงว่าแกกำลังจะหมั้น”

   เสียงตวาดดังก้องพร้อมกับนิตยสารข่าวดาราปึกใหญ่ถูกโยนลงบนโต๊ะแสดงออกถึงความไม่พอใจของชายรุ่นใหญ่เจ้าของ
เสียงและการกระทำอย่างเห็นได้ชัด

   “เดหลีไม่ลืมหรอกค่ะว่าเดหลีกำลังจะหมั้น”

   “แล้วไอ้ฝรั่งตาน้ำข้าวที่แกไปมีข่าวล่ะ มันเป็นใคร”


   “ก็แค่คนรู้จัก ไปกินข้าว ไปดูหนังเหมือนคนปกติเขาทำกันนี่คะ”หญิงสาวตอบหน้ามุ่ย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทั้งที่เธอระวัง
ตัว แต่ทำไมถึงยังมีข่าวพวกนี้ออกมาทำให้เธอกับพ่อของรำคาญใจอยู่ตลอดเวลาในช่วงนี้

   “ยังไงก็แล้วแต่เลิกติดต่อกับมันซะ ฉันไม่ต้องการให้มีข่าวเสียหายให้กับครอบครัวของเรา แกก็รู้ว่ามันไม่เป็นผลดีถ้าหาก
ลูกสาวของฉันจะถูกยกเลิกงานหมั้นถึงสองครั้งภายในเวลาไม่กี่เดือน ฉันไม่อยากจะเสียผลประโยชน์อะไรไปมากกว่านี้”

   “ค่ะ เดหลีรู้ว่าพ่อห่วงหน้าตาของตัวเองแค่ไหน”เพราะพ่อของเธอกำลังจะลงเล่นการเมือง เรื่องข่าวเสียหายของคนใน
ครอบครัวย่อมเป็นอุปสรรคสำคัญเธอรู้ดี

   แต่มันก็ทำใจได้ยากกับรักครั้งใหม่ที่กำลังจะก่อตัว ไม่สิอาจจะเป็นรักที่เรียกว่ารักจริงๆ ที่ไม่ใช่ผลประโยชน์อย่างที่เคย
แน่นอนว่ามันยากจนเธอไม่รู้ว่าจะเลือกฝั่งไหนดี

   “ช่วงนี้แกควรจะเก็บตัว อย่าออกไปไหนมากนัก อีกไม่ถึงเดือนแกก็ต้องเข้าพิธีหมั้นแล้ว ฉันไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด
โดยเฉพาะเรื่องของไอ้ฝรั่งคนนั้น”

   “ค่ะ เดหลีจะพยายามทำตามที่พ่อสั่งก็แล้วกัน”

   ดวงตาคมสวยจ้องมองตามแผ่นหลังของบิดาเดินออกไปจากห้อง ในเวลานี้เธอค่อนข้างจะสับสนกับการจัดการเรื่องราว
วุ่นวายที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวเอง ระหว่างจะยอมให้มันเป็นของบิดาต่อไปโดยการแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รู้สึกถึงความรักที่มีให้
กัน กับการทำให้ชีวิตนี้เป็นของตัวเองโดยเลือกความรักที่ทำให้เธอมีความสุข ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนกับวันสำคัญที่ใกล้เข้ามาทุกที



   ------------------------------------------------------------------------------



   “มีดอกไม้มาส่งอีกแล้วนะครับ”แทนทัพหอบเอาช่อดอกไม้ช่อใหญ่เข้ามาในห้องทำงานของชายหนุ่ม กลิ่นหอมฟุ้งของมัน
ลอยเข้ามาเตะจมูกทันทีที่ประตูห้องเปิดเข้ามาส่งผลให้เรียวคิ้วยาวได้รูปขมวดมุ่น

   “เอามันไปทิ้ง”ขนมผิงบอกอย่างที่เคยบอกเหมือนเดิมทุกวัน แต่ก็ไม่วายปลายตามองดอกไม้ในอ้อมแขนของเลขาด้วย
ความคาดเดา

   วันนี้เป็นดอกคาเนชั่นสีเหลืองสินะ เข้าใจเลือกเอาแต่ดอกไม้สีหวานๆส่งมาให้ทุกวันๆเห็นว่าเขาเป็นผู้หญิงที่ชอบดอกไม้รึ
ไงกัน

   หลายวันมานี้ ไม่สิเรียกว่าอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ มีดอกไม้มาส่งให้ทุกวัน แต่ละวันก็จะไม่ซ้ำสีกัน และทุกวันดอกไม้ช่อสวย
พวกนั้นมันก็ต้องเจอกับชะตากรรมที่น่าสังเวชนั่นก็คือตกลงไปอยู่ในถังขยะที่ที่มีไว้สำหรับรองรับในสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ

   และมันยิ่งเพิ่มความไม่พอใจเมื่อนึกถึงเจ้าของดอกไม้พวกนี้ที่หายหน้าไปเป็นอาทิตย์ นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป ไม่อยาก
จะยอมรับว่าความรู้สึกเสี้ยวหนึ่งของเขามันเหมือนกับบางส่วนในชีวิตมันขาดหายไป

   ขนมผิงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายพับปิดแลปทอปตรงหน้าลงก่อนจะเดินออกจากห้อง



   “ผมจะกลับแล้ว ไว้พรุ่งนี้ผมจะเข้ามาอีกทีช่วงสายนะครับ ผมฝากที่เหลือด้วย”ขนมผิงบอกกับแทนทัพ

   สายตาสะดุดเข้ากับช่อดอกคาเนชั่นสีเหลืองในถังขยะข้างโต๊ะ ไม่รู้อะไรดลใจให้ก้มลงไปเก็บมันขึ้นมาจากถังขยะ คงเป็น
เพราะเขาสงสารดอกไม้พวกนี้ที่ต้องเจอชะตากรรมที่น่าหดหู่ ทั้งที่พวกมันดูสวยงามและมีคุณค่าขนาดนี้ แต่กลับต้องโดนทิ้งลง
ไปในถังขยะทั้งที่ยังไม่เหี่ยวเฉา เขาคงจะใจร้ายกับมันเกินไป ขนมผิงแสร้งว่าตัวเองคิดเช่นนั้นทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่

   ระหว่างขับรถกลับบ้านพยายามควบคุมจิตใจไม่ให้เหม่อลอยต่อว่าตัวเองที่คาดหวังว่าจะเจอใครบางคนยืนรออยู่ที่รถ
เหมือนกับหลายวันก่อน ทั้งที่จริงๆแล้วเขาไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจมันเลยสักนิด และหลายครั้งในระหว่างที่รถติดไฟแดงมันเป็นไป
โดยที่เขาไม่ทันระวังตัวให้ตัวเองหันไปมองดอกไม่ช่อใหญ่ที่วางอยู่บนเบาะด้านข้าง ปิญญ์ชานนท์ช่างเป็นคนที่ร้ายกาจเกินกว่า
ที่คิด ทำให้เขาวุ่นวายใจแม้กระทั่งตอนที่ไม่ได้เจอหน้า



   ------------------------------------------------------------------------------------



   “มีอะไรรึเปล่าคะ ทำไมถึงได้นัดเดหลีออกมา”หญิงสาวถอดแว่นตากันแดดออกขณะทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามของชายหนุ่ม
โดยไม่รีรอคำเชิญในร้านอาหารที่เธออุตส่าห์ขับรถมาไกลเพื่อจะมาที่นี่

   “แน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้ว”

   “รีบว่ามาสิคะ เดหลีมีเวลาไม่มาก ที่สำคัญเราสองคนไม่น่าจะออกมาเจอกันด้วยซ้ำ เห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีที่เรามีต่อกัน
เดหลีถึงได้ยอมออกมาเจอพี่”เดลีรีบตอบ จ้องมองสายตาที่เคลือบแคลงอะไรบางอย่างของชายหนุ่มเบื้องหน้ายิ่งทำให้เธอหวั่น
คงไม่ใช่จะมาขอคืนดีกับเธอทั้งที่เธอกำลังหมั้นในอีกไม่ถึงเดือนหรอกนะ เดหลีครุ่นคิดอย่างอึดอัดใจ

   “ฉันจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ ยกเลิกงานหมั้นซะ”

   “อะ อะไรนะคะ”ดวงตากลมสวยเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

   “ก็อย่างที่บอก ยกเลิกงานหมั้นซะถ้าเธอยังอยากที่จะรักษาหน้าตาทางสังคมของเธอกับพ่อขอเธอต่อไป”

   “พี่ปิญญ์พูดอะไร คงไม่ใช่ว่าจะมาขอคืนดีกันหรอกนะคะ บอกไว้ก่อนว่าไม่ว่ายังไงพ่อก็ไม่ยอมเห็นด้วยแน่นอน”

   “ไม่ใช่แน่นอน ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องทำอย่างนั้น เธอเองก็รู้ดี จริงไหม”

   “เดหลีไม่รู้หรอกนะคะว่าพี่ปิญญ์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่เรื่องงานหมั้นมันยกเลิกไม่ได้หรอกคะ ถ้าจะคุยเรื่องนี้เดหลีว่าเรา
ไม่ต้องคุยกันซะยังจะดีกว่า พ่อต้องไม่พอใจแน่ถ้ารู้ว่าพี่ปิญญ์เรียกเดหลีออกมาคุยเรื่องนี้”เดหลีทำท่าจะลุกหนีกับบทสนทนาที่
ทำให้เธอเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข

   “ใช่ พ่อเธอต้องไม่ชอบใจแน่ๆที่ลูกสาวกำลังจะเป็นชู้กับเมียคนอื่น”

   “พี่ปิญญ์กำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ เดหลีไม่ค่อยเข้ใจว่าพี่ปิญญ์พูดอะไร”เธอชะงักแล้วนั่งลง ใบหน้าบูดบึ้งอย่างไม่พอใจ
แล้วยิ่งสรรพนามที่ถูกยกขึ้นมายิ่งทำให้เธอยิ่งพาลไม่เข้าใจเข้าไปอีก

   “คราวนี้ยอมคุยง่ายๆเลยสินะ”

   “ใครเป็นชู้อะไรกัน พี่ปิญญ์พูดให้ดีดีนะคะ”

   “ไม่ชอบให้พูดถึงเรื่องนี้รึไง งั้นฉันจะพูดถึงเรื่องอื่นก็แล้วกันนะ”ปิญญ์ชานนท์เหยียดยิ้มออกมา มือหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออก
มาก่อนจะวางลงตรงหน้าของหญิงสาว

   ทันทีที่เห็นดวงตาของเดหลีก็เบิกกว้าง ภาพของเธอกับมาเวลแน่นอนมันปรากฏอยู่บนหนังสือข่าวซุปซิบหรือแม้กระทั่ว
รายการข่าวเม้าแทบทุกที่ที่เกี่ยวกับวงการบันเทิงแต่มันต้องไม่ใช่ภาพถ่ายในแบบอิงแอบแนบชิดที่วางอยู่เบื้องหน้าของเธอ
ปิญญ์ชานนท์มีรูปแบบนี้ได้ยังไงกัน

   “พี่ปิญญ์เอามันมาจากไหน”

   “สำคัญด้วยเหรอว่าฉันจะเอามาจากไหน เอาเป็นว่า เธอคิดว่าเหมาะสมแล้วรึไงที่หมั้นกับขนมผิงทั้งๆที่มีคนอื่นอยู่แล้ว”

   “พี่ปิญญ์จะไปรู้อะไร ทางที่ดีพี่อย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้จะดีกว่า”เธอรีบคว้ารูปถ่ายตรงหน้ามาใส่กระเป๋าถือของเธอทันควัน
ราวกับกลัวว่าใครจะผ่านมาเห็น

   “จะไม่ให้ฉันยุ่งไม่ได้หรอกนะ ส่วนรูปถ่ายพวกนี้ฉันยังมีเก็บไว้อีกเยอะ เธออยากจะดูรึเปล่าล่ะ”ดวงตาคมกริบจ้องมองไป
ยังหญิงสาวไม่หวาดหวั่น

   ในเวลานี้เขาอาจจะดูเหมือนนางร้ายในละครที่เที่ยวหาเรื่องคนอื่นไปทั่วเพื่อให้ได้พระเอกมาครอบครอง แต่ใครล่ะจะสนถ้า
หากสุดท้ายแล้วผลลับมันคือสิ่งที่เขาต้องการเพื่อคนที่เขารัก

   “ไม่จริง พี่โกหก”

   “อยากจะดูไหมล่ะ”รูปถ่ายใบใหม่ถูกวางลงบนโต๊ะ คราวนี้มันยิ่งทำให้เดหลีแทบจะอยู่ไม่เป็นสุข เธอรีบคว้าเอานั้นเก็บลง
ใส่กระเป๋าแทบจะวินาทีเดียวกับที่ปิญญ์ชานนท์วางมันลง มันเป็นรูปที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นรูปส่วนตัวของเธอกับมาเวลเลยก็ว่า
ได้

   “พี่ปิญญ์ทำอย่างนี้ทำไม เอารูปพวกนี้มาจากไหน ยะ อย่าบอกนะว่ารูปที่นักข่าวเอาไปลงนั่นมาจากพี่”เสียงเริ่มสั่นพร่าใน
ทันทีที่เธอจ้องมองดวงตาคมดุที่ดูเหมือนจะถือไพ่เหนือกว่า

   “นั่นมันก็แล้วแต่เธอจะคิด เอาเป็นว่าเรามาตกลงเรื่องของเรากันดีกว่า”

   “ตะ ตกลงเรื่องอะไร เพราะพี่ไม่พอใจที่เดหลีถอนหมั้นใช่ไหม พี่ปิญญ์ถึงได้ทำแบบนี้”

   “เรื่องนั้นฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันเลยสักนิด แต่กลับกันฉันขอบอกเลยว่าฉันสบายใจที่ไม่ต้องแต่งงานกับเธอ”

   “แล้วทำไมพี่ปิญญ์จะต้องทำอย่างนี้ด้วย”มือบางเล็กเริ่มสั่น จิกลงบนกระโปรงเนื้อลื่นจนมันยับยู่ยี่ เรียวฟันขบริมฝีปากแดง

ฉาดแน่นราวกับว่าไม่รู้สึกเจ็บยามที่ฟันนั้นขบลงไป อาจจะเพราะเรื่องที่เธอกำลังเผชิญอยู่นั้นมันหนักหนาซะยิ่งกว่า

   “ฉันขอบอกเลยว่าที่ฉันทำไปไม่เกี่ยวอะไรกับความแค้นเลย ฉันแค่ต้องการให้เธอยกเลิกงานหมั้น”

   “ไม่มีทาง เดหลียกเลิกงานหมั้นไม่ได้”

   “แล้วเธอจะหมั้นกับขนมผิงทั้งที่ยังคบกับเพื่อนฉันอยู่มันไม่ดูเห็นแก่ตัวไปหน่อยรึไงเดหลี”

   “พะ เพื่อน? หมายความว่าไงคะ”เธอเงยเชิดหน้าขึ้นมองด้วยความไม่พอใจ “ทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะพี่ พี่เป็นคนทำ!?”

   “ใช่ ฉันเป็นคนทำเอง”

   “ไม่จริง! เดหลีไม่นึกเลยว่าพี่ปิญญ์จะเลวได้ขนาดนี้ ยังไงซะเดหลีก็ไม่ยอมยกเลิกงานหมั้นแน่ ใครจะไปสนใจเรื่องขอ
งมาเวลกัน ก็แค่บอกกับคนอื่นว่าเป็นแค่คนรู้จัก รูปนั่นมันก็แค่มุมกล้อง พอหมั้นแล้วเดี๋ยวคนอื่นก็ไม่สนใจไปเอง”

   “ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เข้าใจอะไรง่ายๆสินะ อย่าคิดนะว่าฉันจะไม่กล้าทำ ต่อให้เรียกว่าฉันรังแกผู้หญิงฉันก็จะไม่ปราณีเธอ
หรอกนะ”ปิญญ์ชานนท์พยายามข่มเสียง

   ใครจะรู้ว่าเดหลีจะไม่ยอมง่ายๆขนาดนี้ ทั้งที่เขาขู่ด้วยรูปแบบนั้น ดูเหมือนว่าใจของเธอส่วนมากจะเอนเอียงไปทางผล
ประโยชน์ที่ครอบครัวจะได้รับมากกว่าชื่อเสียงของตัวเอง

   “เดหลีไม่สนหรอกค่ะ ถ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วเดหลีขอตัว ส่วนรูปพวกนั้น แค่ใช้เงินปิดข่าวก็คงพอเชิญพี่ปิญญ์ทำไปเถอะ
ค่ะ”

   “งั้นเธอคงจะสนเรื่องที่ว่าที่คู่หมั้นที่เธออยากจะได้แท้จริงแล้วเป็นเมียของฉันสินะ”

   “พูดบ้าๆอะไรของพี่”

   “เธอคงไม่อยากเอาเมียของคนอื่นมาเป็นสามีของตัวเองหรอกนะ”ปิญญ์ชานนท์แสยะยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจพลาง
กอดอกจ้องมองหญิงสาวที่ตัวสั่นระริกอย่างมีชั้นเชิง

   “ไม่จริง”

   “จริงไม่จริงเธออยากจะรู้เรื่องมากกว่านี้ไหมล่ะ ฉันรู้แม้กระทั่งไฝทุกเม็ด รอยแผลเป็นทุกที่บนร่างกายของขนมผิง แล้วเธอ
ล่ะ รู้อะไรเกี่ยวกับเขาอาหารที่ชอบ ที่ที่ชอบไป หรือแม้กระทั่งนิสัยที่แท้จริง เธอรู้เรื่องของขนมผิงบ้างรึเปล่าล่ะ”

   “ทะ ทุเรศที่สุด คุณผิงไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่”

   “อย่างเธอจะไปรู้อะไร เธอมันก็แค่ฉากเบื้องหน้าเอาไว้ซ่อนความเป็นจริงเบื้องหลังที่ไม่มีใครรู้ เธอไม่คิดอย่างนั้นรึไง”

   “เดหลีไม่เชื่อ นั่นมันน่าขยะแขยงจะตายไป”

   “ที่เธอทำอยู่มันก็ไม่ต่างกันหรอกนะ หัดใช้ชีวิตให้มีค่าซะบ้าง เลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ใช่เลือกในสิ่งที่พ่อของเธอ
ต้องการ ยกเลิกงานหมั้นซะถ้าหากว่าเธอไม่อยากจะเสียใจไปมากกว่านี้ แล้วอีกอย่างถ้าเรื่องพวกนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มันคงไม่ดี
ต่อตัวของคนที่กำลังลงเล่นการเมืองหรอกนะ”

   “บ้าที่สุด!! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”หญิงสาวผลุดลุกทันทีราวกับต้องการจะหลีกหนีความเป็นจริงที่พึ่งจะรับรู้


   “อย่าลืมยกเลิกงานหมั้นให้ฉันด้วยล่ะ ก่อนที่ฉันจะไปยกเลิกมันด้วยตัวเอง และพ่อของเธอจะต้องขายหน้าไปมากกว่า

นี้”ปิญญ์ชานนท์คว้าข้อมือบางของเดหลีเอาไว้ แต่กลับถูกสะบัดออกอย่างแรงราวกับว่าเป็นการรังเกียจ ดวงตากลมโตตวัดมอง
ด้วยความไม่พอใจก่อนที่ผ่ามือของหญิงสาวจะตบลงมาฉาดใหญ่เรียกให้แขกที่อยู่ในร้านต่างก็มองกันมาเป็นตาเดียว


   “มันเจ็บนะรู้ไหม”ปิญญ์ชานนท์บอกพลางยกยิ้มเล็กน้อยให้กับหญิงสาวราวกับยั่วอารมณ์ให้ยิ่งขุ่นเคือง

   “มันยังน้อยไปสำหรับพวกเกย์น่ารังเกียจอย่างพวกแก”แก้วน้ำใกล้มือถูกหยิบยกขึ้นมาก่อนจะสาดลงมาบนใบหน้าของชาย
หนุ่มอย่างแรงก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไปพร้อมกับความไม่พอใจที่ยากจะรับรู้ว่ามันมากเพียงใด

   ชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดปาดขึ้นมาซับหยดน้ำบนใบหน้าอย่างเชื่องช้า ถึงแม้จะทั้งถูกตบและถูกสาดน้ำใส่หน้าให้คนรอบข้าง
ได้มองราวกับเป็นเรื่องน่าอาย แต่เขากลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย ปิญญ์ชานนท์ยิ้มให้กับตัวเอง เขาทำสำเร็จไปครึ่งทาง แค่เรื่องเล็ก
น้อยที่ต้องเสียไปกับสิ่งที่ได้มามันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

   เขาไม่รู้เลยว่าถ้าหากสิ่งที่เขาทำอยู่มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดอยู่ในละคร ไม่อยากจะคิดเลยว่าเขาจะได้รับบทเป็นตัวอะไรกัน
แน่ แต่ที่แน่ๆคงไม่ใช่บทพระเอกที่แสนดีแน่นอน



   -------------------------------------------------------------------------------------------



   “เอาดอกไม้กลับมาอีกแล้วเหรอผิง เมื่อวานสีเหลืองวันนี้แดงสวยเชียว คงไม่ใช่ผู้หญิงที่ไหนให้มาหรอกนะ”ลำดวนเอ่ยทัก
ลูกชายทันทีที่ลูกชายเดินเข้าบ้าน

   “ไม่ใช่หรอกครับ จะทิ้งก็เสียดาย ผิงเลยว่าจะเอามาใส่แจกัน ว่าแต่เด็กๆไปไหนกันหมดครับแม่ เงียบผิดปกติ”ขนมผิงตอบ
แบบขอไปที ไม่อยากจะใส่ใจกับเจ้าของดอกไม้นี่สักเท่าไร ทั้งๆที่ช่วงนี้ทำตัวหน้าด้านหน้าทนขนาดนั้นแล้วแท้ๆ จู่ๆก็ทำตัวหาย
เงียบไป โผล่มาก็แต่ดอกไม้แต่ละวันไม่ซ้ำกัน

   “อยู่ในห้องนั่งเล่นกับนิวกับแนนเขานั่นแหละ เห็นบ่นว่าอยากไปทะเล ไว้วันที่ผิว่าๆแม่ว่าเราไปเที่ยวทั้งครอบครัวก็ดี
เหมือนกัน ช่วงนี้ฝนก็ไม่ค่อยตกแล้วด้วย”

   “เอางั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวผิงขอตัวไปหาเด็กๆก่อน เอานี่ ดอกไม้ ผิงยกให้แม่”

   ขนมผิงยิ้มให้มารดาก่อนจะเดินแยกไปยังห้องนั่งเล่นที่ผันตัวเองมาเป็นสวนสนุกขนาดย่อ ได้ยินเสียงหัวเราะเจี๊ยวจ๊าวดัง
ลอดออกมาตั้งแต่ยังไม่ได้ก้าวผ่านพ้นประตู

   จะว่าไปเสียงหัวเราะของลูกก็เป็นยาชั้นดีอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ที่ทำให้สามารถลืมเรื่องกลุ้มใจหลายๆเรื่องได้พักใหญ่

   “ปะป๊ากลับมาแล้ว”

   “ปะป๊ากิมคิดถึงฮะ”

   “หลิ่มก็คิดถึงปะป๊า หลิ่มอยากไปทะเลฮะ”

   “คุณยายบอกว่าจะพากิมกับน้องหลิ่มไปทะเล ปะป๊าให้ไปไหมฮะ”

   “ให้ไปสิครับ ปะป๊าก็จะไปด้วย”ขนมผิงพยักหน้ารับ อุ้มเจ้าเด็กแฝดคนน้องที่นับยิ่งจะยิ่งโตเร็วขึ้นมานั่งตัก ส่วนคนพี่อ้อม
หลังของเขาแล้วกระโดดเกาะคอ หอมแก้มเขาอย่างเอาใจ

   ช่วงนี้เวลาจะขออะไรเจ้าเด็กแฝดเป็นอย่างนี้ทุกที จะเข้ามาคลอเคลียและผลัดกันหอมแก้ม ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคน
สอนมา แต่ที่แน่ๆมันค่อนข้างจะได้ผลมากเลยทีเดียว

   “ปะป๊า”

   “หืม? ว่าไงครับ”

   “หลิ่มคิดถึงพ่อปิน ให้พ่อปินไปทะเลด้วยกันนะฮะ”

   “นะฮะปะป๊า ให้พ่อปินไปด้วย เหมือนที่พ่อปินเคยพาไป”เด็กๆต่างก็ช่วยกันร้องขอ

   ตอนนี้ขนมผิงรู้สึกว่าตัวเองอิจฉาที่เด็กๆชอบเรียกหาปิญญ์ชานนท์จนเริ่มจะชินไปซะแล้ว เขานิ่งคล้ายกับกำลังครุ่นคิด
อะไรอยู่พักหนึ่ง

   บางทีการที่ปิญญ์ชานนท์ทำตัวแบบนั้นในช่วงนี้มันก็อาจจะเป็นเพราะต้องการที่จะอยู่ใกล้เด็กๆ ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ความจริง
แล้วว่าตัวเองเป็นพ่อของปลากริมกับสลิ่มยิ่งเป็นไปได้ว่าต้องการที่จะทำหน้าที่ของพ่อ ตามที่เจ้าตัวได้ยืนยันคำตอบเอาไว้ หาก
แต่คนอย่างปิญญ์ชานน์น่ะเหรอที่จะเปิดกว้างจิตใจที่คับแคบพอที่จะยอมรับใครเข้าไปได้

   แล้วเด็กๆล่ะรักปิญญ์ชานนท์และต้องการอีกฝ่ายมากแค่ไหน เป็นเพราะความผูกพันธุ์ชั่วครั้งชั่วคราวหรือว่าความสัมพันธ์ที่
เขามองไม่เห็นกัน

   “คนคนนั้นเขาคงจะยุ่ง คงไปกับเราด้วยไม่ได้หรอกครับ”ขนมผิงยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มนิ่มสีดำเงาของแฝดตัวแสบสลับกัน

   “ปะป๊าก็ชวนพ่อปินสิฮะ”

   “นะฮะปะป๊า ปะป๊าชวนพ่อปินให้หน่อยนะฮะ พ่อปินต้องอยากไปกับพวกเราแน่เลย”

   “เขาคงไม่อยากไปหรอก”ตอบไปแบบนั้น แต่ถ้าเผลอไปชวนคนที่ทำตัวหน้าด้านหน้าทนในช่วงนี้อย่างปิญญ์ชานนท์ล่ะก็
ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะปฏิเสธ จะว่าไม่ต้องออกปากชวนถ้ารู้ก็คงจะเสนอตัวอยากตามไปแน่นอน ขนมผิงมั่นใจกับความคิดของตัว
เอง

   “แต่ปะป๊ายังไม่ได้ชวนเลยนะฮะ”

   “ปะป๊าไม่อยากให้พ่อปินไปเหรอฮะ”

   “ทำไมปะป๊าต้องอยากให้เขาไปด้วนล่ะครับ เราไปด้วยกันกับคุณตาคุณยายก็พอนี่ครับ”ขนมผิงรู้สึกเหมือนจะร้อนขึ้นมา
เมื่อตากลมโตเต็มเปี่ยมไปด้วยประกายของความอ้อนวอนกำลังจ้องมองเขาถึงสองคู่ เด็กๆต่างก็พากันเบ้ปากทำท่าจะร้องยิ่งพาล
กดดัน

   “ปะป๊าเกลียดพ่อปินเหรอฮะ”

   “เปล่าครับ”

   จะให้ตอบอย่างนั้นต่อหน้าเด็กๆมันก็คงเป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างจะไม่ดี แต่ถ้าจะย้อนกลับมาถามตัวเองเพื่อเอาความจริงแล้ว
ล่ะก็ ก่อนหน้าที่เขาทั้งเกลียดทั้งชังอีกฝ่ายจนอยากจะให้หายไปจากโลกนี้ แล้วตอนนี้ล่ะ คำตอบเดิมที่ว่ามันหายไปไหนแล้ว
เขาเองก็ยังตอบความสงสัยของตัวเองไม่ได้เลย

   “เย้ๆ ปะป๊าชวนพ่อปินไปด้วยนะฮะ ไปด้วยกัน”

   “เย้ๆ พ่อปินไปด้วย”





   ถูกมัดมือชก แก้มทั้งสองข้างถูกผลัดกันหอมจนคิดว่ามันใกล้จะช้ำเต็มทน ขนมผิงถอนหายใจทิ้งตัวลงกับโซฟาทำเหมือน
จะไร้เรี่ยวแรงจ้องมองข่าวรอบดึกบนทีวีที่ไม่ได้สนใจจะดู เหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน และมองหน้าโทรศัพท์ของตัว
เองมองสลับกันวนไปวนมาอยู่ร่วมชั่วโมงหลังจากส่งเด็กๆเข้านอนเสร็จ พ่อกับแม่ต่างก็พากันขึ้นนอนแล้ว เหลือก็เพียงแต่เขา

   คิดอยู่ว่าจะโกหกเด็กๆว่าออกปากชวนแล้วแต่ถูกปฏิเสธ แต่ก็ทำไม่ลง ลึกๆแล้วฝั่งนั้นเองก็เป็นพ่อ บางทีการยอมลดให้อีก
เล็กน้อยเพื่อให้เวลาของพ่อกับลูกบ้างคงไม่เสียหายอะไร แต่จู่ๆจะให้โทรไปออกปากชวน ถ้าทำอย่างนั้นก็เหมือนกับการที่เขา
ไปอ้อนวอนให้อีกฝ่ายไปด้วย มันไม่ต่างกันเลยสักนิด อีกอย่างเด็กๆก็ลงทุนผลัดกันอ้อนผลัดกันหอมแก้มจนแทบช้ำขนาดนี้ กับ
ดอกไม้พวกนั้นอีก

   เวลาที่คนคิดอะไรหลายๆเรื่องในเวลาเดียวกันขนมผิงรู้สึกได้ทันทีว่าสมองมันเหมือนกับอยากจะระเบิดออกมา อยากจะ
ตะโกนออกไปให้สุดเสียงเพื่อปลดปล่อยความอึดอั้นที่อัดอั้นเอาไว้

   เบอร์โทรเปิดทิ้งเอาไว้แล้ว เหลือแค่แตะมันเบาๆให้เจ้าเครื่องนั้นทำการโทรออก ทิ้งไว้อย่างนี้มาร่วมชั่วโมง ในที่สุดขนม
ผิงก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เรื่องอะไรที่เขาจะต้องยอมลดให้กับปิญญ์ชานนท์

   พอคิดเช่นนั้นก็ลุกขึ้นเพื่อที่จะเตรียมตัวเข้านอนอย่างสบายใจทว่าผิดพลาดเพียงแค่ปลายก้อยที่แตะไปที่เครื่องมือสื่อสาร
ราคาแพง

   “บะ บ้าแล้ว”

   ขนมผิงสบถโทรศัพท์แทบร่วงหล่นลงบนพื้นพรมหนา จะเรียกว่าตกใจจนตั้งตัวไม่ทันก็ว่าได้

   ‘หายากนะที่นายจะเป็นฝ่ายโทรมาหาฉันเอง’

   ตัดสายไม่ทันเสียแล้ว เสียงปลายสายดังเล็ดลอดออกมาเมื่ออีกฝ่ายรับสายเร็วเกินคาดจะให้ตัดสายตอนนี้ก็ดูขี้ขลาด ให้

บอกว่าโทรผิดก็คงน่าสมเพชที่เขามีเบอร์อีกฝ่ายเอาไว้ในเครื่อง

   “อะ อืม”

   ‘นายมีอะไรรึเปล่า หรือว่าคิดถึงฉันกันล่ะ’

   “เรื่องดอกไม้ ผมไม่ชอบ มันน่ารำคาญเลิกส่งมาสักที”ปั้นเสียงแข็งใส่

   ‘ฉันนึกว่านายจะคิดถึงฉันบ้าง’

   “พูดไร้สาระ”

   ‘แต่ฉันคิดถึงนาย’เสียงทุ้มหูตอบกลับ

   ขนมผิงรู้สึกว่าปลายเท้ามันชาไปชั่วขณะใบหน้าร้อนวูบขึ้นมา มือกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น จะให้ตอบว่ายังไงเมื่อปิญญ์ชา
นนท์บอกมาอย่างนั้น เขาคิดไม่ออก

   “อัน…ที่จริง เด็กๆให้ผมมาชวนคุณ ครอบครัวเรากำลังจะไปทะเล แต่คุณคงจะไม่ว่างอยู่แล้ว แค่นี้ละกัน”

   ‘เดี๋ยวสิ นายไปกันวันไหนล่ะ’

   “อย่าเลยผมแค่มาชวนตามคำขอร้องของเด็กๆ คุณคงไม่อยากไปเป็นส่วนเกินของครอบครัวผมหรอกนะ”

   ‘นายอย่าลืมสิว่าที่จริงแล้วฉันก็เป็นส่วนหนึ่งของครับครัวนาย เรียกว่าอะไรดี ลูกเขยไหม’

   “อย่าคิดไปเอง”

   ‘หึหึ แล้วจะไปกันวันไหนล่ะ’

   “วันหยุดสุดสัปดาห์”ขนมผิงตอบ ถ้าปิญญ์ชานนท์ไปด้วยกันจริงๆจะไปในฐานะของอะไร แล้วจะมีอะไรรับประกันว่าความ
ลับที่ว่าปิญญ์ชานนท์นั้นเป็นพ่อของเด็กๆจะถูกปิดเอาไว้ได้นานอีกสักแค่ไหน พอคิดแล้วใจมันก็สั่นขึ้นมา



   ‘ขอโทษที่ฉันไปด้วยไม่ได้ วันนั้นฉันมีนัด ฝากบอกเด็กๆด้วย ว่าฉันคิดถึงพวกเขามาก’แต่คำตอที่ได้รับกลับมานั้นทำให้
ขนมผิงหน้าชา

   “อืม ก็ดี”

   ‘ดึกมากแล้ว นายเองก็น่าจะนอนได้แล้ว ดูแลตัวเองด้วย ฝันดี’

   เสียงทุ้มตอบกลับมา น่าจะดีใจที่ถูกปฏิเสธ แต่มันอาจจะเป็นเพราะได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิดก็เป็นได้ถึงได้รู้สึกผิดหวังแบบ
นี้

   ในระหว่างที่กำลังจะเดินกลับไปยังห้องนอน สายตาก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่มันถูกทิ้งอยู่ในถังขยะทั้งที่สภาพของ
มันยังใหม่อยู่แต่ทำไมถึงถูกทิ้งลงถังขยะได้

   ขนมผิงก้มตัวลงหยิบนิตยสารขึ้นมาสำรวจอย่างข้อใจ ปกติแล้วถ้าหากเป็นเล่มเก่าหรือไม่ได้อ่านแล้วมันก็น่าจะไปอยู่ที่
ห้องเก็บของเตรียมขายเป็นของเก่าไม่ใช่รึไง

   ความสงสัยทำให้ฉุกคิดว่ามันคงจะมีอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน สายตาสะดุดเข้ากับหัวข้อที่อยู่บนหน้าปก ความจริงแล้วสิ่งที่
ทำให้เขาหนักใจในช่วงนี้มันก็คงเป็นข่าวของเดหลีที่ถูกปาปารัชซี่จับภาพได้กับหนุ่มชาวต่างชาติที่ขนมผิงเองก็ไม่รู้จัก

   แต่นั่นมันอาจจะแค่ความบังเอิญ หรือถ้าเป็นจริงมันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขากับเดหลีเป็นอันต้องแยกกันเดินไปทางใคร
ทางมันอย่าที่ในเวลานี้เขาอยากจะให้มันเป็น จะว่าข่าวยังไงก็คือข่าว อาจจะมีจริงและไม่จริง ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าหากเป็นจริงผลดีของ
มันอาจจะทำให้เขายกเลิกงานหมั้นได้โดยที่ครอบครัวไม่เสียหาย เพราะฝั่งนั้นทำตัวเอง เขาภาวนาให้มันเป็นอย่างนั้น นับวันเด็ก
ที่อยู่ในท้องยิ่งโตมากขึ้นไปทุกที

   ดังนั้นขนมผิงจึงไม่ใส่ใจกับข่าวเสียหายที่มันเกิดขึ้น จะว่าไปเขาทำตัวเย็นชากับเรื่องที่เกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ แต่พอนึกถึงปิญญ์ชานนท์ ขนมผิงเองก็ยังข้องใจและติดใจ ทำไมถึงได้ยืนยันให้เขายกเลิกงานหมั้นทั้งที่ไม่เกี่ยวอะไรกันเลย
   หน้าแล้วหน้าเล่าถูกเปิดผ่านไปด้วยความสงสัย แต่แล้วคำตอบที่มันติดค้างอยู่ในใจก็ปรากฏ

   เป็นเพราะอย่างนี้นี่เองปิญญ์ชานนท์ถึงได้ยืนยันให้เขายกเลิกงานหมั้น เพราะอย่างนี้ถึงได้ปฏิเสธคำชวนของเขาและเด็กๆ 
ทั้งหมดมันก็เป็นเพียงแค่แผนการของผู้ชายเจ้าเล่ห์ที่ทำเพื่อผลประโยชน์ที่เคยเสียไปของตัวเอง ปิญญ์ชานนท์ก็คือปิญญ์ชา
นนท์อยู่วันยันค่ำไม่มีทางเปลี่ยนแปลงขึ้นมาได้ ขนมผิงตอกย้ำความคิดผิดๆของตัวเองซ้ำไปซ้ำมาก่อนจะโยนนิตยสารเล่มนั้นลง
ถังขยะดังเดิมโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองมันอีกเลย



   -----------------------------------------------------------------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 08:07:06 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
ต่อ

   “เด็กๆโตไวนะครับ”เสียงทักจากเลขาหนุ่มเรียกให้ปิญญ์ชานนท์หลุดจากภวังค์จากที่นั่งอมยิ้มให้กับรูปถ่ายของทั้งลูกชาย
และทั้งขนมผิงที่กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน ภาพถ่ายที่ถูกส่งมาจากคนที่เขาส่งไปตามติดเด็กๆกับขนมผิง

   น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ไปด้วย พอคิดแล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจ ยืดหลังตรงปิดแฟ้มเอกสารเบื้องหน้าลง

   “อืม โตเร็วจนฉันเริ่มกังวลว่าโตไปเด็กๆจะอ้วน”

   ปิญญ์ชานนท์พูดติดตลกกับนิสัยเจริญอาหารของเด็กๆ เงยหน้าขึ้นมองเลขา

   “การประชุมก็เสร็จไปพักใหญ่แล้ว ทำไมคุณถึงยังนั่งอยู่ในห้องประชุมอยู่อีกล่ะครับ”


   “นายเองก็กลับบ้านไปได้แล้ววันนี้วันหยุดไม่ใช่รึไง ขอบใจนายมากที่ช่วยฉันเตรียมการประชุมครั้งนี้”

   “มันเป็นหน้าที่นี่ครับ คุณปิญญ์เองก็น่าจะกลับไปพักผ่อนนะครับ ช่วงนี้คุณทำงานหนักมาก”

   “อืม เดี๋ยวฉันก็กลับแล้วล่ะ”

   ปิญญ์ชานนท์ตอบ การประชุมในวันหยุดถูกจัดขึ้นตอบรับความสะดวกของลูกค้าใหม่ชาวต่างชาติที่ดันมาสะดวกเอาวัน
หยุด ซ้ำยังเป็นวันหยุดที่สุดแสนจะสำคัญแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

   เวลานี้ถ้าเทียบกันแล้วถึงแม้ว่าอนันตไพลินกับมณีรัตน์จะไม่ถือว่าเป็นคู่แข่งกัน แต่เรื่องความเหนือกว่าคงเรียกไม่ได้จาก
เรื่องที่เคยเกิดขึ้นจากความแค้นผิดๆ ทั้งสององค์กรในตอนนี้แทบจะเรียกว่าทัดเทียมกันในผลประกอบการ และถ้าหากเขา
ต้องการที่จะสวมบทบาทของคนเป็นพ่อและเป็นสามี การเป็นเขยบ้านนั้นแค่สิ่งที่มีอยู่มันคงจะไม่เพียงพอและไม่เหมาะสม การ
ขยายตลาดทางการค้าออกไปเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หวังว่าว่าที่พ่อตาแม่ยายของเขาจะพึงพอใจในความพยายามที่เขาอุตส่าห์อดทน
กัดฟันทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับงานจนไม่มีเวลาไปเจอหน้าลูกเมีย


   ---------------------------------------------------------------------------------------------

   เคร้งงงง!!!

   “แกพูดบ้าอะไร นี่แกกำลังจะทำให้ฉันอกแตกตายแกรู้ตัวบ้างไหม!!”เสียงห้วนของชายสูงวัยตวาดก้องส่งผลให้หญิงสาว
สะดุ้งเล็กน้อย จ้องมองเศษแก้วเกลือนกระจายเต็มพื้นจากโทศะของบิดา

   “เดหลีก็บอกไปแล้วว่าเดหลีจะยกเลิกงานหมั้น”

   “ไม่ได้!! แกบ้าไปแล้วรึไง แกก็รู้ว่าถ้างานหมั้นของแกล่มถึงสองครั้งสองคราวหน้าฉันจะแตกยับเยินแค่ไหน”

   “แล้วพ่อจะให้เดหลีทำยังไงคะ ให้ตายเดหลีก็ไม่ยอมแต่งงานกับคุณผิงแน่”เดหลียื่นคำขาดด้วยเสียงแข็ง ขบฟันลงบนริม

ฝีปากเคลือบสีแดงชาดอย่างแค้นใจ
   “เพราะอะไรแกถึงไม่ยอมแต่งงานกับขนมผิง”

   “พ่อจะให้เดหลีแต่งงานกับพวกตุ๊ดพวกเกย์รึไงคะ”

   “แกหมายความว่าไง”

   “พวกมันเป็นเกย์ไงคะพ่อ มันทั้งคู่หลอกพวกเรามาตลอด”

   “เอาอะไรมาพูด แกจะบ้ารึไง”ชายสูงวัยจ้องลูกสาวด้วยใบหน้าอันโกรธจัด

   “พวกมันก็ได้เสียกันเองไงล่ะคะพ่อ พวกมันเป็นผัวเมียกัน ไอ้พวกตุ๊ดกระเทยน่ารังเกียจนั่นมันรวมหัวกันหลอกเรา เดหลีล่ะ
ขยะแขยง ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห”

   “แกแน่ใจเรื่องนี้มากแค่”


   “มั่นใจซะยิ่งกว่ามั่นใจอีกค่ะพ่อ คอยดูเดหลีจะไม่ปล่อยพวกไว้แน่”

   “แกมั่นใจจริงๆใช่ไหม ใช่ว่าพวกมันหลอกเพื่อหวังจะยกเลิกงานหมั้น”ถามลูกสาวซ้ำ ดวงตาเจ้าเล่ห์เคลือบแคลงความขุ่นเคือง

   “ค่ะ เดหลีมั่นใจ พี่ปิญญ์เป็นคนบอกเดหลีกับปากเอง แล้วที่สำคัญ เดหลีอยากให้คนของพ่อช่วยดูไอ้นี่ให้เดหลี
หน่อย”เอกสรรบางอย่างถูกยื่นให้กับบิดา เอกสารที่แสดงผลการตรวจที่น่าแปลกใจในอดีตของขนมผิง

   “บ้าบอไปกันใหญ่แล้ว แกไปเอานี่มาจากไหน”

   “เดหลีให้คนไปสืบมา ครั้งแรกคิดว่าเป็นของปลอม แต่ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องจริง เดหลีเลยอยากจะให้พ่อช่วยไงคะ”

   “ฉันจะลองให้คนไปสืบดู ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะก็ คงจะต้องพังกันไปข้าง ฉันจะไม่ปล่อยไอ้พวกอุบาตนั่นลอยนวลไปแน่
โทษฐานที่มันทำให้ฉันต้องเสียทั้งหน้าเสียทั้งผลประโยชน์”


ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
32 คนที่ไม่รู้จัก


   “ทำไมไม่บอกผมล่ะครับว่าคุณจะมาวันนี้ ผมจะได้ไปรับคุณที่สนามบิน”ภาษาอังกฤษสำเนียงใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา
ถามออกไปพร้อมกับส่งรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความดีใจกับแขกผู้มาเยือน

   “ไม่เป็นไรหรอก จะรบกวนเปล่าๆ ให้ผมมาหาคุณเองดีกว่า”น้ำเสียงทุ้มนุ่มดูใจดีตอบกลับพร้อมกับอวดรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นไม่
แพ้กัน

   “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ คุณสบายดีไหม”ขนมผิงถามพลางเลื่อนเก้าอี้ให้กับแขกผู้มาเยือน

   “ผมสบายดี แล้วคุณกับเด็กๆคุณสบายดีรึเปล่า เสียดายที่ไม่ได้เจอเด็กๆนะครับ เวลาของผมเองก็มีไม่มากด้วยเดี๋ยววันพรุ่ง
นี้ผมต้องบินไปญี่ปุ่นต่อ”

   “น่าเสียดายนะครับ ถ้าเด็กๆรู้คงพากันงอแง หาว่าคุณไม่คิดถึงพวกเขา”

   “ก็อย่าให้รู้สิครับ แต่ถึงจะมีเวลาที่ไทยไม่มาก แต่ผมก็มีของฝากมาให้เด็กๆ คุณผิงอย่าพึ่งน้อยใจแทนเด็กๆไปเลย”อีก
ฝ่ายหัวเราะในอย่างอารมณ์ดี ใบหน้าหล่อเหลาบ่งบอกสัญชาติฝั่งตะวันตกส่งยิ้มมาให้ด้วยความคุ้นเคย

   “ลำบากคุณอีกแล้วซอรีม”

   “อย่าคิดว่ามันลำบากเลย ผมบอกแล้วไงว่าคิมกับรีมเป็นลูกของผมเหมือนกัน”

   “ยังไงผมก็ทำให้คุณลำบากอยู่เรื่อยจริงๆนั่นแหละ”

   “คุณอย่าคิดไปเองสิครับ ผมยังไม่เคยบอกว่าผมลำบาก กลับกันผมค่อนข้างยินดีซะด้วยซ้ำ”

   “อา ครับ”ผมขนมผิงพยักหน้าก่นจะก้มหน้าลงเล็กน้อยทำให้ชั่วครู่เกิดความเงียบเข้ามาปรกคลุมภายในห้องทำงาน
ตำแหน่งสูงสุดของมณีรัตน์



      “นานเท่าไรแล้วครับ”ในที่สุดความเงียบงันชั่วครู่ก็จบลงเมื่อคำถามจี้ใจดำถูกถามออกมา ดวงตาสีโศกของหนุ่ม
สัญชาติไทยอย่างขนมผิงไหววูบเล็กน้อย ฝ่ามือทั้งสองกำเข้าหากันแน่น

   “น่าจะสองเดือนได้ ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน”

   “อย่าห่วงไปเลย ยังไงซะมันก็ไม่ใช่ครั้งแรก ขอแค่คุณเชื่อใจผมเหมือนที่เคยทำ”ชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะทำงาน
เอื้อมมือมาแตะไหล่เบาๆ

   เสียงเคาะประตูฉุดให้ชายหนุ่มต่างสัญชาติที่อยู่ในห้องสองคนหันไปมอง ไม่นานบานประตูก็เปิดโพล่งออกพร้อมกับเสียง
แหลมเล็กอันคุ้นเคยดังเจื้อยแจ้วเข้ามาก่อนตัว ก่อนที่ร่างจ้ำม่ำจะแข่งกันวิ่งเข้ามากระโดดโผตัวเข้าใส่แขกเจ้าของร่างสูงใหญ่ให้
ได้รีบก้มตัวรับร่างอวบอ้วนมาอุ้มทีเดียวพร้อมกันสองคนอย่างสบายๆ

   แน่นอนว่าซอรีมอุ้มเด็กแฝดทั้งสองคนด้วยท่าทางถนัดถนี่เพราะความคุ้นเคย ตำแหน่งพ่อทูนหัวที่พอได้เห็นเด็กๆแล้วก็
พาลยิ้มตามเหงือกแดงๆบานๆอวดฟันน้ำนมขาว



      “แดดดี้ซอรีม”

   “ว่าไงกู๊ดบอย”ซอรีมจูบลงบนหน้าฝากปลากริมและสลิ่มด้วยความคิดถึง

   “คิดถึงแดดดี๊ซอรีมฮะ”

   “กริมก็คิดถึง”

   “คิดถึงเหมือนกัน”ซอรีมตอบ “คุณไม่ได้บอกว่าเด็กๆจะมานะ”ก่อนจะหันไปหรี่ตาจ้องจับผิดให้กับขนมผิง

   “เซอไพรส์ครับ ผมให้คนไปรับมา คุณอุตส่าห์มาไทยทั้งที ในฐานะพ่อทูนหัวจะไม่เจอเด็กๆก็ออกจะใจร้ายไปหน่อยนะ
ครับ”

   “อา นั่นสิ เจ้าเล่ห์ทั้งแม่ทั้งลูก ว่าแต่ ไม่เจอตั้งนานทำไมถึงยังอ้วนเหมือนลูกหมูกันอยู่ล่ะ หืมว่าไง?”

   “ไม่ใช่สักหน่อย แดดดี้ซอรีมมั่ว”ภาษาอังกฤษเสียงแหลมเล็กเจื้อยแจ้วตอบทันควัน เจ้าตัวเล็กสองคนพากันทำแก้มป่อง
ด้วยท่าทางแสนน่ารักโดยไม่ได้นัดหมาย

   “หลิ่มไม่ใช่ลูกหมู ปะป๊าบอกว่าไม่ใช่ฮะ”สลิ่มส่ายหน้า

   “แต่ทั้งสองคนตัวหนักแบบนี้อีกหน่อยแดดดี๊คงจะอุ้มไม่ไหว”

   “ไม่เป็นไรฮะ กริมกับน้องหลิ่มเก่งแล้วฮะ”

   “จะเชื่อดีไหม งั้นเอาอย่างนี้ พอดีว่าแดดดี๊คนนี้มีขนมมาฝากคนที่เก่ง ไหนใครเป็นคนเก่งลองบอกแดดดี๊มาสิ”

   “กริมฮะ กริมเก่ง”

   “หลิ่มก็เก่งฮะ เก่งสองคนเลยฮะ”

   ทั้งสองคนแย่งกันตอบ ริมฝีปากเล็กๆยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกสีแดงสดจนทั้งขนมผิงและซอรีมอดอมยิ้มไปกับความน่ารัก
ของเด็กๆไม่ได้

   





   

   “วันนี้ผมรบกวนฝากท้องไว้กับอาหารไทยฝีมือคุณผิงนะครับ”ชายหนุ่มหล่อชาวตะวันตกพูดทีเล่นทีจริง

   “ถ้าคุณจะกินมันโดยที่ไม่บ่นว่ามันเผ็ดก็ไม่มีปัญหาครับ”ขนมผิงไหวไหล่เล็กน้อย เอ่ยแซวคนกินเผ็ดไม่ค่อยจะได้

   “ก็อย่าทำให้มันเผ็ดสิครับ”

   ซอรีมบ่น ทั้งสองคนเดินออกมาจากตึกสูงระฟ้าในเครือมณีรัตน์บนอกของแต่ละคนมีเด็กร่างจ้ำม่ำเกาะอยู่ราวกับลูกลิงเรียก
ให้ใครที่ผ่านไปมาได้มองตามด้วยความอิจฉาทั้งความน่ารักขี้เล่นของเด็กๆกับความดูดีของสองหนุ่มต่างสัญชาติ



   เสียงหัวเราะปนเสียงพูดคุยหยอกล้อไปมาอย่างสนิทสนมเป็นภาษาสากลยิ่งฉุดดึงให้ได้สะดุดตา ทั้งหมดนั้นกำลังอยู่ใน
สายตาของใครอีกคนที่หายหน้าไปนานนับอาทิตย์

   ช่อดอกกุหลาบสีแดงสดในมือกระชับแน่น รอยยิ้มที่ปั้นแต่งประดับเอาไว้ให้คนที่เขากำลังรอแปลกใจพลันเลือนหายไปใน
เสี้ยววินาที

   ดูเหมือนทั้งสี่คนที่กำลังคุยกันอย่างออกรสไม่ทันได้สังเกตคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า จนกระทั่งเสียงแหลมเล็กเอ่ยเรียกออกมา



   “พ่อปิน!!”   



   ขนมผิงและซอรีมชะงักเงยหน้ามองชายหนุ่มอีกคนยืนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา ทันทีที่เขาเห็นเจ้าของใบหน้าที่หาย
ไปนานนับหลายวัน หัวใจของขนมผิงพลันกระตุกวูบราวกับไม่ทันได้ตั้งตัว มือทั้งสองข้างกำแน่นอีกครั้ง ริมฝีปากได้รูปขมเม้ม
เข้าหากันแน่น ก่อนที่ดวงตาสีโศกจะตวัดเบือนหนีราวกับคนที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าไม่มีตัวตน เขายังจำได้ดีกับภาพข่าวใน
นิตยสาร

   “ไปกันเถอะครับ”ขนมผิงดึงแขนซอรีมให้เดินเบี่ยงไปอีกทาง

   ทว่าต้นแขนอีกข้างที่ประคองลูกถูกคว้าเอาไว้ก่อนที่จะได้เดินหนี นัยน์ตาคู่สีดำสนิทจ้องมองมาแน่นิ่งยิ่งทำให้ขนมผิง
อึดอัด

   ยิ่งมองเห็นช่อดอกไม้สีแดงสดในอ้อมแขนก็ยิ่งรู้สึกเจ็บหน่วงราวกับก้อนเนื้อในอกถูกบดขยี้ด้วยปลายเท้าของใครบางคน
ทั้งที่สมใจอยากของปิญญ์ชานนท์แล้ว ทำไมถึงต้องโผล่หน้ามาให้เขาเห็นราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ช่อดอกกุหลาบสีสวย

ช่อใหญ่นั้นจะถือมาทำไม หรือว่าต้องการจะมาเยาะเย้ยเขาที่ทำให้ทุกอย่างมันจบลงอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ

   เขาผิดเองที่คิดว่าคนอย่างปิญญ์ชานนท์จะเปลี่ยนไป ผิดเองที่เผลอปล่อยให้หัวใจละทิ้งความทรงจำอันน่าขยะแขยง
นัยน์ตาสีโศกจ้องมองมือใหญ่ที่กุมต้นแขนตัวเองด้วยความรู้สึกอันหลากหลายวนเวียนเข้ามาในความคิด



   “มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ”

   ซอรีมแตะเข้าที่แขนของปิญญ์ชานนท์เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจับแขนของขนมผิงเอาไว้ไม่ปล่อยพลางถามเป็นภาษาอังกฤษ

   “คุณเป็นใคร”ปิญญ์ชานนท์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่คุกรุ่นเอาไว้ในใจ ดวงตาคมกริบจ้อง
มองอีกฝ่ายแน่นิ่ง
   “ผมเป็นพ่อของเด็กแฝดสองคนนี้ แล้วคุณล่ะครับ มายืนขวางพวกเราทำไม”คำตอบที่ได้รับจากชายหนุ่มชาวต่างชาติทำเอาปิญญ์ชานนท์หน้าชาไปชั่ววูบ

   “คุณไม่ใช่พ่อของเด็กสองคนนี้”ปิญญ์ชานนท์กัดฟันเค้นเสียงตอบ

   “แล้วคุณล่ะครับ ผมว่าคุณน่าจะปล่อยมือที่จับคุณผิงได้แล้ว พวกเรากำลังรีบ ผมไม่อยากปล่อยให้คิมกับรีมหิว หิวกันแล้ว
ใช่ไหมเด็กๆ”

   “ฮะ แดดดี๊ กริมหิวแล้วฮะ”

   “หลิ่มก็หิวฮะ แดดดี๊”สองแฝดผลัดกันตอบพลางยิ้มให้ปิญญ์ชานนท์อย่างคุ้นเคย แต่ถึงจะดีใจที่เจอกับปิญญ์ชานนท์ แต่

กับซอรีมที่ไม่ได้เจอกันนานกว่าทำให้เด็กๆเลือกที่จะให้ความสำคัญกับซอรีมมากกว่าจะให้ความสนใจกับชายหนุ่ม

   “แดดดี๊งั้นเหรอ? ทำไมถึงเรียกเขาว่าแดดดี๊ล่ะ”

   “ผมบอกแล้วว่าผมเป็นพ่อของเด็ก”ซอรีมตอบไปแบบนั้น เพราะอะไรชายหนุ่มตาน้ำข้าวเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไม
ถึงต้องตอบไปแบบนั้น อาจจะเพราะบางอย่างที่แสดงออกผ่านทางสายตาอันเรียบเฉย บางอย่างที่เป็นเหมือนความอิจฉา ความ
หวงแหนมันเล็ดลอดออกมาจากภายใต้ความนิ่งเฉยนั้นๆ ซอรีมเหยียดยิ้มเล็กน้อย จ้องตอบกลับราวกับผู้ถือไพ่ที่เหนือกว่า

   มันยิ่งทำให้ปิญญ์ชานนท์ไม่พอใจ กัดฟันเข้าหากันแน่นจ้องมองภาพตรงหน้า มันยิ่งตอกย้ำให้หัวใจของชายหนุ่มถูกบีบจน
แน่นเมื่อมือที่รั้งขนมผิงเอาไว้ถูกสลัดออกอย่างไม่ใยดี

   “อย่ามายุ่งกับพวกเราอีก ผมจะเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ผมอดทนกับคนอย่างคุณมามากพอแล้ว”เสียงนิ่งเฉยกลับไปดูเย็นชา
เหมือนเก่า

   “นายกับลูกต้องไปกับฉัน”ปิญญ์ชานนท์จงใจใช้ภาษาส่วนตัว

   “ผมไม่รู้ว่าคุณพูดอะไร แต่ผมบอกไปแล้วว่าพวกเรากำลังรีบ กรุณาให้ความเป็นส่วนตัวกับครอบครัวเราด้วยนะครับคุณ
ผู้ชาย”

   “คุณไม่ใช่ครอบครัว นี่ครอบครัวของผม”ปิญญ์ชานนท์เน้นเสียงตอบอีกครั้ง ไม่พอใจที่ซอรีมเน้นคำว่าครอบครัวกับเขาทั้ง
ที่สิทธินั้นมันเป็นของเขาไม่ใช่ของอีกฝ่าย
   “ซอรีมเป็นครอบครัว เขาอยู่กับพวกเราตลอดเวลาที่พวกเราต้องการ ไม่ใช่คุณ โปรดช่วยจำเอาไว้  พวกเราไม่ต้องการที่จะ
ยุ่งเกี่ยวกับคุณอีก กลับไปหาคนของคุณซะ”พูดเน้นย้ำด้วยภาษาไทย เพื่อหลีกเลี่ยงดวงตามที่หรี่มองราวกับจับสังเกตอะไรบาง
อย่างของซอรีม

   “นายพูดบ้าอะไร ไอ้บ้านี่มันเป็นใครกัน ทำไมนายถึงปล่อยให้เด็กๆเรียกเขาว่าพ่อ นายจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไม่ได้นะ
ขนมผิง”

   “พวกเราไม่จำเป็นต้องอธิบายกับคนนอก ต่อไปนี้ผมจะบอกรปภ.ว่าไม่ให้คุณเข้ามาในพื้นที่บริษัทอีก ถ้าคุณมาที่นี่อีกผม
จะแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุกและก่อกวน”

   “ฉันไม่ยอมง่ายๆหรอกนะ”ปิญญ์ชานนท์ดึงแขนของขนมผิงเอาไว้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ขนมผิงกลับเบี่ยงหลบก่อนที่จะดึงให้ซอ

รีมเดินหนีไป

   ค่อยๆห่างไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มได้แต่จ้องมองด้วยความอิจฉา ดวงตาคมกริบดูสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมา
ทาบอก หัวใจที่เต้นอยู่ข้างในมันรู้สึกราวกับถูกบีบรัดจนต้องขยุ้มมือลงบนอกแน่นจนเสื้อสูทตัวแพงยับยู่ยี่


   เขากำลังจะถูกแทนที่ กำลังจะถูกแทนที่ด้วยคนที่ทำให้เขาถูกกันออกมาจากคำว่าครอบครัวอย่างเย็นชา คนที่ลูกของเขา
เรียกว่าพ่ออย่างสนิทใจ มากกว่าที่เขาเป็นคนสอนให้เรียกซะเอง

      อิจฉา คำคำนี้กำลังวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาเมื่อสายตาทอดมองรถสีดำคันหรูขับออกไปตามไปด้วยรถคันที่เหมือนกันขับตามไปติดๆ ชาวต่างชาติคนนั้นมองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดา แต่ความสัมพันธ์ที่ทำให้ทั้งขนมผิงและเด็กๆยิ้มและหัวเราะได้
นั้นยิ่งทำให้คำว่าอิจฉาทิ่มแทงใจ

   ความอุ่นของผิวกายนั่นยังแล่นผ่านอยู่บนฝ่ามือ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าสิ่งที่รับรู้มันกำลังจะเลือนหายไป ช่อดอกไม้ที่บรรจง
เลือกเองกับมือถูกวางทิ้งไว้ที่นั่งฝั่งตรงข้าม ใบหน้าหล่อเหลาฟุบลงกับพวงมาลัยรถ



   ดูเหมือนทุกอย่างที่เพียรพยายามทำมาทั้งหมดทันกำลังจะสูญเปล่า ความรู้สึกของปิญญ์ชานนท์มันบอกแบบนั้น เขาล้วง
หยิบกล่องกำมะหยี่กล่องเล็กสีดำเงาในกระเป๋ากางเกงออกมาก่อนที่ยัดมันใส่เก็บลงไปในลิ้นชักก่อนจะขับรถออกไป เปลี่ยนเส้น
ทางจากร้านอาหารที่จองเอาไว้ด้วยความจำใจ



   -----------------------------------------------------------------------------------






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 08:09:00 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
ต่อ

“เป็นอะไรไป ทำไมถึงทำหน้าเหมือนไม่ใช่คุณแบบนั้น”เสียงเรียกปลุกให้คนที่กำลังจมอยู่กับภวังค์ความคิดอย่างเหม่อลอยเบือน
หน้าหันไปมองเจ้าของคำพูดหยอกล้อที่เจือไปด้วยความห่วงใย ก่อนจะรับขวดน้ำดื่มที่ถูกยื่นมาตรงหน้า

   “ขอบคุณ ผมแค่คิดอะไรนิดหน่อย”

   “อย่าบอกนะครับว่าเหนื่อยกับลูกลิงสองตัวซะแล้ว”

   “ไม่ใช่หรอก คุณก็พูดเป็นเล่นไป ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่เหนื่อยกับการเลี้ยงลูกหรอกครับ”

   “นั่นสินะ นึกว่าคุณจะเหนื่อยที่กว่าจะไล่ให้เด็กๆกลับบ้านไปได้ต้องใช้ของมาล่อมากมาย”

   “มันเป็นเรื่องปกติแล้วครับที่ต้องมีของรางวัลให้กับเด็กๆเวลาที่เด็กๆเชื่อฟัง”

   “แล้วถ้าต้องการจะให้ผู้ใหญ่อย่างคุณผิงเชื่อฟังต้องใช้อะไรมาเป็นของรางวัลไหมครับ?”ซอรีมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆบนโซฟา
ตัวเดียวกันก่อนจะทอดมองไปนอกบานประตูกระจกใส แสงแดดสีทองยามเย็นสาดลอดผ่านเข้ามาบอกถึงเวลากลางวันที่ใกล้จะ
หมดลงไปทุกที


   “ผมทำแค่สิ่งที่อยากจะทำ รางวัลก็คือความสุขจากสิ่งที่ผมทำไงครับ”

   “บางครั้งสิ่งที่ต้องการทำกับสิ่งที่สมควรทำมันก็อยู่ตรงกันข้าม คุณไม่คิดอย่างนั้นเหรอ”

   “สิ่งที่ผมต้องการทำคือสิ่งที่ถูกต้อง ผมคิดแบบนั้นเสมอ”ขนมผิงหันไปส่งยิ้มบางเบาให้กับซอรีม

   “อา นั่นสินะ ผมว่าเราเลิกคุยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องดีกว่า นี่เป็นภาพอัลตร้าซาวด์พร้อมข้อมูลอื่นๆที่จำเป็นต้องใช้เวลาที่ผมไม่
อยู่ ถ้ามีอะไรคุณติดต่อกับเพื่อนของผมที่ย้ายมาประจำอยู่ที่นี่ได้เลย คุณจำเขาได้ใช่ไหม”

   “ผมจำได้ เมื่อครู่เราพึ่งจะเจอกัน ผมไม่ใช่คนความจำสั้นนะซอรีม”เพราะก่อนหน้านี้เขาพึ่งจะแวะไปที่โรงพยาบาลเอกชน
แห่งหนึ่งที่อยู่ใสความดูแลของเพื่อนซอรีม แลเป็นโรงพยาบาลที่เขาตั้งใจว่าจะเป็นสถานที่ที่ทำให้เด็กที่อยู่ในท้องลืมตาขึ้นมาดู
โลก ถึงแม้จะปราศจากเงาของใครอีกคนก็ตาม

   “ผมแค่ล้อเล่น่ะ เอาเป็นว่าถ้าใกล้ถึงกำหนดการผมจะกลับมาอีกที”

   “อืม ตกลงครับ”ขนมผิงพยักหน้ารับ เปิดซองเอกสารสีขาวออกมา ภาพถ่ายอัลตร้าซาวด์หลายมุมปรากฏอยู่ตรงหน้า

   “ผมจะถามคุณอีกที คุณแน่ใจนะว่าครั้งนี้จะไม่ไปหาผมที่อังกฤษ”

   “ไม่ครับ ผมไม่อยากไปไกลบ้านอีกแล้วล่ะ”ขนมผิงส่ายหน้า ภาพก้อนเนื้อที่ยังไม่ก่อตัวเป็นรูปร่างดีทำให้รู้สึกว่าน้ำตามัน
กำลังจะเอ่อไหลออกมา ทั้งมีความสุข ทั้งเจ็บปวดในคราวเดียวกัน

   “นั่นสินะ สามปีที่ผ่านมาคุณคงคิดถึงบ้าน”

   “คิดถึงมากเลยล่ะ”

   “แล้วครั้งนี้คุณคิดว่าจะได้ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ”

   “ผมไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นผู้หญิงล่ะมั้ง จะได้ไม่ต้องวิ่งไล่จับกันวุ่นวายเหมือนเดิม ผมคงจะอายุสั้นถ้าหากได้ลูกชาย
ซนซนเพิ่มมาอีกคน”   

   “ยังไงซะไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายแน่นอนอยู่แล้วว่าผมจะต้องทำให้เขาตาขึ้นมาดูโลกอย่างปลอดภัยแล้วก็เป็นพ่อทูนหัว
ให้กับเขา”



   

   “โทรศัพท์คุณมีสายเข้านะครับ”ระหว่างที่กำลังสนใจกับเอกสารและข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเด็กในท้องที่กำลังจะเกิดมา ขนม
ผิงจึงไม่ได้ใส่ใจสิ่งรอบข้างนอกจากคำพูดของซอรีมกับเอกสารเลยสักนิด จนนานแล้วที่โทรศัพท์ของเขาแผดเสียงออกมา

   “อา ขอบคุณครับ”

   เขาตอบพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจ้องมองไปยังหน้าจอ ฉับพลันก็กดวางสายเมื่อเห็นว่ารายชื่อที่ขึ้นอยู่นั้นเป็นคนที่เขา
ต้องการจะตัดความสัมพันธ์มากที่สุดถึงแม้ว่าข้างในใจจะยังรู้สึกว่ามีอะไรคาใจอยู่ก็ตาม

   “ทำไมไม่รับล่ะ”

   “เบอร์ไม่คุ้นน่ะ อาจจะโทรผิด”

   “งั้นเหรอครับ”ซอรีมพยักหน้าถึงจะรู้ว่าขนมผิงโกหกตนก็ตาม ดวงตาสีน้ำข้าวสวยลอบหรี่มองว่าที่คุณแม่เพศชาย ดูเหมือน
ว่าจะมีบางอย่างที่เขากำลังปะติดกันมันถูกต้องตามที่คิด เห็นๆอยู่ว่ารายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอถูกบันทึกเอาไว้อยู่แล้ว แต่ไม่
ว่าอย่างไรก็ตาม คนคนนั้นอาจจะเป็นคนที่เขาเคยเจอกันแล้วก็ได้

   โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง มือผอมหยิบมันขึ้นมาเพื่อที่จะตัดสายด้วยความรำคาญ ทว่าครั้งนี้กลับแตกต่างเพราะมันเป็นเบอร์
บ้านของเขาเอง

   “ผิงครับ”

   ‘ผิง วันนี้ไม่กลับบ้านเหรอลูก’

   “วันนี้ซอรีมแวะมาที่ไทย ผิงอาจจะค้างที่นี่ เพราะเราไม่ได้เจอกันนาน มีหลายเรื่องที่ต้องคุย อีกอย่างฝนก็ทำท่าว่าจะตก
ผิงคงไม่ได้กลับ แล้วเด็กๆถึงบ้านรึยังครับ”ขนมผิงโกหกออกไป บางอย่างที่สำคัญอีกอย่างที่ค้างคาอยู่ในใจก็คือความลับที่ยัง
ไม่ได้บอกให้ครอบครัวรู้ว่าเขากำลังท้องลูกคนที่สาม
   ‘เด็กๆมาถึงได้สักพักแล้ว นิวกับแนนกำลังพาไปอาบน้ำอยู่ แม่แค่โทรมาดูผิงเฉยๆ ผิงไม่เป็นอะไรใช่ไหมะ’

   “จะให้ผิงเป็นอะไรเรื่องอะไรล่ะครับ?”ขนมผิงเอียงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อน้ำเสียงของมารดาที่ลอดผ่านปลายสายมาดูเป็น
กังวล

   ‘เมื่อตอนเย็นคนของคุณพิเชษฐ์เขาเข้ามาที่บ้าน’

   “เขาเข้าไปทำไมกัน?”ขนมผิงถามถึงแม้ว่าจะคาดเดาคำตอบเอาไว้แล้วก็ตาม

   ‘เขาให้คนมาบอกถอนหมั้นน่ะ ครั้งแรกแม่ก็ตกใจ ถามเหตุผลเขาก็ไม่ยอมตอบ เขาบอกแค่ว่าทางเรารู้อยู่แก่ใจดี เอาแต่
โทษทางเราว่าไม่เหมาะสมกับคนของเขา แม่สิต้องตามทางเขาว่าลูกสาวของเขามีข่าวไม่ดีตั้งเยอะ ทางเรายังไม่ว่าอะไร จะกลับ
ไปหมั้นกับคุณปิญญ์ตามข่าวรึเปล่าก็ไม่รู้ คิดแล้วแม่ก็ไม่พอใจเอาซะเลย ว่าแต่ผิงไม่เป็นอะไรใช่ไหม แม่เป็นห่วง’

   “อย่างนั้นเหรอครับ ไม่ต้องห่วงครับ ผิงไม่เป็นไร”ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

   มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วเป็นไปตามที่ปิญญ์ชานนท์ต้องการ การแย่งของของตัวเองคืนไปไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตามเป็น
สิ่งที่คนแบนั้นถนัดเสมอ ริมฝีปากได้รูปขบเข้าหากันแน่น พยายามบังคับไม่ให้มันสั่นเครือ

   ไม่ใช่ว่าเพราะเสียใจเขามั่นใจว่าไม่ใช่เหตุผลนั้น เป็นเพราะความรู้สึกเจ็บในอกต่างหากที่มันทำให้เขาเหมือนกำลังสูญเสีย
ตัวตนไปอีกครั้ง ตัวตนที่แสนอ่อนแอ ตัวตนที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยความก้าวร้าวและเย็นชาที่เขาสร้างขึ้นมา

   “ยังไงแม่ก็อยากให้ผิงรู้ไว้ว่าผิงมีพ่อกับแม่ มีเปลากริมกับสลิ่มคอยอยู่ด้วย”

   “ครับ ผิงรู้ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ผิงสบายดี ไม่ได้เสียใจอะไร”

   “ถ้าอย่างนั้นแม่ก็สบายใจ พรุ่งนี้ถ้าจะกลับตอนไหนก็โทรมาบอกให้ทางนี้ไปรับนะ”

   “ครับ ฝันดีครับ”

   ขนมผิงถอนหายใจก่อนจะวางเครื่องมือสื่อสารราคาแพงลงบนโต๊ะเบื้องหน้า หันไปมองด้านข้างก็พึ่งจะรู้ตัวว่าซอรีมไม่อยู่
แล้ว

   รูปถ่ายอัลตร้าซาวด์ถูกหยิบขึ้นมาดูอีกครั้ง ถึงตอนนี้จะยังไม่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เดาไม่ออกเลยว่าครั้งนี้จะเป็นผู้หญิงหรือ
ผู้ชาย ขอแค่ให้ปลอดภัยก็พอ



   “หายไปไหนมาล่ะครับ”ขนมผิงยิ้มเมื่อซอรีมเดินเข้ามาในห้องรับแขก

   “ดูเหมือนว่าเราจะมีปัญหานะครับ”

   “ปัญหา?”

   “มีผู้บุกรุกนะครับ คุณผิงจะไปดูหน่อยไหม เผื่อคุณผิงมีแนวทางในการจัดการคนคนนี้”



   -----------------------------------------------------------------------------------



   ในที่สุดก็มาจนได้ ชายหนุ่มดับไฟหน้ารถก่อนจะลอบมองเข้าไปในบ้านทรงยุโรป มีรั้วไม้สีขาวทรงเตี้ยล้อมรอบ ดวงตาคม
หม่นแสงมองเห็นคนที่ดูเหมือนผู้ติดตามสองสามคนเดินผ่านไปมา ชั้นล่างที่ส่วนใหญ่เป็นบานกระจกใสทำให้มองเห็นภายในได้
อย่างชัดเจน นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มยิ่งไม่พอใจเมื่อรู้ว่าเด็กๆได้กลับไปแล้ว แต่ใครอีกคนยังคงอยู่และไม่มีทีท่าว่าจะกลับ

   ทำไมถึงไม่กลับไปพร้อมกัน คำถามนี้ทำให้ปิญญ์ชานนท์อึดอัดในอกจนแทบจะระเบิดออกมาเต็มทน คนคนนั้นเป็นใครกัน
แน่ คนที่เด็กๆเรียกว่าพ่อแล้วมาแทรกกลางระหว่างเขากับครอบครัว เขาจะไม่ยอมให้ความผิดทุกอย่างที่ทำมามันคงอยู่ตลอดไป
ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องถูกแก้ไขแม้จะต้องถูกมองด้วยแววตาเหยียดหยามหรืออะไรก็ตาม

   ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิมาแย่งเอาครอบครัวไป เขาก็จะต้องทวงคืนครอบครัวกลับมาให้ได้ มันจะเป็นอะไรไปถ้าเขาจะมา
ตามเมียตัวเองให้กลับไปด้วยกัน พยายามอีกครั้งถึงแม้จะถูกตอกกลับด้วยสายตาอันเย็นชา ถ้อยคำที่ผลักไสไล่ส่งก็ตาม แต่เขา
จะไม่ยอมหยุด



   -------------------------------------------------------------------------------------



   “นี่มันอะไรกัน คุณมาทำอะไรที่นี่!!”

   ขนมผิงถามขึ้นมาเสียงดังเมื่อมองเห็นใครที่เขาไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่ทรุดนั่งอยู่บนสนามหญ้าหน้าบานพักชั่วคราวของซอรีม
สภาพที่เหมือนจะดูไม่ได้ยิ่งทำให้ตกใจมากขึ้นเป็นเท่าตัว

   “ฉันมาตามนายกลับ”

   “ผมไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลับไปกับคุณ”

   “แล้วนายมาที่นี่ทำไมกัน ทำไมนายต้องมาอยู่กับไอ้บ้านั่นด้วย”

   “ผมไม่จำเป็นต้องตอบ คุณกลับไปซะ”ขนมผิงตอบเสียงแข็ง เขาปลายตามองปิญญ์ชานนท์เพียงแค่วูบเดียวผ่านลาดไหล่
ของซอรีมเท่านั้น

   เพราะกำแพงสูงที่กั้นระหว่างกลางของเขากับปิญญ์ชานนท์มันกำลังก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง มันทำให้เขาไม่อยากที่จะเผชิญ
หน้ากับอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นตาคู่คมก็สังเกตเห็นรอยช้ำที่มุมปากของชายหนุ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ จากสภาพของปิญญ์ชานนท์และ
คนที่ติดตามซอรีมมาด้วยอีกสามคน ดูเหมือนว่าจะเกิดการกระทบกระทั่ง ซึ่งแน่นอนว่าคนคนเดียวไม่อาจสู้แรงคนสามคนได้ ต่อ
ให้มีความบ้ามากแค่ไหนก็ตาม



   ปิญญ์ชานนท์จ้องมองร่างสูงโปร่งของขนมผิงก่อนจะถูกร่างสูงใหญ่ของหนุ่มชาวต่างชาติอย่างซอรีมบดบัง ชายหนุ่มแลบ
ลิ้นเลียริมฝีปากอย่างเจ็บใจ รสเค็มปร่าฟุ้งกระชายทั่วโพลงปาก เสื้อผ้าราคาแพงทั้งยับและหลุดลุ่ย ดูเหมือนสภาพเขาตอนนี้จะดู
ไม่ค่อยได้ ขนมผิงจึงได้ไม่แม้แต่จะมองเขา

   “จะให้ผมทำยังไงกับเขาดีล่ะครับ”ซอรีมถามเสียงเรียบ ดวงตาเจ้าเล่ห์หรี่ตาจ้องมองมาที่ชายหนุ่ม

   “แล้วแต่คุณ ซอรีม จะแจ้งตำรวจมาจับเขาก็ได้”

   “แต่นั่นคนรู้จักของคุณนี่ครับ”

   “เราแค่เคยรู้จักกันครับ ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกันขนาดนั้น”น้ำเสียงเย็นชาที่ตอบกลับมาแทบทำให้คนที่กำลังจ้องมองมา
ด้วยสายตาที่มีหวังหมดแรงภายในเสี้ยววินาที

   “ได้ครับ งั้นคุณผิงเข้าไปพักผ่อนก่อนจะดีกว่า เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”

   ซอรีมวางมือบนบั้นเอวของขนมผิงก่อนจะดันให้อีกฝ่ายเดินตามเข้าไป ปิญญ์ชานนท์ได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บใจ

   “ฉันจะรอนายอยู่ตรงนี้ จนกว่านายจะออกมา ฉันไม่ยอมทิ้งนายให้อยู่กับคนอื่นแน่ จนกว่านายจะยอมกลับไปกับฉัน”

   ปิญญ์ชานนท์ตะโกนไล่หลัง มั่นใจว่าขนมผิงจะต้องได้ยินคำของเขา แต่ทว่าความหวังที่มีในเวลานี้มันช่างริบหรี่เหลือเกิน

   เหมือนกับบทลงโทษในสิ่งที่เขาทำผิดไปทั้งหมดกำลังถาโถมเข้ามาซ้ำเติม สั่งสอนให้เขายิ่งเจ็บจนแทบบ้า ฝนที่ตั้งเค้า
มาตั้งแต่ช่วงเย็นเริ่มลงเม็ดปรอยลงมา

   หน้าบ้านยัง มีคนยืนคุมอยู่อีกสองคน มันไม่ง่ายแน่ที่เขาจะบุกเข้าไป จินตนาการไม่ออกเลยว่าขนมผิงกำลังทำอะไรอยู่กับ
คนคนนั่น

   

   ชายหนุ่มเสียแรงไปกับการดึงดันที่จะเข้าไปจนเจ็บตัว ทั้งหิวทั้งหนาว ปิญญ์ชานนท์นั่งพิงรั้วไม้สีขาวจ้องมองไปยังประตู
บ้านหวังว่าใครบางคนที่เขารออยู่ในนั้นจะเดินออกมาแล้วกลับไปกับเขา ถึงจะแทบไม่มีเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้อยู่เลย แต่ชาย
หนุ่มก็เลือกที่จะรอ เพราะถ้าหากเขายอมแพ้ให้กับเรื่องแค่นี้ เขาเองก็ไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสแก้ตัวอีกเมื่อไร

   ยิ่งดึกเท่าไรฝนที่ตกลงมายิ่งเทกระหน่ำจนเนื้อตัวเปียกปอน ดวงตาคมกริบยังคงจ้องมองไปที่บานประตู เริ่มแดงก่ำจนเห็น
เส้นเลือดปรากฏอยู่ในดวงตาชัดเจน





   “จะไม่ทำอะไรกับเขาสักหน่อยเหรอครับ”

   “ทำอะไรที่ว่าคุณหมายถึงอะไร?”ขนมผิงถามทั้งที่ยังคงเลื่อนดูเอกสารต่างๆด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ พยายามปิดซ่อนบางอย่าง
เอาไว้ เขากำลังฝืนเพราะไม่ต้องการให้ใครเห็นด้านที่เขาพยายามเก็บมันมาตลอด

   “งั้นผมจะให้คนเรียกตำรวจมาเชิญตัวเขาไปนะครับ คุณผิงจะได้ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะมาก่อกวนคุณ”

   “ไม่ต้องหรอกครับ อีกสักพักเขาก็ไปเอง ฝนก็เริ่มตกหนัก เขาไม่ใช่คนที่จะอดทนอะไรกับเรื่องที่เขาไม่ได้ประโยชน์ อีก

อย่างผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร”

   “คุณก็ดูรู้จักเขาดีนี่ครับ ทำไมถึงทำเหมือนกับว่าไม่รู้จักเขาล่ะ”ซอรีมพูด ซึ่งนั่นก็ทำให้ขนมผิงชะงักไปชั่วครู่

   “ผมไม่ได้รู้จักเขาไปมากกว่าชื่อและนิสัยที่เขาแสดงออกมา ยังไงซะมันก็ไม่จำเป็นอยู่แล้วที่จะต้องไปใส่ใจอะไรกับคน
แย่ๆอย่างเขา”


   “ทำไมล่ะครับ บางทีการกระทำแย่ๆที่เขาแสดงออกมาให้คุณเห็นในเวลานี้มันอาจจะมาจากสัญชาติญาณของเขาก็ได้”

   “สัญชาติญาณอะไรของคุณ คนเป็นหมอนี่พูดอะไรเข้าใจยากนะครับ”ขนมผิงยังคงจับจ้องมองเอกสารในมือ ไล่บรรทัดซ้ำ
ไปซ้ำมา แต่สิ่งพวกนั้นมันไม่ได้เข้าไปในสมองเลยสักนิด


   “มนุษย์เรามีสัญชาติญาณอยู่ในตัวของทุกคนนั่นแหละครับ แต่มนุษย์เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอกครับว่าหยิบเอามันมาใช้ในเวลา
ไหน มันก็เหมือนกับสัตว์ที่แสดงความก้าวร้าวออกมาเมื่อมันหวงอาณาเขต หรือไม่ก็ต้องการปกป้องครอบครัวของมันเอง คุณไม่
คิดอย่างนั้นเหรอครับ”

   “ถ้าหากจะเปรียบคนอย่างปิญญ์ชานนท์เป็นสัตว์ เขามันก็คงเป็นสัตว์ดุร้ายที่คอยจ้องจะทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเอง
ต้องการ”

   “บางทีสัตว์ดุร้ายก็มักจะหวงอาณาเขต หวงครอบครัวนะครับ

   “ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องทำอย่างนั้น”

   “ใจคอคุณจะไม่ให้โอกาสเขาเลยเหรอครับ”ซอรีมยิ้ม

   “โอกาสอะไรของคุณ? ไม่มีโอกาสอะไรที่ผมจะต้องให้เขานี่ครับ เราหยุดพูดถึงเขาดีกว่า ผมไม่อยากเสียเวลากับคนแบบ
นั้นอีกแล้ว ตอนนี้มีอะไรอีกมากมายที่ผมต้องทำเพื่อลูกที่กำลังจะเกิดมา”ขนมผิงหันไปตอบกลับ จ้องมองดวงตาสีสวยพลาง
แสร้งทำเป็นไม่สนใจ

   โอกาสงั้นเหรอ? คำว่าโอกาสสำหรับคนอย่างปิญญ์ชานนท์มันคืออะไรล่ะ แล้วทำไมเขาถึงต้องให้โอกาส ในเมื่อโอกาสที่
เขาเคยให้มันจบสิ้นลงไปนานแล้ว

   “บางทีคุณอาจจะเคยให้โอกาสเขาไปแล้วก็ได้ เพียงแต่คุณไม่รู้ตัว”ซอรีมบอกพลางเอื้อมมือมาแตะลงบนหน้าท้องของ
ขนมผิงอย่างเบามือราวกับต้องการที่จะสื่ออะไร

   “มันไม่มีโอกาสหรือว่าอะไรระหว่างเราทั้งนั้น ผมง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”ขนมผิงตัดบท รีบรวบเอกสารใส่ลง
ซองก่อนจะผละออกไป




--------------------------------------------------------------------------------------

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเจ้าค่า   :mew1: ยังรักคนอ่านเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมาช้าหน่อย เพราะค่อยๆอัพทีละไม่เยอะ เลยลงทีเดียวครบตอน ใครรอไม่ไหวอาจจะหาอ่านที่ธัญวลัยก็ได้นะเจ้าคะ ขอบคุณค่า

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ผิงทิฐิมาก. แต่นั้นยังไม่น่าหนักใจเท่าครอบครัวเดหลีว่าจะทำอะไรไม่ดีๆกับพระเอกและนายเอกของเราไหม :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
ก็เข้าใจผิงนะ เจอมาเยอะ เจ็บมาแยะ จะให้มั่นใจง่าย ๆ ก็ใช่ที่

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
ุกคับ สะใจดี ปิณไม่มีโอกาสทำให้ผิงคิดถึงเลยว่างั้น 555
มีแต่ปิณตามผิงจนทำอะไรบ้าๆอะ  ขนมผิงเขาก็ไม่สนใจอะไร ปิณหาเมียใหม่เถอะ 555

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
33 บทเรียนราคาแพง

   หนุ่มชาวต่างชาติปรายตาจ้องมองบรรยากาศภายนอกสนามหญ้าหน้าบ้านผ่านบานกระจกใสก่อนจะก้มหน้าสนใจกับข่าวใน
หนังสือพิมพ์ต้อนรับเช้าวันใหม่อย่างไม่ใส่ใจ  เช้าวันนี้ช่างต่างจากวันเดิมๆที่เคยเจอมาลิบลับ ดูเหมือนการมาไทยในครั้งนี้มีเรื่อง
สนุกมากกว่าที่คิดเอาไว้หลายเท่าตัว

   หลังจากผ่านค่ำคืนที่มรสุมพัดทำให้ต้นไม้ต่างก็พากันชูช่อสวยสะดุดตา แต่นั่นก็ไม่สะดุดตาเท่ากับชายหนุ่มที่กำลังนั่งพิง
รั้วบ้านสีขาวด้วยท่าทางอิดโรย ริมฝีปากได้รูปแห้งผาก ทำให้สภาพยิ่งดูแย่กว่าที่เจอเมื่อคืน

   “อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนคุณหลับสบายดีรึไหมา นี่สำหรับคุณ โกโก้ร้อนกับขนมปังสดใหม่จากเตา”ซอรีมเอ่ยทักพลางเลื่อนถาด
อาหารเช้าด้านหน้าเมื่อเห็นว่าอีกคนเดินลงมาจากชั้นบน

   “อรุณสวัสดิ์เช่นกัน ผมหลับสบายดี ขอบคุณ”ขนมผิงตอบรับ นั่งลงฝั่งตรงข้ามของซอรีม

   จงใจที่จะหันหลังให้กับบานกระจกใสเพื่อจะไม่ให้ตัวเองมองเห็นด้านนอกของตัวบ้าน

   “สภาพเขาดูแย่มากเลยนะครับ เมื่อเช้าผมให้คนเอาน้ำไปให้เขา แต่เขาไม่ยอมรับมัน ยืนยันแต่ว่าจะรอคุณอย่างเดียว ผม
ว่าเขาเป็นคนที่มุ่งมั่นมากเลยนะครับ คุณว่าไหม”

   “เขามันก็แค่หมาบ้า”

   “หมาบ้าก็มีหัวใจนะครับ”

   “มันจะต่างอะไรกับไม่มีหัวใจ ในเมื่อหัวใจของเขามันด้านชา”

   “ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะครับ บางทีเขาอาจจะได้ยาดีมารักษามันแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้”ซอรีมยิ้มกริ่ม

   “ยังไงก็ช่าง ผมไม่คิดจะสนใจเขานักหรอก”ขนมผิงบอกปัด

   ต่อให้คนอย่างปิญญ์ชานนท์จะไร้หัวใจ หรือว่ามีหัวใจที่ด้านชา หรืออะไรก็ตาม ยังไงซะ เขากับอีกฝ่ายก็เป็นเหมือนเส้น
ขนานที่ไม่มีวันบรรจบนับตั้งแต่ที่ถูกตอกย้ำด้วยถ้อยคำที่ดูถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับพวกไร้ค่า

   “แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ไหวแล้วนะครับเนี่ย หรือผมควรจะเรียกรถพยาบาลมารอไว้เลย”

   “ตามใจคุณแล้วกัน”

   “งั้นกินอาหารเช้าเสร็จเราไปกันเลยนะครับ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เวลาขึ้นเครื่องซะแล้ว รู้สึกแย่นะครับที่อยู่กับคุณได้ไม่ถึง
ยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่ต้องจากกันเร็วแบบนี้”

   “ไม่มีใครห้ามถ้าคุณนะครับจะมาเยี่ยมเราบ่อยๆ ซอรีม”

   “ผมก็อยากทำอย่างนั้นถ้าตารางงานมันไม่เยอะเป็นกองภูเขาแบบนี้”

   “แต่คุณก็สนุกกับมันนี่ เอาเถอะ ไว้ผมจะไปส่งคุณที่สนามบินด้วยแล้วกัน”

   “อย่าเลย ตอนนี้คุณสมควรพักผ่อนเยอะๆนะครับคุณผิง ผมอยากให้เบบี๋ในท้องของคุณเกิดมาแข็งแรง”

   “เอาอย่างที่คุณต้องการก็ได้”ขนมผิงพยักหน้า จำใจตอบรับรับเรื่องลูกที่ถูกยกขึ้นมาอ้างอย่างช่วยไม่ได้







   “แค่ก แค่ก แค่ก”ปิญญ์ชานนท์ไอออกมาอย่างแสบคอเมื่อในคอมันกำลังแห้งผากราวกับว่าน้ำในร่างกายของเขามันถูกสูบ
ออกไปจนเหือดแห้ง

   ชายหนุ่มนั่งพิงรั้วไม้พลางมองแผ่นหลังคุ้นเคยผ่านบานกระจกใส แดดในยามสายเริ่มแรงขึ้นจนมันส่องแยงตา อดไม่ได้ที่
จะต้องยกมือขึ้นมาบังด้วยความอ่อนแรง

   จ้องมองด้วยแววตาอันอิดโรยแบกรับความอิจฉาที่ถาโถมยามเห็นขนมผิงกำลังพูดคุยกับคนอื่นด้วยท่าทีสนิทสนมบนโต๊ะ
อาหารยามเช้าแบบนั้น

   ลิ้นร้อนผ่าวแลบเลียริมฝีปากแห้งผากบรรเทาความเจ็บแสบเมื่อแผลปริแตกแห้งกรังจนเจ็บแต่มันแทบจะไม่ได้ช่วยอะไร
เมื่อน้ำลายของเขามันทั้งเหนียวทั้งข้นเพราะขาดน้ำเป็นเวลานาน ร่างกายรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาทั้งที่แสงแดดยามบ่ายนั้นอบอุ่นจน
แทบเกือบร้อน

   เมื่อไรขนมผิงจะออกมาสักที ปิญญ์ชานนท์ได้แต่ข่มตา บังคับไม่ให้เปลือกตาที่อ่อนแรงนั้นปรือปรอยปิดลงมา เพราะกลัว
ว่าจะคลาดกันกับอีกฝ่าย ลมหายใจที่พรูออกมานั้นร้อนผ่าว รู้สึกได้เลยว่าร่างกายของตัวเองนั้นใกล้จะไม่ไหวเข้าไปทุกที

   แต่แล้วการรอคอยก็จบลงเมื่อประตูบ้านที่ถูกเปิดออกมาในครั้งนี้เผยให้เห็นร่างที่เขาข่มตารอคอยท่ามกลางสายฝนข้ามคืน

   “ขนมผิง”หลุดเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกไปด้วยความดีใจ น้ำเสียงนั้นแห้งผากเต็มทน

   ราวกับสุนัขที่ดีใจเวลาที่เจ้าของกลับบ้าน รอยยิ้มเผยขึ้นมาบนใบหน้าอันหล่อเหลาที่เวลานี้สภาพดูไม่ได้ เขาฝืนตัวขึ้นลุก
เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าจะมีคนอื่นกำลังเดินอยู่เคียงข้างก็ตาม

   “นายยอมกลับกับฉันแล้วใช่ไหม”

   ถามออกไปด้วยความหวัง ส่งยิ้มไปด้วยความจริงใจ ไร้การแสแสร้งอย่างไม่เคยเป็น หากแต่ว่ารอยยิ้มที่ส่งไปนั้นดูเหมือน
จะสูญเปล่า

   ใบหน้านิ่งเฉยนั้นเบือนหนีไปอีกทาง แขนผอมบางดึงหลบเมื่อเขาเอื้อมมือเข้าไปหา ก่อนที่จะเดินทิ้งห่างออกไป ทำ
ราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ

   “อรุณสวัสดิ์นะครับ”

   เสียงทักทายด้วยภาษาสากลแทบจะไม่เข้าโสตประสาต ในเวลานี้ปิญญ์ชานนท์เพียงจับจ้องเจ้าของร่างสูงโปร่งของใคร
คนนั้นหายเข้าไปในรถที่เปิดประตูรออยู่

   “อาจจะแนะนำตัวช้าไปนะครับ ผมชื่อซอรีม แล้วคุณล่ะ”ซอรีมแนะนำตัว เหยียดยิ้มส่งให้กับปิญญ์ชานนท์

   ทว่าคำกลับไม่ได้รับคำตอบเมื่อปิญญ์ชานนท์กลับไม่ได้ใส่ใจเขาเลยแม้แต่น้อย กลับจ้องมองประตูรถที่ปิดลงราวกับว่ารอ
คอยให้คนในรถลงมา

   “ไม่ตอบไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่ายังไงซะ ในอนาคตยังไงเราก็ต้องทำความรู้จักกันอยู่ดี เอาเป็นว่าผมให้นี่เป็นของขวัญ
สำหรับการพบกันของเราก็แล้วกัน”

   รูปถ่ายใบเล็กเท่าฝ่ามือถูกยัดใส่มือของชายหนุ่ม ปิญญ์ชานนท์ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจกับท่าทีสบายใจของอีกฝ่าย คล้าย
กับว่ากำลังเยาะเย้ยเขา

   หากแต่ว่ารูปใบเล็กๆในมือนั้นกลับทำให้พูดไม่ออกเมื่อมันแสดงให้เห็นในสิ่งที่เขาเองก็รอคอย เขารอคอยที่จะปกป้องสิ่ง
สิ่งนี้

   “เอามาให้ผมทำไม”

   “แล้วเจอกันนะครับ”ซอรีมไม่ตอบ ก่อนจะไหวไหล่และเดินจากไปจะเดินจากไป

   รถสองคันค่อยๆเคลื่อนออกไปอย่างช้าๆจนสุดสายตา แต่ชายหนุ่มที่ถูกทิ้งนั้นยังคงจ้องมองสิ่งที่ปรากฏอยู่ในรูปแน่นิ่งก้อน
เนื้อเล็กๆที่ยังไม่แสดงถึงรูปร่าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ดีว่าสิ่งนั้นคืออะไร มันทำให้เขาทั้งดีใจและรู้สึกมีแรงขึ้นมาราวกับได้ยาดีมา
รักษา

   หากแต่ภาพเบื้องหน้าค่อยๆพร่าเบลอ เปลือกตาค่อยๆอ่อนล้าและหนักอึ้ง รู้สึกราวกับว่าหมดแรงที่จะฝืนให้เปิดออกอีกครั้ง
เหมือนค่ำคืนที่ผ่านมา ร่างสูงใหญ่ทรุดลงบนสนามหญ้าเขียวชอุ่มก่อนสติที่มีจะเลือนหายแทนที่ด้วยความดำมืดอย่างไม่มีสิ้นสุด



   ------------------------------------------------------------------------



   ย่างก้าวที่ก้าวออกไปแต่ละก้าวในเวลานี้ช่างหนักอึ้ง สิ่งที่แบกรับเอาไว้เวลานี้มันคืออะไรกันแน่ เขาเองก็ยังไม่แน่ใจ ขนม
ผิงได้แต่จ้องมองปลายเท้าตัวเองเหยียบย่างเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ของมณีรัตน์ด้วยความอ่อนแรง

   ค่ำคืนที่ผ่านมาบางสิ่งบางอย่างมันกวนใจเขา และสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นอย่างนั้นก็คือปิญญ์ชานนท์ จนใจทรามที่ทำให้
หัวใจของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆครั้งแล้วครั้งเล่า

   “กลับมาแล้วเหรอตาผิง”

   “ครับ กลับมาแล้ว เด็กๆไปโรงเรียนแล้วเหรอครับ”

   “พ่อเขาแวะไปส่งที่โรงเรียนก่อนจะไปออกรอบตีกอล์ฟกับเพื่อนของเขานั่นแหละ”

   “ครับ”ตอบรับเพียงแค่นั้นก่อนจะปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนที่

   “ผิง”

   “ครับ”

   “เป็นอะไรรึเปล่า ดูเหมือนจะไม่ค่อยสบายเลยนะ”

   “ผิงไม่เป็นไร แค่รู้สึกเหนื่อยๆ”

   “ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว แม่อยากให้รู้ว่าแม่เป็นห่วงผิง รวมทั้งคนอื่นๆด้วย”ลำดวนบอกลูกชายด้วยน้ำเสียงเจือไปด้วย
ความห่วงใย

   นัยน์ตามากวัยของคนเป็นแม่จ้องมองเพียงแค่วูบเดียวก็สามารถรับรู้ได้ถึงความเป็นกังวลของคนเป็นลูกได้ทันทีจึงแทบไม่
ต้องเสียเวลาที่จะถามไถ่

   หากแต่ความกังวลของลูกชายนั้นคือสิ่งใด นี่คือสิ่งที่คนเป็นแม่อย่างเธอเป็นกังวลไม่แพ้กัน

   “นั่งกับแม่ก่อนสิ”

   เวลานี้เธอรู้ดีว่าไม่ควรจะปล่อยให้ลูกชายของเธอเดินผ่านไปและทิ้งให้อยู่คนเดียวกับความคิดที่สับสน เธอเอื้อมมือที่เต็ม
ไปด้วยริ้วรอยของวัยประคองหัวของลูกชายให้ซบลงมาแทบอก

   “แม่”น้ำเสียงอันแผ่วเบาเอ่ยเรียกออกไป สิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในเวลานี้ ขนมผิงอยากที่จะบอกออกไปเผื่อว่าความรับที่แบก
เอาไว้จนหนักอึ้งนั้นจะบรรเทาลง

   หากแต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดออกไป ขนมผิงรู้ดี ได้แต่เอนตัวซึมซับเอาไออุ่นจากอ้อมกอดของมารดา

   “แล้วคุณซอรีมล่ะ เขากลับไปแล้วเหรอ”ลำดวนชวนคุย

   “เขากลับไปแล้วครับ”

   “น่าเสียดายนะที่แม่ไม่ได้แวะเข้าไปหา”

   “ครับ อีกไม่นานเขาก็มาอีก”

   “อย่างนั้นเหรอ”เธอตอบรับลูกชายพลางลูบไล้บนเส้นผมนุ่มมือแผ่วเบา ความเงียบค่อยๆก่อเกิดขึ้นเมื่อบทสนทนาสั้นๆจบ
ลง



   “ผิง”

   “ครับ”

   “ไม่เสียใจใช่ไหมที่เขาถอนหมั้น”ในที่สุดเธอก็ถามออกไป และเธอภาวนาให้เป็นอย่างนั้น อย่างที่เธอคิดเอาไว้ตลอด

   และเธอก็ไม่แปลกใจเลยกับคำตอบที่ได้รับ หัวทุยๆที่แนบอกส่ายไปมา ทว่าสัมผัสบางอย่างทำให้ลำดวนปลายตามอง
ปฏิกิริยาของลูกชาย ชายเสื้อของเธอที่ถูกกุมไว้กำลังสั่นเทา

   “แล้วทำไมลูกชายของแม่ถึงได้ยังซึมอยู่อย่างนี้ล่ะ ยังมีเรื่องอะไรกวนใจอยู่อีกหรือ”

   “ไม่…ไม่มี”ขนมผิงส่ายหน้า “ผิงก็แค่รู้สึกเหนื่อย”แต่กระนั้นน้ำเสียงที่ตอบกลับสั่นเครือ

   “กับเขาคนนั้น แม่หมายถึงคุณปิญญ์น่ะ ผิงได้เจอเขาบ้างไหม”

   “ทำไมแม่ต้องถามถึงเขา อย่าเอ่ยชื่อของผู้ชายคนนั้นในบ้านของเราเลย ผิงเกลียดเขาแม่ก็รู้”มือที่กำชายเสื้อยิ่งกำแน่น
ลำดวนรับรู้ถึงเสียงของหัวใจลูกชายเป็นอย่างดี

   เธอยังจำสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นบอกกับสามีเธอได้เป็นอย่างดี สิ่งที่เธอไม่อาจคาดคิดและเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะเป็นไปได้ และตอน
นี้เธอก็คิดว่าลูกชายของเธอยังคงไม่รับรู้มัน

   “แม่รู้ว่าผิงเกลียดเขา แต่นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้แม่อยากให้ผิงทบทวนเรื่องของปัจจุบัน แม่ไม่อยากให้ผิงจมอยู่กับความ
ทุกข์อีกแล้ว บางครั้งคนเราอาจจะเดินข้ามอะไรไปโดยที่ไม่รู้ตัว เพื่อที่เราจะได้รู้ว่ามันคืออะไร เราอาจจะต้องเดินย้อนกลับมา
มองมัน”

   “ผิง… ไม่รู้ว่าผิงต้องทำยังไง ทุกอย่างมันเหมือนกับหนักอึ้งไปหมด ทุกอย่างมันผิดพลาด ผิงไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้
ผิงรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว”

   ริมฝีปากได้รูปขบเข้าหากันแน่น ขอบตาร้อนผ่าวจนยากที่จะห้ามไม่ให้สิ่งที่กักกั้นเอาไว้เอ่อล้นออกมา ความลับที่แบกรับ
เอาไว้มันทำให้เขายิ่งกลัว

   “ถ้าผิงไม่อยากบอกแม่ก็ไม่เป็นไร ไว้ตอนไหนที่พร้อมผิงค่อยบอกแม่ก็ได้ ยังไงแม่ก็อยากให้ผิงรู้ว่าผิงไม่ได้อยู่ตัวคน
เดียว”

   “อึก…ผิงรู้”



   ลำดวนค่อยๆประคองศีรษะของลูกชายวางลงหมอนผิงอย่างเบามือ จัดท่านอนให้ลูกชายนอนได้อย่างถนัดถนี่ พยายามที่
จะไม่ให้คนที่ตกอยู่ในโลกของความฝันตื่นขึ้นมา เพราะเธอเข้าใจดีว่าโลกแห่งความจริงของลูกชายในเวลานี้เจ็บปวดแค่ไหน
นานนับชั่วโมงกว่าร่างที่สั่นเทาอยู่ในอกราวกับทารกแน่นิ่งไปแทนที่ด้วยเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ เธอเดินหายไปจากห้องรับแขก
ก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับผ้าห่มคลุมลงบนร่างกายของลูกชาย



   -------------------------------------------------------------------------------

   

   แสงแดดสีเหลืองจัดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาปลุกให้เจ้าของร่างสูงโปร่งนอนคู้กายอยู่บนโซฟาปรือตาขึ้นมาอย่างช้าๆ

   เสียงครางเบาๆพึมพำเล็ดลอดออกมาจากคอ เรียวคิ้วยาวขมวดมุ่น เขาคงจะเหนื่อยมากเกินไปจนเผลอหลับบนโซฟาข้าม
วันขนาดนี้ มือผอมยกขึ้นแตะขอบตาของตนเอง ความรู้สึกแสบร้อนเล็กๆทำให้ลำลึกได้ว่าก่อนหน้านั้นน้ำตาที่พยายามกักเก็บมัน
เอาไว้ได้เอ่อล้นออกมาเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของมารดา

   โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นเรียกความสนใจ พอหยิบยกมันขึ้นมาดูก็เห็นเป็นเบอร์แปลก ความจริงเขาจะไม่สนใจ
รับสายเข้าสายนี้หากว่ามันไม่เป็นเบอร์ที่โทรมาจากต่างประเทศ

   “ขนมผิงครับ”กรอกเสียงลงไปบางเบา

   ‘ผมนึกว่าจะไม่รับสายกันซะแล้ว’

   “ทำไมถึงได้โทรมาล่ะครับ คุณคงไม่ได้ตกเครื่องนะซอรีม”

   ‘อ่อ เปล่าหรอก ผมแค่นึกขึ้นได้ว่าลืมบอกบางอย่างกับคุณ’

   “แล้วบางอย่างที่ว่าคืออะไรล่ะครับ”ขนมผิงถามออกไปด้วยความสงสัย

   ‘ก็หลังจากที่เราออกมาจากบ้าน คนทำความสะอาดเขาไปเจอคุณคนนั้นนอนกองอยู่บนสนามหญ้าน่ะ ผมหมายถึงคุณผู้บุก
รุกน่ะ เขาก็เลยพาไปส่งโรงพยาบาล’

   “งะ งั้นเหรอครับ แล้วคุณมาบอกผมทำไม”

   ‘ผมคิดว่าผมควรจะบอกคุณให้รู้เอาไว้ก็แค่นั้น เอาล่ะ ผมคงต้องวางสายแล้ว อีกเดี๋ยวต้องเข้าประชุมเลย ไม่ไหวๆ พึ่งจะมา
ถึงแท้ๆ เอาเป็นว่าไว้เจอกันนะครับ’

   ยังไม่ทันพูดอะไรปลายสายก็ตัดไปซะก่อน แต่พอสังเกตตัวเอง รู้สึกว่ามือที่กำลังกำเครื่องมือสื่อสารอยู่มันสั่น ตั้งแต่เมื่อไร
เขาเองก็ไม่ทันสังเกต ความรู้สึกในเวลานี้มันช่างสับสน

   





   สุดท้ายก็พาตัวเองมาจนได้ เท้าค่อยๆย่างก้าวไปทีละก้าว จ้องมองทางเดินที่เงียบสงบของโรงพยาบาลยามค่ำคืน หยุดยืน
และจ้องมองแผ่นกระดาษเล็กๆที่จดเลขที่ห้องเอาไว้

   ชั่งใจอยู่นานนับหลายนาที รู้ตัวอีกทีใบหน้าซีดเผือดของคนที่กำลังหลับอยู่ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ริมฝีปากของอีกฝ่ายดู
แห้งผาก ใบหน้าดูซูบโทรมกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอ เขาจ้องมองสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยางเชื่อมกับข้อมือแข็งแรงที่เคยใช้ตรึง
เขาเอาไว้ให้อยู่ในสภาพที่หมดทางสู้

   ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องมา หรือเป็นเพียงแค่ว่ารู้สึกผิดที่เป็นคนทำให้ปิญญ์ชานนท์ตกอยู่ในสภาพนี้ แต่ว่าทั้งหมดนี้ก็
ต้องโทษปิญญ์ชานนท์ที่ทำตัวเอง เขาพยายามโยนความผิดทั้งหมดให้กับอีกฝ่าย ผิดที่พยายามตามต้อนเขาให้จนมุม จนรู้สึก
มองไม่เห็นทางที่จะเดินต่อไป   

   



   ------------------------------------------------------------------------------



มีต่อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 08:09:45 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
ต่อ


   “มาเยี่ยมพี่ปิญญ์เหรอผิง”เสียงหนึ่งทักทายระหว่างที่เขากำลังจะเดินไปยังลานจอดรถ ทำให้ต้องชะงักเมื่อน้ำเสียงนั้นเป็น
น้ำเสียงที่คุ้นเคย

   “พี่วุฒิ”ขนมผิงเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาเสียงเบา เงยหน้าจ้องมองใบหน้าสะอาดสะอาดประดับด้วยแว่นกรอบหนา

   “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ สบายดีไหม”

   “ผม…สบายดี”

   “จะเข้าไปเยี่ยมพร้อมกันเลยไหม”รอยยิ้มอ่อนโยนยังส่งมาให้เหมือนเดิม หากแต่ไม่เหมือนเดิมตรงที่ความรู้สึกที่เขามีให้
กับอีกฝ่าย

   “ผม…ไม่ได้มาหาเขา”ตอบโกหกออกไป

   “งั้นอยู่คุยด้วยกันก่อนสิครับ พี่ไม่ได้เจอผิงตั้งนาน”ฝ่ามืออุ่นแตะลงที่แขนก่อนจะดึงให้เดินตามไปยังม้านั่งสำหรับญาติผู้
ป่วย

   “แล้วเด็กๆล่ะ เป็นยังไงบ้าง ยังซนเหมือนเดิมไหม”

   “ครับ ซนเหมือนเดิม มีถามหาพี่วุฒิอยู่บ้าง”

   “นั่นสินะ ช่วงนี้ที่บ้านพี่ค่อนข้างยุ่ง คงไม่ได้ไปไหนมาไหนสักพัก”คุณวุฒิตอบกลับมา แต่ถึงอย่างนั้น น้ำเสียงกลับเจือไป
ด้วยความเศร้า

   “ผิงดูเงียบๆ ไม่เหมือนเดิม ไม่สบายรึเปล่าช่วงนี้”

   “ผิงไม่เป็นไร แค่รู้สึกเหนื่อยๆ แล้วพี่วุฒิล่ะครับ ทำไมถึงมาออยู่ที่นี่ได้”ขนมผิงถามออกไปด้วยความสงสัย เพราะเท่าที่จำ
ได้ คุณวุฒิไม่ได้ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลนี้

   “จะทำไงได้ พี่ชายป่วยทั้งที แถมยังไม่มีคนดูแล พี่พึ่งจะมาถึงเลยแวะไปคุยกับหมอเจ้าของไข้ แล้วก็แวะเอาเสื้อผ้ากับ
ของส่วนตัวคนไข้เลยมาเจอผิงเนี่ยล่ะครับ”

   “ครับ”ตอบสั้นๆก่อนจะเงียบไป

   “ผิงดูเปลี่ยนไปเยอะนะครับ เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ ทั้งที่ปกติเป็นคนพูดเยอะ พี่ชอบที่ผิงเป็นผิงคนที่พูดเยอะมากกว่า พี่
รู้นะว่ามันอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้ แต่พี่ก็อยากให้ผิงรู้ว่าพี่ยังเป็นห่วงผิง
เหมือนเดิม”คุณวุฒิบอกพร้อมกับเอื้อมมือสัมผัสลงบนกลุ่มผมนุ่มเบามือเหมือนอย่างที่เคยทำเมื่อนานมาแล้ว

   ความรู้สึกเป็นห่วงยังคงเหมือนเดิมไม่เคยจางหาย ต่างกันก็แค่ความรู้สึกบางอย่างที่มันค่อยๆเลือนลางจางหายไป

   “ขอบคุณ แต่ผิงคงทำอย่างที่พี่พูดไม่ได้หรอก”

   “นั่นสินะ จู่ๆจะให้ทำแบบนั้นคงจะไม่ได้ เอาเป็นว่าไว้พร้อมเมื่อไรค่อยบอกพี่ก็ได้ครับ พี่ยังอยู่ข้างผิงเหมือนเดิม”คุณวุฒิยัง
คงบอกด้วยน้ำเสียงอันอ่นโยน ไม่ต่างจากเมื่อก่อน

   เวลานี้มีเพียงความเงียบยามค่ำคืนเท่านั้นที่ล้อมรอบ ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปกำลังดึงรั้งให้คนสองคนรู้สึกห่างกันทั้งที่
นั่งห่างกันเพียงเอื้อม

   “ผิงรู้ไหมว่าพยาบาลเขาบอกกับพี่ว่ายังไง เขาบอกว่าตอนที่มาถึงพี่ปิญญ์ไม่ได้สติอะไรเลย แต่ถึงอย่างนั้นในมือก็ยังกำ
อะไรบางอย่างเอาไว้แน่น ใช้เวลาอยู่นานกว่าพยาบาลจะดึงเอาสิ่งนั้นออกมาจากมือของเขาได้ ผิงอยากรู้ไหมว่ามันคืออะไร”

   คุณวุฒิเอ่ยปากเริ่มออกมาเมื่อความเงียบทำให้รู้สึกว่าทนเก็บสิ่งที่ค้างคาออกมาไม่ได้ เพราะสิ่งๆนั้นที่เวลานี้กำลังอยู่ในมือ
ของเขา

   “มันคือ…อะไรครับ?”

   “มันคือรูปอัลตร้าซาวด์ของทารกที่อยู่ในครรภ์น่ะ ผิงอยากดูไหม”

   คุณวุฒิยื่นกระดาษรูปถ่ายใบยับยู่ยี่ให้ ดวงตารีเล็กลอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายผ่านกรอบแว่น

   ทันทีที่เห็นนัยน์ตาสีโศกของเพื่อนรุ่นน้องก็ไหวระริกเมื่อเห็นสิ่งที่เขายื่นให้ มือที่รับมันไปถือเอาไว้ถึงแม้จะพยายาม
ควบคุมแค่ไหนแต่เขาก็เห็นอยู่ดีว่ามือนั้นมันกำลังสั่น

   “ทะ ทำไมกัน”

   ขนมผิงหลุดถามออกมาเสียงบางเบา ไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้ไปอยู่กับปิญญ์ชานนท์ได้อย่างไร แล้วทำไมปิญญ์ชานนท์ถึงได้ทำ
ราวกับว่าสิ่งๆนี้มีค่าทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้

   สุดท้ายความลับที่ปิดบังกับอีกฝ่ายไว้ก็ถูกล่วงรู้เข้าอยู่ดี ในที่สุดปิญญ์ชานนท์ก็รู้ว่าเขากำลังท้อง แล้วทำไมถึงได้พยายาม
จะแย่งผู้หญิงคนนั้นกลับคืนละ เขาไม่เข้าใจ ไม่ว่ายังไงก็ไม่เข้าใจปิญญ์ชานนท์อยู่ดี

   “ผิงกำลังท้องอยู่ใช่ไหม”

   สิ่งที่คุณวุฒิถามออกมาทำให้ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างตกใจ จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา

   “พี่วุฒิรู้?”

      “พี่รู้มาสักพักแล้ว และพี่ก็รู้ว่าผิงไม่อยากให้ใครรู้”คุณวุฒิจ้องมองใบหน้าของรุ่นน้อง “แต่สักวันความจริงมันก็ต้อง
ปรากฏ พี่ไม่อยากให้ผิงฝืนเก็บความลับไว้จนหนักอึ้งอยู่คนเดียว พี่รู้ดีว่าผิงไม่ค่อยมองรอบตัวของตัวเองเพราะว่าไม่อยากคาด
หวังกับคนพวกนั้น แต่พี่อยากให้ผิงรู้ไว้ว่ายังมีอีกหลายคนรอบๆตัวผิงที่เป็นห่วงผิงและอยากให้ผิงมีความสุข”

   “ผิงทำไม่ได้ ทำไม่ได้หรอกครับ ยังไงก็ทำไม่ได้”ขนมผิงตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ส่ายหน้าตอบรับตรงกันข้ามอย่างที่ใจ
นึก

   “ไม่เป็นไร ค่อยๆเป็นค่อยๆไปก็ได้ พี่จะยังอยู่ข้างผิงเหมือนเดิม พี่สัญญา”

   “ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมควรจะทำยังไงดี”

   

   ------------------------------------------------------------------------------------

   

   ประตูห้องคนไข้วีไอพีถูกเปิดออกก่อนที่ร่างของคุณหมอพ่วงตำแหน่งญาติผู้น้องของปิญญ์ชานนท์จะเดินเข้ามา

   “ตื่นแล้วทำไมไม่อยู่นิ่งๆให้สมกับเป็นคนไข้หน่อยล่ะครับ”อดดุออกไปด้วยความเป็นหมอไม่ได้เมื่อเห็นคนไข้เดินลาก
สายน้ำเกลือไปมาทั่วห้อง

   “นายมาทำอะไรที่นี่นายวุฒิ”เสียงที่ดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติดีแล้วถามทักเมื่อเห็นญาติผู้น้องเดินเข้ามาพร้อมสัมภาระ

   “ได้ยินว่าคนไข้ห้องนี้ไม่มีญาติมาเฝ้า ผมก็เลยแวะมาดู ทำไมถึงเดินไปมาอย่างนั้นล่ะครับ”

   “ฉันกำลังหาของอยู่ นายมาก็ดีแล้ว ช่วยไปถามกับพยาบาลให้ฉันหน่อยสิ”ปิญญ์ชานนท์ตอบโดยที่ไม่จ้องมองคู่สนทนา
ให้เสียเวลา เพราะของที่ว่ามันสำคัญต่อจิตใจของเขามาก แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ คงจะทำหล่นไปตอนที่เผลอหมดสติ คิด
แล้วก็อดโทษตัวเองไม่ได้ที่ทำสัพเพร่า

   “กำลังหาไอ้นี่อยู่ใช่ไหมครับ”

   “ทำไมมันถึงไปอยู่ที่นายได้ล่ะ เอามานี่”ทันทีที่เห็นรูปถ่ายถูกอวดหราอยู่เบื้องหน้าของน้องชาย ไม่รอช้าปิญญ์ชานนท์ก็
รีบตรงเข้ามาคว้าคืนไปทันที

   



   “พี่ปิญญ์ทำผิงท้องอีกแล้วใช่ไหม”คุณวุฒิเอ่ยปากถาม ลึกๆแล้วหากไม่ใช่พี่ชายของเขา บางทีคนคนนั้นมันอาจจะเป็นเขา
ก็ได้ที่เป็นผู้ชายที่โชคดีคนนั้น แต่นั่นมันก็เป็นเพียงความรู้สึกของอดีตเท่านั้น

   “นายรู้ได้ยังไง”

   “ทั้งสองคนถามผมกลับด้วยคำถามเดียวกันเลยนะครับ”

   “สองคนมันหมายความว่ายังไง?”ชายหนุ่มผู้ป่วยถามออกมาด้วยความสงสัย จ้องมองน้องชายตัวเองแน่นิ่งราวกับว่ากำลัง
เค้นเอาความจริงจากปากพยาน

   “ผมเดินสวนกับผิงที่ทางเดินเลยมีโอกาสได้คุยกันนิดหน่อย”

   “ขนมผิงมาที่นี่เหรอ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน นายเจอกับขนมผิงที่ไหน”ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้นปิญญ์ชานนท์ก็แทบจะกระชาก
สายน้ำเกลือและปรี่ตัวออกไปจากห้องทันทีถ้าไม่ติดที่คุณวุฒิรั้งเอาไว้

   “ป่านนี้เขากลับถึงบ้านแล้วล่ะครับ”

   “แล้วทำไมนายไม่บอกฉันให้เร็วว่านี้”

   “ต่อให้พี่ตามผิงไปทัน แต่ผมก็เชื่อว่าต่อให้พี่ล้มลงต่อหน้าผิง ผิงก็ไม่ยอมคุยกับพี่หรอกครับ ผมรู้จักผิงดี”

   “อย่ามาบอกว่ารู้จักขนมผิงดีต่อหน้าฉันหน่อยเลย”ปิญญ์ชานนท์ทิ้งตัวลงนั่งลงบนเตียงคนไข้ “ฉันจะออกจากโรงพยาบาล
ตอนนี้ นายไปจัดการให้ฉันเดี๋ยวนี้เลย ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี”

   “เอาแต่ใจแบบนี้ไงครับ ถึงถูกเมินอยู่เรื่อย”คุณวุฒิส่ายหน้าให้กับความใจร้อนของพี่ชาย แทบจะยกมือขึ้นมากุมขมับกับ
ความใจร้อนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง “ได้เร็วสุดพรุ่งนี้เช้าครับ ผมให้ได้แค่นั้น”

   “บ้าชิบ ดันหลับไปซะได้”

   ปิญญ์ชานนท์อดสบถออกมาไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาเมื่อได้รู้ว่าขนมผิงยังเป็นห่วงเขาอยู่บ้าง

   สัญชาติญาณของเขามันกำลังบอกว่าต้องมีอะไรบางอย่างแน่ที่ทำให้ขนมผิงกลับมาเย็นชาใส่เขาแบบนี้





   --------------------------------------------------------------------------------------



   บรรยากาศภายในบ้านยามดึกเงียบสงัดเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น ประตูห้องนอนลูกชายฝาแฝดถูกเปิดออกอย่างเบามือ

   ขนมผิงทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนเบาๆก่อนจะก้มลงจูบบนหน้าผากของลูกชายสลับกัน เขากำลังจ้องมองใบหน้าที่ถอดแบบมา
จากใครอีกคน ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้นึกถึงคนคนนั้น และนั่นทำให้เขายิ่งต้องปกป้องลูกๆเอาไว้เพื่อไม่ให้ต้องเจอกับความเจ็บปวด
เหมือนกับเขา

   ขนมลุกขึ้นมาจากเตียงเพื่อเดินไปยังห้องตัวเองทว่าโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงกลับสั่น

   “ครับ”

   ตอบรับเมื่อเบอร์ที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอนั้นทำให้รู้สึกราวกับร่างกายมันชาในเสี้ยววินาที

   ‘เย็นวันพรุ่งนี้ คุณผิงว่างรึเปล่าค่ะ มีบางอย่างอยากจะบอกคุยคุณ’

   “อยากจะคุยอะไรล่ะครับ ตอนนี้ผมสะดวกครับพูดมาเลย”

   ‘ไว้จะบอกตอนที่เจอกันค่ะ ที่ร้านอาหารเดิมที่เราเจอไปกินด้วยกันครั้งแรก คงจะจำได้นะคะ อย่าลืมมาให้ได้นะคะ’

   “ครับ ผมจะไป”

   



   ------------------------------------------------------------------------------------



   ในร้านอาหารยามเย็นค่อนข้างจะมีลูกค้าแน่นร้าน แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวเท่าไรเมื่อทางร้านมีโซนวีไอพี
เป็นฉากญี่ปุ่นกั้นเอาไว้เพื่อความเป็นส่วนสำหรับแขกโดยเฉพาะ

   บรรยากาศภายในห้องเวลานี้ถึงแม้อาหารที่สั่งมาจะดูน่าลิ้มลองสักแค่ไหน แต่มันก็ดูเหมือนจะไร้ค่าเมื่อมันถูกสั่งมาเพียง
แค่ประดับเอาไว้บนโต๊ะ

   “ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงสินะคะ ที่ว่าพี่ปิญญ์ไม่สบายจนต้องแอดมิดที่โรงพยาบาล”รอยยิ้มที่ดูเหยียดหยันเคลือบด้วย
ลิปสติกจ้องมองก้อนสำลีบนข้อมือของชายหนุ่ม

   “เข้าเรื่องเลยดีกว่า ที่เธอเรียกฉันออกมาเธอมีธุระอะไร”

   “แหม จะรีบไปไหนล่ะคะ เรื่องแบบนี้ถ้ายิ่งรีบคุยจะยิ่งกระทบกระทั่งกันเข้าไปใหญ่”

   “จะยังไงก็ช่าง เธอรีบพูดเข้าประเด็นของเธอซะ ฉันไม่อยากที่จะอยู่ที่นี่กับเธอนานสักเท่าไรหรอกนะ”รอยยิ้มที่ดูร้ายกาจ
ส่งกลับคืนไปไม่แพ้กัน

   กับผู้หญิงตรงหน้าดูเหมือนว่ามันคงจะไม่จบง่ายๆอย่างที่เขาคิดเอาไว้ แต่มันคงจะไม่มีอะไรมากไปกว่าผลประโยชน์และ
ชื่อเสียงแน่นอน เขามั่นใจ

   

   “งั้นก็ตามใจพี่ปิญญ์นะคะ”หญิงสาวเหยียดยิ้มเปิดกระเป๋าถือราคาแพงหยิบเอกสารบางอย่างออกมาวางลงบนโต๊ะ “พอดีว่า
เดหลีได้อะไรที่น่าสนใจบางอย่างมา เลยลองพิสูจน์ดู แล้วมันก็ดันเป็นอย่างที่คิดจริงๆซะด้วยสิ”

   ปิญญ์ชานนท์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหยิบเอกสารเบื้องหน้าขึ้นมาดู ผลตรวจที่เขารู้ดีว่ามันคืออะไรทำให้ชายหนุ่มแค่นยิ้ม
ออกมา

   “หึ ไม่ยอมปล่อยง่ายๆสินะ”

   “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนทั้งประเทศ อ้อ ไม่สิ คนทั้งโลกรู้ถึงเรื่องอันน่าสะอิดสะเอียนนี้ เดหลีอยากรู้จริงๆว่าคุณผิงเขาจะเอา
หน้าไปไว้ที่ไหน ว่าไหมคะ”

   “แล้วยังไง”

   “หุ้นของอนันตไพลินสามสิบเปอร์เซ็นต์แลกกับความลับที่น่าขยะแขยงก็ดูไม่เลวนะคะ”

   “คนอย่างเธอน่ะ ได้แค่นี้สินะ”ปิญญ์ชานนท์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงดูถูก

   ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังหญิงสาวแน่นิ่ง ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดใด นั่งยิ่งทำให้หญิงสาวที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามเริ่ม
หวาดหวั่น เพราะเธออ่านไม่ออกเลยว่าชายหนุ่มตรงหน้าเธอกำลังคิดอะไรอยู่

   “เดหลีส่งข้อมูลทุกอย่างไปให้สำนักข่าวหมดแล้ว เหลือแค่รอคำสั่ง แค่กริ๊งเดียวทั้งชีวิตแม่ทั้งชีวิตลูกจะพังทลายไม่มีชิ้น
ดี”

   “เธอน่ะคิดดีแล้วใช่ไหม”

   “แน่นอนค่ะ คิดมาดีแล้ว แล้วก็ดีมากด้วยกับผลตอบแทน”

   “งั้นฉันเองก็มีอะไรอยากจะให้เธอดูเหมือนกัน เผื่อว่าเธอจะคิดได้ ก่อนที่มันจะสายเกินไป”ปิญญ์ชานนท์ล้วงหยิบแฟรช
ไดร์อันเล็กออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะ

    ทำให้หญิงสาวเริ่มแสดงออกถึงท่าทีหวาดหวั่นเมื่อเธอไม่สามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในนั้นคืออะไร

   “อะ อะไรคะ? ทำไมต้องเอามาให้เดหลีด้วย”

   “อย่าถามฉันเลยว่ามันคืออะไร เพราะมันเยอะจนฉันไม่อาจจะพูดมันออกมาหมดในเวลาสั้นๆได้ เอาเป็นว่าถ้าเธอไม่อยากดู
เธอก็เอามันไปให้พ่อของเธอดูก็ได้ เผื่อว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นมันอาจจะทำให้เธอกับพ่อของเธอตาสว่างขึ้นมาบ้าง”

   “มันไม่ตลกนะคะ!! อย่าคิดว่าเดหลีจะกลัวแล้วยอมง่ายๆ ไม่มีทาง ถ้าวันพรุ่งนี้เดหลีไม่ได้รับการติดต่อจากพี่ปิญญ์ ข้อมูล
ทั้งหมดจะต้องถูกแฉแน่”

   “ก็เอาสิ ฉัน…..”

   ครืดดดดด

   ยังพูดไม่ทันจบเสียงประตูฉากกั้นก็ถูกเลื่อนออกฉุดให้คนที่อยู่ภายในหันไปมอง






   “ขอโทษที่รบกวน ผมไม่คิดว่าจะคุยกันอยู่ เชิญถามสบายครับ”



   น้ำเสียงอันราบเรียบบอกออกมาก่อนเจ้าของประโยคจะผละออกไป



   “หึ น่ารังเกียจ!”หญิงสาวสบถออกมาพลางจ้องมองแผ่นหลังของร่างสูงโปร่งเดินห่างออกไปเรื่อยๆ



   “เธอทำบ้าอะไรของเธอ”

   “เดหลีเป็นคนเชิญเขามาเองแหละค่ะ อยากจะเห็นหน้าชัดๆว่าผู้ชายที่มันท้องได้น่ะน่าสมเพชขนาดไหน”

   “ผิดแล้ว”น้ำเสียงแข็งกร้าวตอบกลับด้วยความขุ่นเคือง “เป็นเธอต่างหากที่มันโคตรจะน่ารังเกียจ เธอมันน่าขยะแขยงยิ่ง
กว่าขยะโสโครกซะอีก”

   “อย่ามาพูดแบบนี้กับเดหลีนะคะ พี่ปิญญ์ก็รู้ดีว่าถ้าหากทำให้เดหลีโมโหแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น”หญิงสาวพยายามควบคุม
น้ำเสียงและท่าทีเมื่อชายหนุ่มเบื้องหน้าใกล้กำลังจะบัลดาลโทสะใส่เธอ

   “ถ้าเธอกล้าก็ลองดูสิ ฉันไม่รับลองผลกรรที่มันจะเกิดขึ้นกับตัวเธอแน่ และต่อให้คนทั้งโลกจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดยังไง ฉัน
มั่นใจว่าฉันคนนี้สามารถปกป้องลูกเมียฉันจากคนระยำอย่างเธอได้แน่นอน”

   “นั่นพี่ปิญญ์จะไปไหน เดหลียังคุยไม่จบนะ กลับมาเดี๋ยวนี้”

   เสียงแหลมเล็กกรีดร้องเมื่อผลต่อรองที่เธอหวังยังไม่สำเร็จ และเธอยิ่งโกรธแค้นเมื่อโดนด่าทอด้วยคำพูดดูถูกจากพวกที่
เธอดูถูกซะเอง

   เพล้งงงงงง

   “คอยดูนะ พวกแกไม่เจอจุดจบดีดีแน่”

   หญิงสาวจ้องมองเศษแก้วน้ำแตกกระจายบนพื้นห้องด้วยความเจ็บใจ เธอพยายามระงับอารมณ์กราดเกรี้ยวของเธอเอาไว้

ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อปลายสาย



   “พวกมันสองคนออกไปด้วยกัน ตามันไปแล้วจัดการให้เรียบร้อย อย่าให้สืบมาถึงฉันกับพ่อได้ล่ะ”

   



-------------------------------------------------------------------------------------------------------



รู้สึกว่าบทเลิฟซีนมันหายไป แล้วก็หายไปนานมากกกกกก ก็แล้วมันหายไปไหนนนนนน อร๊างงงงงงงง มันแบบอยากเขียนเลิฟ
ซีนใจจะขาด แต่แบบ ซีนมันยังไม่ให้ มันรู้สึกอึดอัดใจชะมัด ยังไงก็ขอเสียงคนอ่านหน่อยนะค๊าาาาาา

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เดหลีจะสั่งเก็บทั้งคู่เรอะ!

ขอให้เวรกรรมตามทันเถอะ :ling1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
34 แก้ตัว


   นี่มันอะไรกัน!! มันเกิดอะไรขึ้น ขนมผิงได้แต่เฝ้าถามกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า หรือเป็นเพราะว่าสองคนนั้นต้องการจะเยาะ
เย้ยเขากัน ถึงได้ชวนให้เขามาที่นี่เพื่อได้เห็นกับตาตัวเอง

   ร่างสูงโปร่งก้าวเท้ารีบเร่งออกจากร้านอาหารไม่หยุดทันทีที่ตั้งสติได้ แต่ละย่างก้าวที่เหยียบย่างไปบนพื้นช่างหนักอึ้ง
ราวกับเอาเหล็กนับสิบกิโลมาถ่วงขาเอาไว้



   “เดี๋ยวก่อนสิ ขนมผิง นายจะรีบไปไหน”

   เสียงเรียกไล่หลังยิ่งทำให้ต้องรีบก้าวไปข้างหน้าเร็วขึ้น มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น ขบริมฝีปาก พยายามเน้นย้ำไม่ให้
ตัวเองหันกลับไปมอง

   “นายไม่ได้ยินที่ฉันเรียกรึไงหะ”

   เสียงเรียกยังคงเน้นย้ำไล่หลังมาติดๆ สุดท้ายแขนก็ถูกคว้าเอาไว้ ถูกดึงให้กันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายทั้งที่เวลานี้ไม่
อยากที่จะเผชิญหน้ากันเลยสักนิด

   ขนมผิงจ้องมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยแววตาอันนิ่งเฉย พยายามซ่อนสิ่งที่เก็บไว้ภายใน

   “ทำไมนายถึงมาที่นี่ได้ล่ะ”อีกฝ่ายออกปากถามด้วยความข้องใจ แต่นั่นมันเป็นสิ่งที่ขนมผิงไม่จำเป็นจะต้องตอบ ในเมื่ออีก
ฝ่ายน่าจะรู้ทุกอย่างดีไม่ใช่รึไง

   พอคิดได้ดังนั้นจึงเบือนหน้าหนี เพราะหากมองใบหน้าของปิญญ์ชานนท์นานกว่านี้เขาคงจะรู้สึกอึดอัดเพิ่มมากขึ้นเป็น
ทวีคูณ

   “มานี่ มากับฉัน”

   สิ้นเสียงแขนก็ถูกฉุดให้เซไปตามแรงดึง ถูกดึงไปยังอีกฟากของลานจอนรถคนละฝั่งกับที่รถตัวเองจอดอยู่

   “กรุณาปล่อยมือด้วยครับ”พูดด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ พยายามขืนตัวเอาไว้

   “ฉันจะไม่ปล่อยนายจนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่องหรอกนะขนมผิง”

   “ผมไม่มีอะไรจะต้องคุยกับคุณ”

   “นายไม่มี แต่ฉันมี”ปิญญ์ชานนท์ไม่สนใจคำปฏิเสธ “ตามฉันมา”ออกแรงดึงให้เดินตาม

   ทว่าขนมผิงยังคงขืนตัวเอาไว้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ปิญญ์ชานนท์หันมาสบถเล็กน้อยก่อนจะจ้องมองใบหน้านิ่งเฉยของคนขัดขืน
ชายหนุ่มจ้องมองมือของตัวเองที่กุมแขนของขนมผิงเอาไว้ ต่อให้ตอนนี้มือของเขาจับเอาไว้แน่นแค่ไหน  แต่มันก็เป็นเพียง
ร่างกายเท่านั้นที่เขาได้จับต้อง เขารู้สึกได้ดีว่ายิ่งไล่ตาม หัวใจของขนมผิงก็จะยิ่งพยายามหนีไปในที่ที่ไกลแสนไกล

   “ผมไม่จำเป็นต้องไป ถ้าคุณมีอะไรจะพูดทำไมคุณไม่พูดซะตรงนี้ล่ะ คุณปิญญ์”

   “ไอ้เรื่องพูดน่ะมีแน่ แต่จะพูดที่นี่คงพูดไม่รู้เรื่องกันหรอก”

   “ก็แล้วทำไมคุณไม่ลองหันหลัง แล้วกลับเข้าไปข้างในล่ะครับ”

   “ฉันไม่มีธุระอะไรกับเธอแล้ว ตอนนี้ฉันมีธุระแค่กับนาย”

   “แต่ผมไม่มี”พูดจบก็สะบัดมือที่กุมแขนเอาไว้จนหลุดออก

   แต่ทว่าปิญญ์ชานนท์เองมาถึงขั้นนี้แล้วจะยอมปล่อยให้หนีไปอีกง่ายๆได้ยังไง แขนแข็งแรงดึงโอบร่างสูงโปร่งเซมาจนชิด
อก อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอดึงตัวอีกฝ่ายเอาไว้โอบรัดด้วยอ้อมแขนจนแน่น



   “ถ้าไม่ยอมไปดีดีก็คงต้องใช้กำลังสินะ”

   สิ้นเสียงร่างของขนมผิงก็ถูกยกจนเท้าลอยสูงขึ้นจากพื้น ดวงตาคู่คมนิ่งเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ใบหน้าชาวูบเมื่อคน
แถวนั้นต่างก็มองมาที่พวกเขา

   “คุณปิญญ์…ทำอะไรน่ะ!!”

   “ฉันรู้ดีว่านายคงจะไม่ยอมไปกับฉันง่ายๆ อย่าขัดขืนไปหน่อยเลย ถ้านายตกลูกเราจะเจ็บเอานะ”กระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียง
เข้าปนเจ้าเล่ห์

   “ปล่อยผม”ขนมผิงพยายามสลัดตัวออกจากอ้อมแขนที่เป็นราวกับพันธนาการนี้ ทว่ายิ่งดิ้นมันก็ยิ่งรัดแน่น หนำซ้ำรองเท้าที่
รีบเร่งใส่ตอนที่ออกมาจากร้านก็หลุดออกไปข้างหนึ่ง “ไม่เห็นรึไงว่ารองเท้าผมหลุด”

   “อย่าห่วงไปเลย เดี๋ยวฉันซื้อให้นายใหม่เอง”

   ไม่รอให้อีกฝ่ายแย้ง ปิญญ์ชานนท์ดันร่างของสูงโปร่งเข้าไปในรถที่เปิดประตูรออยู่ก่อนแล้ว เบียดร่างตัวเองตามประกบติด
ไม่ปล่อยให้มีช่องทางหนีไปได้ก่อนจะปิดประตูลง

   

   “ขับออกไปนอกเมืองเลย ทางไหนก็ได้ที่ไม่ค่อยพลุกพล่าน”

   ชายหนุ่มออกปากสั่งคนขับรถที่เรียกตัวมาใช้หลังจากออกจากโรงพยาบาล

   “จะไม่พูดอะไรหน่อยรึไง”

   ปิญญ์ชานนท์เอ่ยปากถามเมื่อเห็นคนข้างตัวนั่งนิ่ง เอาแต่จ้องมองไปยังนอกรถด้วยท่าทีไม่พอใจ พอถูกต้อนจนมุมไร้ทาง
หนีก็แสดงท่าทีนิ่งเฉยใส่อย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆทำราวกับว่ากำลังสร้างกำแพงล้อมรอบกายเพื่อป้องกันตัวเอง

   ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ยิ่งใกล้กัน ขนมผิงตีตัวหนีออกห่าง เขาจะต้องรออีกนานแค่ไหนกัน ขนมผิง
ถึงจะยอมหยุดให้กับสักที

   “นายกำลังคิดอะไรอยู่”

   “  ”

   “ใจคอนายจะไม่พูดอะไรเลยใช่ไหม”

   ปิญญ์ชานนท์ยังคงไม่ได้คำตอบ สองข้างทางเริ่มมีสิ่งก่อสร้างเบาบางลง มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ดังอยู่
ภายในรถขณะที่มันแล่นออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย

   “ให้ขับไปทางไหนต่อดีครับคุณปิญญ์”คนขับรถหันมาถาม

   “ขับต่อไปเรื่อยๆ”

   ปิญญ์ชานนท์บอกอย่างไม่ใส่ใจ เขายังคงจับจ้องเสี้ยวหน้าคมนิ่งไม่วางตา ไม่ว่ายังไงขนมผิงก็ยังไม่ยอมคุยกับเขาง่ายๆ
อยู่ดี

   “ตกลงนายจะไม่พูดอะไรใช่ไหม”

   ขนมผิงยังจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำแบบนั้นเพราะว่ากำลังจนมุม ไม่มีทางให้หนี
ทำได้เพียงแต่นิ่งเงียบ ทำตัวเฉยชาใส่เขาตลอด ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ

   “ก็ดี ถ้าไม่ยอมออกปากพูดง่ายๆล่ะก็….”ชายหนุ่มเอื้อมมือไปดึงแขนผอมเอาไว้ก่อนจะหันไปสั่งคนขับรถ



   “จอดตรงนี้แหละ แล้วก็ขับกลับบ้านไปเลย”คำพูดของปิญญ์ชานนท์ทำให้ขนมผิงหันมามองด้วยความตกใจ ไม่เชื่อในสิ่งที่
ตัวเองได้ยิน

   “แล้วขากลับล่ะครับ”

   “เดี๋ยวเราหาทางกลับเอง บอกพ่อด้วยว่าวันนี้ฉันไม่กลับบ้าน”

   “คุณสมองเสื่อมรึไง คุณปิญญ์”

   ในที่สุดขนมผิงก็หันมาตอบโต้กับสิ่งที่ได้ยิน ดวงตาคมนิ่งเบิกกว้างกับสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์ตัดสินใจ ถูกดึงให้ตามลงไปนอก
รถ สองข้างทางที่รถขับผ่านมาสักระยะแทบจะไม่มีบ้านคนอยู่เลย แถมนานครั้งจะมีรถสวนไปสักคันหนึ่ง ผิงทำให้ขนมผิงเป็น
กังวล

   แต่มันก็สายไปซะแล้วรถที่ค่อยๆเคลื่อนตัวไกลออกไปจนลับสายตา

   “มันไม่ตลกนะ ผมต้องรีบกลับบ้านไปหาลูก”

   “ถ้าไม่ทำแบบนี้นายก็คงไม่คุยกับฉันสักที”

   “จะให้ผมบอกคุณกี่ร้อยกี่พันรอบว่าผมไม่มีอะไรที่จะต้องคุยกับคุณ”

   “มีสิ ทำไมจะไม่มี มีมากด้วย”พูดจบก็ก้าวเท้าเข้ามาใกล้จนเกือบประชิด


   ทำให้ขนมผิงต้องถอยหนี  แต่แขนก็ถูกดึงเอาไว้ออกแรงดึงให้ผละเข้าไปหา บรรยากาศยามเย็นยิ่งเงียบสงัด สองข้างทาง
มีต้นไม้สูงลิบปกคลุมถนนสองเลนทอดยาวออกไปไกล เวลานี้มีเพียงเสียงลมหายใจกับเสียงบรรยากาศรอบตัวเท่านั้นที่โอบอุ้ม
คนสองคนเอาไว้ในโลกส่วนตัว ต่างฝ่ายต่างจ้องมองด้วยแววตาที่แตกต่างกัน
   “ทำไมคุณไม่กลับไปหาผู้หญิงของคุณล่ะ บางทีมันอาจจะสนุกกว่าการที่คุณเข้ามายุ่งกับชีวิตของผมก็ได้”

   “ผู้หญิงของฉัน? หึ นี่นายกำลังเข้าใจอะไรผิดสินะ”ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ เพราะแบบนี้สินะขนมผิงถึงมีท่าทีเฉยชาใส่เขาอีก
ครั้ง

   “ผมไม่เคยเข้าใจอะไรผิด”

   “แต่นายกำลังเข้าใจผิด ถ้าไม่งั้นนายลองบอกมาสิว่านายคิดยังไงระหว่างฉันกับเดหลี”

   “คุณเป็นคนบงการให้เดหลีถอนหมั้นผมใช่ไหมล่ะ”ขนมผิงเงยหน้าจ้องตอบดวงตาคู่คมดุที่มองมา ริมฝีปากขบเม้มเข้าหา
กันแน่นเมื่อตอนนี้ใบหน้าของปิญญ์ชานนท์อยู่ห่างอย่างหน้าของคนแค่คืบ

   “ใช่ ฉันเป็นคนทำเอง”

   “ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างที่ผมเข้าใจก็ถูกต้อง ทุกอย่างจบแล้ว คุณควรจะปล่อยมือออกจากผมซะ ในเมื่อคุณได้สิ่งที่คุณ
ต้องการคืนไปทั้งหมดแล้ว”

   “หึ ไม่เลย ทุกอย่างนายเข้าใจผิด นายคิดผิดเองทั้งหมด ทำไมนายไม่ลองหยุดแล้วฟังฉันบ้างล่ะ นายเอาแต่คอยหนีฉัน

อยู่เรื่อยในขณะที่ฉันกำลังวิ่งตามนายอยู่อย่างนี้”

   “    ”ขนมผิงเบือนหน้าหนีกับสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์ตอบกลับ ดวงตาแข็งกร้าวสั่นไหวเมื่อปิญญ์ชานนท์นั้นกำลังพูดแทงใจ
ของเขาอยู่ สิ่งที่ปิญญ์ชานนท์พูดคือความจริง เขากำลังหนี



   “ฉันยอมรับที่ฉันทำไม่ดีไม่ว่าจะกับใครก็ตาม แต่ทั้งหมดที่ฉันทำไปไม่ใช่เพราะไม่อยากให้เดหลีแต่งงานกับนาย แต่ฉันทำ
เพราะฉันไม่อาจยอมปล่อยนายให้กับคนอื่นได้ต่างหาก”

   “ต้องการจะบอกอะไรผมกันแน่”

   “ฉันอยากขอให้นายหยุดจะได้ไหม หยุดวิ่งหนีฉัน แล้วยืนอยู่นิ่งๆ”

   “ทำไมคุณไม่เป็นฝ่ายหยุดซะเองล่ะ หยุดไล่ตามผมสักที”เพราะว่ามันเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยที่ต้องแบกรับทุกสิ่งทุก
อย่างเอาไว้คนเดียว ยิ่งพยายามหนีมากเท่าไร หนทางข้างหน้ามันยิ่งเหลือน้อยเข้าไปทุกที

   “ที่ฉันให้นายหยุดไม่ได้หมายความว่าฉันไม่อยากไล่ตามนาย แต่ที่ฉันอยากให้นายหยุดเป็นเพราะฉันกลัวว่านายจะเหนื่อย
ต่างหาก ฉันรู้ว่านายเหนื่อยมามากแล้วกับการกระทำของฉัน ฉันขอร้อง หยุดเถอะนะขนมผิง หยุดนิ่งอยู่กับที่แล้วรอฉัน”ปิญญ์ชา
นนท์พูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา ฝ่ามือใหญ่ประคองใบหน้าคมนิ่งให้หันกลับมา

   ถึงจะมีแรงขืนอยู่บ้าง แต่ในที่สุดขนมผิงก็ยอมหันมาแต่โดยดี ดวงตาคู่สีโศกกำลังสั่นระริกปิญญ์ชานนท์มองเห็นมันได้
อย่างชัดเจน

   “ทำไมล่ะ เพราะอะไร ในเมื่อคุณเป็นคนไล่พวกเราออกไปจากชีวิตของคุณแล้ว คุณยังจะตามมาอีกทำไม”น้ำเสียงที่เอ่ย
ออกมานั้นสั่นเครือ ดวงตาคู่สั่นหลุบตาลงจ้องมองพื้นถนนเบื้องล่าง เขาไม่อาจที่จะจ้องตอบดวงตาคู่นั้นได้อีกแล้ว

   สิ่งที่ได้ยินออกจากริมฝีปากคู่นั้นมันกำลังให้กำแพงของเขากำลังพังทลายลงราวกับถูกค้อนทุบจนแหลกละเอียด เปลือก
นอกที่ห่อหุ้มเอาไว้เพื่อปกปิดความรู้สึกอันแท้จริงกำลังถูกปอกลอกออกไม่ต่างอะไรกับผลไม้เปลือกแข็งที่ข้างในนั้นแสนจะอ่อน
นุ่ม

   “ฉันขอโทษ”เสียงทุ้มหูกระซิบ ร่างกายในอ้อมกอดของปิญญ์ชานนท์กำลังสั่นระริก ในเวลานี้เขารับรู้ได้ดีว่าขนมผิงกำลัง
แสดงด้านที่แท้จริงของตัวเองออกมา ระยะห่างที่เคยสัมผัสได้ว่ามันไกลจนไม่อาจเอื้อมถูกบั่นทอนลงภายในเสี้ยววินาที

   “ฉันไม่นึกว่านายจะท้องจริงๆ ฉันไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าผู้ชายจะท้องได้มาก่อน ฉันยอมรับว่าความคิดแย่ๆของฉันทำให้ฉัน
ตัดสินใจผิดพลาด ฉันจะไม่ขอให้นายยกโทษให้ฉันหรอกนะ เพราะว่าฉันรู้ดีว่าความผิดของฉันมากมากเกินกว่าที่นายจะให้อภัย
แต่ฉันอยากขอโอกาสที่จะแก้ตัว นายจะให้โอกาสกับฉันได้ไหม”

   “ถ้าผมยอม…ยกโทษให้คุณล่ะ คุณจะออกไปจากชีวิตของผมได้ไหม ออกไปจากชีวิตของพวกเรา”

   “ฉันขอยืนยันว่าฉันจะไม่มีวันออกไปจากชีวิตนาย”ปิญญ์ชานนท์ยืนยันคำตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

   “แล้วมันเพราะอะไรล่ะ เพราะอะไรคุณถึงปล่อยพวกเราไปไม่ได้สักที ผมเหนื่อยมากแล้ว ผมทนไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”



   “นั่นก็เป็นเพราะว่าฉันมันโง่ไงล่ะ…ฉันพึ่งจะรู้ตัวว่าฉันตกหลุมรักนาย จนไม่สามารถปล่อยให้นายหลุดออกไปจากสายตา
ของฉันได้ อย่างน้อย นายช่วยหยุดอยู่กับที่แล้วรอฉันจะได้ไหม”

   พูดจบมือใหญ่ของปิญญ์ชานนท์ก็จับใบหน้าคมช้อนให้เงยหน้าขึ้นมาจ้องตอบ เขาจ้องมองลงไปในตาคู่ที่กำลังสั่นไหว
ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆโน้มเข้าไปใกล้ จมูกโด่งแตะลงบนพวงแก้มแผ่วเบา ร่างกายในอ้อมกอดแน่นิ่งไม่มีทีท่าว่าจะขัดขืนกับ
การกระทำของเขา ดวงตาสีโศกยังคงจ้องมองมายังในตาของเขาไม่ยอมหลบ จนกระทั่งริมฝีปากร้อนจูบประทับลงบนริมฝีปาก
ได้รูป ค่อยๆกดเน้นย้ำลงไปจนแนบแน่น

   สำหรับปิญญ์ชานนท์แล้วมันช่างเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ที่ขนมผิงหลับตาลงราวกับตอบรับจูบที่เขามอบให้ จูบที่
เขาต้องการจะส่งผ่านความรู้สึกทุกสิ่งอย่าง ทั้งขอโทษ และความรัก

   

   ทว่าเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปไวเสมอ มือผอมผลักอกของชายหนุ่มออกแรงจนเสียหลักและยอมถอยออกไป ปิญญ์
ชานนท์ขมวดคิ้วมุ่นจ้องมองอย่างไม่เข้าใจ แต่แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้ชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นมาอย่างพึงพอใจ

   ใบหน้าที่อีกฝ่ายพยายามซ่อนเอาไว้มันกำลังแดงเรื่อ มือผอมยกขึ้นเช็ดริมฝีปากของตัวเองก่อนจะสบถออกมาด้วยความ
ไม่พอใจ

   “ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คุณจะมาทำอะไรแบบนี้ นี่มันบนถนน!!”

   “ไม่มีใครผ่านมาหรอก หรือว่านายกลัวจะถูกคนอื่นเห็น”

   “ผมแค่หมายความตามที่บอก”



   “แล้วนั่นนายจะกำลังจะไปไหน”ถามเมื่อเห็นว่าขนมผิงกำลังจะเดินหนีย้อนกลับไปทางเดิม

   “กลับบ้าน”

   “แต่นายกำลังเดินเท้าเปล่า”เพราะว่ารองเท้าข้างหนึ่งทำหล่นเอาไว้ที่ลานจอดรถหน้าร้านอาหาร ทำให้ขนมผิงต้องเดิน
เปลือยเท้าข้างหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ มีเพียงแค่ถูกเท้าเท่านั้นที่หุ้มเท้าเอาไว้

   “นั่นเป็นเพราะคุณ คุณเองก็น่าจะรู้ดี”


   “นั่นสินะ”ปิญญ์ชานนท์พยักหน้า รีบสาวเท้าเดินตามร่างสูงโปร่ง ชายหนุ่มจ้องมองแผ่นหลังของขนมผิง ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึก
แล้วว่า แผ่นหลังของขนมผิงนั้นมันไม่ไกลเท่าเดิมอีกแล้ว



   “นายยังไม่ให้คำตอบฉัน อย่างน้อยก็พูดอะไรบ้างกับความรู้สึกที่ฉันมีต่อนายบ้างก็ยังดี”ปิญญ์ชานนท์เดินมาขนาบข้าง

   “นั่นผมแค่รับฟังมันแค่นั้น” ตอบด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ

   “นั่นสินะ” อย่างน้อย ขนมผิงก็ยังรับฟังเขา รับรู้ความรู้สึกที่เขามีให้

   “ทำไมคุณถึงไม่โทรเรียกให้คนขับรถกลับมา”

   “ฉันลืมโทรศัพท์เอาไว้ในรถ”ชายหนุ่มตอบหน้าตาย

   ขนมผิงอดถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าคมยังคงเบือนหน้าหนีไปอีกทาง พลางยื่นโทรศัพท์ของตัวเองส่ง
ให้อีกฝ่าย ปิญญ์ชานนท์ยกยิ้มรับมันก่อนที่จะต่อสายหาคนขับรถให้วนกลับมารับ



   “มานี่สิ ฉันไม่อยากให้นายเจ็บเท้า”ปิญญ์ชานนท์ย่อตัวลงขวางเอาไว้ไม่ให้ขนมผิงได้เดินต่อ “ขึ้นมาสิ”

   “ไม่จำเป็น”

   “ฉันทำรองเท้านายหาย ฉันก็ต้องรับผิดชอบสิ”ชายหนุ่มยังคงดึงดัน “จำได้ว่าไม่กี่สิบเมตรก่อนหน้าผ่านร้านขายของมาไม่ไกล นี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว ขึ้นมาสิ”

   “ไม่มีทาง”

   “นายอย่าดื้อไปหน่อยเลย ถือซะว่าทำเพื่อลูกของเรา”

   สุดท้ายขนมผิงก็ยอมขึ้นขี่หลังของปิญญ์ชานนท์จนได้ ถอนหายใจเป็นรอบที่สอง ถึงแม้ว่าปิญญ์ชานนท์จะเปลี่ยนไปมาก
แต่ความชอบบงการและออกคำสั่งก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

   ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้มันเร็วไปหมดจนแทบไม่ทัน แต่ความรู้สึกเบาโหวงที่มันอยู่ในอกทำให้รู้สึกได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่
แบกรับเอาไว้มันกำลังถูกแบ่งออกไป ขนมผิงวางมือลงบนลาดไหล่แข็งแรงของอีกฝ่าย กลัวว่าปิญญ์ชานนท์จะหนัก ตอนนี้กลาย
เป็นว่าอีกฝ่ายกำลังแบกรับทั้งเขาและลูกเอาไว้

   “นายจะบอกฉันได้ไหมว่าคนที่อยู่กับนายวันนั้นที่บ้านหลังนั้นเป็นใคร ทำไมนายถึงปล่อยให้ลูกของเราเรียกเขาว่าพ่อ”

   “เขาเป็นคนทำให้เด็กๆลืมตาขึ้นมาดูโลก?”

   “ฉันต่างหากที่เป็นคนทำ”

   “เป็นเขา ไม่ใช่คุณ”


   “ฉันสิ เป็นคนทำให้นายท้อง ไม่ใช่เขา นี่นายกำลังพูดให้ฉันเข้าในผิดว่าปลากริมกับสลิ่มไม่ใช่ลูกของฉันอยู่ ไม่คิดว่ามัน… โอ้ยยย!!”

   “เขาเป็นคนผ่าคลอดให้ผม”อดไม่ได้ที่จะระบายความไม่พอใจด้วยการตีไปบนหัวของปิญญ์ชานนท์

   “แล้วทำไมนายถึงปล่อยให้เด็กๆเรียกเขาว่าพ่อ กะอีกแค่หมอทำคลอด”

   “เขาเป็นพ่อทูนหัว”

   “หึ กับคนอื่นนายกลับยอมให้เขาเข้าใกล้ลูกเราง่ายๆเนี่ยนะ”

   ปิญญ์ชานนท์อดประชดประชันไม่ได้ เดินพาขนมผิงย้อนกลับมาจนเจอร้านขายของชำ

      “ปล่อยผมลงได้แล้ว”

   ปิญญ์ชานนท์ยอมปล่อยขนมผิงตามที่ขอลงยังหน้าร้าน คงจะแปลกไม่น้อยหากมีผู้ชายตัวไม่เล็กสองคนแบกกันเข้าไปใน
ร้าน และมีหวังขนมผิงคงจะรู้สึกไม่พอใจ



   “นายกับลูกจะกินอะไรหน่อยไหม”หันมาถาม

   “ผมเอาแค่น้ำก็พอ”ถึงจะตอบไปดีดี แต่ก็ขมวดคิ้วให้กับประโยคคำถามของปิญญ์ชานนท์

   ร้านขายของชำข้างทางที่อยู่ระหว่างถนนสายเปลี่ยนเส้นนี้เป็นร้านเล็กๆ เหมือนกับว่าเอาไว้ให้รถจอดแวะพักเพื่อซื้อของ มี
เพียงเจ้าของร้านกับลูกค้ารวมแล้วสองสามคนเท่านั้นที่อยู่ในร้าน

   ระหว่างที่ปิญญ์ชานนท์กำลังจะเดินเข้าไปซื้อของในร้าน สายตาก็สังเกตเห็นรถมอเตอร์ไซคันใหญ่ขับเลี้ยวเข้ามาหน้าร้าน
มันจะไม่ผิดสังเกตหากว่ามอเตอร์ไซกับลักษณะของคนขับและคนซ้อนไม่คุ้นตา

   ชายหนุ่มนึกย้อนกลับไปที่หน้าร้านอาหารก่อนหน้าที่เขาจะออกมา มอเตอร์ไซคันนี้จอดอยู่ไม่ไกลจากเขาและขนมผิงทำ
ราวกับว่าสังเกตการณ์ แต่นั่นเขาไม่ได้สนใจอะไรเพราะว่าเขามัวแต่ให้ความสนใจแต่กับขนมผิง ทันทีที่ชายหนุ่มนึกได้ ก็สายไป
เสียแล้ว จู่ๆคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังก็ล้วงหยิบเอาวัตถุเงาวับสีดำเมื่อมออกมาจากบั้นเอว ยกขึ้นมาก่อนจะจ่อมาทางหน้าร้าน

   ชายหนุ่มเบิกตากว้าง เมื่อปลายอของปืนกระบอกนั้นเล็งคนสำคัญของเขา เพียงเสี้ยววินาทีที่ปืนลั่นไก เสียงปืนดังสนั่น
ก้องไปทั่วหู เสียงกรีดร้องของคนในร้านหวีดร้องระงม เพียงเท่านั้นก่อนโลกทั้งใบจะถูกแทนที่ด้วยความเงียบ





   “คะ คุณ เป็นอะไรน่ะ”เสียงละล่ำละลักถามขณะที่ร่างของชายหนุ่มทรุดลงกับพื้น

   “นายกับลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

   “คุณเป็นอะไรคุณปิญญ์ ผมไม่ตลกกับคุณด้วยนะ อย่ามาล้อเล่นกับผมสิ”

   ขนมผิงถามเสียงสั่น ร่างกายชาดิกราวกับไร้เรี่ยวแรงเอาดื้อๆเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ทรุดลงกับพื้น ฝ่ามือใหญ่กุมช่วงท้องเอา
ไว้แน่น ริมฝีปากเหยียดยิ้มออกมาทำเหมือนกับว่ากำลังมีความสุข ทั้งที่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เลยสักนิด

   “ไม่เป็นอะไรก็ดี”

   “อย่าหลับนะ ลืมตาสิ คุณห้ามหลับ ผมบอกว่าคุณห้ามหลับไง คุณจะมาทำตามใจตัวเองตอนนี้ไม่ได้นะ คุณปิญญ์ ลืมตา
สิ”

   ยิ่งพยายามเรียกมากเท่าไร ก็เหมือนยิ่งสายไปซะแล้ว ดวงตาคู่ดุปรือปรอยลงอย่างช้าๆพร้อมกับรอยยิ้มที่ค่อยๆเลือนหาย

   ขนมผิงก้มลงมองของเหลวสีแดงไหลทะลักออกมาจากช่วงท้องของแกร่ง มันไหลออกมาจนเปียกชุ่มเสื้อ เปรอะออกมา
เต็มมือของของปิญญ์ชานนท์ หวนนึกถึงวินาทีที่มองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ปืนนั้นจะลั่นไก

   ดวงตาก้าวร้าวที่มองลอดผ่านหมวกกันน็อกคู่นั้นสอดประสานกับดวงตาของเขา และเป้าของกระสุนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน
นอกจากตัวเขาเอง ในเมื่อปากกระบอกปืนนั้นมันจ่อมาที่เขา

   แล้วทำไม ทำไมถึงกลายเป็นปิญญ์ชานนท์ไปได้ที่เป็นคนรับกระสุนแทน ทั้งที่อยู่ห่างไปตั้งไกล



   “ฮึก เรียกรถพยาบาลที ใครก็ได้ ช่วยเรียกรถพยาบาลที”เสียงตะโกนกำลังสั่นเครือ ดึงร่างสูงเข้ามากอดด้วยความ
หวาดหวั่น ความกลัวกำลังฉุดดึงให้ร่างกายมันสั่นเทาขึ้นมาจนควบคุมตัวเองไม่ได้



   “คุณจะมาทำร้ายผมแบบนี้ไม่ได้นะ ผมไม่ยอมยกโทษให้คุณ ได้ยินไหม ตื่นขึ้นมาต่อว่าผมสิ ทำแบบที่คุณเคยทำ ไม่ได้
ยินรึไง ปิญญ์ชานนท์ ผมบอกให้คุณตื่นขึ้นมา”

   



    -------------------------------------------------------------------------------



   ร่างสูงโปร่งเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลในแถบชานเมืองไม่ยอมห่าง ดวงตาสีโศกแดงก่ำ มือทั้งสอง
ข้างสั่นระริก

   ขนมผิงยกมือที่สั่นเทานั้นขึ้นมากัดเล็บด้วยความเป็นกังวล นานร่วมชั่วโมงแล้วแต่ประตูห้องฉุกเฉินก็ยังคงปิดสนิทไม่มี
วี่แววว่าใครที่อยู่ในนั้นจะออกมา

   ภาพที่เกิดขึ้นก่อนหน้ายังคงติดตา ไม่ว่ายังไงก็ลบไม่ออกสักที เสื้อเชิ๊ตที่ก่อนหน้าสีขาวสะอาดบัดนี้มันถูกแต่งแต้มไปด้วย
เลือดสีแดงฉาน กลิ่นคาวเลือดยังคงคละคลุ้ง แต่คนที่ยังจมอยู่ในความกลัวและกังวลอย่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับมันเลยสักนิด



   “ผิง ลูก เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมเลือดถึงเต็มตัวอย่างนี้ล่ะ”

   “แม่!!”ทันทีที่ได้ยินเสียงของมารดา ขนมผิงก็ปรี่ตัวเข้าไปหา กอดแนบใบหน้าชุ่มน้ำตาไว้แนบอกอุ่น

   “ทำไมเลือดถึงได้เต็มตัวอย่างนี้ล่ะผิง ผิงเป็นอะไร บอกแม่มาสิ”

   “ผิง…ไม่เป็นอะไร คุณปิญญ์ คุณปิญญ์เขาอยู่ในนั้น”บอกด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ

   “ทำไมถึงได้เกิดเรื่องแย่ๆแบบนี้ได้ล่ะ แม่ไม่เข้าใจจริงๆ”

   “ผิงก็…ไม่เข้าใจ ทั้งที่อยู่ไกลขนาดนั้น ทำไมถึง อึก  ทำไมถึงมาขวางเอาไว้ล่ะ เขามาขวางผิงเอาไว้ทำไม”เพราะว่าปิญญ์
ชานนท์มาขวางทางปืนเอาไว้ ถึงได้เป็นแบบนี้ ถึงได้ต้องมารับเคราะห์แทนเขา

   “ใจเย็นๆนะ แม่อยู่นี่แล้ว คุณปิญญ์จะต้องไม่เป็นอะไร อย่าห่วงไปเลย ผิงไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนนะลูก”ลำดวนลูบหัว
ลูกชายเรียกขวัญ “คุณพิศพาลูกไปล้างตัวก่อนนะคะ”เธอหันไปบอกสามี





   “ลูกของผมล่ะ ลูกของผมอยู่ที่ไหน”เสียงเคร่งขรึมดูเป็นกังวลของชายสูงวัยถามเมื่อมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน

   ลำดวนหันไปมองอดีตเจ้านายที่เดินเข้ามาพร้อมกับคนดูแล และเลขาของลูกชายก่อนจะตอบกลับ

   “เขาอยู่ในห้องฉุกเฉินค่ะ ลำดวนเองก็พึ่งมาถึงเหมือนกัน”

   “มันเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง ใครเป็นคนทำกัน บ้าจริงๆเชียว”ชายสูงวัยสบถ สีหน้าบ่งบอกถึงความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“นายให้คนไปสืบดูว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้เขาไปมีเรื่องอยู่กับใครบ้าง”

   “ครับ ผมส่งคนไปสอบถามชาวบ้านแถวนั้นแล้ว”มาลิศตอบรับ

   “แล้วขนมผิงไม่เป็นอะไรใช่ไหม ผมได้ยินว่าเขาไปด้วยกัน”

   “ตอนนี้ไปล้างเนื้อล้างตัวน่ะค่ะ ตอนนี้แกยังตกใจอยู่ อีกเดี๋ยวก็คงมา”

   “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ถ้าเป็นอะไรไปฉันกับลูกชายคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย”น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความรู้สึกผิด

   



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 08:10:26 โดย Oเด็กหญิงเย็นชาO »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด