30 ขอร้อง
ถ้าหากใครผ่านมาเห็นชายหนุ่มที่นั่งยิ้มให้กับแท่งสีขาวทรงยาวในซองพลาสติกใสอย่างปิญญ์ชานนท์คงหาว่าเขากำลัง
เป็นบ้าแน่
ชายหนุ่มนอนเหยียดขาไปตามความยาวของโซฟาตัวใหญ่ในห้องรับแขกของบ้านอนันตไพลิน เขายังจดจำวันที่ได้รับของ
ชิ้นนี้มาอยู่ในมือ เป็นสิ่งของที่ดูเหมือนไร้ราคาแต่มันกลับมีค่ามากมายสำหรับเขาในเวลานี้ แถบตรวจตั้งครรภ์ที่แสดงผลตรวจขึ้น
มาสองขีด ช่างเป็นวันที่มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายในคราวเดียวกัน
เรื่องที่เป็นเรื่องร้ายก็คงจะไม่พ้นเรื่องที่ทำเอาเขาแทบบ้าเพราะถูกพ่อของขนมผิงปฏิเสธแบบไม่เหลือเยื่อใยถึงแม้จะ
เป็นการปฏิเสธอย่างสุภาพก็ตาม ส่วนเรื่องดีที่ทำให้เขาลืมเรื่องที่ถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้ลูกชายของบ้านนั้นก็คงจะเป็นเรื่องที่เขา
ได้รู้ว่าขนมผิงกำลังตั้งท้อง หลายวันแล้วที่ใช้เวลาว่างนอนยิ้มไปกับแถบแท่งตรวจในมืออย่างมีความสุขราวกับคนเสียสติ
ต้องขอบคุณคนที่เขาส่งให้คอยตามดูขนมผิงอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดที่เก็บสิ่งนี้มาจากห้องน้ำโรงพยาบาลแล้วเอามาให้เขา
ทำให้เขาสืบจนได้ผลตรวจที่แน่นอนมาจนได้
“แกเป็นบ้าอะไร นอนยิ้มคนเดียวอยู่ได้”
เสียงไม้เท้ากระทบพื้นไม่ได้ปลุกปิญญ์ชานนท์จากภวังค์ แต่เป็นเสียงกระแนะกระแหนของผู้เป็นพ่อมากว่าที่ทำให้เขาหุบ
ยิ้มลงมาเล็กน้อย แต่มันก็ยังคงหลงเหลือรอยยิ้มระรื่นประดับอยู่บนใบหน้าคมคายอยู่
“ผมไม่ได้บ้า พ่อก็รู้”
“ใช่ฉันรู้ว่าแกไม่ได้บ้า แต่เมื่อไรแกจะจัดการเรื่องที่ทำให้แกนอนยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนเป็นคนบ้าสักที”
“นั่นสินะ ผมเองก็อยากให้พ่อช่วยอะไรผมอย่างสักอย่าง”
----------------------------------------------------------------------------------------
ขนมผิงถอนหายใจออกมาแรงๆเฮือกใหญ่เมื่อผู้ชายที่เวลานี้เข้ามาก่อกวนชีวิตของเขาจนวุ่นวายยืนพิงรถรอเขาเหมือนกับ
หลายวันที่ผ่านมาไม่มีผิด ต่างกันก็แค่วันนี้เป็นวันหยุดเด็กๆไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่จำเป็นที่ปิญญ์ชานนท์จะต้องมาที่นี่ไม่ใช่รึไงกัน
ขนมผิงเดินผ่านปิญญ์ชานนท์ไปเปิดประตูรถ และก็เหมือนเดิม มือที่เขาคุ้นเคยกับหลายวันที่ผ่านมาเอื้อมมาดันประตูเอา
ไว้ไม่ให้เปิดออก
“วันนี้วันหยุด เด็กๆไม่ได้ไปโรงเรียน คุณคงจะประสาทหลอนจนหลงลืมวัน”
“ฉันรู้ ฉันมาชวนนายไปกินข้าวด้วยกัน รู้สึกว่าบังเอิญคิดถึงกับข้าวฝีมือนายขึ้นมา”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่ยกยิ้มขึ้นมา
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวันนี้ยืนรออีกฝ่ายจนเมื่อยขาเพราะวันนี้เด็กๆไม่ได้ไปโรงเรียนเลยไม่จำเป็นที่ขนมผิงจะต้องรีบเลิกงานไปรับ
เด็กๆเหมือนทุกวัน
“กลับบ้านไปนอนฝันเถอะ”สบถเล็กๆก่อนจะเดินหนีอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะต้องจอดรถทิ้งไว้หน้าบริษัทมาหลายวันติด
“นายกำลังจะไปไหน”ปิญญ์ชานนท์รีบจ้ำเท้าเดินตามมาติดๆ สมกับเป็นขนมผิง ถึงช่วงนี้จะไม่ตอบโต้แต่ก็จะใช้วิธีเงียบใส่
หรือเดินหนีอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด
“ต้องการอะไรกันแน่”ถามทันทีเพราะถูกดึงแขนเอาไว้ไม่ให้เดินหนี ดวงตาคู่คมสวยตวัดมองปิญญ์ชานนท์อีกครั้ง ไม่
เข้าใจว่าคนคนนี้จะมาตามติดชีวิตของเขาเพราะอะไรกันแน่ในเมื่อเขาก็ยอมที่จะถอยออกมาแล้ว
“ฉันก็บอกนายไปแล้ว ว่าฉันอยากกินกับข้าวฝีมือนาย”
“ไร้สาระ”
“ไปเถอะน่า วันนี้นายเองก็ไม่ต้องรีบไปรับลูกนี่”บอกพลางจับแขนขนมผิงเอาไว้แน่นเพราะเจ้าตัวยังไม่ยอมอยู่นิ่งๆให้จับ
ง่ายๆ
“ผมไม่ไป”
“ไปเถอะนะขนมผิง ฉันอยากจะกินข้าวกับนาย…แค่สองคนดูบ้าง”เท่าที่จำได้ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะมีโอกาสกินข้าวกับ
ขนมผิงตามลำพังโดยไม่มีคนอื่น
“ขอปฏิเสธ”
“ไปเถอะน่า ฉันขอร้อง”ปิญญ์ชานนท์ดึงยื้อขนมผิงเอาไว้ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ แต่สิ่งที่ทำให้ขนมผิงหยุดและยอมเดินตาม
ปิญญ์ชานนท์ไปที่รถของอีกฝ่ายไม่ใช่เพราะว่าถูกดึงให้เดินตาม แต่เป็นเพราะคำว่าขอร้อง
ปิญญ์ชานนท์ข้อร้องเขาอย่างนั้นหรือ? ถึงใบหน้าจะแย้มยิ้มออกมาเหมือนกำลังก่อกวน แต่นัยน์ตาคู่คมคู่นั้นปฏิเสธไม่ได้
เลยว่าแสดงออกมาอย่างที่พูดจริง คนอย่างปิญญ์ชานนท์ขอร้องคนอื่นเป็นตั้งแต่เมื่อไร
“ไหนคุณบอกว่าจะไปกินข้าว แล้วแวะมาที่นี่ทำไม”อดถามด้วยอารมณ์ไม่พอใจไม่ได้ เข้าใจว่าคนท้องหงุดหงิดง่ายก็ช่วงนี้
ที่มีอีกฝ่ายมาคอยก่อกวน
“ก็บอกแล้วไงว่ารู้สึกคิดถึงกับข้าวฝีมือนายขึ้นมา”ตอบพลางวนรถจอดหน้าซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆหลังจากขับรถออกมานาน
ร่วมชั่วโมง
“ใครเป็นคนบอกว่าผมจะทำกับข้าวให้คุณกิน”
“เถอะน่า มาถึงขนาดนี้แล้ว นายจะดื้ออีกทำไม หงุดหงิดง่ายไปรึเปล่า”ปิญญ์ชานนท์พูดเหมือนตัดบทแล้วเดินลงจากรถ
ไป
“เกิดหน้ามึนอะไรขึ้นมา”คนในรถสบถอีกครั้งพลางกอดอกจ้องมองชายหนุ่มเดินอ้อมมายังประตูรถด้านข้างคนขับ
“ลงมาได้แล้วคุณแม่”
“จะดีมากถ้าคุณจะเลิกเรียกผมแบบนั้น”
“นายเองก็เลิกขมวดคิ้วสักที ฉันไม่ได้พานายมาฆ่า”ไม่พูดเปล่านิ้วชี้ยาวจิ้มลงมากลางหน้าผากของขนมผิงแล้วจงใจขยี้ไป
มาเมื่อไม่ยอมลุกออกจากรถ แต่ก็ถูกปัดออกทันที
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เมฆเริ่มก่อตัวครึ้มทำท่าว่าฝนจะตก อีกทั้งเวลาที่เย็นจัดจนเกือบจะมืดทำให้ทั้งในรถทั้งถนนเงียบงัน
มีเพียงเสียงเพลงเบาๆเปิดคลอ
“ตอนนี้นายสบายดีไหม เจ็บหรือปวดตรงไหนบ้างหรือเปล่า”ถามขึ้นมาเมื่อต่างฝ่ายต่างเงียบอยู่นาน
“ทำไมจู่ๆถึงได้ถามขึ้นมา?”ช่างเป็นคำถามที่บ้าบอไม่รู้จุดประสงค์อะไรสักอย่าง
“ก็แค่อยากถาม”
“ไม่”
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”รู้ว่าคำตอบที่ตอบมาไม่ใช่ไม่เป็น แต่คือไม่บอกต่างหาก ถึงอย่างนั้นเขาเองก็รอให้ขนมผิงเป็นฝ่าย
บอกกับเขาเองด้วยความยินยอมโดยไม่ต้องคาดคั้นถามมากกว่า ปิญญ์ชานนท์เลี้ยวรถจอดยังที่จอดรถในตึกของคอนโดของ
เขา
“คอนโดของฉันเอง”บอกเมื่อเห็นว่าขนมผิงมีท่าทีสงสัย แต่ก็ได้รับคำตอบทางสายตาที่เหมือนกับคำว่า“ไม่ได้ถาม”ตวัด
กลับมาทันที
ห้องชุดขนาดใหญ่เป็นอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียวที่หลงเหลืออยู่หลังจากที่เขากัดฟันจำยอมต้องขายทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่มีมูลค่าไปเกือบหมดเพราะพิษสงของใครบางคนที่เล่นเอาเขาเกือบจะหมดตัว
“ฉันไม่ค่อยได้มา ครั้งแรกกะว่าจะขายไปซื้อหุ้นราคาขูดรีดจากคนขายเขี้ยวลากดิน แต่คิดว่าคงจะต้องใช้เข้าสักวัน เลย
เก็บเอาไว้”ปิญญ์ชานนท์ไหวไหล่และเป็นอีกครั้งที่สายตาคู่นั้นตวัดกลับมามองไม่พอใจเช่นเดิม
“กินเสร็จผมจะกลับเลย”กับข้าวจานสุดท้ายวางลงบนโต๊ะ กลิ่นอาหารหอมฟุ้งไปทั่วห้องเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงาน
ได้เป็นอย่างดี
“ยังไงก็ได้ เดี๋ยวฉันไปส่ง”เพราะเขาไม่อยากบังคับขนมผิงไปมากกว่านี้ กลัวว่าขนมผิงจะอึดอัด
“ไม่ต้อง เดี๋ยวผมให้คนมารับเอง”
“บอดี้การ์ดของนายคนนั้นใช่ไหม”
“ผมเลิกจ้างไปแล้ว”
ตอบพลางตักข้าวใส่จานอย่างไม่ใส่ใจไม่รู้ทำไมถึงได้เลิกจ้าง อาจจะเป็นเพราะเวลานั้นรู้สึกเหนื่อยที่จะต่อสู้เพราะชัยชนะ
ที่ได้มานั้นมันไม่ได้หอมหวานอย่างที่คิดเอาไว้ หรืออาจจะเป็นเพราะท่าทีของคนตรงหน้ากัน เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อไรกันที่ท่า
ทีของปิญญ์ชานนท์เริ่มจะเปลี่ยนไปจนเขาไม่กลัวและไม่อึดอัดมากนักที่อยู่อยู่ใกล้อีกฝ่าย
“ดีแล้วฉันจะได้เข้าใกล้นายได้ง่ายๆ”ปิญญ์ชานนท์เองก็ตอบออกมาง่ายๆอย่างที่พูดจริงๆ แต่เขาไม่รู้เลยว่าประโยคที่พูด
ออกมากำลังทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามใจสั่น
“ไว้กินเสร็จแล้วฉันไปส่งนายเอง ไม่ต้องรอคนมารับให้เสียเวลาพักผ่อนเปล่าๆ”
“บ้าจริง!!”
ขนมผิงสบถออกมาไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรของวัน ฝนที่ตั้งเข้าตั้งแต่เมื่อตอนเย็นตกลงมาจนได้ นาฬิกาบนฝาผนังบอก
เวลาสองทุ่มป่านนี้เขายังอยู่ที่คอนโดของปิญญ์ชานนท์ตามลำพังกับอีกฝ่าย
“ผมต้องการร่ม”หันไปบอกกับใครอีกคนที่ยืนยิ้มเหมือนจะพึงพอใจ
“ที่ห้องนี้ไม่มีของพรรค์นั้นหรอก”
“ช่างเถอะ”บอกปัดพลางหยิบเสื้อคลุมที่ถอดวางเอาไว้เตรียมเดินออกมา
“นายกำลังจะไปไหน ก็เห็นไม่ใช่รึไงว่าฝนมันตกอยู่”
“ผมจะกลับแท็กซี่”
“มันอันตราย”เขาไม่ยอมปล่อยให้ลูกเมียตัวเองไปตากฝนนั่งรถแท็กซี่ตอนที่ฝนตกหนักแบบนี้แน่ ปิญญ์ชานนท์ดึงขนมผิงเอาไว้
“ปล่อย”
“ผมไม่ปล่อยให้คุณกลับไปทั้งที่ฝนยังตกอยู่แบบนี้หรอกนะ”
“ผมเองก็ไม่ต้องการที่จะมานั่งรอให้ฝนหยุดตกอยู่ในห้องเดียวกับคุณแบบนี้หรอก”
“ขนมผิง”คราวนี้ปิญญ์ชานนท์จับต้นแขนตั้งสองข้างของขนมผิงให้หันมามองที่เขา ดวงตาดุดันฉาบไปด้วยความห่วงใจ
จ้องมองตาคู่สีโศก ดึงให้ขนมผิงเข้ามาใกล้ “นายก็รู้ว่าฝนตกมันอันตราย ค้างที่นี่เถอะนะ อย่างน้อยก็ให้ฝนหยุดตกก่อนก็ยังดี
ฉันพร้อมจะไปส่งนายทุกเวลาที่นายต้องการ ขอแค่ไม่ต้องให้นายไปเสี่ยงแบบที่นายกำลังจะทำอยู่ตอนนี้”
สุดท้ายทั้งที่ไม่คิดจะยอม แต่คำถามที่ว่าคนอย่างปิญญ์ชานนท์ขอร้องคนอื่นเป็นตั้งแต่เมื่อไรทำให้ขนมผิงเดินออกมาจาก
ห้องน้ำในคราบของชุดนอนลายเรียบสีเข้ม
ปิญญ์ชานนท์เป็นคนตัวใหญ่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ไม่ใช่คนตัวเล็กแต่ชุดนอนที่ใส่อยู่มันก็หลวมและยาวจนต้องพับเพื่อไม่ให้
ลากพื้นและเดินสะดุด และสภาพของเขามันก็ทำให้คนที่นอนรอคิวอาบน้ำต่อจากเขาอมยิ้มเหมือนกำลังกลั้นขำ
“ไม่ยักรู้ว่าชุดนอนของฉันเหมาะกับคุณแม่อย่างนายขนาดนี้”
“ประสาท”คำก็คุณแม่สองคำก็คุณแม่เหมือนกับปิญญ์ชานนท์กำลังจะเรียกร้องความสนใจจากเขาด้วยการกวนอารมณ์ที่
พยายามนิ่งสงบให้ขุ่น
ขนมผิงทิ้งตัวลงนั่งริมขอบเตียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกเพื่อบอกมารดาว่าเขาติดฝนอยู่ที่ทำงาน ถึงจะโกหก แต่ก็
เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย
ไม่นานประตูห้องน้ำก็เปิดออกอีกครั้งตามด้วยกลิ่นสบู่แบบเดียวกันลอยฟุ้งออกมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินตามกลิ่นออกมา
“ทำอะไรอยู่”
“นั่นมันเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ผมมีสิทธิที่จะทำอะไรโดยที่ไม่ต้องคอยบอกใคร”จงใจตอบแบบยียวนออกไปเพราะรู้สึกว่า
ปิญญ์ชานนท์ชักจะเข้ามายุ่งกับชีวิตของเขามากจนรู้สึกว่ามันมากจนตั้งรับไม่ทัน
“ฉันขอใช้สิทธิความเป็นสามีของนายตรวจสอบว่านายกำลังทำอะไรกับโทรศัพท์ ใครจะรู้ว่านายอาจจะแอบคุยกับอีหนู
ที่ไหนก็ได้”
ไม่พูดเปล่าปิญญ์ชานนท์ยังเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของขนมผิง เข่าข้างหนึ่งยกขึ้นชันกับผืนที่นอนข้างตัวของอีกฝ่ายจน
มันยวบลง ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ฉุดดึงให้ขนมผิงเงยหน้าขึ้นมามองอย่างประหลาดใจ
แต่นั้นก็เหมือนกับขุดหลุมฝังตัวเองเมื่อปิญญ์ชานนท์ไม่ยอมหยุดเอาๆไว้แค่ตรงนั้น มือใหญ่คว้าโทรศัพท์จากมือของขนม
ผิงแล้วโยนทิ้งลงบนเตียงไม่สนใจว่ามันจะไปตกอยู่ตรงไหน จมูกโด่งเฉียดลงบนหน้าผากมน ไล่ลงมาที่จมูกเกือบ จมูกของเขา
กับขนมผิงเกือบจะแตะกันหากขนมผิงไม่ถอยหนีส่งผลให้หงายราบไปกับผืนเตียงโดยที่ไม่ตั้งใจ แต่มาถึงขนาดนี้แล้วปิญญ์ชา
นนท์ก็ไม่ยอมหยุดง่ายๆแน่นอน
การเห็นคนรักอยู่ในชุดนอนของตัวเองหลังจากอาบน้ำเสร็จใหม่ๆมันเหมือนกับเป็นตัวปลุกกระตุ้นอารมณ์ชายชั้นดีให้ลุกขึ้น
มาโหมกระหน่ำเหมือนกองไฟที่ถูกราดด้วยน้ำมัน
เขาเคลื่อนกายขึ้นคร่อมทับร่างสูงโปร่งที่นอนราบอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวสะอาดเต็มไปด้วยความประหม่า
“ถอยไป”
ขนมผิงสั่ง พยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปรกติ ตกใจที่ปิญญ์ชานนท์ทำแบบนี้ ตกใจจนรู้สึกว่าหายใจไม่ทั่วท้อง มันเหมือน
กับร่างกายไม่มีแรงเอาซะดื้อๆ
“นายก็ผลักฉันออกเองสิ”
เพราะตอนนี้ปิญญ์ชานนท์เองก็แทบจะระงับอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่ กลิ่นสบู่เหมือนกัน แต่ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามันต่าง กลิ่น
กายของขนมผิงช่างเร้าอารมณ์จนเสียห้ามมันเหมือนไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของเขาเลย
และขนมผิงเองไม่ได้ผลักไสเขาให้ลุกออกไป ไม่แม้จะเบือนหน้าหลบริมฝีปากของเขาที่โน้มลงไปชิด อีกเพียงเศษเสี้ยว
ของปลายก้อยที่ริมฝีปากของเขากับขนมผิงห่างกัน
ในที่สุดชายหนุ่มก็ทนแรงปลุกเร้าทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรเลยแม้เล็กน้อยไม่ไหว ริมฝีปากหยักกดจูบลงไปแนบสนิท
ค่อยๆบดคลึงลงบนริมฝีปากอ่อนนุ่ม
กลิ่นหอมเย็นของยาสีฟันยังคงหลงเหลือ คล้ายกับยิ่งกระตุ้นให้ชายหนุ่มอยากที่จะเข้าไปทักทายด้านในที่ไม่ได้ลิ้มรสมา
นาน ลิ้นร้อนสอดเข้าไปเค้นคลึงทันท่วงทีดั่งใจนึก
ถึงแม้จะมีแรงสะดุ้งเล็กๆและแรงผลักเบาๆจากร่างข้างใต้ แต่เขาก็ไม่คิดว่านั่นเป็นการต่อต้านหรือผลักไสแต่อย่างใด
เพราะดวงตาคู่สีดำสนิทของขนมผิงได้ปรือลงจนปิดสนิทยามที่ลิ้นของชายหนุ่มเกี่ยวกระหวัดหยอกเย้าเชิญยวนอยู่ข้างใน
มือทั้งสองข้างของขนมผิงกำต้นแขนของปิญญ์ชานนท์เอาไว้แน่นเงยหน้าขึ้นคล้ายจะหลีกหนีแต่มันก็เหมือนกับเป็นการ
ตอบรับให้ปิญญ์ชานนท์ได้ล่วงล้ำเข้ามาอย่างถนัดถนี่
เสียงฝนข้างนอกหน้าต่างยังคงตกชุก ปิญญ์ชานนท์ยังคงจูบและเคล้าคลึงข้างในอย่างแผ่วเบาละเลียดเหมือนกับกินของ
หวานที่มันสามารถละลายได้ในปากทันทีที่ลิ้มลอง ความอุ่นร้อนของกายสูงใหญ่ที่ทาบทับส่งผ่านให้ขนมผิงได้รับรู้ถึงความรู้สึก
ของอีกฝ่ายที่สื่อออกมาทางภาษากาย
ปิญญ์ชานนท์ถอนจูบออกไปแล้ว แต่ยังคงละเลียดอยู่ที่ริมฝีปากอิ่ม เคล้นคลึงจูบย้ำๆให้ขนมผิงได้มึนงง เพราะความคิดที่
มีมากจนเกินไปทำให้เวลานี้ไม่รู้สึกว่าอยากจะคิดอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายสัมผัสราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่คุ้นเคย และอดเถียงไม่ได้ว่า
มันอาจจะเป็นความรู้สึกโดยหาที่ปะปนอยู่ในความเคยชิน
ชายหนุ่มลิ้มชิมรสจากริมฝีปากบางอยู่พักใหญ่ จนมือใหญ่ค่อยๆเลื่อนลงมาปลดประดุมเสื้อนอนของร่างข้างใต้ทีละเม็ด
อย่างใจเย็น เวลานี้เขาตื่นตัวเต็มที่แล้ว และการที่ขนมผิงไม่ได้ปฏิเสธนั้นก็ทำให้ยิ่งลำพองใจ
กระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายถูกปลดออก แผ่นอกแบนราบอีกทั้งเรียบเนียนลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า ฝ่ามือใหญ่แหวกเปิดเอาสาบ
เสื้อออก มือหนาเลื่อนลงไปเคล้นคลึงที่บั้นเอวของขนมผิงค่อยๆเน้นย้ำก่อนจะสอดมือเข้าไปใต้ขอบยางยืดของกางเกง
“อุ อุ๊ก “
ทว่า เสี้ยววินาทีที่มือนั้นจะสอดล่วงล้ำเข้าไปในกางเกง ร่างสูงใหญ่ก็ลอยหวือหงายหลังลงไปก้นจ้ำเบ้าบนพื้นห้องนอน
ด้วยแรงส่งจากฝ่าเท้าของคนที่วิ่งผ่านเข้าไปในห้องน้ำด้วยความเร็วที่แทบจะมองตามไม่ทัน ตามมาด้วยเสียงอาเจียนอย่างหนัก
ดังมาจากในห้องน้ำ
“หวงแม่สินะ”
ปิญญ์ชานนท์หัวเราะเล็กๆในลำคอคล้ายกับหัวเราะเยาะกับตัวเองอย่างตลกร้าย ก่อนจะเดินตามขนมผิงเข้าไปในห้องน้ำ
กึ่งกลางร่างกายของเขายังคงตื่นตัวเหมือนสิงโตที่กำลังคำรามในเวลาที่กำลังจะออกล่าเหยื่อ ทว่าหมูป่าน้อยที่เป็นเหยื่อตัวนั้น
ได้หนีไปเสียแล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเดินเข้าไปใกล้ร่างที่โก่งตัวอาเจียนอยู่ตรงชักโครก ยกมือขึ้นมาลูบหลัง สัมผัสได้ถึงแรงสะดุ้ง
เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร
อาหารมื้อเย็นที่พึ่งจะกินด้วยกันไปถูกขย้อนออกมาจนหมด เขาไม่ได้รังเกียจเลยสักนิดแต่กลับกันเขากลับรู้สึกเห็นใจและ
รู้สึกผิดเสียมากกว่า
“นายเดินไหวไหม”
เขาประคองขนมผิงออกมาจากห้องน้ำ ราวกับว่าอารมณ์ของคนท้องมันเปลี่ยนได้ง่ายดายหรือว่าอะไรเขาเองก็ไม่แน่ใจ
เพราะทันทีที่เอื้อมมือเข้าไปหมายจะประคองก็ถูกปัดออกทันที
“นายนอนพักก่อน เดี๋ยวฉันออกไปเอาน้ำมาให้”
เขาบอกเสียงเบาก่อนจะเดินออกไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับยื่นแก้วน้ำส่งให้
ขนมผิงหลุบตาจ้องมองปลายเท้าตัวเอง แสดงออกถึงท่าทางครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะรับแก้วน้ำนั้นมาดื่ม ไม่อยากที่
จะตอบรับน้ำใจอะไรจากปิญญ์ชานนท์ แต่คนที่ทำให้เขาต้องจมอยู่กับความทรมานแบบนี้มันจะเป็นใครไปได้ถ้าหากไม่ใช่ปิญญ์
ชานนท์ คนที่เขาคอยตอกย้ำหัวใจว่าเกลียดแสนเกลียด และเขาก็ย้ำเตือนความคิดของตัวเองเสมอว่าปิญญ์ชานนท์นั้นก็เกลียด
ตนเองเช่นกัน
“นายอยากกินอะไรที่เปรี้ยวๆ หรืออะไรที่ทำให้นายหายคลื่นไส้ไหม”
เมื่อขนมผิงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาปิญญ์ชานนท์จึงย่อตัวคุกเข่าข้างหนึ่งเงยหน้าให้สายตาอยู่มนระดับเดียวกัน ฝ่ามือใหญ่
แตะลงบนผิวหน้าของขนมผิงเบามือเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือเช็ดหยดน้ำที่เกาะอยู่ที่มุมปาก ความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมานั้นทำให้หัวใจ
ของขนมผิงสั่นรัว ความรู้สึกบางอย่างที่มันวูบขึ้นมาฉุดให้เกิดความสับสนปัดมือของปิญญ์ชานนท์ออกอีกครั้ง
“คุณต้องการอะไร ที่ทำอยู่เป็นเพราะอะไรกันแน่ เมื่อไรจะไปจากชีวิตของผมกับลูกสักที”
เขาตั้งคำถามเดิมๆกับอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาในแต่ละครั้งไม่เคยทำให้รู้สึกพึงพอใจในคำตอบได้
เลยสักครั้ง ทั้งหมดมันเป็นเพราะอะไรกันแน่ หรือว่าคำตอบที่ได้รับมันไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการจะได้ยิน
“ถ้าฉันพูดออกไปในตอนนี้ นายอาจจะไม่เชื่อที่ฉันพูด เวลามันจะเป็นตัวตอบคำถามของนายเอง”
“ออกไปจากชีวิตของพวกเราเถอะนะ ออกไปสักที”น้ำเสียงนั้นสั่นเครือ
“ไม่ว่านายจะไล่ฉันยังไงฉันก็ไม่มีทางปล่อยนายไปอีกอยู่ดี”
“แล้วถ้าผมขอร้องล่ะ คุณจะยอมไปไหม จะยอมหายไปจากชีวิตของผมกับลูกไหม ขอร้องไปสักที คุณจะเข้ามาในชีวิต
ของพวกเราอีกทำไม ในเมื่อคุณเองก็เกลียดผมไม่ใช่รึไง ต่างคนต่างอยู่ อย่ามาข้องเกี่ยวกันอีกเลย ผมไม่อยากที่จะ…ไม่อยากที่
จะเห็นหน้าคุณอีกต่อไปแล้ว ไม่อยากที่จะ”
ไม่อยากที่จะต้องมาคิดกับความรู้สึกบ้าๆที่มันเกิดขึ้นมาในเวลาที่ปิญญ์ชานนท์มาทำดีด้วย ไม่อยากที่จะคาดหวังว่าจะมี
ใครรอตนอยู่เหมือนเมื่อวานอีกไหม ไม่อยากจะคาดหวังอะไรเพราะความเจ็บปวดที่เคยได้รับมันมากเกินไปที่จะเปิดใจให้กับฝัน
ลมลมแล้งๆ
ไม่อยากที่จะยอมรับว่าเวลานี้ตัวเขาเองรู้สึกราวกับเด็กเล็กๆที่แสนจะอ่อนแอร้องไห้ให้กับอะไรก็ตามที่ทำให้ตัวเองรู้สึก
เสียใจ น้ำตาที่ไหลรินลงมาเป็นตัวบ่งบอกถึงความบอบช้ำภายในได้เป็นอย่างดี เหมือนที่เคยเป็นในอดีต
แต่ครั้งนี้มันกลับมีฝ่ามือนั้นคอยรองรับ คอยปัดเช็ดเอาความเจ็บปวดที่หลั่งรินให้เหือดแห้ง ประคองใบหน้าจูบซับลงมาบ
นพวงแก้ม
“คุณคิดจะทำอะไรกันแน่ จะมาทำดีกับผมทำไม…ในเมื่อเราเกลียดกัน”
“เปล่าเลย ฉันไม่ได้เกลียดนาย ฉันไม่ได้เกลียดนายเลย ขนมผิง”แต่ฉันรักนาย เขาอยากจะพูดคำนี้ออกไป แต่มันยังไม่ถึง
เวลา “ที่ฉันทำเพียงเพราะฉันอยากจะทำ ไม่ใช่เพราะว่าฉันเกลียดนาย”
“ใครมันจะไปเชื่อ คนอย่างคุณ…คนที่เห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง”
“ฉันยอมรับว่าฉันเป็น แต่นั่นมันเป็นเพียงอดีต”
“แล้วที่คุณทำทั้งหมดมันเพื่ออะไร จะเข้ามาในชีวิตของผมกับลูกอีกทำไม ผมถามว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ ช่วยตอบ
อะไรที่มันชัดเจนจะได้ไหม”ทนไม่ไหวที่จะต้องมาตีความคำตอบต่างๆนานาอีกแล้ว ขนมผิงผลุดลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินหนี
ความอ่อนไหวทางสภาวะอารมณ์ของเขาในเวลานี้มันอ่อนแอเกินไป ทว่าข้อมือก็ถูกรั้งดึงเอาไว้ไม่ให้เดินหนี ถูกคึงเข้าไป
สวมกอดจากทางด้านหลังอย่างง่ายดาย
“นายอย่าหนีอีกเลยฉันขอร้อง อย่าหนีทั้งที่ฉันยังไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนกับนาย อย่าหนีให้ฉันต้องคอยตามหานาย
เหมือนกับคนบ้าที่ไม่รู้อะไรอีกเลยนะขนมผิง”
“ปล่อยเถอะ”
“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่มีวันปล่อย ตราบใดที่ฉันยังอยู่ต่อให้ต้องทิ้งศักดิ์ศรีให้นายมองฉันเหมือนเป็นสุนัขข้างทางฉันก็จะทำ
ถ้ามันสามารถทำให้นายหนีฉันไปไหนไม่ได้ ฉันขอร้อง ถอนหมั้นเถอะนะขนมผิง ยกเลิกงานหมั้นซะ”
คำขอของปิญญ์ชานนท์ทำให้ขนมผิงชะงักมือที่พยายามแกะอ้อมแขนของปิญญ์ชานนท์ออกจากเอว ดวงตาสีโศกไหว
ระริกอีกครั้ง สิ่งที่ปิญญ์ชานนท์กำลังพูดถึงเป็นอีกอย่างที่ทำให้เขาหนักใจ ในเมื่อเขากำลังท้องลูกของปิญญ์ชานนท์…อีกครั้ง
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ มันยกเลิกไม่ได้”
การยกเลิกงานหมั้นที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนหน้ามันเป็นเรื่องใหญ่ ฐานะและหน้าตาของครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมันเป็น
สิ่งสำคัญที่เขาจะทำลายไม่ได้ เขาไม่อยากทำให้ครอบครัวของตัวเองต้องมาแปดเปื้อนเพราะสิ่งที่เขากระทำ
“ต้องได้สิ กับแค่ยกเลิกแค่นี้”
“ผมบอกว่ายกเลิกไม่ได้ไง ปล่อยเถอะ ผมจะออกไปนอนข้างนอก”ขนมผิงบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“นายเป็นเมียของฉัน”
“ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก”
“ก็ได้ แต่นายนอนในห้องนี้เถอะนะ ข้างนอกอากาศเย็น มันจะทำให้นายป่วยได้”ชายหนุ่มดึงให้อีกฝ่ายนอนลงบนเตียง
ก่อนที่ความเงียบจะเข้าปรกคลุมภายในห้อง มีเพียงเสียงฝนเท่านั้นที่เป็นเหมือนบทเพลงกล่อมให้ต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในความคิด
ของตัวเอง
ร่างกายของขนมผิงจมอยู่ในอ้อมกอดของปิญญ์ชานนท์ บวกกับความเหนื่อยล้าและความคิดมากมายที่เข้ามาถาโถม
ทำให้หลับไปอย่างง่ายดายโดยไม่ขัดขืนอ้อมแขนที่กอดรัดเอาไว้ ปิญญ์ชานนท์เองก็เช่นกัน ความอบอุ่นที่ตัวเองโอบกอดอยู่ใน
เวลานี้ทำให้เขารู้สึกมีความสุข ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วคราวที่ความรู้สึกอิจฉาก่อเกิดขึ้นในใจ แต่มันก็แค่นั้นในเมื่อทุกอย่างเขา
เตรียมแผนรับมือเอาไว้แล้ว เขาจะไม่ยอมให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาในเวลานี้หนีไปได้เหมือนครั้งก่อน เขาจะต้องล้มเลิก
งานหมั้นของขนมผิงให้ได้ ถึงแม้จะต้องใช้วิธีที่สกปรกแค่ไหนก็ตาม
---------------------------------------------------------------------------------------
มีต่อ