7 สิ่งที่ต้องการ
ขนมผิงกดลิฟท์ไปพลางคิดอะไรไปพลาง ริมฝีปากได้รูปยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงใครบางคนที่พึ่งจะกลับไป
ความรู้สึกราวกับถูกโอบอุ้มด้วยความอบอุ่นที่มองไม่เห็น ทำให้หัวใจเอ่อล้นไปด้วยความสุขในแบบที่เขาไม่ได้สัมผัสมันมานานแล้ว
ปลายนิ้วกดรหัสหน้าประตูก่อนจะเปิดประตูห้องอย่างช้าๆพร้อมกลับรอยยิ้มที่ยังคงติดอยู่บนใบหน้า พลันรอยยิ้มบนใบหน้านั้นกลับเลือนหาย
“ไง กลับมาแล้วเหรอ”น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันเอ่ยทักทันทีที่ก้าวพ้นขอบประตู
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน!! ปิญญ์ชานนท์มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
แล้วเด็กๆที่กำลังนั่งเล่นอยู่บนพื้นข้างๆกับร่างสูงราวกับว่าสนิทสนมมันอะไรกันนะ
“คุณปิญญ์!! คุณเข้ามาได้ยังไง!!”
“เด็กๆเปิดประตูรับฉันเข้ามา ดูท่าลูกๆของนายจะดูเป็นเด็กที่ฉลาดและว่าง่ายพอตัวนะ”อีกฝ่ายไหวไหล่ พยักหน้าไปทางเก้าอี้ที่วางอยู่หน้าประตู
ดูท่าว่าเด็กแฝดทั้งสองคนจะมองผ่านตาแมวแล้วช่วยกันเปิดประตูให้ปิญญ์ชานนท์เข้ามาสินะ
“ออกไปซะ ที่นี่ไม่ต้นรับคุณ”บอกออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวจนเด็กๆเริ่มเงยหน้าขึ้นมามองทั้งที่มือยังหยิบจับของเล่นเตรียมชวนแขกผู้มาเยือนเล่นด้วยกัน
“ปลากริม สลิ่ม เข้าไปรอปะป๊าในห้องก่อนนะครับ”ขนมผิงหันไปสั่งเด็กๆ
เด็กๆพยักหน้าตบรับอย่างมึนงง แต่ก็ยอมหยิบฉวยเอาของเล่นติดไม้ติดมือแล้วพากันเดินเข้าไปในห้องนอนเงียบๆ
“อะไรกัน ฉันกำลังเล่นกับเด็กๆสนุกเลยเชียว ทำไมนายถึงสั่งให้เด็กๆเข้าไปในห้องซะได้ล่ะ”อีกฝ่ายบอกพลางเหยียดยิ้มออกมา
มันช่างเป็นรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ชวนให้น่าอึดอัดยิ่งนัก ขนมผิงได้แต่ขบเม้มริมฝีปากของตนเองแน่น จ้องมองอีกฝ่ายเขม็งด้วยสายตาที่แค้นเคืองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อคนที่อยู่เบื้องหน้า
“ออกไปก่อนที่ผมจะเรียกรปภ.มาโยนคุณออกไป”
“ไม่มีใครเขาอยากจะยุ่งเรื่องผัวเมียหรอกน่า นายก็น่าจะรู้ดี”
ปิญญ์ชานนท์ไม่เพียงแค่พูดย้ำในสถานะที่น่าสมเพช แต่กลับลุกขึ้นแล้วสาวเท้าเข้าไปใกล้ประตูห้องของเด็กๆจนขนมผิงต้องปรี่เข้าไปขวางเอาไว้
“อย่าได้มายุ่งกับลูกของผม อย่าได้เอาความคิดต่ำๆของคุณมาแสดงออกต่อหน้าเด็กๆ”
“ทำไมล่ะ ทีกับนายวุฒินายยังให้หมอนั่นเข้ามาอยู่ด้วยตั้งนานสองนาน ทีกับฉันที่พึ่งจะมาถึงได้ไม่กี่นาทีนายกลับไล่ฉันเหมือนหมูเหมือนหมา จะไม่ใจร้ายกับผัวไปหน่อยรึไง”
ผล๊วะ!!
หมัดเล็กๆส่งเข้าไปที่ริมฝีปากที่เอาแต่พูดพล่ามในสิ่งที่น่ารังเกียจ
ใบหน้าคมคายหันไปตามแรงกระแทกเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาพร้อมกับของเหลวสีแดงสดติดอยู่มุมปาก
ปลายลิ้นชิ้นตวัดเลียมุมปากเล็กน้อยก่อนจะกลืนรสปร่าลงคอ ส่งสายตาดุดันจ้องมองมาที่ใบหน้าของขนมผิงด้วยความไม่พอใจ
“ถึงคุณกับพี่วุฒิจะมีสายเลือดเดียวกัน แต่มันไม่ได้หมายความว่าพี่วุฒิเขาจะมีจิตใจที่สกปรกต่ำช้าแบบคุณ มันอาจจะเป็นเพราะอาหารที่คุณกินเข้าไปรึเปล่านะ มันถึงทำให้คุณพูดพล่ามแต่สกเน่าๆออกมาแบบนี้”ขนมผิงเหยียดยิ้มออกไปเพื่อยินยันในสิ่งที่ตนพูด ตาคู่สวยจ้องมองอีกฝ่ายแน่นิ่งพลางเชิดหน้าขึ้นอย่างถือตัว
“นายกล้าทำร้ายผัวตัวเองขนาดนี้เลยรึไง สงสัยว่าสามปีมันจะนานเกินไปจนจำเรื่องระหว่างเราไม่ได้แล้วสินะ”
พูดจบมือใหญ่ราวกับคีมเหล็กก็ตะปบเข้ามาที่ต้นแขนผอม บีบจนขนมผิงรู้สึกเจ็บร้าวไปถึงกระดูก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเงยหน้าขึ้นจ้องตอบแววตาของอีกฝ่าย
“อย่าเอามือสกปรกขอคุณมาแตกต้องตัวผม”
“อย่าทำเป็นกระแดะไปหน่อยเลยในเมื่อตัวนายมันก็สกปรกพอๆกัน อย่าลืมสิว่ามือสกปรกคู่นี้มันบีบเค้นไปทั่วตัวนายรุนแรงแค่ไหน”
ไม่หยุดแค่บีบมือลงมาที่แขน แต่ปิญญ์ชานนท์กลับใช้อีกมือยกขึ้นมาบีบกรอบหน้าของเขาเอาไว้
ไม่ทันตั้งตัวนัยน์ตาคู่สวยก็ต้องเบิกกว้างเมื่อริมฝีปากได้รูปกดกระแทกลงมาให้ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในโพลงปาก
ขนมผิงพยายามที่จะผลักอกของอีกฝ่ายให้ออกห่าง แต่มันก็เท่านั้นเมื่อปิญญ์ชานนท์โถมกายและตรึงใบหน้าเขาเอาไว้แน่น บังคับให้ตอบรับจูบที่ไม่ได้เต็มใจ
ขนมผิงเปลี่ยนเป็นใช้มือผลักอกอีกฝ่ายมาเป็นจิกเล็บลงบนลาดไหล่ ฝังปลายเล็บลงบนไหล่หนาเมื่อปลายลิ้นของอีกฝ่ายสอดแทรกเข้ามายามที่เขาเปิดริมฝีปากเพื่อสูดอากาศหายใจ
มันยิ่งน่ารังเกียจเมื่อปลายลิ้นนั้นสอดแทรกเข้ามาลึกและพยายามเกี่ยวกระหวัดป้อนจูบที่ทั้งรุนแรงและหนักหน่วง
กึก!!
ขนมผิงตัดสินใจกัดฟันลงบนปลายลิ้นที่รุกราน หากแต่อีกฝ่ายกลับรู้ตัวและถอนจูบออกก่อนที่ลิ้นจะขาดเสียก่อน
“มันจะมากไปแล้วนะขนมผิง!!”ตวาดเสียงดังก่อนจะเช็ดเลือดที่ไหลย้อนออกมาจากมุมปาก
“หึ! ก็สมควรแล้วนี่”ขนมผิงแสยะยิ้มพลางเช็ดเลือดออกจากมุมปากไม่ต่างกัน
มันก็สมควรแล้วนี่ ในเมื่อปิญญ์ชานนท์เป็นฝ่ายที่ทำให้เขาเสียเลือดก่อน เขาก็จะทำให้อีกฝ่ายเสียเลือดมากกว่า…ให้มากกว่าเป็น
“หมาอย่างนายนี่มันกัดไม่เลือกจริงๆ ดูท่าฉันคงจะต้องทำให้นายเชื่อสินะ ขนมผิง”
ปิญญ์ชานนท์จ้องมองมาด้วยแววตาที่ขุ่นเคือง หากแต่นั่นขนมผิงกลับไม่ได้สะทกสะท้านเลยสักนิด
“ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองทำดูสิครับ”
ยกยิ้มอย่างท้าทายพร้อมกับจ้องลึกเข้าไปในตาคู่ดุดัน
“เก่งนักนะที่กล้ามาท้าทายคนอย่างฉัน!!”
เหมือนว่าชายหนุ่มจะทนไม่ไหวแล้ว เขาปรี่เข้ามากระชักตัวของขนมผิงให้เซเข้าไปหาตัว
และไม่หยุดอยู่แค่นั้นเมื่อครั้งนี้มันดูรุนแรงมากกว่าเก่า แขนแข็งแรงดอบเอาเอวสอบไว้แน่นด้วยท่าทีคุกคาม
“ปล่อยนะ!! คุณไม่มีสิทธิมาแตะต้องตัวผม!!”
“ทำไมล่ะ ฉันมีสิทธิเต็มที่เลยนะ นายอย่าลืมสิว่าฉันเป็นผัวนาย รึว่านายลืมไปแล้ว”
“ไอ้โรคจิต!! อย่ามาใช้ถ้อยคำทุเรศกับผมนะ ผมจะเตือนคุณครั้งสุดท้าย ก่อนที่คุณจะต้องเป็นฝ่ายเสียหน้าถูกจับโยนออกไปจากที่นี่”
อ้อมแขนของปิญญ์ชานนท์นั้นกอดรัดแน่นจนดิ้นไม่หลุด แม้สีหน้าของขนมผิงนั้นจะเต็มไปด้วยโทสะ แต่แท้จริงแล้วภายใจใจลึกๆยังคงเป็นห่วงกลัวว่าอีกฝ่ายจะมาแย่งเอาเด็กๆไป
ทำไมกันนะ!! ในเมื่อเขายอมที่จะถอยออกมาในวันที่อีกฝ่ายไล่เขากับลูกๆออกไปจากชีวิต ทำไมปิญญ์ชานนท์ถึงต้องตามตอแยตามรังควาญเขาด้วย หรือเพียงเพราะต้องการแก้แค้นให้พ่อตนเองกัน
“ถ้านายคิดว่าทำได้ก็ลองดูสิ”
เป็นราวกับกระสุนบอกเริ่มเกม สิ้นเสียงร่างกายก็ลอยหวือตามแรงกระชากเข้าไปในห้องนอนอีกฝากกับห้องของเด็กๆ
“จะทำอะไร!!”
ขนมผิงถามด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว ภาพความทรงจำสุดแสนจะเลวร้ายวนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
ไม่!! เขาเฝ้าบอกตนเองนับครั้งไม่ถ้วนภายในเสี้ยววินาทีที่ถูกดึงให้ตามเข้ามาในห้องที่เคยถูกย่ำยีนี้
ถูกย่ำยีทั้งที่ยังตั้งท้องเด็กๆอยู่!!
“จะถามทำไมล่ะ ในเมื่อของมันเคยๆกันอยู่”
“ไม่!! คุณมันโรคจิตคุณปิญญ์ ออกไปนะ ออกไปจากห้องผมเดี๋ยวนี้!!”
มันยากที่จะขัดขืนด้วยแรงกายเมื่อเขาถูกดึงให้ก้าวผ่านประตูนรกเข้ามาแล้ว ภาพในอดีตยิ่งชัดเจนมากขึ้นกว่าเก่า
ขนมผิงไม่มีทางเลือกแล้ว เขาก้มลงกัดเข้าที่ต้นแขนของอีกฝ่ายเต็มแรง
“โอ้ย!! บ้าเอ้ย!! นายนี่มันไม่เชื่องง่ายๆสินะ ดูท่าฉันคงจะต้องใช้กำลังสั่งสอนนายซะแล้ว”
เพี๊ยะ!!
สิ้นเสียงใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็หันไปตามแรงฝ่ามือของอีกฝ่าย แรงพอที่จะทำให้คนที่ไม่ทันได้ตั้งหลักเซถลาลงไปบนพื้น
“ฮึก!! คุณมันดีแต่ใช้กำลัง ไอ้ชั้นต่ำ”ขนมผิงเค้นเสียงต่ำ เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้น มือข้างหนึ่งจับใบหน้าร้อนผ่าวข้าวหนึ่งเอาไว้แน่น
เลวไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆสำหรับปิญญ์ชานนท์!!
“ชั้นต่ำงั้นเหรอ? หึ!! ต่ำมันก็ต้องคู่กับสกปรกก็ถูกแล้วนี่”
ร่างสูงก้าวเข้ามาประชิดก่อนจะใช้แรงอันมหาศาลดึงเขาให้ลุกขึ้นแล้วจับทุ่มลงบนเตียง
“อึก!!”
เจ็บจนจุก นิ่วหน้ากุมท้องตัวเองแน่น
“มาดูกันดีกว่าว่าฉันจะทำให้หมาอย่างนายเชื่องได้ไหม”
มือใหญ่บีบเข้ามาที่กรอบหน้าของขนมผิงอีกครั้ง บีบแน่นให้เจ็บร้าวไปทั้งใบหน้า
“ไม่มีวัน!! ต่อไปนี้คุณจะไม่มีวันได้สิ่งที่คุณต้องการ”
“ก็ดี ฉันก็อยากจะรู้ว่าคนอย่างนายจะมีปัญญาขัดขืนฉันได้สักกี่น้ำ ไหนนายลองทำให้ดูหน่อยสิว่ากับคนอื่นนายล่อลวงพวกนั้นยังไง”
“ปล่อย!!”
ถึงจะร้องบอก แต่ก็กลับถูกกดลงบนเตียงๆเดิมกับเมื่อสามปีที่แล้ว เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกฉีกกระชากออกด้วยอารมณ์รุนแรงของอีกฝ่าย
แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว!!
“อุ๊ก!!”
ปิญญ์ชานนท์ร้องออกมาก่อนจะกุมเข้าที่หน้าท้องตัวเอง
ขนมผิงถีบเข้าที่หน้าท้องของอีกฝ่ายเต็มแรงก่อนจะคลานหนีออกมาเมื่ออีกฝ่ายเสียหลัก
“จะไปไหน!! ฤทธิ์เยอะนักนะ!!”
“คุณมันบ้าไปแล้ว”
พูดพลางถอยหนีอีกฝ่ายเมื่ออีกฝ่ายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ รอยยิ้มชั่วร้ายนั้นเริ่มจะทำให้ขนมผิงนึกหวั่น
มือผอมปักป่ายไปบนโต๊ะเพื่อควานหาโทรศัพท์ หากแต่เมื่อเขาคว้ามาได้ เครื่องมือสื่อสารนั้นก็ถูกแย่งแล้วจับโยนไปยังอีกฝั่งห้อง
“จะทำอะไร มันไม่มีใครเขากล้ามายุ่งเรื่องของผัวเมียหรอกน่า มานี่!!”
อีกครั้งที่ถูกจับเหวี่ยงลงบนพื้น ตามด้วยร่างสูงใหญ่ขึ้นคร่อม ร่างกายทั่วทั้งร่างเจ็บปวดจนแทบไม่มีแรงต้าน
“คุณต้องการอะไรกันแน่!!”
“ต้องการอะไรงั้นเหรอ ไม่รู้สิ…”เว้นเอาไว้ก่อนจะก้มลงมากระซิบ “ฉันรู้แต่ว่าฉันต้องการที่จะทำลายนายให้ย่อยยับ ให้สมกับที่แม่ของนายทำลายพ่อฉันยังไงล่ะ”
พูดจบริมฝีปากร้อนที่ตะโบมจูบลงมาอย่างบ้าคลั่ง ครั้งที่มันทั้งร้อนและทั้งรุนแรงยิ่งกว่าเก่า
มันหมายความว่ายังไงกันนะกับสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์พูดออกมา
ยิ่งพยายามดิ้น เสื้อที่ขาดวิ่นยิ่งถูกดึงให้หลุดออก
“อึก!!”
ขนมผิงสะดุ้งเฮือกก่อนจะนิ่วหน้า สัมผัสได้ถึงความเจ็บแสบที่กัดลงมาบนต้นคอ
ไร้ซึ่งความปราณี ร่างกายถูกโถมทับลงมาเต็มแรง ถูกตรึงด้วยมือใหญ่ที่เป็นราวกับโซ่ตรวนเส้นหนา
“ปล่อย อึก นะ คุณมันบ้าไปแล้ว!! ผมจะร้องให้คนช่วย”
“เอาสิ ร้องดังๆเลยร้องให้ลูกของนายได้ยินและออกมาดูว่านายมันสกปรกแค่ไหน”
ทำไมกันนะ ทำไมปิญญ์ชานนท์ถึงได้เลวขนาดนี้
ขนมผิงมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา จ้องมองปิญญ์ชานนท์หยัดกายขึ้นมาเหนือร่างของตนและมองมาด้วยแววตาดูถูก
“ออกไป”
“คนอย่างนายทำไมถึงไม่ตายๆไปซะนะ”
ชั่วพริบตาแววตาที่ดูถูกก็กลายเป็นเกลียดชัง ขนมผิงดิ้นสุดแรงเมื่อมือใหญ่ทั้งสองข้างพาดลงมาบนต้นคอของตนและกดลงมาอย่างแรง จนเริ่มที่จะหายใจไม่ออกและพยายามที่จะทุบตีเข้าที่แขนของอีกฝ่าย
“ปล่อย แค่กๆ ปล่อยนะ!! คุณปิญญ์”
“อยู่นิ่งๆสิวะ!!”ปิญญ์ชานนท์ตวาดลั่น
มือข้างหนึ่งละออกไปปลดกระดุมเสื้อตัวเองออก ขนมผิงถึงได้หายใจได้ขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังติดขัดเมื่ออีกมือของปิญญ์ชานนท์ยังคงค้างอยู่บนคอและยังออกแรงกดลงมา
เคร้ง!!!
เสียงเหมือนของตกกระทบลงบนพื้นทำให้ทั้งคู่ชะงัก ตาคู่ดุดันหันมาสบตาของเขาด้วยความไม่ได้ตั้งใจ
“ปลากริม สลิ่ม”
สัญชาติญาณความเป็นแม่ทำให้ขนมผิงผลักอีกฝ่ายออกเต็มแรงแล้วรีบวิ่งไปยังห้องที่อยู่ข้างๆ
พลันหัวใจหล่นวูบเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กนั่งร้องไห้น้ำตานองหน้า
“สลิ่ม!! ปรากริม น้องเป็นอะไร ทำไมน้องถึงได้ร้องไห้ล่ะ”
ขนมผิงคว้าเอาสลิ่มขึ้นมากอด ตาคู่สวยมองสำรวจไปทั่วร่างเล็กอย่างกระวนกระวายใจ
“อย่าเข้ามานะ!!”
เสียงแข็งร้องห้ามเมื่อเหลือบมาเห็นร่างสูงกึ่งเปลือยอกกำลังเดินพ้นประตูห้องนอนของเด็กๆเข้ามา
“นายคิดว่าจะห้ามฉันได้รึไง”อีกฝ่ายขึ้นเสียงหึคล้ายจะเย้ย
“ผมบอกว่าอย่าเข้ามาไง!!”ขนมผิงห้ามอีกครั้งเมื่อฝ่านยังคงก้าวเข้ามาเรื่อยๆ และเข้ามาใกล้กับลูกของเขามากเข้าไปทุกที
“นายนี่มันไม่ดูตาม้าตาเรือเลยนะ”
สิ้นเสียงทุ้มต่ำ เจ้าของเสียงก็ลดตัวลงมาข้างๆแฝดคนพี่แล้วดึงเอาร่างจ้ำม่ำเข้าไปใกล้
“ปลากริมมาหาปะป๊า”
“อย่ามาทำเป็นหมาหวงก้างโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ เจ็บไหม”หันมาทเสียงแข็งใส่ก่อนจะถามประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มกับเจ้าตัวเล็กที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ปลายนิ้วใหญ่ลูบลงบนหน้าผากมนอย่างเบามือ
เมื่อครู่ยังทำตัวเป็นยักษ์ใจมารใส่เขาไม่ใช่รึไง แต่ทำไมถึงได้แสดงท่าทีอ่อนโยนกับเด็กๆได้ล่ะ
“เอาลูกผมคืนมา”
“ถ้านายดูให้คนนั้นหยุดร้อนก่อนได้ ฉันจะยอมคืนคนนี้ให้”
พูดราวกับว่าจะไม่ยอมคืนลูกให้ ยิ่งทำให้ขนมผิงใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“อย่ามาพูดบ้าๆนะ นั่นมันลูกผม”
แม้ว่าจะเป็นลูกของอีกฝ่ายด้วยก็ตาม แต่เมื่อปฏิเสธไปแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่มีสิทธิแม้แต่จะมาเข้าใกล้เด็กๆด้วยซ้ำ
“บอกฉันมาสิว่าเธอไปทำอะไรมาถึงได้หัวโนแบบนี้”
ดูเหมือนปิญญ์ชานนท์จะเมินคำพูดของขนมผิงและหันไปพูดกับเจ้าตัวเล็กด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแทน
แต่นั่นมันก็ทำให้ขนมผิงชะงักและจ้องมองไปที่หน้าปากมน เก็นรอยนูนเล็กๆปูดออกมา
“พี่กิมเจ็บไหม ฮึกๆ หลิ่มขอโทษ”
สลิ่มพูดพลางสะอื้นให้ขนมผิงได้ลูบหัวปลอบให้เลิกเสียขวัญ และหันไปเพ่งมองลูกอีกคนด้วยความเป็นห่วง
“กิมปีนขึ้นไปบนเตียงแล้วโหม่งกับหุ่นยนต์ฮับ แต่กิมไม่เจ็บ กิมไม่อยากร้องไห้ กัวน้องหลิ่มเสียใจ”ปลากริมตอบเสียงใสพลางยิ้มแย ยกมือป้อมลูบหัวโนๆของตัวเองป้อยๆ
“ไปครับไปหาหมอกัน”ขนมผิงตัดสินใจอย่างเร็วพลัน
อุ้มลูกคนแรกขึ้นมมาก่อนจะทำท่าเข้าไปคว้าอีกคน
“นายจะไปทั้งสภาพนั้นรึไง ก็ก็นะนายคงจะไม่มียางอาย หรือว่านายชินซะแล้วล่ะ”ปิญญ์ชานนท์เหยียดยิ้มในสภาพที่กึ่งเปลือยของเขา
“คืนปลากริมมาให้ผมแล้วคุณก็ออกไปซะ”
“ใส่เสื้อซะแล้วจะๆได้พาเด็กๆไปหาหมอ ขืนนายชักช้าบางทีลูกนายอาจจะเลือดคลั่งในสมองตาย ฉันไม่รู้ด้วยนะ”ชายหนุ่มไหวไหล่
“คุณนี่มัน!”
“เลือกเอาว่าจะทิ้งเด็กไว้กับฉันหรือว่าจะรอจนฉันไปนายถึงจะได้พาลูกไปโรงพยาบาล”
นั่นมันแทบไม่ต้องใช้เวลาคิดด้วยซ้ำ ขนมผิงกัดฟันยอมให้เด็กๆอยู่กับอีกฝ่าย ก่อนจะออกจากห้อง เขาได้ปรายตามมองดูอีกฝ่ายจับคนน้องนั่งบนตักแล้วใช้มือลูบหัวเบาๆ ส่วนมืออีกข้างก็กำลังลูบหัวเจ้าตัวเล็กอีกคนที่ยืนยิ้มอย่างเริงทั้งที่เป็นคนเจ็บ
“คราวนี้ส่งลูกคืนมาให้ผมได้แล้ว”ยื่นมือไปเพื่อหวังจะรับลูกๆคืนมาจากตักของอีกฝ่าย
อดที่จะอิจฉาในรูปกายของอีกฝ่ายไม่ได้เมื่อตักกว้างนั้นสามารถให้เด็กๆนั่งได้อย่างสบายถึงสองคนพร้อมกัน
“จะเอาคนไหนล่ะ”ยกยิ้มคล้ายจะต่อรอง
“ทั้งสองคน”
“นายจะอุ้มทั้งสองคนได้ยังไง”
“เรื่องของผม ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“หึ อย่างเก่งนายก็อุ้มได้แค่คนเดียว จะอุ้มคนที่ร้องให้แล้วปล่อยคนที่เจ็บให้เดินตาม หรือว่าจะอุ้มคนที่เจ็บแล้วปล่อยให้คนที่ร้องไห้เดินตามล่ะ”
ดูเหมือนเป็นการเยาะเย้ยกันเสียมากกว่าคำแนะนำ
“ไปหาปะป๊าเธอสิ”เสียงทุ้มกระซิบบอกเจ้าตัวเล็กที่ยังสะอื้นไม่หาย
แต่สิ่งที่ทำให้ขนมผิงแทบควันออกหูก็คือการที่ปลายจมูกโด่งเฉียดลงบนแก้มกลมของสลิ่ม ในขณะที่กำลังปรายตามองมาที่เขาราวกับต้องการจะยั่วยุ
ขนมผิงรับสลิ่มขึ้นมาอุ้มห่อนจะหันมาเรียกคนพี่ให้เดินตามมา หากแต่ว่าปิญญ์ชานนท์กลับคว้าเอาคนพี่ขึ้นมาอุ้มแล้วเดินผ่านหน้าของเขาไปเสียเอง
“นั่นคุณจะเอาปลากริมไปไหนคุณปิญญ์!!”
“ก็พาไปหาหมอไง หรือว่านายกลัวว่าฉันจะแย่งลูกของนายไปเลี้ยงซะเอง”
คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ก้อนเนื้อในอกกระตุกวูบ
ยอมเดินตามอีกฝ่ายมายังลานจอดรถ น่าแปลกที่ปิญญ์ชานนท์รู้ว่าที่จอดรถประจำของเขาอยู่ตรงไหน
แต่เวลานี้ขนมผิงกลับห่วงลูกจนไม่อยากจะใส่ใจอะไรมากไปกว่านี้ เขาจับลูกคนเล็กนั่งใส่คาร์ซีทก่อนจะหันไปขอลูกคนโตคืนจากอีกฝ่าย
“ส่งปลากริมมาได้แล้ว”
ครั้งนี้ปิญญ์ชานนท์ยอมคืนปลากริมให้เขาแต่โดยดี
ขนมผิงปรายตามองอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย จับให้ลูกคนโตนั่งบนคาร์ซีทอีกอันที่เบาะหลัง ก่อนจะเดินไปยังที่นั่งคนขับ
เสียบกุญแจรถยังไม่ทันกดสตาร์ทเสียงเปิดประตูด้านข้างคนขับก็ทำให้ขนมผิงชะงักด้วยความตกใจ
หันไปมองก็เห็นเข้าไปใบหน้านิ่งเฉยปนเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย นี่มันอะไรกันนะ!!
“คุณจะขึ้นมาทำไม ลงไปเดี๋ยวนี้”
“ฉันจะไปด้วย”
“คุณจะไปทำไมทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะในเมื่อฉันเป็นผัวนาย อย่างน้อยเด็กๆก็เป็นลูกเลี้ยงของฉัน”อีกฝ่ายกระซิบบอก
นี่มันบ้าไปแล้ว ช่างหน้าด้านหน้าทนจนขนมผิงแทบอยากคว้าเอาของที่อยู่ใกล้มือโยนใส่หน้าอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอด หากแต่ต่อหน้าเด็กๆการที่เขาทำหน้าบึ้งตึงมันก็มากพอแรงอยู่แล้ว
“ปะป๊าฮับ เราจะไปหาลุงหมอวุฒิใช่ไหมฮับ”สลิ่มเอ่ยถามเสียงใสมาจากด้านหลัง ซึ่งนั้นก็ทำให้ปิญญ์ชานนท์เลิกคิ้วมองกระจกมองหลัง
“เปล่าครับ เราไม่ได้ไปหาคุณลุงวุฒิ”
“แต่กิมอยากไปหาคุณลุงหมอกิมชอบคุณลุงหมอ”
คำพูดของปลากริมยิ่งทำให้คิ้วของชายหนุ่มแขกผู้ไม่ได้รับเชิญกระตุก
“ครับ ปะป๊าก็ชอบลุงหมอเหมือนกัน”
จากคำพูดของขนมผิง ถ้าไม่ติดว่ามีเด็กๆปิญญ์ชานนท์คงกระโจนเข้ามากัดคอเขาแน่ ขนมผิงไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคำพูดที่ไม่ตั้งใจนั้นทำให้ใครอีกคนโกรธเคืองแค่ไหน
----------------------------------------------------------------------
“ถึงโรงพยาบาลแล้ว จะไปไหนก็ไปสักที”ออกปากไล่ทันทีที่มากถึงโรงพยาบาล
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะทำหูทวนลมเดินตามเข้ามาในห้องตรวจจนได้
ตาคู่สวยพยายามไม่ใส่ใจกับส่วนเกินของครอบครัว จ้องมองหมอลูบคลำมือลงบนหน้าผากมนที่มีรอยนูนเล็กๆพลางกอดเอาเจ้าหัวเล็กที่หยุดร้องเอาไว้บนตัก
อารการของแฝดคนพี่จอมซนไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงมากนัก หมอจึงได้ให้ยาไว้สำหรับทาและบอกให้กลับบ้านได้
ขนมผิงพาเจ้าตัวแสบทั้งสองคนมาหยุดพักตรงเก้าอี้ม้านั่ง แต่อีกนัยน์หนึ่งก็เพื่อที่จะหาทางสลัดอีกคนให้หลุดเสียมากกว่า
“คุณไปได้แล้ว”บอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง”
“นายไม่ต้องไล่ฉันหรอกขนมผิง เพราะฉันได้ในสิ่งที่ฉันต้องการแล้ว”ปิญญ์ชานนท์ยิ้มเจ้าเล่ห์
มันหมายความว่าอย่างไรกันนะ? สิ่งที่ต้องการที่ปิญญ์ชานนท์พูดถึง
“สิ่งที่คุณต้องการมันหมายถึงอะไร”
“ฉันจำเป็นต้องบอกนายรึไง คนอย่างนายมันไม่มีค่าพอที่จะก้าวเข้ามาใกล้กับชีวิตของฉันหรอกนะขนมผิง แล้วก็เด็กสองคนนี้…” พูดค้างเอาไว้ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหู “น่าสนใจดีนี่”
“ไม่ว่าจะด้วยอะไร…คุณไม่มีวันได้สิ่งที่คุณต้องการ”แค่นเสียงบอกออกไป
แต่ปิญญ์ชานนท์กลับลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วเดินออกไปแล้ว ทิ้งให้ขนมผิงได้ทอดสายตามองตามแผ่นหลังของร่างสูงเดินไกลออกไปจนลับตา
ท่าทีอันสบายใจของปิญญ์ชานนท์มันยิ่งเพิ่มความแค้นให้ขนมผิงเป็นทวีคุณ กลิ่นคาวเลือดยังคงคละคลุ้งติดอยู่ในโพลงปาก
ขนมผิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อปลายสายหาเลขาคนสนิท
“นอนหรือยังครับคุณทัพ”ถามด้วยน้ำเสียงเรียบ
‘ยังครับ ว่าแต่คุณผิงมีอะไรรึเปล่าครับ โทรมาตอนนี้’
“ผมมีเรื่องจะรบกวนคุณทัพหน่อยน่ะ วันพรุ่งนี้ตอนบ่ายผมอยากได้รายงานราคาหุ้นชุดใหม่หลังจากที่เซ็นต์สัญญากับM Techน่ะ ช่วยเร่งฝ่ายการตลาดให้ทีนะครับ”
‘ได้ครับ ไม่มีปัญหา’
“ขอบคุณมากครับ ฝันดี”ผมตอบพร้อมกับตัดสาย
ถึงแม้ว่าการเซ็นสัญญาระยะยาวนี้อาจจะยังไม่มากพอที่จะล้มอนันตไพลินได้ แต่มันก็มากพอที่จะสั่นคลอนยักษ์ตัวใหญ่ให้ก้มลงมาสำรวจจุดยืนของตนเองได้บ้าง