เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เด็กเลี้ยง_EP.38_[ตอนจบ] P.9_1542016 // จบแล้วย้ายได้นะค่ะ  (อ่าน 116727 ครั้ง)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ความงี่เง่าไม่เคยปราณีใคร ถ้าเราเป็นเฮียภูมิหนูน้ำคงกลายเป็นอากาศ

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:รอตอนต่อไปปปปป :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
เรื่องนี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
คุ้นๆ วันเคยอ่านเรื่อง ของ หนึ่ง ฉาน เเสง รึป่าว???
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
สนุกกกกก นี้นั่งอ่านทั้งวันติดมากกกกกกก

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
รออัพอย่างใจจดใจจ่อออออ o9
ติดมากกกกกกกกก

ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
Re: เด็กเลี้ยง_EP.31_อารมณ์ P.8_3012016
«ตอบ #217 เมื่อ30-01-2016 20:20:12 »

เด็กเลี้ยง


-31-

อารมณ์









      “ให้พี่อยู่เป็นเพื่อนไหม”

      “ไม่เป็นไรน้ำจะนอนแล้ว พี่ชัดเองก็ไปพักผ่อนเถอะไม่ได้นอนมาหลายวันแล้วไม่ใช่เหรอ”

      “ไม่ให้อยู่แน่นะ”

      “ฮะ ไปเถอะซิ้ว ซิ้ว”

       น้ำนิ่งเอ่ยเสียงร่าเริงสดใส หน้าหวานระบายยิ้มกว้างเหมือนไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลใจ แต่ท่าทางแบบนี้ทำให้ชัดเจนเป็นห่วงยิ่งนัก ร่างเล็กล้มตัวลงนอนแสร้งหลับตาพริ้มราวกับง่วงนอนเสียเต็มประดาบอกเป็นนัยให้เขาออกไปจากห้อง แต่เชื่อขนมกินได้เลยพอเขาพ้นออกไปจากห้องน้องลุกขึ้นมาถ่างตารอเฮียกลับมาแน่

       ชัดเจนเดินเลี่ยงออกมายังระเบียงห้องนั่งเล่น ลมกลางคืนโชยปะทะทำให้รู้สึกเย็นสบายแต่มันไม่สามารถปัดเป่าความกังวลในใจของเขาออกไปได้ บุหรี่ในมือถูกยกขึ้นคาบใส่ปากมือล้วงหยิบไฟแข็คซิปโปจากกระเป๋าจุดบุหรี่สูบเพื่อผ่อนคลายอารมณ์

       ชัดเจนอัดนิโคตินเข้าปอดเต็มแรงจนปลายบุหรี่สว่างวาบขึ้นหลายครั้งติดกัน สายตาเหม่อมองตามกลุ่มควันบุหรี่ที่ลอยอ้อยอิ่งก่อนจะสลายไปกับท้องฟ้ามืดมดไร้ดาว ทอดถอนใจหนักหน่วงด้วยความกังวลไปพร้อมกับคนดื้อดึงในห้องครั้งแล้วครั้งเล่า 

       เวลานาทีเคลื่อนคล้อยไปอย่างเชื่องช้าพร้อมกับบุหรี่ที่ถูกเผาผลาญจนถึงก้นกรองเถ้าบุหรี่ที่ไม่ได้ถูกเคาะลงที่เขี่ยถูกลมพัดแตกกระจายลอยฟุ้งในอากาศ ชัดเจนมองเฉยเชยก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ลงบนที่เขี่ย  มือใหญ่ล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาเข้มแข็งรอจนสายตัดไปเองสองสามครั้งโดยไม่มีคนรับทำให้ความหวาดกลัวยิ่งทบเท่าทวีจิตใจร้อนรุ่มเกรงว่าภูมิรพีจะได้รับอันตราย ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปหาแดนสรวงแทน

       “อยู่ไหนวะ” 
 
      “โรงเตี๊ยม มีไร?”

      “อ้าว!! ก็ไหน...”  ชัดเจนร้องด้วยความความฉงน

      “เฮียสั่งไม่ให้บอก”

      “ทำไม!!

      “อารมณ์งอนของชายแก่วัยทอง ตอนน้องโทรมาก็อยากรับ เอื้อมมือจะไปหยิบหลายครั้งสุดท้ายก็ทำหน้าบึ้งตึง  ‘ให้รู้สึกซะมั่ง’ ให้รู้สึกซะมั่งแต่ปากนะสิแอบชำเลืองมองโทรศัพท์ตาเหล่แล้วมั่งกูว่า”

       “ทางนี้คลั่งจนจะบ้าที่ติดต่อไม่ได้ ร้อนรนไม่เป็นอันทำอะไร กูห้ามก็ไม่ค่อยอยากฟังจะแล่นออกไปตาหาเอง”

      “ซื้อหวยทำไมแมร่งไม่เคยถูกวะ นี่ล่ำๆ จะแอบส่งไลน์บอกน้องหลายทีล่ะ แต่เฮียตวัดตามองพวกกูจนขี้หดตดหายนั่งกุมไข่อย่างเดียวไม่กล้าขยับไปไหน แค่หายใจแรงยังตวัดตามอง นี่ก็นั่งหน้าหงิกบอกบุญไม่รับอยู่ในห้องทำงานโน้น กูว่าถ้าฟาดงวงฟาดงาใส่ได้ก็คงทำไปแล้วแต่เพราะรักมากไงเลยหนีมาสงบสติอารมณ์ แล้วตอนนี้น้องเป็นไง...”

      “ตอนติดต่อเฮียไม่ได้กูแทบไม่อยากจะบรรยายหน้างี้ซีดเป็นซีดจนกลัวว่าจะเป็นอะไรไป ไม่อยากให้นั่งกระสับกระส่ายคิดมากว่าเฮียจะเป็นอันตรายก็เลยทั้งขู่ทั้งปลอบให้นอน แต่ให้เดาก็คงจะไม่นอนหรอกป่านนี้น่าจะยังนั่งรอเฮียนะแหละ ไม่อยากนอนก็ไม่ต้องนอนให้นั่งตาแข็งไปสิดื้อดีนัก”

      “ไปดูน้องด้วยก็แล้วกันเผื่อเป็นไรไปได้โดนเฮียเอาตาย”

      “เออๆ รู้แล้ว ไอ้เข้มไปไหนกูโทรหามันไม่ติด”

       “โดนเฮียงับหัวอยู่ในห้องโน้น กูก็อยากจะตบกะโหลกมึงสักป๊าบเสือกโทรมาไม่ดูตาม้าตาเรือ..แมร่ง! เฮียเกือบจะงับหัวรีบเผ่นออกมาแทบไม่ทัน”  แดนสรวงสบถในลำคออย่างหัวเสีย

      “กูจะรู้เหรอห่า...แล้วเฮียจะกลับมานอนที่บ้านรึเปล่า”

      “ยังไม่แน่ใจ นี่ก็รอเวลาอยู่ต้องไปรับเสี่ยที่สนามบินเครื่องลงตอนตีสี่”

      “คืนนี้เหรอวะ ก็ไหนว่าจะมาวันประมูลเลย”

      “ได้ยินว่าจะพากระต่ายหนีหนาว”

      “เหรอวะ มึงดูเฮียดีๆ ก็แล้วกัน ระวังตัวด้วย”

      “เออ!! เชื่อมือพวกกูเถอะน่า”

      “ไอ้แดน!!”  เสียงกัมปนาทราวกับฟ้าผ่าดังมาจากหน้าห้องทำงาน แดนสรวงหันไปยิ้มแหย่ มือกดตัดสายโดยอัตโนมัติ ก่อนจะวิ่งตามภูมิรพีและเข้มแข็งที่เดินนำลิ่วออกไปก่อนแล้ว

      ......................................





      “เดินทางเรียบร้อยดีนะ” 

       พี่น้องยกกำปั้นชนกัน เซนดึงตัวน้องชายเข้ามากอดชั่วครู่จึงผละตัวออก ยกมือตบบ่ากว้างสองสามที ภูมิรพียิ้มกวนตาคมหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์ไปข้างหลังเซน ซึ่งปรากฏหนุ่มร่างสูงโปร่งคาดคะเนจากสายตาคิดว่าน่าจะอ่อนกว่าเขาสักสี่ห้าปี ผิวกายขาวอมชมพูคงจะเป็นผลพวงมาจากการเป็นลูกเสี้ยวของอีกฝ่าย หน้าตาไม่ได้หล่อเหลาขั้นเทพแต่เป็นส่วนผสมที่ถูกจัดวางอย่างลงตัวดูดีตามเชื้อพันธุ์ที่ได้รับมา

       ต้นแขนข้างขวาที่โผล่พ้นแขนเสื้อยืดสีขาวบางปรากฏรอยสักรูปสร้อยกางเขนวางไว้ในมือ กับคำว่า “Keep the Faith” สวมกางยีนส์สีดำรัดรูปกับบูทหนังสีน้ำตาลเข้มเกือบดำของ Original Chippewa และเครื่องประดับคอลเลคชั่น Rabel At Heart ของโธมัส ซาโบ ใบหูข้างซ้ายใส่ต่างหูที่เป็นห่วงเงิน 3 อัน และต่างหูเพชรแบบเสียบเม็ดเล็กๆ อีกอัน ท่าทางดูเซอร์ค่อนไปทางดิบเถื่อนนิดๆ ด้วยซ้ำ แต่ก็เหมาะกับนิสัยเฮียดี

      “เฮียบอกให้ตัดผมหลายทีแล้วนะ ไม่เคยจะฟัง รำคาญมั้งไหมห๊ะ” 

       เฮียเซนบ่นคนที่คอยแต่ยกมือขึ้นปัดเกลี่ยผมสีน้ำตาลที่ยาวเลยบ่ามาพอสมควรมันถูกลมตีปะทะใบหน้าจนพันกันยุ่งด้วยน้ำเสียงรำคาญแกมเอ็นดู  แม้ปากจะพร่ำบ่นแต่มือก็ดึงรูดหนังยางรัดผมสีดำจากข้อมือตัวเองไปมัดรวบผมยาวของอีกฝ่ายให้ด้วยหน้าตายิ้มๆ

      “ก็ชอบ จะบ่นทำไมไม่เหนื่อยรึไงบ่นเรื่องเดิมๆ ตลอด”  คานินเถียงหงุงหงิงต่างจากท่าทางที่เห็นลิบลับ มันคนละอารมณ์กันเลย

      “ยังจะเถียงอีก”

      “ก็ไม่ได้จะเถียง ตัวเองก็ชอบไม่ใช่รึไง!!”  คานินสบถเล็กๆ แถมค้อนหน้าตาปะหลับปะเหลือก ภูมิกลั้นขำกับท่าทางทั้งคู่เกือบหลุดฟอร์ม คานินชำเลืองแวบหน้าขึ้นสีระเรื่อทันตา

      “เออ!! เถียงเหลือเกิ๊นปากนี่” 

       เซนยกมือขึ้นบีบปากช่างเถียงบิดส่ายไปมา คานินสะบัดหน้าหนีแบบงอนๆ แต่เฮียเซนก็ยังไม่ยอมปล่อยมือแถมก้มหน้าลงมาแตะจูบก่อนผละออกมีกัดเบาๆ แถมท้ายคานินนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ  ภูมิรพีเลยได้แต่ส่ายหน้าเอือมๆ ไม่คิดว่าเฮียมันจะด้านได้ขนาดนี้ แล้วดูสิเลี่ยนซะจนเบาหวานขึ้นตา สายตาส่อแววล้อเลียนไม่บิดบัง คานินหน้าแดงระเรื่อเข้มขึ้นอีกระดับจึงเสมองไปอีกด้านด้วยความเก้อเขิน

      “หึ หึ คานินของเฮีย  ส่วนนี่ราฟาเอลน้องเฮีย หรือจะเรียกสิงห์ก็ได้เอาที่สะดวกเลยมันไม่ว่า”  เซนเอ่ยแนะนำยิ้มๆ ขยับตัวไปยืนข้างยกแขนขึ้นโอบไหล่อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ

      “สวัสดีฮะ/ สวัสดีครับ” 

      “จะนอนในเมืองหรือบ้าน” 

      “กลับบ้านดีกว่าอยากกอดเด็ก”  เซนก็เพิ่งจะสังเกตว่าน้ำนิ่งไม่ได้อยู่ในกรอบสายตาอนุมานได้ว่าทั้งคู่ยังเล่นแง่กันอยู่ จึงเลิกคิ้วเป็นคำถามอย่างคาดคั้น

       “อะไร!!”  คานินถามเสียงแข็งกับท่าทางลับๆ ล่อๆ ของทั้งคู ยกนิ้วสะกิดเอวหนายิกๆ อย่างใคร่รู้  เซนหันไปยิ้มกระหยิ่มเจือแววเจ้าเล่ห์

      “เจ้าเด็กเลี้ยงไม่เห็นมารับเลยถามหาน่ะ แมร่งคิดถึงฉิบห...ซี๊ดดด..”  เซนตอบเสียงเรียบแต่มันขัดกับหน้าตากระหยิ่มเหมือนตาเฒ่าหื่นของเซนทำให้คานินหยิกหมับเข้าเอวแกร่งเต็มแรงอย่างหมั่นไส้ คนตัวโตสูดปากด้วยความเจ็บแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมามีเพียงสายตาหรี่มองอย่างท้าทาย

      “จะเล่น..?” 

      “หึง!

       “เสี่ยล้อเล่นอยู่กับใคร..ห๊ะ?

      “ขึ้นเสียงทำไมหืม... เก็บเสียงไว้ครางตอนอยู่กันสองคนดีกว่าไหมจ๊ะ” 

       เสียงยียวนกับรอยยิ้มกวนๆ นั่นกวนประสาทคานินดีแท้อยากจะใส่ให้หนัก แต่ความที่ยังไม่สนิทใจทำให้คานินไม่กล้าที่จะตอกกลับการกระทำของเซนเท่าใดนัก ได้แต่ฮึดฮัดขัดใจหน้างอง้ำ  ภูมิรพีเองก็ได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอากับตัวตนอีกด้านของเฮีย แต่ก็สุขใจดีใจมากจริงๆ ที่เฮียได้พบเจอความสุขซะที

       “หึ หึ”  เซนรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจยิ่งนักที่แหย่อารมณ์แม่กระต่ายได้ ก็ทำหน้าแบบนี้มันน่าแกล้งน้อยซะเมื่อไร  “อย่าอารมณ์บูดน่า...รักดอกจึงหยอกเล่นนะจ๊ะหืม... เด็กที่เป็นประเด็นน่ะ น้ำนิ่งเด็กเลี้ยงของเจ้าสิงห์ต่างหากเล่า ถ้ากระต่ายเจอน้องจะต้องหลงรักแน่ๆ”  คานินพยักหน้าหงึกๆ กับคำบอกเล่าของเซนเหมือนจะไม่ติดใจอะไรอีก ยิ้มให้เขาอย่างเก้อเขิน

       “ตกลงดีกันรึยัง”  เซนหันมามองหน้าสิงห์เอาคำตอบอีกครั้ง

      “ก็ไม่เชิง”  ภูมิรพีชักสีหน้าหงุดหงิด เบ้ปากยักไหล่เหมือนไม่ยี่หระแต่แววตาที่สบกันมันไม่ได้บอกเซนว่ารู้สึกอย่างนั้นสักนิด

      “อะไรกันอีกวะ โตๆ กันแล้วนะ”

      “ยิ่งโตยิ่งพูดยากเหอะ งอแงจะเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อเฮียว่ามันใช่ไหมล่ะนั่น”

      “บ๊ะ!! ว่าแล้วเชียว ถ้าคนอื่นไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัวให้ตาย ถามจริงๆ เลี้ยงด้วยอะไรวะสมองถึงคิดได้ขนาดนี้  ถึงเฮียจะรักมากตามใจทุกอย่าง แต่คิดได้แบบนี้มันโง่หรือบื้อกันวะ”  เซนเสียงกร้าวฉุนโกรธคนที่เป็นประเด็นนิดๆ

      “เลี้ยงดีเกินไปสิไม่ว่า ต่อไปเห็นจะต้องมีสันแข้งเป็นอาหารเสริมซะล่ะมั้ง”

      “ถามจริงกล้าเหรอวะ”

      “หยิกเล็บเจ็บเนื้อ...”

      “ก็นั่นแหละ น้องอายุแค่นั้นความคิดของตัวเอง ของเพื่อน ย่อมมีอิทธิพลมากกว่าพ่อแม่หรือคนเลี้ยงดู ต้องค่อยบอกค่อยสอน ตึงบ้างหย่อนบ้าง เหมือนเชือกถ้าตึงมากมันก็ขาด แต่ถ้าหย่อนยานก็พันกันยุ่งเป็นปมให้แก้กันวุ่นวาย”

      “สรุปก็คือสปอยน้องเหมือนเดิม....??”

      “ก็เออ! แต่ความหมายของเฮียคือถึงจะตามใจยังไงก็ต้องมีเหตุมีผลไม่ใช่หลับหูหลับตาตามใจนะเว้ย  เอาจริงๆ เฮียมาทีหลังเปล่าวะ ใครจะกล้าแก้ไขต้นฉบับดั้งเดิม นี่ก็กลัวใจอยู่ว่าต้องเหวี่ยงเฮียแน่ที่ไม่ได้บอกว่าจะมา”

      “เมื่อตอนเย็นได้ข่าวว่าสอนกลเม็ดเด็ดพรายให้กันไม่ใช่เหรอทำไมไม่บอกซะล่ะ” ภูมิรพีประชดประชันอย่างหมั่นไส้

      “อย่ามาหาเรื่อง เฮียอยากเซอร์ไพรส์น้อง  แล้วเรื่องนั้นตกลงเอาไง”

       “สั่งไม่ให้ไปที่นั่นแล้วล่ะ ตกลงจะกลับไม่กลับหรือจะยืนเป็นเป้าล่ออยู่นี่”

      “ก็คิดๆ อยู่ เผื่อเรื่องจบเร็วขึ้นไม่ดีรึไงวะ” 

      “ไป ไป มัวแต่คิดแกว่งเท้าหาเสี้ยนอยู่ได้”  ภูมิรพีตัดรำคาญเลยเดินไปยังรถก่อน เซนเลยต้องตามไปด้วย ทั้งหมดเดินไปขึ้นรถที่จอดห่างออกไปเล็กน้อยเรียบร้อยแล้วจึงเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

       ................................




      “สวัสดีครับเสี่ย”   ชัดเจนเอ่ยทักทายพร้อมก้มหัวทำความเคารพเสี่ยเซนอย่างนบน้อม

      “เออ เป็นไงมั้งวะ” 

      “สบายดีครับ”

       เซนยกมือขึ้นตบไหล่ชัดเจนอย่างเป็นกันเอง เด็กๆ พวกนี้ก็เหมือนคนในครอบครัว เป็นทั้ง พี่น้อง เพื่อน ญาติสนิท และบอดี้การ์ดในสังกัด Security Guard Unit หน่วยฝึกบอดี้การ์ดส่วนตัวของเขา เด็กในสังกัดหลายคนเป็นเด็กมีปัญหาที่ไม่มีใครต้องการ รวมถึงเด็กจรจัดที่ป๋ารับมาขัดเกลาอุปการะเลี้ยงดูกันมานาน เรียนจบแล้วก็ไม่มีใครไปไหนจะขออยู่ด้วยจนตาย

      “น้องคงนอนแล้วสินะ” 

      “ครับเสี่ย”

      “ถ้าน้องนอนแล้วเฮียก็คงไม่กวน จะเหวี่ยงจะวีนพรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันใหม่แล้วกัน ป๊ะต่ายน้อยไปครางให้เฮียฟังหน่อยเสียงจะยังดีเหมือนอยู่สนามบินหรือเปล่าเร็ว...”  คานินซัดเปรี้ยงที่ไหล่หนาค่อนข้างแรงหนึ่งทีโทษฐานที่หื่นไม่ดูกาลเทศะ เซนยิ้มพอใจที่แกล้งให้อีกคนหน้างอง้ำได้อีกครั้ง พยักหน้าให้ภูมิรพีก่อนจะดึงมือคานินที่ขัดขืนเล็กๆ เดินไปยังทิศทางที่เป็นห้องนอนของเขาด้วยกัน

      “ตามสบายนะห้องเก็บเสียง”  ภูมิรพีเย้าแหย่คนของเฮียยิ้มๆ จนอีกฝ่ายหันมาค้อนแรงให้ จึงหลุดเสียงหัวเราะจากลำคออย่างเอ็นดู
 
      “ไปพักเถอะ”

      “เฮียจะไม่...”

      “เออ!! ไปเถอะน่า...”  ทำไมจะไม่รู้ว่าชัดเจนห่วงน้ำนิ่งนี่คงคิดว่าเขาจะทำอะไรเจ้าเด็กดื้อนั่นน่ะสิ  ภูมิรพีชัดสีหน้าหงุดหงิดถ้าขืนชัดเจนยังจะเซ้าซี้ต่อมีหวังได้โดนกระทืบจึงรีบถอยตัวออกไปให้พ้นจากรัศมีเท้าโดยเร็ว

      “ครับเฮีย” 

      …………………………….




      ภูมิรพียืนชิดริมเตียงทอดสายตามองร่างบางที่นั่งคอพับคออ่อนพิงพนักหัวเตียงหลับใหลไม่รับรู้ถึงการมาของคนตัวโต แววตาวูบไหวอ่อนแสงลง นี่คงจะรอเขาจนไม่อาจทานทนกับความง่วงได้สินะถึงหลับลึกอย่างนี้ มือใหญ่เอื้อมไปไปปรับระดับความสว่างของโคมไฟให้สลัวลง ก่อนจะชะโงกตัวข้ามร่างบางเอื้อมมือไปหยิบหนังสือรวมเรื่องสั้นของวินทร์ เลียววาริณ เรื่องสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนที่คนตัวเล็กหยิบขึ้นมาอ่านทุกครั้งเวลารู้สึกไม่สบายใจซึ่งตกอยู่ข้างตัวไปวางไว้โต๊ะเล็กข้างเตียง สอดแขนเข้าไปรองคอและข้อพับขยับร่างบางให้นอนราบไปกับเตียง

      ‘ภูมิ...’  บรรยากาศสลัวรอบด้านทำให้น้ำนิ่งครางครืออย่างไม่แน่ว่าใช่คนที่เฝ้ารอหรือเปล่า

      “ซู่....หลับซะเด็กดี” 

      เสียงกระซิบริมหูทุ้มนุ่มอ่อนโยนเหมือนลอยอยู่ในที่ไกลๆ เร่งเร้าให้ตากลมโตสีน้ำผึ้งปรือขึ้นมองอย่างคนครึ่งหลับครึ่งตื่นแต่แสงสลัวทำให้คนตัวโตไม่ชัดเจน กลิ่นกายหอมสะอาดที่เจือกลิ่นบุหรี่อ่อนๆ กับสัมผัสอ่อนโยนนั่นก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าภูมิรพีกลับมาแล้ว ทำให้ร่างบางยอมผ่อนคลาย ตัวอ่อนยวบผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอ หลับสนิทลงไปอีกครั้ง

      ภูมิรพีดึงผ้าห่มที่ร่นอยู่ตรงหน้าขาคลุมให้จนถึงคอ ก้มลงแตะจูบแผ่วเบาที่ริมฝีปากนุ่มที่เผยออ้าเล็กน้อย ก่อนจะยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง เสียงครางเครือแผ่วเบาเหมือนละเมอในลำคอ  ปลายนิ้วมือแกร่งจึงยื่นไปไล้แผ่วเบาบนเส้นผมนุ่มน้ำนิ่งผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอ  ภูมิรพีชักมือกลับมาสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แววตาอ่อนโยนทอดมองร่างบางที่หลับใหลนิ่งนาน  ก่อนจะตัดสินใจเดินหันหลังออกจากห้องไป....

      .....................................




มีต่อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-01-2016 02:54:02 โดย WiChy »

ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
Re: เด็กเลี้ยง_EP.31_อารมณ์ P.8_3012016
«ตอบ #218 เมื่อ30-01-2016 20:22:23 »



      แดดอ่อนยามเช้าที่ลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านอาบไล้ใบหน้าหวานจนมองราวกับภาพฝัน น้ำนิ่งหยีตาหนีแสงจ้า รีบหันมองข้างตัวด้วยวาดหวังว่าจะเจอคนตัวโต แต่ที่นอนที่เย็นเยียบและเรียบตึงทำให้รับรู้ได้ว่าตัวเองนอนอยู่คนเดียวทั้งคืน  แล้วสัมผัสอ่อนโยนกับกลิ่นกายที่โอบล้อมอย่างคุ้นเคยเมื่อคืนก็แค่ความเพ้อฝันของเขางั้นเหรอ??…น้ำนิ่งหลับตาลงอีกครั้งอย่างอ่อนล้าวูบโหวงในใจ


      “อ้าว! ตื่นแล้วเหรอครับ”  เสียงติดจะแหบของหนุ่มลูกครึ่งรูปร่างสูงโปร่งท่าทางเซอร์ๆ เถื่อนๆ ขัดกับรอยยิ้มอบอุ่นกว้างขวางจนข้างแก้มเห็นเป็นรอยบุ๋มของลักยิ้มเสริมให้ใบหน้าน่ามองขึ้น  แต่ก็ไม่ได้ทำให้น้ำนิ่งรู้สึกคุ้นเคยกับชายหนุ่มคนนี้แต่อย่างใด

      “คะ คุณเป็นใคร”

      “อ๊ะ! ขอโทษนะมัวแต่ตะลึงลืมแนะนำตัวไปเลยเนอะ”  คานินก้าวเข้ามานั่งริมเตียงอย่างถือวิสาสะ ส่งยิ้มกว้างระคนเอื้อเอ็นดูกับท่าทางระแวดระวังของเด็กเลี้ยงเฮียสิงห์

      “พี่คานินนะครับ”

      “แล้วเป็น...”  หน้าหวานฉงนไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคนตรงหน้าเป็นใคร เกี่ยวอะไรกับเขา

      “กระต่ายของเสี่ยเซนครับ”  คานินบอกยิ้มๆ

      “ห๊ะ!!....”  นัยน์ตาหวานเบิกกว้างหัวสมองมึนงงกับสิ่งที่ได้ยิน เฮียนะเหรอ? กับผู้ชายที่ดูเป็นชายสุดๆ คนนี้น่ะนะ?  เมื่อไร? ยังไง? ทำไมไม่เคยบอก? ท่าทางแปลกประหลาดบ่งบอกอารมณ์ชัดเจนไม่ได้ของน้ำนิ่งมันน่ารักซะจนคานินอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบจับแก้มนุ่มสุดท้ายก็ขยี้ผมนุ่มอย่างเอ็นดู

      “เฮียมา..? ยะ อย่าบอกนะว่ากระต่ายที่เฮีย....” กว่าหลายนาทีน้ำนิ่งจึงเรียกสติกลับมาได้ครบถ้วน  หลุดเสียงละล่ำละลักคาดคั้นเอาความกระจ่าง

      “ตามนั้นเลยครับ”  คานินพยักหน้าหงึกๆ ประกอบคำตอบ แย้มยิ้มละมุนจริงใจให้น้ำนิ่ง

      “อย่างนี้...”  หน้าตาหัวหูที่แดงระเรื่อ นิ้วชี้ทั้งสองข้างยกขึ้นแตะบดบี้กันไปมา และคำถามที่ถามไม่เคยจบ ทำให้คานินปล่อยก๊ากด้วยความขัน

      “ฮ่า ฮ่า นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่เสี่ยขาดไม่ได้ครับ  ไม่ตอบอะไรล่ะ ถ้าไม่ลุกไปอาบน้ำแล้วไปกินข้าว นี่เลยเวลานานแล้วด้วยจะปวดท้อง แล้วถ้าเป็นแบบนั้นพี่จะโดนเสี่ยจัดหนักที่ไม่ดูแลน้องรัก ถึงจะเป็นสิ่งที่พี่โปรดปรานแต่ก็ยังไม่อยากจะโดนในระยะเวลาวันสองวันนี้นะครับ”  คานินตัดบทขำๆ ฉุดร่างเล็กให้ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปส่งถึงห้องน้ำ

      “แล้วสองคนนั้นล่ะฮะ..”

      “ไม่เอาไม่ตอบ อย่าอิดออดไปอาบน้ำครับ พี่รอที่ครัวนะเร็วๆ ด้วย”  คานินหันหลังออกไปจากห้องน้ำ ยินเพียงเสียงสั่งแว่วๆ ว่าเสื้อผ้าวางไว้ให้แล้วบนเตียง

      น้ำนิ่งยืนมองเงาตัวเองในกระจกตรงอ่างล้างหน้า ยกมือขึ้นแตะรอยดำขอบตาล่าง สั่นหัวจนผมกระจายนึกโกรธความดื้อรั้นของตัวเองชะมัด  ถอนหายใจพรืดถึงตรงนี้มันไม่มีประโยชน์ถ้าจะมาคร่ำครวญกับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว  อยากจะเจอภูมิรพีจัง อยากจะบอกว่าการโกรธกันมันเหนื่อยแล้วก็ไม่มีความสุขเลย เขาจะไม่ดื้ออีกแล้ว..ต่อไปนี้ว่าไงก็ว่าตามกัน น้ำนิ่งยอมรับกับตัวเองอย่างปลงๆ

      เมื่อตัดสินใจทำภารกิจต่างๆ เสร็จเรียบร้อย กำลังจะเดินไปห้องครัวตามสั่งของคานินก็พลันคิดได้ว่าตัวเองมีเพื่อนมาพักด้วยจึงเบนเข็มไปทางห้องนอนของบ๋อม เคาะประตูให้สัญญาณก่อนจะผลักเข้าไป แต่ภายในห้องว่างเปล่า จึงเดินไปที่ครัวเสียงพูดคุยผสานกับเสียงหัวเราะทำให้รู้ว่าทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่

      “อ้าว! มา มา นั่งนี่ครับ จะเอาอะไรเดี๋ยวพี่จัดการให้”  เป็นอีกครั้งที่คานินยื่นน้ำใจไมตรีให้อย่างกระตือรือร้น  ฝั่งตรงข้ามบ๋อมส่งยิ้มมาให้แล้วก็ก้มลงกินต้มรากบัวกับถั่วลิสงและกระดูกหมูอ่อนต่อ

      “น้ำเอาเหมือนบ๋อมก็ได้ฮะ”

      “ได้อยู่แล้ว อ๊ะมีมันฝรั่งบดด้วยนะเห็นเฮียบอกว่าเราชอบเอาด้วยไหม”

      “ไม่ดีกว่าฮะ”

      “งั้นรอแป๊บครับ”  คานินเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อตักต้มรากบัวให้น้ำนิ่ง

      “เมื่อกี้ไปหาที่ห้องไม่เห็นใจหายหมดนึกว่าบ๋อมกลับไปแล้วซะอีก ดีขึ้นหรือยัง” 

      “ดีขึ้นแล้ว นี่ว่าจะไปทำงาน แต่พี่เขาไม่ยอมบอกถ้าไม่กินข้าวก็ไม่ต้องไปไหนกันล่ะ ใครวะไม่เคยเห็น เผด็จการสุดยอด”  บ๋อมกระซิบเสียงเบาในตอนท้าย

      “พี่ชายอีกคน เขาอยู่กับเฮียเซนเพิ่งมาถึงเมื่อคืน...”  คานินยกถ้วยต้มรากบัวมาวางตรงหน้าน้ำนิ่ง ตามด้วยแก้วนมและน้ำฝรั่ง

      “ขอบคุณฮะ แล้วพี่?”

      “อ๋อไม่ต้องห่วงพี่กินพร้อมเสี่ยแล้วตั้งแต่เช้า เรานะกินเยอะๆ เถอะผอมบางแทบจะปลิวตามลม”  คานินยิ้มอ่อนโยนพร้อมหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ข้างๆ  นั่งมองดูสองหนุ่มกินอาหารยิ้มๆ

      “แล้วสองคนนั่นไปไหนฮะ”

      “เข้าปางไม้เห็นว่าที่นั่นมีปัญหานิดหน่อยเลยเข้าไปดูตั้งแต่เช้านู้นแน่ะ”

      “เหรอฮะ แล้วเฮียเขาจะอยู่กี่วันฮะ”

      “ก็คงสักเดือน แต่ก็เอาแน่เอานอนกับชายแก่อารมณ์แปรปรวนแบบนั้นไม่ได้หรอกบุ๊ปบั๊ปจะไปก็ไป แล้วน้ำกับบ๋อมนี่เพื่อนสนิทกันเหรอ”  คานินมองหน้าบ๋อมนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยถามออกมา

      “ครับ ก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถมอย่างนั้นใช่ไหมน้ำ”  บ๋อมเสหน้ามาพยักเพยิดกับน้ำนิ่ง  “จริงๆ มีอีกคนแต่เขาไม่ได้มาฝึกงานที่นี่ครับ”

      “อ๋อ แล้ววางแผนไว้รึยังว่าจบแล้วจะเรียนต่อหรือว่าทำงาน”

      “ผมอยากเป็นปาติซิเย่ร์ครับ แพลนไว้ว่าจะไปเรียนต่อจบแล้วผมอยากจะมีร้านขนมของตัวเองไม่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า  ส่วนไอ้น้ำพ่อมัน เอ้อ ผมหมายถึงพี่สิงห์น่ะครับ ก็คงจะให้กลับมาทำงานที่โรงเตี๊ยมใช่เปล่าวะน้ำ”

      “ประมาณนั้น”

      “อืม น่าสนใจทีเดียว ถ้าเปิดร้านเมื่อไรบอกเลยนะพี่จะเป็นลูกค้าอุปถัมภ์ตลอดชีพเลย”

      “ได้เลยครับ”

       “พี่คานินรู้จักกับเฮียนานแล้วเหรอฮะ เออ...คงไม่ว่านะฮะถ้าน้ำจะถาม”  น้ำนิ่งยิ้มหวาน สีหน้าแววตาเกรงใจแต่ความใคร่รู้มันตีตื้นจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป

      “อ๋อไม่เป็นไร ไม่ใช่ความลับระดับชาติอะไร ถามว่ารู้จักนานหรือยัง ก็เท่าอายุของพี่แหละ คือเราสองคนเป็นเด็กจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแถบชานเมืองของฮ่องกง สภาพตอนนั้นมันไม่ได้ดีนักหรอกแต่ก็ไม่ถึงกับแย่อะไร ก็เราเลือกไม่ได้ก็ต้องอยู่กันไป มันเป็นบ้านเด็กกำพร้าเล็กๆ ที่เลี้ยงตัวเองจากเงินบริจาคของคนในแถบนั้น  พี่เลี้ยงมีคนเดียวกับเด็กยี่สิบกว่าคน คุณแม่เลยให้พวกเด็กโตช่วยดูแลน้องเล็กๆ จับกันเป็นคู่ๆ

       ทั้งบ้านพี่โตๆ ทุกคนต้องมีน้องดูแลหนึ่งหรือสองคน  แต่เสี่ยคนเดียวไม่เอาใครเลย จนพี่เข้าไปเสี่ยเขาอาสากับคุณแม่ด้วยตัวเองว่าจะดูแลพี่ คุณแม่ยังปรามาสอยู่ในใจว่าจะไปรอดเหรอ? ทำได้เหรอ? แต่คนแบบนั้นฆ่าได้หยามไม่ไง เขาดูแลพี่อย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง จนคุณแม่ชมเปลาะเลย

             ความสุขมันก็มาเร็วเคลมเร็วยิ่งกว่าประกันซะอีก คิดว่าความสุขที่ได้รับมันจะจีรังยั่งยืนซะอีก ที่ไหนได้แค่ลืมตาตื่นเสี่ยหายอันตธารหายไปไหนก็ไม่รู้ในวันเกิดพี่ที่เสี่ยสัญญาว่าเราจะฉลองด้วยกัน ความดีใจถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกเหงาและเจ็บปวดของการถูกทิ้งซ้ำซาก ในหัวนี่เสี่ยงมันดังก้องอยู่ตลอดเวลาเลยว่า เราเป็นตัวอะไรกัน สุดท้ายความไว้วางใจความเชื่อใจคนมันก็เหือดหายไปเอง มันแย่มากสำหรับเด็กอายุแค่นั้น แล้วพอโตจึงมารู้ทีหลังว่าเสี่ยถูกทำร้ายจนสมองเสื่อม กว่าจะจำอะไรได้ก็หลายปี เสี่ยเขาตามหาพี่จนเจอแล้วเรากลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง”

      “โอ้โหยาวนานเป็นหากาพย์เลย  ภูมิก็เลี้ยงน้ำมาตั้งกะตีนเท่าฝาหอยจนเดี๋ยวนี้ฝาหอยถูกน้ำเหยียบซะแหลกละเอียดก็ไม่ต่างจากพี่คานินนัก แต่ผิดหน่อยตรงที่น้ำไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ตัวเองเป็นใคร เพราะฉะนั้นภูมิจึงเป็นทุกอย่างในชีวิตน้ำมาตลอด ถึงจะไม่เคยห่างกันแต่น้ำว่าความรู้สึกมันต้องแย่มากแน่ๆ”

      “หนักหนาสาหัสเอาการอยู่เหมือนกัน ด้วยความที่ยังเด็กมากๆ จะให้พี่ไปตามหามันก็มืดแปดด้าน แต่ถึงจะอย่างนั้นพี่ก็รอมาตลอดนะ พอกลับมาเจอกันอีกครั้งเสี่ยเขาเอาความสุขมาใส่ในกำมือจนเต็มล้นจะปล่อยให้อยู่ในมืออย่างนั้นโดยไม่ใช้ประโยชน์จากมันเลยก็เสียเปล่า เรื่องอะไรพี่จะทุกข์ใจอีก พี่ไม่แคร์ด้วยว่าคนอื่นจะคิดยังไง หนึ่งเพราะเราไม่มั่นใจว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง จะได้ตื่นรึเปล่าก็ยังไม่รู้ สองคนของเราเขารักเรา เราก็รักเขาทุกอย่างลงตัว เพราะฉะนั้นทำไมต้องสนพี่ทำทุกวันที่ได้ลืมตาตื่นให้ดีที่สุด อยากทำอะไรก็ทำเลยถ้ามันจะทำให้ทั้งเราและเขามีความสุขนะน่ะ คนๆ หนึ่งกว่าจะรักกันได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญต้องผ่านอุปสรรคมากมายบางคู่ก้าวผ่านมันไปได้ความรักก็ยิ่งแนบแน่น คู่ไหนที่ข้ามไม่พ้นสะดุดล้มแล้วต่างคนยังจะต่างลุกขึ้นยืนเองอีกนั่นยิ่งแย่ อย่าเอาทิฐิมาสิ่งกางกั้นความสุขเลย วันนี้ยังรักกันมันดีที่สุดแล้ว"

      น้ำนิ่งพยักหน้าหงึกเห็นด้วยทุกประการแววตาทอประกายของความสุขเมื่อคิดถึงความรักมากมายที่มีต่อภูมิเต็มล้นอยู่ในใจ คานินเองมีเพียงรอยยิ้มอบอุ่นและมือที่ตบลงบนหัวน้ำนิ่งเบาๆ

       บ๋อมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกกันออกจากวงสนทนากลายๆ แต่ความรู้สึกนั่นก็ยังบางเบาเทียบไม่ได้เลยกับความอิจฉาที่หนักอึ้งในใจมืดมัวของตัวเอง น้ำนิ่งไม่เคยต้องพยายามอะไรเลยแต่ก็ได้ทั้งความรัก ความห่วงหวง หรือแม้แต่ความสุขมากมายมาไว้ในมืออย่างง่ายๆ แล้วเขาล่ะไม่เคยมีสักครั้ง พ่อแม่มัวแต่หาเงินเพื่อเติมต่อหน้าตาเกียรติยศทางสังคม พอเจอคนที่ใช่ก็มอบความรักให้หมดใจ พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครอบครอง แต่ต่อให้พยายามสักแค่ไหน คนนั้นก็ไม่เคยหันมอง สุดท้ายเขาเป็นไปได้ก็แค่สิ่งบำบัดความใคร่สำหรับคนนั้น  เข้าหาเพราะผลประโยชน์ต่างตอบแทน .มันน่าสมเพชน่าขยะแขยงยิ่งกว่าอะไรรู้ทั้งรู้แต่ก็ดีใจทุกครั้งที่คนนั้นเรียกหา...หล่อหลอมใจที่เจ็บปวดให้อยู่ได้ด้วยความสุขจอมปลอมนั่น...อย่างน่าสมเพช

      “เออ บ๋อมน้ำจะไม่ไปฝึกที่โรงแรมนั่นแล้วนะบ๋อมก็เหมือนกันย้ายมาทำที่แทนก็แล้วกันโอเคเปล่า”  เสียงเรียกของน้ำนิ่งดึงสติของบ๋อมกลับสู่ปัจจุบัน รีบปรับสีหน้าให้ปกติ ทำเป็นก้มลงมองชามต้มรากบัวตรงหน้าชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแสร้งยิ้มสดใสให้น้ำนิ่ง

      “อย่างนั้นก็ได้ มึงตัดสินใจไปแล้วนี่หว่ากูจะพูดอะไรได้ แต่ยังไงก็ต้องไปบอกทางนั้นให้รู้นะ”

      “ไม่ต้องครับเด็กๆ พี่จัดการให้เรียบร้อยแล้ว”  นี่สิเผด็จการของจริง บ๋อมจำต้องยอมรับโดยดุษฎีไร้ข้อโต้แย้งใดๆ หลุดออกมา

      “ไหนๆ วันนี้ก็ฟรีไม่ต้องทำงานแล้ว เที่ยวสักวันไหม”  น้ำนิ่งหันไปบอกเพื่อนรักเสียงสดใส

      “เอาที่คุณมึงสบายใจก็แล้วกัน กูยังไงก็ได้” 

      “พี่คานินเอาด้วยไหม”

      “ก็อยากอยู่หรอกแต่เฮียสิงห์สั่งไว้ห้ามออกจากไร่ไม่ใช่รึไง แล้วจะไปไหนได้”

      “ไม่ได้จะออกจากไร่สักหน่อย แค่ท้ายไร่ฝั่งโน้นเอง เฮียไม่ได้ล่ะสิว่ามันมีน้ำตกอยู่ไปกินข้าวป่า ตกปลา ตั้งแคมป์ไฟนอนดูดาวกันสักคืนดีไหม ถ้าไม่อยากนอนเต้นท์ก็มีบ้านพักอยู่”

      “เยี่ยม!! แค่คิดพี่ก็ชักจะสนุกแล้วนะนี่ ไม่ได้ทำแบบนี้มาตั้งแต่เรียนจบ ชวนเสี่ยไปตั้งแคมป์หลายทีแล้วนั่นก็ไม่ว่างตลอด แต่ว่าถ้าค้างคืนเฮียสิงห์จะไม่ว่าเอาเหรอ”

      “ก็เดี๋ยวน้ำโทรบอก ไม่มีอันตรายหรอกน่าอยู่ในไร่นะให้พี่เมืองไปด้วย อยู่ใช่ไหม”

      “อยู่ งั้นเดี๋ยวพี่ทำอาหารว่างง่ายๆ ไปรองท้องด้วยดีกว่า”

      “ผมช่วย”  บ๋อมอาสาอย่างกระตือรือร้น แววตาซุกซนเหมือนเด็กชายเล็กๆ โชนแสงแทนที่แววตาเศร้าๆ อย่างเห็นได้ชัด น้ำนิ่งค่อนข้างโล่งใจที่เพื่อนปล่อยวางซะบ้างจึงหลุดยิ้มกว้างออกมา

      “พี่คานินไม่ต้องเอาไปเยอะนะ ที่โน้นมีโรงครัวเพราะเราต้องทำเลี้ยงแขกที่ชอบไปตั้งแคมป์อยู่แล้ว”

      “โอเค้..”

      “พี่เมือง พี่เมืองอยู่ไหนเนี่ย”  น้ำนิ่งตะโกนเรียกแฝดพี่เสียงดังลั่น รอไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำกรอบประตูห้องครัวก็ปรากฏร่างสูงของเมืองแมน

      “น้ำต้องการอะไร”

      “พี่เมืองให้คนไปเตรียมบ้านพักแล้วก็พวกอุปกรณ์ตั้งแคมป์ทีนะฮะ พวกเราลงมติกันว่าจะไปตั้งแคมปส์ท้ายไร่กันคืนนี้ พี่เมืองไปกับน้ำนะ” 

      “เอางั้นเหรอ แล้วบอกเฮียหรือยัง”

      “เอางั้นแหละ อย่าขัดใจได้ไหมเล่า  เดี๋ยวน้ำจะโทรบอกภูมิเอง”

      “ก็ได้ ก็ได้ จะไปตอนไหนเรียกก็แล้วกัน”

      “คร้าบบบ”











TBC.

ปล.อารมณ์เรื่อยๆ มาเรียงๆ ก่อนจะพะบู๊ดีรึเปล่า??  เจอข้อผิดพลาดอยากจะแนะนำอะไรก็แปะไว้นะครับยินดีรับไปพิจารณาแก้ไขกันต่อไป  ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมานะครับ..:)



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-01-2016 03:40:41 โดย WiChy »

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
Re: เด็กเลี้ยง_EP.31_อารมณ์ P.8_3012016
«ตอบ #219 เมื่อ31-01-2016 10:36:39 »

บ๋อมเริ่มจะทะแม่งๆแล้ววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เด็กเลี้ยง_EP.31_อารมณ์ P.8_3012016
« ตอบ #219 เมื่อ: 31-01-2016 10:36:39 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: เด็กเลี้ยง_EP.31_อารมณ์ P.8_3012016
«ตอบ #220 เมื่อ31-01-2016 16:13:45 »

เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: เด็กเลี้ยง_EP.31_อารมณ์ P.8_3012016
«ตอบ #221 เมื่อ31-01-2016 19:49:29 »

เมื่อไหร่จะดีกันเสียทีนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: เด็กเลี้ยง_EP.31_อารมณ์ P.8_3012016
«ตอบ #222 เมื่อ31-01-2016 21:36:39 »

งอนกันไปงอนกันมา  :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
Re: เด็กเลี้ยง_EP.31_อารมณ์ P.8_3012016
«ตอบ #223 เมื่อ31-01-2016 22:27:36 »

 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:บ๋อมน่าสงสารที่สุดเลยอะ :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
เด็กเลี้ยง




- 32 -

เดินทางไกล [1]









      วันนี้ท้องฟ้าสีครามช่างสดใสแต่จิตใจน้ำนิ่งหม่นหมอง รู้สึกเศร้าแต่พูดกับใครไม่ได้ ไม่อาจปฏิเสธกับสิ่งที่ตัวเองกระทำ ไม่มีสิทธิ์จะทำหน้าเศร้าโศกให้ใครเห็น จำต้องกล้ำกลืนปั้นหน้าแสร้างว่ามีความสุขเสียเหลือเกิน  ทั้งๆ ที่เฝ้ารอโทรศัพท์อย่างกระวนกระวายใจ 

       สองคนนั้นหัวเราะตะโกนกันโหวกเหวกริมลำธารตื่นเต้นทุกครั้งที่ปลาติดเบ็ด  ผ่านไปจนเกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ตอบกลับมาจากคนที่ผมส่งทั้งข้อความไปหา ไม่มีการเปิดอ่าน กระหน่ำโทรหาตั้งแต่ออกมาจากบ้านจนมาถึงลำธารท้ายไร่เกือบจะร้อยสายแต่ทุกสายรอจนสัญญาณตัดไปเองทุกครั้ง....

       ผมรู้ว่าไม่ควรรบกวนเวลาทำงานแต่ถ้าจะทำเฉยเมยเหมือนเลยตามเลยแบบนี้ ผมคงจะเป็นบ้าตาย จึงตัดสินใจส่งข้อความไปหาอีกครั้ง

      ‘ขอโทษ เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ ภูมิโกรธหนูนานเกินไปแล้วนะ สาบานต่อพระเจ้าหนูสำนึกแล้วจริงๆ รู้สึกแย่ไปหมด’

      ‘จะไม่ยกโทษให้จริงๆ เหรอฮะ...’

      ‘รับโทรศัพท์หนูหน่อยขอร้อง...’

      ‘ตกลงเราจะไม่คุยกันแล้วใช่ไหม’

      ‘หนูรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง แต่ช่วยรับฟังอีกสักครั้งได้ไหมฮะ’



      “ไอ้น้ำทำอะไรอยู่วะ เขามาเที่ยวกันไม่ใช่ให้มึงมานั่งเล่นโทรศัพท์ มาช่วยกูก่อไฟเผาปลาเลยมึง”  บ๋อมยกมือเท้าสะเอวทำหน้าบึ้งอยู่ริมลำธาร พร้อมตะโกนเร่งเร้าให้ไปช่วยกันทำอาหาร

      “เออ ๆ แป๊บทำไปก่อนเดี๋ยวไปน่า”  น้ำนิ่งโบกมือสะบัดให้เพื่อนทำไปก่อน ส่วนตัวเองก็ก้มลงพิมพ์ข้อความส่งไปอีกครั้ง


      ‘เกลียดจนไม่อยากจะคุยกันแล้วใช่ไหม’

      ‘อ่านแล้วทำไมไม่ตอบ โกรธจริงๆ เหรอ ขอโทษ...อย่าทำแบบนี้’

      ‘ขอร้อง...อย่าเงียบแบบนี้ได้ไหม หนูใจไม่ดีนะ’

      ‘เข้าใจแล้ว...’

      ‘ขอโทษถ้าทำให้รำคาญ...ขอโทษอีกครั้งที่เซ้าซี้และทำตัวน่าเบื่อหน่าย’



      หลังจากที่ส่งข้อความสุดท้ายไป น้ำนิ่งจ้องโทรศัพท์นิ่งนาน จนแล้วจนรอดเกือบชั่วโมงข้อความนั้นก็ยังไม่ถูกอ่าน คงโกรธจริงๆ ร่างบางยิ่งหงอยหนัก กำลังคิดจะปิดเครื่อง แต่เสียงสัญญาณเตือนข้อความเข้าดังขึ้นก่อนทำให้ลนลานมือไม้สั่นไปหมดเกือบทำโทรศัพท์หลุดมือ กดเปิดอ่านข้อความมันทั้งดีใจและห่อเหี่ยวใจไปพร้อมกัน

      ‘ไม่ได้โกรธหรือรำคาญ ที่ไม่อยากตอบก็เพราะเห็นได้ชัดว่าคนบางคนก็แค่ง้อตามหน้าที่ อย่าทำเลยแบบมันเหนื่อย  ถ้าใจยังไม่พร้อมที่จะคุย ไม่พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของคนที่หวังดี จะให้คุยตอนนี้หรือตอนไหนค่ามันก็คงจะเหมือนเดิม ที่จริงห่างกันสักพักก็คงดีต่างฝ่ายจะได้คิดทบทวนตัวเองว่าเราทั้งคู่บกพร่องกันตรงไหนบ้าง’

      ‘ไม่เอาไม่ให้ห่าง อย่าทำแบบนี้กับหนู ภูมิใจร้ายเกินไปแล้วนะ ไม่เคยคิดว่าที่ง้อนี่เป็นหน้าที่สักครั้ง แต่ง้อเพราะภูมิเป็นคนสำคัญ ร่างกายที่ขาดลมหายใจจะอยู่ได้ยังไงกัน..?’



      เงียบ!!!......ไม่มีการสัญญาณตอบรับจากภูมิรพีทั้งที่อ่านแล้ว น้ำนิ่งรู้สึกใจแกว่งไกวราวจะหลุดจากขั้ว หมดหวังแล้วใช่ไหม...แต่ยี่สิบนาทีถัดมาข้อความที่ตอบกลับมาทำให้ร่างบางใจชื่นขึ้นมาทันที

       ‘จะกลับถึงไร่ประมาณหกโมงเย็น ค่อยคุยกัน’  น้ำนิ่งส่งอีโมชั่นดีใจจนน้ำตาไหลพรากกลับไป

      ‘จะรอ อ๊ะหนูอยู่ที่บ้านพักท้ายไร่นะ’

      ‘ไปทำอะไรที่นั่น’

      ‘พาสองหนุ่มมากินข้าวป่า ตกปลา ดูพระอาทิตย์ตกดิน แล้วจะตั้งแค้มป์ไฟ อย่าเพิ่งโกรธนะ งานนี่เฮียเซนผิดคนเดียวเลยทิ้งภาระการเลี้ยงกระต่ายมาให้น้ำเต็มๆ’

      ‘ยังไม่ได้ว่า’

       ‘ภูมิ…’

      ‘ว่า...’

       ‘เรานอนดูดาวด้วยกันนะ’

      ‘อืม...เมืองไปด้วยหรือเปล่า’

      ‘มาฮะพร้อมชายฉกรรจ์อีกสามคน ชายฉกรรจ์เหล่านั้นกำลังตั้งเต้นท์ กระต่ายเฮียเซนกระโดดเหย่งๆ อยู่ริมลำธารน่าจะตกปลาตัวแรกได้ บ๋อมถูกใช้ให้ก่อไฟเป่าซะหน้าดำหน้าแดงตลกชะมัด’

      ‘ตัวเองทำอะไร เอาเปรียบเพื่อนนะเรา’

      ‘ทำไมจะไม่ทำนี่นะงานใหญ่เลย’

      ‘หึ หึ ก็อู้น่ะแหละ ไปช่วยเพื่อนไป๊ แล้วอย่าไปไหนคนเดียว หรือถ้าจะไปก็ให้มีคนตามไปด้วยเข้าใจนะ จะรีบกลับ’

      ‘ครับผ้มม’
  น้ำนิ่งทำท่าวันทยหัตถ์ทั้งๆ ที่ภูมิรพีไม่มีทางเห็น นั่นโทษสารอดรีนาลีนที่หลั่งออกมาเพราะความดีใจทำให้สมองคนเราสั่งปฏิบัติการออกไปโดยไม่คิด

      ............................................



      น้ำนิ่งกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งมองไปทางไหนก็ดูดีไปหมดหลังจากเคลียร์ปัญหาครอบครัวได้ลงตัว  เพิ่งจะสังเกตว่าท้องฟ้าวันนี้สวยจริงๆ นั่นแหละ  แม้แดดจะจ้าแต่ลมหุบเขาก็ช่วยระบายความร้อนทำให้เย็นสบาย ใบไม้ใบหญ้าสีเขียวนั่นอีกสบายตาชะมัด หน้าบานเป็นจานดาวเทียมเพราะความดีใจโล่งใจ พี่คนงานตั้งเต้นท์เสร็จแล้ว ต่างแยกย้ายกันไปเฝ้าตามจุดต่างๆ  ส่วนเมืองแมนกับคนงานอีกคนเดินตรวจความเรียบร้อยอยู่ไกลๆ ตรงชายป่าฝั่งโน้น

      “น้ำนิ่งงงง...วู้!! ทำอะไรมานี่เร็วววววว โว้ โว้ ปลากินเบ็ดพี่แล้ว มาดู มาดู” 

       คานินกระโดดโลดเต้นดีใจราวกับเด็กผู้ชายซนๆ ที่ได้รับชัยชนะจากเกมส์ที่เล่นอยู่ มือสาวชักลอกสายเบ็ดเป็นระวิง ปลาที่ติดเบ็ดตัวโตพอสมควรมันดิ้นรนสุดแรงเกิดให้หลุดพ้นไปสู่อิสรภาพ

       ดูๆ ไปปลาเคราะห์ร้ายนั่นก็ช่างเหมือนคนเราดีๆ นี่เอง ความละโมบทำให้รีบตะครุบเหยื่อชิ้นโตทันทีโดยไม่คิดไตร่ตรองว่าสิ่งที่ตัวเองตะครุบไว้ในปากมันอาจนำภัยมาสู่ตัวเองจนกลายเป็นเหยื่อซะเอง ทฤษฎีปลาใหญ่กินปลาเล็กน่าจะเหมาะกับสถานการณ์นี้ที่สุด

      บางทีน้ำนิ่งก็คิดว่ามนุษย์นั่นเป็นเพียงแค่สัตว์ร้ายชนิดหนึ่ง ถึงแม้จะมีปัญญา มีวิทยาการความเป็นอยู่ล้ำหน้ากว่าสัตว์ สามารถประดิษฐ์เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกให้ตนได้มากกมายเพียงใด แต่ในที่สุดแล้วเทคโนโลยีและวิทยาการทั้งหมดทั้งสิ้น ก็เป็นเพียงเครื่องมือในการตอบสนองต่อการดิ้นรนต่อสู้หากินเพื่อความอยู่รอด เพื่อการแสวงหาความสุขความอิ่มทางวัตถุ และเพื่อการสืบเผ่าพันธุ์ต่อไป!!...

       ฤามนุษย์เป็นได้เพียงแค่สัตว์ร้ายชนิดหนึ่งในสังคมกว้างใหญ่เท่านั้นจริงๆ  เอ๊ะ!! แล้วเขาจะคิดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมก็ไม่รู้สินะ แค่ปลาดิ้นหาอิสรภาพก็ทำให้เขาคิดไปใหญ่โตจึงส่ายหัวอย่างระอาตัวเอง ก่อนจะยิ้มร่าเดินไปหาคานินที่กวักมือเรียกอยู่ไหวๆ

      “ไหนๆ ว้าว! ตัวมันใหญ่กว่าที่น้ำตกได้ครั้งที่แล้วซะอีก”

      “นี่ใคร คานินมือเบ็ดพิฆาตนะจะบอกให้”

      “อ้าว!! ไหนว่าเป็นกระต่าย??”

      “นั่นก็ด้วยฮ่า ฮ่า ช่างยอกย้อนนะเรา มาช่วยพี่ปลดตะขอเบ็ดก่อนเร็วสิ”

      “มาๆ เดี๋ยวน้ำทำเอง”

       น้ำนิ่งรับคันเบ็ดไปจัดการปลดตะขอเบ็ดออกปลาหย่อนใส่ถังซึ่งมีปลาอยู่ในนั้นสองสามตัว คานินเกี่ยวเหยื่อใส่ตะขอแล้วหย่อนลงไปในน้ำอีกครั้ง นั่งรออย่างใจเย็น น้ำนิ่งเดินไปดูบ๋อมที่ก่อไฟสำหรับเผาปลาเสร็จแล้ว กำลังจัดการขอดเกล็ด ล้างคาวปลา โอบเกลือไปตามตัวปลาจนทั่วห่อด้วยกระดาษฟรอยด์และพอกโคลนทับอีกชั้น เสร็จแล้วจึงเอาไปเผาที่เตาหลุมดินที่พี่คนงานทำให้อย่างง่ายๆ

      “ให้น้ำทำอะไร”

      “มึงไปทำน้ำแป๊ะซิพี่คานินอยากจะลองกินกูโม้ไปเยอะว่ามึงทำอร่อย อย่าให้เสียชื่อนะโว้ย”

      “โอเค”  แล้วสองเพื่อนรักก็หมกมุ่นอยู่กับการทำน้ำจิ้มและเผาปลาอย่างเมามัน บางครั้งมีการหยอกเย้าโยนนั้นนู้นนี่ใส่กันราวกับเด็กชายเล็กๆ เสียงหัวเราะดังก้องริมลำธาร

      ................................



      ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากต่อทุกชีวิต ชีวิตกับธรรมชาติต่างก็มีความเกี่ยวเนื่องกัน เชื่อมโยง และผูกพันกันอยู่ตลอดเวลา ในฐานะที่ธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมต่างๆ เป็นปัจจัยที่จะเกื้อกูลให้สิ่งมีชีวิตเกิดความสมดุลขึ้น

      ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ สายน้ำ ดิน ฟ้า อากาศ และสัตว์ป่า ล้วนมีคุณูปการต่อชีวิตมนุษย์ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับร่างกายและจิตใจ ถ้าหากว่าธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ถูกทำลายลงไป ก็พลอยนำความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นกับชีวิตของมนุษย์เองด้วยเช่นกัน

      ในความเป็นจริง มนุษย์กับธรรมชาติเป็นความสัมพันธ์ที่มิอาจจะแบ่งแยกออกจากกันได้ เพราะมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และธรรมชาติเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์ การสร้างทัศนคติที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นกับธรรมชาติ การมองไม่เห็นคุณค่าของธรรมชาติ หรือการมองธรรมชาติเป็นแค่เพียงเหยื่ออันโอชะที่ตนเองจะพึงกอบโกยเอาผลประโยชน์จากมันเพียงอย่างเดียวแบบหน้ามืดตามัว โดยไม่คำนึ่งถึงผลร้ายมี่จะตามมาในอนาคต จึงเป็นการเข้าใจที่ผิดอย่างรุนแรง

       ปัจจุบันนี้มีปัญหามากมายที่เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์ได้กระทำต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำเน่าเสีย มลภาวะอากาศเป็นพิษ น้ำท่วม ฝนกรด ฝนแล้งหรือตกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล และภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน เหล่านี้ล้วนเกิดจากน้ำมือของมนุษย์เอง ที่พากันประทุษร้ายและทำลายธรรมชาติในรูปแบบต่าง ๆ โดยขาดการพิจารณาไตร่ตรองและขาดการยั้งคิด จนนำมาซึ่งความเดือดร้อนอย่างที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

      ตราบใดที่มนุษย์ยังมองไม่เห็นถึงความสำคัญของธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมที่มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงและสัมพันธ์กับสรรพชีวิต ยังมองทุกอย่างโดยความแปลกแยก และมองเห็นว่าเป็นเพียงทรัพยากรที่ตนเองจะพึงครอบครองกอบโกยเพื่อเอาผลประโยชน์ ตราบนั้นมนุษย์ก็คงจะต้องพบกับความเจ็บปวดและก้มหน้ารับผลกรรมที่ตนเองได้ร่วมกันกระทำขึ้นโดยไม่มีวันสิ้นสุด อย่างไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้

      ผืนป่าที่เห็นอยู่โดยรอบบริเวณนับว่ายังสมบูรณ์ถึงที่นี่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์แต่ครอบครัวจิโอวาดินี่ก็อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้แทบจะไม่บุบสลายเกือบเก้าสิบห้าเปอร์เซนต์ยังคงความเป็นผืนป่าดั้งเดิม ทั้งนกทั้งผีเสื้อหลากหลายสายพันธุ์บินให้ว่อน ฝั่งตรงข้ามเขาเห็นกวางสองแม่ลูกกำลังกินน้ำ ต้องขอบคุณครอบครัวนี้ที่ไม่ทำลายธรรมชาติที่สวยงามไป แม้ผืนป่านี้จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งแต่ก็ถือเป็นก้าวที่กล้าที่จะขยายผลต่อไปยังผืนป่าอื่นๆ ให้กว้างออกไป

       แสงวูบสลัวลงฉับพลันจากเงาสูงใหญ่ที่ทาบทับข้างหลังทำให้คานินชะงักความคิดคำนึงของตัวเอง เอี้ยวตัวกลับไปมองแล้วต้องร้องลั่นด้วยไม่คิดว่าจะเจออีกคนที่นี่ได้

      “อ้าว! เฮ้ย!! เฮียไป๋มาได้ไง”

      “เราก็เหมือนกันมาไกลขนาดนี้เชียว”

      “ผมลาพักผ่อนไงเฮียจำไม่ได้เหรอ ไม่ได้หนีงานมานะ เอ๊ะหรือว่าเฮียตามมาสอดส่องพฤติกรรมผม”

      “ใช่ที่ไหนล่ะ เฮียมาสัมมนาทางวิชาการกับสมาคมสื่อสิ่งพิมพ์ระดับภูมิภาคเอเชียต่างหาก  ไม่อยากจะเสียเที่ยวเลยถือโอกาสหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ไปเขียนคอลัมน์ด้วย ลองเสริ์ชหาข้อมูลจากอากู๋ที่นี่มันเด้งขึ้นมาเป็นที่แรก ดูรายละเอียดแล้วน่าสนใจเลยลองเดาสุ่มมา นี่กำลังจะเดินไปหาผู้จัดการ แต่ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวทางนี้เลยเดินมาดู แล้วก็โป๊ะเซะ!! มันวิเศษมากที่เจอคานินที่นี่ เอาจริงๆ เฮียกำลังต้องการคนรู้พื้นที่ที่พอจะแนะนำสถานที่สำคัญภายในไร่ได้น่ะ”

      “ไม่ไหวละม้างงเฮีย ผมก็เพิ่งจะเคยมาที่นี่ครั้งแรกเหมือนกัน แล้วเฮียพักที่โรงเตี๊ยม หรือเรือนที่นี่”

      “พักที่เรือนหลังที่สามฝั่งโน้น  วันนี้ท้องฟ้าโปร่งสวยเลยกะว่าจะเก็บภาพบรรยากาศทั่วไร่เราพอจะหาคนรู้พื้นที่ให้เฮียได้ไหมล่ะ เวลากระชั้นเข้ามาแล้วให้ตายเถอะเฮียไม่อยากจะพลาดโอกาสดีๆ อย่างนี่เลย ช่วยหน่วยนะคานิน” 

       สีหน้าที่แสดงความกังวลร้อนใจและน้ำเสียงเครียดเขม็งตอนท้ายของเฮียไป๋ซานทำให้คานินรู้สึกแปลกแปร่ง จึงมองสบตาคนตรงหน้าแต่ก็ไม่เห็นอาการส่อพิรุธอะไร ด้วยสปิริตต่องานแม้จะลาพักร้อน คานินกลับรู้สึกละอายใจและร้อนตัว ขนาดเฮียเป็นถึงเจ้าของบริษัทในเวลาที่สมควรพักผ่อนยังคิดจะทำงานไปด้วยแล้วเขาเป็นแค่ลูกน้อง…

       คานินยุ่งยากใจหน้านิ่วคิ้วขมวดหันซ้ายหันขวาแล้วไปสะดุดเข้ากับร่างของน้ำนิ่งซึ่งกำลังง่วนทำอาหารอยู่ไม่ไกล

      “ผมคิดออกล่ะงานนี้คงไม่มีใครช่วยเฮียได้ดีกว่าเจ้าของไร่หรอกครับ เฮียเชิญทางนี้เลย”

      “น้ำนิ่ง บ๋อม มานี่หน่อยพี่อยากจะแนะนำให้รู้จักเจ้านายพี่”  ทั้งคู่วางมือจากสิ่งที่กำลังทำลุกเดินยิ้มเป็นมิตรไปหาคานิน
   
      “น้ำ บ๋อม นี่คุณไป๋ซาน เจ้านายพี่  เฮียนี่น้ำนิ่งเจ้าของไร่  ส่วนนี่บ๋อมเพื่อนของน้ำนิ่งครับเฮีย”

      “สวัสดีฮะคุณไป๋ซาน / สวัสดีครับคุณไป๋ซาน ยินดีที่ได้รู้จัก”

      “โอ๊ะ อย่าเรียกคุณเคิ้นอะไรเลยมันดูเป็นทางการแล้วเกร็งๆ ยังไงไม่รู้ เรียกพี่หรือเฮียเหมือนคานินก็ได้เป็นกันเองดี”

      “เฮียมาเที่ยวหรือมาทำงานฮะ”  น้ำนิ่งถามขึ้น

      “ทั้งสองอย่างครับ ผมมาสัมมนาทางวิชาการสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งจบไปเมื่อวานที่โรงแรม… เอาจริงๆ ที่ยังไม่กลับเพราะผมหลงเสน่ห์และประทับใจอะไรหลายๆ อย่างที่นี่เลยกะจะเขียนคอลัมน์เปิดประสบการณ์ใหม่กับท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์แบบดั้งเดิม แต่ปัญหาคือผมมีเวลาแค่วันนี้กับพรุ่งนี้อีกครึ่งวัน ถ้าจะให้เดินท่อมๆ หาแหล่งเก็บภาพบรรยากาศเองคิดว่าคงไม่ทัน แล้ววันนี้ท้องฟ้าสวยมากแดดก็เป็นใจถ้าจะปล่อยผ่านไปก็น่าเสียดายมาก เลยกะจะหาคนพอรู้พื้นที่ช่วยแนะนำ เออน้องน้ำพอจะอนุเคราะห์ได้ไหมครับ”

      “เออ น้ำขอออกตัวก่อนว่าถึงจะเป็นไร่ตัวเอง แต่ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่จึงไม่ค่อยชำนาญทางนักน้ำเกรงว่า...”

      “อย่ากังวลเลยครับ ถ้าไม่สะดวกเอาแค่บริเวณรอบๆ นี้ก็น่าจะได้ ถ้าไม่ได้วันนี้ผมเสียดายแย่เลยทุกอย่างมันดูเหมาะและลงตัวที่สุด  ถ้าเป็นวันอื่นความรู้สึกมันก็คงไม่เหมือนกับวันนี้อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์  อย่าว่างั้นว่างี้เลยนะนี่ผมก็อดใจไม่ไหวแอบเก็บภาพไปแล้วส่วนหนึ่งหวังว่าคงไม่ว่ากันนะครับ” 

       เฮียไป๋ซานยื่นกล้อง DSLR ยี่ห้อดังส่งให้น้ำนิ่งดู ภาพของพวกเขาสามคนหลายสิบภาพในอิริยาบถต่างๆ ถูกถ่ายทอดแบบ Portrait ผ่านมุมมองสายตาของเฮียไป๋ซานมันดูเรียลมากๆ จนคิดว่าตัวเองแสดงอารมณ์และแววตาแบบนั้นออกมาด้วยเหรอน่าแปลกใจจริง อีกสองคนเห็นอาการของน้ำนิ่งเลยชะโงกหน้าเข้ามาดู

      “เอ้ย!! เฮียทำแบบนี้แสดงว่ามาส่องพฤติกรรมผมจริงๆ น่ะสิ ก็บอกแล้วไม่ได้หนีงานลามาถูกต้องตามระเบียบเหอะ  แต่จะว่าไปฝีมือถ่ายภาพของเฮียแมร่งเจ๋งจริงยิ่งดูยิ่งขนลุกยังกับภาพดูดวิญญาณ คือไม่เข้าใจจะเรียลไปไหนถามจริง นี่อีกจะซูมให้เห็นตีนกาที่เหยียบหน้าเลยรึไง ผมรู้ ผมสัมผัสได้ ขอร้องเฮียไม่ต้องตอกย้ำ เข้าใจนะ”

      “ก็พูดเกินไป แต่ไม่ใช่แบบที่เราพูดหรอก แค่เห็นแล้วมันอดไม่ได้ที่อยากเก็บความรู้สึกเหล่านั้นไว้ ไม่อยากพลาดอย่างที่บอก ผมขอโทษนะครับน้องน้ำ น้องบ๋อม ที่ไม่ได้บอกกล่าวก่อน”

      “โอ๊ะ! ไม่เป็นไรหรอกครับ ภาพสวยพอให้อภัยได้ฮะ ไม่คิดว่าทิวทัศน์ธรรมดาแบบนี้พอถ่ายออกมาแล้วมันให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปเลย  เอ..ถ้าจะถ่ายบริเวณรอบๆ มันจะตรงกับคอนเซ็ปที่เฮียแพลนไว้เหรอฮะ”

      “เวลามันน้อยนะครับ แต่อยากจะได้บรรยากาศของวันนี้จริงๆ รบกวนด้วยนะครับ คานินเขาจะอยู่อีกหลายวัน ผมจะให้เขาเก็บภาพบรรยากาศส่วนอื่นๆ ให้...นะครับขอร้อง”

      “ก็ได้ฮะ นี่ก็เที่ยงกว่าแล้วด้วยคงจะไปได้แค่น้ำตก  กับไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ม่อนโอบตะวันเท่านั้น  แล้วค่อยกลับมาแค้มป์ไฟดูดาวกันตอนเย็นดีไหมฮะเฮียไป๋”

      “โอ้!! เยี่ยมเลยครับ ขอบใจที่น้องน้ำให้ความอนุเคราะห์”

      “ยินดีฮะ เฮียเป็นแขกของเราที่สำคัญยังเป็นเจ้านายของพี่คานินด้วย น้ำเป็นเจ้าของพื้นที่ช่วยได้ก็ต้องช่วยอยู่แล้วฮะ อ๊ะนี้ก็เที่ยงแล้วเชิญเฮียทานข้าวกับเรานะฮะ”

      “ไม่เกรงใจนะครับ”





มีต่อ....

ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0

      “งั้นเชิญทางนี้เลยครับ”  น้ำนิ่งเดินนำไปยังเสื่อที่ปูอยู่ใต้ต้นไม้ เมืองแมนกำลังจัดวางสำรับอาหาร เครื่องดื่มและผลไม้ เมื่อทุกคนนั่งประจำที่พี่เขาก็เลื่อนอ่างดินใส่น้ำลอยเปลือกมะนาวสำหรับล้างมือให้แต่ละคนได้ล้างมือ เรียบร้อยแล้วเมืองแมนจึงเดินไปนั่งข้างน้ำนิ่ง


      “เฮียไป๋ครับ นี่พี่เมืองแมนคนดูแลน้ำครับ พี่เมืองนี่เฮียไป๋ซานเจ้านายพี่คานิน เฮียเป็นแขกของโรงเตี๊ยมนะฮะ”

      “สวัสดีครับคุณไป๋ซาน / สวัสดีครับคุณเมืองแมน”

      “อ้อ พี่เมืองเฮียเขาอยากจะเก็บภาพบรรยากาศรอบๆ สำหรับการเขียนคอลัมน์ท่องเที่ยวน่ะ น้ำเลยกะว่าจะพาไปน้ำตกกับไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ม่อนโอบตะวันบ่ายนี้ แล้วเย็นค่อยกลับมาแค้มป์ไฟกันที่นี่อีกที”

      “แล้วบอกเฮียแล้วรึยัง”

      “บอกแล้วสิ ภูมิจะตามมาประมาณหกโมงเย็นฮะ”  เมืองแมนพยักหน้ารับรู้

      “เต็มที่เลยนะเฮียปลานี่น่ะผมตกเองกับมือนะขอบอก”  คานินอวดอ้างฝีมือการตกปลาของตัวเองโขมง

      “โม้รึเปล่าอะเรา ไม่ยักรู้ว่าเราชอบตกปลาด้วย”

      “โม้ที่ไหนหลักฐานก็มีในกล้องเฮียอ๊ะ จริงผมชอบนะแต่ไม่ค่อยได้ไปไง”

      “วันหลังเห็นจะต้องชวนคานินไปเป็นเพื่อนตกปลาซะแล้วสิ”

      “บอกมาก็แล้วกันถ้าไม่ติดอะไรผมยินดีเลย”

      “กินเนื้อปลาด้วยสิอย่ากินแต่ผัก” 

       เมืองแมนหันมามองคนข้างตัวที่เอาสารพัดผักพันเป็นคำจิ้มน้ำจิ้มหวานใส่ปากโดยไม่มีเนื้อปลา จึงตักเนื้อปลาชิ้นพอสมควรมาวางใส่จานของน้ำนิ่งและใช้สายตาบังคับให้กิน หน้าน้ำนิ่งเหมือนโดนบังคับให้กลืนยาขมยังไงยังงั้น ทำไมเมืองแมนจะไม่รู้ว่าน้องไม่ชอบกินเนื้อสัตว์เกือบทุกชนิด หน้าพะอืดพะอมนั่นก็สงสารอยู่หรอกแต่ร่างกายต้องการสารอาหารให้ครบห้าหมู่เลยจำเป็นต้องบังคับกัน

      “อย่างอแง แค่นี้เอง มาเดี๋ยวพี่ตักปลาป้อนเราค่อยหยิบผักกินเองโอเคไหม”  น้องพยักหน้า เมืองแมนเลยตักปลาพอดีคำป้อนใส่ปากเจ้าตัวหยิบผักสลัดใส่ปากสองสามใบต่อปลาหนึ่งคำ

      “กินสลัดผลไม้นี่อีกนิดนะ ห้ามต่อรองครับ”  หลังจากปลาชิ้นนั้นหมด น้ำนิ่งถูกบังคับกลายๆ ให้กินสลัดผลไม้ซึ่งตักมาวางตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว จึงจำใจต้องกินเพราะไม่อยากให้เมืองแมนเสียน้ำใจทั้งที่เขาอิ่มจะแย่

      ทุกการกระทำของทั้งสองถูกสายตาสองคู่มองไม่กระพริบ หนึ่งนั้นเต็มไปด้วยจิตอิจฉาซึ่งตีรวนจนจุกแทบจะหมดความอยากอาหาร หลายวันก่อนเขาได้รับการดูแลเอาใจใส่ห่วงใยแบบนั้นเหมือนกัน จนเขาคิดว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์เหนือใครความรู้สึกเหล่านั้นมันเป็นของเขาคนเดียวที่สมควรจะได้รับ เพราะมีน้ำนิ่งความสำคัญของเขามันก็ลงลดเป็นยังงี้มาตลอด

       แต่ก็เพิ่งจะตระหนักเดียวนี้เองเขาคิดผิดมันก็แค่จริตที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ทำไม่ได้มาใจที่แท้จริง แววตานั้นก็อีกมันช่างต่างกันลิบลับ...ขยะแขยงตัวเองที่มีความรู้สึกแบบนี้..อยากหลุดพ้นแต่เหมือนมันยิ่งติดหนึบในใจ   จนทำเป็นสนใจอาหารตรงหน้าแทน

       ส่วนอีกหนึ่งนั้นต่างกันลิบลับมันเต็มไปจิตที่มุ่งร้าย แต่เพียงครู่เดียวมันก็เจือจางเหมือน ทะเลยามคลื่นลมสงบแต่ซ่อนคลื่นแรงไว้ข้างใต้ลึกลงไปแทน  ถ้าไม่ตั้งใจมองก็คงจะไม่รู้ว่าคนนี้คิดอะไรอยู่

      บ๋อมเงยหน้าขึ้นมองเฮียไป๋ซานเก้ๆ กังๆ กับการกินปลาแป๊ะซะอย่างยากลำบากจึงจัดแจงทุกอย่างให้เสร็จสรรพจนถึงป้อนให้ถึงปาก

      “เฮียต้องเอาผักสลัดวางแบบนี้ ตักเนื้อปลามาใส่ เอาเส้นขนมจีนใส่ ผักเคียงอื่นๆ นี่บ๋อมเอาเฉพาะผักชีกับสะระแหน่ให้นะครับ ตักน้ำจิ้มทั้งสองแบบผสมลงไป เสร็จแล้วก็ห่อแบบนี้ เอ้าอ้าปากสิครับเร็วสิครับมันเมื่อยมือนะ”

       ส่วนไป๋ซานมองการกระทำของบ๋อมอึ้งๆ หูแดงแต่ก็ยอมอ้าปากรับสิ่งที่บ๋อมป้อนให้ถึงปากเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย  คราวนี้เป็นสามคนมองทั้งคู่ด้วยอารมณ์ที่ต่างกัน แล้วแสร้งทำเป็นสนใจอาหารตรงหน้า บ๋อมทำอย่างนั้นอยู่สองสามครั้ง แล้วก็ชะงักไปเหมือนเพิ่งคิดได้ หน้าขึ้นสีระเรื่อผลักจานของเฮียไป๋ให้เจ้าตัวทำเอง แสร้งก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าตัวเองง่วน วงรับประทานอาหารเงียบลง

      “เออ เฮียพอทานได้ไหมครับ น้ำจิ้มเผ็ดไปหรือเปล่า”  น้ำนิ่งถามนำทำลายความอึดอัด

      “ได้ครับ อร่อยมากถึงจะเผ็ดไปหน่อยก็เถอะ”

      “ขอโทษจริงๆ ครับ น้ำลดความเผ็ดลงมากแล้วนะ แต่น้ำจิ้มซีฟู้ดมันก็ต้องรสชาติประมาณนี้แหละครับถึงจะอร่อย”

       “อย่าขอโทษเลยมันเป็นความผิดของผมเองที่กินเผ็ดไม่ได้ แต่ถ้าเอาน้ำจิ้มหวานมาผสมด้วยก็ลดความเผ็ดได้เยอะเลย  แต่อะไรก็ไม่เท่าเนื้อปลามันสดใหม่เนื้อเลยหวานมาก กินเฉพาะปลาอย่างเดียวก็อร่อย แล้วน้องน้ำไม่ชอบกินปลาเหรอครับ”

      “ไม่ได้เรื่องมากอะไรหรอกฮะก็กินได้ แต่น้ำเป็นคนที่ไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ ยิ่งเนื้อวัวนะยิ่งปรารถนาเว้น เฮียรู้รึเปล่าว่ามันน่าสงสารมากๆ ตอนที่จะถูกฆ่า ตามันเศร้าๆ น้ำตามันไหลออกมายังกับรู้ว่าจะถูกฆ่าสลดหดหู่ที่สุด ถ้าเลือกได้ก็ไม่กิน”

      “นึกว่าถือศีลกินเจเลยไม่บริโภคเนื้อสัตว์ซะอีก”

      “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”

      “กินเผ็ดไม่ได้นี้ผมคิดได้เรื่องนึง เฮียจำตอนที่ผมเข้าทำงานใหม่ๆ ได้ไหมที่เฮียพาไปเลี้ยงข้าว ผมได้รับสิทธิ์เลือกร้านในฐานะเด็กใหม่ พวกเราไปกินสุกี้หม้อไฟเสฉวนกันน่ะ หน้าเฮียตอนที่เห็นหม้อไฟตอนนั้นผมโคตรขำ จะสั่งอาหารอย่างอื่นให้เฮียก็ไม่เอา เลยสั่งพิเศษลดความเผ็ดลงเหลือเท่ากับระดับเด็กอนุบาลให้เฮียต่างหาก ถึงขนาดนั้นกว่าจะกินเสร็จเฮียร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล เหงื่อโทรมกายราวกับไปใช้แรงงานกลางแดดจ้า  ปากงี้บวมเจ่อแดงจนน่ากลัว ผมและพี่ๆ นี่แอบขำตั้งหลายทีกับความทิฐิไม่เข้าท่าของเฮีย รู้ว่ากินไม่ได้ยังจะกินผมก็ขี้เกียจจะปรามก็เอาเลยโตๆ กันแล้วเอาที่เฮียสบายใจไงฮ่า ฮ่า”

      “เดี๋ยวเถอะเจ้าเด็กนี่” ไม่พูดเปล่าเฮียไป๋ซานดีดหน้าผากคานินดังแป๊ะขึ้นรอยทันตามเห็น  “ชอบนักเอาข้อบกพร่องของคนอื่นมาล้อเลียน  แล้วจะตัดเงินเดือนให้เข็ดโทษฐานล้อเลียนผู้บังคับบัญชา”

      “อู๊ย!! เจ็บนะเฮียดีดมาซะเต็มแรงสมองไหลจะว่ายังไงรับผิดชอบได้ไหมห๊ะ!! ซี๊ด..”  คานินหน้างอง้ำมือคลำหน้าผากปรอยๆ

      “เออ!! จะรับเลี้ยงตลอดชีวิตแล้วกัน”

      “ไม่รับหรอกมีคนเลี้ยงแล้ว”

      “ใครเป็นเจ้านายลูกน้องกันวะพูดไม่มีสัมมาคารวะ”

      “ก็เฮียนั่นแหละ ผมนี่น้องที่เคารพของเฮียจริงแท้แน่นอน”

      “เออๆ เฮียไม่น่าหลวมตัวเลยตอนนั้น...”

      “เฮียไป๋ดูสนิทสนมกับพี่คานินจังนะครับ”  บ๋อมเอ่ยถามน้ำเสียงฉงนเพราะท่าทางที่ทั้งสองปฏิบัติต่อกันมันดูล้นๆ เกินๆ ความเป็นเจ้านายกับลูกน้อง

      “ก็สนิทมากๆ เราอยู่ด้วยกันมากี่ปีแล้วนะ”  ไป๋ซานหันไปถามคานิน หน้านิ่วคิ้วขมวดคำนวณระยะเวลา

      “ก็ตั้งแต่ผมจบมหาลัย น่าจะสักเจ็ดปีนี่แหละ”

      “มันมนนานจนเข้าทฤษฎี “seven year itch” แล้วเหรอ ถึงว่าสินะคานินถึงเฉยเมยใจร้ายกับเฮียเหลือเกิน ความสัมพันธ์ของเรามันถึงทางแยกแล้วนี่เอง กระซิก กระซิก..”  เฮียไป๋ออกท่าทางเมียหลวงที่กำลังจะถูกละเลยได้สะดิ้งจนน้ำนิ่งเกือบหลุดขำ

      “เฮียยยยยยยยย นั่นมันใช้กับกับเราได้ที่ไหนล่ะ มโนเกิ๊น”

      “อ้าว!! ไม่ได้เหรอมันก็เหมือนๆ กัน  แล้วคานินจะลากเสียงยาวทำไมมันดูไม่ดีเลย”

      “ก็พูดให้คนอื่นเขาสับสนร่วมวงมโนไมล่ะ ไม่ได้เป็นไรกันสักหน่อย”

      “ไม่ได้เป็นไรกันอะไร  ก็เจ้านายกับลูกน้อง พี่กับน้อง ก็เห็นๆ อยู่ โกหกหน้าตายนะเรา”

      “ก็แค่นั้นเฮียจะทำให้คนอื่นเขามโนทำไมห๊ะ”

      “เห็นเครียดๆ กันเลยกะเอาสนุก ไม่ตลกเหรอ”

      “เฮียยยยยยยยยยยยยยย”

      “โอเค โอเค  อิ่มกันหรือยังบ่ายกว่าแล้วเดินทางกันเลยไหม”  ไป๋ซานหันไปถามผู้ร่วมทริปซึ่งทุกคนก็พยักหน้าตามๆ กันว่าอิ่มกันหมดแล้ว

      “พี่ให้ลุงหมานมานำทาง อีกสิบนาทีมาถึง”  เมืองแมนบอกน้ำนิ่ง ถ้าลำพังจะให้พาไปก็ยังไม่คุ้นเคยสักเท่าไร ส่วนน้ำนิ่งยิ่งแล้วใหญ่นั่นตัวหลงทางตัวแม่

      “ระหว่างรอเฮียขอไปเอากระเป๋าอุปกรณ์ที่ห้องก่อนแล้วกัน” 

      “งั้นถ้าใครจะพกพาอะไรไปด้วยก็ให้รีบไปจับไปหา ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย แล้วเจออีกสิบนาทีเจอกันที่หน้าบ้านพักหลังใหญ่นะครับ”  เมืองแมนตัดสินใจแทนผู้ร่วมทริป  ทุกคนต่างยกย้ายกันเต้นท์ใครเต้นท์เรา บ้างก็ไปเข้าห้องน้ำห้องท่าจัดการธุระส่วนตัว ก่อนจะออกเดินทางผจญภัยในอีกสิบนาทีข้างหน้า

      ....................................

 


      ชาวคณะทั้งสิ้นเจ็ดคน เดินเรียบไปตามริมลำธารขึ้นไปยังต้นทางน้ำตก การเดินค่อนข้างลำบากพอสมควรเพราะเป็นพื้นหินกรวดที่มีตะไคร้น้ำเกาะอยู่ บางครั้งต้องเดินย่องแย่งหาที่เหยียบให้มั่นคงเพราะไม่งั้นมีหวังได้จับกบภูเขาที่กระโดดหย่งเข้ากอว่านน้ำเวลาเราเดินผ่าน

       ป่าแถบนี้เป็นป่าเบญจพรรณหรือป่าผสมผัดใบที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ประเภทไม้สัก ประดู่ ชิงชัน มะค่าโมง แดง ไผ่ไร่ ไผ่ซางดอย เปล้าหลวง ส้าน ฯลฯ ยืนต้นกระจายอยู่ห่างกัน แสงตกถึงพื้นได้มาก และมีน้ำไหลตลอดปี จึงทำให้พืชตระกูลหญ้าหรือว่านน้ำหลายชนิดแข่งกันแตกเหล่าแตกกอแน่นขนัดตามริมตลิ่ง

       ลุงหมานกับพี่คนงานหาไม้ยาวเกือบวามาถือไล่แหย่ตามก่อต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นอยู่เต็มตลิ่งทางที่เราเดินผ่าน บางครั้งทำเสียงชู้ว...ชู้ว ไล่งูหรือสัตว์มีพิษอื่นที่อาจหลบซ่อนตัวอยู่ สอดส่ายสายตาจ้องทุกอย่างที่เคลื่อนไหวอย่างไม่ไว้วางใจ

      ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าที่ไม่ได้ถูกลุกล้ำหรือแผ่วถางจึงเหมาะกับการดำรงชีวิตของนก แมลง และสัตว์ป่าต่าง ๆ เข้ามาอาศัยอยู่มาก แสงแดดเล็ดลอดเข้ามาจากกิ่งไม้ใบไม้จนฉายเป็นเส้นสีขาวสว่างสวยราวสวรรค์ เป็นที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้มาใหม่อย่างคานิน บ๋อม และเฮียไป๋ซานยิ่งนัก โดยเฉพาะเฮียไป๋ซานยกกล้องเก็บภาพบรรยากาศตามเบี้ยใบ้รายทางแทบจะทุกตารางนิ้ว

      เนื่องจากป่าแถบนี้มีเขตติดต่อกับอุทยานแห่งชาติและเขตดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน ก้อนหินพุ่มพงแวดล้อมจึงดูไม่น่าไว้ใจไปเสียทั้งหมด พวกสัตว์ป่าหรือแม้แต่สัตว์เลื้อยคลานเป็นอันตรายยังไม่น่าห่วงเท่ากับพวกศัตรูที่ไม่รู้ว่าจะโผล่มาเมื่อไหร่ เมืองแมนซึ่งเดินรั้งท้ายต้องครองสติของตัวเองอยู่ตลอดเวลาคอยสอดส่ายสายตาระแวดระวังภัยให้กับชาวคณะ

       บางช่วงของการเดินทางเป็นทรายนุ่มไร้กรวดหินการเดินง่ายขึ้น ชาวคณะเดินลัดเลาะกว่าชั่วโมงในที่สุดก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังสนั่น สายตาของคนมาใหม่วาวระยับกับความงดงามที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ความสูงใหญ่ของหน้าผาสูงจนแหงนคอตั้งบ่าที่มีสายน้ำตกลงมาไม่ขาดสาย รู้สึกได้ถึงละอองน้ำโปรยมาสัมผัสผิวจนเสื้อผ้าแต่ละคนชื้น

      “ว้าว!!  So Beautifulllll…ไม่เสียแรงจริงๆ ที่มาถึงนี่ สวรรค์บนดินชัดๆ”  เสียงความตื่นเต้นของคานินดังไม่ขาดปาก ถอดรองเท้าเดินป่าออกว่างไว้ที่โขดหิน ป่ายปืนลงไปตามก้อนหินใหญ่อย่างรวดเร็วจนไปถึงริมธารน้ำตก 

       “บ๋อมๆ ดูสิน้ำใสจนเห็นพื้นหินข้างล่าง น่าเล่นน้ำวะ” 

       คานินกวักมือเรียกบ๋อมซึ่งยืนอยู่บนโขดหินใกล้กัน บ๋อมเองก็ไม่รอช้าปีนลงไปยืนข้างกันตั้งแต่คานินยังพูดไม่จบ เท้าเปลือยเปล่าจุ่มน้ำลงไปครึ่งแข้งแล้วด้วย  ส่วนเฮียไป๋ซานแยกย้ายไปอีกทางเพื่อเก็บภาพ เมืองแมน ลุงหมาน และพี่คนงาน กระจายกันเดินสำรวจเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณใกล้ๆ

      “ถ้าพี่คานินกับบ๋อมจะเล่นน้ำ เราอยู่ที่นี่กันซักครึ่งชั่วโมงก็ได้ ถ้านานกว่านั้นจะไม่ทันดูพระอาทิตย์ตกดินน่ะ”  น้ำนิ่งก้มลงมองนาฬิกาเห็นว่ายังพอมีเวลาจึงไม่ขัดข้องหากทั้งคู่จะเล่นน้ำ

      “เล่นสิเล่น พี่ไม่อยากขัดศรัทธา น้ำใสแจ๋วซะขนาดนี้ไม่เล่นได้ไง แล้วน้ำล่ะ”  คานินถามเมื่อเห็นน้ำนิ่งยังยืนอยู่ที่เดิม

      “สองคนเล่นเถอะ น้ำมาที่นี่บ่อยมากซักจะเบื่อๆ น้ำจะได้คอยดูระแวดระวังภัยให้ไงเพราะบางทีก็มีสัตว์ใหญ่พลัดหลงมากินน้ำแถวนี้”

       “มีบ่อย..!??”  สองคนนั้นตาเบิกกว้างหน้าเลิกลั่กหันซ้ายหันขวาอย่างระแวดระวังและหวาดกลัว

      “ไม่นะน้ำมาหลายครั้งแล้วก็ไม่เคยเจอสักที ถ้ามีกลิ่นคนเขาก็จะไม่เข้ามาหรอกเชื่อสิ ไม่ต้องห่วงเล่นตามสบายเลย” น้ำนิ่งบอกยิ้มๆ

       “โอ๊ย!!  โล่งอกไปที มา มา บ๋อม เล่นน้ำเร็วครับ”

       เมื่อไม่มีอะไรต้องห่วงคานินจัดการถอดเสื้อกางเกงออกจากตัวระหว่างนั้นก็ร้องเรียกให้บ๋อมเล่นด้วยกัน  ฝ่ายนั้นก็ไม่อิดออดขึ้นจากน้ำมายืนที่โขดหินถอดเสื้อกางเกงอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงกางเกงว่ายน้ำกันทั้งคู่ นี่คือเตรียมความพร้อมกันมาล่วงหน้าใช่ไหมว่าจะต้องเล่นน้ำให้ได้ 

       ทั้งคู่ก็ปีนป่ายตามโขดหินขึ้นไปจนถึงหน้าผาที่ไม่สูงมากนัก เมื่อได้จังหวะก็กระโจนลงน้ำอย่างไร้ท่วงท่าเสียงดังตูมตาม โผล่ดำผุดดำว่ายแกล้งสาดน้ำใส่กันเป็นที่สนุกสนานราวกับเด็กชายจอมแก่นที่หนีพ่อแม่มาเล่นน้ำ 

       น้ำนิ่งยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีที่ตอนนี้แววตาของเพื่อนไม่มีแววเศร้าให้เห็น บางครั้งก็หัวเราะดังลั่นที่แกล้งพี่คานินได้ บางครั้งก็ตะโกนลั่นเสือกตัวหนีห่างเมื่อถูกแกล้งกลับ ร่างบางหย่อนกายลงนั่งบนโขดหินริมธารน้ำตก มือดึงกระตุกเชือกรองเท้าให้คลาย ถอดออกวางไว้ข้างกาย หย่อนเท้าลงน้ำปลาเล็กปลาน้อยตอดตามเท้า อ้า..ช่างผ่อนคลายดีจัง



      ห่างออกไปราวสิบเมตรเมืองแมนยืนเอาไหล่พิงต้นแดงมองดูเจ้าพวกเด็กแสบริมธารน้ำตกอย่างเห็นขบขัน แม้จะโตเท่าไรในส่วนลึกของจิตใจก็ยังมีนิสัยเด็กซุกซนซ่อนอยู่เสมอเจ้าพวกนั้นก็ไม่ต่าง


      - กรอบแกรบ-


      - ผัวะ  พลั่ก  อึก  ตุบ... -

      เสียงเหยียบใบไม้แห้งที่ดังกรอบแกรบอยู่ข้างหลัง เรียกให้คนหูไวหันขวับไปมอง แต่ก็ช้ากว่าหมัดที่กระแทกกรามอย่างจังจนศีรษะหันไปตามแรงส่งของหมัด เมืองแมนมีความรู้สึกราวกับว่าเยื่อหุ้มสมองยืดตัวออกอย่างฉับพลัน และก้อนสมองกระทบกับผิวกะโหลกศีรษะ ร่างกายเซเสียสมดุล ก่อนจะโดนหมัดเสยปลายคางอย่างพอเหมาะพอเจาะส่งผลให้ร่างใหญ่หงายหลังล้มตึงสิ่งรอบข้างดับวูบ ในที่สุดก็แน่นิ่งไป...












TBC.

ปล.
ตะแรกว่าจะฉะกันเลย กลายเป็นเกริ่นนำไปซะงั้น   หากเจอข้อผิดพลาดและประสงค์จะแนะนำอะไรก็แปะไว้นะฮะยินดีรับไปพิจารณาแก้ไขต่อไป   ขอบคุณสำหรับการติดตามกันเสมอมา..:)


ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
พายุจะเข้าาาาาาาา

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ภูมิมัวแต่โกรธที่น้ำคิดจะเอาตัวเองมาเสี่ยงเลยหลบหน้าน้อง
ทีนี้จะทำยังไงล่ะคงไม่ได้เคลียร์กันแน่งานนี้

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:ตูว่าแล้วจะต้องเกิดเรื่อง :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
 :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เด็กเลี้ยง_EP.32_เดินทางไกล [1] P.8_122016
« ตอบ #229 เมื่อ: 02-02-2016 11:51:27 »





ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
เด็กเลี้ยง

- 33 -

เดินทางไกล [2] : กับดักหนู & ปิดประตูตีแมว








      Rrrrrrrr Rrrrrrr


      "สวัสดีครับ ภูมิรพีพูดสายครับ”

      “หึ หึ ได้คุยกันซักทีนะ”  เสียงรื่นรมย์จากปลายสายทำให้ภูมิรพีรู้สึกฉงนจนได้เอาโทรศัพท์มาดูอีกครั้งว่าใครโทรศัพท์

      “คุณเป็นใคร”

      “คนที่นายอยากเจอมากที่สุดตอนนี้ไง”

      “ไต่ชินหยาง!!

      “อ่าฮ้า..ได้คุยกันซะที”

       “มีอะไรที่ต้องคุย”

      “หึ หึ ไม่มีอะไรก็โทรมาไม่ได้เหรอ ฉันแค่อยากทักทายพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ถ้าว่างก็ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อเป็นไง”

      “แกอยู่ไหน”

      “ก็ใกล้พอที่จะได้กลิ่นน้ำนิ่งตอนที่นั่งเล่นน้ำอยู่ริมน้ำตก ส่วนแกมัวแต่วิ่งยังกับหนูติดจั่น ตามกลิ่นฉันที่ปางไม้นั่นแหละ เด็กนี่แกคงเลี้ยงดูอย่างดีสินะ เวลาสัมผัสได้อารมณ์มากอ๊า....”

      “ฉันไม่รู้ว่าแกอยู่ไหนหรือทำอะไรอยู่ แต่ถ้าแกยุ่งกับน้ำนิ่ง หรือครอบครัวของฉัน ฉันขอสาบาน...”

      “ชู่ว์ ชู่ว์ สิงห์!! หุบปากไปเลย พวกแกฆ่ามาร์โคของฉัน”

      “ชีวิตแลกชีวิตโว้ย!! แกฆ่าอาร์และเด็กอื่นๆ อีก ของใครๆ ก็รัก”

      “หึ หึ สงสารไอ้เมืองแมนกับคนของแกอีกสองว่ะ ท่าทางอยากจะเป็นเป้านิ่งมากเลย”

      “แกอย่าทำอะไรพวกเขานะ!! พวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้


      - ปัง  ปัง  ปัง  ปัง –   เสียงปืนที่ดังแทรกเข้ามาในสายทำให้ภูมิรพีชะงักงันไป


      “โอ๊ะ!! ขอโทษปืนมันลั่นถูกกลางแสกหน้าวะฮ่า ฮ่า  โอเค!! สิงห์ที่นี้แกฟังฉัน แล้วก็ฟังให้ดีภูมิรพี เรื่องเมื่อสองปีที่แล้วฉันไม่รู้แกโง่หรือบ้ากันแน่ที่เข้ามายุ่งกับเรื่องของฉัน วันนี้ครบรอบสองปีมันมีค่าที่แกควรต้องจ่ายซะที คราวก่อนแกถล่มฉันซะเละ โอเคยกแรกแกชนะ แต่ยกนี้คงไม่ ถือว่าฉันขอแก้มือครั้งที่แล้วแกทำลายสิ่งที่ไม่สามารถหาอะไรมาทดแทนได้ของฉันไป ดังนั้นฉันก็จะพรากสิ่งนั้นไปจากแก บ้าง...”

      “ไต่ชินหยาง!!  ไต่ชินหยาง!!” ภูมิรพีตะโกนเรียกคนปลายสายลั่น แต่ฝ่ายนั้นตัดสายไปแล้ว 

       “ระยำเอ๊ย!! @#$*!!<&>%*&#....”   ภูมิรพีสบถหยาบคาย หน้าตาถมึงทึง แววตาสีทองอำพันจนเกือบแดง โชนแสงกล้าความโกรธแค้นปะทุราวกับจะระเบิด

      “อะไร!?”  เสี่ยเซนเอ่ยถามเสียงกร้าวร้อนใจ

      “ไต่ชินหยางมันจับน้ำนิ่งกับคานินไป..สัตว์!!” 

      “เฮ้ เฮ้! ใจเย็นๆ มันอาจจะเป็นแผนลวงให้เราติดกับเหมือนนี่ก็ได้ ไม่แน่ตอนนี้น้องอาจจะกำลังเล่นน้ำตัวเปื่อยแล้วมั้งปานนี้”

      “ไม่! ไม่! เฮียไม่เข้าใจ มันบอกพวกเราพรากสิ่งที่มีค่าของมันไป ตอนนี้มันก็จะพรากสิ่งที่มีค่าของเราเหมือนมัน มันจะฆ่าน้ำนิ่ง ฆ่าคานิน!!” 

      “สิงห์มันไม่มีทางเป็นไปได้น่า เมืองแมนแล้วคนของเราไปด้วยไม่ใช่เหรอ”

      “มันฆ่าเมืองแมนกับคนงานอีกสองคนแล้ว ระยำหมา..!!” 

      “รับสิ รับสิ  คานินรับสิวะ”  เสี่ยเซนล้วงโทรศัพท์ออกมาหาคานินอย่างร้อนรน เสียงรอสายดังต่อเนื่องยาวนานไม่มีคนรับ ยิ่งทำให้เสี่ยเซนร้อนใจกระสับกระส่ายเหมือนหนูติดจั่น กดตัดสายแล้วโทรออกไปใหม่อีกครั้ง

      “โทรศัพท์ของคานิน...”  ปลายสายตอบกับมาด้วยเสียงทุ้มนุ่มระคนสะใจ เสี่ยเซนชะงัก ชั่วครู่ ขบกรามแน่นตาหรี่คมกล้าก่อนจะตอบเสียงเย็นขัดกับใจที่ร้อนรุ่ม 

       “ขอกูคุยสายหน่อย”

      “แกมั่นใจเหรอว่าป่านนี้เขาจะยังไม่ตายฮ่า ฮ่า อำเล่นน่าเสี่ย ขำหน่อยซี้..ทำไมไม่มีอารมณ์ขันกันซะบ้างเลย อย่าทำหน้าโกรธเกี้ยวแบบนั้น”  เสียงดึงเทปปิดปากดังแทรกเข้ามาในสาย “เอ้านี่กระต่ายน้อยทักทายเสี่ยหน่อยสิ”

      “เฮีย!! เราอยู่ในหมู่บ้านติดชายแดน....”

      “คานิน!! คานิน!!  อยู่ไหน”

      “ตัวช่วยนี้ฉันให้ฟรี ส่วนที่เหลือพวกแกต้องออกแรงเอาเอง”

      “แกไม่รอดแน่!!  ฉันจะล่าแก  แล้วเอาชีวิตแกให้ได้”   เสี่ยเซนประกาศกร้าวหน้าบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความโกรธแค้น

      “โอ้จริงเหรอ ฮ่า ฮ่า แล้วฉันจะรอเวลานั้น นี่เป็นเกมส์ พวกแกต้องชอบเกมส์นี้นี่น่ากับดักหนู เกมส์เศรษฐี ยกแรกพวกแกฆ่าคนของฉัน ถล่ม Lady Q ซะเละ ยกสองฉันระเบิดโรงงานแก นั่นน่าเสียดายชิบหายที่มันไม่วอดแต่ก็โอเคมันทำให้แกทุรนทุรายได้   ยกสามแกปล้นกลางอากาศวัลโด้แลนด์จนย่อยยับ  ยกสี่ฉันฆ่าหมาเฝ้าแกะกับแกะอีกสามตัว  ยกห้าฉันจับแกะของพวกแกมา ตอนนี้ฉันเป็นต่ออยู่ถ้าอยากจะให้มีชีวิตอยู่ต่อ พวกแกจะต้องทำตามที่ฉันสั่ง เวลาที่ฉันสั่ง ถ้าแกยังยืนอยู่ได้จนถึงเลเวลสุดท้ายพวกแกจะได้แกะแกกลับไปเป็นรางวัล ฉันแฟร์นะ”

      “พูดเล่นใช่ไหมนี่ ฉันไม่เชื่อน้ำหน้าคนอย่างแก ไม่มีทางเชื่อ!”

      “โว้ โว้ อย่าโวยวายน่าเสี่ย พวกแกต้องเชื่อในสิ่งที่ฉันบอกให้เชื่อ เพราะว่าตอนนี้พวกแกไม่มีทางเลือกแล้ว โอเค โอเค ถ้าแกอยากได้คำใบ้ที่สองก็ต้องรีบตามไปจุดสุดท้ายที่น้ำนิ่งจะไปในวันนี้ ถ้าช้าฉันก็ไม่มั่นใจว่าซากจะยังเหลือให้แกตามกลิ่นได้ว่ะหึ หึ” 

      “สัตว์เอ๊ย!! มันเล่นเราแล้ว” 

       เสี่ยเซนสบถด้วยความโกรธ หลังจากที่ไต่ชินหยางตัดสายไป มือกำโทรศัพท์แน่นจนแทบจะแหลกคามือราวกับว่านั่นคือไต่ชินหยาง ไต่ชินหยางไม่อยู่กับร่องกับรอยอยากฆ่าก็ฆ่า นั่นยิ่งทำให้ภายในใจร้อนรุ่มห่วงน้องกับเมียอีกเท่าตัว

      “เฮียให้ทิมตรวจหาพิกัดมือถือของคานิน”  ภูมิรพีบอกเสร็จก็เดินออกจากแค้มป์ปางไม้ ตะโกนเสียงโหวกเหวกระดมคนและรถเพื่อตามล่าไอ้สัตว์ตัวนั้น

      “ทิมเราเจอปัญหาน้องฉันกับคานินถูกจับตัวไป นายช่วยตรวจหาพิกัดจีพีเอสจากมือถือของคานิน เจอแล้วส่งพิกัดมาด่วน”  หลังจากสั่งเสร็จเสี่ยเซนเปิดเซฟลับหยิบปืนสั้นออโตเมติกสองกระบอกเหน็บเอวเดินตามภูมิรพีออกไปขึ้นรถโฟร์วิลที่จอดรออยู่หน้าแค้มป์ เมื่อทุกคนพร้อมก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว

      ...................................




      รถโฟร์วิลสามคันแล่นห้อตะบึงจนฝุ่นตลบตรงไปยังท้ายไร่บริเวณตั้งแค้มป์ แต่เมื่อไปถึงยังไม่มีใครกลับมา ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าไต่ชินหยางมันทำจริง

      “พวกคุณๆ ยังไม่กลับใช่ไหม”  ภูมิรพีถามรวีผู้จัดการโรงเตี๊ยมซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการช่วยคนงานจัดเตรียมแค้มป์ไฟ และอาหารสำหรับเย็นนี้ตามคำสั่งของน้ำนิ่ง

      “เห็นว่าอาจจะกลับค่ำนิดหน่อย จะพาคุณคานินกับคุณบ๋อม แล้วก็ชายชาวจีนคนหนึ่งรู้สึกว่าจะเป็นเจ้านายของคุณคานินไปเที่ยวน้ำตก แล้วจะไปดูตะวันตกดินที่ม่อนโอบตะวันด้วยครับนายสิงห์”

      “ไอ้ไป๋ซานเหรอ?  ทำไมมันอยู่ที่นี่”  เสี่ยเซนชักสีหน้าไม่พอใจอะไรมันจะประจวบเหมาะ  ดีแท้

      “มีอะไรเหรอครับนาย แต่พ่อผม เมือง แล้วก็คนงานอีกสองคนไปด้วยไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้นได้นะครับ”

      “ได้ไม่ได้มันก็เกิดขึ้นแล้ว”  ภูมิรพีเอ่ยเสียงกร้าว ตาโชนแสงราวกับจะฆ่าคนได้  รวีขนคอตั้งชันไม่เคยสัมผัสอารมณ์เช่นนี้ของเจ้านาย   


      Rrrrrrrrr


      “ว่ายังไงทิม”  เสี่ยเซนกดรับทันที พร้อมเปิดลำโพงให้ภูมิรพีได้ยิน

      //เฮียสัญญาณสุดท้ายที่ตรวจจับได้อยู่ในเขตชนกลุ่มน้อยที่ตั้งตัวเองเป็นรัฐอิสระชื่อกะญายอ ห่างจากชายแดนไทย 91 กิโลเมตร แต่หลังจากนั้นสัญญาณมันก็หายไปเฉยเลย//

      “ระยำเอ๊ย!!  ค้นหาหมู่บ้านตามแนวชายแดนในรัศมี 91 กิโลเมตรมีกี่หมู่บ้านวะ”

      //ครับเสี่ย//  เสี่ยเซนรอปลายสายอยากร้อนรน แต่ละนาทีที่ผ่านไปราวกับมันคอยฉุดกระชากลมหายใจของคนที่เขารักให้เหลือน้อยลงทุกที

      //18 หมู่บ้านครับเฮียทั้งหมดอยู่ในปกครองของกะญายอ//

      “ให้ตายเถอะวะทิมแบบนี้มันก็เท่ากับงมเข็มในมหาสมุทร เอาพิกัดที่มันกระชับมากกว่านี้สิวะ”

      //มันอับสัญญาณครับ สัญญาณดาวเทียมเราตรวจจับความร้อนไม่ได้เลย//

      “เชี๊ย!! มีความสามารถแค่นี้เหรอวะ!! น้องกู เมียกู กำลังจะถูกฆ่า มึงเข้าใจมั้ย!

      //ผะ  ผมขอโ...//  ภูมิรพีบีบลงบนไหล่ของพี่ชาย ตาสบกันนิ่งนั่นทำให้เสี่ยเซนคิดได้ว่าตัวเองพาลใส่ทิมทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของทิมเลย

       “ขอโทษวะทิมเฮียพาลไปหน่อยทั้งที่ไม่ใช่ความผิดเอ็ง แล้วจากสัญญาณสุดท้ายที่จับได้ นายคิดว่ามันจะไปโผล่ที่ไหนได้บ้าง”

      //ถ้าออกแถบนั้นก็เข้าหมู่บ้านวาลา  วาโพ  เซงดู  หมึงเม นอข่อ  ลาฮู่  แล้วก็อาญ่า //

      “แมร่ง! ไอ้นรกเอ๊ย!! มึงอย่าให้กูตามเจอนะสัตว์เอ๊ย!! ก็ยังดีพื้นที่ค้นหาแคบเข้ามาดีกว่ากะญายอทั้งรัฐ ตรวจหาทุกช่องทางทั้งสัญญาณจีพีเอสและความร้อนถ้าเจอสงสัยแม้จุดเท่าแมงหวี่แมงวันอะไรก็บอกมา!!

      //ครับเสี่ย//


      “เฮียพร้อมแล้ว ไปเถอะ” 

      “นายสิงห์ผมขอไปด้วย”  รวีเห็นท่าทางของนายก็ให้รู้สึกเป็นห่วงพ่อจึงขอไปด้วย ภูมิรพีพยักหน้าไม่พูดอะไร ทั้งหมดแยกย้ายขึ้นรถโฟร์วิลขับตามเส้นทางไหล่เขาขึ้นม่อนโอบตะวันอย่างเร่งรีบถ้ามืดค่ำระหว่างทางพวกเขาจะลำบากในการติดตาม 

      .......................................




      เส้นทางไหล่เขาเป็นทางแคบๆ ที่วกวนไปมาเหมือนงู อีกด้านเป็นเหวลึกมีแค่ราวเหล็กกั้นง่ายๆ เพราะต้องการจะอนุรักษ์ความเป็นผืนป่าให้ได้มากที่สุดจึงไม่ให้สร้างทาง สภาพถนนจึงยังเป็นเส้นทางดินที่ชาวบ้านใช้สัญจรกันเอง คนที่ไม่คุ้นเคยต้องใช้ความระมัดระวังในการขับรถเป็นอย่างมาก ซึ่งปกติกว่าจะไปถึงม่อนโอบตะวันต้องใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง  แต่เวลานี้สำหรับภูมิรพีใจอันรุ่มร้อนสามารถพาทุกคนขึ้นมาถึงม่อนโอบตะวันในเวลาแค่สี่สิบนาทีแต่นั่นก็ยังช้าไปสำหรับภูมิรพีอยู่ดี

       รวีกั้นหายใจแทบจะฉี่ราดทุกครั้งเวลานายสิงห์เลี้ยวโค้งโดยไม่ชะลอความเร็ว เมื่อถึงจุดจอดรถยังจอดไม่สนิทด้วยซ้ำ รวีกระชากประตูเปิดออกแล้วกระโจนลงรถวิ่งถลาเข้าข้างต้นไม้คายของเก่าออกมาจนหมดไส้หมดพุ่ง  ชัดเจนเข้ามาลูบหลังและยื่นขวดน้ำให้ล้างปาก เมื่อรวีล้างปากเสร็จก็ส่งขวดน้ำคืนให้แต่ชัดเจนสั่นหน้าปฏิเสธ

      “นายเก็บไว้เถอะ ฉันมีนี่แล้ว”  ชัดเจนชี้กระติกน้ำในกระเป๋าข้างเป้  “อดทนหน่อยนี่ยังถือว่าช้านะ รีบเถอะยังต้องเดินอีกเกือบร้อยเมตรเดี๋ยวจะค่ำซะก่อน”  ชัดเจนฉุดให้รวีขึ้นยืน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทรงตัวได้ ก็หันหลังเดินตามเจ้านายอย่างเร่งรีบออกไปก่อน รวีเลยเร่งรุดเดินตามไป

      .....................................





      “เมือง!!”  /  “พ่อ!!”

      เสียงตะโกนสุดเสียงของแดนสรวงกับรวีดังขึ้นพร้อมกัน แขนขาไร้เรี่ยวแรง ทั้งคู่ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น  รวีตาเบิกกว้างช็อกตะลึงค้าง พยายามปฏิเสธสิ่งที่เห็น ‘ไม่จริง’  ‘ไม่เชื่อ’ ‘เป็นไปไม่ได้’ อยู่อย่างนั้นราวคนเสียสติ

       คนอื่นตะลึงงันไปตามๆ กัน ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าชวนให้หดหู่ร่างไร้วิญญาณของเมืองแมน  ลุงหมาน  และคนงานสองคน ถูกมัดเท้าห้อยหัวลงมาจากต้นไม้เลือดจากรูกระสุนตรงหน้าผากและตามแขน ไหลหยดลงพื้นส่งกลิ่นคาวสะอิดสะเอียนคละคลุ้งในบรรยากาศ

      “ระยำสัตว์เอ๊ย!! กูจะฆ่ามึง สัญญาต่อพระเจ้ากูจะฆ่ามึง”  เสี่ยเซนประกาศกร้าวด้วยโทสะแห่งความโกรธแค้นที่อัดแน่นในอก

       แดนสรวงเหมือนถูกจู่โจมอย่างฉับพลันด้วยมือมัจจุราชกระชากจิตวิญญาณออกไปจากร่างให้รู้สึกชีวิตเขาจะดับไปด้วย ตลอดแนวป่าเปลี่ยนเป็นเงาตะคุ่มของแนวต้นไม้สูง ความมืดสลัวเริ่มเข้ามาแทนที่เมื่อแสงสุดท้ายของอาทิตย์กำลังจะลับเหลี่ยมเขาเบื้องหน้า

       บรรยากาศรอบตัวขะมุกขะมัวชวนให้วังเวงโดดเดี่ยววูบโหวงประดังประเดเข้ามาฉับพลัน อึดอัดแทบหายใจไม่ออกอย่างน่าประหลาด ดวงตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ แต่ไม่มีแม้หยดน้ำตาให้ไหล ร่างสั่นสะท้านมือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน หลับตาแล้วลืมใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าภาพตรงหน้าก็ยังเป็นอยู่เช่นนั้น ขบกัดฟันจนปวดกรามแต่ความโกรธแค้นปนเศร้าเสียใจก็ยังปะทุอยู่ในอก แค่เขายอมอ่อนข้อให้มันอีกสักครั้ง...แค่เขาอยู่กับมัน...

      ในความเงียบ สายลมพัดเอื่อยจนเกิดเสียงเสียดสีกันของใบไม้กิ่งไม้สลับกับเสียงเลือดที่ตกกระทบใบไม้แห้งเปาะแปะดังขึ้นเป็นระยะนั่นเสียดแทงเข้าไปในใจจนเจ็บปวด...ดวงตาแดงก่ำของแดนสรวงจ้องที่ร่างไร้วิญญาณของเมืองแมนด้วยความเจ็บปวดอาดูร...ไม่มีอีกแล้ว...
 
       ความสุขเป็นสิ่งที่กูพอจะฉาบฉวยเอาได้จากเวลาและสถานการณ์ที่มีมึงอยู่ แล้วมึงดูนะไอ้เมืองความทุกข์ที่มึงทิ้งไว้ให้ กูไม่อาจชิ่งหนีจากมัน จะสลัดมันออกจากใจไปได้โดยง่ายเช่นสลัดรองเท้าออกก่อนเข้าบ้านก็ไม่ได้...กูจะต้องจ่มอยู่กับมันอีกนานเท่าไรกันวะ...

       เมื่อเช้ากูยังดีใจที่ตื่นขึ้นมามึงยังอยู่กับกู ยังกวนตีนกูได้เหมือนทุกวัน แต่ผ่านไปครึ่งวันมันคืออะไร...ไอ้ตัวเย็นชืดเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณนั่นคืออะไร..ถ้านี่คือเรื่องล้อเล่น?...มึงก็เล่นกับความรู้สึกกูเกินไป  ถ้าจะเล่นกูขอให้ตรงหน้านี่เป็นศพของพวกมันสักคนที่ไม่ใช่มึงไม่ได้เหรอวะ

       ชีวิตกูหลังจากนาทีนี้คงจะกรุ่นไปด้วยควันดำของความทุกข์ซึ่งแน่นอนว่าจะยาวนานเหมือนนิรันดร์  ถ้านี่เป็นแค่ฝันร้ายมึงก็ปลุกกูตื่นที ตื่นมารับรู้ว่านี่แค่ฝันร้าย...แต่สุดท้ายความจริงคือไม่มีมึงอีกแล้ว...ไอ้บ้ากวนตีนนั่นไม่อยู่แล้ว...ทั้งๆ ที่สัญญากันไว้แล้วว่าจะให้กูตายก่อน  จนวาระสุดท้ายมึงก็ยังโกง....ไม่ยุติธรรมเลย...มึงมันไม่เคยรักษาสัญญาห่าอะไรเลย....ทิ้งกู...

       ภูมิรพีเข้ามาบีบไหล่แน่นพยักหน้าให้แดนสรวง ดวงตาที่สบกันมันผสมปนเปไปหมดไม่ว่าจะเศร้าเสียใจ เจ็บปวด หรือเครียดแค้น ที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ ชั่วเวลาหนึ่งนั้นกลับเต็มไปด้วยความยะเยือก แดนสรวงรู้ดีภูมิรพีฆ่าได้แบบไม่ลังเล

      “รีบปลดพวกเขาลงมาสิวะ!! ยืนตะลึงอยู่ทำไม” 

       เสี่ยเซนสั่งเสียงกร้าว ตาโชนแสงอย่างน่ากลัวไม่แพ้คนเป็นน้อง ตายังสอดส่ายไปรอบๆ หาสิ่งที่ผิดปกติที่น่าจะเป็นเบาะแสได้ แต่ก็ไม่พบอะไร แสงพระอาทิตย์เริ่มน้อยลงทุกทีถ้ายังไม่เจอโอกาสของพวกเขาก็จะน้อยลงตามไปด้วย

      “เห็นอะไรบ้างรึยัง” 

       ภูมิรพีถามด้วยสีหน้าบ่งบอกอารมณ์ไม่ได้ ตาก็สอดส่ายหาสิ่งผิดปกติ  ก่อนจะไปสะดุดเข้ากับสภาพศพทั้งสี่คนที่ถูกปลดลงมาวางกับพื้นหญ้า ตาคมหรี่หลุบลงไม่แสดงความรู้สึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

      “ยังไม่เห็นอะไรเลย หรือเราจะมาผิดที่”  เสี่ยเซนเองก็หน้านิ่วคิ้วขมวดร้อนรนไม่แพ้น้องชาย กังวลว่านี่จะเป็นกับดักเพื่อถ่วงเวลาให้พวกเขาล่าช้า

      “ไม่ ไม่ผิดแน่”  ภูมิรพีตอบด้วยน้ำเสียงแข็งเคร่งเครียด  “เฮียดูนี่สี่คนถูกยิงที่หน้าผากเลือดมันต้องไหลเฉพาะรอยกระสุนตรงหน้าผาก แต่นี่เลือดไหลตามแขนลงมาด้วย คว่ำหน้าคนที่เหลือแล้วถลกเสื้อขึ้นด้วย”  ภูมิรพีพลิกคว่ำหน้าเมืองแมนลงมือถลกเสื้อร่นขึ้น คนอื่นช่วยกันคว่ำหน้าศพ แล้วก็ต้องผงะอีกครั้งเพราะหลังของศพถูกถลกหลังเหวอะหวะ

      “เชี๊ย!! ระยำ..!!”  เป็นอีกครั้งที่เสี่ยเซนสบถด้วยความโกรธ

      “ดูดีๆ มันจงใจแซะให้เป็นคำใบ้ของอะไรสักอย่าง แยกเป็นชุดตัวเลข 17°52′ 11.2″    97° 32′ 37.5″   17.59n  และ  97.543k

      “อะไร! มันคือเหี้ยอะไร องศา ระยะทาง วันที่ รหัสอะไร ตรง 17.59 กำหนดเวลาเหรอวะ” เสี่ยเซนยกข้อมือขึ้นดูหน้าปัดนาฬิกา  “แต่ถ้าเป็นเวลามันก็ผ่านไปแล้ว”  ภูมิรพีครุ่นคิดก่อนจะตอบร้อนรน

      “ไม่ใช่นี่มันเป็นเส้นรุ้ง เส้นแวง ตัวเลขพวกนี้มันเป็นพิกัดสถานที่ ถ้าตามที่ทิมบอกงั้นนี่ก็เป็นพิกัดของรัฐกะญายอ ส่วน 17.59n กับ 97.543k  นี่จะบอกเราว่ามันเป็นพิกัดหมู่บ้านไหน เฮียส่งตัวเลขทั้งหมดให้ทิมตรวจสอบที”  เสี่ยเซนไม่รอช้าถ่ายภาพชุดของตัวเลขส่งให้ทิมอย่างรวดเร็ว โทรหาทิมอย่างเร่งรีบ

      “ทิม นายยังอยู่ไหม”  เสี่ยเซนกดเปิดลำโพงให้ได้ยินพร้อมกันทุกคน

      //ครับเฮีย ผมเห็นชุดตัวเลขที่อยู่บนหลังศพที่เฮียส่งให้แล้ว ไม่เกินหนึ่งนาที...//

       “ดี!! สิงห์บอกว่ามันเป็นหมู่บ้านไหนสักแห่งในกะญายอ...”  ชั่วระยะเวลาไม่นาน ทิมร้องด้วยความตื่นเต้นกลับมา

      //บิงโก้!! 17.59n กับ 97.543k เป็นพิกัดหมู่บ้านนอข่อ ไม่ผิดแน่ตัว n กับ k เป็นอักษรย่อชื่อหมู่บ้าน  มันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของกะญายอตั้งอยู่ในหุบเขาห่างจากชายแดนไทย 91 กิโลเมตร ถึงว่าด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่ตั้งนี่เองทำให้เราจับสัญญาณจีพีเอสของคุณคานินไม่ได้//

      “ถ้าเราจะลุยไปตอนนี้ก็คงจะมีแต่ตายกับตาย เฮียว่าคงต้องวางแผนให้รัดกุมและหาคนเพิ่ม  เราพลาดท่าเพราะประมาทคิดว่าเป็นถิ่นของตัวเองแล้วจะไม่มีอันตรายทิ้งเมืองแมนไว้คนเดียว..เฮียประมาทอย่างไม่น่าประมาท ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเลยเอาแค่สามคนนั้นมา จะเรียกมาเพิ่มก็คงไม่ทันแน่” สีหน้าของเสี่ยเซนบ่งบอกถึงความเศร้าเสียใจ และเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

      “ฝั่งนั้นเป็นถิ่นของมัน ถ้าผลีผลามเข้าไปแบบไม่คิดคงจะมีแต่สูญเสียเหมือนวันนี้ ต้องกลับไปทบทวนจุดบกพร่องของเรา วางแผนให้รอบคอบรัดกุมกว่านี้”

      //สูญเสีย...!?//  เสียงที่หลุดออกมาของทิมเต็มไปด้วยความสงสัยใจกระตุกถึงเหตุร้ายต่างๆ นาๆ

      “เมืองแมนตายแล้วทิม...พร้อมคนงานอีกสาม”  ภูมิรพีตอบเสียงทุ่มต่ำ

      //อะไรนะ!!//

      “มันยิงแสกหน้า แล้วก็ถลกหนังเขาแซะเนื้อเป็นชุดตัวเลขที่นายเห็นนั่นแหละ”





-มีต่อ-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2016 09:01:41 โดย WiChy »

ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
      Rrrrrr  Rrrrrr

      เสียงโทรศัพท์ของภูมิรพีดังขัดจังหวะก่อนที่ทิมจะได้เอ่ยอะไร  “เดี๋ยวนะทิมมันโทรเข้ามาแล้ว ตรวจจับพิกัดสัญญาณมันด้วย”  เสี่ยเซนทำสัญญาณมือให้ทุกคนเงียบ ก่อนจะพยักหน้าให้ภูมิรพีกดรับโทรศัพท์พร้อมเปิดลำโพง

      / เก่งมากนี่หว่าสิงห์ แกมันอัจฉริยะอย่างเขาว่าจริงๆ  ไม่กี่นาทีสามารถแก้คำใบ้ของฉันได้ เสียใจด้วยว่ะที่พลั้งมือกับหมาเฝ้าแกะกับแกะไร้ประโยชน์ของแกนิดหน่อย  ฉันใจดีนะจะชดเชยค่าเสียหายให้ก็แล้วกัน ยกหกจะต่อเวลาให้ถึงหกโมงเช้าก็แล้วกัน  แต่มีเงื่อนไขว่าแกต้องเดินเท้ามาพร้อมกับใบมอบฉันทะสัมปทานก๊าซธรรมชาติทั้งหมดในแถบนี้.เอามันมาให้ฉัน.... / 

      “พูดเป็นเล่น!!  เวลาแค่นี้กับความไม่ชำนาญพื้นที่” 

      / นั่นมันก็แล้วแต่พวกแกจะจัดการ  ถ้ายังมาไม่ถึงจะมีการน๊อคเอาท์ก่อนกำหนด....ปิ๊บ/ ไต่ชินหยางกดตัดสายไปแล้ว

      “ได้อะไรรึเปล่าทิม”

      // มันมีคลื่นรบกวน บอกพิกัดแน่ชัดไม่ได้ เหมือนมันจะเคลื่อนที่ไปมาทางเหนือของหมู่บ้านแล้ววกเข้าในกลางหมู่บ้าน หลังจากนั้นสัญญาณมันก็ขาดหายไป //

      “ก็ยังดี ค้นต่อนะทิม” 

       // ครับ //  ทุกคนอยู่ในอาการเงียบครุ่นคิดหางทางแก้ไขสถานการณ์อีกครั้ง

      “ช่วยยกพวกเขาขึ้นรถ กลับไร่กันก่อน”

       หลังจากที่เงียบเกือบห้านาที ภูมิรพีตัดสินใจหันไปสั่งคนอื่นๆ ยกศพกลับไร่ ทุกอย่างต้องวางแผนให้รัดกุม รอบคอบถ้าใช้อารมณ์ตัดสินผลที่ได้มันคงจะมีแต่คำว่าสูญเสีย พวกเราไม่คุ้นเส้นทางแถบนั้นถ้าไปตามแรงผลักดันของโทสะก็คงจะมีแต่ตายกับตาย  นั่นเป็นเรื่องโง่เง่าสิ้นดี

      .....................................



ครึ่งชั่วโมงต่อมา ณ ห้องประชุมเล็ก บ้านไร่โอบตะวัน

      “ทิมขอภาพถ่ายทางอากาศเส้นทางไปกะญายอ พื้นที่โดยรอบเส้นทางรัศมี 10 กิโลเมตร  ภายในหมู่บ้านและรอบหมู่บ้าน 20 กิโลเมตร”  ไม่ถึงห้านาทีภาพถ่ายทางอากาศก็ถูกฉายขึ้นบนจอสไลด์

      จากการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศพบว่า มีอาคารขนาดต่าง ๆ กว่า 50 หลัง ในวงล้อมหุบเขา อาคารเหล่านี้มีการพรางเป็นอย่างดีกลมกลืนไปกับพื้นที่ป่า ลักษณะของการปลูกสร้าง ที่ตั้งไม่ใช่ลักษณะของหมู่บ้านประชาชนธรรมดา มันดูมั่นคงแข็งแรงถาวร จึงเชื่อได้ว่าอาคารเหล่านี้ไม่ใช่บ้านเรือนของประชาชนแต่เป็นศูนย์กลางกองบัญชาการของไต่ชินหยางในภาคพื้นนี้แน่นอน

       นอกจากนี้กลุ่มของอาคารทุกหลังมีทางเดินเชื่อมถึงกัน รอบๆ บริเวณมีการขุดร่องเหลดและหลุมบังเกอร์ปืนกลหนักอยู่เป็นระยะๆ  สภาพภูมิศาสตร์เป็นหลุมแอ่งกระทะรอบหมู่บ้านเป็นผืนป่าและเขาล้อมรอบ มีเส้นทางติดกับหมู่บ้านข้างเคียง รัฐอื่น และไทยได้ 4 เส้นทาง

       “คำนวณเวลาจากไร่จนถึงที่ตั้งแห่งนี้ หากเดินเท้าคงใช้เวลาประมาณ 9 – 10 ชั่วโมง เวลาเราไม่พอที่จะทำอย่างนั้นได้ ถ้าจะชนะได้ต้องชิงลงมือก่อนอย่างเดียว เราจะใช้ปฏิบัติการปิดประตูตีแมว” ภูมิรพีเอ่ยเสียงเครียด

      “มันจะเป็นไปได้เหรอวะ” เสี่ยเซนมีสีหน้าค่อนข้างสับสนและลังเล  “เด็กเมื่อวานซืนที่มีฐานธุรกิจแค่หยิบมือเมื่อสองสามปีก่อนจะมีขีดความสามารถขยายฐานกำลังถึงขั้นนี้ มีกองกำลังเป็นของตัวเอง มีอาวุธสงครามในครอบครอง แถมหมู่บ้านนี้ก็เหมือนจะไม่ได้อยู่ในความสนใจของรัฐบาล”

       “อำนาจ เงินตรา มันหอมหวานมักหลอกล่อให้พวกที่ใฝ่หาหลงใหลได้ปลื้มไปกับได้เสมอ เช่นกันน้ำและความทะเยอทะยานมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือมันจะเยอะขึ้นเสมอ” 

       ภูมิรพีตอบเสียงเรียบ ขณะนี้ต่างคนต่างหมกมุ่นจ่มอยู่กับความคิดของตัวเองนั้น เสียงหนึ่งเรียกให้ทุกคนหันไปมอง คนที่มาใหม่สร้างความประหลาดใจให้อย่างมาก


      “เฮ้!  พวกมีเรื่องสนุกไม่บอกกันเลย”

      “กรณ์ / พี่กรณ์ / เฮียกรณ์”  เสียงเซ็งแซ่ร้องเรียกคนมาใหม่ราวกับนกกระจอกแตกรัง

      “ก็ใช่นะสิ!! เห็นเป็นผีเหรอวะ นี่ถ้าไม่มีเสียงกระซิบไม่มีทางรู้เลยว่าน้องกำลังได้รับอันตราย” 

       กรณ์พูดเสียงเครียดจริงจัง จนทุกคนมองหน้ากันเลิกลัก ก็รู้ๆ กันอยู่ว่ากรณ์เคร่งในเรื่องการปฏิบัติขนาดไหน ถ้าเป็นคนนี่พวกเขาไม่กลัวอยู่แล้ว แต่สิ่งที่มองไม่เห็นก็ไม่อยากจะลบหลู่

      “แล้วทำไมมาได้เร็วขนาดนี้ ได้ข่าวว่าสืบราชการลับอยู่แถวฝั่งตะวันออกไม่ใช่เหรอ”  ภูมิรพีเอ่ยถามด้วยความสงสัย

      “พี่ตามแมวหลุดกรงมาถึงนี่สองสามเดือนแล้ว  ยังเจอกับชัดเจนหรือเข้มแข็งเลยตอนหาข่าว ไม่ต้องด่ามันพี่สั่งไม่ให้ปูดเองแหละ ความลับของทางราชการนี่หว่า  อ้อถ้าคนยังไม่พอเดี๋ยวตามมาอีกสอง”  กรณ์ตอบราบเรียบแต่น้ำเสียงเจือความหงุดหงิดเล็กน้อย ยังไม่มีใครได้พูดอะไรประตูห้องเปิดขึ้นอีกครั้ง และคนที่เข้ามาใหม่ทำให้ทุกคนแปลกใจยิ่งขึ้น

      พี่เอ๊กซ์!  เฮียณิต!

      “หวัดดีทุกคน อ้าว! เฮีย”  ผู้มาใหม่เอ่ยทักทายทุกคนในห้องรวมทั้งเสี่ยเซนที่ไม่คิดว่าจะเจอ ก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ว่าง

      “มาได้ไง แล้วพี่พีล่ะ”  ภูมิรพีถามคณิต

      “พีไม่ได้มา กูเป็นตัวแทนมหาลัยมาสัมมนาทางวิชาการสื่อสิ่งพิมพ์ระดับภูมิภาคเอเชียที่โรงแรม....เพิ่งเสร็จกำลังว่าจะมาหาน้องที่ไร่ก็พอดีนั่นโทรหาบอกว่าน้องมีอันตรายกูเลยแจ้นมานี่  แล้วตกลง...”   ภูมิรพีเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้มาใหม่ฟังอย่างละเอียด ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดกันทุกคน

      “แล้วจะทำตามที่มันต้องการเหรอ”  พี่กรณ์ถามเคร่งเครียด

      “ชีวิตของน้ำนิ่งกับคานินสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ของพวกนั้นก็แค่ของนอกกายไม่ตายก็หาใหม่ได้หากมันอยากได้ก็ให้มันไป คราวที่แล้วเราตีงูแค่หลังหักมันเลยแว้งกัด คราวนี้ผมจะเล่นมันก่อนตีงูตัดนั้นให้ตายไม่งั้นมันก็จะแว้งกัดเราอยู่แบบนี้ไม่จบไม่สิ้น พวกมันเล่นผิดคนแล้ว”

      “แล้วมีแผนยังไง ถ้าจะทำอะไรก็ต้องรีบเวลากระชั้นเข้ามาแล้ว” 

       พี่เอ๊กซ์ซึ่งนั่งเงียบตั้งแต่มาเพิ่งได้มีโอกาสถามเสียงเครียด ภูมิรพีอธิบายแผนปฏิบัติการปิดประตูตีแมว จุดแข็ง จุดอ่อน ปัญหาอุปสรรค โอกาสที่คาดว่าจะเป็นช่องทางให้ปฏิบัติการนี้สำเร็จ สถานการณ์ข่าวที่สืบมาได้  ตลอดจนแผนสำรอง และทางแก้ไขหากเกิดปัญหาในแต่ละแผน

      “ปฏิบัติการครั้งนี้ จัดกำลังเป็น 4 ชุด  ชุดละ 10 คน ชุดแรกผม พี่ณิต และเด็ดขาด ปิดล้อมเส้นทางทิศเหนือ  ชุด 2 เฮียเซน  เฮอร์เซล และอาแจ๊กซ์ ปิดล้อมเส้นทางด้านตะวันออก  ชุด 3 พี่กรณ์ เข้มแข็ง และเทรย์เวอร์  ปิดเส้นทางด้านทิศใต้  ชุด 4 พี่เอ็กซ์ แดนสรวง และชัดเจน ปิดล้อมเส้นทางด้านทิศตะวันตก  แต่ละชุดมีบอดี้การ์ด 7 คน เป็นทีมซัพพอร์ต  เราจะจัดการกระชับพื้นที่เข้าไปจนถึงจุดกึ่งกลางซึ่งเป็นฐานบัญชาการ สำหรับนักบินให้กลับไปรับพวกเราตอนสองนาฬิกาตรงจุดส่ง  ส่วนการบังคับบัญชาทั้งหมดผมจะตัดสินใจเอง เราจะสื่อสารกันผ่านวิทยุสื่อสารเครือข่ายเฉพาะ ที่นี้ผมอยากให้ทุกคนศึกษาสภาพพื้นที่ให้เข้าใจ”

      กลุ่มผู้ร่วมปฏิบัติการฟังคำชี้แจงจากภูมิรพี รับทราบถึงความต้องการของภารกิจและอื่นๆ ถกปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติการจนเข้าใจอย่างแจ่มชัด หลังจากนั้นภูมิรพีให้ทุกคนจัดเตรียมสิ่งของจำเป็นสำหรับภารกิจไม่ว่าจะเป็นเข็มทิศ วิทยุติดต่อ โทรศัพท์เคลื่อนที่ พลุส่องแสง ระเบิดควัน ระเบิดสังหาร เชือกเดินป่า มีดสังหาร แว่นตาอินฟาเรด กล่องปฐมพยาบาลแบบพกพาที่มีมอร์ฟีนระงับปวดเป็นหลัก และที่สำคัญที่สุด อาวุธประจำกายพร้อมกระสุนเต็มอัตรา ปืนสั้นออโตเมติก  เอ็ม 16 และเอซเค 33 ปืนสองชนิดหลังนี้สามารถใช้กระสุนร่วมกันได้โดยไม่ต้องดัดแปลงอะไรอีก
 
      ภูมิรพีปล่อยให้ทุกคนจัดการกับอาหารเย็นง่ายๆ ตลอดจนธุระส่วนตัว  ทุกอย่างเสร็จสรรพและพร้อมปฏิบัติการปิดประตูตีแมวในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที 

      .........................................



       ท้องฟ้าข้างนอกมืดมิดหมู่ดาวกระพริบพราวแสงแต่ไร้แสงนวลจันทร์ เสียงแมลงกลางคืนหวีดร้องเซ็งแซ่ ลมกลางคืนพัดส่งกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกันจนเกิดเสียงดังก้องทั่วบริเวณไร่ราวกับคำอวยพร “ขอให้โชคดี” ทุกคนกระชับเสื้อและเป้หลังให้รัดกุมก่อนจะแยกย้ายกันขึ้นฮอลิคอปเตอร์สี่ลำที่จอดรออยู่บนลานหญ้าหน้าบ้านพัก

       ชั่วระยะเวลาไม่ถึงนาที ภาพเบื้องล่างเล็กลงๆ จนกระทั่งกลืนหายไปกับความมืดของรัตติกาล ทิวไม้และทิวเขาสลับพื้นที่ทุ่งนาเป็นตาสี่เหลี่ยมเห็นเป็นเงาตะคุ่มอยู่เบื้องล่าง เสียงใบฟัดดังแหวกอากาศก้อง บางครั้งตัวเครื่องเอียงวูบเหมือนจะดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่างเพราะลมบนกรรโชกแรง

       ภายในฮอฯ ไม่มีแม้เสียงพูดคุย ใช่ว่าจะกลัวตายแต่อารมณ์ที่ปล่อยล่องลอยไปในอากาศจนสุดขอบฟ้ามองเห็นภาพของคนที่ถูกจับป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง ใครบ้างในโลกนี้ไม่กลัวตาย บอดี้การ์ดที่ตามมาไม่ใช่คนหรือจึงไม่มีสิทธิ์กลัวตาย ภูมิรพีเข้าใจดีและจะนำทุกชีวิตที่ไปกับเขากลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้

       สองชั่วโมงต่อมา นักบินแจ้งเตือนว่าเตรียมลงสู่พื้น มันอันตรายเกินไปหากเข้าใกล้กว่านี้ ฮอฯ จะส่งก่อนเข้าเขตแดนกะญายอ 15 กิโลเมตร ชุดปฏิบัติการต้องเดินเท้าต่ออีก 16 กิโลเมตร รวมระยะที่ต้องเดิน 31 กิโลเมตร โดยกำหนดการกระชับพื้นที่ในเวลาเที่ยงคืนตรง ทุกคนจ้องไปยังเบื้องล่าง สิ่งที่เห็นมีเพียงอย่างเดียวคือ ยอดหญ้าที่เป็นเงาตะคุ่มบนลานโล่งเท่านั้นเอง

      ฮอฯ เอียงตัวลดระดับอย่างรวดเร็วจนแทบจะปักหัวลงพื้นดินราวจะหล่นลงพื้น อีก 3 ลำ แยกตัวออกไปตามพิกัดที่กำหนด ความสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 3 เมตร โดยไม่ต้องรอให้ฐานสกีสัมผัสพื้นทันทีที่เครื่องลอยตัวนิ่ง ทุกคนกระโดดลงทันที ต้นหญ้าแห้งที่สูงเลยระดับอกถูกแรงลมจากใบพัด พัดจนลู่แบนราบกับพื้น

      เวลาไม่กี่วินาทีทั้งหมดลงสู่พื้นอย่างเรียบร้อย ต่างแยกตัวออกจากจุดส่งเข้าสู่ที่กำบังย่อตัวสงบนิ่งสอดส่ายสายตาและสดับตับฟังเสียงรอบข้างที่อาจจะจู่โจมเข้ามา  เสียงฮอฯ บินวนกลับดังไกลออกไปตามทิศทางที่เข้ามา จนกระทั่งเสียงนั้นลับหายไปจากการได้ยิน หากจุดส่งไม่คลาดเคลื่อนคิดว่าขณะนี้แต่ละจุดห่างกันห้ากิโลเมตร 

      “ขอให้ทุกคนรายงานสถานการณ์”  ภูมิรพีพูดวิทยุด้วยตัวเองสองครั้ง

      “จุดสองเรียบร้อย”

      “จุดสามเรียบร้อย”

      “จุดสี่ไม่มีปัญหา”

      “ขอให้ทุกจุดถือเข็มทิศแนว  103 จนกว่าจะจับแนวหมู่บ้านนอข่อได้ ให้ตรวจสอบพิกัดที่อยู่ด้วย”  ทุกฝ่ายตรวจสอบพิกัดกลับมาเมื่อเป็นที่เรียบร้อยตรงกันทุกจุดก็เคลื่อนขบวนไปยังจุดหมาย

      การเคลื่อนขบวนเป็นไปค่อนข้างลำบากเพราะเป็นคืนเดือนมืด ต่างล้วงแว่นตาอินฟาเรดมาสวม เส้นทางรกทึบไปด้วยป่าหญ้าที่สูงเกือบท่วมหัวสลับกับป่าเบญจพรรณ ลมเย็นบนยอดเขาโชยมาเป็นระยะค่อยบ้างแรงบ้าง ต้นไม้ ขนาด 2 - 3 คนโอบมีให้เห็นอยู่ทั่วบริเวณ เป็นเครื่องแสดงว่าพวกมันยังไม่ทำลายป่าบริเวณนี้ หรืออีกทีก็เพื่อใช้เป็นเกราะกำบังทางธรรมชาติจากศัตรู

       การเดินทางบนสันเขาที่ต้องแหวกป่าหญ้าเดินมีระยะทางยาวไปจนกระทั่งเวลาเกือบยี่สิบสองนาฬิกาก็ยังไปไม่ถึงทางเข้าหมู่บ้านนอข่อ กับระเบิดหรือจุดซุ่มยิงในบริเวณนี้ไม่น่าจะมีเพราะเดินกันมานานก็ยังไม่มีวี่แววให้เห็น  แต่ถ้าหากไต่ชินหยางมันรู้ว่าเขาเล่นนอกเกมส์และให้คนจุดไฟเผาหญ้าไล่ก็มีหวังสุกตายแน่นอน  ภูมิรพีจึงสั่งให้เร่งเดินให้พ้นจากป่าหญ้าบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด

      “จุดหนึ่งเรียกจุดสอง ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”  ภูมิรพีวิทยุสอบถามสถานการณ์จากเสี่ยเซน

      “สถานการณ์ปกติ เหมือนมันไม่ระแวดระวังอะไรเลย สภาพเส้นทางมีแต่ดงกล้วยป่ารกทึบไปหมดนี่กินกล้วยกันจนอืดแล้วว่ะ เหลือระยะทางอีก 3 กิโลเมตรจะถึงทางเข้าหมู่บ้าน แล้วทางนั้นเป็นไง”

      “พอทนมีป่าหญ้าแห้งๆ สลับป่าเบญจพรรณ แต่ป่าหญ้ามีมากกว่าถ้ามันจุดไฟไล่มีหวังสุกตายแน่วะเฮีย คาดว่าอีกสัก 3.5 กิโลเมตรจะถึงทางเข้าหมู่บ้าน  จุดสามรายงานสถานการณ์ด้วย”

      “เรียบร้อยปกติดีทางโล่งอีก 2 กิโลเมตร จะถึงทางเข้าหมู่บ้าน แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยปลอดภัยเลยวะ แมร่งมันเป็นป่าโปร่งไง แล้วรู้สึกพวกมันจะมีจุดตรวจคอยลาดตระเวนเหมือนมีค่ายอะไรสักอย่างอยู่ใกล้ๆ นี้”

      “พี่ระวังด้วยแล้วกัน”

      “โอเค”

      “จุดสี่รายงานสถานการณ์เรียบร้อยไหมครับ”

      “ค่อนข้างลำบากและอันตรายพอสมควรมันเป็นทางเลียบสันเขา มีรถบรรทุกวิ่งเข้าวิ่งออกออกทุกครึ่งชั่วโมง พี่ต้องเลี่ยงเดินตามแนวสันเขาซึ่งหินขรุขระต้องขึ้นลงตลอดทาง อีก 4 กิโลเมตรจะถึงทางเข้าหมู่บ้าน จะเร่งให้ทันกำหนดนัดหมาย”

      “โอเคระวังตัวด้วยพี่เอ๊กซ์”

      การเดินทางของชุดปฏิบัติการปิดประตูตีแมว ค่อยรุกคืบหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งและไม่ย่อท้อ โดยมีจุดหมายอยู่ที่สิ่งอันเป็นที่รักของพวกเขา

       ทุกก้าวย่างของพวกเขาจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ อันตรายถึงชีวิตไหม  ไม่มีใครตอบได้ล่วงหน้า หวังแค่ว่าทุกอย่างมันจะผ่านพ้นไปด้วยดีแต่ที่มากสุดคือความห่วงใยที่ดังก้องกังวานอยู่ในสำนึกตลอดเวลา….

      ................................













TBC.

ปล.

1. ตอนนี้เป็นมหกรรมฆาตกรรมตัวละครไป 7 ตัว สุดเศร้าแต่จะให้ทำยังไงเกมส์มันต้องมีได้มีเสีย ไม่แพ้ก็ชนะ กว่าจะรบชนะไม่รู้ว่าจะแลกด้วยอะไรกันมาบ้าง   
2. สถานที่ต่างๆ ที่กล่าวมาเป็นสมมุติฐานเพื่อเพิ่มการมโนเท่านั้น
3. หากเจอข้อผิดพลาดและอยากแนะนำอะไรให้แปะไว้นะครับ จะรับไปแก้ไขต่อไป
4. ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมา และขอให้สนุกกับการอ่าน :)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-04-2016 22:02:13 โดย WiChy »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
สงสารเมืองอ่ะ :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
รอบนี้อาจเป็นแดนก็ได้ที่ตายเพราะเมืองตายแล้วแดนอาจตายตาม

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
ลุ้นจนเหี้ยวจะแตก :ling3:

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ minmin96

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

จบงานนี้..น้ำคงเลิกทำตัวปัญญาอ่อนสมองนิ่มสักที

คือสิงห์อาจเลี้ยงดูน้ำอย่างถนอม แต่ไงน้ำถึงปัญญาอ่อนเหมือนเด็กสามขวบนะ???


ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
เด็กเลี้ยง


34

เดินทางไกล [3] : ของกลาง





      ในภวังค์ครึ่งหลับครึ่งตื่น น้ำนิ่งพยามยามขยับร่างให้คลายความเมื่อยขบจากท่านอนที่ไม่สบายตัวนัก แต่แค่เพียงขยับตัวความรู้สึกปวดแปลบแล่นริ้วทั่วทั้งหัวไหล่จากข้อมือที่ถูกมัดไพล่หลังจนผวาตื่นเต็มตา ปากอิ่มอุทานด้วยความเจ็บ ดวงตาที่ยังปรับแสงสว่างไม่ทันทำให้ต้องหลับตาลงแล้วค่อยๆ ลืมขึ้นใหม่อีกครั้งอย่างยากเย็น

      “รู้สึกตัวแล้วเหรอ”

      “พี่คานิน...”

      ร่างบางพยายามทรงตัวลุกขึ้นจากฟูกนอนเก่าๆ ที่ปูลาดบนเตียงไม้ไผ่อีกที กลิ่นยาบางอย่างยังอวลอยู่ในโพรงจมูกจนรู้สึกคลื่นเหียนซวนซบลงนอนอีกครั้ง ที่หน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายพยายามสูดลมหายใจยาวๆ เพื่อบรรเทาอาการคลื่นเหียนอึดอัดหายใจไม่สะดวก น้ำนิ่งกัดฟันขยับตัวจนสามารถทรงตัวลุกขึ้นนั่งพิงผนังห้องได้สำเร็จชันเข่าขึ้นให้แนบไปกับอกของตัวเองราวกับจะเรียกหาความอุ่นใจ ก่อนจะเอ่ยถามคานินที่ถูกมัดแขนขาติดกับเก้าอี้ไม้ไผ่ห่างจากเตียงไปเล็กน้อย

      “นี่เราอยู่ที่ไหน?”

       “คงจะเป็นหมู่บ้านชายแดนที่ไหนสักแห่ง พี่เพิ่งรู้สึกตัวตอนมันยัดเข้ามาในห้องนี้เหมือนกัน”

      “แล้วมัน...”

      “แก้แค้นน่ะสิ”

      “แก้แค้นใคร!?”

      “พี่ได้ยินมันคุยกับเสี่ยว่าจะเอาคืนเมื่อสองปีที่แล้วสองคนนั้นฆ่าคนรักของมัน”

      “คนรัก? ไม่เคยได้ยิน มีแต่น้องชายสองคนไม่ใช่เหรอ แล้วสองฝ่ายขัดแย้งเรื่องธุรกิจมานานแล้วไม่ใช่เหรอ”

      “มาร์โคน้องชายบุญธรรมนั่นไง เรื่องขัดแย้งธุรกิจก็ใช่ อำนาจ เงินตรา เปรียบเสมือนน้ำทะเล ยิ่งดื่มมากเท่าไรยิ่งกระหายมากขึ้นเท่านั้น  มันใช้เราแลกกับผลประโยชน์มหาศาลจากสัมปทานก๊าซธรรมชาติทั้งหมดในภูมิภาคนี้  ถ้าพรุ่งนี้เฮียมาช่วยพวกเราไม่ทันพี่คิดว่ามันคงเอาเราขายซ่องตามชายแดน หรืออีกทีก็บังคับให้ค้าประเวณีเป็นมดงานขนยาเสพติด หรือร้ายกว่านั่นคือฆ่า...”

      “…..”

      แววตาตระหนกกวาดมองไปรอบๆ จากสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นตา ทำให้รู้สึกหวาดกลัวเหลือประมาณ  ห้องที่พวกมันใช้กักขังสลัวอึมครึมด้วยไฟหลอดกลมแรงเทียนน้อยให้บรรยากาศเหมือนกับอยู่ในคุกมืดก็ไม่ปาน 

       มุมห้องด้านในตรงข้ามเตียงถูกแบ่งเป็นคอกง่ายๆ ด้วยการก่ออิฐบล็อกสูงแค่เอวเป็นส้วมนั่งยองซึ่งน่าจะผ่านการใช้งานมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเพราะตามขอบฐานเหยียบและขอบด้านล่างเต็มไปด้วยคราบสีเข้มราวกับไม่ผ่านการซะล้างทำความสะอาดมานับแรมปี

       พื้นซีเมนต์ในคอกแฉะนองไปด้วยน้ำที่เอ่อจากรอยแตกรอบฐานส้วมส่งกลิ่นฉุนกึกไปทั่วทั้งห้อง ช่องลมที่ติดลูกกรงอยู่เหนือหัวเตียงขึ้นไปหนึ่งช่วงแขนก็ไม่อาจระบายกลิ่นได้หมด ร่างบางซบหน้าลงกับเข่าสูดกลิ่นตัวเองเพื่อลดอาการพะอืดพะอมที่ตีกระหน่ำจนคอขมปร่า

      “ไม่เป็นไรนะ”

      “มะ ไม่ฮะ...”

      น้ำนิ่งเสตามองข้ามไหล่คานินมีโต๊ะไม้ไผ่ผุๆ ที่ถูกมอดเจาะแทะจนเศษผงไม้ร่วงหล่นเต็มพื้นรอบโต๊ะวางชิดผนังอยู่ บนโต๊ะมีน้ำสองขวดพร้อมอาหารสองจานที่กำลังถูกแมลงสาบรุมกินอาหารในจานจนแทบไม่เห็นอาหารที่อยู่ในจาน

       สมองไพล่คิดไปถึงขาของมันที่ไต่ไปตามตัวและกลิ่นฉุนกึกของมันให้รู้สึกขยะแขยงจนขนลุกชัน อาการผะอืดผะอมตีรวนรุนแรงขึ้นมาจนไม่สามารถกลั้นต่อไปได้น้ำนิ่งล้มถลาตัวไปที่ปลายเตียงโก่งคออาเจียนน้ำเหนียวใสออกมาจนหมดไส้หมดพุง...

       หูอื้ออึงได้ยินเสียงเก้าอี้ครูดกับพื้นซีเมนต์ เบือนหน้าไปสบตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายของคานิน เจ้าตัวพยายามโผตัวอย่างยากลำบากเข้าหาทั้งที่ถูกมัดติดแน่นอยู่กับเก้าอี้ น้ำนิ่งส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร ทั่วทั้งลำไส้และกระเพาะหดเกร็งจนเจ็บร้าวไปหมด ชันตัวลุกขึ้นนั่งพิงผนังห้องอย่างทุลักทุเลหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน

      “ไหวหรือเปล่า”

      “วะ ไหวขอน้ำอยู่อย่างนี้สักพัก...”

      “.......”

      น้ำนิ่งหวนระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายกำลังนั่งดูคานินกับบ๋อมที่ขึ้นจากน้ำนานแล้วแต่แต่งตัวไม่เสร็จสักทีเพราะมัวถกเถียงหยอกล้อกันด้วยเรื่องอะไรสักอย่าง  เสียงฝีเท้าคนเดินดังใกล้เข้ามาจนกระทั่งหยุดอยู่ข้างหลัง เขาคิดว่าเป็นเมืองแมนจึงชวนคุยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะโดยไม่ได้หันไปมอง

      ‘ ดูสองคนนั่นสิทะเลาะกันยังกับเด็กๆ เลย ’

      ‘…..’

      เงียบ! ไม่ได้ยินเสียงตอบ น้ำนิ่งรู้สึกฉงนจึงหันไปมอง...ม่านตาเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังไม่ใช่เมืองแมนแต่เป็น ‘พี่โอ๋’ ที่มาพร้อมกับชายฉกรรจ์หกคน

      น้ำนิ่งกำลังจะอ้าปากตะโกนเรียกเมืองแมน แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปล่งเสียงก็ถูกผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งโปะลงที่ปากกึ่งจมูก เขาเม้มปากแน่นพยายามกลั้นหายใจ ดิ้นสุดแรงให้หลุดพ้นจากลำแขนกำยำที่ล๊อกตัวเขาแน่นจากข้างหลัง มือป่ายปัดดึงกระชากผมมันอย่างแรงจนหลุดติดมือมากระจุกหนึ่ง

      ‘โอ๊ย! อีตุ๊ด สัตว์เอ๊ย!’

       มันสบถหยาบคายด้วยความเจ็บ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ยอมปล่อย แขนที่แข็งราวกับคีมเหล็กของมันล๊อกตัวมืออีกข้างกดผ้าแน่นกว่าเดิม ในกรอบม่านตาที่เบิกโพลงเขาเห็นคานินถูกไป๋ซานเสยด้วยฝ่ามือเข้าที่ปลายคางอย่างแรงจนทรุดลงกับพื้นหินอย่างหมดรูป ก่อนจะถูกจับมัดมือไพล่หลังเอาเทปกาวปิดปาก ห่างออกไปเกือบเมตรบ๋อมยืนมองทุกการกระทำด้วยแววตาที่อ่านไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร

      ......ทำไมกัน....!?

       คำถามหนึ่งที่ดังชัดในจิตใจและเขาต้องการรู้มากที่สุดคือ บ๋อมทำเช่นนี้ทำไม เราเป็นเพื่อนรักกันไม่ใช่เหรอ!?... น้ำนิ่งภาวนาลึกๆ ว่า สิ่งที่เขาเห็นนั่นเกิดจากภาพลวงตาเพราะกำลังจะขาดออกซิเจนทีเถอะ

       ก่อนที่สติจะดับวูบน้ำนิ่งรับรู้ได้ถึงความเจ็บแสบและคาวเลือดปะแล่มจากการกดอย่างแรงจนฟันบดครูดกับกระพุ้งแก้มเกิดแผลภายในช่องปาก การกลั้นหายใจเกือบสี่นาทีสำหรับคนที่ร่างกายไม่ได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะถือว่าค่อนข้างนาน ร่างกายเริ่มชา หน้ามืดเวียนหัว ตาขาวปรากฏเส้นเลือดฝอยเบิกโพลงจากการขาดออกซิเจน การดิ้นรนขัดขืนเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ร่างกายที่ทรมานด้วยความหวาดกลัว สุดท้ายก็ยอมแพ้อ้าปากกระเสือกระสนเอาชีวิตให้รอดสูดหายใจเอากลิ่นยาฉุนจนเอียนเข้าปากจมูกเต็มรัก สติรับรู้เริ่มห่างหายออกไปทีละน้อย...

      ‘เรียบร้อยแล้วครับนาย’

      ‘ดี เอาตัวกลับฐาน จัดคนเฝ้าให้แน่นหนาอย่าให้หนีได้’  นั่นคือคำสั่งสุดท้ายก่อนที่สติของน้ำนิ่งจะดับวูบไป




       “พี่เมือง ลุงหมาน แล้วพี่สองคนนั่นตอนนี้อยู่ไหนจะเป็นตายร้ายดียังไง...”  น้ำนิ่งลืมตาขึ้นช้าๆ เอ่ยถามเสียงสั่นพร่า หัวใจดวงน้อยเต้นแรงระรัวหวาดกลัวไปหมด ห่วงว่าพวกมันจะทำอะไรคนของเขา

      “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

       “ภาวนาอย่าให้มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นเลย...”

       “คงจะไม่เป็นอะไรหรอกใจเย็นๆ นะ...”  เสียงที่ตอบกลับมาของคานินก็ไม่ต่างกัน ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่นั่นก็พูดออกไปเพื่อปลุกปลอบใจทั้งคู่ให้คลายความกลัวเท่านั้นเอง

      ความหวาดกลัวทำให้น้ำนิ่งกล้าที่จะเสี่ยงแม้ทางที่เลือกมันไม่มีโอกาสที่จะรอดเลยก็ตาม สมองประมวลผลอย่างหนักหาทางเอาตัวรอด แล้วก็ไปสะดุดที่แสงสว่างสุดปลายอุโมงค์ ไอ้ลูกกรงตรงช่องลมนั่นขอให้มันเป็นอลูมิเนียมกรวงข้างในทีเถอะ

      “เราต้องหนี น้ำยอมไปตายเอาดาบหน้าดีกว่ารอความตายอยู่ที่นี่”  น้ำนิ่งเอ่ยเสียงจริงจังแต่เจือด้วยความหวาดหวั่นจนคานินรู้สึกได้

      “แต่เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ อยู่ที่นี่พี่ว่าเราอาจจะรอดแต่ถ้าออกไปแล้วเกิดเราหนีไม่พ้น...” 

      “ก็ใช่ถ้าเราอยู่ที่นี่เราอาจจะรอดจนถึงเช้าพรุ่งนี้ร้อยละ 99.99 แต่อีกร้อยละ 0.01 น้ำขอเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองดีกว่า คำว่า ‘อาจจะ’ พี่คานินเชื่อได้เหรอ...ว่าระหว่างนั้นพวกนั่นจะไม่ทำอะไรเรา เชื่อได้แค่ไหนกัน...กับคนที่เรารู้จักมานานยังทำกับเราได้....”  แววตาที่สบกันมันทั้งเจ็บปวดผสมปนเปไปกับคำถามว่าทำไมอยู่เต็มไปหมด

      “.....” คานินเงียบไปสีหน้าบ่งบอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร แต่เสียงถอนหายใจหนักหน่วงนั่นบอกได้แน่ชัดล่ะว่ากังวลสับสนแค่ไหน
 
       “สามสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิตของน้ำคือ ความรัก ความมั่นใจในตัวเอง และเพื่อน แต่ว่า ‘เพื่อน’.ตอนนี้...เฮ้อ! ไม่รู้สิกับบางคนเรายอมทำทุกอย่างเพื่อเขาได้ แต่ใช่ว่าเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อเรา...”  น้ำเสียงที่ขาดความมั่นใจเจ็บปวดของน้ำนิ่ง ทำให้คานินมองอย่างครุ่นคิดตาม

       “นั่นสินะ ทุกคนใช้คนอื่นเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอ...คนที่เรารู้จักมานานกลับไม่ใช่ที่เรารู้จักในวันนี้...ที่ผ่านมาพี่เชื่อว่าเฮียไป๋เขารักพี่เหมือนน้องชายคนหนึ่ง เขาดีกับพี่มาตลอด พี่เองก็นับถือเขาเหมือนพี่ชายแท้ๆ แต่วันนี้...เจ็บเหมือนกันนะกับการถูกหักหลัง” 

       “น้ำเข้าใจความรู้สึกของพี่คานินดี น้ำก็เสียใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จนตอนนี้ยังอยากจะให้ภาพที่เห็นนั่นเป็นแค่ภาพลวงตา ยังอยากจะรู้เขามีเหตุผลอะไรถึงทำอย่างนั้น ในหัวน้ำมันมีแต่คำว่าทำไม? ทำไม? เต็มไปหมดแต่ก็ไม่มีคำตอบของคำถามอยู่ดี”  ทั้งน้ำเสียงและสายตาบอกคานินว่าน้ำนิ่งรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ คนโตกว่าทอดถอนใจอีกครั้งอย่างระล้าระลังในการตัดสินใจ

       “เอาวะ! จะช้าหรือเร็วเราก็ต้องสู้กับความกลัวของเรา ลงเรือลำเดียวกันแล้วก็ต้องช่วยกันคัดช่วยกันพายมันไปให้ถึงฝั่งให้ได้ แต่มันมีทางออกแค่ทางเดียวพี่คิดว่ามันต้องมีคนเฝ้าอย่างแน่หนาเราไม่มีทางหลุดออกไปได้แน่”

      “ใครว่าล่ะ พี่คานินเห็นนั่นไหม”  น้ำนิ่งทำปากบุ้ยใบ้ไปที่ช่องลมตรงหัวเตียง คานินมองตามแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าจะออกไปได้ยังไง

      น้ำนิ่งยกยิ้มร้ายขยับตัวลงจากเตียง นับเป็นความโชคดีหรือความเผลอเลอของพวกมันก็ไม่อาจทราบได้ ยังไงก็ขอบคุณพวกมันที่ไม่มัดขาของเขาด้วย  ร่างบางหย่อนขาลงยืนบนพื้นข้างเตียง สายตาสอดส่ายหาอะไรสักอย่างที่พอจะตัดเทปพันข้อมือให้ขาด คานินมองด้วยความสงสัย

      “หาอะไร?”

      “อะไรสักอย่างที่มันพอจะตัดไอ้เทปนี่ให้ขาด”  น้ำนิ่งหันหลังให้ดูเทปที่ใช้พันข้อมือเขาอยู่

      “มานี่สิ ช่วยอะไรพี่หน่อย”  น้ำนิ่งเดินเข้าไปหาแบบงงๆ  “อ้อมมาฝั่งซ้ายสิแล้วนั่งลงยื่นมือไปตรงส้นรองเท้าน่ะ ใช่ๆ ตรงยี่ห้อ อืมทีนี้กดลงไปเลย”  มีเสียงปลดล๊อกสลักเบาๆ 

       “เอาล่ะทีนี่น้ำช่วยแงะพื้นรองเท้าออกที”  ด้วยสภาพของแต่ละคนที่ไม่เอื้ออำนวยทำให้ค่อนข้างลำบากและเสียเวลาไปสองสามนาทีกว่าน้ำนิ่งจะแซะพื้นรองเท้าออกได้

      “ออกรึยัง”

      “โอเคได้ล่ะ”

      “ทีนี้หยิบมีดพับนั่นขึ้นมาจัดการเทปซะ”  น้ำนิ่งไม่รอช้าหยิบมีดมาไว้ในมือสอดเข้าด้านในกดสปริงให้ใบมีดเด้งออกมา มือกำมีดให้แน่นกว่าเดิมค่อยๆ กรีดเทปกาวให้ขาด ปากก็คุยกับคานินเบาๆ ไปด้วย

      “ก็สงสัยอยู่ว่าทำไมพื้นรองเท้าพี่มันสูงแปลก นึกว่าเป็นเทรนแฟชั่นใหม่ซะอีก”

      “เฮียสั่งตัดพิเศษติดสัญญาณจีพีเอส ตอนแรกที่เห็นพี่ก็คิดแบบตื้นเขินว่าเขาไม่เชื่อใจจนต้องคอยจับผิดไง เลยไม่ยอมใส่เถียงกันบ้านแทบแตก สุดท้ายเฮียพูดแค่ว่า ‘ถ้ากูไม่รักไม่ห่วง กูไม่ใส่ใจขนาดนี้’ แค่นั้นจริงๆ ที่ทำให้พี่ยอม อ๊ะ!! แมร่งเอ๊ย...”  น้ำนิ่งสะดุ้งโหยงตกใจกับเสียงร้องจนเผลอให้คมมีดเฉี่ยวถูกหนังอุ้งมือคิดว่าไม่ลึกนักแต่ก็แสบๆ

      “มีดบาดเหรอ”  คานินถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง น้ำนิ่งสั่นหน้า สมาธิจดจ่อกับคมมีดที่ค่อยๆ เฉือนฉีกเทปกาวขาดออกทีละชั้น

      “เมื่อกี้พี่คานินจะพูดอะไรนะ” 

       “แมร่ง!! ซวยฉิบหายกูนะกู โง่เอ๊ย! รู้ทั้งรู้ว่าตัวส่งสัญญาณจีพีเอสมันขัดข้อง แทนที่จะบอกทิมตั้งแต่ก่อนมา บ้าบอฉิบหาย แมร่งซวยซับซวยซ้อน”  คานินสบถเสียงเบาก่นด่าตัวเอง หายใจฮึดฮัดขัดใจกับความประมาทเลิ่นเลอของตัวเอง ถ้าเฮียรู้มีหวังเขาเจ็บตัวแน่ที่ไม่รู้จักรักตัวเองแบบนี้

      “เอาน่าตอนนี้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนก่อน  อ๊ะ! ขะ...อุ๊บ”

      น้ำนิ่งดีใจจนหลุดเสียงร้องออกมาค่อนข้างดัง แต่ก็หุบปากได้ทันตามองที่ประตูเขม็งด้วยกลัวว่าพวกมันจะได้ยินเสียง ดึงเทปกาวออกจากข้อมือบิดแขนคลายความปวด ก่อนจะหันไปตัดเทปกาวที่พันรอบข้อเท้าของคานินออก เสร็จแล้วตามด้วยข้อมือ เมื่อเป็นอิสระคานินบิดตัวคลายความเมื่อยขบ เสร็จแล้วจึงก้มลงจัดการใส่พื้นรองเท้าให้เหมือนเดิม

      “เอาไงที่นี่”

      คานินเอ่ยอย่างร้อนรนกลัวพวกยามข้างนอกจะรู้ว่าสองคนหลุดจากพันธนาการแล้ว  น้ำนิ่งถลาไปยังโต๊ะไม้ไผ่ดึงลากให้ห่างจากผนังอย่างเบามือ เขาหมายตาไม้ตีฉาบโต๊ะขนาดเหมาะมือซึ่งห้อยหลุดอยู่มุมด้านในแต่แรกแล้ว

       มือเรียวดึงกระชากอย่างแรง มันหลุดออกมาอย่างง่ายดายเพราะตะปูที่ตอกยึดเป็นสนิม แต่แรงดึงทำให้โต๊ะขยับและสั่นไหว ฝูงแมลงสาบในจานข้าวแตกฮือ น้ำนิ่งสะดุ้งโหย่งฉากหลบจนก้นกระแทกพื้นอย่างแรงกระถดหนีด้วยความขยะแขยง เท้ากระทืบมือป่ายปัดแมลงสาบขี้ตกใจสี่ห้าตัวที่บินมาไต่ขึ้นตามตัว หน้าตาบิดเบี้ยวอธิบายไม่ถูก แมลงสาบก็เหมือนแกล้งยิ่งหนีแมร่งยิ่งตาม คานินแทบจะปล่อยก๊ากกับท่าทางของน้อง แต่ก็ระงับไว้ได้ทันเพราะสายตาที่ตวัดฉับมาอย่างเอาเรื่องของน้อง

      “ตลกนักรึไง ไม่ได้กลัวแค่ขยะแขยงเหอะ”  น้ำเสียงสะบัดงอน ตอกย้ำหนักแน่นให้คานินรู้สึกตามในตอนท้ายคนพี่แทบจะหลุด กลั้นจนหน้าดำหน้าแดง

      “ขอโทษ ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจแต่ท่าทางน้ำอ๊ะ...ซู๊ดด”  น้ำนิ่งซัดปึกค่อนข้างแรงตรงต้นแขน คนโตกว่าเปลี่ยนจากท่าทางขบขันเป็นซู๊ดปากล้อเลียน

      “ยังจะพูดอีก”

      น้ำนิ่งออกอาการงอนๆ ทำตาประหลับประเหลือก มือถอดเสื้อเชิ้ตขาวบางออกจากตัว เหลือไว้เพียงเสื้อกล้ามสีดำตัวเดียว มือเอื้อมไปหยิบขวดน้ำบนโต๊ะมาเปิดแล้วเทราดลงบนเสื้อเชิ้ตจนโชกชุ่ม วางใส่มือคานินให้ถือไว้อย่างงๆ

      คนตัวบางยกเก้าอี้ไปวางบนเตียง แล้วเจ้าตัวก็เดินมาหยิบไม้ไผ่กับเสื้อเปียกๆ จากมือคานิน ก่อนจะปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้อีกที มือดีดลงบนซี่ลูกกรงเบาๆ เกิดเสียงดังก๊องมันกรวงอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ  ร่างบางเขย่งปลายเท้าให้สูงขึ้นอีกนิดเพื่อจะได้เอาเสื้อเชิ้ตผูกคล้องลูกกรงสองซี่ได้สะดวก เมื่อมัดปมจนแน่จึงเอาท่อนไม้ไผ่สอดเข้าตรงกลางก่อนจะเริ่มหมุนเหมือนการขันชะเนาะจนเสื้อเชิ้ตพันเป็นเกลียวน้ำไหลย้อยลงมาตามแขนและผนัง คานินเริ่มเข้าใจสิ่งที่น้ำนิ่งจะทำที่ละนิด

      “ลงมานี่มาเดี๋ยวพี่ทำเอง” 

       คานินมองดูน้องที่พยายามเขย่งให้ถึงช่องลมแล้วให้รู้สึกสงสารจึงอาสาที่จะทำเอง คนตัวเล็กปล่อยมือให้พี่ชายขึ้นมาทำแทนตัวเองก็ขยับลงไปยืนมองข้างล่าง หางตาของคานินเหลือบเห็นน้องย่องเงียบเอาหูแนบประตูฟังเสียงความเคลื่อนไหวข้างนอกก็ยกยิ้มด้วยความเอ็นดู

       คานินปืนขึ้นไปแทนที่ด้วยความสูงและแรงที่มากกว่าซี่ลูกกรงอลูมิเนียมเริ่มบิดงอเข้าหากันในเวลาไม่นาน แผงลูกกรงและตะปูเกลียวที่ค่อนข้างเก่าเมื่อถูกบิดอย่างแรงก็เริ่มคลอน แต่ยังแน่นอยู่ดี

       มือแรงหมุนบิดแรงขึ้นและดึงไปด้วยอย่างต่อเนื่อง ซี่ลูกกรงบิดงอเข้าหากันเรื่อยจนเกิดรอยฉีกขาดตรงจุดที่ตีให้แบนเล็กๆ  แผงลูกกรงเริ่มคลอนหลวมนิดๆ ตะปูเกลียวด้านบนตัวหนึ่งดูหลวมๆ คานินลองหมุนบิดคลายเกลียวจนในที่สุดมันก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย เรียวปากได้รูปหลุดยิ้มกว้างอย่างดีใจกับความพยายามที่เริ่มเห็นผลอิสรภาพ? ใกล้เข้ามาอีกนิดแล้ว  เหลืออีกสามด้านที่ยังสนิทแน่นกับแผลง

       คานินเพิ่มแรงในการหมุนขันชะเนาะ พร้อมกับออกแรงดึงแผงลูกกรงไปด้วย รูตะปูเกลียวทั้งสามด้านเมื่อถูกดึงคลอนเริ่มหลอม คานินลองดึงทำให้ตะปูสนิทแนบกับแผงอีกครั้ง แมร่ง! สันกรามบดแน่นด้วยความโมโห สายตามุ่งมั่นออกแรงขันชะเนาะให้แน่นขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว





-มีต่อ -

ออฟไลน์ WiChy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
       เกือบยี่สิบนาทีต่อมา คานินเกร็งกล้ามแขนทั้งดึงทั้งหมุนจนเส้นเลือดปูดโปนซี่ลูกกรงบิดเข้าหากันซะจนรอยต่อที่ตีจนแบนยึดด้วยตะปูเกลียวขาดแบบไม่ทันตั้งตัว ปฏิกิริยาต่อเนื่องคือคานินเสียการทรงตัว เก้าอี้ซึ่งวางอยู่บนฟูกโอนเอนตามแรงขยับตัว สารอะดรีนาลีนที่ฉีดหลั่งฉับพลันเร่งสัญชาตญาณการเอาตัวรอดให้ร่างโปร่งที่กำลังจะหงายหลังตามแรงโน้มถ่วงรีบไขว่คว้าลูกกรงแผงลูกกรงแน่น แต่...

       - อ๊ะ -

      - ตึ้ง -

      - ตุ๊บ! อึก! โอ๊ย!! -

      เหตุการณ์เกิดขึ้นแค่ชั่วเสี้ยววินาที รู้ตัวอีกทีร่างโปร่งก็นอนแอ่งแม่งอยู่บนพื้นเตียงแล้วเสียงที่ดังเหมือนของตกจากที่สูงทำให้น้ำนิ่งที่กำลังสดับฟังเสียงภายนอกห้องหันกลับมามอง  ตาเบิกกว้างชะงักค้างกับภาพตรงหน้า 

       คานินตกจากเก้าอี้หงายหลังอยู่บนเตียง หน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความจุกเจ็บ แผงลูกกรงทั้งแผงยังถืออยู่ในมือ เก้าอี้หล่นเค้เก้อยู่บนพื้นหน้าเตียง


      “เฮ้ย!! เสียงอะไรวะ”

      เสียงตะคอกจากภายนอกดังเข้ามาพร้อมกับเสียงไขกุญแจและปลดโซ่ สองพี่น้องหันขวับไปที่ประตูนิ่งตาเบิกกว้างกว่าเดิม น้ำนิ่งได้สติก่อนวิ่งจากประตูมาจับเก้าอี้ไม้ไผ่ที่ล้มเค้เก้บนพื้นไว้แน่นวิ่งกลับไปแอบที่ข้างประตูในท่าเตรียมฟาด  คานินลืมความจุกเจ็บ โดดผลุงลงจากเตียงวิ่งอย่างรวดเร็วไปซุ่มที่ประตูอีกฝั่ง มือยกแผงลูกกรงขึ้นเหนือหัวเตรียมพร้อมเช่นกัน


      - แกร๊ก -


      - ปัง!!! -



      เสียงดึงลากโซ่ออกจากห่วงประตู ไม่ถึงวินาทีประตูห้องถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง ไม่รอช้าน้ำนิ่งเหวี่ยงเก้าอี้ฟาดเข้ากลางลำตัวมันสุดแรงเกิด คนร้ายที่ไม่ทันระวังตัวเสียหลักล้มหงายหลังกระแทกพื้นอย่างจัง มันสะบัดหัวทำหน้ามึนงง

      “โอ๊ย!! เหี้ยแล้ว อ๊ากกกกกกก....”

       น้ำนิ่งไม่รอช้าทิ้งเก้าอี้ในมือยกเท้ากระทืบเข้าจุดยุทธศาสตร์มันอย่างแรงทั้งถูกจังๆ และผ่านๆ แบบไม่ยั้งตีน ตัวมันงอก่องอขิงมือกุมจุดยุทธศาสตร์หน้าตาเขียวคล้ำบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวดแทบขาดใจ  คานินเองไม่ยอมให้พลาดโอกาสตีงูต้องตีให้ตายฟาดแผงลูกกรงที่อยู่ในมือกระแทกหน้ามันสุดแรงเกิด หน้าหันตามแรงเหวี่ยงเลือดกระเด็นจากปากหยดลงพื้นเป็นด่างดวง สลบเหมือดเพราะทนความเจ็บไม่ไหว


      - แคร็ง -


      น้ำนิ่งกระทืบซ้ำอีกครั้งแต่มันก็ไม่ไหวติง คานินทิ้งแผงลูกกรงที่อยู่ในมือลงพื้นเมื่อเห็นว่ามันแน่นิ่งไปแล้ว ฉุดมือน้องวิ่งไปยังบันไดมือกำลังจะเอื้อมเปิดประตู แต่ก็ต้องชะงักค้างเมื่อได้ยินเสียงคนพูดคุยอยู่แค่ชั่วประตูกั้น


      “ไอ้ฉเหว่กูมาเปลี่ยนเวร”

      “เหี้ย! มาเลยมึงกูเปรี้ยวปากฉิบหาย กลิ่นเหล้าหึ่งเลยมึงคงทั้งแดกทั้งอาบมาเต็มคราบล่ะสินานๆ นายใหญ่จะเลี้ยงแบบนี้ซักที”

      “สัดด่ากู ดีเท่าไรแล้วที่กูมาเปลี่ยน ถ้ามึงไม่ใช่เพื่อนป่านนี้กูรอเรียงคิวรอบสองกับเด็กใหม่ที่นายพามาสนุกคืนนี้แล้ว”

      “กูซึ้งบุญคุณฉิบหายสัตว์ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แมร่งจัดมันไปหลายรอบแล้วเหอะ เด็ดเหรอวะ”

      “เดี๋ยวมึงก็รู้ รีบไปสิวะ”

      “แล้วไอ้เตงหนั่ย”

      “เดี๋ยวไอ้ขิ่งมันมาเปลี่ยนมันกำลังจัด...”


      ได้ยินเท่านั้นแหละสองพี่น้องย่องเงียบลงจากบันได ถึงขึ้นสุดท้ายทั้งคู่วิ่งตื้อกลับเข้าห้องอย่างรวดเร็ว คานินปีนขึ้นไปเหยียบพนักหัวเตียง มือเกาะยึดขอบช่องลมแน่นยกตัวเองจนสามารถใช้ข้อศอกเท้าไว้กับขอบช่องลม ตาสอดส่ายเพ็งผ่าความมืดสลัวหาสิ่งผิดปกติอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดขยับเคลื่อนไหวในความมืดสลัว นอกเสียจากเสียงร้องรำทำเพลงจากที่ไหนสักแห่งดังแว่วตามสายลมแผ่วเบา ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มพอใจกับทางสะดวก

       คานินดึงสายตากลับมาที่ใต้ช่องลมเพื่อคำนวณว่าจะปีนลงไปอย่างไรไม่ให้เจ็บตัว แล้วก็ตั้งแปลกใจเพราะใต้ขอบช่องลมลงไปไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัดนั่นเป็นพื้นดิน งั้นนี่ก็ห้องใต้ดินมิน่าถึงไม่มีหน้าต่างสักบาน  คนพี่กลับลงมายืนบนพื้นเตียงอีกครั้ง

       “ข้างนอกเป็นไงมั้ง”  น้ำนิ่งถามอย่างร้อนรนกลัวว่าพวกมันจะเข้ามาซะก่อน

      “ทางสะดวก พี่ได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงแว่วมาตามลม มันคงจะฉลองชัยชนะล่วงหน้า”

      “งั้นก็เป็นโอกาสของเรา รีบๆ ไปกันเถอะก่อนที่มันจะแห่กันมา”  คานินพยักหน้าหงึกๆ ดึงน้ำนิ่งขึ้นมาบนเตียง

      “มานี่มาพี่จะช่วยส่งเราออกไปก่อน เร็วเข้าเดี๋ยวมันมา”   

       น้ำนิ่งเหยียบขึ้นไปบนพนักหัวเตียงมือพยายามยืดให้ถึงขอบช่องลม เขย่งจนสุดแขนก็ยังไม่ถึงเกือบจะล้มคานินตามขึ้นมายืนซ้อนหลังแขนแกร่งอุ้มตัวน้ำนิ่งขึ้นจนมือน้องยึดกรอบช่องลมได้ มือดันจนน้องสามารถลอดออกไปจากช่องลมได้ครึ่งตัว น้ำนิ่งสายตาสอดส่ายเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงขยับปีนออกไปทั้งตัว หันมาบอกคานินเสียงเบา

      “ทางสะดวกขึ้นมาเลยฮะ...”  คานินไม่รอช้ารีบปืนขึ้นไปยืนบนพนักหัวเตียงมือเกาะยึดขอบช่องลมแน่นยกตัวขึ้น ข้อศอกเท้ายันขอบช่องลมเท้าเหยียบยึดผนังห้องดันยกตัวเองขึ้นจนตัวลอดออกไปจากช่องลมได้ครึ่งตัว...


      - ปัง!!! -

      “เฮ้ย!!”

      คานินชะงักค้าง เมื่อได้ยินเสียงประตูกระแทกเปิดอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจของมัน มันกระโจนจากประตูขึ้นมาบนเตียง กระโดดเกาะขอบช่องลม คานินกระถดตัวออกไปจากช่องลมพลิกตัวกลับอย่างรวดเร็ว

       มือมันตะปบคว้าขาข้างหนึ่งคานินไว้ได้พยายามดึงร่างโปร่งกลับลงไป น้ำนิ่งใช้มีดพับแทงมือที่ยึดขอบช่องลมของมันอย่างแรงเลือดไหลทะลักตอนที่ดึงมีดออก มันร้องด้วยความเจ็บปวดยังกะควายถูกเชือด คานินยกเท้าข้างที่เป็นอิสระถีบเข้ายอดหน้ามันอย่างจัง มือมันหลุดจากขอบช่องลมหงายหลังตกลงไปบนเตียงดังตึงหน้าบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บ พวกมันกู่กันเข้ามาช่วยพยุงลูกพี่มันลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล


      - อ๊ากกกกก -


      - ตุ๊บ -



      “อีสัตว์เอ๊ย!! ยืนเซ่ออยู่ทำไม ตามมันไปสิวะ” 

       เสียงพวกมันโหวกเหวกตะโกนบอกกันเป็นทอดๆ ว่าตัวประกันหนี สองพี่น้องไม่รอดดูผลงานใจเต้นระทึกแข่งกับเสียงฝีเท้าวิ่งหลบหลีกผลุบเข้าออกตามซอกมืดของตัวอาคารออกไปทางขวามือซึ่งคนตัวเล็กคิดว่ามันเป็นทิศตะวันออกและมั่นใจว่าถ้าตรงไปเรื่อยๆ มันต้องเป็นทางออกถึงชายแดนฝั่งไทยแน่ๆ

      น้ำนิ่งหยุดกึกแทบไม่ทันเมื่อเลี้ยวข้างหน้าพวกมันกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ คานินซึ่งมัวแต่ระแวดระวังมองรอบๆ หันมาอีกทีเกือบชนกับน้ำนิ่งดีที่เบรกตัวทัน น้ำนิ่งยกมือขึ้นปิดปากคานินที่กำลังจะอุทาน ทั้งคู่มองตากันนิ่งตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทาง ตัวสั่นระริกใจเต้นตึกตักแทบระเบิดออกมานอกอก เสียงตะโกนโหวกเหวกของพวกมันดังใกล้เข้ามา

      “ทางนั้น แยกกันไปสิวะ”

      “สัตว์เอ๊ย!! อย่าให้กูเจอนะมึง”

      น้ำนิ่งตัดสินใจวิ่งกลับไปทางเดิม จนสุดตัวอาคารก่อนจะเลี้ยวเข้าตรอกแคบๆ มองจนแน่ใจจึงฉากตัวหลบอย่างรวดเร็วมุดเข้าใต้ท้องรถบรรทุกที่จอดอยู่บริเวณนั้น ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำเสียงฝีเท้าของพวกมันวิ่งมาหยุดอยู่หน้ารถบรรทุก 

       สองพี่น้องแทบจะลืมหายใจยกมือข้างหนึ่งปิดปากตัวเองแน่นโดยอัตโนมัติไม่ยอมให้แม้แต่เสียงหายใจแผ่วอย่างเหนื่อยหอบจากการวิ่งหนีเล็ดลอดออกไปให้พวกมันได้ยิน มือข้างที่อยู่ใกล้กันกุมกระชับแน่นจนไม่รู้ว่าใครบีบใคร ใจเต้นตึกตักราวกับกองเพล ตาเบิกโพลงแทบจะหยุดหายใจเมื่อพวกมันเดินเข้ามาใกล้รถบรรทุก ไฟฉายในมือของพวกมันส่ายกราดไปทั่วบริเวณที่เป็นเงามืด ยกผ้าใบที่คลุมรถขึ้นกราดไฟฉายไปทั่วท้ายกระบะหาสิ่งแปลกปลอม

      “สัตว์เอ๊ย!! หายไปไหนวะเร็วฉิบฉาย”

      “เร็วสิวะ! แยกย้ายกันหาให้ทั่ว คงยังไปไหนไม่ได้ไกล” พวกมันยังไม่มีใครขยับไปไหนคานินเห็นคนหนึ่งทำท่ากำลังจะก้มส่องไฟดูใต้ท้องรถ พอดีกับที่หัวหน้ามันหันมาเจอเสียก่อนจึงตะคอกให้รีบออกไปตามหา

       “ย้ายก้นไปซะทีสิวะสัตว์เอ๊ย!! หรือจะรอให้นายรู้ก่อนว่าตัวประกันหายทีนี้มึงได้แดกลูกปืนแทนแน่ ซวยฉิบหายแทนที่จะได้แดกเหล้าเล่นสนุกกับเด็กที่ได้มาใหม่ เชี๊ย!!” เสียงสบถของมันเงียบลงพร้อมกับฝีเท้าที่ค่อยๆ ห่างออกไป

      สองพี่น้องพรูลมจากปากแผ่วเบาอย่างโล่งอก ไม่อยากจะคิดถ้าพวกมันก้มลงมาดูใต้ท้องรถจริง... ทั้งคู่รอดูสถานการณ์นานราวกับชั่วกัลป์ เหงื่อกาฬผุดพรายเต็มขมับเปียกไปทั้งโคนผม รอบข้างเงียบสงัดยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองที่ดังก้องด้วยความหวาดกลัว ทั้งคู่ค่อยๆ เลื่อนตัวออกมาจากใต้ท้องรถสายตาสอดส่ายอย่างระแวดระวังภัยราวกับกวางน้อยที่กำลังจะถูกราชสีห์ขย้ำ

      สองคนวิ่งตื้อไปอีกทางตรงข้ามกับที่พวกมันไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่จะผ่านซอกหลีบมืดนั่นเอง สองพี่น้องถูกดึงกระชากอย่างแรงเข้าไปในซอกนั่นตกใจแทบหัวใจวาย ร่างสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว กำลังจะเปล่งเสียงร้องมือแกร่งของคนที่ล๊อกอยู่ข้างหลังตะปบปิดปากแน่นก่อนที่เสียงจะลอดออกมาเสียอีก สองพี่น้องดิ้นขลุกขลักทั้งหยิกทั้งข่วนให้หลุดพ้นจากการจับกุม

      “บิงโก”  เสียงทุ้มนุ่มที่กระซิบริมหูกับกลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้คานินหยุดดิ้นฉับพลันตาเบิกโพลง ใจเต้นระรัวด้วยความดีใจสุดขีด

      “เฮีย…!?”  คานินเอ่ยเสียงแผ่ว

      “ฮือ..”

      “นึกว่าจะหาไม่เจอซะแล้ว..กะ..กลัวแทบตายฮือ...”  พูดได้แค่นั้นเองคานินก็ปล่อยโฮน้ำตาไหลเป็นทางด้วยความโล่งใจทั้งดีใจสับสนปนเปไปหมด

      “ชู่ว์ ชู่ว์ คนดี คนดี เฮียอยู่นี่แล้ว”  เสี่ยเซนพลิกตัวคนในอ้อมแขนกลับมาเผชิญหน้ากัน ปากร้อนกดจูบลงกลางกระหม่อมขมับปลอบประโลม ผละตัวออกนาบปากร้อนจูบซับน้ำตาให้ 

       “ไม่เป็นไร เงียบก่อนนะเรายังไม่ปลอดภัย”  คานินพยักหน้าหงึกๆ  เสี่ยเซนเลยดึงแม่กระต่ายขวัญอ่อนเข้ามากอดปลอบอีกครั้ง  ครู่เดียวก็ผละตัวออก เดินไปหาน้องซึ่งยืนมองเขาสองคนตาแป๋วอยู่ข้างอาแจ็กซ์ หน้าหวานยกยิ้มเจ้าเล่ห์จนน่าเขกมะเหงก แต่มือเสี่ยก็ไวเท่าความคิดเหมือนกัน


      - ป๊อก -


      “โอ๊ย!! เจ็บนะเขกไมเนี่ย”

      “หมั่นไส้! หาเรื่องใส่ตัวตลอด”  ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่แววตาสำรวจตรวจตราทั่วร่างบางของน้อง แววตาที่สบกันเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย น้ำนิ่งยิ้มน่ารักให้เฮียคนพี่อดไม่ได้ที่จะดึงน้องเข้ามากอดแน่นปากจมูกกดจูบสูดดมหัวหอมอย่างโล่งใจ

      “ดีแล้วที่ไม่ได้เป็นอะไร”

      “เสี่ยเราหลบจากตรงนี้ก่อนดีกว่า”  อาแจ็กซ์เอ่ยเตือนเสียเบา เสี่ยพยักหน้าให้อาแจ๊กซ์เดินนำออกไปก่อน ทั้งหมดเดินลัดเลาะไปตามเงามืดของตัวอาคารจนถึงจุดซุ่ม

      “ที่นี่ไม่ปลอดภัยเดี๋ยวเฮียจะให้อาแจ็กซ์กับบอดี้การ์ดพาเราสองคนออกไปรอที่จุดนัดพบก่อน ถ้าเห็นท่าไม่ดีให้ไปก่อนได้เลยไม่ต้องรอเข้าใจนะ”  เสี่ยเซนหันไปบอกสองพี่น้องและหันไปสั่งอาแจ็กซ์เสียงเข้มจริงจังในตอนท้าย

      “เฮียไม่ไปกับเราเหรอ”  คานินถามอย่างฉงนคิ้วขมวดแน่น สีหน้าทั้งทั้งเป็นห่วงและกลัวว่าเฮียจะได้รับอันตราย ซึ่งเสี่ยเซนก็รับรู้ได้โน้มตัวไปกดจูบแผ่วเบาก่อนจะผละออก

      “ออกไปก่อน เฮียมีเรื่องจะต้องสะสางให้จบเข้าใจนะ สัญญาจะกลับไปแบบไม่บุบสลายโอเค้”

      “รับปากแล้วนะ”

      “ครับ”

      “เฮียระวังตัวด้วยนะ ดูแลภูมิให้น้ำด้วย”

      “สัญญาครับ รีบไปได้แล้ว”  เสี่ยเซนดึงตัวทั้งสองเข้ามากอดแน่นครู่เดียวก็ผละตัวออก หันไปสั่งอาแจ็กซ์เสียงจริงจัง

      “ดูแลให้ดีด้วย”

      “ครับเสี่ย” 

       ทั้งหกไม่พิรี้พิไรรีบเร้นตัวออกไปจากบริเวณนั้นหายไปกับเงามืดสลัวอย่างรวดเร็ว  เสี่ยเซนมองตามด้วยความกังวลแต่ก็ยังโล่งใจได้ระดับหนึ่งที่คนสำคัญทั้งคู่ไม่ใช่เครื่องต่อรองของฝ่ายนั้นอีกแล้ว เขามั่นใจว่าอาแจ็กซ์จะพาสองคนนั้นออกไปจนถึงจุดนัดหมายได้แน่



      “จุดสองขอรายงานสถานการณ์”

      “ตรงนั้นว่างเหรอ มีอะไรว่ามาเลย”  ภูมิรพีกรอกเสียงที่เล่นทีเจริงตอบเสี่ยเซน

      “จะเอาข่าวดี หรือข่าวร้ายก่อนวะ”

      “ยังจะเล่นนะคนเรา รู้สถานการณ์เปล่าวะเนี่ย”  คราวนี้เป็นพี่กรณ์ตอบวิทยุกลับมาแทนภูมิรพี”

      “ไม่ได้เล่น แต่จะเอาร้ายหรือดีก่อนล่ะ”

      “ดีก่อนแล้วกัน เป็นขวัญกำลังใจ”  คณิตตอบแทนภูมิรพีอีกครั้ง

       “เฮียยึดของกลางมันได้ว่ะ ตอนนี้ถูกขนไปจุดนัดรอส่งออกนอกประเทศแล้วว่ะ”

      “โอ้! ขอบคุณพระเจ้า”  ทั้งสามจุดอุทานอกมาพร้อมกัน

      “ถึงงั้นก็เถอะกลับไปนี่ต้องชำระความกันบ้างล่ะ ชอบนักหาเรื่องใส่ตัวนี่”  ภูมิรพีเอ่ยเสียงหงุดหงิดค่อนไปทางโมโหกับการเสี่ยงของสองพี่น้อง

      “นั่นเฮียก็ว่าจะจัดเหมือนกัน แมร่งไม่รักตัวเองเลย”

      “แล้วข่าวร้าย?”  พี่เอ๊กซ์ถามมาในวิทยุ

      “คือมันไม่มีตัวประกันไง”

      “รู้”  ทั้งสามจุดกระแทกเสียงหมั่นไส้มาพร้อมกันอีกครั้ง

      “แจ้งทุกจุดกระชับพื้นที่ปิดประตูตีแมวถล่มแมร่งอย่าให้เหลือ ไม่ต้องเกรงใจ”

      “รับทราบ”











TBC.


Talk : 1. อยากจะบอกว่า น้ำนิ่งก็แค่มีความมั่นใจในตัวเองสุดโต่งดื้อดึงงี่เง่าจนเกินพอดี มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราเจอคนนิสัยแบบนี้ในชีวิตจริงอยู่คนหนึ่ง มึงพูดไปเถอะ กูเชื่อของกูอย่างนี้ก็จะทำอย่างนี้ แล้วก็ทำดื้อดึงอึงอลไม่ทำตามที่เราบอกเราสอน โมโหจนสั่นแต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้  แต่บางครั้งบทมันจะเข้าใจอะไรง่ายๆ มันก็ได้นะ แต่แมร่งกูอยากกวนตีนมึงประมาณนี้ แล้วมันก็ทำหน้ากวนตีนจริงๆ นะ...

2. ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมา  และขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ  :mew1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-02-2016 18:17:02 โดย WiChy »

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ดีใจที่ช่วยทั้งน้ำนิ่งและคานิน ออกมาได้อย่างปลอดภัยนะคะ
แล้วก็เด็กใหม่ที่ว่า คงเป็นเพื่อนของน้ำสินะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด