เด็กเลี้ยง
- 33 -
เดินทางไกล [2] : กับดักหนู & ปิดประตูตีแมว
Rrrrrrrr Rrrrrrr "สวัสดีครับ ภูมิรพีพูดสายครับ”
“หึ หึ ได้คุยกันซักทีนะ” เสียงรื่นรมย์จากปลายสายทำให้ภูมิรพีรู้สึกฉงนจนได้เอาโทรศัพท์มาดูอีกครั้งว่าใครโทรศัพท์
“คุณเป็นใคร”
“คนที่นายอยากเจอมากที่สุดตอนนี้ไง”
“ไต่ชินหยาง
!!”
“อ่าฮ้า..ได้คุยกันซะที”
“มีอะไรที่ต้องคุย”
“หึ หึ ไม่มีอะไรก็โทรมาไม่ได้เหรอ ฉันแค่อยากทักทายพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ถ้าว่างก็ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อเป็นไง”
“แกอยู่ไหน”
“ก็ใกล้พอที่จะได้กลิ่นน้ำนิ่งตอนที่นั่งเล่นน้ำอยู่ริมน้ำตก ส่วนแกมัวแต่วิ่งยังกับหนูติดจั่น ตามกลิ่นฉันที่ปางไม้นั่นแหละ เด็กนี่แกคงเลี้ยงดูอย่างดีสินะ เวลาสัมผัสได้อารมณ์มากอ๊า....”
“ฉันไม่รู้ว่าแกอยู่ไหนหรือทำอะไรอยู่ แต่ถ้าแกยุ่งกับน้ำนิ่ง หรือครอบครัวของฉัน ฉันขอสาบาน...”
“ชู่ว์ ชู่ว์ สิงห์
!! หุบปากไปเลย พวกแกฆ่ามาร์โคของฉัน”
“ชีวิตแลกชีวิตโว้ย
!! แกฆ่าอาร์และเด็กอื่นๆ อีก ของใครๆ ก็รัก”
“หึ หึ สงสารไอ้เมืองแมนกับคนของแกอีกสองว่ะ ท่าทางอยากจะเป็นเป้านิ่งมากเลย”
“แกอย่าทำอะไรพวกเขานะ
!! พวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
- ปัง ปัง ปัง ปัง – เสียงปืนที่ดังแทรกเข้ามาในสายทำให้ภูมิรพีชะงักงันไป
“โอ๊ะ
!! ขอโทษปืนมันลั่นถูกกลางแสกหน้าวะฮ่า ฮ่า โอเค
!! สิงห์ที่นี้แกฟังฉัน แล้วก็ฟังให้ดีภูมิรพี เรื่องเมื่อสองปีที่แล้วฉันไม่รู้แกโง่หรือบ้ากันแน่ที่เข้ามายุ่งกับเรื่องของฉัน วันนี้ครบรอบสองปีมันมีค่าที่แกควรต้องจ่ายซะที คราวก่อนแกถล่มฉันซะเละ โอเคยกแรกแกชนะ แต่ยกนี้คงไม่ ถือว่าฉันขอแก้มือครั้งที่แล้วแกทำลายสิ่งที่ไม่สามารถหาอะไรมาทดแทนได้ของฉันไป ดังนั้นฉันก็จะพรากสิ่งนั้นไปจากแก บ้าง...”
“ไต่ชินหยาง
!! ไต่ชินหยาง
!!” ภูมิรพีตะโกนเรียกคนปลายสายลั่น แต่ฝ่ายนั้นตัดสายไปแล้ว
“ระยำเอ๊ย!! @#$*!!<&>%*&#....” ภูมิรพีสบถหยาบคาย หน้าตาถมึงทึง แววตาสีทองอำพันจนเกือบแดง โชนแสงกล้าความโกรธแค้นปะทุราวกับจะระเบิด
“อะไร
!?” เสี่ยเซนเอ่ยถามเสียงกร้าวร้อนใจ
“ไต่ชินหยางมันจับน้ำนิ่งกับคานินไป..สัตว์
!!”
“เฮ้ เฮ้
! ใจเย็นๆ มันอาจจะเป็นแผนลวงให้เราติดกับเหมือนนี่ก็ได้ ไม่แน่ตอนนี้น้องอาจจะกำลังเล่นน้ำตัวเปื่อยแล้วมั้งปานนี้”
“ไม่
! ไม่
! เฮียไม่เข้าใจ มันบอกพวกเราพรากสิ่งที่มีค่าของมันไป ตอนนี้มันก็จะพรากสิ่งที่มีค่าของเราเหมือนมัน มันจะฆ่าน้ำนิ่ง ฆ่าคานิน
!!”
“สิงห์มันไม่มีทางเป็นไปได้น่า เมืองแมนแล้วคนของเราไปด้วยไม่ใช่เหรอ”
“มันฆ่าเมืองแมนกับคนงานอีกสองคนแล้ว ระยำหมา..
!!”
“รับสิ รับสิ คานินรับสิวะ” เสี่ยเซนล้วงโทรศัพท์ออกมาหาคานินอย่างร้อนรน เสียงรอสายดังต่อเนื่องยาวนานไม่มีคนรับ ยิ่งทำให้เสี่ยเซนร้อนใจกระสับกระส่ายเหมือนหนูติดจั่น กดตัดสายแล้วโทรออกไปใหม่อีกครั้ง
“โทรศัพท์ของคานิน...” ปลายสายตอบกับมาด้วยเสียงทุ้มนุ่มระคนสะใจ เสี่ยเซนชะงัก ชั่วครู่ ขบกรามแน่นตาหรี่คมกล้าก่อนจะตอบเสียงเย็นขัดกับใจที่ร้อนรุ่ม
“ขอกูคุยสายหน่อย”
“แกมั่นใจเหรอว่าป่านนี้เขาจะยังไม่ตายฮ่า ฮ่า อำเล่นน่าเสี่ย ขำหน่อยซี้..ทำไมไม่มีอารมณ์ขันกันซะบ้างเลย อย่าทำหน้าโกรธเกี้ยวแบบนั้น” เสียงดึงเทปปิดปากดังแทรกเข้ามาในสาย “เอ้านี่กระต่ายน้อยทักทายเสี่ยหน่อยสิ”
“เฮีย!! เราอยู่ในหมู่บ้านติดชายแดน....”
“คานิน
!! คานิน
!! อยู่ไหน”
“ตัวช่วยนี้ฉันให้ฟรี ส่วนที่เหลือพวกแกต้องออกแรงเอาเอง”
“แกไม่รอดแน่
!! ฉันจะล่าแก แล้วเอาชีวิตแกให้ได้” เสี่ยเซนประกาศกร้าวหน้าบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความโกรธแค้น
“โอ้จริงเหรอ ฮ่า ฮ่า แล้วฉันจะรอเวลานั้น นี่เป็นเกมส์ พวกแกต้องชอบเกมส์นี้นี่น่ากับดักหนู เกมส์เศรษฐี ยกแรกพวกแกฆ่าคนของฉัน ถล่ม Lady Q ซะเละ ยกสองฉันระเบิดโรงงานแก นั่นน่าเสียดายชิบหายที่มันไม่วอดแต่ก็โอเคมันทำให้แกทุรนทุรายได้ ยกสามแกปล้นกลางอากาศวัลโด้แลนด์จนย่อยยับ ยกสี่ฉันฆ่าหมาเฝ้าแกะกับแกะอีกสามตัว ยกห้าฉันจับแกะของพวกแกมา ตอนนี้ฉันเป็นต่ออยู่ถ้าอยากจะให้มีชีวิตอยู่ต่อ พวกแกจะต้องทำตามที่ฉันสั่ง เวลาที่ฉันสั่ง ถ้าแกยังยืนอยู่ได้จนถึงเลเวลสุดท้ายพวกแกจะได้แกะแกกลับไปเป็นรางวัล ฉันแฟร์นะ”
“พูดเล่นใช่ไหมนี่ ฉันไม่เชื่อน้ำหน้าคนอย่างแก ไม่มีทางเชื่อ!”
“โว้ โว้ อย่าโวยวายน่าเสี่ย พวกแกต้องเชื่อในสิ่งที่ฉันบอกให้เชื่อ เพราะว่าตอนนี้พวกแกไม่มีทางเลือกแล้ว โอเค โอเค ถ้าแกอยากได้คำใบ้ที่สองก็ต้องรีบตามไปจุดสุดท้ายที่น้ำนิ่งจะไปในวันนี้ ถ้าช้าฉันก็ไม่มั่นใจว่าซากจะยังเหลือให้แกตามกลิ่นได้ว่ะหึ หึ”
“สัตว์เอ๊ย
!! มันเล่นเราแล้ว”
เสี่ยเซนสบถด้วยความโกรธ หลังจากที่ไต่ชินหยางตัดสายไป มือกำโทรศัพท์แน่นจนแทบจะแหลกคามือราวกับว่านั่นคือไต่ชินหยาง ไต่ชินหยางไม่อยู่กับร่องกับรอยอยากฆ่าก็ฆ่า นั่นยิ่งทำให้ภายในใจร้อนรุ่มห่วงน้องกับเมียอีกเท่าตัว
“เฮียให้ทิมตรวจหาพิกัดมือถือของคานิน” ภูมิรพีบอกเสร็จก็เดินออกจากแค้มป์ปางไม้ ตะโกนเสียงโหวกเหวกระดมคนและรถเพื่อตามล่าไอ้สัตว์ตัวนั้น
“ทิมเราเจอปัญหาน้องฉันกับคานินถูกจับตัวไป นายช่วยตรวจหาพิกัดจีพีเอสจากมือถือของคานิน เจอแล้วส่งพิกัดมาด่วน” หลังจากสั่งเสร็จเสี่ยเซนเปิดเซฟลับหยิบปืนสั้นออโตเมติกสองกระบอกเหน็บเอวเดินตามภูมิรพีออกไปขึ้นรถโฟร์วิลที่จอดรออยู่หน้าแค้มป์ เมื่อทุกคนพร้อมก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว
...................................
รถโฟร์วิลสามคันแล่นห้อตะบึงจนฝุ่นตลบตรงไปยังท้ายไร่บริเวณตั้งแค้มป์ แต่เมื่อไปถึงยังไม่มีใครกลับมา ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าไต่ชินหยางมันทำจริง
“พวกคุณๆ ยังไม่กลับใช่ไหม” ภูมิรพีถามรวีผู้จัดการโรงเตี๊ยมซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการช่วยคนงานจัดเตรียมแค้มป์ไฟ และอาหารสำหรับเย็นนี้ตามคำสั่งของน้ำนิ่ง
“เห็นว่าอาจจะกลับค่ำนิดหน่อย จะพาคุณคานินกับคุณบ๋อม แล้วก็ชายชาวจีนคนหนึ่งรู้สึกว่าจะเป็นเจ้านายของคุณคานินไปเที่ยวน้ำตก แล้วจะไปดูตะวันตกดินที่ม่อนโอบตะวันด้วยครับนายสิงห์”
“ไอ้ไป๋ซานเหรอ? ทำไมมันอยู่ที่นี่” เสี่ยเซนชักสีหน้าไม่พอใจอะไรมันจะประจวบเหมาะ ดีแท้
“มีอะไรเหรอครับนาย แต่พ่อผม เมือง แล้วก็คนงานอีกสองคนไปด้วยไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้นได้นะครับ”
“ได้ไม่ได้มันก็เกิดขึ้นแล้ว” ภูมิรพีเอ่ยเสียงกร้าว ตาโชนแสงราวกับจะฆ่าคนได้ รวีขนคอตั้งชันไม่เคยสัมผัสอารมณ์เช่นนี้ของเจ้านาย
Rrrrrrrrr “ว่ายังไงทิม” เสี่ยเซนกดรับทันที พร้อมเปิดลำโพงให้ภูมิรพีได้ยิน
//เฮียสัญญาณสุดท้ายที่ตรวจจับได้อยู่ในเขตชนกลุ่มน้อยที่ตั้งตัวเองเป็นรัฐอิสระชื่อกะญายอ ห่างจากชายแดนไทย 91 กิโลเมตร แต่หลังจากนั้นสัญญาณมันก็หายไปเฉยเลย//
“ระยำเอ๊ย
!! ค้นหาหมู่บ้านตามแนวชายแดนในรัศมี 91 กิโลเมตรมีกี่หมู่บ้านวะ”
//ครับเสี่ย// เสี่ยเซนรอปลายสายอยากร้อนรน แต่ละนาทีที่ผ่านไปราวกับมันคอยฉุดกระชากลมหายใจของคนที่เขารักให้เหลือน้อยลงทุกที
//18 หมู่บ้านครับเฮียทั้งหมดอยู่ในปกครองของกะญายอ//
“ให้ตายเถอะวะทิมแบบนี้มันก็เท่ากับงมเข็มในมหาสมุทร เอาพิกัดที่มันกระชับมากกว่านี้สิวะ”
//มันอับสัญญาณครับ สัญญาณดาวเทียมเราตรวจจับความร้อนไม่ได้เลย//
“เชี๊ย
!! มีความสามารถแค่นี้เหรอวะ!! น้องกู เมียกู กำลังจะถูกฆ่า มึงเข้าใจมั้ย
!”
//ผะ ผมขอโ...// ภูมิรพีบีบลงบนไหล่ของพี่ชาย ตาสบกันนิ่งนั่นทำให้เสี่ยเซนคิดได้ว่าตัวเองพาลใส่ทิมทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของทิมเลย
“ขอโทษวะทิมเฮียพาลไปหน่อยทั้งที่ไม่ใช่ความผิดเอ็ง แล้วจากสัญญาณสุดท้ายที่จับได้ นายคิดว่ามันจะไปโผล่ที่ไหนได้บ้าง”
//ถ้าออกแถบนั้นก็เข้าหมู่บ้านวาลา วาโพ เซงดู หมึงเม นอข่อ ลาฮู่ แล้วก็อาญ่า //
“แมร่ง
! ไอ้นรกเอ๊ย
!! มึงอย่าให้กูตามเจอนะสัตว์เอ๊ย
!! ก็ยังดีพื้นที่ค้นหาแคบเข้ามาดีกว่ากะญายอทั้งรัฐ ตรวจหาทุกช่องทางทั้งสัญญาณจีพีเอสและความร้อนถ้าเจอสงสัยแม้จุดเท่าแมงหวี่แมงวันอะไรก็บอกมา
!!”
//ครับเสี่ย//
“เฮียพร้อมแล้ว ไปเถอะ”
“นายสิงห์ผมขอไปด้วย” รวีเห็นท่าทางของนายก็ให้รู้สึกเป็นห่วงพ่อจึงขอไปด้วย ภูมิรพีพยักหน้าไม่พูดอะไร ทั้งหมดแยกย้ายขึ้นรถโฟร์วิลขับตามเส้นทางไหล่เขาขึ้นม่อนโอบตะวันอย่างเร่งรีบถ้ามืดค่ำระหว่างทางพวกเขาจะลำบากในการติดตาม
.......................................
เส้นทางไหล่เขาเป็นทางแคบๆ ที่วกวนไปมาเหมือนงู อีกด้านเป็นเหวลึกมีแค่ราวเหล็กกั้นง่ายๆ เพราะต้องการจะอนุรักษ์ความเป็นผืนป่าให้ได้มากที่สุดจึงไม่ให้สร้างทาง สภาพถนนจึงยังเป็นเส้นทางดินที่ชาวบ้านใช้สัญจรกันเอง คนที่ไม่คุ้นเคยต้องใช้ความระมัดระวังในการขับรถเป็นอย่างมาก ซึ่งปกติกว่าจะไปถึงม่อนโอบตะวันต้องใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง แต่เวลานี้สำหรับภูมิรพีใจอันรุ่มร้อนสามารถพาทุกคนขึ้นมาถึงม่อนโอบตะวันในเวลาแค่สี่สิบนาทีแต่นั่นก็ยังช้าไปสำหรับภูมิรพีอยู่ดี
รวีกั้นหายใจแทบจะฉี่ราดทุกครั้งเวลานายสิงห์เลี้ยวโค้งโดยไม่ชะลอความเร็ว เมื่อถึงจุดจอดรถยังจอดไม่สนิทด้วยซ้ำ รวีกระชากประตูเปิดออกแล้วกระโจนลงรถวิ่งถลาเข้าข้างต้นไม้คายของเก่าออกมาจนหมดไส้หมดพุ่ง ชัดเจนเข้ามาลูบหลังและยื่นขวดน้ำให้ล้างปาก เมื่อรวีล้างปากเสร็จก็ส่งขวดน้ำคืนให้แต่ชัดเจนสั่นหน้าปฏิเสธ
“นายเก็บไว้เถอะ ฉันมีนี่แล้ว” ชัดเจนชี้กระติกน้ำในกระเป๋าข้างเป้ “อดทนหน่อยนี่ยังถือว่าช้านะ รีบเถอะยังต้องเดินอีกเกือบร้อยเมตรเดี๋ยวจะค่ำซะก่อน” ชัดเจนฉุดให้รวีขึ้นยืน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทรงตัวได้ ก็หันหลังเดินตามเจ้านายอย่างเร่งรีบออกไปก่อน รวีเลยเร่งรุดเดินตามไป
.....................................
“เมือง!!” / “พ่อ!!” เสียงตะโกนสุดเสียงของแดนสรวงกับรวีดังขึ้นพร้อมกัน แขนขาไร้เรี่ยวแรง ทั้งคู่ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น รวีตาเบิกกว้างช็อกตะลึงค้าง พยายามปฏิเสธสิ่งที่เห็น
‘ไม่จริง’ ‘ไม่เชื่อ’ ‘เป็นไปไม่ได้’ อยู่อย่างนั้นราวคนเสียสติ
คนอื่นตะลึงงันไปตามๆ กัน ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าชวนให้หดหู่ร่างไร้วิญญาณของเมืองแมน ลุงหมาน และคนงานสองคน ถูกมัดเท้าห้อยหัวลงมาจากต้นไม้เลือดจากรูกระสุนตรงหน้าผากและตามแขน ไหลหยดลงพื้นส่งกลิ่นคาวสะอิดสะเอียนคละคลุ้งในบรรยากาศ
“ระยำสัตว์เอ๊ย
!! กูจะฆ่ามึง สัญญาต่อพระเจ้ากูจะฆ่ามึง” เสี่ยเซนประกาศกร้าวด้วยโทสะแห่งความโกรธแค้นที่อัดแน่นในอก
แดนสรวงเหมือนถูกจู่โจมอย่างฉับพลันด้วยมือมัจจุราชกระชากจิตวิญญาณออกไปจากร่างให้รู้สึกชีวิตเขาจะดับไปด้วย ตลอดแนวป่าเปลี่ยนเป็นเงาตะคุ่มของแนวต้นไม้สูง ความมืดสลัวเริ่มเข้ามาแทนที่เมื่อแสงสุดท้ายของอาทิตย์กำลังจะลับเหลี่ยมเขาเบื้องหน้า
บรรยากาศรอบตัวขะมุกขะมัวชวนให้วังเวงโดดเดี่ยววูบโหวงประดังประเดเข้ามาฉับพลัน อึดอัดแทบหายใจไม่ออกอย่างน่าประหลาด ดวงตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ แต่ไม่มีแม้หยดน้ำตาให้ไหล ร่างสั่นสะท้านมือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน หลับตาแล้วลืมใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าภาพตรงหน้าก็ยังเป็นอยู่เช่นนั้น ขบกัดฟันจนปวดกรามแต่ความโกรธแค้นปนเศร้าเสียใจก็ยังปะทุอยู่ในอก แค่เขายอมอ่อนข้อให้มันอีกสักครั้ง...แค่เขาอยู่กับมัน...
ในความเงียบ สายลมพัดเอื่อยจนเกิดเสียงเสียดสีกันของใบไม้กิ่งไม้สลับกับเสียงเลือดที่ตกกระทบใบไม้แห้งเปาะแปะดังขึ้นเป็นระยะนั่นเสียดแทงเข้าไปในใจจนเจ็บปวด...ดวงตาแดงก่ำของแดนสรวงจ้องที่ร่างไร้วิญญาณของเมืองแมนด้วยความเจ็บปวดอาดูร...ไม่มีอีกแล้ว...
ความสุขเป็นสิ่งที่กูพอจะฉาบฉวยเอาได้จากเวลาและสถานการณ์ที่มีมึงอยู่ แล้วมึงดูนะไอ้เมืองความทุกข์ที่มึงทิ้งไว้ให้ กูไม่อาจชิ่งหนีจากมัน จะสลัดมันออกจากใจไปได้โดยง่ายเช่นสลัดรองเท้าออกก่อนเข้าบ้านก็ไม่ได้...กูจะต้องจ่มอยู่กับมันอีกนานเท่าไรกันวะ...
เมื่อเช้ากูยังดีใจที่ตื่นขึ้นมามึงยังอยู่กับกู ยังกวนตีนกูได้เหมือนทุกวัน แต่ผ่านไปครึ่งวันมันคืออะไร...ไอ้ตัวเย็นชืดเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณนั่นคืออะไร..ถ้านี่คือเรื่องล้อเล่น?...มึงก็เล่นกับความรู้สึกกูเกินไป ถ้าจะเล่นกูขอให้ตรงหน้านี่เป็นศพของพวกมันสักคนที่ไม่ใช่มึงไม่ได้เหรอวะ
ชีวิตกูหลังจากนาทีนี้คงจะกรุ่นไปด้วยควันดำของความทุกข์ซึ่งแน่นอนว่าจะยาวนานเหมือนนิรันดร์ ถ้านี่เป็นแค่ฝันร้ายมึงก็ปลุกกูตื่นที ตื่นมารับรู้ว่านี่แค่ฝันร้าย...แต่สุดท้ายความจริงคือไม่มีมึงอีกแล้ว...ไอ้บ้ากวนตีนนั่นไม่อยู่แล้ว...ทั้งๆ ที่สัญญากันไว้แล้วว่าจะให้กูตายก่อน จนวาระสุดท้ายมึงก็ยังโกง....ไม่ยุติธรรมเลย...มึงมันไม่เคยรักษาสัญญาห่าอะไรเลย....ทิ้งกู...
ภูมิรพีเข้ามาบีบไหล่แน่นพยักหน้าให้แดนสรวง ดวงตาที่สบกันมันผสมปนเปไปหมดไม่ว่าจะเศร้าเสียใจ เจ็บปวด หรือเครียดแค้น ที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ ชั่วเวลาหนึ่งนั้นกลับเต็มไปด้วยความยะเยือก แดนสรวงรู้ดีภูมิรพีฆ่าได้แบบไม่ลังเล
“รีบปลดพวกเขาลงมาสิวะ
!! ยืนตะลึงอยู่ทำไม”
เสี่ยเซนสั่งเสียงกร้าว ตาโชนแสงอย่างน่ากลัวไม่แพ้คนเป็นน้อง ตายังสอดส่ายไปรอบๆ หาสิ่งที่ผิดปกติที่น่าจะเป็นเบาะแสได้ แต่ก็ไม่พบอะไร แสงพระอาทิตย์เริ่มน้อยลงทุกทีถ้ายังไม่เจอโอกาสของพวกเขาก็จะน้อยลงตามไปด้วย
“เห็นอะไรบ้างรึยัง”
ภูมิรพีถามด้วยสีหน้าบ่งบอกอารมณ์ไม่ได้ ตาก็สอดส่ายหาสิ่งผิดปกติ ก่อนจะไปสะดุดเข้ากับสภาพศพทั้งสี่คนที่ถูกปลดลงมาวางกับพื้นหญ้า ตาคมหรี่หลุบลงไม่แสดงความรู้สึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
“ยังไม่เห็นอะไรเลย หรือเราจะมาผิดที่” เสี่ยเซนเองก็หน้านิ่วคิ้วขมวดร้อนรนไม่แพ้น้องชาย กังวลว่านี่จะเป็นกับดักเพื่อถ่วงเวลาให้พวกเขาล่าช้า
“ไม่ ไม่ผิดแน่” ภูมิรพีตอบด้วยน้ำเสียงแข็งเคร่งเครียด “เฮียดูนี่สี่คนถูกยิงที่หน้าผากเลือดมันต้องไหลเฉพาะรอยกระสุนตรงหน้าผาก แต่นี่เลือดไหลตามแขนลงมาด้วย คว่ำหน้าคนที่เหลือแล้วถลกเสื้อขึ้นด้วย” ภูมิรพีพลิกคว่ำหน้าเมืองแมนลงมือถลกเสื้อร่นขึ้น คนอื่นช่วยกันคว่ำหน้าศพ แล้วก็ต้องผงะอีกครั้งเพราะหลังของศพถูกถลกหลังเหวอะหวะ
“เชี๊ย!! ระยำ..
!!” เป็นอีกครั้งที่เสี่ยเซนสบถด้วยความโกรธ
“ดูดีๆ มันจงใจแซะให้เป็นคำใบ้ของอะไรสักอย่าง แยกเป็นชุดตัวเลข 17°52′ 11.2″ 97° 32′ 37.5″ 17.59n และ 97.543k
“อะไร
! มันคือเหี้ยอะไร องศา ระยะทาง วันที่ รหัสอะไร ตรง 17.59 กำหนดเวลาเหรอวะ” เสี่ยเซนยกข้อมือขึ้นดูหน้าปัดนาฬิกา “แต่ถ้าเป็นเวลามันก็ผ่านไปแล้ว” ภูมิรพีครุ่นคิดก่อนจะตอบร้อนรน
“ไม่ใช่นี่มันเป็นเส้นรุ้ง เส้นแวง ตัวเลขพวกนี้มันเป็นพิกัดสถานที่ ถ้าตามที่ทิมบอกงั้นนี่ก็เป็นพิกัดของรัฐกะญายอ ส่วน 17.59n กับ 97.543k นี่จะบอกเราว่ามันเป็นพิกัดหมู่บ้านไหน เฮียส่งตัวเลขทั้งหมดให้ทิมตรวจสอบที” เสี่ยเซนไม่รอช้าถ่ายภาพชุดของตัวเลขส่งให้ทิมอย่างรวดเร็ว โทรหาทิมอย่างเร่งรีบ
“ทิม นายยังอยู่ไหม” เสี่ยเซนกดเปิดลำโพงให้ได้ยินพร้อมกันทุกคน
//ครับเฮีย ผมเห็นชุดตัวเลขที่อยู่บนหลังศพที่เฮียส่งให้แล้ว ไม่เกินหนึ่งนาที...//
“ดี
!! สิงห์บอกว่ามันเป็นหมู่บ้านไหนสักแห่งในกะญายอ...” ชั่วระยะเวลาไม่นาน ทิมร้องด้วยความตื่นเต้นกลับมา
//บิงโก้
!! 17.59n กับ 97.543k เป็นพิกัดหมู่บ้านนอข่อ ไม่ผิดแน่ตัว n กับ k เป็นอักษรย่อชื่อหมู่บ้าน มันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของกะญายอตั้งอยู่ในหุบเขาห่างจากชายแดนไทย 91 กิโลเมตร ถึงว่าด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่ตั้งนี่เองทำให้เราจับสัญญาณจีพีเอสของคุณคานินไม่ได้//
“ถ้าเราจะลุยไปตอนนี้ก็คงจะมีแต่ตายกับตาย เฮียว่าคงต้องวางแผนให้รัดกุมและหาคนเพิ่ม เราพลาดท่าเพราะประมาทคิดว่าเป็นถิ่นของตัวเองแล้วจะไม่มีอันตรายทิ้งเมืองแมนไว้คนเดียว..เฮียประมาทอย่างไม่น่าประมาท ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเลยเอาแค่สามคนนั้นมา จะเรียกมาเพิ่มก็คงไม่ทันแน่” สีหน้าของเสี่ยเซนบ่งบอกถึงความเศร้าเสียใจ และเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“ฝั่งนั้นเป็นถิ่นของมัน ถ้าผลีผลามเข้าไปแบบไม่คิดคงจะมีแต่สูญเสียเหมือนวันนี้ ต้องกลับไปทบทวนจุดบกพร่องของเรา วางแผนให้รอบคอบรัดกุมกว่านี้”
//สูญเสีย...
!?// เสียงที่หลุดออกมาของทิมเต็มไปด้วยความสงสัยใจกระตุกถึงเหตุร้ายต่างๆ นาๆ
“เมืองแมนตายแล้วทิม...พร้อมคนงานอีกสาม” ภูมิรพีตอบเสียงทุ่มต่ำ
//อะไรนะ
!!//
“มันยิงแสกหน้า แล้วก็ถลกหนังเขาแซะเนื้อเป็นชุดตัวเลขที่นายเห็นนั่นแหละ”
-มีต่อ-