สิ่งใหม่
“พาย เบ็ก ซิทดาวน์”
ช่วงปีใหม่นี้เป็นปีแรกที่หมอมีโอกาสได้แลกวันหยุดกับชาวบ้านเขาแม้จะเลทมาถึงเกือบกลางเดือนก็ตาม ซึ่งวันหยุดของโจ้ก็ไม่ได้ต่างจากวันธรรมดามากนัก หมอและหมาก็ยังตัวติดกันเป็นตังเม เพียงแต่วันนี้พิเศษหน่อยก็ตรงที่ไอ้หมาตัวใหญ่สองตัวมานั่งหน้าสลอนอยู่บนรถคันสวยที่ไม่ใช่ของหมอแต่เป็นของคนข้างบ้าน
“ไปหาพ่ออย่าซนนะ”
“โฮ่ง!! ” หมาประสานเสียงกันได้ดีเหมือนจะเข้าใจ...แต่โจ้รู้ว่าพวกมันไม่ได้เข้าใจอะไรหรอก คงงงมากกว่าที่จู่ๆ ก็มามานั่งบนรถแบบนี้
วันนี้เป็นวันครอบครัวที่ทุกคนในบ้านหมอโจ้ต้องกลับมาพบปะกันอีกครา นอกจากโจ้จะแบกของขวัญไปให้พ่อกับพี่ๆ แล้วยังแบกหมาไปด้วย
ระหว่างที่กำลังทำความเข้าใจกับหมาว่าอย่าตะกุยเล็บบนเบาะรถเด็ดขาดเพราะหมอไม่มีปัญญาเปลี่ยนให้เขา เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“มีไรมึง” แค่ปรายตามองรายชื่อโทรเข้า หมอก็เอ่ยทักทายด้วยความสนิทสน
“จิงโจ้กูจะบินไปเยอรมันวันนี้นะ ไปหาไอ้ซินมัน” หมอบีมเพื่อนรักโทรมาบอกว่าจะไปหาแฟนที่กำลังทัวร์คอนเสิร์ตรอบเยอรมัน
โจ้กำลังปัดมือพัลวันเพราะโดนหมารุมเลียหน้า เหลือบมองคอนโซลหน้ารถที่บอกเวลาสิบโมงเช้าพอดิบพอดี
“กี่โมง”
“เที่ยงคืน ไปด้วยกันมะ”
หมอถอนหายใจให้ความปัญญาอ่อนของเพื่อนตัวเอง นี่ชวนกันอย่างกับชวนไปร้านผัดไทแถวบ้าน
แต่ถึงแบบนั้นก็ตอบออกไปอย่างขี้เกียจตบมุขและเบื่อหน่ายที่จะต่อความยาวสาวความยืด
“ไม่ได้ว่ะ”
คนปลายสายส่งเสียงจิ๊จ๊ะเป็นพิธีก่อนจะถามตามมารยาท
“โห่... งั้นฝากอะไรไหม” หมอนึกอยู่หน่อยก่อนจะตอบออกมาเมื่อมองเห็นหมาตัวเองกำลังเบนความสนใจไปเลียกระจกหน้ารถแทน
“ฝากตบหัวหมาที่นู่นหน่อย”
“หมาไหนวะ” เสียงงุนงงของเพื่อนตัวเองทำเอาโจ้หลุดขำ
แฟนของหมอบีมเป็นมือเบสวงเดียวกับคุณพ. โจ้เลยอดนึกถึงไม่ได้ หมอเรียกพายว่าหมาด้วยความเอ็นดูแค่นั้นเอง...แค่นั้นจริงๆ นะ
“ไม่มีอะไร”
“อะไรของมึงวะจิงโจ้ ประหลาด” โจ้ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกคนที่ประหลาดกว่าอย่างเพื่อนตัวเองว่ากันแบบนี้ หมอขมวดคิ้วอยู่หน่อยก่อนจะตัดบทไป
“โชคดี เดินทางปลอดภัย”
โจ้วางโทรศัพท์ตัวเองลงที่ตักก่อนจะเริ่มสตาร์ทรถ ขยับตัวยุกยิกให้เข้ากับเบาะหนังแสนแพง ไม่นานนักโทรศัพท์ก็แผดเสียงจ้าอีกรอบ แต่คราวนี้เป็นสายผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจากใครอีกคน ซึ่งเอาจริงๆ แล้วความน่ารำคาญก็พอๆ กับคนแรกที่พึ่งวางสายไป
หมอกดเปิดสปีคเกอร์โฟน
“มีไรวะ”
“หมอทำอะไรอยู่” คำถามซ้ำๆ ที่ต้องตอบทุกวันวนกลับมาอีกรอบแต่หมอกลับไม่ได้เบื่อที่จะตอบเลย
“ขับรถ” โจ้ว่าพลางถอยรถออกจากรั้วบ้านหลังข้างๆ บ้านตัวเอง และหมุนพวงมาลัยทะยานมุ่งหน้าสู่บ้านหลังใหญ่ใจกลางเมือง
ไอ้เบ็กที่นั่งนิ่งๆ ฟังเสียงปลายสายอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก มันหันรีหันขวางอย่างกับกำลังตามหาเจ้าของเสียง
“โฮ่ง! ”
“ใบตองเหรอ! ” เพราะได้ยินเสียงหมาเห่าคุณพ.ที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อจะต่อเครื่องกลับกรุงเทพฯ ถึงเรียกชื่อไอ้ใบตองออกมา
“ไอ้พายต่างหาก” โจ้ว่ากลั้วหัวเราะ เพราะใบตองมันยังเอียงคอทำหน้างงอยู่เลย มีก็แต่ไอ้พายวัยสี่เดือนแต่ตัวใหญ่เท่าหมาสี่ขวบกำลังเห่าอย่างเอาเป็นเอาตาย
“หมอขับรถไปไหน”
“กลับบ้าน” โจ้หมายถึงบ้านอีกหลังที่อีกคนไม่รู้จัก “
ผมก็กำลังกลับบ้าน”
โจ้คิดว่าอีกคนคงพึ่งเลิกงานและกำลังกลับที่พัก
“งั้นก็กลับดีๆ กูขับรถก่อน” โจ้บอก แต่อีกคนกลับรีบขัดเพราะกลัวว่าหมอจะตัดสายทิ้งไป
“หมอจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าบ้านไหน”
โจ้สูดหายใจเข้าอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะตัดใจถามออกไป
“บ้านไหน ว่ามา”
พายหัวเราะร่า
“บ้านของเราไง”
โจ้กรอกตากับมุกไม่ถึงบาท นึกเกลียดเสียงหัวเราะทุ้มๆ แกมขี้เล่นของคนข้างบ้าน
ถ้าเป็นคนอื่นคงหลงคุณพ.หัวปักหัวปำแต่นี่คือโจ้ผู้โหดหิน กิริยาหลายๆ อย่างของพายจึงไม่มีผลต่อหมอแม้แต่น้อย
“เออ ถ้ากลับมาถึงบ้านเราอย่าตกใจที่รถไม่อยู่นะ กูเอารถเราออกมาใช้เดี๋ยวไม่เจอจะโวยวาย” หมอเน้นคำว่า “เรา” เพื่อประชด ด้วยไม่คิดว่าอีกคนจะกลับมาบ้านจริงๆ
ทำเอาคนที่กำลังรีบวิ่งแทบจะเอาหัวทิ่มพื้นสนามบิน พายที่ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีกับคำประชดเร่งฝีเท้าวิ่งพร้อมกับยิ้มหน้าบานไปด้วย
เห็นทีว่าจะต้องไปเร่งให้กัปตันขับเครื่องบินเร็วๆ แล้ว
“รถผมก็เหมือนรถหมอแหละเนอะ” ปลายสายว่าอย่างร่าเริงก่อนจะกดวางไป
หมอเหล่มองโทรศัพท์ที่พึ่งวางไปอย่างตะหงิดใจพิกลเมื่อนึกได้ว่าคำว่ากลับบ้านมันแปลกๆ แถมตาหมอยังกระตุกเสียด้วย
.
.
.
.
“โฮ่งงง”
“โฮ่ง! ”
โจ้เลี้ยวเข้าบ้านหลังใหญ่ไปพร้อมกับที่ไอ้หมาสองตัวเห่ารับขับขานกัน หมอเลือกจอดรถในโรงจอดรถหรูของพ่อ โจ้มองซ้ายขวาแล้วเสียบเข้าไปในซองตรงกลางระหว่างพอร์ชรุ่นท้อปและเมอสิเดสเบนซ์สองประตูอย่างสวยงาม
จะว่าไปแล้วผู้ชายกับเรื่องรถนี่เป็นของคู่กัน โดยเฉพาะโจ้ที่เห็นพ่อขับรถหรูและรถสวยๆ มาตั้งแต่เด็กด้วยแล้ว ถ้าไม่ติดว่าหมอเงินเดือนน้อยและแฟนเก่าชอบรถเล็กๆ อย่างมินินี่ละก็ เขาเองก็อยากสอยมาขับเองสักคันเหมือนกัน
“รถสวย กูนึกว่าใคร”
หมอผู้ยึดรถอื่นมาเป็นของตัวเองยักคิ้วให้พี่ชาย ที่ตั้งใจเอารถคุณพ.มาวันนี้เพราะอยากอวดตาลุงที่กำลังเดินออกจากบ้านมานั่นเอง
“นี่รถใครวะ” โจ่เหล่มองพ่อ อมยิ้มท้าทาย ดูก็รู้ว่าพ่อโจ้กำลังตื่นเต้นที่ได้เห็นรถสวย
“ไปโขมยใครมา”
หมอหลุดขำ เพราะดูยังไงแล้วพ่อก็ไม่เชื่อว่าเป็นรถเขา
“โฮ่ง” ในเวลาเดียวกันไอ้เบ็กตัวใหญ่ที่นั่งกินพื้นที่สี่สิบเปอร์เซ็นต์ของรถก็ค่อยๆ กระโดดลงมานั่งเห่าแล้วมองเจ้าของบ้านหลังใหญ่ตาใสแป๋ว
“โฮ่ง! ” ส่วนหมาเด็กที่ตัวใหญ่เป็นควายก็ลงมาวิ่งวุ่นดมนั่นนี่วุ่นวายไปหมด
“นี่แหละครับเจ้าของรถ” หมอบอกพ่อกับพี่ชาย
“สต๊อปเบ็ก พาย” หมอสั่งไอ้สองตัวที่กำลังวิ่งวุ่น
ไอ้เบ็กที่นั่งนิ่งตัวตรงอยู่แล้วงงว่าบอกมันอีกทำไม ส่วนไอ้พายที่วิ่งวนเป็นลิงก็นั่งลงอย่างว่าง่าย ดูทั้งแข็งขันและน่าเอ็นดูไปในทีเดียว
“สั่งได้ด้วยเว้ย” พ่อที่ดูกลัวหมาตัวใหญ่ในตอนแรกลองดูบ้าง
“เบ็ก พาย ซิงอะซอง” หลังจากคำสั่งนั้น...ดูจากการขมวดคิ้วของหมาก็รู้แล้วว่า หมางง
“โฮ่ง”
“โฮ่ง! ”
โจ้และพี่เสือนั่งขำพ่อตัวเองผู้พยายามเล่นมุขกับหมาจนไอโขลก ในขณะที่พ่อผู้เป็นทั้งเจ้าของโรงพยาบาลขนาดใหญ่และเจ้าของบ้านหลังนี้ถือวิสาสะพาหมาไปวิ่งเล่นในสวนอย่างสนุกสนานคนแก่โดยไม่ได้สนใจลูกแม้แต่น้อย
“พี่กวางล่ะครับ” โจ้หันไปถามพี่ชาย
ถ้าคนภายนอกดูต้องคิดแน่นอนว่าพี่เสือเป็นน้องชาย เพราะพี่แกตัวเล็กกว่า ดูเด็กกว่าเยอะ ต่างจากหมอที่สภาพร่างกายเหมือนคนอยู่ในสนามรบตลอดเวลา
“กวางอยู่ในบ้านกับเนย”
“ใครนะครับ? ” โจ้ที่เมื่อครู่ยังดูมีความสุขกับการอวดรถและหมาถึงกับหุบยิ้มลง เขาขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับมองหน้าพี่ชายตัวเอง หมอภาวนาอย่างขอให้ไม่ใช่เธอคนนั้น แม้จะรู้ว่าน้องเนยที่สนิทกับครอบครัวนั้นมีเพียงคนเดียว
ถึงโจ้จะเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุมีผลมาก แต่กับเรื่องรักมนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่วันยังค่ำ หมอเลี่ยงที่จะรักไม่ได้ เช่นเดียวกับที่หมอหนีจากความเจ็บปวดไม่ได้ แม้จะเลิกกันมานานหมอก็ยังจำได้ว่าตอนเลิกกันนั้นพวกเขาไม่ได้จากกันด้วยดีนัก
ถึงในตอนนี้จะดีขึ้นมากแล้ว...แต่ก็ยังไม่อยากเจอ
“น้องเนยเขามาเยี่ยมพ่อ”
โจ้พยักหน้ารับรู้ เพราะเอาจริงๆ แล้วน้องเนยกับพี่กวางเขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันมาก่อน และรู้จักกันมานานแล้วซ้ำ
หมอเดินตามพี่เสือเข้าบ้านอย่างเสียไม่ได้
“ตอนนี้เนยคบกับนักดนตรีอยู่ค่ะ”
“แล้วโอเคไหม พี่กวางเป็นห่วง”
“ดีค่ะ ก็เรื่อยๆ พี่เขาทำงานที่ต่างประเทศ ช่วงนี้ก็ยุ่งๆ ”
“ดีแล้ว เรื่องความรักมันพูดยากเนอะ แต่รักกันก็ดีแล้ว”
“ค่ะ เรารักกันดี”
โจ้ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังสาวๆ เขาคุยกัน แต่บังเอิญมาได้ยิน
“พี่กวาง สวัสดี” โจ้ทักทายพี่สาวผู้กำลังง่วนกับการทำอาหารในครัวที่นานๆ ได้ใช้ที ข้างๆ กันนั้นมีหญิงสาวอีกคน เธอดูไม่ต่างจากเดิมนัก ยกเว้นรอยยิ้มฝืนๆ ส่งมาให้กัน
“พี่โจ้ สวัสดีค่ะ” หมอรับไหว้เธอ ยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะเดินหลบออกมานั่งที่โซฟาข้างนอก
ในตอนนั้นพ่อที่ดูจะเหนื่อยเดินเข้าบ้านมาพร้อมกับไอ้หมาที่ยังดูตื่นเต้นกับสถานที่ใหม่อยู่
“เอามาไว้บ้านนี้ไหม” พ่อถาม...บทจะขอก็ขอกันง่ายๆ ไปเล่นด้วยกันเมื่อกี้น่าจะซี้กันแล้ว
โจ้มองหน้าพ่อตัวเองที่ขอหมาคนอื่นหน้าตาเฉย แม้หมอจะเกรงใจพ่ออยู่บ้างแต่ก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ให้ครับ” พอบอกไปอย่างนั้นคนแก่ขี้เหงาก็ชักสีหน้าไม่พอใจ
“จิงโจ้นี่มันหัดงกกับพ่อ”
พี่เสือรีบบอก เพราะกลัวพ่อจะงอนเข้าจริงๆ
“งั้นจิงโจ้ก็ให้พ่อเอามาเล่นอาทิตย์ละครั้ง”
“เออ ดี” พ่อของหมอตอบรับ
นี่ขนาดหมานะ หมอไม่อยากคิดเลยว่าถ้ามีลูกขึ้นมาจริงๆ พ่อเขาต้องยึดหลานมาเป็นของตัวเองแน่นๆ
“ผมไม่ได้ว่างมาบ่อยๆ พ่อก็รู้”
“พ่อดูจิงโจ้มันบอกปัดพ่อสิ” พี่เสือรีบเสี้ยม
“จะเล่นกับหมาไม่ได้เล่นกับคน”
ถึงหลายๆ คนจะมองว่าคุณไพศาลแห่งวงการการแพทย์จะหน้าดุ ทำงานเก่งและดูเข้าถึงยาก แต่สำหรับลูกๆ และคนใกล้ตัวแล้วมักจะเห็นพ่ออีกมุม
“ผมไม่มีเวลาพามา”
“งั้นเดี๋ยวพ่อไปรับเอง”
ในระหว่างที่พ่อและลูกชายคนเล็กกำลังเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง พี่กวางผู้กำลังจัดแจงอาหารก็เดินออกมาห้ามทัพก่อน
“ทานข้าวค่ะ”
.
.
.
.
ตลอดการกินข้าวมื้อนั้น โจ้ไม่ได้พูดคุยกับใครมากนัก โดยเฉพาะกับน้องเนยที่หมอคุยน้อยแทบจะนับคำได้
เธอดูแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่หมอเลี้ยงหมาตัวใหญ่ตั้งสองตัว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเคยขอเลี้ยงแต่โจ้บอกไม่มีเวลาดูแล
หลังจากนั้นไม่นานนักเธอก็ขอตัวกลับไปก่อนโดยอ้างว่ามีธุระ ทุกคนรู้ถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ดีจึงไม่ได้เซ้าซี้อะไรมากนัก
“เห็นบอกจะลาออก? ” พ่อที่ดูเหมือนเงียบไปนานถามลูกชายคนเล็ก
“ครับ ผมว่าจะเรียนต่อ” หมอพูดถึงการเรียนต่อเฉพาะด้าน
เมื่อก่อนความคิดแบบนี้ไม่เคยมีในหัวเขาเลย แต่ช่วงนี้โจ้รู้สึกว่าอยากเริ่มทำอะไรใหม่ๆ ถ้าให้ทำงานในโรงพยาบาลรัฐที่ไม่เคยได้หยุดเช่นเดิมแล้วเรียนต่อไปด้วยคงไม่รอด หมอจึงตัดสินใจลาออกง่ายกว่า
พ่อพยักหน้าเข้าใจ
“ไม่ไปอเมริกาล่ะ หรือชอบยุโรป? ” พี่เสือผู้โดดเรียนจากอเมริกามาเป็นหมอชาวเขาถามน้องชาย ทำเอาพ่อมองพี่เสือด้วยสายตาสุดเซ็ง
โจ้ส่ายหน้าก่อนจะตอบกลั้วหัวเราะ
“ตังค์ผมไม่ถึง ไหนจะหมาอีก” หมอพูดถึงค่าเรียนหลักล้านที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะหาได้
“เอาหมามาไว้นี่ แลกกับค่าเรียน” เจ้าของบ้านหลังใหญ่ยื่นข้อเสนอ
ความฝันของคุณไพศาลพ่อหมอโจ้อยากให้ลูกเป็นหมอเหมือนตัวเอง ที่สำคัญคือต้องมีสักคนที่จบจากมหาลัยเก่าที่ตัวเองเคยเรียนในอเมริกา พอส่งพี่เสือไปก็ดันเรียนต่อไม่จบ รักวิถีหมอบนเขาขึ้นมาเฉยๆ ทำเอาคุณไพศาลเซ็งจิต
แต่เดิมครอบครัวของหมอเป็นคนจีนทำอาชีพค้าขายสมุนไพร แม้จะไม่มีเงินถุงเงินถังแต่รุ่นก๋งก็ผลักดันพ่อไปเรียนถึงต่างประเทศได้ และนั่นทำให้ครอบครัวมีวันนี้
“แต่ผมห่วงมัน”
“อยู่ที่บ้านมีแม่บ้านดู มีสวนให้วิ่ง มีพ่อคอยดูแล ดีกว่าอยู่กับจิงโจ้อีก” พี่กวางเสริม ทำเอาหมอเถียงไม่ออก
“อยากเอามันไปด้วย” โจ้บอกทุกคน พร้อมกับหันไปมองหมาสองตัวที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนพื้นหินอ่อนเย็นสบาย
“ฉันเลี้ยงมันได้ดีกว่าแก” คุณไพศาลว่าพร้อมกับยักคิ้ว หมอเลยชูมือขึ้นยอมแพ้
โจ้ที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายและสบายมานานคิดแล้วว่าตัวเองควรจะทำอะไรบ้าง เขามองออกไปที่สวนกว้างหน้าบ้าน คิดว่าถ้าเอาบ้านที่ซื้อเองมาวางคงได้เป็นสิบหลัง ก่อนจะหันมามองหน้าพ่อ
“งั้นฝากผ่อนบ้านผ่อนรถด้วยนะครับ” หมอบอกลุงแก่ๆ ที่กำลังแสยะยิ้มอย่างรู้ทัน
“ได้ แต่ขอร้องไม่ต้องมาเข้าค่ายที่ชายแดนเหมือนไอ้เสือมันนะ”
คำขอร้องนั้นทำเอาทุกคนในโต๊ะหัวเราะร่วน
.
.
.
.
เย็นวันนั้นโจ้กะจะนอนค้างที่บ้านพ่อ แต่กลับมีเบอร์ประหลาดโทรเข้ามาเกือบสิบสาย
“หมอมารับผมหน่อยนะครับ”
“นั่นใคร แล้วไปรับที่ไหน”
หมอจำเสียงทุ้มแต่กวนตีนนั่นได้ดี แต่กลับไม่แน่ใจ
“ผมเอง มารับที่สนามบินหน่อย ของฝากหมอเยอะมากเลยนะ”
“ห๊ะ มึงกลับมาไทยเหรอ”
“ครับ กลับบ้านเราไง”
หมอโจ้ปวดหัว…
แต่ก็เห็นแก่ของฝากอันได้แก่โปสการ์ดและพวงกุญแจจากสามปราสาทเก่าในในสามประเทศของยุโรปที่อีกคนอวดนักอวดหนาว่าหายากมาก ทั้งอีกอย่างเพราะเกรงใจที่เอารถเขามาใช้
เลยตัดใจทิ้งหมาที่กำลังนอนตากแอร์หลับอุตุอยู่ในบ้านแล้วขับรถออกไปหาผู้ชายข้างบ้านที่ไม่รู้กลับมาทำไมในยามนี้
“กลับยัง” โจ้ทักใครอีกคนที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือน หมอเดินเข้าไปแตะไหล่คนตัวโต
พายสวมผ้าปิดปากสีดำนั่งไขว่ห้างพร้อมสัปหงกอยู่ที่เก้าอี้ในร้านกาแฟของสนามบิน คนผิวแทนตัวใหญ่ลืมตาขึ้นมองคนที่นัดไว้ ก่อนจะวาดมือโอบเอวหมอที่ยืนอยู่ตรงนั้นเข้ามาหาตัวเองอย่างไม่ได้สนใจใครเลย
หมอยิ้มน้อยๆ กับท่าทีที่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยของอีกคน
“คิดถึงครับ” พายบอกเสียงอู้อี้
โจ้ใช้สันมือทุบไหล่อีกคนก่อนจะว่า
“มึงทักทายผู้ใหญ่แบบนี้เหรอวะ”
พายผู้ที่โดนสันมือทุบคลำไหล่ตัวเองพร้อมกับหน้าหมอให้เต็มตา ทั้งๆ ที่หมอไม่ได้ตัวเล็ก ไม่ได้เข้าใกล้คำว่าน่ารักแม้แต่น้อย แต่ก็ยังรู้สึกว่าหมอน่ารักมากอยู่ดี
“สวัสดีครับ” คุณพ. ยกมือไหว้หมอซบหน้าลงตรงอก พร้อมกับยิ้มกว้างแบบน่าหมั่นไส้ ทำเอาหมอหลุดขำ ตัวก็ใหญ่...แต่เล่นอะไรก็ไม่รู้
“อยากทักทายแบบฝรั่ง” พายเย้า ทำปากจู๋ทั้งๆ ที่สวมผ้าปิดปากอยู่
“เดี๋ยวโดนกูฟาดอีกที” หมอบอกอีกคนที่กำลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้
พายขำคนดุ
“กลับบ้านกัน ง่วง” หมอบอก แล้วเดินนำไป
พายยิ้มให้กับคำว่าบ้าน
คุณพ.ผู้กลับมาบ้านโดยไม่ได้เตรียมตัวอันใดยกเว้นของฝากหมอ แบกเป้ขึ้นหลังแล้วเดินตามผู้ชายตัวขาวข้างหน้าอย่างมีความสุข ไม่รู้ทำไมแค่มีคนมารับกลับบ้านถึงมีความสุขก็ไม่รู้
“ขับนะ จะนอน” โจ้ทิ้งกุญแจให้เจ้าของรถ ก่อนจะเปิดประตูอีกฝั่งเข้าไปนอนโดยไม่ได้สนใจอีกคนเลย
คงเพราะหมอไว้ใจพายมากเกินไป พี่แกถึงตื่นมาแล้วอยู่ที่ส่วนไหนของโลกก็ไม่รู้ หมอมองทางซ้ายขวาในยามเกือบเที่ยงคืนอย่างไม่คุ้นตาก่อนจะหันไปสบตาคนขับรถที่กำลังเลี้ยวเข้าที่ไหนสักแห่ง
“ผมหิวข้าว”
พอเป็นแบบนั้นโจ้เลยต้องมานั่งง่วงอยู่ที่ร้านอาหารกึ่งบาร์ที่ดูเหมือนอีกคนจะเป็นลูกค้าประจำ หมอนั่งหาวไปทั้งหยิบไก่ทอดในจานชิมไป
พายอมยิ้มขำกับท่าทางแบบนั้น
“ผมสั่งมาเยอะ หมอกินให้หมดนะ” พายบอกพร้อมกับมองคนง่วงที่กำลังก้มหน้าหน้าตา
เขาว่าจะรีบจัดการอาหารข้างหน้าตัวเองให้หมด เพราะเริ่มสงสารหมอโหดที่ตอนนี้ดูง่วงมาก
“ค่อยๆ กิน รอได้” โจ้บอกคนตัวใหญ่ที่ดูหิวจัด
สำหรับคนอื่นพายไม่เคยคาดหวังเรื่องความสัมพันธ์เลย แต่กับหมอ แค่มารับ ได้นั่งกินข้าวด้วยกันตรงนี้ แค่หมอสนใจกันบ้าง พายกลับรู้สึกว่าดีเหลือเกินที่กลับมา
“คิดถึงหมอ หมอคิดถึงผมไหม”
คนง่วงมองหน้าคนคุ้นตาที่ไม่ได้เจอหลายเดือน บางทีก็อแอบมองไปข้างบ้าน คิดว่าถ้าพายยังอยู่...ก็คงดี
“รีบกินเลยมึง”
พายขำร่วน กับการตีรวนของคนข้างกัน
“เมื่อกี้ยังบอกให้ผมค่อยกินอยู่เลย” เขาว่าพร้อมกับยื่นกุ้งทอดให้ลองชิม ตอนแรกคิดหว่าหมอโจ้จะปฏิเสธ แต่หมอกลับยื่นหน้าเข้ามางับ หมอเคี้ยวหนุบหนับ ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะเพราะง่วงเหลือเกิน ทำเอาคนป้อนยิ้มกว้าง นึกขอบคุณไปยันเอเดนน้องรักที่จองตั๋วกลับไทยให้
ในตอนนั้นเองพายเหลือบไปเห็นใครสักคนที่คุ้นตาตรงแถวประตูทางเข้าร้าน
หมอโจ้เคยบอกเขาว่า
.
.
.
ถ้าปล่อยให้เรื่องราวเก่าๆ มันคาราคาซัง สุดท้ายแล้วคนที่เดือดร้อนก็คือตัวเอง
.
.
.