♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558  (อ่าน 54498 ครั้ง)

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 10.2 ชะตาไม่ยุติธรรม



           “ให้ตายเถอะ” เซียวถิงฟงรับมือไม่ครึ่งชั่วยามเหงื่อก็ชโลมใบหน้า มาตรว่าเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน หากแต่สมองกลับเห็นแต่ภาพของร่างน้อย มุมปากเผยอยิ้มขึ้น กระทั่งใจที่กำลังร้อนรนก็พลันสงบเสียดื้อๆ สายตาเริ่มมองความเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ออก

           เฟยหลงสู้กับเซียวถิงฟงอยู่หลายกระบวนท่า ในฐานะของมนุษย์ผู้หนึ่งก็ถือได้ว่ามีฝีมือสูงส่ง ซ้ำยังเฉียบคมประเมินมองได้ว่าควรรับฝ่ามือไหน ควรจะหลบฝ่ามือไหน

           ตูม ซ่า น้ำในสระบัวเกิดระเบิดขึ้น ดอกบัวสีขาวต่างทะยานลอยขึ้นกลางอากาศ กลีบดอกหลุดออกกระจุยกระจายก่อนมอดไหม้ด้วยประกายไฟสีน้ำเงิน ทว่าเมื่อละอองธุลีตกลงสู่ผิวน้ำก็บังเกิดเป็นดวงบัว บานขึ้นอีกหน

           เฟยหลงซัดฝ่ามือพลาดอีกครั้งก็ตัดสินใจเปลี่ยนเป็นฝ่ายตั้งรับ เขาหลบปลายเท้าอีกฝ่าย หันตัวกลับมาอีกครั้ง แต่ครานี้เซียวถิงฟงได้พลิกแพลงท่าร่างหมุนตัวพุ่งกระโจนเข้าโจมตีเขาแล้ว ยังมีกรงเล็บแข็งกร้าวมุ่งตรงมาที่หัวใจ ทั้งยังอยู่ในระยะประชิดจนยากจะที่หลบพ้นอีกต่อไป

           เปรี๊ยะ เสียงกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า แต่กระนั้นเซียวถิงฟงก็มิได้ออมกำลังเช่นคราแรกอีกต่อไป กำแพงค่อยๆร้าวแตกลงในพริบตา กรงเล็บทะลวงผ่านม่านพลังแล้ว ทว่า...

           เปรี๊ยะ บังเกิดเสียงร้าวขึ้นอีกครั้ง หากแต่เสียงร้าวในครานี้ทำให้เซียวถิงฟงต้องเบิกตากว้างประหลาดใจ คาดไม่ถึงว่าจะมีเกราะถึงสองชั้น

           เห็นกรงเล็บหยุดชะงัก เฟยหลงที่รอคอยโอกาสนี้ก็ปลดปล่อยพลังขุมหนึ่งเข้าใส่ แต่แล้วฝ่ามือยังมิทันกระทบถูกตัว ฉับพลันนั้นก็บังเกิดเป็นแสงสีทองขึ้นขวางกั้นร่างของเซียวถิงฟงไว้

           พลังสองสายต้านทานกันอย่างดุเดือด แลไม่นานก็เกิดเป็นแสงวาบขึ้น เฟยหลงรีบผละตัวให้พ้นวิถีแรงระเบิด ด้านเซียวถิงฟงกลับรับเข้าอย่างจัง เป็นเหตุให้ร่างกระเด็นชนเข้ากับกำแพงอุทยานจนพังทลายลง

           แรงปะทะนี้สร้างความสาหัสจนต้องกระอักเลือด สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเหลือบไปเห็นทหารยามที่นอนไม่ได้สติด้านหลังกำแพงที่ทลายลง คล้ายกับพวกเขาหมดลมหายใจไปแล้ว พอดีกับที่เสียงฝีเท้าเคลื่อนเข้าใกล้ เซียวถิงฟงก็กัดฟันฝืนหยัดตัวขึ้นนั่งด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว ไม่มีท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด

           ชายผู้นี้ยังคงมีชีวิตอยู่ ทั้งๆที่ควรจะถูกแยกส่วนออกเป็นชิ้นๆไปแล้ว หากมิใช่เป็นเพราะเกราะคุ้มกันสีทองนั่น เกราะคุ้มกันของท่านมหาเทพ ดวงตาถึงกับวาวโรจน์ขึ้น ร่างคนเจ็บพลันถูกกระชากขึ้น “ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย บอกข้ามาท่านมหาเทพอยู่ที่ใด”

           เสียงตวาดดังก้องไปทั่วบริเวณ เซียวถิงฟงอดที่จะเบิกตาขึ้นกว้างมิได้ ชายผู้นี้กำลังตามหา “ต้าเซียน”
ท่าทีดังกล่าวมิอาจหลุดพ้นดวงตาเช่นพญาอินทรีได้ “เจ้ากำลังหมายถึงผู้ใด” สองมือกำชับที่คอเสื้อแน่นขึ้น

           “.......” แม้สภาพร่างกายจะถึงขีดสุดแล้ว กระทั่งลมหายใจก็ยังติดขัด ในปากเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แต่เพลานี้เซียวถิงฟงก็อดที่จะอยากตบปากตัวเองให้กระอักเลือดอีกสักคำมิได้

           “บอกมา เจ้าหมายถึงผู้ใด”

           “.........” เซียวถิงฟงแสร้งยิ้มตีสีหน้าเรียบเฉย 

           “เจ้าอย่าได้ลำพองใจไป หึ แม้เจ้ามิคิดพูด ข้าก็ให้เจ้าคายออกมา” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมกล่าวจบ มือข้างขวาก็ปรากฏไอเย็นสีขาว ก่อนกระแทกเข้าใส่กลางศีรษะคนตรงหน้าอย่างไม่ปราณี

           “อ๊าก” เซียวถิงฟงร้องลั่นอย่างเจ็บปวด สมองราวกับถูกต้มอยู่ในน้ำที่เดือดพล่าน บางครั้งคล้ายอยู่ในน้ำเย็นจัด เส้นประสาทค่อยๆถูกทำลายลง ภาพในความทรงจำต่างทยอยกันฉายในสมอง ไม่ว่าจะเป็นภาพเขากับอวี่จงอยู่บนเรือท่ามกลางสระบัวขนาดใหญ่ หรือแม้แต่ภาพที่เขาเก็บเอาลูกแก้ววิเศษขึ้นมาก็เช่นกัน

           “ไม่” เซียวถิงฟงคำราม เขาจะให้คนผู้นี้เห็นต้าเซียนไม่ได้เป็นอันเด็ดขาด ได้แต่ฝืนข่มกลั้นให้หลุดจากพันธนาการ แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนสักแค่ไหนกลับไม่เป็นผล สุดท้ายภาพของร่างน้อยก็ปรากฏขึ้น

           “ท่านมหาเทพ” เฟยหลงถึงกับชะงักมือ ร่างของเซียวถิงฟงพลันทรุดลงกับพื้น ลมหายใจของเฟยหลงพลันถี่ขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาที่แดงก่ำไม่กะพริบแม้แต่น้อย “ท่านมอบพลังให้เขางั้นรึ”

           นี่คือบุคคลที่เขาเฝ้าเพียรหา หากแต่ภาพความทรงจำดังกล่าวกลับสร้างบาดแผลที่ลึกลงในใจ มิรู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ ท่านผู้นั้นเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปในแบบที่ตนวาดฝันมาตลอด ท่านมหาเทพสามารถหัวเราะหรือแม้แต่มีน้ำตา ทว่าบุคคลที่ทำให้ท่านเป็นเช่นนั้นกลับมิใช่เขา...มิใช่ข้า ในอกเสมือนถูกคมมีดนับพันแทงกระหน่ำเข้าใส่

           “มันไม่ยุติธรรม” เฟยหลงตวาดก้องใส่ท้องฟ้า ดวงตาปรากฏรอยเคียดแค้น “ทำไมกัน ทั้งๆที่ข้าเฝ้ารอความหวังนี้มานานนับพันปี แต่ทำไมชะตาถึงเล่นตลกกับข้า ข้าไม่ยอม ข้าไม่มีวันยอมรับ แม้เพียงเส้นผมของท่านข้าก็ไม่มีวันยกให้ผู้อื่น” พลันจ้องเซียวถิงฟงที่นอนคุดคู้กอบกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด จากนั้นจึงกระชากให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาเผชิญหน้า

           “บุคคลที่จะได้ครอบครองทั้งพลังและตัวของท่านมหาเทพ ต้องเป็นข้าเท่านั้น ข้าเพียงคนเดียว” รังสีอาฆาตคุกกรุ่นอยู่ในแววตานั้น

           เซียวถิงฟงหรี่ตาขึ้นแล้วเอื้อมมือไปจับคนที่กุมเสื้อเขาไว้ ทั้งยังพยายามดึงเอาพลังที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดออกมาใช้

           ด้านเฟยหลงก็สะบัดมือนั้นออกโดยง่ายดาย ทำให้ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงทรุดลงอีกครั้ง เขาจิกรั้งศีรษะอีกฝ่ายให้แหงนขึ้น
“เจ้าอย่าได้คิดว่ามีพลังของท่านมหาเทพคุ้มกายอยู่ก็จะสามารถเอาชนะข้าได้ จงรู้ไว้พลังที่เขามอบให้เจ้าเป็นเพียงส่วนน้อยนิดหากเทียบกับข้า และที่สำคัญเจ้าควรตระหนักไว้ เจ้ามิคู่ควรกับพลังนี้ แม้คราแรกเจ้าอาจรอดพ้นจากเงื้อมมือข้าได้ แต่จะไม่มีครั้งที่สอง” กล่าวจบก็ซัดฝ่าไปที่ศีรษะอีกฝ่าย

           เซียวถิงฟงพลันหลับตานึกถึงบิดา ผู้บุตรอกตัญญูจำต้องจากท่านไปก่อน ซวนหยวนหมิงไท่ ข้าขอโทษ หากข้ากลายเป็นผีก็จะช่วยหลอกหลอนศัตรูของท่านให้สิ้นซาก ต้าเซียน ข้ายังไม่มีโอกาสได้ขอโทษเจ้า ดังนั้นได้โปรดอย่าร้องไห้ อย่าได้ยิ้มแม้ในใจจะเป็นทุกข์ ข้าเพียงหวังให้เจ้ามีความสุขอย่างแท้จริง ชั่วขณะที่เปลือกตาปิดลงก็คล้ายกับเห็นรอยยิ้มอบอุ่นเช่นดวงตะวัน มุมปากเขาหยักยิ้มขึ้น

           ต้าเซียน หลังจากนี้ข้าคงไม่มีโอกาสได้พบหน้าเจ้าและได้บอกกับเจ้าว่า

           ข้า...

           ชอบเจ้า...


***************************************************

วันนี้มาดึกไปหน่อยขออภัยนะด้วยจ้า  :katai5:

โว้ววว ในที่สุดก็ขึ้นหน้าสองเเล้ว
 

ออฟไลน์ junpa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
ถิงฟงอย่าเป็นอะไรไปนะ ต้าเซียนมาช่วยเร็วเข้าาา

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 11.1 ประมือ

 
           ยามพลบค่ำ ซวนหยวนหมิงไท่ที่กำลังวาดรูปกิ่งไผ่อยู่อย่างเงียบๆภายในห้องทรงพระอักษรกลับต้องหยุดมือลง วางพู่กันบนจานหมึก มองคนที่นั่งชะเง้อคอจ้องไปที่ประตูโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
               
           “นี่ก็ถึงเวลาที่ถิงฟงควรจะกลับแล้วไม่ใช่รึ” ต้าเซียนหันไปกล่าวถามซวนหยวนหมิงไท่ คล้ายมีบางสิ่งที่ทำให้ใจมิอาจสงบลง
    
           “เสี่ยวลู่ ท่านรองแม่ทัพเซียวออกมาจากที่ทำการรึยัง”

           “กราบเรียนองค์รัชทายาท กระหม่อมได้รับแจ้งมาว่าท่านรองแม่ทัพเซียวได้ออกจากจวนที่ว่าการมาสักครึ่งชั่วยามแล้วพะยะค่ะ” เสี่ยวลู่ ขันทีประจำพระองค์กล่าวตอบอย่างนอบน้อม

           “หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็ควรมาถึงที่นี่แล้ว” องค์รัชทายาทครุ่นคิดก่อนกล่าวสืบต่อ “รึเขาแวะไปที่อื่นอีก เสี่ยวลู่เจ้าส่งคนไปตามอีกที”

           “พะยะค่ะ”

           ต้าเซียนฟังแล้วรู้สึกติดใจอย่างไรบอกไม่ถูก เซียวถิงฟงคงมิได้แวะไปที่นั่นใช่ไหม ไม่ เป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไปที่นั่น

           “ท่านเป็นอะไรรึเปล่า ไฉนจึงดูกังวลใจยิ่ง” ดูจากท่าทีกระสับกระส่ายก็ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องถามขึ้นมา

           “ข้ารึ มิได้เป็นไร ไม่สิ...” ต้าเซียนกล่าวเสียงสูงก่อนจะเงียบเสียงไป ใบหน้าเริ่มฉายแววสับสน ความหงุดหงิด ร้อนรน เลือดในกายฉีดพล่านประหนึ่งพบคู่มืออันยอดเยี่ยม นี่คงมิใช่ความรู้สึกของเซียวถิงฟงใช่ไหม? เหงื่อเย็นเริ่มไหลแนบสู่แก้มอันนวลผ่อง

           “หรือว่าท่านไม่สบาย” เมื่อผิดสังเกตนานเข้าซวนหยวนหมิงไท่ก็ลุกจากเก้าอี้ ย่อตัวมองร่างน้อยที่ใบหน้าขาวโพลนด้วยความเป็นห่วง ครั้นคิดว่าจะตามหมอหลวง ที่หน้าต่างก็เกิดเสียงเคาะขึ้นถี่

           ถิงถิงกระโดดไปเปิดหน้าต่างด้วยอยากรู้อยากเห็น พริบตานั้นอีกาตัวสีดำก็บินเข้ามาด้วยท่าทีโซเซ คล้ายพึ่งออกบินเป็นครั้งเเรก ท้ายที่สุดมันถลาร่อนลงบนโต๊ะเขียนหนังสือยังผลให้ข้าวของบนโต๊ะกระจัดกระจาย กระทั่งกลิ้งตัวไปสามตลบมันถึงพึ่งลุกขึ้นส่งเสียงร้องได้

           “จุ๊ จุ๊ จุ๊” เสียงร้องโหวกเหวกอันน่าประหลาดใจสร้างความพิศวงให้กับคนในห้อง เว้นเพียงต้าเซียนที่อุทานตกใจ

           “ไม่จริง”

           “เกิดอะไร” ซวนหยวนหมิงไท่งงงันวูบ แต่ครั้นจบคำก็เกิดเป็นแสงสว่างจ้า เขาจำต้องเบี่ยงหลบสายตา รอจนแสงนั้นหายไปจึงค่อยๆลดแขนเสื้อลง ก่อนจะเห็นต้าเซียนที่ดูแปลกตาไปโดยสิ้นเชิง

           ดวงตาสีน้ำตาลทองบ่งบอกความน่าเกรงขาม เส้นผมสีน้ำตาลยาวสยายยาวระพื้น อาภรณ์ที่สวมใส่แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ขับดันให้ดูสง่างามสูงศักดิ์ยิ่ง

           “ถิงฟงกำลังตกอยู่ในอันตราย” ต้าเซียนโพล่งออกมา

           “ท่านมหาเทพ” ไป่เซ่อเองก็ร้องเรียกคราหนึ่งก็คืนร่างเช่นกำไลคล้องอยู่ที่ข้อมือข้างขวาของผู้เป็นนาย

           ตึง กระแสลมแรงพุ่งกระแทกประตูจนกระเด็นหลุดออกไป เหล่าองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกถึงกับสะดุ้งตกใจ แล้วพากันมองไปทางเข้าห้องพระอักษรอย่างเงียบงัน ครั้นหัวหน้าองครักษ์ส่งสัญญาณจู่โจม ก็ปรากฏเด็กหนุ่มรูปงามในชุดขาวถลาตัวออกมาจากห้องด้วยท่วงท่าสง่างาม ฝีเท้าสัมผัสพื้นดินเพียงผิวเผินก็สามารถทะยานตัวออกไปได้ไกล ทำเอาเหล่าองครักษ์ต่างมองกันตาค้าง

           “องค์รัชทายาททรงปลอดภัยดีรึไม่” องครักษ์นายหนึ่งได้สติก็รีบร้องถามอย่างแตกตื่น

           ที่ด้านในห้องซวนหยวนหมิงไท่ยังคงคุกเข่าข้างหนึ่งตกตะลึงอยู่ในท่าเดิม จวบจนได้สติก็รีบออกคำสั่ง “เหตุการณ์คืนนี้ ห้ามมิให้หลุดรอดไปถึงหูผู้ใดทั้งสิ้น มิเช่นนั้นรับโทษสถานหนัก อ่อ พวกเจ้ามิต้องตามข้ามาด้วย” กล่าวจบก็รีบตามต้าเซียนออกไป

           เหล่าองครักษ์จึงได้แต่มองส่งองค์รัชทายาทอ้าปากค้างอย่างมิงุนงง แลไม่นานหญิงสาวในชุดองครักษ์ก็โผทะยานออกไปต่อหน้าต่อตา


**********************************************


           ร่างสีขาวมุ่งหน้ามาถึงอุทยานหลวง กระแสจิตที่สัมผัสได้ล้วนบ่งบอกว่าชายหนุ่มอยู่ในภาวะวิกฤต ครานี้เขาใช้ออกด้วยเนตรทิพย์พร้อมทั้งทะยานตัวไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งเหลือบไปเห็นร่างที่นอนคว่ำไม่ได้สติระหว่างทางก็ตรงรี่เข้าหาอย่างตื่นตกใจ

           ต้าเซียนก้าวไปข้างหน้าด้วยกายที่สั่นเทิ้มยังผลให้ต้องสะดุดล้มลงในที่สุด มือพลันสัมผัสได้ถึงเลือดอุ่นบนพื้นก็ถึงกับสะดุ้งตัวตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ตนรู้สึกกลัว มือเรียวค่อยๆแนบลงที่แผ่นหลังกว้างอย่างกล้าๆกลัว
           
           “ไม่จริง” สัมผัสนั้นมีแต่เพียงความเยียบเย็น เป็นเขาทิ้งร่องรอยไว้ให้กับจอมมารเฟยหลง และเป็นเขาที่ไม่คิดล้มเลิกแผนการ ทั้งๆที่รู้ว่าชายหนุ่มติดใจสงสัย ดังนั้นเซียวถิงฟงจึงได้... คล้ายมีคมมีดทิ่มแทงอยู่ในอก ต้าเซียนตะโกนอย่างรวดร้าว
           
           “เจ้านั่นเหละที่ซื่อบื้อ ถิงฟง” 

           “ต้าเซียน เกิดอะไรขึ้น” ฉับพลันนั้นปรากฏเป็นเสียงเหนื่อยหอบที่ด้านหลัง เป็นซวนหยวนหมิงไท่ที่วิ่งตามมา

           “เขา เขาตายแล้ว” ในลำคอคล้ายมีก้อนสะอึก “เป็นข้าทำร้ายเขา”

           “หือ ชายผู้นี้น่ะหรือ” ซวนหยวนหมิงไท่ก้มมองร่างอันไร้วิญญาณอย่างนิ่งงัน

           “เป็นข้าทำร้ายเขา” ต้าเซียนหลับตาลงได้แต่โทษตัวเอง
   
           ซวนหยวนหมิงไท่มองดูสีหน้าโศกเศร้าของเจ้าตัวก็พลันเข้าใจ เขาพลิกร่างชายที่เสียชีวิตบนพื้นขึ้น “ชายผู้นี้บาดเจ็บภายในสาหัสจนถึงแก่ความตาย กระดูกทั่วร่างถูกทำลายเสียหมด”

           ถิงฟง เจ้าคงเจ็บมากสินะ เอาเถิด หากเรื่องจบลงเมื่อไหร่ ข้าให้สัญญาว่าจะลงไปกำชับท่านยมบาล ให้เจ้าลงไปเกิดในชาติภพที่ดี เอาเป็นว่าเกิดไกลจากสระบัวเสียหน่อย จะได้ไม่ต้องโชคร้ายเพราะข้าอีก

           “ว่าแต่เซียวถิงฟงล่ะ” จู่ๆซวนหยวนหมิงไท่ก็ถามขึ้น ทำให้ต้าเซียนอุทานพลางลืมตาขึ้น

           “เอ๋” เผลอไล่มองร่างไร้ลมหายใจแล้วก็เป็นอันต้องผงะหงายหลัง ร่างตรงหน้าเป็นเพียงชายแปลกหน้าที่มีรูปร่างสูงใหญ่ทัดเทียมกับเซียวถิงฟง หนำซ้ำยังแต่งตัวต่างกันไปมากโข ดูท่าว่าเขาจะเลอะเลือนไปจริงๆ

           บ้าจริง ร่างน้อยสบถในใจ แต่ก็มิวายโล่งใจไปปลอดหนึ่ง “ไม่ ยังวางใจมิได้” ตอนนี้ยังมิใช่เวลาที่ควรวางใจ ตราบใดที่ยังไม่พบเซียวถิงฟง ต้าเซียนนึกจากนั้นจึงมุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึกของอุทยาน

           “เดี๋ยวก่อน” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องเรียกทว่าร่างสีขาวกลับหายวับไปเสียแล้ว นี่ข้ายังต้องวิ่งตามอีกหรือ เขาคิดอย่างโอดครวญก่อนจะวิ่งตามไปอีกครั้ง

           เมื่อมาถึงสระบัวในเขตอุทยานหลวง ก็ปรากฏร่องรอยการต่อสู้ประปรายไปทั่วบริเวณ กลิ่นอายสังหารยังคงมิจางหาย อีกทั้งยังอยู่มิไกลจากที่นี่นัก ต้าเซียนคิดพลางใช้เนตรทิพย์มองไปโดยรอบๆ ก่อนจะพบเงาร่างที่คุ้นตาที่กำลังกระชากคนผู้หนึ่งขึ้น
           
           “ถิงฟง” เขาพลันตวาดก้อง เพียงช่วงเวลานิ้วดีดก็ปลดปล่อยพลังสีทองขนาดใหญ่เข้าใส่ชายผู้ที่กำลังเงื้อมือฟาดโดยไม่ลังเล

           พลังขุมหนึ่งถาโถมเข้าใส่ ทำให้เฟยหลงจำใจผละมือออกแล้วต้านรับอย่างเต็มกำลัง ด้านต้าเซียนก็ใช้จังหวะนี้พุ่งตัวเข้ารับร่างเซียวถิงฟงไว้ ก่อนกระโดดถอยห่างไปไกลแล้วส่งตัวชายหนุ่มให้กับซวนหยวนหมิงไท่ที่วิ่งตามเข้ามา

           “ถิงฟง ถิงฟง” องค์รัชทายาทรับร่างของเซียวถิงฟงไว้แล้วก็จับชีพจรเป็นการใหญ่ ถิงถิงที่พึ่งตามมาถึงก็เฝ้ามองด้วยความเป็นห่วง

           ครั้นพลังถูกต้านรับจนสลายหายไป ดวงตาเฉกเช่นพญาอินทรีก็เงาร่างสีขาวที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว หัวใจก็พลันเต้นระรัวอย่างปิติยินดี ความคิดถึงนานนับพันกว่าปีพวยพุ่งอยู่ในอก เฟยหลงจับจ้องมองคนตรงหน้าด้วยแววตาลึกซึ้ง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงห่วงหา “ท่านมหาเทพ” กาลเวลานับพันปีที่ไม่ได้พบหน้าแทบทำให้เขาต้องเสียสติ ฝีเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นท่านจริงๆใช่ไหม ท่านมหาเทพ

           ต้าเซียนจับจ้องมองบุรุษที่สวมใส่ชุดสีเลือดหมูเข้มดั่งคนแปลกหน้า นี่มิใช่เฟยหลงที่ตนรู้จัก กระทั่งเผลอสบเข้ากับดวงตาอ่อนโยนที่แฝงไว้ความแน่วแน่ ฉับพลันนั้นก็ทั่วร่างคล้ายกับถูกแช่แข็ง

           แน่ใจหรือว่ามิเคยรู้จัก สายตาเช่นนั้น มิใช่ว่าตนแสร้งทำเป็นละเลยหรอกหรือ พอดีกับที่มือหนึ่งเอื้อมขึ้นสัมผัสที่แก้มอย่างเบามือ ต้าเซียนพลันสะดุ้งตัวเล็กน้อย หากแต่ก็มิได้ปัดฝ่ามือนั้นออก

           สัมผัสอบอุ่นส่งผ่านมายังมือของตน เฟยหลงแทบอยากให้เวลาหยุดอยู่เพียงแค่นี้ ขอมีเพียงแค่เขาและท่านมหาเทพตลอดไป แต่แล้วเปลือกตาบางกลับหลุบลง ก่อนที่ฝ่ามือเขาจะค่อยๆหลุดออกอย่างมิจำใจ

           “ปล่อยข้า” น้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยอำนาจดังขึ้น เป็นเพราะเฟยหลงยังคงดื้อดึงมิยอมปละปล่อยมือออก

           เฟยหลงเหยียดยิ้มหยันรับรู้ได้ถึงการปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือแม้กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังคงถูกปฏิเสธอยู่ร่ำไป มือจึงค่อยๆลดลงจากแก้มนวลช้าๆ

           สีหน้าที่บ่งบอกถึงความปวดรวดร้าวนั้นแทบทำให้ต้าเซียนหายใจไม่ออก คำพูดต่างๆนานาถูกกลืนเข้าสู่ลำคอ แต่แล้งจังหวะนั้นเองดวงตาของเฟยหลงกลับแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว จู่ๆแขนแกร่งก็โอบรั้งร่างเขาไว้อย่างมิทันตั้งตัว ทว่าผลลัพธ์มิเป็นดั่งฝัน สองขาของท่านมหาเทพคล้ายหยั่งรากลึกลงสู่พื้นดิน ไม่มีไหวติงแม้แต่น้อย สุดท้ายเฟยหลงจำต้องหยุดการกระทำอันโง่เขลา สองมือเลื่อนขึ้นมาจับที่บ่าน้อยก้มหน้ามองลงพื้นดินนิ่งเงียบไป

           “เฟยหลง” ต้าเซียนกระซิบเรียกเบาๆ ด้วยรู้สึกสงสาร หากแต่ไม่ทันไรเสียงหัวเราะเจ็บปวดก็ดังขึ้นแทน

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เฟยหลงเงยหน้าขึ้นใช้ดวงตาที่แดงก่ำระคนคลุ้มคลั่ง จ้องไปยังคนหมดสติที่ด้านหนึ่ง

           “เฟยหลง” เสมือนว่ารู้ว่าเจ้าตัวคิดอะไร แต่เพลานี้เฟยหลงได้ผละตัวออกแล้ว ต้าเซียนรีบก้าวเข้าไปขวางไว้ทั้งยังตะโกนออกไป “เจ้ามิอาจก้าวเข้าไปได้อีก”

           น้ำเสียงหนักแน่นเอ่ยขึ้น เฟยหลงที่ตีสีหน้าเรียบสนิทก็จ้องลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลประกายทอง แล้วกล่าวถาม “เหตุใดข้าจึงก้าวเข้าไปมิได้”

           “........” ร่างน้อยถึงกับนิ่งเงียบไป คำถามนี้เขาเลือกที่จะไม่ตอบ
           
           เฟยหลงมิได้คำตอบก็เลือกที่จะก้าวต่อไป แต่ท่านมหาเทพยังคงเข้ามาขวางทางไว้ ตนจึงตัดสินใจพุ่งตัวเข้าใส่คนที่นอนสลบไม่ได้สติด้วยความเร็วดุจสายลม
 

**********************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 11.2 ประมือ

 
           แลเห็นเป้าหมายถูกเปลี่ยน ซวนหยวนหมิงไท่ก็ไม่มีเวลาคิดให้มากความจึงรีบเอาตัวเข้าบังสหายไว้ บุรุษผู้นี้ร้ายกาจถึงขั้นทำให้เซียวถิงฟงบาดเจ็บสาหัสได้เช่นนี้ นับว่าไม่ธรรมดา

           ทว่าเมื่อคนพุ่งเข้ามาถึง ถิงถิงก็กลับเป็นฝ่ายเอาตัวเข้าบังคนทั้งสองไว้แทน ฝ่ามือของเฟยหลงจึงกำเข้าที่ลำคอเล็กแล้วยกร่างขึ้นสูง ทำให้นางร้องทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด

           “ถิงถิง” ซวนหยวนหมิงไท่พยายามวิ่งเข้าไปช่วยถิงถิง แต่แล้วกลับโดนม่านพลังกระแทกใส่หงายหลังออกไป

           “ปล่อยนาง”

           เฟยหลงจำต้องปล่อยมือลงแล้ว เขาหันไปปะทะฝีมือกับท่านมหาเทพยังผลให้ร่างของถิงถิงทรุดลงกับพื้น ก่อนสำลักไออย่างรุนแรงจนซวนหยวนหมิงไท่ต้องตรงเข้าลูบหลังนาง

           “เรื่องของเจ้ากับข้า อย่าได้เอาผู้ใดมาเกี่ยว” ต้าเซียนกล่าวเสียงดังกังวานที่เปี่ยมไปด้วยพลังน่าเกรงขาม “เดิมทีข้าตั้งใจจะเจรจากับเจ้า หากเจ้ายอมกลับมายังเส้นทางที่ถูกที่ควร ข้าก็จะลืมเรื่องที่ผ่านมาทั้งอภัยให้เจ้าทั้งหมด”

           สงครามระหว่างเทพและปีศาจครั้งก่อนยังคงสร้างผลกระทบใหญ่หลวง ช่องว่างมิติบิดเบี้ยวพร้อมที่จะดูดกลืนทุกสิ่งอยู่ตลอดเวลา หากเขาสามารถเกลี้ยกล่อมเฟยหลงได้ ทั้งสามพิภพย่อมคืนความสงบ...กลับมาสิ เขาเรียกร้องภายในใจ ไม่อยากเห็นคนตรงหน้าถลำลึกมากไปกว่านี้อีกแล้ว

           “ลืม” น่าหัวร่อยิ่งนัก หัวใจเฟยหลงพลันเจ็บหนึบ “ลืมเรื่องที่ผ่านมาหรือ” หมายความว่าอย่างไร ท่านคิดจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมความรักที่ข้ามีต่อท่าน แล้วให้ข้ากลับไปใช้ชีวิตที่มิอาจครอบครองท่านได้กระนั้นหรือถ้อยคำหลากหลายพรั่งพรูในอก เขายกยิ้มขึ้นหากแต่มันเป็นรอยยิ้มขมขื่น “ท่านจะให้ข้าลืมความรู้สึกที่มีต่อท่านได้อย่างไร เป็นไปมิได้”

           สีหน้าของต้าเซียนเต็มไปด้วยความลำบากใจ ขบคิดอยู่ชั่วครู่จึงตัดสินใจกล่าว “เช่นนั้น หากข้ามิวิธีที่ทำให้เจ้าสามารถลืมได้ล่ะ” ถ้าการที่เขาเป็นฝ่ายลืมกลับเป็นการทำร้ายเฟยหลงแล้ว จะดีกว่ารึไม่ หากเฟยหลงเป็นฝ่ายลืมเสียเอง

           ทว่าคำกล่าวที่เอ่ยออกมานั้นกลับยิ่งเป็นการตอกย้ำรอยแผลของเขาโดยที่เจ้าตัวมิได้รู้ตัว ฝีเท้าของเฟยหลงถึงกับซวนเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนยิ้มประชดกล่าว “ขอถามท่านจะทำเช่นไรกัน”

           “น้ำแกงยายเมิ่ง” ต้าเซียนตอบ จากนั้นจึงอธิบายต่อ “เจ้าอาจไม่เคยรู้มาก่อน น้ำแกงยายเมิ่งที่ดินแดนใต้พิภพ แม้จะมีไว้สำหรับวิญญาณมนุษย์ที่กำลังจะไปเกิดใหม่ดื่มเพื่อลืมเลือนเรื่องราวชีวิตในภพก่อน หากแต่สำหรับเทพเซียนนั้นก็ย่อมให้ผลเช่นเดียวกัน”

           เฟยหลงฟังแล้วถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง นี่ท่านกำลังพูดอะไรอยู่ เหตุใดต้องให้เขาลืมด้วยเล่า รอจนเสียงหัวเราะหยุดลง รอยยิ้มเย็นชาผุดขึ้น “ท่านมหาเทพได้โปรดจำคำข้าไว้ให้ดี ท่านมิอาจลืมเลือนข้าได้ หากวันใดที่ท่านลืม ข้าจะทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ไม่ว่ามือข้าต้องแปดเปื้อนสักเพียงไหน ข้าก็จะทำให้ท่านจดจำข้าตราบชั่วนิรันดร์”

           เขาลั่นวาจาอย่างแน่วแน่ก่อนเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงขมขื่น “กลับกันหากข้าต้องลืมเลือนท่าน ข้ายอมเลือกเดินเข้าสู่เส้นทางที่แปดเปื้อนนี้หรือยอมสูญสลายไปเสียเลยดีกว่า” กล่าวจบก็พลันขยับเท้าขึ้น ไม่ว่าเขาจะทำให้ท่านมหาเทพหวั่นไหวได้รึไม่ เขาก็มิอาจปล่อยชายผู้ที่ได้รับพลังเช่นเดียวกับเขา

           เห็นเฟยหลงเริ่มเคลื่อนไหว อีกทั้งดวงตายังเปี่ยมไปด้วยรังสีอาฆาต ต้าเซียนก็รีบกล่าว “เจ้าอย่าได้หวังจะทำร้ายพวกเขาเป็นอันขาด” แม้จะรู้สึกเสียใจกับคำตัดพ้อดังกล่าว แต่หากเฟยหลงก้าวเข้ามาอีกเพียงก้าวเดียว เขาคงจำต้องลงมือ ทว่าร่างเบื้องหน้ากลับหายไปแล้ว

           เฟยหลงใช้ท่าร่างเคลื่อนย้ายในพริบตา ก่อนปรากฏตัวที่ข้างกายเซียวถิงฟง เขาลากตัวคนไม่ได้สติขึ้นจากพื้น ด้านซวนหยวนหมิงไท่ที่คอยดูอาการถิงถิงอยู่ก็รีบเอื้อมมือไปคว้าแขนสหายไว้แน่น

           หากแต่เจ้าของดวงตาดุจพญาอินทรีก็ปรายสายตาเย็นชาเข้าใส่แล้วจึงซัดพลังส่วนหนึ่งเข้าทำร้าย ต้าเซียนเองก็รีบเคลื่อนย้ายร่างตรงเข้ารับฝ่ามือนั้นไว้อย่างทันท่วงที

           พลังของทั้งสองต่างตรงเข้าผลักดันกันทันที แต่แล้วในช่วงเวลาเพียงช่วงสั้นๆ ต้าเซียนก็พลันรู้สึกถึงกระอักกระอ่วนภายใน จึงเค้นเอาพลังส่วนหนึ่งสะท้อนพลังออกไปจนบังเกิดเป็นแสงสว่างวาบที่ฝ่ามือ

           ฝ่ามือของทั้งสองต่างผละออกจากกัน ต่างคนต่างถอยกันไปคนละก้าว ต้าเซียนมองเซียวถิงฟงที่ยังคงอยู่ในกำมือเฟยหลงแล้วจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายบุกทันที

           ร่างน้อยถลาเข้าหาก็เอื้อมมือหมายคว้าร่างของชายหนุ่มไว้ หากแต่อีกฝ่ายกลับสะบัดมือลากเอาชายที่สลบไสลหลบไปทางด้านหลังแทน ดังนั้นสิ่งที่คว้าจับจึงมีแต่เพียงแค่อากาศธาตุ

           ทั้งสองต่างหนึ่งรุกหนึ่งรับกันอยู่หลายกระบวนท่า ต้าเซียนก็เปลี่ยนท่าร่างส่งพลังสีทองผ่านทางปลายนิ้ว ด้านเฟยหลงก็เบี่ยงกายให้พ้นวิถีจากนั้นจึงตรงเข้าประชิด มือขวาเหยียดตรงหมายสกัดจุด ทว่าต้าเซียนกลับรอคอยจังหวะนี้อยู่แล้ว ไหล่ซ้ายเบี่ยงไปทางด้านหลัง คว้าแขนอีกฝ่ายไว้หมุนตัวเข้าหาจนแผ่นหลังประชิดเข้ากับอกแกร่ง

           ครานี้แม้รู้ตัวว่าหลงกลแต่เฟยหลงก็ยอมที่จะโอนอ่อนผ่อนตาม มือปละปล่อยออกจากตัวเซียวถิงฟง แล้วสวมกอดร่างสีขาวที่ตกอยู่ในอ้อมอกแอทน ใบหน้าคมเคลื่อนเข้าใกล้เรือนผมนุ่มสลวย สูดดมเอากลิ่นหอมละมุนอ่อนเช่นดอกบัว จากนั้นจึงใช้ริมฝีปากไล้บริเวณใบหูนุ่ม

           “เพียงเพื่อช่วยมนุษย์ต่ำต้อยผู้หนึ่ง ไฉนท่านจึงยอมใช้ยุทธวิธีนำตัวเข้าแลกเช่นนี้” เฟยหลงเอื้อนเอ่ยอย่างช้าๆ แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่กลับแฝงด้วยความโกรธ

           “........”             

           “เป็นเพราะท่านถ่ายเทพลังส่วนหนึ่งให้แก่เขา ทำให้ท่านสูญเสียพลังไปมาก มิกลัวว่าท่านจะตกอยู่ในกำมือข้าเลยรึ” กระซิบกล่าวพลางกอดร่างนวลไว้แน่นขึ้น

           “ตกอยู่ในกำมือเจ้า นั่นยังไม่แน่นัก” ต้าเซียนยิ้มพลางสวนตอบ บัดนี้ที่ข้อมือขวาปรากฏเสียงฟ่อเบาๆขึ้น แลด้วยผิวอันเย็นเยียบของมันก็ทำให้เฟยหลงถึงกับขมวดคิ้ว งูเผือกที่มีเกร็ดสีขาวละเอียดตัวหนึ่งกำลังเลื้อยตัวขึ้นพัวพันคนทั้งสองมาถึงบริเวณไหล่ จนถึงจังหวะหนึ่งมันก็หยุดจ้องมองเฟยหลงในระยะประชิด

           “ไป๋เซ่อ” เฟยหลงแค่นเสียงในลำคอก่อนผละตัวออกจากท่านมหาเทพอย่างจำใจ ด้านไป๋เซ่อก็พลันเหวี่ยงตัวรัดร่างของคนตรงหน้าเป็นพัลวัน

           ต้าเซียนได้โอกาสก็ก้มตัวลงคว้าตัวชายหนุ่มไว้ จากนั้นก็รีบถลาตัวออกไป ซวนหยวนหมิงที่รอดูสถานการณ์อยู่ก็รีบตามเข้าไปรับร่างสหาย ต้าเซียนสบตามองชั่วครู่หนึ่งก็กลับไปเผชิญหน้าต่อ

           ในตอนนี้ไป๋เซ่อในร่างงูเลื้อยรัดเฟยหลงไปทั่วร่าง บัดเดี๋ยวเลื้อยไปทางซ้าย บัดเดี๋ยวเลื้อยไปทางขวา ด้วยเกร็ดที่เรียบลื่นเป็นพิเศษ แม้จับต้องตัวมันได้ มันก็ต้องดิ้นหลุดได้ทุกครั้ง กระทั่งหางตาไป๋เซ่อเห็นเงารางๆพลันเหวี่ยงตัวกระโจนกลับไปหาท่านมหาเทพดังเดิม

           ขณะที่ร่างปราดเปรียวพุ่งตัวออกจากร่างจอมมาร พริบตานั้นก็มันก็เปลี่ยนรูปเป็นเช่นกระบี่สีขาว ด้ามดาบประดับตกแต่งไว้ด้วยพลอยสีฟ้าอมเขียว ต้าเซียนรับกระบี่เสร็จก็ตรงเข้าจู่โจม

           เฟยหลงชะงักตัวลอยตัวไปทางด้านหลัง กระบี่พุ่งเข้าใส่ด้านหน้าหากแต่ยังคงไม่ถึงตัว แต่ใครจะคิดว่าฉับพลันนั้นกระบี่จะแปรเปลี่ยนกลับเป็นงูเผือก ตรงเข้าฉกกะทันหัน เขาจึงจำต้องยกฝ่ามือขึ้นปล่อยพลังทันที

           คลื่นพลังขนาดใหญ่โถมกลับเข้ามา ต้าเซียนปลดเปล่อยเกราะคุ้มกันสีทองปกป้องร่างตนเองและไป๋เซ่อไว้ แต่ทว่าไม่นานเกราะดังก็เริ่มปริแตกออก รอจนจังหวะหนึ่งเขาก็เหวี่ยงตัวไป๋เซ่อไปทางด้านข้าง พอดีกับที่เกราะคุ้มกันสีทองแตกออกอย่างรวดเร็ว

           ต้าเซียนรีบหมุนฝ่ามือพยายามต้านรับพลังเป็นครั้งที่สอง ด้วยคิดผ่อนหนักเป็นเบา กระทั่งฝ่าเท้าจมลึก ร่างกายก็เกิดปั่นป่วนจนยากจะควบคุม ทนได้ไม่นานนักก็ถูกพลังนั้นกระแทกลอยจนตกลงไปในสระบัว
ตูม

           “ท่านมหาเทพ” ไป๋เซ่อที่ถูกผลักดันออกมาร้องขึ้นอย่างตกใจ กระทั่งแลเห็นผืนน้ำสงบเงียบไร้วี่แววของคนที่พึ่งตกลงไป อีกทั้งเฟยหลงที่ลอยตัวขึ้นเหนือสระก็ต้องร้อนรนวิ่งไปทางสระบัว ทว่าคนผู้หนึ่งกลับหยุดเขาไว้ก่อน

           “หากเจ้ากับข้าช่วยกัน มีทางที่จะชนะคนผู้นั้นรึไม่”

           ไป๋เซ่อมองกลับไปยังซวนหยวนหมิงไท่ ด้วยน้ำเสียงที่อีกฝ่ายเอ่ยมานั้นเปี่ยมไปด้วยความจริงจัง อีกทั้งดวงตาเป็นประกายกล้า จึงตอบกลับไป “เพียงสองในสิบส่วน” ขนาดพลังของท่านมหาเทพตอนนี้ยังมีโอกาสชนะเพียงสี่ในสิบส่วนเลย

           “วิเศษ วิเศษแท้” คล้ายว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาบ้าไปแล้ว ไป๋เซ่อพยักหน้ารับ จากนั้นจึงกลายร่างเป็นกระบี่สีขาว ลอยตัวอยู่ด้านหน้าอีกฝ่าย ซวนหยวนหมิงไท่ไม่รอช้าคว้ากระบี่ลงลุยสระบัวเข้าไป

           ร่างน้อยจมลงสู่สระบัวก็ต้องเผชิญกับพลังที่ตีกันยุ่งเหยิง รู้สึกราวกับร่างจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ชั่วครู่หนึ่งก็เกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้าก่อนจะดับลงไป

           ครั้นเห็นชุดกระโปรงสีม่วงลอยอยู่บนเหนือผิวน้ำเฟยหลงที่ตามมาก็หย่อนตัวลงรับร่างนั้นขึ้นมาในอ้อมแขน ดูว่าเด็กหนุ่มนอนมิได้สติ เขาจึงถือโอกาสปัดเส้นผมยาวที่ปรกอยู่บนใบหน้านั้น แล้วโอบกอดไว้อย่างแนบแน่น

           คล้ายตอนนี้ร่างแกร่งลุ่มหลงไปกับร่างเล็กๆนี้ไปโดยไม่รู้สึกตัว ถึงขนาดหลงได้ยินเสียงหัวใจที่ดังเป็นจังหวะ ดวงตาเฉกเช่นพญาอินทรีจึงถึงกับเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ

           “ไม่จริง” เขาอุทานก่อนก้มตัวลงฟังอีกครั้ง ความหวังผุดขึ้นในใจ นี่เป็นเสียงหัวใจกำลังเต้น เป็นหัวใจจริงๆ ราวกับมองเห็นแสงสว่าง ในที่สุดความหวังของเขาก็เป็นจริง ท่านมหาเทพกำลังมีหัวใจ ท่านกำลังจะรักเป็น ท่านกำลังจะมีความรู้สึกดั่งเช่นมนุษย์

           “ปล่อยเขา” ซวนหยวนหมิงไท่ตวาดเสียงดัง กระบี่ในมือถูกวาดออก เฟยหลงสะอึกกายใช้มือปัดป้อง แต่กระนั้นกระบี่กลับกลายเป็นงูเผือกในพริบตา

           “ไม่” เฟยหลงร้องลั่น แต่ไป๋เซ่อก็กระโจนตัวเข้ามารัดร่างท่านมหาเทพแล้วพาออกไปจากอ้อมแขนเขาต่อหน้าต่อตา พอดีกับที่ต้าเซียนได้สติก็รับรู้ได้ว่าตนเองแทบไม่หลงเหลือพลังอีกแล้ว

           “เป็นอะไรมากรึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่ที่ตามมาสมทบตรงเข้าถาม

           “ข้ามิเป็นไร ไป๋เซ่อ วางข้าลงเถอะ” ต้าเซียนตอบเสียงแผ่ว ไป๋เซ่อได้ยินดังก็ค่อยๆวางตนลง ทว่าเฟยหลงยังคงมิวางมือ ทั้งยังตรงเข้าหาอย่างรวดเร็ว เขารีบเอาตัวเข้าบังคนทั้งสองทันที

           “ปล่อยเป็นหน้าที่พวกเราเถิด” จู่ๆซวนหยวนหมิงไท่และไป๋เซ่อก็พลันกู่ก้องเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นก็ทะยานตัวเข้าประจันหน้ากับเฟยหลง คนหนึ่งบุกซ้ายคนหนึ่งบุกขวา จนอีกฝ่ายตั้งรับอย่างพัลวัน จวบจนเห็นช่องว่าง ซวนหยวนหมิงไท่ก็ซัดฝ่ามือเข้าใส่อย่างเต็มกำลัง ไป๋เซ่อเองก็ปล่อยพลังโจมตีบ้าง แม้ดูไปทั้งสองคล้ายเป็นฝ่ายได้เปรียบ หากแต่เฟยหลงกลับทะลวงพลังผ่านฝ่ามือนั้นโดยง่าย มือพุ่งกำรอบคอคนทั้งสองไว้แน่น

           “ไม่ เฟยหลง ปล่อยพวกเขาไป” ต้าเซียนร้องขัดขึ้น

           “นี่เป็นเพราะท่านคิดผิด มอบพลังให้แก่มนุษย์ผู้ต่ำต้อยผู้นั้น จึงมิอาจขัดขวางข้าได้”

           ต้าเซียนได้แต่มองคนทั้งสองอย่างร้อนรน ก่อนจะฉุกคิดได้ “ครั้งศึกเมื่อพันปีก่อน เจ้าเคยเอ่ยปากสาบานไว้ เจ้าจะชนะข้าอย่างยุติธรรม จำได้รึไม่” เห็นอีกฝ่ายพยักหน้า เขาจึงกล่าวสืบต่อไป “ตอนนี้เจ้าเองก็ทราบดี ว่าพลังในตัวข้าเหลือเพียงไม่กี่ส่วน เช่นนี้เรียกว่าชนะได้อย่างยุติธรรมแล้วหรือ” เขางัดเอาคำสาบานเมื่อศึกครั้งก่อนมาใช้

           “เป็นอย่างที่ท่านกล่าว แต่มิได้หมายความว่าข้าต้องไว้ชีวิตพวกเขา” เฟยหลงเอ่ยขึ้น ทำให้ต้าเซียนต้องกล่าวอย่างอับจนปัญญา
 
           “งั้นถือว่าข้าขอร้อง”

           “เช่นนั้นข้าจะไว้ชีวิตพวกเขา แต่ชายผู้นั้นต้องกำจัด” เฟยหลงพูดพร้อมบุ้ยใบ้ไปทางเซียวถิงฟงที่สลบไสลอยู่ไกล ถิงถิงที่อยู่ข้างๆถึงกับมองพวกเขาอย่างวิตก

           “ไม่ได้ ทำเช่นนั้นไม่ได้” ต้าเซียนปฏิเสธ

           เฟยหลงมองหน้าท่านมหาเทพอย่างครุ่นคิด...นี่อาจยังมิถึงเวลา ขอเพียงรอหัวใจในร่างนั้นเติบโต เขายกยิ้มขึ้น จากนั้นจึงคลายมือลง ซวนหยวนหมิงไท่และไป๋เซ่อต่างล้มลงไอกันตัวโยน ทว่าเขาก็มิได้สนใจพลางเจรจาต่อ

           “เราท่านมาพนันกัน หากถึงวันที่ความมืดเข้าบดบังดวงตะวันจนมืดมิดในยามเที่ยงของวันแล้ว หากท่านยังมิอาจชนะข้าได้ ข้าจะกำจัดเขาและท่านจะต้องเป็นของข้า” เฟยหลงกล่าว ในใจคิดแผนการไว้เรียบร้อย

           “ได้ ตกลง” ร่างน้อยมองไม่เห็นทางใดแล้วจึงจำต้องตกลงเดิมพัน

           เฟยหลงได้ยินคำตอบแล้วจึงพาร่างลอยเหนือสระบัว ถอยหลังออกไปเล็กน้อยแล้วจึงกล่าว “ตอนนี้ท่านมิต้องเป็นห่วง แม้ข้าต้องจากไปตอนนี้ แต่เร็ววันนี้ข้าจะมาพบท่านอีกแน่”

           “เจ้ามิจำเป็นต้องเรียกข้าว่าท่านมหาเทพอีก”

           ขณะที่ตัวกำลังหมุนตัวกลับ เสียงนุ่มทุ้มก็พลันเอ่ยขึ้น ร่างแกร่งถึงกับชะงักตัวก่อนหันกลับมามองคนในชุดสีม่วงอ่อน “เพราะเหตุใด”

           “นั่นเพราะ เจ้าเลือกที่จะเป็นศัตรูกับข้าแล้ว” ต้าเซียนหลุบตากล่าวน้ำเสียงเรียบ

           ราวกับถูกทุบเข้าที่กลางอก ลมหายใจพลันสะดุดห้วง แต่เขาเดินมาไกลแล้ว มิอาจล้มเลิกได้อีก เฟยหลงยกยิ้มขื่น “เช่นนั้นข้าจะเรียกท่าน ต้าเซียน”

           ดวงตาสีน้ำตาลชะงักวูบ ครั้งหนึ่งคนผู้นี้เคยอยู่เคียงข้างเขามาตลอด ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงบุคคลที่เดินหันหลังให้ แม้ภายในใจจะเจ็บปวดแค่ไหน แต่ต้าเซียนก็ยังคงต้องนิ่งเงียบไว้

           ด้านเฟยหลงเองก็ค่อยๆเลือนหายไปในอากาศ ร่างนั้นค่อยๆโปร่งแสง เหลือเพียงแต่ดวงตาคมกริบเช่นพญาอินทรีที่ยังคงจับจ้องเขาจนกระทั่งลับสายตาไป


******************************************************


อ่านเเล้วติดขัดอย่างไร เเนะนำกันได้น้าาาา  :-[

ออฟไลน์ yaoisamasang

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-3
    • https://www.facebook.com/pages/Yaoi-Sama/463499467036395?ref=hl
กำลังสนุกเลยครับ ต่อไวๆน้าาา

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
พ่อพระเอกเป็นเยี่ยงไรบ้าง สงสารนาง

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 12.1 ภาพมายา


 
           กลางดึก ณ ตำหนักลุ่ยหวา สตรีนางหนึ่งสวมอาภรณ์สีชมพูอ่อนกำลังนั่งอยู่ด้านในสุดของห้องโถงโอ่อ่า แสงเทียนไขเล็กถูกจุดสว่างขับแสงนวลกระทบลงใบหน้าหวานให้เปล่งประกายยิ่งขึ้น ดวงตากลมโตมองไปที่ประตูทางเข้าอย่างเนิ่นนาน แม้บรรยากาศจะเงียบเพียงใด แต่ตัวนางกลับรู้สึกได้ถึงเสียงเด็กหญิงคนหนึ่ง เด็กที่ครั้งหนึ่งนางเคยเป็น

           “องค์หญิง องค์หญิงหย่าเหลียน”

           เสียงแม่นมเว่ยร้องเรียกอย่างร้อนใจ ที่ด้านหลังยังมีนางกำนัลอีกสามสี่คนวิ่งตาม ส่วนตัวนางนั้นซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ใหญ่ เสื้อผ้าสีชมพูเปราะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินดูสกปรกมอมแมม อาจเป็นเพราะเมื่อสักครู่นางพึ่งแอบไปกับพี่ชายต่างมารดาคนหนึ่ง เขาที่เจิดจ้าราวกับแสงตะวัน อันแตกต่างจากตัวตนที่มืดมนของนางโดยสิ้นเชิง
           
           เขาผู้ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาท...องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่

           องค์หญิงหย่าเหลียนในวัยเจ็ดแปดขวบค่อยๆคืบคลานออกมาจากพุ่มไม้ ครั้นเหลียวซ้ายแลขวาเห็นว่านางกำนัลจากไปแล้วก็วิ่งตรงไปที่ตำหนัก ด้วยต้องรีบกลับไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อมิให้ใครสงสัย จวบจนถึงหน้าบริเวณห้องนางที่เหนื่อยหอบก็ต้องหยุดลง รอจนลมหายใจสงบมือน้อยก็เอื้อมออกไปที่ประตู

           “หย่าเหลียน”

           เสียงหนึ่งดังออกมาจากภายในห้อง ประตูถูกเปิดออกทั้งที่มือน้อยยังไม่ได้แตะ นางถึงกับสะดุ้งตกใจพร้อมๆกับคุกเข่าลงกับพื้นทันที

           ที่เบื้องหน้ามีใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มเย้ายวนของพระสนมเซิงหย่าหรง หรือมารดาของนาง มีอยู่หลายครั้งที่แม่นมเว่ยมักกล่าวว่าใบหน้าตนถอดแบบความงดงามมาจากพระมารดา ทว่านางกลับไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น นางรู้สึกอยู่เสมอว่าใบหน้าของนางไม่เหมือนทั้งเสด็จพ่อ เสด็จแม่ หรือแม้กระทั่งพี่ชายแท้ๆของนางเอง ทว่าในตอนนี้มารดาก็กำลังใช้สีหน้าเย็นชามองมาที่นางอย่างทุกที

           ในที่สุดพระสนมเซิงก็ลากตัวเด็กน้อยเข้ามาในห้อง ก่อนจะผลักนางลงบนพื้นอย่างแรงท่ามกลางสายตาของนางกำนัลส่วนพระองค์

           “โอ๊ย เสด็จแม่ลูกขอโทษ”

           “ข้าเคยสั่งเจ้าไว้เยี่ยงไร”

           “เสด็จแม่สั่งห้ามมิให้ลูกเข้าใกล้องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่” หย่าเหลียนตอบเสียงอ่อย

           “เช่นนั้นแล้วเหตุใดจึงไปเล่นกับมันอีก เจ้ารู้ไหมเพราะมัน วันนี้เสด็จพี่ของเจ้าต้องไปคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ในตำหนักถึงครึ่งค่อนวัน” พระสนมเซิงถลึงตาตวาด

           “เป็นเพราะเสด็จพี่หย่าเซิงไม่ดีเองต่างหาก” หย่าเหลียนเถียงกลับใบหน้ารื้นด้วยน้ำตา นางเติบโตมากับเหล่านางกำนัลมาตั้งแต่เด็ก พระสนมเซิงมิได้ไยดีนางสักเท่าไหร่ เพียงมอบความรักให้พี่ชายตนเท่านั้น นางจึงไร้ซึ่งคนห่วงใย ทว่ามีแต่เสด็จพี่หมิงไท่เท่านั้นที่คอยเอ็นดูนาง

           เพียะ ฝ่ามือหนึ่งกระทบผิวบาง ที่แก้มรู้สึกได้ถึงความแสบร้อน หย่าเหลียนยกมือกุมที่แก้ม น้ำตาไหลพรากเป็นสาย หัวใจคล้ายแตกออกเป็นส่วนๆ ทำไมมีแต่นางที่ไม่เคยได้รับความรัก ที่จริงแล้วนางทำผิดที่ใดกันแน่

           “เจ้ากำลังหมายความว่าพี่ชายของเจ้าเป็นคนเลว รวมถึงแม่คนนี้ด้วยใช่ไหม” พระสนมเซิงกล่าวด้วยดวงตาแดงก่ำ
หย่าเหลียนได้ยินแล้วก็ถึงกับตกใจรีบเข้ากอดขามารดาไว้ “มิใช่ ลูกมิได้หมายความเช่นนั้นเสด็จแม่”

           “เจ้ารู้บ้างไหม ในภายภาคหน้าหากเขาได้ขึ้นครองราชย์ พวกเราตระกูลเซิง ทั้งแม่ พี่ชายเจ้า ท่านปู่อาจต้องตายด้วยน้ำมือของเขา ตระกูลเซิงของเราจะต้องล่มสลาย”

           “เสด็จแม่กำลังกล่าวอะไร เสด็จพี่หมิงไท่ไม่มีทางทำเช่นนั้น เสด็จพี่เป็นคนดีอีกทั้งยังเขาเอ็นดูหม่อมฉัน” หย่าเหลียนกล่าวเสียงเบาๆ ในใจคิด สิ่งที่มารดากล่าวมานั้นไม่เหมือนกับเสด็จพี่หมิงไท่ที่นางรู้จัก

           “เจ้าจะรู้กระไร เบื้องหน้าเจ้าเขาเพียงแค่สวมใส่หน้ากากตบตา ในใจลึกๆเขามิเคยมองว่าเจ้าเป็นน้องสาว เขาเพียงมองว่าเจ้าเป็นคนของตระกูลเซิง ตระกูลที่จะต้องโค่นอำนาจเขา ฉะนั้นเขาไม่มีวันที่จะเอ็นดูเจ้า ไม่มีทางห่วงใยเจ้าอย่างแท้จริง สักวันหนึ่งเขาจะผลักไสเจ้าอย่างไม่ไยดี รอจนเจ้าโตขึ้นเขาก็จะใช้ประโยชน์จากตัวเจ้า ส่งเจ้าไปแต่งงานกับคนเถื่อนที่อาณาจักรใกล้เคียงเพื่อแลกกับอำนาจ”

           “ไม่เอา” หย่าเหลียนส่ายหน้า หากต้องไปอยู่ในดินแดนที่ไม่รู้จัก ซ้ำยังห่างไกล นางจะทำเช่นไรกันเล่า

           “เช่นนั้นเจ้าต้องเชื่อฟังข้า” พระสนมเซิงรวบองค์หญิงหย่าเหลียนขึ้นกอดพลางกระซิบข้างหู “จำไว้คนที่เจ้าไว้ใจได้นอกจากพวกเราตระกูลเซิงแล้วไม่มีใครอื่นอีก หากจะมีก็มีบุคคลเพียงแบบเดียวเท่านั้นที่เจ้าเชื่อถือได้ บุคคลที่แม้ถูกเจ้าทำร้ายก็ยังพร้อมที่จะอภัยให้เจ้า คนเช่นนี้เท่านั้นที่เจ้าสมควรเลือกอยู่ข้างกาย เพราะเขาจะไม่มีวันทำร้ายเจ้าได้”

           หย่าเหลียนเงยหน้าขึ้นฟังอย่างใจจดใจจ่อ เห็นดวงตาของเสด็จแม่ทอประกายกร้าวก่อนส่งยิ้มให้นาง

           “แต่หากเจ้าอยากพิสูจน์ ว่าเสด็จพี่หมิงไท่ของเจ้าเป็นคนดีจริงรึไม่ เจ้าลองนำขนมกล่องนี้ไปมอบให้แก่เขาเสีย” กล่าวจบพระสนมเซิงก็ยัดขนมกล่องหนึ่งใส่ในมือนาง หย่าเหลียนเปิดออกดูแล้วจึงพบว่าข้างในเป็นขนมโก๋แกะสลักลายดอกไม้หลากชนิดวางเรียงรายหลายชิ้นดูน่ากิน

           “เพียงแต่มีข้อแม้ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องยืนยันว่าเป็นคนทำขนมนี้ให้แก่เขา หากหลังจากนี้เขายอมอภัยให้เจ้า นั่นย่อมหมายความว่าเขาเป็นคนดีจริงใจอย่างที่เจ้าพูด แต่หากมิใช่เช่นนั้น ย่อมหมายความว่าแท้จริงแล้วเขามองเจ้าเป็นศัตรู เป็นคนของตระกูลเซิง เข้าใจไหม”

           หย่าเหลียนพยักหน้ากอดกล่องขนมนั้นอย่างเงียบๆ หลังจากที่พระสนมเซิงจากไปนางก็นอนไม่หลับทั้งคืน นางพอจะรู้ว่าขนมในกล่องนั้นต้องมีปัญหาอยู่บ้าง จวบจนฟ้าใกล้สางนางที่เอาแต่ครุ่นคิดลังเลก็ผล็อยหลับไป


****************************************************


           เช้าวันต่อมาหย่าเหลียนยังคงมุดผ่านพุ่มไม้เล็กๆ เพื่อลอบเข้าไปยังอุทยานของตำหนักเหวินหัว กระทั่งเห็นเด็กหนุ่มนั่งอ่านตำราอยู่ในศาลาเพียงลำพังก็ร้องเรียกพร้อมวิ่งเข้าไปหาอย่างร่าเริง

           “เสด็จพี่หมิงไท่”

           ซวนหยวนหมิงไท่หันมาตามเสียงใส รอยยิ้มอบอุ่นระบายบนใบหน้า นางชมชอบรอยยิ้มนี้และปรารถนาที่จะได้เห็นมันตลอดไป เขารวบตัวนางขึ้นนั่งบนตักอย่างนุ่มนวล ส่วนนางก็ชมมองรอยยิ้มนั้นอย่างเซื่องซึม

           “หย่าเหลียนเจ้าถืออะไรมา” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถามพลางมองน้องสาวตัวน้อยอย่างเอ็นดู

           หย่าเหลียนชะงักตัวกึกไปเล็กน้อย เพราะคำพูดของมารดาลอยวนเวียนอยู่ในสมอง เงียบไปนานสุดท้ายจึงกล่าว “ขนมโก๋กล่องนี้ข้าทำเองกับมือ ข้าคิดให้เสด็จพี่หมิงไท่ลองชิมดู” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ

           “หึ หึ ฝีมือเจ้าจะกินได้จริงๆรึ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวหยอกล้อ แต่ครั้นเห็นคนบนตักค้อนใส่เขาก็รีบรับกล่องขนมมา จากนั้นจึงลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน “เอาเถอะ ข้าจะค่อยๆกินในช่วงยามพักล่ะกัน แต่ตอนนี้ข้าต้องอ่านหนังสือ เจ้านั่งเล่นไปก่อนได้รึไม่”
 
           “อื้อ” นางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ตลอดเวลานางก็เฝ้ามองพี่ชายต่างมารดานั่งอ่านหนังสือด้วยท่าทีจริงจัง มีบางคราที่เขาหันมาส่งยิ้มให้เป็นพักๆ พอพ้นไปครึ่งชั่วยามนางก็มุดพุ่มไม้กลับไปที่ตำหนักของตนเอง

           ทว่าหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ นางก็มิได้พบเจอเขาอีก นางได้แต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง ความจริงอาจเป็นเพราะไม่มีใครใส่ใจนางเสียมากกว่า เพราะในเพลานี้ภายนอกตำหนักต่างเต็มไปด้วยความโกลาหล เหล่านางกำนัล ขันที ต่างพากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่องค์ฮองเฮา หรือพระมารดาขององค์รัชทายาทได้สิ้นพระชนม์ชีพเนื่องด้วยยาพิษ ยังมีขันทีและนางกำนัลต้นเครื่องสามคนถูกประหารชีวิตด้วยความผิดฐานลอบปลงพระชนม์ไปอย่างเงียบๆ แต่พวกเขาล้วนเป็นแพะรับบาปนางรู้ดี

           เป็นพระสนมเซิงตั้งใจใช้ให้นางถวายขนมกล่องนี้แก่องค์รัชทายาท แต่แล้วเรื่องราวกลับพลิกผัน องค์รัชทายาทมิได้ทรงเสวยขนมกล่องนั้น เขากลับถวายมันให้กับพระมารดาของตนแทน ซึ่งแม้แผนการจะคลาดเคลื่อนแต่พระสนมเซิงกลับได้กำจัดคู่แข่งคนสำคัญของตนอย่างไร้เงื่อนงำ แลเมื่อเสร็จจากงานพระศพ ขุนนางที่ฝักฝ่ายตระกูลเซิงก็รวมตัวกันทูลขอราชโองการแต่งตั้งนางขึ้นเป็นองค์ฮองเฮาในทันที

           แม้จะเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย แต่นางตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้นางต้องค้นหาคำตอบ นางลอบเข้าไปในอุทยานตำหนักเหวินหัว ครั้นเมื่อมุดผ่านพุ่มไม้ไปก็พบคนแต่งกายด้วยชุดไว้ทุกข์กำลังนั่งอยู่ในศาลา บรรยากาศรอบตัวเขาดูเปล่าเปลี่ยวอย่างเห็นได้ชัด 

           “เสด็จพี่หมิงไท่” นางร้องเรียกแต่คล้ายว่าเขามิได้ยิน นางจึงเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวดูอมทุกข์ มือน้อยเอื้อมไปกุมมือที่เยียบเย็นไว้ แต่แล้วเขากลับสะบัดมือออก ความเย็นชานั้นส่งผลให้นางรู้สึกเจ็บแปลบในอก นางลองยื่นมือไปกุมเขาอีกครั้งอย่างกล้าๆกลัว ทว่าครั้งนี้เขามิเพียงชักมือออกแต่กลับยังจ้องนางด้วยสายตาเคียดแค้น

           “เสด็จพี่หมิงไท่ น้องมิได้รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่อง...”

           “เช่นนั้นทำไมจึงมีพิษ”

           ยังมิได้ทันพูดจบเขาก็พลันกล่าวตัดบทอย่างเย็นชา ดูว่าสายตาดุจดั่งแสงตะวันที่อบอุ่นคู่นั้นไม่มีอีกแล้ว เหลือเพียงสายตาคาดโทษที่จ้องมองอย่างรังเกียจเท่านั้น

           หย่าเหลียนก้มหน้าน้ำตานอง ทั้งที่เพียงแค่ต้องการพิสูจน์ว่าเขามิได้เป็นอย่างที่เสด็จแม่พูด เขามิได้เสแสร้งทั้งยังเอ็นดูนาง เขาดีกับนางมิใช่เป็นเพราะเห็นนางเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์อันใด

           “ตั้งแต่นี้ไปเจ้าอย่าได้ย่างกรายเข้ามาที่แห่งนี้อีกเป็นอันขาด ออกไป”

           คล้ายเป็นดั่งคำประกาศิต บัดนี้นางได้คำตอบแล้ว เสด็จพี่หมิงไท่ที่อ่อนโยนคนนั้นไม่มีอีกแล้ว เขาออกปากไล่นางอย่างไร้เยื่อใย ไม่เหลือแม้แต่ความอาวรณ์ และต่อจากนี้ไปนางจะเป็นเพียงแค่คนอื่น เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา ไร้ซึ่งความผูกพันอีก

           ทว่าส่วนลึกในใจ มันกลับไม่ยินยอม นางไม่อยากเป็นคนอื่น หยาดน้ำตาอุ่นไหลออกจากดวงตาใส ไม่มีแม้แต่เสียงสะอึกสะอื้นอีก นางตัดสินใจแล้ว “ใช่ เป็นข้าเอง เป็นข้าเองที่ตั้งใจ ข้ารู้ว่าขนมนั่นมียาพิษ”  นางยกยิ้มกล่าวทั้งที่น้ำตาไหลพราก “เป็นเพราะหม่อมฉันมิต้องการเป็นตัวหมากของพระองค์ ดังนั้นจึงตั้งใจจะสังหารพระองค์เสีย ฉะนั้นโปรดทรงอย่าลืมเรื่องนี้ไปตลอดจนชั่วชีวิตของพระองค์”

           ชั่วขณะนางคล้ายแลเห็นสีหน้าตกตะลึงของคนตรงหน้า ทว่านางยังคงกล่าวต่อ “โปรดทรงเกลียดหม่อมฉันเพราะหม่อมฉันเองก็จะเกลียดพระองค์เช่นกัน” กล่าวจบก็ออกวิ่งไปให้พ้นจากเขตตำหนักเหวินหัวโดยมิคิดจะหันกลับไปอีก

           เพราะสถานที่นี้ไม่มีที่สำหรับนางอีกแล้ว เช่นเดียวกับใจเขาที่จะไม่มีนางอีกต่อไป

           “เจ้าเชื่อแม่รึยัง หากเขาดีกับเจ้าจริง เขาคงจะเชื่อว่าเจ้ามิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง นี่เป็นเพราะเขามองว่าเจ้าเป็นคนตระกูลเซิงจึงได้กล่าวโทษเจ้า และสักวันหนึ่งเขาก็คงคิดจะทำร้ายเจ้า ดังนั้นมิสู้ชิงลงมือเสียก่อนดีกว่ารึ” พระสนมเซิงกล่าวกับหย่าเหลียน

           เรื่องนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนของนาง เพราะตั้งแต่นั้นมานางก็มิเชื่อใจใครอีก เพียงเชื่อบุคคลประเภทเดียว บุคคลที่พร้อมจะอภัยให้นาง แม้ว่าจะถูกนางทำร้าย และตั้งแต่นั้นมานางก็ใช้ชีวิตอย่างเงียบเหงาแทบมิได้ออกจากตำหนักอีกเลย
 

**********************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 12.2 ภาพมายา


 
           แต่ใครจะคาดคิดเพียงผ่านไปสองปีโชคชะตาก็เริ่มเดินอีกครั้ง วันหนึ่งเด็กชายคนหนึ่งก็กระโดดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนอย่างซุกซน ครั้นหย่าเหลียนที่นอนอยู่เหลือบเห็นก็ต้องตกใจรีบร้องเรียกนางกำนัล
   
           “เดี๋ยวอย่าร้องๆ” เด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปปิดปากนางไว้เสียยกใหญ่
หย่าเหลียนที่ถูกอุดปากไว้จึงยิ่งหวาดผวา ตัดสินใจดึงเอาปิ่นปักผมแทงเข้าที่ไหล่ผู้บุกรุกอย่างแรง ด้านอีกฝ่ายก็รีบผละตัวออก
           
           แต่คาดไม่ถึงว่าเขากลับมิได้ร้องออกมาสักแอะ มีเพียงแค่เหงื่อที่ไหลซึมแนบแก้ม
ดูว่าเด็กหนุ่มอายุมากกว่านางไม่มาก ใบหน้าดูคมคาย ผมสีดำขับประกายโดดเด่น ที่เอวห้อยด้วยตราประจำตระกูลสีเงินเขียนคำว่าเซียว ท่าทางจะเป็นลูกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และตอนนี้เขากำลังจ้องนางมิวางตา

           “เด็กน้อย แรงดีมิใช่ย่อย วันหลังไปเล่นกับข้าไหม”

           จู่ๆเด็กผู้นั้นก็โพล่งขึ้น หย่าเหลียนถึงกับงงงันวูบ ทั้งๆที่นางพึ่งทำร้ายเขา แต่เขากลับชวนนางไปเล่น หนำซ้ำพอเขาเห็นนางยืนอ้าปากค้าง เขาก็ฉกเอาผ้าเช็ดหน้าในมือนางเข้ามัดปิดปากแผลไว้แทน

           “ทำไมเจ้าไม่โกรธ” นางตะลึงไปเล็กน้อยก่อนกล่าวถามอย่างสงสัย แต่เขาเพียงแค่หัวเราะแห้งแล้วกล่าว

           “เจ้าไม่อยากไปเล่นกับข้าหรือ ข้าพึ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน เห็นตำหนักนี้เงียบนักจึงแอบเข้ามาเล่น แต่ดันมีคนเห็นจึงได้หลบเข้ามายังห้องนี้โดยบังเอิญ”

           “.........”

           ยังคงเห็นนางยืนนิ่ง เขาได้แต่เกาแก้ม “ข้าแซ่เซียว มีนามว่าถิงฟง บุตรของตาแก่เซียวถิงหลี่”

           “พรืด” ครานี้หย่าเหลียนหลุดหัวเราะออกมาแล้ว ด้านชายหนุ่มแซ่เซียวเองก็ส่งยิ้มทะเล้นให้นางเช่นกัน

           จากนั้นมาเขาก็แวะมาหานางบ่อยครั้ง ทั้งสอนหนังสือ ชวนนางเล่น ภายหลังนางจึงรู้ว่าเขาถูกส่งมาเป็นสหายร่วมเรียนขององค์รัชทายาท ซึ่งสำหรับนางแล้ว เสด็จพี่หมิงไท่ไม่มีอยู่อีกต่อไป มีเพียงแต่องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ เช่นเดียวกับที่พระองค์เห็นนางเป็นคนของตระกูลเซิงเท่านั้น แต่เรื่องราวเหล่านี้นางมิได้ใส่ใจอีก เนื่องเพราะนางเจอคนสำคัญแล้ว

           เป็นเซียวถิงฟงที่จริงใจกับนางมากที่สุด นางต้องได้เขามา และนางจะไม่มีวันปล่อยให้เขาต้องทนอยู่กับคนเสแสร้ง ดั่งเช่นองค์รัชทายาท ผู้ที่เห็นผู้อื่นเป็นเพียงตัวหมาก ซ้ำยังบงการชีวิตผูกมัดชายหนุ่มไว้กับสตรีต่ำต้อย ดังนั้นนางจะปกป้องเขาไว้ และตอนนี้นางมั่นใจ เนื่องเพราะนางมิใช่เด็กน้อยที่ไร้ซึ่งอำนาจ มิใช่ตัวหมากของใคร และนางพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ

           ทว่าขณะที่ได้พบหน้าสตรีผู้มีนามต้าเซียนเป็นครั้งแรก จู่ๆหัวใจนางกลับไม่มั่นใจนัก ทั้งยังไม่ต้องอารมณ์ตั้งแต่คราแรกที่ได้พบ อาจเพราะนางมิเคยเห็นหญิงใดที่งดงาม แปลกตา มีเสน่ห์ลึกลับเช่นนี้มาก่อน เช่นนี้แล้วชายใดเล่าที่จะไม่รู้สึกหวั่นไหว

           องค์หญิงหย่าเหลียนนับเป็นคนแปลกผู้หนึ่ง นางชมชอบการประเมินผู้คน เพียงพบพานเพียงครั้งก็สามารถทำนายลักษณะของผู้คนได้ แต่ทว่าเมื่อได้หยั่งเชิงต้าเซียน ใจนางถึงกับรู้สึกรังเกียจ สตรีผู้นี้มิใช่เพียงแค่ศัตรูหัวใจแต่ยังมีบางสิ่งที่ทำให้นางเกลียด นางเกลียดคนเช่นนี้ คนที่มีลักษณะดั่งเช่นดวงตะวันแรงกล้า บางคราดูสงบเยือกเย็นเช่นจันทรา เฉกเช่นเดียวกับคนผู้นั้น...องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่

           "ท่านพี่" เสียงของต้าเซียนยังคงดังอยู่ในโสตประสาท นางกล้าดีอย่างไรถึงเรียกพี่ถิงฟงเช่นนี้ สองมือบนตักกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว แววตาที่เคยอ่อนหวานกร้าวขึ้นเห็นได้ชัด

           “ข้าสามารถทำให้เจ้าสมปรารถนาได้”

           “ใคร” องค์หญิงหย่าเหลียนอุทานขึ้น นางได้ยินเสียงทุ้มที่ค่อนข้างแหบแห้งของสตรีผู้หนึ่ง ครั้นเงี่ยหูฟังอีกครั้งก็มิได้ยินเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก นางระบายลมหายใจออกช้าๆ อาจเป็นเพราะวันนี้นางคิดมากจนเกินไปจึงเกิดอาการประสาทหลอนก็เป็นได้

           “เจ้าไม่มีทางชนะนางได้”

           เสียงปริศนาดังขึ้นอีกครั้ง ครานี้หย่าเหลียนถึงกับผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวง “ใคร ใครกำลังพูดกับข้า”

           “และเขาก็ไม่มีวันรักเจ้าด้วย เนื่องเพราะในใจเขา...ไม่มีเจ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงทุ้มแหบนั้นหัวเราะเยาะพลางลอบมองสตรีที่กำลังว้าวุ่นสับสน

           “เจ้าผิดไปแล้ว เจ้าผิดไปแล้ว” นางพยายามหยัดยิ้มอย่างมั่นใจ

           “เฮอะ เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเขารักเจ้า” เสียงปริศนานั้นแค่นหัวเราะคล้ายไม่สบอารมณ์

           “เนื่องเพราะในโลกนี้ไม่มีหญิงใดที่จะพิเศษกับเขาไปมากกว่าข้าอีกแล้ว” นางสวนตอบทันควัน ไม่เคยมีหญิงใดที่ครองใจเซียวถิงฟงได้ เนื่องเพราะยิ่งพวกนางเข้าใกล้ชายหนุ่มมากเท่าใด เขาก็จะยิ่งตีตัวออกให้ห่างมากเท่านั้น ยกเว้นเพียงแต่นาง

           “หากแต่ตอนนี้เกรงว่าคนที่เขาเห็นว่าพิเศษ อาจมิใช่เจ้าเพียงคนเดียวแล้วกระมัง ในใจเจ้ากลัว กลัวว่าจะสู้นางมิได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงปริศนานั้นหัวเราะเยาะความมั่นใจที่ไร้ซึ่งน้ำหนัก

           “ไม่จริง ไม่จริง” หย่าเหลียนข่มตาพลางยกมือป้องหู นางมิต้องการฟังเสียงหัวเราะที่บาดใจนั้น เสียงที่ราวกับล่วงรู้ความกลัวที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจ กระทั่งเสียงหัวเราะหายไป มือจึงคลายออกจากริมหู ดวงตาลืมขึ้นอย่างช้าๆ แต่แล้วก็ถึงกับผงะตกใจ ที่เบื้องหน้ากลับมีร่างๆหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้านางแล้ว

           เป็นสตรีนางหนึ่งที่กำลังจ้องนางด้วยรูปหน้าสะสวย ริมฝีปากสีแดงสดขับรอยยิ้มที่ดูเย้ายวนระคนอำมหิต เสื้อสีแดงสดแลดูคล้ายสีของโลหิต หย่าเหลียนได้แต่ยืนนิ่งตะลึงดั่งเช่นโดนมนต์สะกด จากนั้นสตรีชุดแดงนั้นก็สวมกอดนางไว้อย่างแช่มช้า เสียงแหบเอื้อนเอ่ยอย่างมีเสน่ห์

           “ข้าช่วยเจ้าได้ ขอเพียงเจ้ายอมแลกเปลี่ยนบางอย่าง เจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ทุกๆอย่าง แม้แต่ชายที่เจ้ารัก”

           เกิดเป็นภาพมายาฉายอยู่ตรงเบื้องหน้า ในมายานั้นมีต้นไม้เขียวชอุ่ม ลมพัดไหวน้อยๆยังผลให้ใบไหม้ร่วงหล่นอย่างช้าๆ ใต้ร่มเงานั้นนางกำลังหัวเราะอยู่ข้างกายเซียวถิงฟงที่กำลังนางมองด้วยแววรักใคร่ ไม่ไกลนักมีเด็กสองสามคนที่วิ่งเล่นอยู่รอบๆ แลดูคล้ายกับนางกับเขายิ่ง

           มายานั้นเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่แล้วจังหวะหนึ่งนางกลับเห็นเงาร่างของสตรีในชุดสีแดง ภาพมายาจึงเริ่มบิดเบี้ยวสับสน ก่อนหลงเหลือเพียงแค่ภาพนางในสมัยเด็กที่ร้องไห้คร่ำครวญอย่างเดียวดาย

           น่าสมเพช เสียงของนางก้องดังในหัว “ไม่...ข้าไม่เชื่อ ข้ามิเชื่อใครทั้งนั้น ข้าเชื่อแต่ตัวเอง” นางปัดป่ายภาพตรงหน้าลงอย่างยากเย็น ครั้นลืมตาขึ้นอีกครั้งสตรีในชุดแดงก็หายไปแล้ว “ออกมานะ เจ้าเป็นใคร กล้ามาเล่นตลกอะไรกับข้า”

           “ฟังให้ดี สิ่งที่เจ้ากำลังทำนั้นเปล่าประโยชน์ มันไม่มีทางสำเร็จ เขาไม่มีทางเลือกเจ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” กล่าวจบเสียงหัวเราะเยอะก็ก้องไปทั่วห้อง

           หย่าเหลียนได้แต่เอามือปิดหูด้วยความทรมาน นางก้มตัวกอดตัวเองไว้แน่นราวกับว่าต้องการหลบออกจากความเป็นจริง
“องค์หญิง องค์หญิงเพคะ”

           เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้น องค์หญิงหย่าเหลียนเงยหน้าขึ้นแล้วจึงเห็นเป็นแม่นมเว่ย ครั้นมองไปรอบห้องก็พบว่าตอนนี้ตนอยู่เพียงลำพัง

           “องค์หญิงทรงประชวรรึเปล่าเพค่ะ” นางกำนัลเว่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นองค์หญิงหย่าเหลียนหน้าซีดขาว

           “ข้ามิเป็นไร เรื่องนั้นล่ะ” นางฝืนกล่าวทั้งที่ใจรู้สึกไม่ดี

           “องค์ฮองเฮาตรัสว่าฝ่าบาททรงรับปากให้มีกำหนดการขึ้นในอีกสามวันเพค่ะ”

           “ดี เช่นนั้นแม่นมไปพักผ่อนเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว”

           เห็นสีหน้าที่ฉายแววเหนื่อยล้า นางกำนัลเว่ยก็ตัดสินใจพาองค์หญิงเข้าสู่ห้องบรรทม รอจนพระนางบรรทมลึกแล้วก็ออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ โดยมิรู้ว่ายังมีคนอีกผู้หนึ่งยังคงอยู่ในห้องนั้นด้วย

           “ดวงจิตยังแข็งไป รอก่อนเถิดอีกในไม่ช้าดวงจิตของเจ้าต้องเป็นของข้าแน่นอน ฮ่า ฮ่า” ท่ามกลางเสียงลมหายใจสม่ำเสมอกลับมีเสียงหัวเราะดังขึ้น เสียงนั้นบ่งบอกถึงความสนุกที่จะได้เห็นเหยื่อรายนี้ทุรนทุรายไปด้วยความทุกข์ทรมาน
 

**********************************************


           เสียงนกร้องประสานขับขานไปทั่ว กลิ่นอายต้นไม้ดอกไม้อบอวลอยู่รอบตัว แสงแดดรำไรส่องสว่างกระทบลงยังนัยน์ตาที่ปิดสนิท เซียวถิงฟงที่รู้สึกแยงตาจึงพลิกตัวหลบแสง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบิกตาขึ้นกว้างแล้วพลันพบว่าตนอยู่ในเรือนพฤกษา

           “ฟื้นแล้วรึ”

           เขายันตัวลุกขึ้นนั่งยังผลให้อาการปวดเมื่อยก็แล่นริ้วไปตามตัว เขาโอดครวญในลำคอทีหนึ่งก่อนหันไปมองยังเจ้าของเสียงที่นั่งอยู่บนโต๊ะใกล้กับกระถางดอกเบญจมาศสีเหลืองสดใส “เกิดอะไรขึ้น”

           ซวนหยวนหมิงไท่ที่สวมชุดเพียงตัวในตอบรับโดยการหาวหวอดๆใส่ คล้ายคนไม่ได้หลับนอนมาทั้งคืน “เมื่อคืนเจ้าบาดเจ็บสาหัส”

           “แล้วต้าเซียนล่ะ”

           “มิต้องเป็นห่วง เขาอยู่ทางด้านโน้น ยังดีที่ที่นี่อบอุ่นมิฉะนั้นพวกเจ้าได้เป็นหวัดกันถ้วนหน้าแน่”

           เขามองตามสายตาของสหาย โต๊ะไม้ทางด้านฝั่งตรงข้ามที่เคยมีกระถางต้นไม้วางเรียงราย บัดนี้กลับมีเด็กหนุ่มในชุดสตรีสีม่วงอ่อนพาดทับด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่ขององค์รัชทายาทอยู่แทน

           “ต้าเซียนเป็นอะไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ทั้งพยายามลุกตัวขึ้นดู แต่อาการปวดเมื่อยล้ากลับทำให้ต้องล้มตัวนั่งอีกครั้ง

           “เจ้าอย่าได้ฝืนไป เขามิได้เป็นอะไรมาก แค่กำลังพักฟื้นพลังเท่านั้น อย่าได้ไปรบกวน ให้เขาพักผ่อนเถิด” กล่าวจบก็กระโดดลงจากโต๊ะ เดินเข้ามาบังคับกดตัวสหายให้นั่งลง แล้วจับชีพจรของอีกฝ่าย ทว่าทันทีที่ปลายนิ้วแตะลงบนข้อมือก็สัมผัสได้ถึงขุมพลังที่แข็งแกร่งไหลเวียนอยู่ในร่าง ซวนหยวนหมิงไท่เงยหน้าขึ้นมองเซียวถิงฟงด้วยสีหน้าประหลาดใจ

           เดิมทีเจ้าตัวบาดเจ็บภายในสาหัส แม้ตนใช้กำลังภายในช่วยประคับประคองมิให้ชีพจรโคจรสับสน จะอย่างไรอีกฝ่ายก็ต้องพักฟื้นราวสามเดือน ทว่าตอนนี้มิเพียงชีพจรโคจรดุจสายน้ำ ร่างกายยังกลับหลงเหลือเพียงแค่อาการปวดเมื่อย “พักเพียงสามวันก็จะหายดี หากถนอมพลังภายในไว้ เพียงวันเดียวอาการปวดเมื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง”

           “แล้วชายผู้นั้นเป็นใคร ใช่จอมมารเฟยหลงที่ต้าเซียนเคยกล่าวหรือไม่ แล้วพวกเรากลับมาที่นี่ได้อย่างไร”

           “คนที่ทำร้ายเจ้าคือจอมมารเฟยหลง เป็นต้าเซียนที่ช่วยเหลือพวกเราไว้ ทั้งยังให้สัญญากับจอมมารไว้ หากยามสุริยะคลาสมาเยือนเมื่อไหร่ หากเขาไม่สามารถเอาชนะได้ พวกเราทั้งหมดจักลงโลงกันถ้วนหน้า” ซวนหยวนหมิงไท่ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มไม่ทุกข์ร้อน
           
           “อย่างนั้นรึ” เซียวถิงฟงเองก็มิได้รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวเช่นกัน มีแต่จะห่วงร่างน้อยที่นอนหลับใหลเสียมากกว่า “แล้วถิงถิงกับไป๋เซ่อเล่า” เสมือนพึ่งนึกออก หากที่ไหนมีต้าเซียน ไป๋เซ่อและถิงถิงที่ใด ที่นั่นมักจะครึกครื้นจนกระทั่งถึงคำว่าวุ่นวายเลยทีเดียว

           สีหน้าของซวนหยวนหมิงไท่พลันเปลี่ยนเป็นสลดก่อนทอดหายใจหนัก “เฮ้อ เจ้าอย่าได้เสียใจไป”

           “หือ” หมายความว่าอย่างไร เสียใจอะไร เซียวถิงฟงงงงันวูบ ทั้งเริ่มรู้สึกใจหาย อย่าบอกนะว่ามีใครล่วงไปรอที่โลกหน้าแล้ว

           ปึง ตูม

           ประจวบเหมาะกับที่ประตูเรือนพฤกษาถูกบุคคลภายนอกใช้เท้าถีบกระแทกอย่างแรง ประตูถูกเปิดผางจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่นขึ้น คนทั้งสองต่างมองกันเป็นตาเดียว กระทั่งต้าเซียนยังสะดุ้งตื่นขึ้นมาแสดงสีหน้างัวเงียอย่างเห็นได้ชัด

           พริบตาต่อมาเซียวถิงฟงก็รู้สึกราวกับถูกผีหลอก บุคคลที่บุกรุกเข้ามานั้นเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายด้วยชุดคลับคล้ายคลับครารองแม่ทัพ อีกทั้งยังมีใบหน้าละม้ายคล้ายตนอย่างไม่น่าเชื่อ ทว่าเขาเป็นบุตรโทนคนเดียวของตระกูล มิมีพี่น้องคนใดอีก แล้วคนตรงหน้าเป็นใครกันเล่า

           ยังมิทันกระจ่างใจ ชายผู้นั้นกลับตรงรี่เข้าหาร่างน้อยที่พึ่งกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ท่าทีนั้นเนิบนาบ ทั้งยังมีบางคราที่บิดเอวรวดเร็วคล้ายเลี้อยไปมา พอถึงจังหวะหนึ่งก็โผเข้ากอดคนที่นั่งบื้อเข้าอย่างแรง

           “ท่านมหาเทพ ท่านหายดีแล้วใช่ไหม ฮือ ฮือ โฮ” น้ำเสียงทุ้มแหลมของชายร่างใหญ่กล่าวจบก็บังเกิดเสียงสะอึกสะอื้นลูกใหญ่

           เซียวถิงฟงพลันมิอาจบรรยายถึงรสชาติได้ หน้าจึงเริ่มแดงซ่านไปจนถึงหู ความจริงแล้วผู้ที่สวมกอดต้าเซียนนั้นมีรูปร่างเหมือนตนทุกกระเบียดนิ้ว จึงคล้ายเป็นตนที่สวมกอดเสียเอง แต่จะอย่างไรคนเบื้องหน้าก็มิใช่ตน หากแต่เป็นไป๋เซ่อ ยิ่งเห็นเจ้างูปากพล่อยใกล้ชิดกับร่างน้อยเกินเหตุ อีกทั้งยังร่ำไห้สะอึกสะอื้นด้วยใบหน้าเช่นเดียวกับตนแล้ว เขาก็แทบอยากจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินให้รู้แล้วรู้รอด

           แต่แล้วฉับพลันนั้นที่หน้าตักของชายหนุ่มกลับถูกสิ่งมีชีวิตรูปร่างเล็กเข้ายึดครอง เขาละสายตาจากภาพที่ดูน่าละอายแล้วเบนสายตามายังร่างที่สวมชุดสีฟ้าอ่อน ครานี้เขาถึงกับเกิดอาการเลิกลัก สมองตะลึงงัน ต้าเซียนอีกคนกำลังหนุนศีรษะอยู่บนตักเขา ใจแทบกระดอนออกจากอก แต่แล้วต้าเซียนคนนี้กลับเอื้อมมือไปลูบไล้ป้ายประจำตระกูลที่เอวเขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดึงรั้งในที่สุด พฤติการณ์ดังกล่าวดูคล้ายกับแมวยิ่ง

           อารมณ์หลากหลายพลุ่งพล่านจุกอยู่ในอก เพลานั้นก็เหลือบไปเห็นซวนหยวนหมิงไท่ที่กำลังกลั้นหัวเราะจนร่างสั่นเทิ้ม จู่ๆประโยคหนึ่งก็ลอยวนเวียนในสมอง...อย่าได้เสียใจไป

           “อ๊ากกก” เซียวถิงฟงแผดเสียงดังลั่นห้อง หากไม่ร้องสักทีเขาคงจะเสียสติก็เป็นไปได้

           เมื่อร้องจบก็หันไปนั่งกอดเข่าพลางครุ่นคิด นี่คงเป็นความคิดขององค์รัชทายาท ต้าเซียนมิอาจพำนักในวังหลวงได้จึงต้องให้ถิงถิงปลอมเจ้าตัวออกนอกวังไปพร้อมกับไป๋เซ่อที่ปลอมแปลงเป็นตน เพื่อไม่ให้ดูสะดุดตาและก็เพื่อให้ดูสะดุดตาเช่นกัน
แต่ปัญหาใหญ่คือคนอื่นจะผิดสังเกตกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขาบ้างรึเปล่า เขาพยายามคิดในแง่ดีไว้ บางทีอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิด ท้ายที่สุดจึงได้ทอดถอนใจยาว ปล่อยให้สมองว่างเปล่า แต่ไม่ว่าอย่างไรจิตใต้สำนึกก็พลันบอกตัวเอง เจ้างูเลอะเลือนสติพิกลอย่างไป๋เซ่อนั้นย่อมมิวางตัวเฉกเช่นมนุษย์ปกติได้

           “เจ้าก็เลิกคิดในแง่ร้ายเสียที ตอนนี้ต้าเซียนที่เจ้าเป็นห่วงนักเป็นห่วงหนาก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว เจ้าไม่คิดจะพูดอะไรกับเขาบ้างเลยรึ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวเหมือนล่วงรู้ความคิด ต้าเซียนหันขวับมองไปที่เซียวถิงฟงทันที สายตาเป็นประกายบ่งบอกความอยากรู้อยากเห็น

           เซียวถิงฟงเห็นสายตาสีน้ำตาลเป็นประกายแล้วก็อดที่จะอึกอักไม่ได้ ในสมองแวบคำสามคำขึ้นมา เป็นสามคำที่ติดอยู่ในใจ ใบหน้าพลันร้อนผะผ่าว “ขะ ข้า ชะ" เขาพูดติดๆขัดๆ ทว่าสายตากลับเหลือบแลเห็นสหายที่ทำท่าลุ้นฟังจนตัวโก่งอีกครั้ง “คะ ใครใช้ให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่กัน” เขาตะโกนลั่น

           ต้าเซียนฟังแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นหลายส่วน เขาล้มตัวลงนอนข้างๆไป๋เซ่อที่ร้องไห้จนผล็อยหลับลงไป เห็นดังนั้นเซียวถิงฟงก็พลันรู้สึกตัวลีบเล็กลง ผิดกับซวนหยวนหมิงไท่มองทั้งคู่แล้วอมยิ้ม ทั้งยังส่ายศีรษะเบาๆเหมือนเห็นใจ

           ขณะที่กำลังข่มตาหลับให้สนิทนั้น ต้าเซียนกลับสัมผัสได้ถึงวัตถุแข็งๆที่วางอยู่ใกล้ตัวไป๋เซ่อ เขาควานหาก่อนหยิบยกมันขึ้นมอง มันมีลักษณะเป็นกระดาษแข็งที่พับเป็นทบๆ ดูไปแล้วคงเป็นเทียบเชิญ ว่าแล้วก็เปิดออก

           “ชวีเจียง” ร่างน้อยพึมพำในขณะที่นอนอ่าน แต่แล้วทั้งเซียวถิงฟงและซวนหยวนหมิงไท่ต่างหันมามองกันตาเดียว เพียงเห็นสิ่งของในมือต้าเซียนก็รู้ได้ทันทีว่าคืออะไร

           “อุทยานชวีเจียง” ทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกัน

           “เทียบเชิญนั่น พวกเราได้เมื่อตอนฟ้าสาง ขันทีในวังเป็นคนนำมาให้” ถิงถิงนึกขึ้นได้จึงบอกกล่าว

           เซียวถิงฟงไม่รอช้า เดินเข้าไปฉวยเอาเทียบที่อยู่ในมือต้าเซียนในขณะที่เจ้าตัวยังอ่านมิทันจบ เขาเปิดออกอ่านอย่างละเอียด

           “เป็นอย่างไรบ้าง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถาม

           “งานเลี้ยงพระราชทานที่วนอุทยานชวีเจียง” เซียวถิงฟงกล่าวตอบ พลางเปิดเทียบออกอีกหนึ่งทบเพื่ออ่านต่อ เมื่ออ่านถึงเนื้อหาด้านหลังก็ต้องเงียบไป

           ซวนหยวนหมิงไท่จึงตัดสินใจหยิบออกอ่านเสียเอง แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งตีสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะแค่นหัวเราะอย่างไม่พอใจ “เจ้าความคิดยิ่งนัก แม้แต่งานเช่นนี้ก็ยัง...มิคาดฝันจริงๆ เฮอะ”

           “เกิดอะไรขึ้นกัน” ต้าเซียนพึมพำพลางมองคนทั้งสองอย่างงงงัน ดูว่าเซียวถิงฟงก็เหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ซวนหยวนหมิงไท่เองก็ดูอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัด แลจากที่ปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมา ก็ได้ความว่าอาจจะมีเรื่องเกิดขึ้นที่วนอุทยานชวีเจียงสินะ เขาคิด

           ดูว่าปัญหาทุกอย่างตอนนี้คล้ายเฉกเช่นดอกไม้ไฟหลายลูก ที่เมื่อถูกจุดแล้วจะเกิดระเบิดไล่เรียงกันมิหยุดหย่อน ทั้งรวดเร็วทั้งยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างอย่างที่มิอาจได้ตั้งตัว ต้าเซียนถอนใจแล้วจึงพยายามข่มตาหลับต่อ ในใจนึกถึงเหล่าเทพที่อยู่บนดินแดนสวรรค์ นึกถึงจอมมารเฟยหลง และนึกถึงอนาคตในวันข้างหน้าของสามพิภพ

*************************************************

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
เรื่องชักจะวุ่นวาย มีตัวร้ายคนใหม่เพิ่มมาอีก

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 13.1 งานเลี้ยงเสาะหาบุปผา


           หอคณิกาชื่อดังแห่งหนึ่ง บุรุษหนุ่มผู้แต่งกายด้วยชุดหรูหรา กลิ่นกายคละคลุ้งไปด้วยสุรานารีกำลังเดินออกมาด้วยท่าทีกระหยิ่มใจ ชายในชุดลำลองอีกราวห้าคนเห็นแล้วก็รีบเข้าไปยืนโอบล้อมคนผู้นี้ ก่อนนำทางไปยังที่หนึ่ง แลไม่นานคนก็หายลับเข้าไปในจวนว่าการอำเภอของเมืองหังโจว

           จวบจนมาถึงเรือนรับรองกว้าง คนเมามายก็ตรงดิ่งทิ้งตัวลงบนเตียง ระหว่างเข้าสู่ห้วงฝัน ลมวูบหนึ่งก็พัดกระทบที่ลำตัว รอจนกลับคืนสู่ปกติ ของสิ่งหนึ่งก็พลันถูกโยนลงมาบนเตียง ตายังมิทันได้ลืมปลายนิ้วก็สัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นเหนียว มือหนึ่งควานจับอย่างหงุดหงิด กระทั่งคลำได้สองที ลมหายใจก็แทบจะหยุดลงเสียดื้อๆ สติบัดสร่างขึ้นเดี๋ยวนั้น

           ศีรษะของสตรีนางหนึ่งสะท้อนเข้าสู่ดวงตา เขาจำได้ ทั้งยังจำได้ดี ไม่กี่ชั่วยามก่อน คณิกานางนี้ยังคงนอนแอบอิงแนบชิดกาย แม้แต่ไออุ่นก็ยังมิจางหาย ดวงหน้าเย้ายวนยังคงติดตรึงในใจ ทว่านางในตอนนี้หาความงามใดมิได้อีกแล้ว เนื่องเพราะดวงตาของนางแทบถลนออกจากเบ้า สีหน้าเขียวคล้ำ ริมฝีปากอ้าค้างบิดเบี้ยวเหยเก

           “อ๊ากกก” เขาแทบสิ้นสติร้องขึ้นอย่างหวาดกลัว ครั้นสังเกตเห็นคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างเตียงก็ต้องผุดลุกขึ้นตะเกียกตะกายไปยังหน้าประตู ชายหญิงคู่หนึ่งยังคงย่างสามขุมเข้าหา เพียงมองปราดเดียวก็ทราบได้ว่าพวกเขามีบางสิ่งที่ผิดแผกไปจากมนุษย์ กลิ่นอายอำมหิตชั่วร้ายกดดันแทบทำให้ต้องอาเจียนน้ำย่อยออกมา “ทหารองครักษ์ช่วยข้าด้วย” เสียงแผดร้องเรียกดัง หากแต่ภายนอกกลับไม่มีแม้แต่ความเคลื่อนไหว

           “เข้ามาช่วยข้าเดี๋ยวนี้ หากมิเข้ามาข้าจะตัดหัวพวกเจ้าสามชั่วโครต” แม้กล่าวเช่นนั้นองครักษ์ที่ด้านนอกห้องก็ยังคงยืนนิ่ง คล้ายมิได้ยินเสียงแลสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติจากภายใน จวบจนในที่สุดเขาก็ตะเบ็งร้องสุดเสียงก่อนจะล้มลงสิ้นสติไป

           นึกไม่ถึงว่าเพียงแค่ศีรษะมนุษย์นางหนึ่งกลับทำให้อีกฝ่ายต้องกระโดดผึงลงจากเตียง ร้องเอะอะโวยวายอย่างน่าสมเพช ร่างทรงพลังมองคนที่หมดสติไปอย่างเหยียดหยาม ฝ่ามือหนึ่งขยับยกขึ้น บังเกิดเป็นกระแสลมแรง ดึงดูดร่างตรงหน้าให้มลายหายไป เหลือเพียงดวงจิตสีเทาเล็กอยู่ในอุ้งมือ มองสายด้วยตารังเกียจเพียงแวบหนึ่งก็ยกดวงจิตนั้นขึ้นกลืนกิน

           “เหตุใดไม่ฆ่ามันเสีย ท่านจอมมาร” จิ้งจอกเหม่ยซินถามด้วยความสงสัย นึกถึงดวงจิตเมื่อครู่แล้วก็ทำให้รู้สึกหิวกระหายยิ่ง

           “ยังไม่ถึงเวลา”

           “เช่นนั้นหากดวงจิตดวงนั้นหมดประโยชน์กับท่านจอมมารแล้ว ได้โปรดยกให้เหม่ยซินได้รึไม่” นางกล่าวพลางส่งสายตาเย้ายวนน่าหลงใหล

           เฟยหลงทั้งไม่สนใจทั้งไม่ตอบรับยังเปลี่ยนมาถามแทน “เรื่องนั้นเรียบร้อยแล้วรึไม่”

           “ท่านจอมมารโปรดวางใจ จิตของนางเข้มแข็งได้ไม่อีกนาน ในไม่ช้านางต้องตกอยู่ในกำมือข้าแน่” นางตอบด้วยความมั่นใจ

           “เช่นนั้นก็กลับไปได้ ที่นี่ไม่มีธุระกงการเจ้าอีก” เขากล่าวเสียงเรียบ

           “เช่นนั้นเหม่ยซินขอลา” ปีศาจจิ้งจอกน้อมตัวคำนับก่อนหมุนตัวไปหยิบศีรษะนางคณิกาที่ถูกโยนลงบนเตียง นางหวีดหัวเราะเสียงแหลม มือแกว่งไกวศีรษะนั้นเล่นราวกับตุ๊กตา ไม่นานร่างก็ค่อยๆหายลับไป

           ห้องกลับคืนสู่ความเงียบสงบ หากแต่ที่เตียงกลับเพิ่มด้วยกองเลือดสดกองหนึ่ง เฟยหลงก้มลงมองร่างตนเองที่เปลี่ยนไปสวมอาภรณ์หรูหราก่อนก้าวไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วกล่าวน้ำเสียงทรงอำนาจ

           “เข้ามา”

           องครักษ์นายหนึ่งเดินเข้ามารับคำสั่งในห้อง ชั่วขณะหนึ่งก็สังเกตเห็นโลหิตที่ชุ่มเตียงนอนอย่างไม่ตั้งใจ ครั้นหันกลับไปจ้องผู้เป็นนายด้วยแววสงสัย ดวงตาก็พลันเปลี่ยนเป็นเลิกกว้างตกใจ แลไม่นานประกายตากลับค่อยๆเซื่องซึมลง จากนั้นจึงเปลี่ยนกลับเป็นสุขุมเช่นเดิม

           “ข้า จะกลับฉางอันคืนนี้”

           “กระหม่อมจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้พะย่ะค่ะ” กล่าวจบองครักษ์ก็หมุนตัวออกไป

           เฟยหลงหันมานั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ ดวงตาทอดมองออกไปไกล สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นอ่อนล้า มาตรว่าเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็มิเคยหลับพักสักตื่น แต่นี่มิใช่ครั้งแรกที่เป็นเช่นนี้ เพราะตั้งแต่เขาเลือกเส้นทางนี้ ตัวเขาก็มิอาจหลับลงได้อย่างสนิทใจอีก
 

**************************************


           ต้าเซียนค่อยๆลืมตาขึ้นสู้แสงแดดแรงกล้า ขณะนี้เขาอยู่ในป่าเขียวชอุ่มใกล้เขตวัดฉือเอิน ห่างจากนี้ไปไม่ไกลนักจะเป็นวนอุทยานชวีเจียง สถานที่จัดงานเลี้ยงเสาะหาบุปผา

           “ข้าขอโทษ แต่ขอลองอีกครั้งเถิดนะ”

           ร่างน้อยเบนสายตากลับไปมองรัชทายาทหนุ่ม ผู้มีท่าทีกล่าวขอโทษกึ่งอ้อนวอนยกใหญ่ ทว่าไป๋เซ่อในร่างงูก็ยังคงนอนขดตัวอย่างเสียอารมณ์

           “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”

           “เจ้าคิดว่าเจ้าพูดแบบนี้มากี่ครั้งแล้วกันหา” เขาแปลให้ชายหนุ่มที่นั่งสบายอารมณ์อยู่ด้านข้างฟัง

           “ครั้งนี้สำเร็จแน่แท้ วางใจได้” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวด้วยท่าทีมั่นใจก่อนยื่นขนมถั่วแดงเข้าหลอกล่อ
แต่ครานี้ไป๋เซ่อก็ตอบด้วยความมั่นใจเช่นกัน “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”

           “สำเร็จกับผีน่ะสิ จะ...เอ่อ เจ้าบ้า” ต้าเซียนยังคงแปลต่อ แม้ตอนท้ายจะสะดุดกับคำก่นด่าไปบ้าง แต่แล้วเจ้าตัวที่พึ่งปฏิเสธคำโตกลับอ้าปากรับขนมถั่วแดงเป็นครั้งที่สี่ ทำเอาเขาส่ายหน้าทอดถอนใจให้กับนิสัยตะกละของมันมิได้

           “งูเจ้านี่ท่าทางจะซื่อบื้อนะ”

           ในที่สุดเซียวถิงฟงก็เปรยขึ้น ต้าเซียนที่แม้ไม่ได้หันไปมองหน้าชายหนุ่มก็พอรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งยิ้มปากแทบฉีกอยู่

           เมื่อติดสินบนได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อย ซวนหยวนหมิงไท่ก็ยิ้มกริ่มยื่นมือลงต่อหน้าของไป๋เซ่อ พริบตาหนึ่งกระบี่สีขาวก็หวนเข้าสู่มืออีกครั้ง จากนั้นร่างในชุดมังกรก็ออกร่ายรำทันที ท่าร่างที่ใช้ออกล้วนอ่อนช้อย หากแต่ภายในกลับแฝงไว้ด้วยพลังลึกล้ำ

           “เจ้าว่าครั้งนี้หมิงไท่จะทำสำเร็จรึไม่”

           “ตอนนี้ไม่แต่ภายภาคหน้าต้องสำเร็จแน่” ต้าเซียนยิ้มกล่าว ดูว่าซวนหยวนหมิงไท่มีพลังที่คล้ายคลึงกับตน เน้นใช้ความอ่อนช้อย แต่บางครารวดเร็วพิชิตชัย เหมาะที่จะฝึกกับไป๋เซ่ออย่างยิ่ง

           ครั้นเพลงกระบี่ดำเนินมาจนถึงเพลงที่สิบหก ท่าร่างก็เริ่มแปรเปลี่ยนรวดเร็ว กระบี่ในมือพลันเปลี่ยนเป็นงูตัวหนึ่ง มันดีดพุ่งตัวจนลอยคว้างอยู่กลางอากาศ รอจังหวะหนึ่งมันก็เหวี่ยงตัวกลับหมายพุ่งเข้าที่มือของผู้ใช้

           ทว่าคนเล่าหายไปไหน? ดวงตาสีฟ้าอมเขียวถึงกับคลอหน่วงด้วยหยาดน้ำ ก่อนที่จะ “แอ่ก”
 
           “อ้าว มิได้มาทางซ้ายหรอกรึ” องค์รัชทายาทที่หันไปด้านขวาเอี้ยวตัวมองมองงูเผือกที่หน้าทิ่มลงดินอย่างสงสัย ก่อนจมลึกเข้าสู่ภวังค์สองมือวาดไปมาบนอากาศ ลืมเจ้าตัวที่นอนคลุกดินไปโดยสิ้นเชิง

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เซียวถิงฟงชมมองจนถึงขั้นระเบิดหัวเราะ น้ำตาแทบหลั่งไหลออกจากเบ้า ไป๋เซ่อฟังแล้วก็ร้องอย่างเจ็บแค้นพลางแดดิ้นสะบัดหางตีไปมาอย่างไม่พอใจ

           ด้านต้าเซียนกลับมองแล้วยิ้มน้อยๆ ด้วยสังเกตเห็นข้อผิดพลาดสองประการ หนึ่งคือซวนหยวนหมิงไท่ แม้มีไหวพริบแต่ก็ยังพลิกแพลงท่าร่างรวดเร็วไม่พอ สองคือไป๋เซ่อเคลื่อนไหวตามใจตนเองมากเกินไป ทำให้มิอาจสื่อประสานใจกับผู้ใช้กระบี่ได้

           “ข้าลองบ้าง” ครานี้เซียวถิงฟงลุกขึ้นแล้ว เขากระโดดลงไปตะครุบไป๋เซ่อไว้ในมือเดียว มันขดตัวดิ้นไปดิ้นมาหลายครั้งจึงยอมเปลี่ยนเป็นกระบี่งามอีกหน

           ไม่นานนักเสียงร้องกู่ก้องก็ดังขึ้นยังผลให้คนที่ยังตกอยู่ในภวังค์ตื่นขึ้น เห็นสหายวาดกระบี่กลางอากาศ กระบวนท่าที่ใช้ออกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลานุภาพก็ให้ความสนใจยิ่ง แต่แล้วกระบี่ร่ายรำออกเพียงเพลงที่เก้า ไป๋เซ่อในร่างงูก็ทะยานตัวหนีออกจากมือของผู้ใช้อย่างทุลักทุเล ยังให้เซียวถิงฟงต้องทำหน้าฉงน มองงูเผือกที่เลื้อยหนีอย่างขัดใจ

           “เจ้าไม่ได้เรื่องกว่าข้าเสียอีก” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวติดตลกทั้งยังลอบขบขันในใจ กระทั่งตนยังรู้สึกได้ว่าไป๋เซ่อที่เป็นกระบี่นั้นอึดอัดแทบตาย จวนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

           “ถิงฟง คนที่สามารถใช้กระบี่พิสุทธิ์นี้ได้จะต้องเป็นบุคคลที่ใช้พลังสายเต๋า กระบี่ต้องพริ้วไหว มิใช่ใช้พลังดุดันหนักแน่นอย่างเจ้า อีกทั้งตอนนี้กายของเจ้ายังมีพลังเซียนไหลเวียน ยังคงควบคุมมิได้ทั้งหมด ไป๋เซ่อจึงทนรับพลังกดดันมิได้” ต้าเซียนกล่าวอธิบาย

           “อ่อ เป็นอย่างนี้นี่เอง” ใช่แล้วตอนนี้เขามีพลังเซียนไหลเวียนอยู่ในร่าง เป็นต้าเซียนถ่ายทอดให้หลังจากที่ช่วยเขาจากใต้สระบัว และเป็นเพราะต่อสู้กับจอมมารเฟยหลงที่ทำให้รับรู้ถึงพลังนี้ขึ้นมาได้อย่างไม่ตั้งใจ

           “พวกท่านกำลังทำกระไรกัน” ถิงถิงที่กลับจากการสำรวจป่าก้าวเข้ามาหาคนทั้งสาม ก่อนชำเลืองมองงูเผือกที่มีน้ำตาเม็ดใหญ่คลอเบ้า ลำตัวมีรอยแดงประปราย ซ้ำยังส่งสายตาขอความเห็นใจ “พวกท่านรังแกเขาหรือ” นางกล่าวคาดโทษคนทั้งสาม

           ไป๋เซ่อตกตะลึงวูบ นางกำลังปกป้องเขา ความตื้นตันพวยพุ่งในอก มันได้ทีแปลงเป็นมนุษย์แสร้งทำเป็นเจ็บหนัก ถิงถิงเห็นแล้วก็เดินเข้าไปลูบหน้าผากที่บวมเป็นลูกๆ ก่อนแสยะรอยยิ้มที่เขามิมีวันเห็น ที่ทำเช่นนี้เป็นเพราะนางมิชอบให้ใครมารังแกของเล่นของนางต่างหาก

           “ข้าจะไม่แปลงร่างเป็นงูอีก” ไป๋เซ่อลั่นวาจา แต่แล้วกลับไม่มีใครสนใจฟังแม้แต่คนเดียว จึงย่ำเท้าระบายอารมณ์อยู่หลายที

           หลังจากที่เสียเหงื่อไปไม่น้อยพวกเขาก็ขึ้นไปนั่งพักที่เก๋งหกเหลี่ยม จากนั้นจึงหารือถึงเรื่องงานเลี้ยงเสาะหาบุปผานครั้งนี้ ต้าเซียนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็มิได้มีส่วนร่วมมากนัก จึงได้แต่นั่งซึมกระทือกะพริบตาปริบๆ ผิดกลับบุรุษทั้งสองที่ยิ่งคุยก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด สุดท้ายจึงทนไม่ไหวอ้าปากหาวหวอดเป็นระยะๆ ร่างสูงที่แอบเหล่มองอยู่ตลอดจึงโพล่งขึ้นมา

           “ต้าเซียน เจ้าหาได้มีความเป็นกุลสตรีไม่ ปากนั่นหัดหุบๆลงเสียหน่อย มิเช่นนั้นหากเจ้าหาวนานกว่านี้ คงได้ลิ้มรสแมลงวันเป็นแน่”

           เขาถึงกับมองค้อนคนว่า “ข้าจะเป็นกุลสตรีรึไม่ เกี่ยวอันใดกับเจ้า จะปรึกษาก็ปรึกษากันไปสิ จะสนไปไยว่าข้าจะได้ลิ้มรสแมลงสักตัวรึไม่” หากเป็นยามปกติเขาก็คงจะกรอกตารับฟังอย่างสงบเสงี่ยมอยู่หรอก แต่ว่าตอนนี้เขาง่วงแทบตายนี่

           “เฮอะ เฮอะ” รับฟังแล้วถึงกับแค่นหัวเราะ นึกไม่ถึงว่าจะถูกเถียงกลับ เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ “แม่นางอย่าลืมสิว่า ตอนนี้แม่นางเป็นถึงว่าที่สะใภ้ตระกูลเซียว” เซียวถิงฟงประชด ตอนท้ายยังมิลืมลากเสียงยานคางกระตุ้นอารมณ์อีกฝ่าย

           “ขอโทษทีที่ข้าหามีความเป็นกุลสตรีไม่ ถ้าเช่นนั้นข้าจะสละให้ไป๋เซ่อทำหน้าที่นี้แทนล่ะกัน” ต้าเซียนกล่าวเสียงเรียบยังผลให้เจ้าของชื่อถึงกับสำลักน้ำลายรีบคุกเข่าอ้อนวอนแทบมิทัน

           “ท่านมหาเทพ ข้าไม่อยากแต่งให้เจ้าคนงี่เง่าแซ่เซียวผู้นี้”

           หน้าผากถึงกับปรากฏเส้นเลือดปูดโปน คิดว่าข้าอยากแต่งกับเจ้านักหรือ เจ้างูซื่อบื้อ เฮอะ ซื่อบื้อทั้งนายทั้งบ่าว เซียวถิงฟงก่นด่าในใจ

           “ถ้าเช่นนั้น....” ร่างน้อยพลันมองหาตัวเลือกต่อไป จนในที่สุดก็หยุดลงที่ถิงถิง ทว่ามองนางชั่วประเดี๋ยวก็ต้องส่ายหน้า

           “เหตุใดท่านต้องส่ายหน้าด้วย” แม้ไม่คิดจะแต่งกับนายของตน แต่ถิงถิงก็อดสงสัยไม่ได้

           “เพราะเขามองเจ้าเป็นลูก เขามิอาจเป็นพ่อที่ผิดศีลธรรม” ต้าเซียนตอบด้วยสีหน้าไร้เดียงสา แต่สีหน้าของเซียวถิงฟงบัดก็เปลี่ยนเป็นดำบัดก็เปลี่ยนเป็นแดงแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่เองก็มิได้ไว้หน้าสหายถึงกับส่งเสียงหัวร่อดัง

           “แล้วเจ้าคิดว่ามีใครอยากแต่งกับเจ้านักรึไง” เซียวถิงฟงสวนกลับ ทว่าต้าเซียนเพียงแค่หันไปมองซวนหยวนหมิงไท่แล้วกล่าว

           “ซวนหยวนหมิงไท่ หากข้ามิใช่ปู่เจ้า เจ้าจะแต่งกับข้ารึไม่”

           คำถามนี้เล่นทำเอาใครหลายๆคนสะดุ้งตัวโหยง นี่ถือได้ว่าเป็นคำขอแต่งงานเลยทีเดียว ทุกสายตาพลันจับจ้องที่องค์รัชทายาทกันเป็นทิวแถว

           ด้านซวนหยวนหมิงไท่เริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน ยิ่งเห็นสายตาร้อนแรงแทบเผาผลาญเป็นจุณของเซียวถิงฟงแล้ว ก็ให้รู้สึกร้อนๆหนาวๆ สุดท้ายจึงตัดสินใจตอบ “แต่ง”

           “เห็นไหมอย่างน้อยเขาก็จะแต่งให้แก่ข้า” ต้าเซียนตบโต๊ะดังฉาดพลางยิ้มแก้มบาน

           “นี่ก็จะถึงเวลาแล้ว พวกเราไปกันเถิด” ซวนหยวนหมิงไท่รีบหันเหเปลี่ยนสถานการณ์ ต้าเซียน ไป๋เซ่อและถิงถิงจึงลุกออกจากที่นั่ง มุ่งหน้าสู่งานเลี้ยงที่จัดในเวลาเย็น ส่วนเขาก็เดินตามหลังอย่างอ้อยอิ่ง

           “เรื่องเมื่อครู่ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่” เซียวถิงฟงที่ได้ฟังคำตอบก็แทบรู้สึกเหมือนกลืนก้อนหินเข้าไปทั้งก้อน

           “ดังที่เจ้าได้ยิน เจ้าก็รู้ว่าข้ามิใช่หลานของเขาอย่างแท้จริง ฉะนั้นเจ้าคงเข้าใจในความหมายที่ข้ากล่าวนะ”

           “.......” หากนี่เป็นเรื่องล้อเล่นเขาคงจะดีใจมากกว่านี้ แต่ทุกถ้อยคำที่องค์รัชทายาทกล่าวนั้นล้วนจริงจังทุกพยางค์ เซียวถิงฟงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ชวนอึดอัด ไม่เว้นแม้แต่ซวนหยวนหมิงไท่ที่ตระหนักได้ว่าคนตรงหน้าเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ฉะนั้นเขายิ่งต้องใส่เชื้อไฟเข้าไปอีก

           “เจ้าจะยกนางให้แก่ข้าได้รึไม่” คำที่ไม่ควรเอ่ย แต่เขากลับเอ่ยมันออกมาแล้ว

           เซียวถิงฟงฟังปุ๊บก็รู้สึกไฟที่ลุกโชนขึ้นในใจ สองมือกำมือหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ครั้นเห็นรอยยิ้มที่ยกหยันก็บังเกิดเป็นความเดือดดาล มือคว้าเข้าที่ปกคอเสื้อของว่าที่จักรพรรดิ “ท่าน”

           “เจ้าควรรู้ไว้ หากยังชักช้ากว่านี้ ข้าอาจจะทำให้เขาเป็นของข้า...อย่างแท้จริง” องค์รัชทายาทกล่าวจริงจัง ไม่แน่ว่าอาจโดนชกเข้าสักหมัดก็เป็นได้

           “นี่ พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่”

           เสียงของต้าเซียนพลันลอยแว่วขัดจังหวะ ใบหน้านวลเปี่ยมไปด้วยความสงสัย ยังผลให้บรรยากาศเดือดพล่านจำต้องลดลงในที่สุด

           “ท่านกำลังยั่วยุข้าใช่ไหม” น้ำเสียงของเซียวถิงฟงเริ่มอ่อนลง มือคลายออกจากปกเสื้อ องค์รัชทายาทรู้ดีว่าเขาคิดกับต้าเซียนเช่นใดจึงแสร้งทำเป็นกล่าวกระตุ้นโทสะเขา

           “เช่นนั้นเจ้าจะแต่งกับเขารึไม่” ครานี้ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถามพร้อมรอยยิ้ม

           “แต่ง” เขาตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทั้งยังประสานมือกับอีกฝ่ายอย่างแรง จากนั้นจึงก้าวไปพร้อมกันด้วยสีหน้าเบิกบานใจ

           ต้าเซียนมองดูคนทั้งสองอย่างงงงัน มิตรภาพบางทีก็เป็นเรื่องที่น่าฉงน แม้บางครั้งมีบาดหมางแต่บางคราความบาดหมางนั้นกลับสามารถสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจได้ในชั่วพริบตา


******************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 13.2 งานเลี้ยงเสาะหาบุปผา


           ในเขตวนอุทยานชวีเจียงประกอบไปด้วยสระน้ำที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก รอบบริเวณโอบไว้ด้วยมวลดอกไม้นานาชนิด และขณะนี้ที่ลานกว้างถูกจัดวางไว้ด้วยโต๊ะที่นั่งสองฝั่งอย่างเป็นระเบียบ ฝั่งหนึ่งสำหรับบัณฑิตจิ้นซื่อ* อีกฝั่งเป็นของคุณหนูตระกูลใหญ่ ตรงกลางปูคั่นไว้ด้วยพรมแดง ลึกเข้าไปเป็นศาลาหลังใหญ่ รวมถึงศาลาหลังเล็กสี่หลังที่จัดไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่

           การมาขององค์รัชทายาทและเซียวถิงฟงทำให้บรรยากาศรอบข้างปรับเปลี่ยนเป็นคึกคัก เหล่าคุณหนูต่างชะเง้อมองพลางแว่วเสียงหัวเราะสดใส ผิดกับทางเหล่าบัณฑิตที่เงียบงัน ทว่าดวงตากลับทอแววเคลิบเคลิ้มชวนฝัน แลหนึ่งในนั้นยังมีบุรุษที่เคยหลิ่วตาให้ต้าเซียนครั้งเมื่อเดินผ่านอุทยานหลวงอีกด้วย

           “เจ้าเจ็บตาเหรอ” ต้าเซียนที่สงสัยมานานก็พลันหยุดลงถามไถ่ คนที่ขยิบตาถี่ๆ ทำให้เซียวถิงฟงกับองค์รัชทายาทต้องชะงักกายหยุดลง

           ด้านชายผู้ถูกถามก็มีสีหน้าตะลึงงันไปเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไร้เดียงสาถึงขนาดนี้ เขายิ้มกว้าง “แค่แม่นางเป็นห่วง ข้าซุนจื่อหานก็หายดีแล้ว” กล่าวจบก็ไม่ลืมที่จะโปรยยิ้ม

           “นึกไม่ถึงว่าคุณชายตระกูลซุนจะมีโรคประหลาดเช่นนี้ด้วย”

           เสียงประชดแกมเย้ยหยันลอยมา ยังผลให้คุณชายซุนเริ่มหน้าแดง คนทั่วทั้งงานเริ่มให้ความสนใจ เซียวถิงฟงจึงเดินกลับไปหยุดลงตรงซุนจื่อหานพลางปรายตามองคนชอบเล่นหูเล่นตาอย่างเย็นชา จากนั้นคว้าไปที่มือน้อยพาเดินออกไปทันที ซึ่งการกระทำที่โจ่งแจ้งนี้ส่งผลให้เกิดเป็นเสียงฮือฮาขนานใหญ่ ต้าเซียนในอาภรณ์สีเหลืองอ่อนกลับกลายเป็นที่จับจ้องไปโดยปริยาย

           ครั้นนางกำนัลกล่าวเชิญองค์รัชทายาทไปประทับยังศาลาหลัวใหญ่ สตรีผู้ขึ้นชื่อว่างดงามราวดอกโบตั๋นก็ก้าวเข้ามาในงาน ทุกสายตาจึงพลันเบนมองด้วยความสนใจ

           องค์หญิงหย่าเหลียนสวมด้วยชุดผ้าแพรสีฟ้าสดใส ใบหน้าหวานเปล่งประกาย นำพาให้บัณฑิตจิ้นซื่อตกตะลึงไปตามๆกัน นางและเหล่านางกำนัลเดินตรงไปที่ศาลาใหญ่ หยุดลงถวายคำนับให้กับองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ จากนั้นจึงเสด็จไปประทับในศาลาหลังถัดไป

           งานเลี้ยงเริ่มขึ้นทันทีที่เจ้าของงานปรากฏกาย เหล่านางรำทยอยกันออกมาร่ายรำในจังหวะเพลงสนุกสนาน อาหารนานาชนิดถูกนำออกมาวางเรียงรายไว้บนโต๊ะ

           ทว่าจังหวะที่ผู้คนต่างก้มหน้าทานอาหาร ต้าเซียนกลับสังเกตเห็นชายหนุ่มถือตะเกียบนิ่ง ดวงตาพยัคฆ์หยุดลงที่ศาลาด้านข้าง ปากก็ขยับไร้ซุ้มไร้เสียง ไม่ไกลนักมีสตรีที่ส่งยิ้มละมุน ดูว่าคงพูดคุยภาษาปาก

           ร่างน้อยเผลอจ้องทั้งที่ปากยังคงดูดตะเกียบ ในอกมีอาการเจ็บแปลบแบบที่ไม่เคยรู้จัก กระทั่งองค์หญิงหย่าเหลียนสังเกตเห็นสายตาเขา รอยยิ้มก็พลันถูกส่งมาให้ ต้าเซียนมองสักพักก็เบนหน้ากลับแล้วนั่งเซื่องซึม

           “ยังมิรีบกินอีก เดี๋ยวก็ตักไม่ทันคนอื่นเขา ดูอย่างไป๋เซ่อจอมตะกละนั่น เขาเติมข้าวเป็นถ้วยที่สามแล้ว”

           เป็นเซียวถิงฟงที่ร้องทักก่อนคีบผักคำใหญ่ลงในชามข้าวเขา อีกทั้งยังส่งจานปอเปี๊ยะทอดมาให้ “อื้อ” ต้าเซียนส่งเสียงตอบด้วยแก้มที่ยิ้มแทบปริ อารมณ์ที่เคยเหี่ยวเฉาพลันเปลี่ยนเป็นร่าเริงอย่างน่าประหลาด

           เดิมทีงานเลี้ยงชวีเจียงถือเป็นงานเลี้ยงที่องค์ฮ่องเต้พระราชทานให้แก่บัณฑิตใหม่ในตำแหน่งจิ้นซื่อ โดยส่วนสำคัญของงานจะแบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งคือ การลอยจอกสุราในสระชวีเจียง ซึ่งหากจอกเหล้าลอยไปหยุดที่ใคร คนผู้นั้นจะต้องหยิบจอกขึ้นดื่มแล้วแต่งกลอนขึ้น สองคือ การเสาะหาบุปผา เป็นการคัดเลือกจิ้นซื่อที่มีความสง่างามและเยาว์วัยที่สุดสองคนไปเด็ดดอกไม้ล้ำค่าในวนอุทยาน จากนั้นนำมาแบ่งประดับให้จิ้นซื่อทุกคน โดยจิ้นซื่อที่ถูกเลือกนี้จะได้รับการขนานนามว่าทูตเสาะหาบุปผา

           มาตรว่าเป็นเช่นนั้น แต่งานเลี้ยงในปีนี้ฮองเฮาเซิงกลับต้องการให้องค์หญิงหย่าเหลียนรับหน้าที่ในการจัดงาน โดยจะมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดของงานเล็กน้อย ซึ่งองค์ฮ่องเต้ก็มิได้ดำรัสคัดค้านแต่อย่างใด
           
           และเป็นที่บังเอิญที่เซียวถิงฟงผู้ซึ่งเลื่อนขั้นจากบัณฑิตจิ้นซื่อมาเป็นรองแม่ทัพก็ได้รับเทียบเชิญงานนี้ด้วย หากมองลึกลงไปจะเห็นได้ว่าการที่ตระกูลเซิงเป็นแม่งานจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะต้องการใช้เป็นฉากบังหน้าเพื่อสร้างโอกาสเกี่ยวดองกับตระกูลเซียว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากใช้ไม้อ่อนมิได้ ตระกูลเซิงก็พร้อมที่จะใช้แข็ง

           เมื่อถึงเวลาสำคัญอย่างการลอยจอกสุรา ขันทีผู้หนึ่งก็ประกาศรายละเอียดของงานที่ถูกปรับเปลี่ยน โดยให้ผู้เข้าร่วมงานลอยจอกสุราพร้อมๆกัน หากจอกสุราผู้ใดลอยชนกันจะต้องร่วมขับกลอนโต้กวีกัน ซึ่งหลังจากโคมไฟสว่างไสวถูกแขวนเรียงรายริมสระ เหล่าจิ้นซื่อและบรรดาคุณหนูต่างก็พากันออกไปลอยจอกสุราที่ริมน้ำ ไม่ไกลนักมีเหล่าที่คอยเฝ้าจดรายชื่อจอกสุราที่ชนกันอยู่

           “ต้าเซียน เจ้าไม่คิดจะลอยจอกสุราบ้างรึ” เซียวถิงฟงเอ่ยถาม ดวงตาจับจ้องจอกสุราตนเองที่กำลังลอยโดดเดี่ยวออกนอกกลุ่ม

           “ข้าไม่เคยอ่านกวีของพวกมนุษย์”

           “เช่นนั้นก็ดี จะได้ไม่มีปัญหา”

           “ทำไมรึ” ต้าเซียนสงสัย พอดีกับที่จอกสุราที่เคยลอยโดดเดี่ยวกลับเพิ่มด้วยจอกสีหวานที่มีลวดลายโบตั๋นยังฝั่งตรงข้าม สีหน้าของเซียวถิงฟงพลันเปลี่ยนเป็นยุ่งยากใจ

           “จอกใบนั้นต้องมีปัญหาแน่” ซวนหยวนหมิงไท่กระซิบเบาๆ ครั้นเห็นต้าเซียนที่ยังมีสีหน้าไม่เข้าใจก็กล่าวอธิบาย “ชายหญิงร่วมโต้กลอนมิพ้นเรื่องความรัก หากเซียวถิงฟงโต้กลอนตัดรอนจะกลายเป็นว่าเขาไม่ไว้หน้าหย่าเหลียน แต่หากร่วมโต้กลอนคล้อยแต่โดยดีก็จะเกิดเป็นคำครหา ที่นี่มีขุนนางผู้ใหญ่หลายคนซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนของตระกูลเซิง หากคำติฉินเหล่านี้ล่วงรู้ถึงพระกรรณฝ่าบาท เกรงว่าพระองค์จะต้องพระราชทานมงคลสมรสเพื่อรักษาเกียรติขององค์หญิงไว้ ถึงตอนนั้นเซียวถิงฟงอยากปฏิเสธก็มิอาจทำได้เพราะผู้คนมากมายที่นี่ล้วนเป็นพยาน เท่ากับว่าพวกเราเดินเข้ามาติดกับของตระกูลเซิงโดยแท้”

           “อ่อ” หากเรื่องเป็นแบบนี้ทำไมถึงไม่ปรึกษากับเขาโดยตรงเล่า เรื่องแบบนี้เหล่าเซียนบนพิภพสวรรค์ล้วนชำนาญกันทั้งสิ้น “หึ หึ พวกเจ้ามิต้องกังวลให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” ต้าเซียนหัวเราะอย่างมีเลศนัย จากนั้นจึงขยับนิ้วขึ้นชี้ไปทางจอกสุราเจ้าปัญหา

           “เดี๋ยว” เซียวถิงฟงร้องทักท้วงอย่างตกใจพลางดึงมือของร่างน้อยลง “เจ้าจะทำอะไร อย่าลืมว่าที่นี่มีคนคอยจับตามองพวกเราอยู่ หากใช้อิทธิฤทธิ์จะเป็นที่ผิดสังเกตได้”

           “อืม ที่กล่าวมาก็มีเหตุผล” ซวนหยวนหมิงไท่พยักหน้าน้อยๆ

           “เช่นนั้นก็ได้ แต่ข้าขอกล่าวอีกสักหลายประโยค เรื่องราวทั้งหลายล้วนเป็นไป ดีร้ายผันผวนแปรเปลี่ยน กล่าวถึงเรื่องพรหมลิขิต ฟ้าล้วนมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้พวกเราเทพเซียนมิเคยก้าวก่าย แต่มิได้หมายความว่ามิอาจผลักดัน ฉะนั้นแม้ว่าข้าจะไม่ใช้อิทธิฤทธิ์ แต่ก็จะไม่นิ่งดูดายเช่นกัน”

           บังเกิดเป็นทำนองเพลงชวนน่าฟังออกจากริมฝีปากบาง อีกาสีดำตัวหนึ่งบินถลาร่อนลงมาจากผืนฟ้าที่เริ่มมืดสลัว มันบินวนรอบสระน้ำยังผลให้คนทั้งหลายชี้นิ้วไปที่มัน จวบจนสายตาของมันสะดุดลงที่หนึ่ง มันก็พุ่งตัวโฉบเฉี่ยวพลางใช้จะงอยปากที่แหลมคมคว้าจอกสุราที่สลักคำว่าเซียวขึ้นฟ้าไป สุราพลันถูกเทลงบนน้ำก่อนที่ตัวมันจะบินลับกลืนหายไปกับราตรีสีมืด เบ็ดเสร็จใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเค่อ*

           “ทีนี้เจ้าก็ไม่ต้องโต้กลอนให้ลำบากใจแล้ว” พูดจบต้าเซียนก็หมุนตัวกลับไปยังศาลาที่ไป๋เซ่อและถิงถิงนั่งกินกันอย่างไม่มีหยุดพัก ทิ้งไว้ให้คนหนุ่มทั้งสองมองหน้ากันอย่างตะลึง

           อีกด้านหนึ่งกลับมีนางกำนัลวิ่งหน้าตาแตกตื่นไปยังศาลาอีกหลัง หย่าเหลียนที่กำลังดื่มชาฟังข่าวแล้วก็ถึงกับชะงักมือ ก่อนเผลอสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่จ้องนางเป็นครั้งที่สอง ทว่าครั้งนี้นางมิได้ยิ้มอีกแล้ว

           ต้าเซียนส่งยิ้มบางให้นางเสร็จก็หันมาสู้รบกับของหวานบนโต๊ะต่อ ฉับพลันนั้นถิงถิงที่ดูไม่ค่อยชอบยุ่งเกี่ยวกับใครนักก็เอ่ยปากขึ้น

           “ข้าเกลียดนาง”

           “ข้าก็ไม่ชอบนาง” ไป๋เซ่อที่เคี้ยวขนมแก้มตุ่ยเองก็กล่าวเสริม

           ต้าเซียนรับฟังอย่างฉงนสงสัย “เป็นเพราะเหตุใดกัน”

           “ดวงตาของนางมีแต่ความชิงชัง แม้ในยามยิ้ม” กล่าวจบถิงถิงก็กำขนมเต็มสองมือก่อนวิ่งไปยื่นให้กับชายหนุ่มทั้งสองที่ยังคงยืนอยู่ริมสระ ทำให้ไป๋เซ่อต้องชะเง้อคอมองตามอย่างซึมเซา

           “ดวงตาที่ชิงชังอย่างนั้นหรือ” ต้าเซียนพึมพำ นึกถึงยามที่องค์หญิงหย่าเหลียนส่งยิ้มให้

           หลังจากนั้นการโต้กลอนก็ผ่านพ้นไปอย่างสนุกสนานระคนหวานชื่น บัณฑิตทั้งหลายต่างโต้กลอนเกี้ยวพาราสีหยอกเอินธิดาขุนนางใหญ่ ทว่าเป็นที่น่าเสียดายยิ่ง เมื่อคู่ที่ถูกจับตามองกลับไม่มีแม้แต่การพูดจาปราศรัย องค์หญิงหย่าเหลียนเองเมื่อไม่ได้คู่ตามที่ต้องการก็ให้คนแจ้งว่านางเจ็บพระศอไม่สะดวกแก่การขับกลอนนัก
 

******************************************


           กระทั่งงานดำเนินไปจนถึงช่วงสุดท้าย เหล่านางกำนัลก็ทำการจับไม้สั้นไม้ยาวพร้อมแจ้งรายชื่อดอกไม้แก่ผู้ร่วมงาน จากนั้นก็มีขันทีออกมาอธิบายรายละเอียด โดยคนในงานต้องออกตามหาดอกไม้ที่ได้แจ้งไว้ ซึ่งหลังจากนั้นฝ่ายชายสามารถนำไปประดับที่ศีรษะสตรีที่หมายตา ส่วนฝ่ายหญิงก็สามารถปฏิเสธหรือมอบดอกไม้ของตนเป็นการตอบแทน

           นี่ดูก็รู้แล้วว่างานนี้จัดขึ้นเพื่อหาคู่ ดวงตาหลายคู่พลันเปล่งประกายวูบวาบ ครั้นมีเสียงฆ้องลั่นขึ้นก็บังเกิดเป็นความชุลมุนผู้คนต่างพร้อมใจแยกย้ายไปคนละทิศละทาง ผิดกับเซียวถิงฟงที่กลับฉวยโอกาสคว้าข้อมือเล็กแล้วเบี่ยงกายเข้าใกล้ร่างน้อยอย่างกะทันหัน

           “ต้าเซียน หากพบดอกไม้ของเจ้าแล้วให้รอข้าที่ศาลาริมน้ำทางฝั่งตะวันออก อย่าได้รับดอกไม้จากใคร” เขากระซิบบอกอย่างรวดเร็ว

           น้ำเสียงที่ทรงพลังดังกังวานอยู่ที่ริมหู ต้าเซียนเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นสู่ใบหน้า จู่ๆก็รู้สึกวางตัวไม่ถูกขึ้นมา
เห็นร่างน้อยเงียบเชียบไปซ้ำยังหลุบตาหนีหน้า เซียวถิงฟงก็กล่าวขึ้น “เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายรึ”

           “ข้า...” จู่ๆต้าเซียนก็ยกมือขึ้นปิดใบหน้า “ข้า ข้าคงไม่สบายจริงๆ เหตุใดใบหน้าข้าร้อนผ่าว”

           “ไหนขอดูซิ” มือใหญ่พยายามรั้งมือน้อยออก แต่ต้าเซียนกลับขืนมือไว้ซ้ำยังบ่ายเบี่ยง แต่แรงแค่นี้ไหนเลยจะสู้แรงเขาได้

           ในที่สุดดวงตาดำขลับก็สามารถจับจ้องใบหน้าน้อยได้อย่างเต็มตา แก้มนวลปรากฏสีแดงซ่านดั่งสีกุหลาบ ดวงตาไร้เดียงสากะพริบน้อยๆ เซียวถิงฟงเริ่มเอะใจกับอากัปกิริยานี้ รอยยิ้มกว้างผุดขึ้น ใบหน้าค่อยๆเคลื่อนเข้าใกล้อย่างประชิด

           ด้านต้าเซียนกลับรู้สึกเหมือนเวลาหยุดหมุน เสียงในอกดังขึ้นเป็นจังหวะๆ ดังจนสมองไม่รับรู้อันใด สองตาได้แต่หลับลงปี๋ ฉับพลันก็รู้สึกได้ถึงริมฝีปากที่แนบลงหน้าผาก เป็นเหตุให้ต้องงงงันเลื่อนลอยไปขณะหนึ่ง

           “ข้าไปก่อนนะ” ร่างสูงพูดจบก็ลูบศีรษะคนตะลึงงันอย่างอ่อนโยน ทั้งยังมิลืมส่งรอยยิ้มทะเล้นให้
           
           ต้าเซียนได้แต่ยืนกุมหน้าผาก มองคนที่ยิ้มร่าจากไป รอยยิ้มของชายหนุ่มคล้ายทำให้ในอกของเขาอบอุ่นอย่างน่าประหลาด “เจ้าทำกระไรกับข้ากันแน่” เขาไม่เข้าใจเซียวถิงฟง แต่ที่ยิ่งกว่าคือ ไม่เข้าใจตนเอง

           หลังจากที่เดินหาอยู่สักพัก ร่างน้อยก็พบสวนดอกกล้วยไม้ที่ตนตามหา เขายื่นมือไปสัมผัสมันอย่างเบามือ “ข้าไม่เด็ดเจ้าหรอก” กล่าวจบก็แบมือออก แววตาสีทองปรากฏเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่นานนักบนฝ่ามือก็ปรากฏดอกกล้วยไม้หนึ่งดอก ต้าเซียนยิ้มหมุนดอกไม้ในมือเล่น แต่แล้วขณะที่ฝีเท้ากำลังมุ่งไปทางฝั่งตะวันออก ภาพๆหนึ่งเผยขึ้นในสมองคล้ายเป็นดั่งนิมิต

           ผ้าแพรสีแดงเข้มพริ้วไหวไปตามกระแสลม บุรุษผู้หนึ่งยืนหันหลังไว้ ฉับพลันนั้นกลับมีเล็บยาวสีแดงดั่งโลหิตพุ่งตรงไปยังชายผู้นั้น ชายที่เขาคุ้นตายิ่ง

           “ถิงฟง” เขาสะดุ้งตัวตกใจ ทั้งไม่รอช้าทะยานตัวลัดเลาะไปตามต้นไม้ใหญ่ ออกตัวไปได้ไม่ไกลก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นสาบที่เหม็นคละคลุ้ง ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลรบกวนในจิตใจ แม้จะหยั่งสัมผัสของเซียวถิงฟงแค่ไหนก็มิได้มีอะไรผิดแผกแปลกไปแม้แต่น้อย แต่กระนั้นต้าเซียนกลับยังคงติดตามหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

           “ท่านมหาเทพ” เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นจากทางด้านหลัง

           เขาหยุดกายหันไปมอง “ไป๋เซ่อ เจ้าก็รู้สึกถึงใช่รึไม่”

           “นี่เป็นกลิ่นสาบของจิ้งจอกไม่ผิดแน่ แต่ข้าคิดว่าคงมีฤทธิ์เดชเพียงน้อยนิด”

           “ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น” ต้าเซียนกล่าวแล้วลอยตัวต่อไป

           แต่ไป๋เซ่อฟังแล้วถึงกับวิตก หากแม้กระทั่งท่านมหาเทพรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เรื่องนี้ก็คงไม่ธรรมดาเสียแล้ว เพราะไม่ว่าจะนิมิต หรือญาณของท่านมหาเทพนั้นกล่าวได้ว่า แม่นยำเสมอมา


******************************************

 :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
ลุ้นๆ ถิงฟงเป็นพระเอกที่ซวยจริง อะไรจริง แลดูจะโดนทำร้าย

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 14.1 ความในใจที่ซ่อนเร้น


           สายลมเอื่อยพัดพาให้ต้นเหมยสั่นไหว มือแกร่งเอื้อมปลิดกิ่งไม้เล็ก ดอกเหมยที่ติดมานั้นเบ่งบานสะพรั่ง ดูเปล่งปลั่งราวกับพวงแก้มใส แต่จะอย่างไรก็เห็นทีจะมีแต่ดอกบัว ที่เหมาะสมกับเจ้าตัวมากที่สุด...ดอกบัวที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา

           เซียวถิงฟงยิ้มกว้างมองดอกเหมยในมือ หากมิใช่เพราะรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องขณะนั้น เขาคงครอบครองริมฝีปากบางนั้นไปแล้ว นึกถึงเพลานั้นแล้วใบหน้าก็ร้อนวูบวาบ กระทั่งเสียงของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้น

           “ท่านรองแม่ทัพ ท่านจะมอบมันให้ข้าได้หรือไม่”

           เขาได้สติหันขวับไปที่ด้านหลังทันที ที่เบื้องหน้าเป็นสตรีชุดแดงสด ดวงตาเย้ายวนน่าหลงใหล ริมฝีปากแดงราวกับลูกพลัม ขับดันเสน่ห์ที่ชวนดูลึกลับ ดูว่านางเห็นเขาไม่ตอบก็ส่งยิ้มพลางชี้นิ้วที่อกของตน

           เซียวถิงฟงงงงันไปวูบหนึ่งก่อนฉุกคิดถึงดอกเหมยในมือ “อา ต้องขออภัย ข้ามิอาจมอบมันให้แก่แม่นางได้”

           “ท่านมีคนที่ตั้งใจจะมอบให้?”

           “เป็นเช่นนั้น” เขาระบายยิ้ม “แม้ข้ามิอาจมอบให้ได้ ก็เกรงว่าบุรุษในงานต่างกำลังเข้าคิวรอมอบดอกไม้ให้สตรีงดงามเช่นแม่นางกระมัง”

           สตรีในชุดแดงฟังแล้วก็ยกมือขึ้นป้องริมฝีปาก เปล่งเสียงหัวเราะขึ้น “ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งท่านจะมอบมันให้ข้า”

           “หือ” เซียวถิงฟงอุทานอย่างสงสัย แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงดังขัดขึ้นเป็นครั้งที่สอง ครั้นเหลียวมองกลับไปก็พบคนที่จ้ำอ้าวเข้ามาด้วยทีแตกตื่น

           “พี่ถิงฟง นางเป็นใคร” สีหน้าขององค์หญิงหย่าเหลียนขาวซีด แววตาตกตะลึง นางคล้ายเคยเห็นสตรีในชุดแดงเช่นนี้มาก่อน เพียงแต่มิมั่นใจว่าสตรีดังกล่าวมีตัวตนเพียงแค่ในฝันหรือมีอยู่ในโลกแห่งความจริงกันแน่

           “หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบ” หันกลับไปอีกทีสตรีในชุดแดงก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เซียวถิงฟงขมวดคิ้ว ทั้งที่นางนับว่าโดดเด่นสะดุดตา แต่กระนั้นตนกลับมิได้สังเกตเห็นนางในงานแม้แต่น้อย “ว่าแต่องค์หญิง ท่านไม่สบายมิใช่รึ เหตุใดจึงได้ออกมาเพ่นพ่านตากลมเช่นนี้” เขาถอดเสื้อคลุมสีเขียวเข้มบนตัวออกคลุมให้แก่นาง

           หย่าเหลียนสะดุ้งตัวเล็กน้อยแล้วมองหน้าชายหนุ่มอย่างลึกซึ้ง ความปลอดโปร่งวางใจแล่นเข้าอยู่ในอก ใบหน้าที่ขาวซีดพลันมีเลือดฝาดอีกครั้ง “ขอบคุณพี่ถิงฟง”
   
           “แล้วทรงเสด็จมาที่นี่ได้อย่างไร”

           “เอ่อ ข้าเดินลัดเลาะมาจากทางด้านโน้น” นางแสร้งกล่าวเสียงเรียบ ความจริงแล้วเป็นขันทีที่ตระกูลเซิงวางตัวไว้ตระเตรียมทุกอย่างไว้แต่แรกแล้ว เพียงรอให้นางเดินหน้ามอบดอกโบตั๋นในมือนี้ให้ชายหนุ่มเท่านั้น

           มาตรว่าแผนลอยจอกสุราจะเกิดผิดพลาด แต่การเสาะหาบุปผาในครั้งนี้จะต้องสำเร็จ นี่นับเป็นโอกาสสุดท้าย นางมิอาจผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง “พี่ถิงฟง เหตุใดท่านจึงไม่เรียกข้าว่าหย่าเหลียนเล่า”

           “.......”

           เห็นร่างสูงนิ่งเงียบสีหน้าลำบากใจ นางก็กุมมือเขาไว้พลางอ้อนวอน “เมื่อก่อนท่านชอบเรียกข้าเช่นนี้มิใช่หรือ”

           “แต่ตอนนี้ไม่เหมือนก่อน”

           “ไม่เหมือนก่อน ท่านหมายความว่าอย่างไร” นางหลุบตาลงอย่างน้อยใจ เหตุใดเขาถึงได้มีท่าทีห่างเหินกับนางเช่นนี้
   
           นิ่งเงียบอยู่นาน เซียวถิงฟงที่ทนเห็นม่านน้ำตาของคนตรงหน้ามิได้ ก็ตัดสินใจเอ่ยเบาๆ “ก็ได้ๆ หย่าเหลียน”
   
           “พี่ถิงฟง” นางร้องเรียกอย่างดีใจ น้ำตาหยดหนึ่งพลันหลั่งไหล

           เซียวถิงฟงยิ้มน้อยๆกล่าว “เด็กน้อยจะร้องไห้ทำไมกัน”

           สิ้นเสียงอบอุ่นหย่าเหลียนก็โผกอดร่างสูงไว้ นางตื้นตันใจจนมิอาจบรรยายออกมาได้ ในใจของเขานั้นมีนางอยู่ “พี่ถิงฟง ข้ายินดีกระทำทุกอย่างตามที่ท่านต้องการ ได้โปรดมอบดอกไม้ให้ข้าเถอะ”

           กิ่งดอกเหมยในมือพลันร่วงตกลงพื้น เซียวถิงฟงฟังแล้วก็ต้องกระอักกระอ่วน มิรู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ครั้งหนึ่งนางเป็นสตรีที่เขาเคยคิดทุ่มเทความรักให้ แต่ด้วยเรื่องราวซับซ้อนทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
   
           ย้อนกลับไปสิบกว่าปีก่อน ตระกูลเซิงและตระกูลเมิ่งต่างชิงดีชิงเด่นกันในราชสำนักกันอย่างเปิดเผย ด้านตระกูลเซียวกลับมิเข้าข้างฝ่ายใด ด้วยถือเป็นคนของฝ่าบาทโดยตรง จึงคอยทำหน้าที่ถ่วงดุลอำนาจมาตลอด แต่แล้วสงครามระหว่างทั้งสองตระกูลกลับยิ่งรุนแรงขึ้น ตระกูลเซิงและตระกูลเมิ่งต่างส่งบุตรีเข้าถวายตัวรับใช้องค์ฮ่องเต้ ซึ่งในภายหลังพระสนมเมิ่งกลับได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมารดาของแผ่นดิน นอกจากนี้นางยังให้กำเนิดพระโอรสที่เฉลียวฉลาด บุตรของนางจึงกลายเป็นรัชทายาทตั้งแต่วัยเยาว์ อำนาจของตระกูลเมิ่งจึงยิ่งนานยิ่งแข็งแกร่ง

           ทว่าเรื่องราวกับพลิกผัน องค์ฮองเฮาเมิ่งถูกลอบปลงพระชนม์ พระสนมเซิงขึ้นนั่งตำแหน่งแทนที่ ตระกูลเซิงกลับมาผงาดอีกครั้ง ทั้งยังทำทุกวิถีทางเพื่อขุดรากถอนโคลนตระกูลเมิ่ง อันเปรียบเสมือนขุมอำนาจขององค์รัชทายาทให้หมดไป คนในตำแหน่งสำคัญไม่ถูกลดขั้นก็ถูกโยกย้าย ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้แม้ตระกูลเซียวจะมิได้ก้าวก่าย แต่กับเซียวถิงฟงกลับเป็นข้อยกเว้น
   
           เซียวถิงฟงเติบโตมากับองค์รัชทายาท ได้รับรู้เข้าใจแลเห็นอะไรหลายอย่าง องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ในวัยเด็กมักทำอะไรเกินตัว ซ้ำยังวางพระองค์อยู่ในกรอบเสมอ แต่จะมีเพียงเวลาที่อยู่กับตนเท่านั้นที่ยอมผ่อนคลายพระองค์ ซึ่งทำให้เขาทั้งชื่นชมและเข้าใจในตัวซวนหยวนหมิงไท่มากกว่าใคร ใจเขาจึงเอนเอียงช่วยเหลือพระองค์อย่างเต็มที่

           ด้านองค์หญิงหย่าเหลียน เขาเองก็รู้ดีว่านางเติบโตขึ้นมาเช่นใด ตระกูลเซิงมิได้ให้ความสำคัญกับนาง นอกเหนือไปจากการหมากสำคัญตัวหนึ่งของคนในตระกูล นางเป็นได้เพียงนกน้อยที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ในกรงขังที่เรียกว่าวังหลวง

           มาตรว่าคนทั้งสองต่างเป็นคนความสำคัญ หากแต่สิ่งที่เขาสามารถทำให้กับองค์รัชทายาทได้ คือเป็นดั่งมือซ้ายขวาที่คอยช่วงชิงอำนาจให้แก่พระองค์ แต่สำหรับองค์หญิงหย่าเหลียน เขาทำได้เพียงดูแลนางอย่างห่างๆ มิสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ ซึ่งข้อเปรียบเทียบเหล่านี้ทำให้เขาประจักษ์ เขามิได้รักหย่าเหลียนอย่างแท้จริง เขามองนางดั่งน้องสาว มิได้มองนางเช่นบุรุษมองสตรี  และยิ่งเมื่อเขาได้พบต้าเซียน ก็ยิ่งทำให้เขาตระหนักถึงความจริงข้อนี้ เขาได้หลงรักคนซื่อบื้อเข้าเสียแล้ว

           ฝ่ามือค่อยๆขยับ คิดจะดึงมือที่โอบเอวไว้ออก แต่แล้วเซียวถิงฟงชะงัก เขามิอาจตอบรับ แต่ก็มิอาจทอดทิ้งนางอย่างเย็นชาได้เช่นกัน เกิดเป็นความละล้าละหลังขึ้นในใจ ไม่รู้ว่าสมควรจะแกะมือนางออกดีรึไม่

           พอดีกับที่เสียงกิ่งไม้ไหว ฝีเท้าบางเบาเสมือนล่องลอยเป็นเอกลักษณ์เคลื่อนเข้าใกล้ เซียวถิงฟงพร่ำบอกในใจ ขอให้ครั้งนี้ตนหูฝาดไป ขอเพียงครั้งนี้เท่านั้น ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เผอิญสบเข้าที่ดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อน ซึ่งกำลังทอดมองลงมาจากต้นไม้ใหญ่
   
           “ต้าเซียน” เซียวถิงฟงอุทานขึ้นอย่างตกใจ ยังผลให้องค์หญิงหย่าเหลียนเงยหน้าขึ้นมองตาม จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มให้แก่ผู้มาใหม่

           ต้าเซียนเห็นคนทั้งสองกอดกันแนบแน่นก็พลันรู้สึกไม่พอใจอย่างไรบอกไม่ถูก จึงคิดรีบไปเสียให้พ้นๆ ถึงอย่างไรคนก็มิได้เป็นอันตรายอย่างที่คิด

           “ทางทิศตะวันออก ท่านมหาเทพ อ้ะ เจ้าคนแซ่เซียวทำไมถึง”

           “ไป” ต้าเซียนตวาดห้วนพร้อมทะยานตัวออกไป ไป๋เซ่อที่ตามมางงงันอยู่บ้าง ครั้นได้สติก็รีบติดตามท่านมหาเทพไป แต่ก็มิวายหันกลับไปมองคนทั้งสอง

           “เดี๋ยว” ทั้งที่เมื่อครู่แววตายังเปี่ยมไปด้วยความรัก หากแต่ตอนนี้กลับเย็นชา มิทันได้อธิบายร่างในชุดสีเหลืองนวลก็ทะยานตัวหายลับไป ดูไปร่างน้อยคล้ายดวงจันทร์บนฟากฟ้า ทำได้เพียงมอแต่มิอาจจับต้องได้ เสมือนอยู่ใกล้แต่ความจริงห่างไกล...แต่เขาจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้หรือ

           ไม่ สำหรับข้าแล้วต้องเป็นเจ้า ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น ต้าเซียน

           หัวใจพลันร่ำร้องบอก ครานี้เซียวถิงฟงลดแขนที่เกาะกุมลงพร้อมกล่าวอย่างไม่ลังเลแล้ว “หย่าเหลียน สำหรับข้าแล้วเจ้าเปรียบเสมือนน้องสาวข้ามาตลอด ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

           “ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” องค์หญิงหย่าเหลียนทวนคำ สองมือนางว่างเปล่า ฝีเท้าถึงกับซวนเซถอยไปก้าวหนึ่ง “ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหม” ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาทอกว้างอย่างไม่รับความจริง

           “........” เซียวถิงฟงไม่กล่าววาจาเพียงหลุบตาลงแล้วผละตัวจากไปเป็นคำตอบ

           กระทั่งเสียงฝีเท้าหายลับไปก็หลงเหลือเพียงหญิงสาวที่นั่งกอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ไว้แน่น น้ำตาหลั่งไหลออกมาเงียบๆ ไออุ่นจากเจ้าของเสื้อหายไปแล้ว คนก็เช่นกัน สุดท้ายนางก็ทำได้แค่จ้องมองกิ่งดอกเหมยสีแดงที่ตกอยู่ข้างกายอย่างเนิ่นนาน


************************************************


           “ต้าเซียน”

           คล้ายได้ยินเสียงเพรียกรุ่มร้อนร้องหา ต้าเซียนพลันหยุดกายลงที่ยอดไม้สูง ความรู้สึกกระวนกระวายอัดแน่นเต็มอยู่ในอก มันมิใช่ความรู้สึกของเขา เขารู้ดี แต่บุรุษกอดสตรีเช่นนี้ยังจะมีเรื่องทุกข์ใจอันใด คิดแล้วคิ้วขมวดเป็นปมอย่างไม่รู้ตัว

           “ท่านมหาเทพ กลิ่นสาปจิ้งจอกถูกแยกออกเป็นสองฝั่ง”

           “ข้าจะไปทางนี้” ต้าเซียนกล่าว

           หลังจากที่แยกกับไป๋เซ่อแล้ว ร่างน้อยก็ตัดสินใจลอยตัวลงสู่พื้นดิน ทว่าเดินวนเวียนหาร่องรอยของปีศาจอยู่นานก็ได้ข้อสรุป ทางนี้เป็นกลลวง ขณะที่ชักเท้าเตรียมรุดกลับไปยังอีกด้านหนึ่ง ต้าเซียนก็ต้องผงะตัวเมื่อคนผู้หนึ่งปรากฏกายเบื้องหน้าเขาอย่างเงียบเชียบ

           “แม่นาง พวกเราพบกันอีกแล้ว ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นพรหมลิขิต” ซุนจื่อหานฉีกยิ้มกว้าง
   
           “พรหมลิขิต” ต้าเซียนฟังแล้วก็ยกยิ้มแหยแฝงแววประชดน้อยๆ ก้อนหินอย่างข้าจะมีพรหมลิขิตเฉกเช่นมนุษย์ได้กระไรกัน

           ซุนจื่อหานเห็นอีกฝ่ายยิ้มแล้วจึงรุกต่อ “ถ้าอย่างไร ข้าขอเรียนถามนามอันสูงส่งของแม่นาง”

           “ต้าเซียน” ต้าเซียนตอบห้วนแต่ดูว่าอีกฝ่ายมีแววฉงน

           “นามของแม่นางฟังดูแปลกยิ่ง แต่คนโดดเด่นนามย่อมต้องโดดเด่นด้วยเช่นกัน” ซุนจื่อหานมิวายหยอดคำหวาน เห็นต้าเซียนกะพริบตาปริบๆก็พล่ามต่อ “นี่เป็นเชียนรื่อหง*ที่ข้าหาเสาะหามาได้ ดูไปช่างเหมาะกับแม่นางยิ่งนัก โปรดรับไว้ด้วย” กล่าวจบก็ถือโอกาสจัดแจงปักดอกไม้ที่ผมสลวย

           ก้านดอกไม้ถูกปักไปเสียครึ่งหนึ่ง แต่ต้าเซียนยังคงงงงันตามมิทัน ครั้นรู้ตัวว่าพลาดท่า ฉับพลันนั้นร่างก็ถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง ก่อนถูกยกถอยออกไปอย่างสบายๆ เชียนรื่อหงที่กำลังถูกประดับจึงมีอันร่วงหล่นตกพื้นในที่สุด

           ซุนจื่อหานมองดอกไม้ที่ตกพื้นด้วยแววตามิอยากเชื่อ เห็นๆกันอยู่ว่าชิ้นเนื้อกำลังจะเข้าปาก แต่แล้วกลับหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา จึงพลันเปล่งน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “บังอาจ กล้าแย่งกับบิดาหรือ”

           ผู้มาใหม่ถึงกับถลึงตาใส่อย่างโหดเหี้ยม ซุนจื่อหานไล่มองบุรุษร่างสูงใหญ่ที่สวมอาภรณ์หรูหรา จนสบเข้าที่ป้ายหยกที่สลักไว้ด้วยคำว่าเซิง สองขาก็ถึงกับอ่อนยวบก้มลงโขกหัวคำนับกับพื้นทันที

           “หม่อมฉันล่วงเกินองค์ชาย ได้โปรดทรงอภัยให้กระหม่อมด้วย” ซุนจื่อหานเหงื่อแตกพลั่ก ทั้งลุกลี้ลุกลนก้มคำนับสุดตัว

           “รีบไปให้พ้นจากสายตาข้าเดี๋ยวนี้” เขาเค้นเสียงกล่าวช้าๆ
ต้าเซียนที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว ด้านซุนจื่อหานก็เผ่นแนบไปทันทีโดยมิคิดจะหันกลับไปมอง

           “องค์ชาย องค์ชายอะไรกัน เฟยหลง” ร่างน้อยถามพลางดิ้นตัวในอ้อมแขนแกร่ง
   
           เฟยหลงไม่ตอบคำทั้งยังไม่ปละปล่อยร่างเล็ก เขาก้มหน้าซุกไซ้เรือนผมนุ่ม กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกบัวทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ยิ่งเสียงหัวใจที่เต้นเบาๆนั้น ก็ทำให้เขามิอยากปล่อยมือไปอีกตลอดกาล
“ต้าเซียน”

           นามถูกกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ต้าเซียนถึงกับหยุดดิ้น รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว นิ่งเงียบสักพักก็ตัดสินใจเอ่ยตอบ “เฟยหลง”
 
           “อืม” เฟยหลงไม่เสียใจที่ได้เลือกเข้าสู่ทางมาร เพราะหากตนยังเป็นแม่ทัพเกราะทองแห่งพิภพสวรรค์ ก็จะไม่มีวันได้แตะต้องท่านมหาเทพแม้แต่เพียงเส้นผม แต่หากเป็นจอมมารผู้นำเหล่ามวลปีศาจ เขากลับมีสิทธิ์ครอบครองอีกฝ่ายไว้ แม้ต้องถูกเหล่าเทพเซียนตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ เขาก็หาใส่ใจไม่

           “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน”

           “ข้าบอกท่านแล้ว ข้าจะคอยอยู่ใกล้ๆท่าน” เฟยหลงตอบโดยไม่คลายอ้อมกอดลงทุกชั่วขณะ

           “แล้วมนุษย์ที่เจ้าสวมรอยเล่าอยู่ที่ใด”

           “ท่านฟื้นพลังได้บ้างรึไม่”
   
           “เขาเป็นอย่างไร” ต้าเซียนถามขึ้นเสียงจริงจัง

           “ตัวท่านในชุดสตรีนี่ ออกจะตัวเล็กกว่าเดิมนะ” เฟยหลงหัวเราะน้อยๆ ด้วยมิได้เห็นท่านมหาเทพในชุดแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าจะอยู่ในร่างไหน ท่านมหาเทพก็คือท่านมหาเทพที่ตนรักอยู่ดี

           “เฟยหลง” ต้าเซียนถลึงตาใส่ ด้วยรู้สึกราวกับโดนปั่นหัว 

           “มิต้องเป็นห่วง ดวงจิตเขายังอยู่ดี” ครานี้เขายอมตอบแต่โดยดี ทว่าท่านมหาเทพกลับบังคับดึงมือเขาออก จากนั้นประจันหน้าถามอย่างไม่เข้าใจเจตนา

           “ทำไมจึงทำเช่นนี้ เขามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แม้แต่น้อย”
   
           เห็นคิ้วที่ขมวดน้อย เฟยหลงก็อมยิ้ม “ข้าบอกท่านแล้ว ข้าจะคอยอยู่ใกล้ๆท่าน”

           ท่าทีดังกล่าวกับทำให้ต้าเซียนบังเกิดความสับสน ทั้งยังเกิดคำถามขึ้นในใจ เฟยหลงเริ่มมองเขาด้วยสายตาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มือน้อยเผลอยกขึ้นสัมผัสที่เปลือกตาคนตรงหน้าอย่างเบามือ

           ดวงตาดั่งพญาอินทรีหลับลงรับสัมผัสอย่างว่าง่าย แต่ในจังหวะที่มือเรียวลดลงกลับฉวยกุมไว้มาแนบที่แก้มตน จากนั้นจึงประทับริมฝีปากลงบนมือนั้น

           สัมผัสอุ่นร้อนทำให้ต้าเซียนชักมือออกอย่างตกใจ ชั่วขณะนั้นกลับทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่เสมองดอกเชียนรื่อหงที่ตกอยู่ไม่ไกล มิกล้าสบตาอีกฝ่ายอีก

           เฟยหลงเห็นท่าทีดังกล่าวก็ต้องลอบยิ้ม “ท่านอย่ามัวชื่นชมแต่เชียนรื่อหง ดอกไม้นี้ก็งามไม่แพ้เช่นกัน” กล่าวจบดอกบัวบานสีขาวอมชมพูดอกหนึ่งก็ยื่นส่งให้

           ต้าเซียนละล้าละลังที่จะรับ แต่พอนึกถึงภาพคนสองคนที่กอดกันแล้วก็รับมาในที่สุด ทว่าเสมือนฟ้าเล่นตลกจึงได้ส่งชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งให้เข้ามาปรากฏตัวระหว่างนี้เข้า
   
           เซียวถิงฟงติดตามมาถึงสวนดอกเชียนรื่อหงก็เห็นชุดสีเหลืองนวลอยู่ไกลๆ เขารีบจ้ำอ้าวอย่างไม่หยุดหย่อน แต่แล้วก็ต้องชะงักหยุดนิ่งเพราะในมือน้อยถือไว้ด้วยดอกไม้แล้ว

           หากสายตาเขาแผดเผาได้ คงเผาดอกบัวที่อยู่ในมือต้าเซียนให้เป็นจุณไปนานแล้ว ดวงตาพยัคฆ์ตวัดขึ้นมองแวบหนึ่งก็เห็นต้าเซียนหลุบตาลง ครั้นคิดจะไล่เบี้ยกับคนอีกผู้หนึ่งก็ถึงกับต้องตกใจ

           “จอมมารเฟยหลง” เสียงกัดฟันเล็ดลอดจากริมฝีปาก สองมือกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว ทว่าเจ้าของนามกลับแค่นหัวเราะขึ้น ส่งผลให้เขายิ่งรู้สึกเดือดดาลในใจ

           “ข้าต้องไปแล้ว ต้าเซียน” เฟยหลงตั้งใจก้มลงกระซิบใกล้ๆริมใบหูร่างเล็ก แต่สายตายังคงจ้องเซียวถิงฟงพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ซ้ำตอนท้ายยังจงใจใช้น้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำเรียกชื่อด้วยความสนิทสนม

           “เจ้าไม่มีวันได้เขาไปอย่างแน่นอน” เกิดเป็นเสียงกระซิบดังขึ้นในสมอง เซียวถิงฟงถึงกับเบิกตาโพลงเสียการควบคุมในทันที

           “เจ้า” เขากู่ร้องถลาตัวเข้าหาจอมมารเฟยหลง ทว่าเมื่อถึงตัวอีกฝ่าย ร่างของจอมมารเฟยก็กลับสลายเฉกเช่นหมอกควัน เขากัดฟันยืนมองอย่างเจ็บแค้น

           “ถิงฟง”

           เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นอีกครั้ง เซียวถิงฟงเหลียวมองแล้วจึงพบว่าต้าเซียนกำลังจับชายเสื้อเขาไว้แน่น ในกำมือข้างหนึ่งยังคงถือดอกบัวไว้อย่างทะนุถนอม

           เมื่อเห็นว่าร่างสูงจ้องดอกบัวในมือ ต้าเซียนก็พลันปล่อยมือออกจากชายเสื้อยาว ฟังเสียงอดกลั้นสูดลมหายใจของชายหนุ่มที่ดังขึ้นช้าๆ

           “ทำไมถึงรับดอกไม้” ทั้งๆที่ข้าตัดสินใจจะบอกความรู้สึกแก่เจ้า

           ต้าเซียนฟังแล้วก็เงยหน้าขึ้นสบตา “เป็นเพราะเจ้ามอบดอกไม้ให้คนอื่น ข้าก็เลย...” พูดถึงตรงนี้ก็ต้องก้มหน้าหลุบตาลง ทำไมจึงเจ็บที่หน้าอก เป็นเพราะอะไรกัน

           “.......” เลยรับดอกไม้มาอย่างนั้นรึ เซียวถิงฟงถอนใจช้าๆพลันกล่าว “ไม่ได้ให้”

           “หือ” ต้าเซียนเผลอเงยหน้าขึ้นอย่างงงัน

           “ข้าไม่ได้ให้ใครทั้งนั้น”

           ครานี้คล้ายอาการเจ็บในอกบรรเทาลงอย่างน่าประหลาด ต้าเซียนกุมหน้าอกตนเองอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
   
           “เรากลับไปที่งานกันเถอะ” เซียวถิงฟงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักใจ อาจเป็นเพราะสายตาคู่นั้น สายตาที่จอมมารเฟยหลงใช้มองต้าเซียน มันแฝงไว้ด้วยความรักลึกซึ้งจนทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจ
   
           “.......” เห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ต้าเซียนก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก ระหว่างพวกเขาทั้งสองคล้ายมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นอยู่ ตลอดทางจึงมีแต่ความเงียบงันไร้ซึ่งคำพูดจาใดๆ


******************************************

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 14.2 ความในใจที่ซ่อนเร้น


           ครั้นกลับถึงลานกว้าง คนในงานต่างก็มารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าแล้ว คุณหนูส่วนใหญ่ต่างประดับดอกไม้ไว้บนศีรษะ ทว่าบัณฑิตจิ้นซื่อบางคนกลับยืนคอตกมองดอกไม้ที่ถูกปฏิเสธ พอคนทั้งสองเดินผ่านบรรยากาศที่เคยจอแจก็เปลี่ยนเป็นเงียบกริบลงในชั่วอึดใจ
   
           “ท่านรองแม่ทัพเซียว พวกเรามีเรื่องต้องถามท่าน” เป็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้ทำหน้าที่ดูแลท้องพระคลังกล่าว

           “ใต้เท้าเซิงเส้าอู่ เชิญถาม” เซียวถิงฟงตอบรับ   

           “ท่านได้มอบกิ่งเหมยให้แก่องค์หญิงหย่าเหลียนใช่รึไม่” ใต้เท้าเซิงเส้าอู่กล่าวคาดคั้น
   
           เซียวถิงฟงฟังแล้วก็ต้องนิ่งอึ้งก่อนตวัดสายตาไปยังศาลาด้านหน้า สตรีที่นั่งอยู่ด้านในกลับมีเรือนผมที่ประดับไว้ด้วยดอกเหมยสีแดงโดดเด่น “ข้า...”
   
           “ท่านจะว่าอย่างไร นี่เกี่ยวพันถึงพระเกียรติขององค์หญิง มิใช่เรื่องล้อเล่นนะท่าน”
ครานี้สายตาของเซียวถิงฟงกลับย้ายไปที่คนอีกผู้หนึ่งที่ถูกขุนนางผู้ใหญ่นั่งประกบอยู่กลางศาลา องค์รัชทายาทเพียงสบตาเขาชั่วครู่ก็กะพริบตาช้าๆด้วยสีหน้านิ่งเรียบให้คราหนึ่ง
   
           “ท่านรองแม่ทัพได้โปรดให้ความกระจ่างด้วย”

           ใต้เท้าเซิงเส้าอู่เร่งเร้า เซียวถิงฟงจึงหันไปมององค์หญิงหย่าเหลียนที่หลุบตาลงต่ำอย่างรู้สึกผิดอีกครั้ง “ข้าไม่มีอะไรจะกล่าว” คิดกล่าวแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว รังแต่จะทำให้เรื่องราวยุ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม

           ทว่าคำตอบดังกล่าวกลับทำให้ใครอีกคนต้องตกตะลึงในใจ...ไหนเจ้าบอกว่ามิได้มอบให้ใคร ต้าเซียนมองคนข้างกายนิ่ง จากนั้นจึงย้ายสายตาไปที่องค์หญิงหย่าเหลียน ความจริงเซียวถิงฟงตั้งใจจะมอบมันให้ตนมิใช่หรือ รึว่าตนเข้าใจผิดไป ร่างน้อยได้แต่จ้องดอกเหมยอย่างเหม่อลอย

           “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะถือว่าท่านยอมรับ” ใต้เท้าเซิงเส้าอู่ยิ้มกล่าวจบเรื่องในที่สุด ฉับพลันนั้นก็บังเกิดเสียงติฉินนินทากระจายไปทั่ว

           ต้าเซียนรับฟังแล้วพลันรู้สึกปวดหัว มองไปทางใดก็เห็นแต่ผู้คนกระซิบกระซาบ ดวงตาฉายแววประสงค์ร้าย ดูว่าโลกมนุษย์ที่ตนมิได้รู้จักมาพันกว่าปีกลับทำให้มหาเทพอย่างเขารู้สึกกลัวขึ้นมาในที่สุด นึกอยากออกจากความวุ่นวายนี้ สองเท้าจึงค่อยๆถอยออกจากศาลาไปเงียบๆ แต่แล้วเสียงหนึ่งกลับขวางความตั้งใจไว้
   
           “ต้าเซียน จะรีบกลับไปไย”

           เสียงทรงพลังที่ดังขึ้นนั้น ทำให้คนในงานต้องเงียบกริบแล้วพากันจับจ้องที่เจ้าของเสียง ชายผู้มีดวงหน้าคมคาย แลดวงตาดั่งพญาอินทรีได้ก้าวมาที่กลางลานกว้างแล้ว

           เซียวถิงฟงถึงกับนิ่งอึ้งเป็นครั้งที่สอง ไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องเจอจอมมารผู้นี้อีก ด้านองค์รัชทายาทเองก็ถึงกับชะงักค้างในระหว่างบทสนทนาอันเคร่งเครียดกับเหล่าขุนนาง

           “องค์ชาย องค์ชายหย่าเซิง ทรงเสด็จมาอยู่ที่นี่น่ะเอง กระหม่อมตามหาแทบแย่” ขันทีน้อยตนหนึ่งวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาพลางกล่าวรัวเร็วแทบมิได้หายใจ

           “ข้าเห็นงานนี้น่าสนุกจึงคิดเข้าร่วมด้วย” เฟยหลงตอบแต่มิได้มองหน้าขันที เพราะคนที่เขาอยากมองมีเพียงคนเดียวเท่านั้น

           “กระหม่อมต้องขออภัยที่ทำหน้าที่บกพร่อง มิได้ต้อนรับองค์ชายเป็นอย่างดี แต่ที่ทรงตรัสมาคือพระองค์ต้องการร่วมเป็นทูตเสาะหาดอกไม้กระนั้นหรือ” ไต้เท้าเซิงเส้าอู่กล่าวถามอย่างสงสัย นี่อยู่นอกเหนือแผนการไปไกลแล้ว

           “ข้าได้มอบดอกบัวแก่สตรีนางหนึ่ง” เฟยหลงตอบ

           บังเกิดเป็นเสียงฮือฮาของเหล่าบัณฑิตจิ้นซื่อและเหล่าคุณหนูทั้งหลาย ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ดอกบัวในมือของสตรีในชุดสีเหลืองนวล ไม่นานนักเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังขึ้น

           ต้าเซียนเหลียวมองไปรอบๆบรรยากาศน่าอัดอัด ก่อนสบสายตาสุดท้ายที่ดวงตาพยัคฆ์ พลันรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองจึงตัดสินใจทะยานตัวขึ้นฟ้าไป

           ด้านบัณฑิตจิ้นซื่อเห็นคนลอยตัวเหนือฟากฟ้าราวกับนางฟ้าบนสรวงสวรรค์ก็ส่งเสียงโห่ร้องชื่นชมเป็นการใหญ่ เฟยหลงยิ้มกล่าวอำลาเบาๆ “ต้าเซียน แล้วพบกัน”

           “เจ้าใช่องค์ชายซวนหยวนหย่าเซิงจริงรึ”

           เฟยหลงยิ้มอย่างอารมณ์ดี “แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน” 

           “จอมมารเฟยหลง ข้ารู้ว่าเป็นเจ้าแน่นอน” เซียวถิงฟงกระซิบตอบก่อนจะทะยานตัวออกจากลานกว้างไปท่ามกลางสายตานับร้อยคู่


*****************************************************


           เซียวถิงฟงติดตามมาจนถึงเจดีย์ต้าเอี้ยนก็พบร่างน้อยที่ยืนทอดเงาตัวเองลงบนศิลาแผ่นหนึ่ง เขาทะยานตัวลงมาหยุดที่ด้านหลัง ดูว่าต้าเซียนเองก็รับรู้การมาของตน แต่กระนั้นริมฝีปากน้อยก็มิได้เอ่ยอะไร สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจทำลายความเงียบ

           “เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าไหม”

           “.......” คนทั้งไม่ตอบทั้งไม่ขยับเขยื้อนราวกับก้อนหินก้อนหนึ่ง

           “เจ้าโกรธข้า ต้าเซียน”

           “.......”

           “เจ้าจะต่อว่าข้าก็ได้ แต่ช่วยพูดอะไรบ้างเถอะ ข้าขอร้อง”

           “......” คราครั้งนี้ต้าเซียนก็ยังคงมิได้พูดอะไร แม้เซียวถิงฟงจะขอร้องก็ตามที

           ในใจเจ้าไม่เคยมีข้าบ้างเลยหรือ หัวใจพลันเจ็บปวด

           “ข้าเป็นอะไรสำหรับเจ้ากันแน่” ทว่าในที่สุดเซียวถิงฟงก็ตวาดลั่น สูญเสียการควบคุมตัวเองโดยสิ้นเชิง เขาทนรับมิได้หากต้าเซียนไม่ไยดีเขา

           “.....” ต้าเซียนไม่ตอบ ดวงตาเฉยเมยเอาแต่เสมองศิลาใต้เจดีย์

           เซียวถิงฟงบีบกระชับแขนเรียว ปรารถนาให้ร่างน้อยรู้ว่าใจเขาเจ็บปวด อีกทั้งยังภาวนาเป็นร้อยๆครั้ง ขอเพียงต้าเซียนมองมา...สักครั้ง แต่กระนั้นใบหน้าน้อยๆนั้นก็ไม่แยแส ราวกับมีมีดกรีดลงบนหัวใจ

           สำหรับเจ้าแล้วข้าไม่มีค่าถึงเพียงนี้เชียวหรือ กระแสพลังเซียนถูกปละปล่อยออกจากฝ่ามือโดยมิรู้ตัว

           ต้าเซียนพลันรู้สึกเจ็บที่แขนแต่ก็ยังคงแสร้งทำสีหน้าเฉยเมย หากแต่ชั่ววูบหนึ่งเซียวถิงฟงกลับสังเกตเห็นความเจ็บปวดที่พาดผ่านนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน บังเกิดเป็นความละอายใจ ยอมปละปล่อยมือออกจากแขนเรียวในที่สุด

           “ข้าขอโทษ...กับทุกๆเรื่อง” เขากล่าวน้ำเสียงเจ็บปวด มิกล้ามองหน้าร่างน้อยอีก ทั้งเริ่มถอยออกมาช้าๆอย่างผิดหวัง

           “ข้า” จู่ๆน้ำเสียงสั่นของร่างน้อยพลันเอ่ยขึ้น “ข้าไม่รู้ทำไมต้องมาที่นี่ ข้าแค่เห็นมันแล้วก็มิอาจไปได้”

           สิ้นเสียงเซียวถิงฟงก็หยุดฝีเท้าลงทันที เขาเหลือบมองศิลาอย่างสงสัย เห็นแท่นศิลาสลักรายชื่อของบัณฑิตจิ้นซื่อมากมาย จากนั้นจึงสะดุดที่รายชื่อคนผู้หนึ่งซึ่งถูกแกะสลักด้วยความคึกคะนอง

           บุตรของตาแก่เซียวถิงหลี่ เซียวถิงฟง...

           ข้อความนี้เป็นตัวเขาที่แกะสลักไว้ครั้งพึ่งได้ตำแหน่งบัณฑิตจิ้นซื่อ เขาจำได้ดี หัวใจพลันพองโตอย่างมีความหวัง เขากระชากร่างน้อยเข้ากอดพลางบดเบียดริมฝีปากเร่าร้อน

           ไร้ซึ่งเสียงของสายลม หลงเหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ ต้าเซียนตกตะลึงวูบ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปยังขั้วหัวใจ เปลือกตาน้อยพลันหลับลง ร่างกายค่อยๆอ่อนระทวยลง

           เซียวถิงฟงพยุงกอดต้าเซียนไว้อย่างแนบแน่น เขาตักตวงชิมรสริมฝีปากหวานอย่างเต็มที่ แต่แล้วร่างในอ้อมกอดกลับค่อยๆเครียดขึง จนเขาต้องจำใจถอนจุมพิตออกมาในที่สุด

           เมื่อริมฝีปากเป็นอิสระ ต้าเซียนที่หน้าตาตื่นก็หอบหายใจยกใหญ่

           “เจ้าบื้อ ใครใช้ให้เจ้ากลั้นหายใจกันเล่า” เซียวถิงฟงตำหนิน้อยๆแต่มุมปากกลับยิ้ม

           ร่างน้อยถึงกับค้อนสายตาขวับ “นี่เป็นความผิดเจ้า ไยมาโทษข้า เห็นๆกันอยู่ว่าเจ้าทรมานข้าชัดๆ”

           เซียวถิงฟงยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนแสร้งประนีประนอม “ก็ได้ๆ ความผิดข้า เอาอย่างนี้ล่ะกันคราวหน้าข้าจะเตือนเจ้าก่อนดีไหม”

           ฟังแล้วต้าเซียนก็หน้าแตกตื่น “ยังมีคราวหน้า? ถึงเวลานั้นข้าจะลงไปนอนแดดิ้นราวกับปลาขาดน้ำรึไม่ หากใช่ข้าว่าลืมๆมันไปเถอะ”

           “.......” เซียวถิงฟงถึงกับเบิกตาโตก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะขึ้นดัง ฟังดูแล้วพาให้ขนลุกขนชันอย่างไรบอกไม่ถูก ต้าเซียนคิด

_____________________________________

* เชียนรื่อหง ดอกบานมิรู้โรย

* จิ้นซื่อ เป็นตำแหน่งของบัณฑิตที่ผ่านการสอบเตี่ยนซื่อหรือการสอบในพระราชวัง


**********************************************

เมื่อวานเเอบมีลืมเเจ้งความหมายของจิ้นซื่อด้วย เเฮะ เเฮะ ขอบคุณที่ติดตามจ้า TBC.  :pig4:

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 15.1 คำว่ารัก


           จอกสุราใบหนึ่งถูกยื่นออกมาตรงหน้า องค์รัชทายาทหนุ่มจ้องมองอย่างคุ้นตาก่อนยื่นมือรับมันมาจากถิงถิง เห็นอักษรคำว่า ‘เซียว’ ถูกสลักไว้บนตัวจอกอย่างพิถีพิถันแต่ก็มิได้รู้สึกผิดปกติแต่อย่างใด กระทั่งพลิกจอกสุราหมุนขึ้นคราหนึ่งก็พลันพบเห็นแล้ว

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ซวนหยวนหมิงไท่วางจอกสุราในมือพลางแค่นเสียงหัวเราะใหญ่

           “องค์รัชทายาท ท่านหัวเราะกระไร” ถิงถิงที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวถามอย่างสงสัย

           “ข้าอยากจะปรบมือให้กับความพยายามของนางจริงๆ หากมิใช่เพราะข้าเคยอ่านตำราของนอกด่าน ข้าคงมิรู้ว่ามันคือผงเหล็กที่ถูกใช้แทนน้ำหมึก เดาว่าที่ถ้วยของนางก็คงจะมีสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน” ปากกล่าวชื่นชมทว่าน้ำเสียงกลับเปี่ยมไปด้วยความประชด หากสังเกตดูดีๆจะเห็นได้ว่าที่ใต้จอกสุรานั้นถูกแต่งแต้มด้วยหมึกสีดำ เเม้จะเป็นเพียงลวดลายต้นไผ่ธรรมดาดาษดื่น แต่กระนั้นมันกลับทำให้จอกสุรานี้ผิดแผกแปลกแยกออกไป

           ถิงถิงถึงกับเลิกตาโต กล่าวอย่างดีใจ “ถ้าเช่นนั้นเราก็มีหลักฐานยืนยันแก่ขุนนางทั้งหลายแล้วว่าองค์หญิงทรงคิดไม่ซื่อ ทีนี้นายน้อยเซียวก็จะรอดแล้ว" ทว่าเมื่อกล่าวจบองค์รัชทายาทกลับส่ายหน้า

           “ผิดแล้ว แม้ข้าจะกราบทูลข้อเท็จจริงให้เสด็จพ่อทรงทราบ ก็มิได้หมายความว่าเซียวถิงฟงจะรอดตัว เพราะถึงอย่างไรกิ่งเหมยนั่นก็เป็นตัวผูกมัดเขาไว้ไม่ให้ดิ้นหลุด” สายตาของซวนหยวนหมิงไท่หม่นแสงไปวูบหนึ่ง

           ถิงถิงเองก็เซื่องซึมลง กล่าวถึงต้าเซียนด้วยน้ำเสียงอ่อย “ถึงข้าจะโกรธที่เขาเคยทำร้ายข้า แต่ข้าก็รู้ว่านายน้อยชอบเขา ข้าไม่อยากให้คนทั้งสองต้องเสียใจ”

           ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไร ยังมีข้าอยู่ ข้าจะช่วยพวกเขาอย่างเต็มที่เอง” แม้จะรู้ว่าเรื่องยุ่งยากแค่ไหน แต่หากตอนนี้เขายอมอ่อนข้อให้องค์หญิงหย่าเหลียน ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดคงต้องสูญเปล่าในพริบตา ฉับพลันนั้นเขาตะโกน “เตรียมพู่กันกับแท่นหมึกให้ข้า”

           “พะย่ะค่ะ” ขันทีที่ยืนไกลออกไปได้ยินแล้วก็รีบกระวีกระวาด นำมาถวาย ทั้งยังฝนน้ำหมึกให้โดยเร็ว

           รัชทายาทหนุ่มล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งจากอกเสื้อ หยิบพู่กันขึ้นจุ่มน้ำหมึกเล็กน้อย จากนั้นบรรจงเขียนข้อความลงไปบนผ้า แล้วนำมาห่อจอกสุราไว้ยื่นให้ขันทีถวายงาน

           “จงนำไปมอบให้องค์หญิงหย่าเหลียน แจ้งแก่นางว่าข้าพระราชทานให้” เขากล่าวน้ำเสียงเรียบก่อนลุกออกจากศาลาไป
ระหว่างนั้นก็เดินสวนผ่านบุคคลผู้หนึ่ง สายตาของทั้งสองต่างมองเพียงแวบหนึ่งก็เลยผ่านไป คล้ายไม่มีอันใดต่อกันเป็นพิเศษ ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับลอบประเมินมอง

           เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคลางแคลงสงสัยว่าบุรุษผู้นี้มิใช่องค์ชายซวนหยวนหย่าเซิงตัวจริง ดูท่าจะมีเพียงพวกเขาที่ทราบความจริงข้อนี้ คิดถึงตรงนี้ จู่ๆก็มีมือคู่หนึ่งยื่นกำที่ชายเสื้อเขาไว้แน่น ครั้นหันไปมองก็เห็นเป็นถิงถิงที่ตัวสั่นเทิ้ม จึงกระชับกุมมือนางเป็นการปลอบ

           เขาพาถิงถิงกลับไปที่รถม้า ทว่ากำลังลัดเลาะไปถึงกลางทางชายป่า ก็พลันได้ยินเสียงต้นไม้ไหวน้อยๆ พวกเขาต่างหยุดนิ่งเหลียวมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง ทันใดนั้นก็ปรากฏเงาดำถลาเข้าจู่โจมเข้าใส่ ถิงถิงที่หูตาปราดเปรียวพลางกระโดดเข้าประจันหน้า เผยกรงเล็บยาวสีขาวสะอาดตาแล้วข่วนใส่คนร้ายอย่างไม่ปราณี

           “อ๊ากกก โอ๊ย โอ๊ย”

           เสียงทุ้มแหลมร้องโอดโอยอย่างคุ้นหู ซวนหยวนหมิงไท่ฉุกคิดขึ้นได้ก็รีบเข้าขวางถิงถิงไว้ ทว่ากว่านางจะหยุดมือ เงาร่างนั้นก็แทบน่วม เขาจึงได้แต่มองชายในชุดเขียวคู้กายกอดตัวเอง เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ยด้วยรอยเล็บข่วนเป็นทางยาว ร่างยังสั่นเทิ้มดูน่าสงสาร

           “ไป๋เซ่อ” เขาร้องเรียกอย่างมิรู้จะเห็นใจดีหรือขำดี ถิงถิงรู้ตัวปั๊บก็รีบกระโดดถอยปราดไปไกล แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เขาจึงก้มลงพลิกร่างที่นอนขดตัวกลมขึ้น จังหวะนั้นไป๋เซ่อก็โผกอดเขาตรงหน้าแน่น

           “โฮ โฮ” ไป๋เซ่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกปลอดภัยก็ปล่อยโฮดังลั่น

           “ไฉนจึงโผล่มา มิให้ซุ่มให้เสียงกันเล่า” ซวนหยวนหมิงไท่ตบหลังเบาๆ เป็นการปลอบ

           ไป๋เซ่อที่ส่งเสียงสะอึกสะอื้นไม่หยุดก็ตอบ “ก็ ก็ข้าเเค่คิดจะแกล้งเจ้าเท่านั้นเอง ฮึกๆ เจ็บจังเลย โฮ”

           นี่ล่ะนะให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว องค์รัชทายาทหนุ่มพลันยิ้มขึ้นขบขัน สุดท้ายตัวเขาก็ต้องกอดปลอบไป๋เซ่ออยู่นานจนอาภรณ์แทบจะชุ่มไปด้วยน้ำตา จึงจะสามารถกลับไปยังบริเวณหน้าวัดฉือเอินได้สำเร็จ และที่นั่นก็มีรถม้าพร้อมด้วยเหล่าองครักษ์ห้าหกนายรอคอยอยู่นานแล้ว

           “เอ่อ เกิดอะไรขึ้นกับพระองค์รึพะย่ะค่ะ” เห็นสภาพไม่สู้ดีของผู้เป็นนาย หัวหน้าองครักษ์เสิ่นก็เรียบๆเคียงๆถาม

           “ไม่มี ไม่มีอันใด” ซวนหยวนหมิงไท่เค้นเสียงตอบพลางเช็ดเหงื่อที่หน้าผากอย่างยากลำบาก นี่เป็นเพราะไป๋เซ่อกับถิงถิงเกาะหนึบที่แขนเสื้อเขาคนล่ะฝั่งซ้ายขวา ตลอดทางจึงทำให้เขาต้องเดินในสภาพทุลักทุเล หมดสภาพรัชทายาทผู้สง่างามในที่สุด ระหว่างนี้ก็ลอบก่นด่าสงสัย มิเข้าใจว่าถูกเลี้ยงดูกันมาอย่างไร นิสัยจึงได้มิธรรมดาเช่นนี้ ว่าแล้วเขาก็ถามองครักษ์เสิ่นอย่างแปลกใจ “ว่าแต่สองคนนั้นล่ะ”

           “ยังไม่มาเลยพะย่ะค่ะ”

           กล่าวถึงยังมิทันไรก็มีเงาร่างค่อยๆโผล่พ้นออกมาจากชายป่าทางด้านหนึ่ง บุรุษสองคนเดินจูงมือยิ้มแย้มกันอย่างสบายใจ ดูเป็นที่น่าหมั่นไส้ "พวกเจ้าเห็นข้าเป็นพี่เลี้ยงเด็กรึกระไร" องค์รัชทายาทกล่าวค่อนขอด ทั้งยังจ้องสหายสนิทตาเขม็ง
“ก็เหมาะกับพระองค์ดีอยู่” เซียวถิงฟงทำหน้าเหรอหรา เกาศีรษะแก้เก้อ มือหนึ่งยังคงจับไว้ที่มือเรียวเล็กคล้ายลืมเลือนว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย

           ซวนหยวนหมิงไท่เห็นแล้วก็รู้สึกเบาใจ ดูก่อนหน้านี้ทั้งคู่ยังเข้าหน้ามิติด แต่จบท้ายแบบนี้ก็นับว่าดีเเล้ว


**************************************************


           รถม้าขับเคลื่อนออกจากวัดฉือเอินเข้าสู่ถนนหลักของเมืองหลวงฉางอันอีกครั้ง ถิงถิงและไป๋เซ่อนั่งอยู่ด้านหน้ารถม้า เหลือเพียงคนทั้งสามที่นั่งอยู่ด้านใน

           ไม่รู้ว่าคืนนี้เกิดอาเพศอะไร อากาศภายนอกที่ค่อนข้างจะเย็นสบายกลับมิได้เผื่อแผ่มาถึงภายในรถม้า ซวนหยวนหมิงไท่ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เมื่อคนหนึ่งเอาแต่เพ่งมองเขาตาไม่กะพริบ ส่วนด้านคนหนึ่งกลับมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาหวานชื่นสลับกับมองเขาอย่างขวางหูขวางตา

           บังเกิดเป็นความกระอักกระอ่วนจึงตัดสินใจกล่าวถาม “ต้าเซียน ท่านมีเรื่องจะพูดกับข้าใช่รึไม่”

            ต้าเซียนเงียบไปชั่วครู่ก็ทำหน้าจริงจัง “ซวนหยวนหมิงไท่ ตอบข้าที เวลาเจ้าจุมพิตใครสักคน เจ้าใช่หายใจหรือไม่”

           “........” ไม่อยากจะเชื่อ นี่เป็นคำถามที่ออกมาจากปากมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ เขาแทบอยากจะถลนตาออกมานอกเบ้า พลางหันไปจ้องเซียวถิงฟงที่นั่งเอียงอายอยู่แทน “เห็นทีว่า ท่านควรถามเขามากกว่า”

           “ไม่เอา เขาจะแกล้งข้า ข้ารู้” ต้าเซียนตอบปฏิเสธพลางดึงดันจะเอาคำตอบ

           เขาจึงได้แต่กระแอมไอกล่าวเปลี่ยนเรื่อง “เอ่อ ข้าว่าเปลี่ยนเรื่องดีกว่า ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่าซวนหยวนหย่าเซิงตัวจริงอยู่ที่ไหนกันแน่”

           ต้าเซียนเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวขึ้น “อยู่ในร่างของเฟยหลง เขากลืนกินดวงวิญญาณของคนผู้นั้นแล้วสวมรอยเป็นเจ้าของร่าง แต่วางใจได้เขายังมีชีวิตอยู่ ขอเพียงแค่เฟยหลงคืนร่างให้ เขาก็จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง"

           “เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า” ซวนหยวนหมิงไท่ตั้งประเด็นกล่าว แต่กลับไม่มีใครตอบ เขาจึงเงียบไป แต่เมื่อคิดดูดีๆแล้วก็ทราบคำตอบโดยไม่ต้องขบคิดวุ่นวาย เพราะคำตอบนั้นอยู่ข้างๆตัวเขาแล้ว...ต้าเซียน

           “ว่าแต่วันนี้ข้าพบร่องรอยปีศาจด้วย พวกท่านควรระวังตัวไว้” ต้าเซียนเสมือนพึ่งนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยปากขึ้น พอดีกับที่ไป๋เซ่อโผล่หน้าเข้ามาบอกว่าตนเองคลาดกับกลิ่นอายจิ้งจอกไปอย่างฉิวเฉียด

           ไม่นานนักรถม้าก็จอดลงตรงหน้าจวนของตระกูลเซียว ซวนหยวนหมิงไท่โบกมืออำลาคราหนึ่งก็จากไป รอจนรถม้าลับหายไป ต้าเซียนก็หมุนตัวเตรียมเข้าจวน แต่แล้วสองมืออบอุ่นกลับฉวยเข้ากอดตนไว้
 
           “เดี๋ยวสิ ข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้าคิดอย่างไรกับข้ากันเเน่” เซียวถิงฟงกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์ หวังจะได้ยินคำหวานๆออกจากริมฝีปากร่างน้อยอันเป็นที่รัก ทว่า...

           “ข้าก็ไม่เข้าใจเจ้าเช่นกัน” ต้าเซียนตอบหน้าตาย

           เซียวถิงฟงฟังแล้วก็รู้สึกเหมือนโดนตีแสกหน้าเข้าจังๆ ริมฝีปากที่ยิ้มกระตุกไม่หยุด

           ครั้นเห็นชายหนุ่มยังคงยิ้มค้างก็กล่าวเสริมอย่างฉะฉาน “เจ้าจะกอดข้าอีกนานไหม ข้าเองก็ยืนได้นี่”

           หากเป็นไปได้เขาแทบอยากจะดีดหน้าผากน้อยๆของคนตรงหน้าสักทีสองที “ต้าเซียน เจ้าฟังข้าให้ดีนะ”

           “อื้อ” ต้าเซียนตอบรับด้วยสีหน้าจริงจัง เซียวถิงฟงมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ก่อนเอ่ยถ้อยคำอ่อนโยน

           “ข้ารักเจ้า” 

           จู่ๆหัวใจก็พลันเต้นแรงเร็วไม่หยุด ต้าเซียนถึงกับนิ่งอึ้งไป ในดวงตาสะท้อนภาพชายหนุ่มที่จ้องมองตนเองอย่างลึกล้ำ ราวกับว่าหัวใจกำลังถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่น

           เมื่อเห็นร่างน้อยไม่ยอมพูดอะไร เซียวถิงฟงก็ได้แต่ถามต่อด้วยสายตาที่อ้อนวอน “ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน ว่าเจ้ารู้สึกกับข้าเช่นไร”     

           ตัวเขาอย่างนั้นหรือ ต้าเซียนครุ่นคิด คำสามคำที่ร่างสูงกล่าวนั้น มิใช่เขาไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรต่างหาก อีกทั้งตัวเขาเป็นเพียงแค่ก้อนหิน ไม่มีทางมีความรู้สึกรักชอบแบบพวกมนุษย์หรอก

           “ถิงฟง ความจริงแล้วข้าเป็นเพียงก้อนหิน มิมีทางรู้หรอกว่ารักใครเป็นเช่นไร” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงเบา

           เซียวถิงฟงรับฟังเเล้วถึงกับงงงันวูบ ก้อนหินอะไรกัน “เจ้ามิใช่ก้อนหินเสียหน่อย ข้ารู้” เขาเถียง

           “แต่ข้าพูดความจริงนะ”

           “หากเจ้าเป็นก้อนหินจริง เจ้าคงไม่รู้สึกเช่นนี้หรอก”

           “รู้สึกเเบบไหนกัน” ต้าเซียนถาม ก่อนแลเห็นเเววตาเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย

           “คราวนี้เจ้าก็อย่าลืมหายใจอีกล่ะ” เซียวถิงฟงยกยิ้มกล่าวเตือนไม่รอช้าเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ทันที

           เป็นอีกครั้งที่ต้าเซียนต้องตื่นตะลึง ริมฝีปากถูกช่วงชิม จุมพิตครานี้มิได้เร่าร้อนรุนแรงอย่างคราก่อน หากแต่มันเป็นจุมพิตที่อ่อนโยน เปลือกตาบางค่อยๆปิดลง ครั้นเมื่อลองหายใจอย่างที่ชายหนุ่มได้บอก ไม่นานนักสมองก็พลันเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า

           เซียวถิงฟงโน้มร่างอีกฝ่ายให้ซบลงที่อกกว้าง จุมพิตอยู่เนิ่นนานก็ค่อยๆถอนริมฝีปากออกกระซิบ “เจ้ามิใช่ก้อนหิน ต้าเซียน” เขาระบายยิ้มแล้วเกลี่ยปอยผมที่ตกลงคลอเคลียใบหน้านวลอย่างเบามือ “เจ้ามีความรู้สึก หากยังคงสงสัยก็ลองถามตัวเจ้าดู เจ้าใช่รู้สึกถึงหัวใจที่ถูกเติมเต็มรึไม่ รู้สึกอบอุ่นในยามที่ถูกกอด รู้สึกอยากพบหน้าในยามที่มิได้พบ รู้สึกห่วงใยแต่เพียงคนผู้นั้นแล้ว เช่นนี้คือคำว่ารัก ต้าเซียน...เจ้ารักข้ารึเปล่า”
 
           “......”

           ความเงียบปกคลุมจนทำให้ใจของเซียวถิงฟงเย็นเฉียบลง เขามองใบหน้าน้อยที่ไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกอะไร ก็รู้สึกราวกับกลืนก้อนสะอึกลงคอ เขายิ้มน้อยๆอย่างขมขื่นก่อนจะลดมือที่ใบหน้าน้อยลง

           “รัก” วินาทีที่กล่าวคำนี้ออกมา ต้าเซียนรู้สึกเหมือนถูกปลดปล่อย ความยินดีจุกล้นปรี่ในอก เซียวถิงฟงเป็นคนบอกเขา เขามิใช่ก้อนหิน มิใช่ก้อนหินอีกต่อไป เพราะเขารักเป็น

           “จะ เจ้าบอกว่ารักข้า” ร่างสูงตะกุกตะกักพลางคิดว่าตนมิได้หูฝาดไปใช่ไหม รอยยิ้มที่ขื่นขมพลันแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มร่า เขาสวมกอดต้าเซียนไว้แนบแน่น คล้ายว่าหากปล่อยให้หลุดมือไป จันทราดวงนี้จะไม่มีวันกลับมาหาเขาอีก “ข้ารักเจ้า ต้าเซียน” พูดจบก็โน้มใบหน้าเข้าหาร่างน้อยอีกครั้ง

           ใบหน้าต้าเซียนถึงกับร้อนผ่าว รู้สึกราวกับหัวใจในร่างกำลังเต้นผสานเป็นจังหวะเดียวกันกับชายหนุ่ม หากแต่...

           “ว๊ากกก” เสียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกลับดังขึ้นขัดจังหวะ

           เซียวถิงฟงชะงักตัวขมวดคิ้วมุ่น เฮอะ คนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเเท้ๆ ไม่ทันไรร่างในอ้อมกอดก็ผลักตัวเขาออก แล้ววิ่งเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว เขาทันเห็นเพียงเส้นผมที่ปลิวสยาย รวมถึงใบหูที่แดงก่ำเท่านั้น

           “อวี่จงมาได้ไม่ทันไรก็ร้องเอะอะเชียว” เขาแสร้งว่ากล่าวกลบเกลื่อนก่อนเข้าจวนไปด้วยท่าทีสงบราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

           ครั้นคนจากไปเด็กรับใช้หนุ่มก็โพล่งกล่าวขึ้นมาบ้าง “ใครจะไปคิดว่าไม่ทันไร ข้าก็ต้องมาเห็นภาพบัดสีบัดเถลิงเข้าอีกแล้ว สวรรค์ นี่มันหน้าประตูจวนชัดๆ”

           ดูว่าคงจะมีเเต่จันทราในคืนนี้ที่รับฟังอวี่จงเท่านั้นกระมัง


**************************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 15.2 คำว่ารัก


           บนโต๊ะกลมสีแดงตัวหนึ่งวางไว้ด้วยผ้าแพรสีขาวที่ห่อหุ้มด้วยของชิ้นเล็ก สองมือบอบบางค่อยๆคลายขมวดปมของผ้าออก กระทั่งเห็นสิ่งที่อยู่ภายในเจ้าของดวงตาหวานก็ต้องตกตะลึงไปชั่วขณะ นางหยิบจอกสุราที่มีลวดลายต้นไผ่ ทั้งยังสลักไว้ด้วยคำว่า ‘เซียว’ ขึ้นดู

           ไม่ผิดแน่ นี่เป็นจอกสุราที่ถูกจัดทำขึ้นพิเศษเพื่อใช้ในงานเลี้ยงที่อุทยานชวีเจียง แต่มิใช่ว่าอีกาคาบไปแล้วหรือ ไฉนมันจึงตกอยู่ในมือเขา

           คิดหาเหตุผลอยู่สักพักสายตาของนางก็สะดุดกับบางสิ่ง ที่มุมหนึ่งของผืนผ้าซึ่งปักลายดอกเบญจมาศกลับมีรอยน้ำหมึกสีดำปรากฏอยู่จางๆ นางหยิบถ้วยออกแล้วอ่านข้อความบนผืนผ้า

           พึงเติมสุราแต่มิอาจลิ้มรส เฉกเช่นพึงได้ตัวหาได้ใจไม่

           “กรี๊ด” นางถึงกับกรีดร้องอย่างคับแค้น ไยต้องเหยียบย่ำจิตใจนางด้วย สองมือดึงทึ้งผ้าแพรนั้นอย่างรุนแรงดั่งคนเสียสติ
           
           จวบจนผ้าแพรเกิดรอยรุ่ยแล้วถูกแยกออกเป็นสองส่วน นางจึงหยุดการกระทำนั้นลง เสียงหอบหายใจสะท้อนขึ้นลงอย่างยากที่จะระงับโทสะ สายตาก็ยังคงจับจ้องมองที่ผ้าแพรนั้นอย่างพยาบาท จนกระทั่งสังเกตเห็นรองเท้าของคนผู้หนึ่งที่ก้าวเข้ามาในห้อง

           “เสด็จพี่หย่าเซิง” หย่าเหลียนเรียกชื่อพี่ชายแท้ๆ ด้วยน้ำเสียงเว้าวอน นางคลานเข้าไปกอดขาพี่ชายไว้ ก่อนมองเขาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

           “ข้ามิใช่พี่เจ้า” น้ำเสียงทรงพลังกล่าวขึ้น

           “เสด็จพี่พูดกระไรกัน” หย่าเหลียนกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ

           “ข้ามีส่วนใดที่เหมือนพี่ชายเจ้ากัน” เฟยหลงตอบพลางมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชากึ่งสมเพช

           หย่าเหลียนจ้องมองพี่ชายอยู่ครู่หนึ่งก็พลันรู้สึกถึงบรรยากาศกดดันที่ปกคลุมทั่วห้องอย่างรวดเร็ว บางสิ่งบางอย่างเริ่มผิดแผกแปลกไป ไม่...นางมิเคยเห็นคนผู้นี้ นางผงะถอยหลังพร้อมผละตัวออกจากผู้ที่ตนคิดว่าเป็นพี่ชาย

           “เจ้าเป็นใคร เข้ามาได้อย่างไร แม่นม นางกำนัล คนร้าย” นางตะโกนร้องเรียกเหล่านางกำนัลทั้งหลาย ทว่ากลับไร้วี่แววเสียงจากคนภายนอกโดยสิ้นเชิง

           เฟยหลงเห็นท่าทีดังกล่าวก็ต้องนึกรำคาญใจ เขาเดินผ่านตัวนางไปโดยไม่ใคร่สนใจว่านางจะร่ำร้องแค่ไหน เป็นเหตุให้ทุกอย่างเปิดโล่งสู่สายตาของนาง

           ประตูทางเข้าถูกเปิดออก ลมพัดผ่านเข้ามาเป็นระลอก ที่พื้นหน้าตำหนักปรากฏร่างของนางกำนัลทั้งหลายนอนไม่ได้สติ องค์หญิงหย่าเหลียนถึงกับหน้าซีดเผือด

           “เจ้า...ต้องการอะไร” นางกล่าวถามน้ำเสียงสั่น

           “ข้าหาได้มีธุระกับเจ้า เป็นนางต่างหาก” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยตอบ

           สิ้นคำดังกล่าวก็ปรากฏสตรีในชุดแดงสีเลือด ก้าวออกมาจากในห้องพร้อมรอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกวูบโหวง สายตานางแหลมคม ริมฝีปากสีแดงสดดั่งลูกพลัม นางถึงตาเบิกค้างเมื่อพบเห็นสตรีเช่นเดียวกับในฝัน

           “เจอกันอีกแล้ว เด็กน้อย” สตรีในชุดแดงยิ้มกล่าวพลางก้มตัวลงสัมผัสที่ใบหน้าของหญิงสาวที่ตัวสั่น

           “จะ...เจ้าจะทำอะไรข้า” นางจ้องสตรีตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว

           “ไม่ต้องกลัวไป ข้ามิได้มาทำร้าย แต่มาเพื่อช่วยเจ้าต่างหาก”จิ้งจอกเหม่ยซินจ้องมองไปที่ดวงตาหวาน จวบจนกระทั่งดวงตาคู่นั้นหม่นแสงลง

           “ช่วยอย่างนั้นหรือ” นางกล่าวถามด้วยสายตาที่เลื่อนลอย ด้านปีศาจสาวจึงถือโอกาสกระซิบกล่าวอย่างเย้ายวน

           “ใช่ ข้ามาเพื่อช่วยเจ้าให้สมหวังกับรองแม่ทัพเซียวถิงฟงอย่างไรกันเล่า” เมื่อเห็นคนตรงหน้ามีท่าทีเหม่อลอยยิ้มกว้างวาดฝันอนาคต จิ้งจอกเหม่ยซินก็ยิ้มกระย่องหันไปมองที่จอมมารเฟยหลงอย่างภาคภูมิใจ ทว่าสายตาของเฟยหลงมิได้บ่งบอกถึงความวางใจแม้แต่น้อย

           “ไม่ ข้าไม่เชื่อ เจ้าหลอกข้า”

           จู่ๆเสียงของหย่าเหลียนก็ร้องขัดขึ้น จิ้งจอกเหม่ยซินถึงกับเดาะลิ้นอย่างขัดใจ นางมองลึกเข้าไปในดวงตาที่ปรากฎแสงแรงกล้า “เจ้าไม่มีทางสู้เขาได้ หากไม่มีข้า”

           ครานี้องค์หญิงหย่าเหลียนหลุดออกจากมนตร์สะกดแล้ว นางลุกขึ้นชี้หน้าสตรีเสื้อแดง กล่าวด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ
“ข้ามีอะไรสู้นางมิได้กัน นางเป็นเพียงสตรีชั้นต่ำ” 

           ยังไม่ทันได้กล่าวจบ บรรยากาศแห่งความตายก็พุ่งเข้าปกคลุมร่างของนางอย่างรวดเร็ว จู่ๆลำคอของนางก็ถูกกดบีบ ร่างถูกยกขึ้นสูง ดวงตาเบิกกว้าง ทั่วทั้งร่างรู้สึกร้อนราวกลับถูกไฟลวก นางมิอาจรู้ได้เลยว่าชายผู้นี้ไฉนจึงสามารถเข้ามาทำร้ายนางได้ในชั่วพริบตา

           “ท่านจอมมารเฟยหลง” จิ้งจอกเหม่ยซินตกใจรีบกล่าวปรามไว้

           “อย่าได้บังอาจกล่าววาจาล่วงเกินท่านมหาเทพต่อหน้าข้าเป็นอันขาด” เฟยหลงคำรามเสียงดัง ดวงตาวาวโรจน์ เขาผู้ซึ่งยืนมองเหตุการณ์มาอย่างเงียบๆ ถึงกับเลือดขึ้นหน้าเมื่อได้ยินคำสบประมาทถึงคนที่ตนรัก ร่างเขาสืบเข้าหาสตรีน่าตายผู้นี้อย่างรวดเร็ว หากจิ้งจอกเหม่ยซินไม่ร้องปรามตนไว้ อีกเพียงแค่นิดเดียวลำคอระหงในมือนี้ก็จะหักลงในทันที

           “ท่ามจอมมาร หากท่านทำเช่นนี้เรื่องก็จะยุ่งยากขึ้น ท่านมหาเทพก็จะไม่ตกหลุมพรางท่าน” ปีศาจสาวพยายามกล่าวอ้อนวอนให้ปละปล่อยเหยื่อ

           จอมมารเฟยหลงขมวดคิ้วแน่นจ้องมองจิ้งจอกเหม่ยซินอย่างใช้ความคิด ไม่นานนักมือที่กำรอบคอมนุษย์นางนั้นไว้จึงหละหลวมขึ้น ร่างปวกเปียกค่อยๆเลื่อนหลุดล้มตัวลง

           “หึ จงรีบจัดการ หากข้ายังได้ยินนางใช้วาจาล่วงเกินท่านมหาเทพอีก เจ้าคงรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร” เฟยหลงกล่าวจบก็สะบัดตัวออกจากห้องไป จิ้งจอกเหม่ยซินมองตามออกไปอย่างเงียบๆ เหงื่อชโลมใบหน้า

           “ทำไมเจ้าต้องช่วยข้า” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น

           “ข้าบอกเจ้าแล้ว ข้ามาเพื่อช่วยเจ้า เจ้ามิอาจสู้ท่านผู้นั้นได้ เพราะท่านผู้นั้นสูงส่งยิ่ง สูงส่งเกินกว่าที่เจ้าจะคาดถึง”

           “นะ นางเป็นใคร”

           “คนที่เจ้าเห็นมิใช่สตรี หากแต่เป็นบุรุษ อีกทั้งที่มายังสูงส่งยิ่ง เป็นบุคคลที่อยู่เหนือบุคคลทั้งปวง อยู่เหนือดินแดนทั้งสามพิภพ เป็นประมุขแห่งสรรพสิ่งทั่วหล้า มหาเทพแห่งพิภพสวรรค์” จิ้งจอกเหม่ยซินตอบด้วยน้ำเสียงที่หดเล็กลง

           “บุรุษ มหาเทพ...มะ ไม่จริง” องค์หญิงหย่าเหลียนอุทาน รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าทั่วทั้งร่าง สิ่งที่นางรับฟังแทบทำให้สติแตกตื่น ทว่าความรู้สึกเกลียดชังกลับยิ่งทวีขึ้นในอกด้วยเช่นกัน เพราะคนที่กุมหัวใจชายที่ตนรักนั้นเป็นบุรุษ และยังเป็นเทพเซียนที่ทั้งสูงส่ง ทั้งบริสุทธิ์...กว่านาง

           จิ้งจอกเหม่ยซินยกยิ้มในใจ นางอ่านใจองค์หญิงผู้นี้ออก และความเกลียดชังนั้นจะทำให้นางลงมือได้ง่ายขึ้น “ที่ข้ากล่าวมาล้วนเป็นความสัตย์ทั้งสิ้น เจ้ามิมีหนทางใดที่จะเอาชนะท่านผู้ซึ่งอยู่เหนือทุกสรรพสิ่งได้ หากแต่มีเพียงนายข้าและข้าเท่านั้นที่จะช่วยเจ้าได้เท่านั้น”

           หย่าเหลียนนิ่งไปคล้ายคิดทบทวน แต่ทว่าไม่นานก็ส่ายศีรษะ น้ำตาหลั่งริน “ไม่ ข้าไม่อยากเป็นเครื่องมือของใคร”
จิ้งจอกเหม่ยซินเริ่มหมดความอดทน “หึ เจ้าคิดว่าตนเองมีทางเลือกด้วยหรือ นั่นผิดแล้ว เจ้าหาทำสิ่งใดได้แม้แต่น้อย จงเลือกเอา จะปล่อยคนที่รักไปโดยที่มิคิดจะทำอันใด หรือจะยอมถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้ครอบครองบุรุษที่ตนรัก”

           องค์หญิงหย่าเหลียนได้ฟังแล้วก็กัดทึ้งริมฝีปากของตนเองจนรู้สึกถึงรสปร่าของเลือด “แล้วพวกเจ้าจะได้ประโยขน์อันใด” นางกล่าวอย่างคลางแคลงสงสัย ทำไมพวกเขาต้องช่วยนางด้วย

           “เราเพียงแค่ต้องการตัวท่านมหาเทพเท่านั้น เราจึงต้องหาทางทำลายความสัมพันธ์ระหว่างท่านมหาเทพและเซียวถิงฟง”

           “ขะ ข้า แล้วข้าต้องทำเช่นไร”

           “มิต้องห่วงไป เจ้าเพียงทำจิตให้ว่างซะ จากนั้นข้าจะเป็นคนจัดการเอง”

           ท้ายที่สุดองค์หญิงหย่าเหลียนครุ่นคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยอมหลับตาลง นางปล่อยใจให้ว่างเปล่า โดยหารู้ไม่ว่าคนตรงหน้านางกำลังแสยะยิ้ม ไม่นานทั่วทั้งร่างก็รู้สึกถึงความร้อนเข้าปะทะเข้าที่หน้าอก นางอึดอัดหายใจไม่ออกได้แต่กุมหน้าอกด้วยความเจ็ดปวด ร่างกายเริ่มทรุดตัวนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น จนกระทั่งสติหลุดลอยไป ซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบนางหาได้รู้แม้แต่น้อยว่า นางได้ติดกับดักเรียบร้อยแล้ว...กับดักที่มีชื่อว่า ความตาย
 
           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะแหลมดังขึ้น มันเป็นเสียงหัวเราะของจิ้งจอกเหม่ยซิน แต่ตอนนี้นางมิได้อยู่ในร่างของปีศาจจิ้งจอกอีกต่อไป นางเดินไปที่กระจกทองเหลือง มองใบหน้าตนเองอย่างพึงพอใจ ดวงตาที่แหลมคมบัดนี้กลายเป็นดวงตาหวาน ริมฝีปากจิ้มลิ้ม


*********************************************
           

           เช้าแล้วแต่คนยังคงนอนอยู่บนเตียงอุ่นนุ่มสบาย ต้าเซียนที่ยังหลับตาพริ้มก็ขยับเขยื้อนกายภายใต้ผ้านวมหนานุ่มอย่างสุขใจ แต่แล้วก็ต้องรู้สึกถึงสายตาที่พุ่งดิ่งมาแทนที่จะเป็นแสงอาทิตย์ในยามเช้า เปลือกตาบางค่อยๆขึ้นอย่างแช่มช้าแล้วพลันสบสายตาเข้ากับดวงตาสีดำที่แฝงไปด้วยความขี้เล่น มันใกล้มากจนเห็นได้อย่างชัดเจน ดวงเบิกตาค้างไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่สมองจะเริ่มจับความได้

           “ว๊าก” เขาร้องลั่นก่อนจะผุดลุกกระเถิบถอยหนีไปทางด้านหลัง

           เซียวถิงฟงหัวเราะน้อยๆพลางมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู “เจ้านอนหลับสบายจนตื่นสายนะ”  ครั้นเห็นต้าเซียนที่มองตนขึ้นลงอย่างงุนงงก็กล่าวอย่างอารมณ์ดี “รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด สำรับจะจัดเตรียมเสร็จแล้ว”

           ต้าเซียนฟังแล้วก็ต้องจำใจลงจากเตียง ก้าวเท้าไปยังหีบใส่เสื้อผ้าพลางหยิบขึ้นมาชุดหนึ่งโดยมิได้เลือกดู อาภรณ์ที่ถูกหยิบมาเป็นชุดสีส้มคล้ายแสงแดดยามเย็น เขามองอย่างมิได้สนใจอะไรมาก เมื่อคว้ามาได้ก็รีบใส่อย่างรวดเร็ว เส้นผมยาวสีน้ำตาลอ่อนถูกปล่อยยาวสยายจนระพื้น
 
           “ข้าจะทำผมให้เจ้าเอง” จู่ๆเซียวถิงฟงก็ขันอาสา ต้าเซียนเพียงพยักหน้าเมื่อเห็นแววตาเปี่ยมสุขของเขา

           ร่างสูงจัดการถักเปียหลวมๆเข้ากับผมที่ยาวอย่างคล่องแคล่ว ครั้นจัดทรงเสร็จก็หยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นออกจากอกเสื้อ ดอกกุหลาบสีขาวถูกบรรจงปักบนเรือนผมของร่างน้อยอย่างเบามือ

           “เดิมทีข้าตั้งใจจะให้ดอกบัว แต่น่าเสียดายนักที่แถวนี้ดอกบัวถูกทำลายไปหมด หากเป็นบ้านเราที่ลู่หยางคงมีให้เลือกเยอะแยะ” เซียวถิงฟงตอบยิ้มๆ ทำสีหน้าเชิงวาดหวัง

           “ข้า ข้าชอบมาก” ต้าเซียนทำสีหน้าไม่ถูก แต่พอเซียวถิงฟงยิ้มอบอุ่นก็พลันรู้สึกเสมือนใจหลอมละลาย

           “ไปกินข้าวกันเถอะ”

           เซียวถิงฟงยื่นมือให้ ต้าเซียนมองแล้วจึงจับมือใหญ่นั้น ในใจคิดหากเป็นไปได้เขาอยากให้เป็นเช่นนี้ไปตลอด หากวันหนึ่งเขาต้องเปลี่ยนไป แล้วเซียวถิงฟงล่ะจะเป็นเช่นไรเล่า

           ........................

           ..............
           
           ...

           “ท่านมหาเทพ ข้าเห็นว่าท่านควรรีบคืนหัวใจแก่เจ้าของนั้นเสีย” เทพอาวุโสหวางจื้อกล่าว น้ำเสียงมิปกปิดความเป็นห่วงได้แม้แต่น้อย

           “ข้าเห็นด้วยกับท่านหวางจื้อ หากท่านมหาเทพยังคงใช้หัวใจของมนุษย์ ตัวท่านจะหวั่นไหวมิเป็นผลดี หากจอมมารเฟยหลงล่วงรู้ เขาต้องใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างแน่นอน” ท่านอาวุโสเทพเทียนสีกล่าวเสริม

           “แต่...”

           “ดังนั้นท่านควรฟื้นฟูพลังโดยเร็วแล้วคืนหัวใจนั้นซะ ท่านมหาเทพควรที่จะเด็ดเดี่ยวไว้ ทั้งสามพิภพต้องพึ่งท่านแล้ว” เทพอาวุโสเจิ้งผิงรีบกล่าวเตือนไม่เปิดโอกาสให้ท่านมหาเทพกล่าวแย้งอีก แม้รู้ว่าเป็นการใจร้ายไปบ้าง แต่ตอนนี้ความเป็นไปของทั้งสามโลกขึ้นอยู่กับท่านมหาเทพเพียงคนเดียว

           “ข้าจะทำตามที่พวกท่านกล่าว” ต้าเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจ

           “ท่านมหาเทพได้โปรดเข้าใจพวกเราด้วย พวกเราต่างเป็นห่วงท่าน ยิ่งท่านใช้หัวใจของมนุษย์มากเท่าใด ตัวท่านจะตกอยู่ในอันตรายมากเท่านั้น ได้โปรดฟังคำเตือนของพวกเราทั้งสามเถิด” เสียงเทพอาวุโสหวางจื้อกล่าว

           “ข้า...ข้าจะจำไว้” ต้าเซียนรับคำแต่ภายในใจกลับว้าวุ่นสับสน นี่เป็นบทสนทนาระหว่างเขากับเหล่าเทพอาวุโสทั้งสามเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา แม้เขาจะดีใจที่สามารถมีหัวใจ แม้จะเป็นเพียงแค่ครึ่งดวงก็ตามที แต่กระนั้นเหล่าอาวุโสเทพกลับรู้สึกต่างออกไป ซึ่งใช่ว่าเหตุผลของทั้งสามจะไม่มีเหตุผล แต่เป็นเพราะมีเหตุผลเขาจึงต้องรับปาก ทั้งสามพิภพล้วนต้องพึ่งพาเขา เขาท่องในใจอย่างซึมกะทือ ถึงจะเข้าใจแต่ก็เสียใจอยู่ลึกๆเช่นกัน

           “ต้าเซียนเจ้าเหม่ออะไร” 

           ต้าเซียนรู้สึกตัวแล้วจึงหันมามองคนถาม เห็นชายหนุ่มกำลังคีบผักในจานหนึ่งส่งให้เขา “เปล่า ไม่มีกระไร”
 
           “ถ้าเช่นนั้นก็จงกินเยอะๆ ทำไมเจ้าถึงกินได้แต่ผักเท่านั้นนะ” เซียวถิงฟงบ่นน้อยๆ

           เขาได้แต่ยิ้มบางพลางจดจำความรู้สึกรักนี้ไว้ หากถึงเวลาที่เขาต้องคืนหัวใจครึ่งดวงนี้ให้แก่เซียวถิงฟงแล้ว เขายังจะจดจำความรู้สึกนี้ รวมไปถึงความรู้สึกว่ารักชายหนุ่มได้อีกรึเปล่า หากคืนมันไปแล้ว เขาจะเป็นเช่นไร จะกลับไปเป็นเช่นเดิมดั่งคนไร้ความรู้สึกอีกรึไม่ มหาเทพแห่งแดนสวรรค์อย่างเขาก็มิอาจรู้คำตอบ

           หลังจากผ่านช่วงเช้าไป เซียวถิงฟงก็พาเขามายังวังหลวงอีกครั้ง ชายหนุ่มเดินจับมือของเขาแน่นจนรู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็น เพียงแค่ก้าวเข้าสู่วังหลวงทั้งสองก็ตกเป็นเป้าสายตา เสียงกระซิบกระซาบต่างลอยมาตามสายลม แต่ทว่าท่าทีของเซียวถิงฟงกลับมิได้สะทกสะท้าน ซ้ำยังทำเสมือนได้ยินเสียงแมลงหวี่บินอยู่ข้างหู รึอาจเพราะชายหนุ่มหูตึงก็เป็นได้ ต้าเซียนลอบคิดอย่างขบขำ

           จวบจนคนทั้งสองเดินมาถึงหน้าขั้นบันไดของท้องพระโรงฮั่นหยวน ขันทีน้อยเสี่ยวลู่ หรือขันทีประจำพระองค์ขององค์รัชทายาทก็เดินเข้ามาหาด้วยท่าทีสำรวมแต่แฝงไปด้วยความรีบร้อน

           “ท่านรองแม่ทัพเซียว องค์รัชทายาทมีรับสั่ง จากวันนี้เป็นต้นไปห้ามท่านเข้าสู่วังหลวงเป็นเวลาสามวัน ข้าน้อยได้ส่งสาสน์ไปยังจวนใต้เท้าเซียวแล้วแต่คิดว่าคงคลาดกัน บัดนี้ฝ่าบาทก็ตรัสพักงานท่าน องค์รัชทายาทจึงเกรงว่าเรื่องจะยุ่งยากเลยสั่งให้ข้าน้อยรีบนำความมากล่าวแก่ท่าน ท่านรองแม่ทัพเซียวรีบกลับจวนเถิด”

           “เสี่ยวลู่เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้เลยหรือ ถึงขนาดมีรับสั่งห้ามข้าเข้าวังหลวง”

           “ข้าน้อยยังให้คำตอบแก่ท่านรองแม่ทัพไม่ได้ แต่...” ขันทีน้อยเสี่ยวลู่พูดจบก็มองไปทางต้าเซียน เซียวถิงฟงพอจะคาดเดาได้ว่าเรื่องคงจะมีส่วนพัวพันเข้ากับต้าเซียนไม่มากก็น้อย

           “ข้าเข้าใจแล้ว” เซียวถิงฟงกล่าวกับเสี่ยวลู่ จากนั้นจึงรีบพาต้าเซียนกลับออกจากวังหลวง

           โชคดีที่คนขับรถม้าของตระกูลเซียวยังมิจากไปจึงไม่ต้องรออีก ต้าเซียนคิดในใจ แต่แล้วชายหนุ่มกลับให้คนขับรถม้าหาม้าดีมาหนึ่งตัว “เจ้าจะไปไหน” เขากล่าวถามอย่างงุนงง แต่เซียวถิงฟงกลับยิ้มกริ่มตอบมาเท่านั้น
 

**************************************

คอมเม้นท์น้อย  :hao5: เเต่ไม่เป็นไรค่ะ ช่วงนี้เนื้อเรื่องอาจจะเนือยๆหน่อย เเต่ก็มาถึงครึ่งเรื่องเเล้ว เหลืออีก 15 บท ซึ่งชักจะรีไรท์ไม่ทัน เเบบว่าบางก็รีไรท์ยากจังเฟ้ย เเฮะ แฮะ

ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
แวะมารอครับ ฮิๆ

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เป็นนิยายที่ดีงามมาก โคตรสนุกอะ สู้ๆนะคะ  o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 16.1 หลุมพราง


           ม้าตัวใหญ่สีน้ำตาลยืนวางท่าสง่างาม มันเหล่ตาส่งยิ้มให้คราหนึ่ง ต้าเซียนก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นม้าหนุ่มขี้เล่น มือเรียวคว้าจับตรงอานม้าเตรียมที่จะส่งตัวขึ้นไป แต่แล้วเซียวถิงฟงกลับชิงปราดตัวขึ้นนั่ง ครั้นเสร็จสรรพก็ตีสีหน้าเรียบเฉย มือหนึ่งตบเข้ากับที่สะโพกม้าเบาๆ

           “ข้าอยากนั่งข้างหน้า ตัวเจ้าโตขนาดนี้แล้วข้าจะเห็นทางข้างหน้าได้อย่างไร” เขาร่ำร้องไม่ยินยอม แต่ร่างสูงก็ตอบอย่างไม่แยแส

           “เอาไว้ขากลับก็แล้วกัน”

           สุดท้ายต้าเซียนก็ต้องเบ้ปากก้าวขึ้นไปนั่งที่ด้านหลังแต่โดยดี สองมือก็ควานเกาะเอวแกร่งอย่างเงอะงะ “สรุปว่าเจ้าจะไปไหน” เขาถามอีกครั้ง ครานี้ชายหนุ่มกลับดึงบังเหียนม้าเป็นคำตอบ

           ม้าหนุ่มสีน้ำตาลเมื่อถูกกระตุ้นก็ยกสองเท้าหน้าขึ้นด้วยความคึกคะนอง ต้าเซียนมิทันได้ตั้งตัวจึงเผลอสวมกอดคนข้างหน้าไว้แน่น

           “เหมือนว่าเจ้ากำลังกอดข้าอยู่เลยนะ”

           เมื่อเซียวถิงฟงเอี้ยวตัวส่งยิ้มกวนมาให้ ร่างเขาก็มีอันสั่นเทิ้ม อดมิได้ที่จะตะโกนเสียงตะกุกตะกัก ‘คนบ้า’ ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับหัวเราะร่วน

           ม้าหนุ่มเหยาะย่างถึงชานเมืองก็ขึ้นไปยังเชิงเขา ลัดเลาะผ่านป่าไผ่ไปเล็กน้อยก็หยุดลง ที่ฝากฝั่งตรงข้ามเป็นน้ำตกสูงใหญ่ เซียวถิงฟงไม่รีรอลงจากหลังม้า จัดการถอดรองเท้า ถลกชายขากางเกงแล้วเดินย่ำลงในลำธารที่ตื้นเขินแล้วตรงไปยังแท่นหินใหญ่ จากนั้นทิ้งตัวหงายหลังนอนอย่างขี้เกียจ

           ต้าเซียนเห็นดังนั้นก็จัดการถลกขากางเกงขึ้นบ้าง ก้าวเท้าขาวเนียนสัมผัสลงบนสายน้ำเย็นฉ่ำ เขาเลือกล้มตัวลงบนโขดหินที่ไม่ไกลจากตัวชายหนุ่ม สักพักก็สูดหายใจรับกลิ่นไอธรรมชาติ “สบายจัง”

           “ได้หยุดเที่ยวเล่นสักสองสามวันข้าดีใจยิ่ง” เซียวถิงฟงเพียงยิ้มขื่น เกรงว่าเขาอาจเป็นรองแม่ทัพคนแรกที่รับตำแหน่งไม่ถึงสามวันก็ต้องโดนพักงานเสียแล้ว

           “แต่ข้าว่าเจ้าเป็นห่วงซวนหยวนหมิงไท่มากกว่า” 

           เซียวถิงฟงนิ่งเงียบไปสักพักก็ทอดถอนใจกล่าว “เฮ้อ ข้ารู้สึกผิดต่อเขา หากข้าระวังมากกว่านี้ เรื่องคงไม่บานปลาย แต่ถึงอย่างไรข้าก็มิอาจหักหน้าองค์หญิงหย่าเหลียนได้เช่นกัน พวกเขาต่างเป็นพี่น้องของข้า” นึกถึงคนที่ต้องนั่งปวดหัวอยู่แต่ในวังหลวงแล้ว ก็พานให้รู้สึกผิด

           เขาเองก็ได้แต่มองคนข้างกายนิ่งก่อนตัดสินใจกล่าว “เจ้าอยากฟังข้าเล่านิทานไหม”

           “อยากสิ” ร่างสูงพลิกตัวมองมาอย่างตั้งอกตั้งใจ ต้าเซียนยิ้มน้อยๆให้แล้วจึงเริ่มเล่า

           “นานมาแล้วนับตั้งแต่สามพิภพยังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน วันหนึ่งหินอุกกาบาตกลับตกลงมายังพื้นพิภพจนเกิดเป็นระเบิดขึ้นยาวนานถึงสามพันปี รอจนพิภพสงบลงดินน้ำลมไฟก็ค่อยๆถือกำเนิดขึ้น ทว่ายังมีชิ้นส่วนหินอีกก้อนที่รอดพ้นจากการระเบิด มันกลับกลายเป็นก้อนหินธรรมดาอาศัยอยู่ใต้พื้นพิภพเรื่อยมา

           จนวันหนึ่งสายน้ำก็พากันโอบอุ้มมันไว้ นานวันเข้ามันจึงได้แปรสภาพเป็นเช่นดอกบัว ในวันแรกที่มันเบ่งบาน มันก็ได้มีโอกาสสัมผัสถึงสายลมแสงแดดที่อ่อนโยน มันจึงมีความสุขยิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานมันก็ตระหนักได้ถึงความอ้างว้าง อาจเป็นเพราะมีเพียงมันเพียงดอกเดียวที่อยู่ที่นี่ จวบจนสายน้ำเริ่มเหือดแห้งไปตามกาลเวลา มันจึงสลายกลายเป็นเม็ดทรายลอยละล่องไปกับสายลมแทน”

           “เช่นนั้นมันคงได้พบกับอิสระและสามารถออกตามหาพวกของมันใช่รึไม่” เซียวถิงฟงกล่าวถามอย่างสนใจ

           “เป็นเช่นนั้น แต่ทรายน้อยมิได้พบเจอสิ่งที่เป็นเช่นเดียวกับมัน ต่อเมื่อมันเผชิญกับการแผดเผาจากแสงแดดอันร้อนระอุนับพันปี มันจึงได้ก่อเกิดรูปร่างใหม่ จากนั้นออกเดินทางไปตามทะเลทรายอย่างไม่มีจุดหมาย จนในที่สุดก็ได้พบสิ่งที่มีรูปร่างเช่นมัน สิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ เพลานั้นทรายน้อยดีใจมาก มันมิต้องอยู่อย่างอ้างว้างอีก มันจึงตัดสินใจลอบปะปนใช้ชีวิตกับมนุษย์เหล่านั้น

           แต่แล้ววันหนึ่งมันกลับสังเกตเห็นถึงความแตกต่าง ทรายน้อยกลับมีพลังที่มนุษย์ไม่มี มันสามารถบันดาลทุกสิ่ง ประกอบกับที่มนุษย์เหล่านี้สร้างสังคมแต่ยังคงขาดความเป็นระเบียบ ทำให้ทรายน้อยคิดอยากช่วยเหลือ จึงตัดสินใจมอบพลังส่วนหนึ่งให้กับบุคคลที่เขาไว้ใจขึ้น จากนั้นทำการแบ่งแยกดินแดนออกเป็นสามส่วน สร้างกฎเกณฑ์เพื่อดูแลความเป็นไป รวมถึงให้การปกป้องอย่างเป็นความลับ ซึ่งเรื่องราวก็ผ่านพ้นไปได้ดี

           หากแต่วันหนึ่งกลับเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันเหล่ามนุษย์กลับล่วงรู้เรื่องนี้โดยบังเอิญ ทำให้พวกเขาต่างไม่พอใจ จึงพากันเรียกร้องขออำนาจวิเศษ ก่อเกิดเป็นความละโมบโทสัน จิตมารแพร่กระจายจนเหล่าปีศาจถือกำเนิดขึ้น พวกมันต่างคอยยุยงเหล่ามนุษย์ให้ลุกขึ้นต่อต้าน แม้กระทั่งก่อสงครามในดินแดนที่สมบูรณ์แห่งนี้ ทรายน้อยทั้งโกรธและผิดหวังในตัวมนุษย์จึงได้ปราบปรามเหล่าปีศาจและเหล่ามนุษย์ที่หลงผิด จนในที่สุดดินแดนแห่งนี้ก็กลับมาสงบสุขอีกครา”

           “ทีนี้ทรายน้อยก็คงได้สงบสุขเสียทีกระมัง” เซียวถิงฟงเอ่ยถาม

           “มิใช่เสียทีเดียว แม้ดินแดนแห่งนี้จะสงบสุข แต่ทรายน้อยกลับมิได้รู้สึกสงบใจแม้แต่น้อย ทั้งนี้เพราะมันตระหนักถึงบางสิ่ง บางสิ่งที่ต่างจากมนุษย์ มาตรว่าอยากจะเข้าใจมนุษย์มากแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง นั่นเพราะความจริงแล้วทรายน้อยนั้นเป็นเพียงก้อนหินเท่านั้น ก้อนหินจะมีหัวใจเยี่ยงมนุษย์ได้เช่นไรจริงไหม” ต้าเซียนเล่ามาถึงตรงนี้สายตาก็หม่นแสงลง ก่อนจะเงียบเสียงไป

           “จบแค่นี้รึ” เซียวถิงฟงทำสีหน้างุนงง ต้าเซียนหันไปยิ้มน้อยๆให้แล้วจึงกล่าวต่อ

           “แต่ความหวังยังมี วันหนึ่งก้อนหินน้อยได้รับหัวใจครึ่งหนึ่งของมนุษย์ผู้หนึ่งโดยบังเอิญ และในความบังเอิญนั้นกลับสร้างปาฏิหาริย์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ในที่สุดมันก็สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกของมนุษย์ แต่ทว่ากลับมีคนคัดค้านที่จะนำหัวใจนั้นมาใช้ ทั้งยังเรียกร้องให้คืนหัวใจนั้นเสีย ซึ่งลึกๆแล้วก้อนหินน้อยไม่อยากทำเช่นนั้น”

           “ข้าเดาว่ามันคงจะหลงรักมนุษย์ผู้นั้นเข้าเสียแล้ว”

           ต้าเซียนถึงกับชะงักเงียบเสียงลง สักพักจึงกล่าวด้วยสีหน้าเศร้า “เจ้าคิดว่าหากก้อนหินน้อยยินยอมคืนหัวใจให้แก่มนุษย์ผู้นั้นไป หลังจากนี้มันจะยังคงจดจำความรู้สึกรักได้อีกรึไม่” 

           “ข้าคิดว่าก้อนหินน้อยต้องจดจำได้” เซียวถิงฟงตอบอย่างมั่นใจ ทำให้ต้าเซียนนึกฉงน

           “เพราะเหตุใดกัน”

           “เพราะความรู้สึกรักมิใช่ความรู้สึกที่ยากจะลืมเลือน แม้นร่างกายจะทรุดโทรมตามกาลเวลา แต่ความรักนั้นหาได้ทรุดโทรมตามไม่ มันจะคงอยู่ตราบจนจิตวิญญาณสูญสลายหายไป” เขากุมมือเรียวแนบที่หัวใจตน “เช่นเดียวกับหัวใจข้าที่มิอาจลืมเลือนเจ้าได้อีกชั่วนิรันดร์”

           คล้ายมีบางสิ่งที่หนักหน่วงถูกยกออก ต้าเซียนฟังแล้วก็บังเกิดเป็นความรู้สึกปลอดโปล่ง พอดีกับที่ร่างสูงโน้มตัวลงมา จนหน้าผากเริ่มแนบชิด จมูกโด่งคลอเคลีย แลไม่นานก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสที่ริมฝีปาก

           เพียงเป็นการสัมผัสที่ผิวเผินแต่นานเข้ากลับเปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง ลิ้นอุ่นเข้าพัวพัน สมองเริ่มหมุนคว้าง เขาปล่อยตัวให้เป็นไปตามการชักนำของชายหนุ่ม

           เมื่อลิ้มรสจุมพิตหวานล้ำจนพอใจ เซียวถิงฟงก็เริ่มซุกไซ้ที่ริมใบหู ระดมจูบที่ลำคอระหง กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกบัวโชยออกกายร่างน้อยยิ่งทำให้น่าหลงใหล กระทั่งสาบเสื้อเริ่มเผยอเปิดออก ไหล่ขาวนวลเปิดโล่งสู่สายตา ผิวกายที่อุ่นนุ่มคล้ายยิ่งทำให้สติกระเจิดกระเจิง เขาไล้ริมฝีปากมายังไหล่มน ก่อนจะห้ามใจมิให้ขยุ้มกัดลงไปเบาๆมิได้ ร่างข้างใต้ถึงกับสะดุ้ง หากแต่เขามิคิดหยุด

           “ถิงฟง” ต้าเซียนมองตรงไปยังดวงตาสีดำน่าดึงดูด ฟังเสียงหัวใจแล้วดูว่าเต้นระทึกไม่แพ้ตนสักเท่าไหร่นัก ครั้นเริ่มรู้สึกถึงมือที่ลูบไล้ยังแผ่นหลัง ร่างก็พลันแอ่นโค้งขึ้น เขาเริ่มขมวดคิ้ว

           “โอ๊ย” จู่ๆก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่บ่า เซียวถิงฟงถึงกับกระเด้งตัวผละออกจากร่างน้อย ประจวบเหมาะที่เท้าเหยียบลงบนตะไคร้น้ำ พลอยทำให้หลังเอนหงายล้มก้นจ้ำเบ้าเข้าอย่างจัง น้ำในลำธารพากันกระจัดกระจาย “เจ้า เจ้ากัดข้าทำไม” เขาร้องลั่นถามด้วยสีหน้าที่งงงัน ทั้งที่กำลังเคลิบเคลิ้มแท้ๆ

           “ก็เจ้านั่นแหละที่กัดข้าก่อน” ต้าเซียนค้อนขวับพร้อมทั้งขยับไหล่ขาวนวลที่มีรอยฟันแดงออกเป็นหลักฐาน

           เขาเลิกตาโต “ข้า...ข้าแค่กัดเจ้าเบาๆเอง”

           “ข้าก็กัดเจ้าเบาๆเช่นกัน มิได้ลงแรงแม้แต่น้อย” หากคิดจะแกล้งข้า ฝันไปก่อนเถอะ ต้าเซียนเชิดหน้าใส่
เซียวถิงฟงถึงกับอับจนคำพูดไปชั่วขณะ ได้แต่หันไปลอบขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน ต้าเซียนไร้เดียงสาจนเกินไป ลองเป็นคราวหน้าข้าจะกัดเจ้าไม่ปล่อยเลยทีเดียว ฮึ่ม!

           หลังตะวันเริ่มคล้อยคนทั้งสองก็ตัดสินใจกลับไปที่จวน ครานี้ต้าเซียนรีบฉวยจังหวะขึ้นม้าเสียก่อน ด้านเซียวถิงฟงเห็นแล้วก็ทำทีส่ายหน้าระอาใจ แต่ครั้นตัวเองกระโดดขึ้นไปนั่งข้างหลังได้สำเร็จ ดวงตาเจ้าเล่ห์ที่ซุกซ่อนไว้ก็เผยปรากฏขึ้น

           “ย่ะ” ต้าเซียนออกควบม้าหนุ่มขี้เล่น ทว่าม้าขยับไปไม่ถึงสามก้าวก็ปรากฏมือใหญ่เลื้อยกอดเขาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าม้าจะสะบัดเจ้าตัวให้ตกลงข้างทาง “โอ๊ย เจ้าไม่ต้องเกาะแรงถึงเพียงนี้ก็ได้” เขาร้องอย่างอึดอัด

           “อะไรกันข้าเพียงเกาะเจ้าเบาๆเท่านั้นเอง ทีตอนเจ้าเกาะข้ายังแรงกว่านี้อีก” เซียวถิงฟงแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แอบกระชับกอดร่างบางอย่างได้ใจ ทั้งยังมิวายซุกหน้าพิงที่หลังน้อย

           ต้าเซียนอยากจะร้องก็ร้องมิออก หากเป็นไปได้เขาคงจะถีบคนผู้นี้ให้หน้าทิ่มลงจากหลังม้าไปแล้ว แต่ก็จนใจที่ตัวถูกกอดจนแทบขยับมิได้ต่อเมื่อม้าหนุ่มเหยาะย่างแช่มช้าจนถึงจวน คนที่นั่งซ้อนอยู่ที่ด้านหลังก็เป็นอันหลับสนิทเสียแล้ว เขาปล่อยมือจากบังเหียนหันมาแกะมือใหญ่ แต่มิไยจะพยายามแกะสักเท่าใด มือนั้นกลับยิ่งกอดรัดมากขึ้น

           แกะอยู่นานจนเหงื่อแทบตกก็ต้องเบ้ปากพ่นลมที่จมูก รออยู่สักพักก็บังเกิดความคิดดีๆขึ้น เขายิ้มกริ่มเหลียวซ้ายแลขวาที ดูว่ายังไม่มีใครออกมาจากจวน ทั้งยังไม่มีคนเดินผ่านถนนเส้นนี้ก็ถือเป็นโอกาสท่องมนตร์พึมพำทันที

           พรึ่บ จู่ๆคนก็ปรากฏยืนที่หน้าประตูจวน ส่วนผ้านวมหนาผืนหนึ่งกลับถูกแทนที่บนหลังม้า บนอานปรากฏชายหนุ่มร่างใหญ่นอนกอดผ้านวมหนาอย่างสบายใจ ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อยราวกับกำลังฝันดี

           ม้าหนุ่มสีน้ำตาลเองก็ดูจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างยิ่ง มันหยุดยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนราวกับกลัวคนบนหลังมันจะตื่น ชาวบ้านที่เริ่มเดินผ่านไปผ่านมาต่างพากันหยุดทั้งมุงทั้งมอง

           ต้าเซียนเห็นแล้วยิ้มกว้างพลางกล่าว “ถือว่าข้าเอาคืนเจ้า เชิญกอดให้สมใจเถิด หึ หึ หึ” พูดจบก็หันไปเปิดประตูเข้าจวนไปอย่างสบายใจ

           ต่อเมื่อเดินมาจนถึงหน้าเรือนพัก ก็พลันมีลูกธนูพุ่งตรงเข้าใส่กะทันหัน เขารีบเบี่ยงกายหลบก่อนใช้นิ้วคีบธนูดอกนั้นไว้ รอจนไม่มีเหตุการณ์เคลื่อนไหวใดอีก ก็สังเกตเห็นกระดาษที่ถูกมัดติดอยู่กับปลายลูกธนู

           บนแดนพิภพจะมีบุคคลใดที่จำต้องส่งสาสน์ให้เขากัน คิดแล้วก็ดึงมันออก คลี่อ่านอย่างสงสัย ดูว่าข้อความบนกระดาษมิได้มีข้อความใดสลักสำคัญ หากแต่ปรากฏนามของคนผู้หนึ่งที่ทำให้ลมหายใจเขาสะดุดลง

           ...เหตุใดจึงต้องการพบเขา ทั้งยังเป็นการส่วนตัว

           ต้าเซียนยืนถือลูกธนูนิ่งใช้ความคิด จากนั้นจึงตัดสินใจทะยานตัวลอยข้ามกำแพงมุ่งหน้าไปยังวังหลวงเพียงลำพัง มิได้สังเกตเห็นเซียวถิงฟงที่มีท่าทีปั้นปึ่ง ในมือกำไว้ด้วยผ้านวมหนานุ่มกำลังเดินตรงมายังเรือนพักของตนเอง


*************************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 16.2 หลุมพราง


           ต้าเซียนมิเคยเข้าไปยังตำหนักในมาก่อน จึงคอยติดตามนางกำนัลที่พบระหว่างทางไปอุทยานหลวง ซึ่งแม้ระหว่างทางจะมีพบเจอผู้คนมากมาย หากแต่กลับมิได้มีผู้ใดสังเกตเห็นเขาแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านไปเท่านั้น

           รอจนมาถึงทางแยก สัญชาตญาณก็บอกว่ามาถึงที่หมาย เขาเดินผ่านแมกไม้เล็กๆเข้าไปก็พบกับบุคคลที่รอตนอยู่ องค์หญิงหย่าเหลียนในชุดสีแดงสดนั่งอยู่ภายใต้ศาลาเล็กสีขาว นางคล้ายกำลังดื่มด่ำชารสดีจอกแล้วจอกเล่า ที่กลางโต๊ะยังจัดตั้งด้วยกระถางกำยานใบเล็กที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวาน

           “เชิญเข้ามา” นางกำนัลเว่ยผู้มีศักดิ์เป็นแม่นมขององค์หญิงกล่าวขึ้น จากนั้นก็อีกฝ่ายขึ้นลงด้วยสายตารังเกียจ
ทว่าต้าเซียนเพียงเชิดหน้าขึ้น ประสานมือไว้ที่ด้านหลัง ก้าวเข้าไปหาสตรีที่กำลังดื่มน้ำชาด้วยท่าทีนิ่งสงบ แต่แล้วนางกำนัลเว่ยก็ตวาดเสียงดุ
 
           “บังอาจ เห็นองค์หญิงแล้วยังไม่รีบคุกเข่าถวายพระพรอีก” 

           ต้าเซียนพลันหยุดฝีเท้า ด้านองค์หญิงหย่าเหลียนก็เริ่มแหงนหน้าขึ้นมอง คล้ายพึ่งรับรู้ถึงการมาของตน นางมิได้กล่าววาจาใดๆเพียงรอคอยเขาที่นิ่งงัน สักพักเขาจึงตอบเสียงเรียบ “ข้ามิจำเป็นต้องคุกเข่าให้ใคร”

           เขาเป็นถึงมหาเทพ เป็นผู้ที่อยู่เหนือสามพิภพ ไม่มีวันคุกเข่าให้ใครเป็นอันขาด

           “เจ้าคนไร้มารยาท” นางกำนัลเว่ยเงื้อฝ่ามือขึ้น ทว่าเสียงหวานกลับเอ่ยปรามไว้เสียก่อน

           “แม่นมพอเถอะ เชิญท่านกลับไปก่อนดีกว่า ข้าต้องการอยู่กับนางเพียงลำพัง” หย่าเหลียนกล่าวจบก็หันมาส่งรอยยิ้มให้แขก “เชิญเจ้านั่ง”

           เห็นดังนั้นนางกำนัลเว่ยจำต้องออกไปอย่างไม่วางใจ แต่มิวายใช้สายตาจับจ้องเขาตลอดจนลับสายตา

           “เจ้ามีธุระอะไรกับข้า” ต้าเซียนเลือกนั่งเก้าอี้ยังฝั่งตรงข้ามกับนาง

           “ข้าเพียงอยากสนทนากับเจ้านิดหน่อยก็เท่านั้น”   

           ต้าเซียนอมยิ้ม นางเพียงต้องการสนทนา ไยจึงต้องส่งสาสน์ด้วยลูกธนู ทั้งหมดนี้ดูมิใช่เรื่องปกติ “กล่าวมาเถิดมิต้องเกรงใจ” กล่าวจบเขาก็แสดงท่าทีผ่อนคลาย องค์หญิงหย่าเหลียนจึงเริ่มเอ่ยปาก

           “เจ้ามาจากที่ใด รู้จักกับพี่ถิงฟงได้เช่นไร” นางกล่าวถามพลางหยิบถ้วยเล็กรินชาอุ่นๆแล้วยื่นให้แขกตรงหน้า

           “ที่มาของข้าสำคัญนักหรือ” กล่าวพลางรับชาที่มีควันลอยฉุยขึ้นดื่ม ครั้นปลายลิ้นสัมผัสได้แต่รสเฝื่อนแต่กระนั้นก็ยังกลั้นใจดื่มมันจนหมด

           “หรือเจ้ามีสาเหตุที่บอกคนอื่นมิได้?” นางรุกถามแทบทันทีคล้ายพยายามบีบบังคับให้คายความลับออกมา

           “.......” เขามิคิดตอบ พอดีกับที่รู้สึกคอแห้งผาก จึงดื่มชาลงไปอีกสองถึงสามจอก

           “ดูเหมือนเจ้าจะชอบชานี้เป็นพิเศษ” นางกล่าวพลางเป็นฝ่ายรินชาใส่ถ้วยแล้วถ้วยเล่า

           “หากเจ้ามีเรื่องเพียงแค่นี้ ข้าสมควรกลับแล้ว” คล้ายรู้สึกถึงความมิชอบมาพากล ต้าเซียนจึงหยัดกายขึ้น

           “เดี๋ยวสิ เจ้าจะรีบกลับไปไยกัน”

           จู่ๆนางก็ร้องห้ามเสียงดัง พลางวางมือลงบนฝ่ามือของเขา นิ้วเรียวปรากฏเล็บยาวสีแดงน่ากลัว ต้าเซียนงงงันวูบ แต่ชั่วขณะนั้นกลับไม่สามารถอธิบายอะไรได้จึงได้แต่นั่งลงอีกครา

           “ข้าจะมิกล่าวอ้อมค้อมอีก ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่สาวคนหนึ่ง หากพี่สาวจะให้เกียรติน้องอย่างข้ารับฟังความหวังดีสักหน่อย” นางเว้นเสียงไประยะหนึ่งแล้วจึงกล่าวสืบต่อ “กวางน้อยตัวหนึ่งแต่เล็กจนโตอาศัยอยู่กับพี่น้อง หากแต่วันหนึ่งกลับคึกคะนองออกจากฝูง ชะตาไม่แคล้วเป็นเหยื่อปีศาจร้าย” ถึงตรงนี้น้ำเสียงของนางก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิต

           “.......” จากท่าทีที่เคยผ่อนคลายจำต้องขึงขังขึ้นมาอีกครั้ง ต้าเซียนขมวดคิ้วมุ่น...หากกวางน้อยหมายถึงตน แล้วปีศาจเล่าคือผู้ใด

           “ตัวท่านเองมีศักดิ์สูงส่งยิ่ง ไยจึงยอมคลุกคลีกับมนุษย์”

           ครานี้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนต้องเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ พร้อมๆกับไอร้อนที่ก่อตัวที่ทรวงอก ลำคอร้อนผ่าวทั้งยังแห้งผาก “เจ้าเป็นใคร” ต้าเซียนรีบเค้นเสียงถาม ทว่าเสียงที่เปล่งออกมากลับมีแต่ความแหบแห้ง เขาจ้องคนตรงหน้าเขม็ง แต่นางเพียงยกชาขึ้นดื่มอย่างไม่ยี่หระ จนในที่สุดเขาก็ฉุกคิดขึ้นยกมือปัดสิ่งของที่กึ่งกลางโต๊ะในทันที

           กระถางกำยานถูกปัดตกลงบนพื้น เศษซากดำๆของอสรพิษแมงมุมที่ไหม้เกรียมไม่เต็มที่โผล่พ้นจากกระถาง

           “ท่านชอบกลิ่นหอมชนิดนี้ไหม ท่านมหาเทพ”

           “เจ้า” ต้าเซียนอุทาน ภาพของปีศาจจิ้งจอกในชุดแดงซ้อนทับกับองค์หญิงหย่าเหลียนปรากฏแก่สายตา เขาพยายามหยัดกายลุกขึ้น แต่ความแสบร้อนที่เผาผลาญในทรวงอกแทบทำให้ลำตัวต้องโค้งงอ มือหนึ่งกุมหน้าอกไว้ด้วยความทรมาน
ปีศาจจิ้งจอกในชุดแดงก้าวย่างสามขุมเข้าหาอย่างมิเกรงกลัว เมื่อเห็นท่าไม่ดีต้าเซียนก็ซัดฝ่ามือหนึ่งออกไป ทว่าพลังยังมิทันได้ถูกปล่อย ความร้อนในอกก็กำเริบขึ้น ร่างพลันเซถอยหลังทรุดลงนั่งใกล้ริมรั้วของศาลา ประโยคหนึ่งผุดขึ้นในใจ...ชะตาไม่แคล้วเป็นเหยื่อปีศาจร้าย จากนั้นเขาก็หลับตาแน่นิ่งไป

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะย่ามใจดังขึ้นภายใต้ริมฝีปากของสตรีที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิง

           ไม่คิดเลยว่าแม้กระทั่งบุคคลซึ่งอยู่เหนือทั้งสามพิภพกลับต้องมาพลาดท่าให้กับปีศาจต้อยต่ำอย่างตน นางยกยิ้มมองกำยานอสรพิษแมงมุมสีรุ้งที่มีฤทธิ์ทำลายโสตประสาทอย่างช้าๆ หากสูดดมเข้าไปจะไม่สามารถสดับรับรสแลได้ยินหรือมองเห็นอีก ซ้ำให้รสสัมผัสเจ็บปวดหลายเท่า ยังมีชาผสมพิษเขี้ยวงูดำ ซึ่งมีพิษร้ายทำลายหัวใจ เพียงดื่มเล็กน้อยลำคอก็จะแห้งผาก ทรวงอกจะแสบร้อน ในไม่ช้าหัวใจจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง นับเป็นพิษที่ร้ายกาจยิ่ง

           องค์หญิงหย่าเหลียนในคราบจิ้งจอกเหม่ยซินย่อกายลงมองใบหน้ากระจ่าง กลิ่นหอมเบาบางเช่นดอกบัวโชยออกจากร่างที่สิ้นสติ มือเลื่อนไล้จรดลงที่หน้าอกราบ รอยยิ้มเหี้ยมพลันก็ปรากฏขึ้น

           กลิ่นหอมยิ่งนัก หัวใจมนุษย์ในร่างของท่านมหาเทพ หากข้าได้ลิ้มลอง หากข้าได้กลืนกิน ตบะของข้าจะแกร่งกล้ายิ่งกว่าเทพเซียนองค์ไหนๆ

           ถึงแม้พิษจะซึมซาบเข้าสู่หัวใจไปแล้ว แต่หากเป็นตอนนี้นางอาจได้ลิ้มรสถึงสามในสี่ส่วน ขอเพียงแค่ควักมันออกมากินเสีย นางก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ ว่าแล้วสายตาสะท้อนให้เห็นถึงความกระหื่นหายเต็มที่ เล็บคมแหลมสีแดงก็พุ่งเข้าใส่ร่างตรงหน้าอย่างไม่ปราณี

           ฉับพลันนั้นแสงสีทองกลับส่องสว่างวาบ พลังขุมหนึ่งแล่นปะทะเข้ากับคนที่หน้าตาแตกตื่น คิดจะกลับตัวหากแต่ตอนนี้มิทันการณ์แล้ว จิ้งจอกเหม่ยซินกระเด็นไปชนกับศาลาที่ด้านหลังเข้าอย่างจัง รั้วไม้หักพังทลายลงในทันที
 
           มาตรว่าพิษร้ายกล้ำกราย กระนั้นดวงตาสีทองก็ยังคงส่องประกายสูงส่งระคนเย็นชา เด็กหนุ่มยืนขึ้นด้วยท่าทีที่ไร้อาการบาดเจ็บ อาภรณ์ที่สวมใส่จากสีส้มกลับกลายเป็นสีขาวสะอาดดูงามสง่าเต็มเปี่ยมไปด้วยบารมี เส้นผมสีน้ำตาลยาวปลิวสะบัดพัดไปตามกระแสแรงลม

           จิ้งจอกเหม่ยซินรีบพยุงตัวลุกขึ้น เกิดเป็นอาการแปลบปลาบที่หัวไหล่ เลือดอุ่นๆหยาดหยดลงสู่พื้น นางรีบกุมไหล่นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด ครั้นร่างสีขาวเดินเข้ามา ทั้งมีท่าทียกฝ่ามือปลดปล่อยพลังออกเป็นระลอกที่สอง นางก็รีบฉวยโอกาสเตะกระถางกำยานบนพื้น ยังผลให้เศษซากอสรพิษ รวมถึงเถ้าถ่านกระเด็นลอยฟุ้งอยู่กลางอากาศ

           ต้าเซียนจำต้องเบี่ยงตัวหลบให้พ้น พร้อมกันนั้นบังเกิดเป็นเสียงดังคล้ายระเบิด ควันสีขาวพวยพุ่งจากพื้นบดบังทัศนียภาพรอบตัวอย่างรวดเร็ว เขารับรู้ได้ทันทีว่าปีศาจจิ้งจอกหนีไปแล้ว ทว่าเขาไม่มีเหตุผลที่จะตามอีก เพราะตอนนี้มิใช่เวลาที่ควรกระทำ

           ต่อเมื่อหมอกควันเริ่มจางลง ในศาลาเล็กๆแห่งนี้ก็ไม่หลงเหลือเงาร่างของสตรีอีก นอกจากนี้ยังรวมไปถึงกระถางกำยานแลชุดน้ำชาที่หายไปด้วย นับว่านางรอบคอบ นางกำจัดหลักฐานไปได้อย่างไร้ร่องรอย ร่างน้อยคิดพลางหยุดยืนนิ่งหลับตาอีกครั้ง ในอกรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งผลักดันให้ถาโถมออกมา เขารีบยกมือปิดปาก รู้สึกคล้ายจะอาเจียน จนสุดท้ายก็มิอาจฝืนก็สำลักมันออกมาในที่สุด

           “อ่อก” ของเหลวถูกขับออกมาผ่านทางริมฝีปาก ต้าเซียนตระหนักได้ทันทีว่ามันคือ โลหิต ทั้งยังมีสีดำข้น แต่นี่มิใช่เวลามาใส่ใจ เพราะสิ่งที่เขาควรทำเป็นอย่างแรกคือ ไป...ที่นี่อยู่นานมิได้ ว่าแล้วก็กัดฟันรีบพาตนเองออกไปจากสถานที่แห่งนี้โดยเร็ว

           แสงแดดยามเย็นกระทบดวงหน้า แต่ในสายตาของต้าเซียนกลับมีแต่ความมืดครึ้ม เสียงรอบข้างพลันดับสนิท ในทรวงอกยังคงร้อนระอุ เขาอำพรางร่างก่อนพาตัวเองออกมาอย่างยากเย็น แม้แต่แรงเดินเริ่มถดถอยลง ดูท่าว่ายิ่งใช้พลังมากเท่าไหร่ ร่างก็ยิ่งทรุดหนักลงเท่านั้น

           เดิมทีเขาควรทรุดลงตั้งแต่ตอนที่ปีศาจจิ้งจอกเปิดเผยตัว ทว่าตอนนั้นเขาแสร้งหมดสติรวบรวมพลังโจมตี และยังดีที่นางเกรงกลัวพลังของเขาจึงได้หลบหนีไปเสียก่อน มิเช่นนั้นเป็นเช่นไรเขาก็ไม่อยากนึก

           “ข้าต้องกลับไปหาเจ้า ถิงฟง” ต้าเซียนพึมพำ นี่เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เขายืนหยัดขึ้นเหนือความเจ็บปวดครั้งนี้ได้ เซียวถิงฟงยังรอเขาอยู่ คิดแล้วทำให้เขานึกถึงภาพที่พึ่งผ่านมาไม่นาน

           ภาพของเซียวถิงฟงที่นอนกอดผ้านวมอยู่บนหลังม้าด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข


*************************************************


           เด็กหนุ่มเดินเลียบกำแพงไปด้วยท่าทีย่ำแย่ ชุดสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตสีดำ เส้นผมยาวสยายยุ่งเหยิง เหงื่อกาฬผุดผาดบนใบหน้าอันขาวซีด ดวงตานิ่งจ้องตรงไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย มิอาจสังเกตเห็นคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าได้

           เฟยหลงรอคนผู้หนึ่งอยู่แถวนี้มาได้สักพักแล้ว จนกระทั่งคนที่รอปรากฏกายอยู่ตรงหน้า พริบตานั้นก็ต้องรู้สึกเจ็บแปลบในอก ความรู้สึกผิดเข้าจู่โจมกรีดย้ำที่หัวใจ

           เขาไม่อยากทำร้าย ไม่อยากทำร้ายร่างน้อยแม้แต่เส้นผม แต่เขาจำเป็นต้องทำ...เพื่อให้ได้มา

           ต้าเซียนเดินโซเซเข้าใกล้บุคคลผู้หนึ่งโดยที่ไม่รู้สึกตัว กระทั่งชนเข้าที่แผงอกใหญ่ก็ต้องสะดุ้งตัวด้วยไม่คิดว่ามนตร์อำพรางจะเสื่อมลง  เขารีบผละตัวออก หากแต่มือใหญ่คู่หนึ่งก็กลับฉวยกุมมือเขาไว้

           “ท่านมหาเทพ” เฟยหลงเรียกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงปวดร้าว

           เขาสัมผัสได้ถึงมือที่กอบกุมอย่างอ่อนโยน หากแต่มิอาจได้ยินน้ำเสียงที่เจ็บปวดออกมา “คะ ใคร...ถิงฟงหรือ”

           เฟยหลงรู้สึกเหมือนโดนมีดกรีดที่หัวใจเป็นครั้งที่สอง แม้แต่ตอนนี้ท่านมหาเทพก็ยังคิดถึงแต่มนุษย์ผู้นั้น ร่างพลันเกร็งขึงขึ้น มือที่จับกุมไว้ก็กำแน่นกว่าเดิมโดยที่ไม่รู้ตัว

           ตอนนี้ต้าเซียนเปรียบเสมือนคนตาบอดที่มิอาจมองเห็น แต่ก็รู้ได้ว่าคนตรงหน้ามิใช่เซียวถิงฟงแน่นอน ครั้นเมื่อรู้สึกถึงแรงบีบก็ต้องรู้สึกใจไม่ดีพยายามชักมือหนี “ปล่อยข้า” แต่ฉับพลันนั้นร่างกลับถูกดึงรั้ง ท้ายทอยถูกช้อนขึ้นโดยมือใหญ่ จากนั้นริมฝีปากก็ถูกบดเบียดดุดัน

           การกระทำดังกล่าวยังผลให้ต้าเซียนขัดขืน ไม่นานกรามก็ถูกบีบบังคับให้เปิดออก ปลายลิ้นอุ่นเข้ารุกรานโพลงปากก่อนกระหวัดไล่ต้อนเป็นพัลวัน น้ำตาใสปริ่มออกจากหางตา ทรวงอกแสบร้อนจนลมหายใจขาดห้วง เมื่อทนทานไม่ไหวสองมือก็ดุนดันร่างใหญ่สลับกับทุบตีอกหนา ทว่าอีกฝ่ายกลับมิสะทกสะท้านสองมือจึงค่อยๆอ่อนล้าตกลงที่ข้างตัวในที่สุด

           เฟยหลงสัมผัสริมฝีปากนุ่มนวลอย่างรุนแรง ด้วยรู้สึกโกรธระคนรวดร้าว นี่เป็นเพราะนามของชายอื่นเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางนั้น ทำให้เขาอยากลงโทษให้สาสม ให้ร่างน้อยทรมานเจ็บปวดเช่นที่เขาเป็น
 
           ต่อเมื่อสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำใส เขาจึงยอมถอนจุมพิตออกมาในที่สุด แม้จะเป็นจูบที่ไร้ซึ่งความอ่อนโยน แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้เลยว่าตนรู้สึกดีไม่น้อย แม้ในคราแรกจะได้รับรสขมที่เต็มไปด้วยพิษในริมฝีปาก แต่กระนั้นความขมนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นหอมหวานนุ่มนวลจนน่าหลงใหลในที่สุด ส่งผลให้เขาต้องตกอยู่ภายในความลุ่มหลงจนมิอาจถอนตัว

           “เฟยหลง”

           น้ำตาที่เปรียบเสมือนอัญมณีเม็ดงามหลั่งรินออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ในที่สุดนามของตนถูกกล่าวออกมา หัวใจเสมือนได้รับการเยียวยาอีกครั้ง เขาจูบซับหยาดน้ำตานั้นด้วยความอ่อนโยนราวกับเป็นการขอโทษ

           “ชะ ช่วยหัวใจข้าด้วย” น้ำเสียงแหบแห้งเปล่งออกมาด้วยความยากเย็นทั้งแฝงไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งเสียใจอ้อนวอนและความหวัง

           เสียงดังกล่าวนี้ทำให้ลมหายใจเฟยหลงหยุดชะงัก ความสับสนและความหวั่นไหวถูกเข้ามาแทนที่ กระทั่งร่างน้อยเอนซบเข้าที่อกแกร่งแน่นิ่งไปก็พลันมีสติ จากนั้นจึงกระวีกระวาดอุ้มร่างนั้นโผทะยานขึ้นเหนือฟ้าก่อนเลือนลับไปพร้อมกับสายลมที่พัดผ่านอย่างแรง

           ปัง ประตูห้องถูกลมผลักให้เปิดออก เฟยหลงอุ้มร่างปวกเปียกเข้ามาในห้องด้วยท่าทีที่ร้อนใจ แต่ถึงแม้จะร้อนใจสักแค่ไหนก็ยังมิลืมที่จะวางร่างนั้นลงบนเตียงกว้างอย่างเบามือ มองดูคนที่ขมวดคิ้วมุ่น หายใจติดๆขัดๆก็ยิ่งทำให้เขารู้ว่าท่านมหาเทพเจ็บปวดมากแค่ไหน

           “ข้าขอโทษ” เฟยหลงกล่าวน้ำเสียงเศร้าสร้อย

           ควรรู้แต่เเรกแล้วว่าท่านมหาเทพมิเคยเจ็บปวดดั่งเช่นมนุษย์ หากแต่ตอนนี้ร่างๆนี้มิได้แตกต่างไปจากมนุษย์อีก ทั้งยังมีหัวใจ ย่อมต้องรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าคนธรรมดาหลายเท่าตัว

           “วางใจเถิดข้าจะรีบกลับมา” เขาจบกุมมือน้อยเอาไว้ อีกข้างก็ดึงเอาผ้าแพรในอกเสื้อขึ้นซับเหงื่อที่ประปรายบนหน้าผาก ก่อนตัดใจสาวเท้าออกไปคิดบัญชีกับบุคคลผู้หนึ่ง

**********************************************

วันนี้มาดึกหน่อย เเต่ก็ขอให้อ่านกันสนุกๆนะจ้ะ  :z2:

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 17.1 แผนร้าย


           เพลานี้เป็นยามฟ้าสิ้นแสงแล้ว เสียงที่เคยคึกคักของนางกำนัลก็สงบลง บัดนี้ในตำหนักลุ่ยหวาเหลือเพียงหญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น

           องค์หญิงหย่าเหลียนมองดูหยาดหยดโลหิตสีแดงฉานที่ไหลนองเป็นทางยาว เสื้อคลุมสีแดงสดถูกโยนกองทิ้ง กลิ่นคาวของเลือดอบอวลจนน่าคลื่นเหียน ยังมีรอยไหม้ฉกรรจ์บนหัวไหล่ที่ทำให้ต้องงุนงงวูบ

           นางได้รับบาดแผลนี้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน? ทว่าเมื่อนึกตรึกตรองอยู่ ฉับพลันนั้นจิตของนางก็ถูกรุกรานด้วยความคิดหนึ่ง
เจ็บใจนัก ทั้งๆที่โดนพิษเล่นงานถึงขนาดนั้น ไยจึงสามารถโต้ตอบข้า ทำกับข้าได้สาหัสถึงเพียงนี้ หึ รอก่อนเถิด หากข้าได้ครอบครองหัวใจดวงนั้นเมื่อไหร่ พลังของข้าจะต้องยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้แน่
           
           ปึง ประตูถูกกระแทกเปิดอย่างแรงพร้อมชายหนุ่มผู้มีท่าทีเกรี้ยวกราด นางถึงกับสะดุ้งตัวตกใจ ยิ่งเมื่อแลเห็นสายตาดุดันดุจพญาอินทรีที่จ้องอย่างกินเลือดกินเนื้อแล้วก็ให้รู้สึกพรั่นพรึงในใจยิ่ง

           ราวกับรับรู้ถึงอันตราย จิตใต้สำนึกจึงสั่งการให้ถอยห่างออกไป แต่แล้วร่างกายกลับกระทำในสิ่งที่กลับตาลปัตร สองขามิเชื่อฟังคำสั่งผู้เป็นนาย ทั้งยังชักนำไปหาบุรุษผู้นี้ ลึกลงไปในจิตใจยังสัมผัสได้อีกว่า นอกจากความหวาดกลัวแล้วยังคงมีความยินดีซุกซ่อนไว้อยู่ประการหนึ่ง

           ร่างอ่อนหวานเดินตรงไปข้างหน้า แล้วจึงย่อตัวลงคารวะอย่างนอบน้อม “ท่านจอมมารเฟยหลง”

           เสียงที่กล่าวแฝงไว้ด้วยความออดอ้อนดังขึ้น ดวงตาของหย่าเหลียนเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง มาตรว่าเสียงที่พึ่งเอ่ยออกมาจะเป็นของนาง แต่แท้จริงแล้วนางหาได้กล่าวความใดไม่

           “เหม่ยซิน” น้ำเสียงกัดฟันเล็ดรอดจากริมฝีปากของเฟยหลง

           ใคร เขาเรียกใครกัน ที่นี่มีเพียงแต่นาง แล้วเขาเรียกใครกันเล่า? หย่าเหลียนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แล้วจู่ๆใจก็พลันหดลีบเล็กลง ร่างกายเริ่มสั่นเทิ้มอย่างที่มิอาจหยุดได้

           “ท่านจอมมาร” เสียงเว้าวอนขอความเมตตาเปล่งออกมาจากปากของนางพร้อมกับร่างที่ทรุดลงเบื้องหน้าจอมมาร
เฟยหลงหลุบตาลงมองสตรีที่คุกเข่าอย่างเย็นชา มือแกร่งซัดออกไปจับที่หัวไหล่ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต พร้อมกันนั้นยังเกร็งฝ่ามือจนสตรีที่เบื้องหน้าร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด

           “โอ๊ย ได้โปรดท่านจอมมาร ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย”

           “ข้าบอกให้เจ้าทำถึงเพียงนี้เชียวรึ ไหนเจ้าบอกว่าพิษชนิดนี้ทำลายเพียงแค่หัวใจในร่างของท่านมหาเทพเท่านั้น แล้วเหตุใดท่านจึงมิอาจมองเห็นแลได้ยินเช่นนี้” ตวาดคนตรงหน้าอย่างโมโห นึกถึงท่านมหาเทพที่กำลังบาดเจ็บภายในจนร่างกายบอบช้ำแล้วก็บังเกิดความเจ็บปวดรวดร้าวในอก

           ครานี้องค์หญิงหย่าเหลียนมั่นใจแล้ว ชายที่ถูกเรียกว่าจอมมารนั้นกำลังพูดกับนาง แต่นางหาเข้าใจไม่ว่าเขาพูดเรื่องอันใดและเหตุใดจึงต้องทำร้ายนาง

           “ตะ แต่หากไม่ใช้พิษ เหม่ยซินก็มิอาจต้านทานพลังของท่านมหาเทพได้...เหม่ยซินย่อมมิใช่คู่ต่อกร” เสียงหวานปนสั่นเครือกล่าวอย่างขอความเห็นใจ นางนิ่วหน้าเจ็บปวดเมื่อบาดแผลถูกบีบแน่นขึ้นอีก

           เหม่ยซิน นามนี้ทำให้องค์หญิงหย่าเหลียนรู้สึกราวกับถูกตบฉาดเข้าที่ใบหน้า นางมิได้หูฝาด เนื่องด้วยความเจ็บปวดที่แล่นริ้วจากช่วงหัวไหล่ทำ ทำให้นางมีสติรับรู้ทุกประการ นางเรียกตัวเองว่าเหม่ยซิน

           เฟยหลงสะบัดมือออกจากหัวไหล่มน หันกายปิดบังสีหน้าของตนไว้ ที่จิ้งจอกเหม่ยซินกล่าวมานั้นมิใช่ว่าไม่มีเหตุผล บางทีคนที่ควรชังมากที่สุดอาจเป็นตนเอง เพราะแท้จริงแล้วคนที่ทำร้ายท่านมหาเทพก็คือ เขา
           
           เป็นข้าเอง ร่างแกร่งตอกย้ำในใจ สองมือกำแน่นด้วยฝืนกล้ำกลืนความขมขื่นไว้ รอชั่วครู่จึงกล่าวน้ำเสียงหนัก

           “จงนำยาถอนพิษให้ข้า”

           จิ้งจอกเหม่ยซินถึงกับอ้าปากค้างแทบไม่อยากจะเชื่อหู นางรีบกล่าวเตือนสติจอมมาร “ท่านจอมมาร ท่านต้องการทำลายหัวใจมนุษย์ในร่างของท่านมหาเทพมิใช่หรือ เหตุใดจึงล้มเลิกกลางคันเช่นนี้”

           “มอบยามา” น้ำเสียงห้วนเอ่ยขึ้นอีกครา

           นางปีศาจขมวดคิ้วมุ่น ทั้งไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วย หากไม่กระทำให้สำเร็จ มิเท่ากับนางเจ็บตัวเปล่าหรอกหรือ ดังนั้นนางจึงใช้น้ำเสียงกร้าว “หรือเป็นเพราะท่านจอมมารเกิดใจอ่อน มิกลัวว่ามนุษย์ผู้นั้นจะขโมยท่านมหาเทพไปจากท่านจริงๆรึ” 
หากแต่เมื่อค่อนขอดจบ บรรยากาศในห้องก็เริ่มจับตัวเย็นยะเยียบ กลิ่นอายความตายอบอวลไปทั่วห้อง ยังผลให้นางต้องหุบปากเงียบสนิททันที

           จอมมารเฟยหลงยกยิ้มขึ้น จากนั้นกล่าวอย่างแช่มช้าทว่าน้ำเสียงกลับแฝงไว้ด้วยความอำมหิต “อย่าให้มันมากไปเหม่ยซิน หากเจ้ามิอยากกลับไปอยู่กับพี่น้องปีศาจที่หุบเหวแดนลับแลก็ควรหุบปากของเจ้าเสีย”

           ร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นด้วยรังสีฆ่าฟันที่แผ่ออกมา จิ้งจอกเหม่ยซินรีบระล่ำระลักกล่าว “ขะ ข้าน้อยขออภัยเป็นอย่างยิ่ง” 
หากกล่าวถึงหุบเหวแห่งแดนลับแล หุบเหวที่เต็มไปด้วยซากศพของเหล่าปีศาจ ศพทุกศพล้วนไม่เป็นชิ้นเป็นอัน บ้างกระจัดกระจาย บ้างแหลกเละไม่เป็นชิ้นดี สถานที่ที่แม้กระทั่งปีศาจก็ยังไม่คิดที่จะเยื้องกรายเข้าใกล้ อีกทั้งยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามีเหล่าปีศาจมากน้อยเพียงใดที่ต้องสังเวยให้กับหุบเหวแห่งนี้...ในน้ำมือของจอมมารเฟยหลง

           “มอบยามา” เฟยหลงกล่าวย้ำเป็นครั้งสุดท้าย

           ครานี้แม้จะรู้สึกไม่พอใจ แต่จิ้งจอกเหม่ยซินก็ไม่กล้าขัดคำสั่งแล้ว กระนั้นนางก็ยังคงอิดออด เฟยหลงที่รออยู่นานก็ไม่ได้ยาสักทีจึงหันขวับถลึงตาดุดันเข้าใส่ นางจึงต้องส่งมอบยาให้แต่โดยดี

           หลังจากได้รับยาถอนพิษเฟยหลงก็ก้าวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะที่กำลังจะก้าวข้ามประตู ฝีเท้าก็พลันหยุดชะงัก

           “เหม่ยซิน หากเจ้าคิดกระทำการใดที่เป็นการทำร้ายต่อท่านมหาเทพลับหลังข้า เจ้าอย่าได้คิดหมายว่าจะมีชีวิตอีก เพราะแม้ตายข้าก็จักต้องทำลายดวงจิตของเจ้า ข้าทำได้อย่างที่พูดรึไม่ เจ้าย่อมรู้ดีแก่ใจ”

           “ข้าน้อยมิกล้า” เหม่ยซินรีบกล่าวปฎิเสธ ใบหน้าเริ่มผิดสี จอมมารเฟยหลงล่วงรู้ความคิดของนาง

           เมื่อสิ่งที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอันใดต้องรั้งอยู่อีก ร่างแกร่งจึงพลันหายไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

           ห้องกลับมาเงียบอีกครั้งเสมือนไม่เคยต้อนรับใครมาก่อน จิ้งจอกเหม่ยซินทรุดลงนั่งที่เตียงด้วยอารมณ์มิสู้ดีนัก แม้อยากจะกลืนกินหัวใจมนุษย์ดวงนั้น หัวใจมนุษย์ในร่างท่านมหาเทพ หากแต่นางมิกล้าเป็นปกปักษ์กับท่านจอมมารเฟยหลง

           นางรู้แก่ใจดี เหล่าปีศาจที่เยื้องกายเข้าไปในหุบเหวลับแลแล้ว หลังจากนี้มีสภาพน่าเวทนาอย่างไร พวกเขาไม่มีวันกลับมา แต่ถึงอย่างไรนางก็อดเจ็บใจมิได้ หากตอนนั้นนางมิหลงกลท่านมหาเทพ หากนางย้อนกลับไปสังเกตท่าทีเพื่อให้มั่นใจอีกครั้ง บางทีหัวใจดวงนั้นคงตกอยู่ในท้องของนางไปแล้ว

           “เกิดอะไรขึ้นกับข้า”

           เสียงหนึ่งดังขึ้นในสมอง นางกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ ไฉนจึงต้องมาโวยวายให้นางรำคาญใจตอนนี้ด้วย “เจ้ามิต้องโวยวายให้มากความ ตอนนี้ข้าก็คือเจ้า เจ้าก็คือข้า” จิ้งจอกเหม่ยซินโพล่งตอบอย่างรำคาญใจ

           “เจ้าเป็นใคร ทำไมร่างกายข้าถึงเป็นเช่นนี้” หย่าเหลียนถามอย่างหวาดกลัว ร่างกายที่เคยเป็นของนางบัดนี้เสมือนมิใช่ของนางอีกต่อไป

           แต่แล้วนางปีศาจก็ยกยิ้มอย่างมีเลศนัย อย่างที่มิอาจพบได้ในสีหน้าขององค์หญิงหย่าเหลียน จู่ๆนางก็นึกคิดอะไรบางอย่างออก นางคิดถึงตัวเลือกที่มิน่าจะลืมไปได้

           หากว่านางไม่มีหวังจากหัวใจมนุษย์ในร่างของท่านมหาเทพแล้ว เช่นนั้นหัวใจในร่างของมนุษย์ที่ได้รับพลังเทพล่ะจะเป็นเช่นไร?

           ปีศาจจิ้งจอกคิดแล้วก็ต้องเหยียดยิ้ม ส่งเสียงหวาน “เด็กน้อยจำข้ามิได้หรือ อย่าได้วิตกไป เป็นแบบนี้มิดีหรือ ถึงแม้ครานี้ต้องบาดเจ็บไปบ้างแต่เจ้าจำมิได้จริงๆรึว่าก่อนหน้านี้เจ้าได้ทำร้ายใครกัน”

           หย่าเหลียนนิ่งคิดถึงกลิ่นหอมหวานจากกระถางกำยาน ชุดน้ำชาเล็กๆถูกจัดวางอยู่กึ่งกลางโต๊ะ ภาพของต้าเซียนที่กำลังดื่มชาจอกแล้วจอกเล่า แต่มิทันไรสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด เพียงชั่วลัดนิ้วเขาก็สลบไปกองกับพื้น นางเดินเข้าไปใกล้หากแต่ถึงตอนนี้สติของนางก็ขาดหายไป รู้สึกตัวอีกทีตนก็อยู่ในห้องนอนพร้อมกับรอยแผลไหม้บนหัวไหล่แล้ว

           “เจ้าคิดรึว่า เด็กน้อยอย่างเจ้ามีความสามารถทำร้ายท่านมหาเทพได้อย่างนั้นรึ ลองคิดดูให้ดี หากเป็นข้าที่อยู่ในร่างเจ้า เจ้ายังคงสามารถใช้อิทธิฤทธิ์ของข้าได้บางส่วน คิดอยากจะกระทำเรื่องใดก็ทำได้ตามที่เจ้าปรารถนา แม้กระทั่งเเย่งเซียวถิงฟงผู้นั้นมาเป็นของเจ้า”

           “ข้า ข้าทำได้จริงๆรึ” หย่าเหลียนกล่าวถามอย่างไม่มั่นใจ

           “หากเป็นข้ากับเจ้าย่อมทำได้แน่” มุมปากของจิ้งจอกเหม่ยซิน ประดับด้วยรอยยิ้มอำมหิต เซียวถิงฟงมิใช่เหยื่อชั้นเลว เขาจัดได้ว่าเป็นเหยื่อชั้นยอดเลยทีเดียว ยิ่งครั้งที่ได้พบเจอคราแรก กลิ่นอายเทพอ่อนๆที่แผ่กำจายออกมา รวมถึงรูปร่างสมส่วน หน้าตาหล่อเหลากระตุ้นให้นางกระหายลิ้มรสยิ่งนัก

           “ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ข้าจะเป็นพลังให้กับเจ้าเอง”

           ได้ฟังเช่นนั้นองค์หญิงหย่าเหลียนก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นางมีกำลังเป็นของตนแล้ว และตอนนี้นางมิสนใจว่านางจะเป็นเครื่องมือของใคร เพียงแค่ได้เซียวถิงฟงมา นางก็มิต้องการอะไรอีก

           “องค์หญิงเพค่ะ องค์รัชทายาททรงขอเข้าพบเพค่ะ” เสียงนางกำนัลผู้หนึ่งดังอยู่ที่หน้าประตูห้อง

           “ถึงคราวหน้าที่ของเจ้าแล้ว” ตอนนี้นางจะยอมอดทนเพื่อรอคอยโอกาสในครั้งต่อไป

           มาถึงตอนนี้ร่างขององค์หญิงหย่าเหลียนคล้ายกลับมาเป็นของเจ้าของเดิมอีก จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงกระซิบที่ลอยอยู่เหนือลม

           “จำไว้เจ้าคือข้าและข้าคือเจ้า พลังของข้าคือพลังของเจ้าเช่นกัน”
 

***************************************************
           

           เฟยหลงกลับมายังห้องพร้อมกับขวดยาสำหรับถอนพิษ เขาก้าวเข้าไปนั่งลงที่ขอบเตียงแล้วเอื้อมมือไปเช็ดหยาดเหงื่อที่ไหลกลิ้งบนใบหน้าซีดขาว น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้ตัวเขาเร่งรีบแทบตาย หากแต่ตอนนี้กลับบังเกิดความลังเลขึ้นมา

           จำได้ว่าเมื่อคราครั้งที่ตนได้ล่วงรู้ว่ามีหัวใจของมนุษย์ที่กำลังเติบโตอยู่ในกายของท่านมหาเทพนั้น ก็บังเกิดความรู้สึกดีใจอย่างที่สุด คล้ายว่าความหวังที่เคยมืดมิดกลับกลายเป็นสว่างไสว

           แต่มันจะเป็นไปได้หรือ สิ่งที่ไม่เคยมีแล้วจะมีได้อย่างไร

           หากแต่ว่ามันกลับเป็นไปแล้ว ซึ่งหลังจากที่ได้เห็นความทรงจำของเซียวถิงฟง เขาก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าใจได้บางส่วน เป็นเพราะท่านมหาเทพหยิบยืมพลังไอเย็นจากมนุษย์เพื่อฟื้นฟูพลังเพื่อกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ หากแต่การกระทำดังกล่าวกลับให้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง

           หัวใจครึ่งดวงของมนุษย์ผู้นี้กลับผูกติดไปกับร่างของท่านด้วย

           คล้ายเป็นความโชคดีประการหนึ่ง เขาเคยคิดเช่นนั้น เพียงรอให้หัวใจนั้นเติบโต ท่านมหาเทพก็จะเข้าใจถึงความรู้สึกของมนุษย์ เฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกที่เขามีให้ แต่แล้วเขากลับต้องคิดทบทวนเสียใหม่

           ณ อุทยานชวีเจียง เขาที่เฝ้ามองท่านมหาเทพอยู่ห่างๆ กลับสังเกตเห็นถึงสีหน้าที่แม้แต่ตนเองก็มิเคยเห็น ท่านมหาเทพกำลังหวั่นไหว เขาถึงกับตกตะลึงวูบ ใจเสมือนจมดิ่งลงสู่ก้นเหว อีกทั้งสายตาคู่นั้นยังสื่ออารมณ์หลากหลาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะคนผู้หนึ่ง

           ทว่าคนผู้นั้นกลับมิใช่เขา บังเกิดเป็นความอิจฉาริษยาพวยพุ่งในอก สังหรณ์ใจว่าสิ่งที่เคยคิดไว้อาจเป็นผลร้ายแก่เขา หัวใจในร่างของท่านมหาเทพนั้นมิได้แปรเปลี่ยนไปตามนายใหม่ หากแต่มันยังคงเป็นหัวใจดวงเดิม หัวใจที่คงอยู่เพื่อเซียวถิงฟง 
ซึ่งเขามิต้องการ มิต้องการให้เป็นเช่นนั้น หัวใจที่ไม่มีเขา เขาไม่มีวันยอม สู้เสียตัดไฟแต่ต้นลมเสียดีกว่า ในเมื่อหัวใจของท่านมหาเทพมิอาจมีเขาได้ คนอื่นก็ไม่อาจมีได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงตกลงใจ มิอาจปล่อยให้หัวใจมนุษย์นี้อยู่สืบในร่างของท่านมหาเทพได้อีกต่อไป

           ช่วยหัวใจข้าด้วย...คำขอร้องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำเสียงสั่นคลอนสะท้อนก้องอยู่ในสมองของเฟยหลงอีกครั้ง เขาควรทำเช่นไรดี ทั้งๆที่เป็นเขาที่ให้จิ้งจอกเหม่ยซินหาหนทางทำลายหัวใจนี้เสีย แต่มาบัดนี้เขากลับเป็นฝ่ายที่จะทำลายแผนการนี้เสียเอง เฟยหลงนั่งครุ่นคิดอย่างหนักใจ ยิ่งเวลาผ่านไปนานแค่ไหนทางรอดของหัวใจดวงนี้ก็ยิ่งน้อยลง แต่แล้วชั่ววูบหนึ่งสายตาก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นเฉียบคมแล้ว

           ทำไมเขาถึงไม่เคยนึกถึงวิธีนี้กัน? ริมฝีปากพลันยกยิ้ม เพลานี้เขาได้ตัดสินใจแล้ว ถึงแม้มันจะเป็นความคิดที่ฉุกละหุก แต่เขาก็ตัดสินใจกระทำมันโดยปราศจากความลังเล สองมือรวบร่างเล็กขึ้นตระกองกอด ทั้งยังกระชับวงแขนไว้อย่างแนบแน่น
“ต่อไปนี้ท่านจะไม่มีวันจากข้าไปไหนได้ ท่านจะเป็นของข้า เช่นเดียวกับที่ข้าก็เป็นของท่านเช่นกัน” เขายิ้มอย่างมีความสุขพลางลงมือกระทำบางสิ่ง

           .......................

           ...........

           ....

           ทิวทัศน์มืดครึ้มที่ไร้แสงจันทร์ ต้าเซียนเดินวนเวียนอยู่ในที่แห่งนี้มานานพอสมควร ครั้นเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นเพียงความมืด จวบจนชินสายตาก็แลเห็นดวงตาพยัคฆ์ที่จ้องมองมาด้วยสายตาแรงกล้า

           รอยยิ้มหยักขึ้นอย่างดีใจ เขารีบก้าวเข้าไป ทว่าจู่ๆร่างสูงกลับถอยห่างออกไป เห็นดังนั้นเขาก็รีบเดินเข้าใกล้ หากแต่ครานี้ชายหนุ่มกลับหันหลังให้ ทั้งยังเดินออกไปยังเส้นทางที่มีแสงสว่างเจิดจ้า

           “ถิงฟง” ต้าเซียนร้องเรียกทั้งยังวิ่งตาม กระนั้นฝีเท้าของร่างสูงก็มิได้หยุดลง จวบจนปลายทางเจ้าตัวก็หันกลับมามองอีกครั้ง หากแต่เขามิได้เข้าใจความหมายของสายตาคู่นั้น รู้เพียงว่าแค่เห็นก็เจ็บหนึบในอก

           มือน้อยเอื้อมหาใบหน้าคมคาย ปลายนิ้วยังมิทันได้สัมผัส ก็บังเกิดเป็นหมอกสีดำขึ้นบดบังร่างตรงหน้าไว้จนหมดสิ้น เขาปัดป่ายหมอกควันอย่างยากลำบาก แต่กลายเป็นว่าร่างของเซียวถิงฟงกลับบิดเบี้ยวกระจายตัวไปพร้อมกับหมอกควันนั้น เขาถึงกับตื่นตกใจรีบกอบกำหมอกดังกล่าวให้กลับมารวมตัวกันใหม่ หากแต่ความพยายามกลับมิเป็นผล

           ถิงฟงไม่อยู่แล้ว ไม่อยู่อีกต่อไป หัวใจพลันว่างเปล่า บัดนี้ร่างของเซียวถิงฟงหายไปแล้ว ต้าเซียนจึงได้แต่ร้องเรียกชายหนุ่มอย่างมิหยุดหย่อน แม้ไม่มีเสียงใดตอบรับ เขาก็ยังโก่งคอร้องเรียกต่อไป จวบจนกระทั่งหยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากดวงตาคู่งาม

           เป๋ง เป๋ง เป๋ง

           เสียงเคาะระฆังของเหล่ามหาดเล็กในวังหลวงดังกังวานขึ้น บ่งบอกให้รู้ว่าเข้ายามสามแล้ว เฟยหลงค่อยๆตื่นขึ้นจากการหลับใหลในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ร่างกายที่อ่อนเพลียทำให้รู้ว่าตนได้สูญเสียพลังไปมากเพียงใด แต่พอเห็นคนบนเตียงเริ่มขยับ เขาก็รีบคว้ากุมมือนั้นไว้ ใบหน้าน้อยที่เคยขาวซีดตอนนี้เริ่มกลับมามีสีเลือดขึ้นบ้างแล้ว แลไม่นานนักดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็เลิกขึ้นทอประกายความเหนื่อยอ่อน

           “เป็นอย่างไรบ้าง” เฟยหลงกล่าวถาม

           เมื่อแสงเทียนส่องสว่างกระทบที่วงหน้า ต้าเซียนจึงขยับกายเล็กน้อย ยังผลให้อาการเจ็บแปลบแล่นริ้วขึ้นในอก รอจนทุเลาลงก็พบว่าลำคอแห้งผากจนมิอาจเปล่งเสียงได้ ดวงตาสีน้ำตาลกรอกไปมาอยู่รอบหนึ่งก็พบเพียงความมืด หากแต่สัมผัสบนมือได้บ่งบอกให้รู้ว่าตนมิได้อยู่ในความฝันอีกต่อไป นิ่งงันอยู่สักพักก็ฝืนเอี้ยวตัวคลายมือที่จับกุมให้แบออก

           เฟยหลงมองดูปลายนิ้วเรียวที่เขียนเป็นตัวอักษรอย่างตั้งใจ รอจนครบจบประโยค หัวใจก็ต้องสั่นสะท้าน รู้สึกราวกับกลืนก้อนสะอึก กระทั่งฝืนกล้ำกลืนมันจนหมด ก็พลิกฝ่ามือนั้นแล้วไล่เรียงอักษรลงไปทีละตัว

           “ข้ามิได้มีส่วนรู้เห็นกับปีศาจจิ้งจอก” เขาตอบคำถามที่เสียดแทงใจ ดวงตาคมกริบประสานเข้ากันกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อน หากแต่ร่างน้อยมิอาจมองเห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของเขาได้ “ท่านไม่เชื่อข้ารึ” เขาถามย้ำด้วยปลายนิ้วที่วาดเป็นตัวหนังสือบนฝ่ามือ

           ด้วยสัมผัสที่เย็นเฉียบรวมถึงกำลังที่แผ่วลงจากปลายนิ้ว ดูคล้ายเฟยหลงสูญเสียพลังไปหลายส่วน ต่อเมื่อรีบร้อนแนบกุมมือบริเวณอก ต้าเซียนก็ค่อยๆรู้สึกโล่งใจ ท้ายที่สุดหัวใจในร่างเขาถือเป็นสิ่งยืนยันว่าคนตรงหน้าได้ช่วยเขาเอาไว้จริง และหากคิดว่าปีศาจทุกตนต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเฟยหลงทั้งหมดนั้น เขาก็ยืนยันได้ไม่เต็มปาก

           แดนปีศาจถือเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี ซึ่งพิภพสวรรค์เองก็ทราบเรื่องนี้ แม้ตนจะรู้สึกระแวงแต่หากเมื่อคิดดูดีๆแล้วก็ออกจะเป็นการปรักปรำเฟยหลงจนเกินไป หากปีศาจจิ้งจอกเป็นสมุนของอีกฝ่ายจริง แล้วเหตุใดเฟยหลงจึงต้องช่วยเขาด้วยเล่า

           เฟยหลงหลุบตาลงต่ำ ด้วยเข้าใจว่าเรื่องนี้มิอาจทำให้ท่านมหาเทพเชื่อได้ง่ายๆ เนื่องเพราะตนคือจอมมารแห่งแดนปีศาจ เขาทอดถอนหายใจช้าๆแล้วค่อยๆปละปล่อยมือที่กุมไว้ แต่แล้วพริบตานั้นปลายนิ้วของร่างน้อยกลับสัมผัสที่มือเขา ยังผลให้ดวงตาทอประกายวูบ

           “ท่านนอนพักเถิด อีกไม่กี่ชั่วยามท่านก็จะดีขึ้น” เขากล่าวน้ำเสียงดีใจ ทั้งยังรีบเหน็บผ้านวมให้อย่างกระตือรือร้น จากนั้นก้มตัวลงจุมพิตที่เปลือกตาบาง ยังผลให้ดวงตาของต้าเซียนปิดหลงอีกครั้งด้วยมนตร์นิทรา

           “ข้าสัญญา ครั้งนี้จะเป็นครั้งเดียวและเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะทำร้ายท่านเช่นนี้ นับจากนี้ไปข้าจะไม่มีวันทำร้ายท่านอีก ท่านมหาเทพ” เฟยหลงลั่นคำสัตย์สาบาน เขาจะดูแลปกป้องและไม่มีวันพรากจากร่างน้อยอีกเป็นหนที่สอง
           

*****************************************
           
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2015 20:42:50 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 17.2 แผนร้าย


          ในเวลาฟ้าสางเซียวถิงฟงพึ่งตื่นจากการอาการนั่งสัปหงกบนเตียง ผ้านวมที่ได้มาจากการถูกกลั่นแกล้งยังคงถูกกอดก่ายภายใต้ร่าง เขาสะบัดหน้าไล่อาการง่วงงันออกไปคราหนึ่งก็พบว่าภายในห้องอันเงียบเชียบยังคงหามีวี่แววของเจ้าของห้องไม่...เหตุใดต้าเซียนจึงยังไม่กลับมา

           ว่าแล้วร่างสูงผุดลุกขึ้นอย่างกระวนกระวายใจ เมื่อวานต้าเซียนโผทะยานออกจากจวนไปโดยมิได้บอกกล่าว ตอนนั้นเขาแทบจะถลันตามไปแล้ว หากแต่สายตากลับสะดุดเข้ากับลูกธนูที่ถูกโยนทิ้งไว้พร้อมกับจดหมาย ที่ซึ่งระบุถึงนามของคนผู้หนึ่ง...องค์หญิงหย่าเหลียน

           ชายหนุ่มมิทราบว่าเหตุใดนางต้องการพบร่างน้อย และมาตรว่าจะสงสัยมากเท่าใดก็มิอาจไปสอบถามนางได้ด้วยตนเอง เพราะแม้กระทั่งวังหลวงตอนนี้เขาก็มิอาจเข้าไปได้

           “ข้ารอไม่ไหวแล้ว” เซิยวถิงฟงตะโกนก้องแล้วพรวดพราดควบม้าขาวพันธุ์ดีมุ่งหน้าไปยังวังหลวง

           เมื่อวานหลังจากที่ต้าเซียนออกไป เขาก็มุ่งหน้าไปที่หน้าประตูวังหลวง ติดสินบนทหารนายหนึ่งเพื่อนำสาสน์ไปมอบให้แก่องค์รัชทายาท รอจนหนึ่งชั่วยามต่อมา ขันทีน้อยเสี่ยวลู่ก็ออกมาแจ้งว่า พระองค์ได้เสด็จไปที่จวนขององค์หญิงแล้ว หากแต่นางกลับปฏิเสธว่าคนมิได้มาหานาง ครั้นพระองค์ตรวจสอบทหารที่เฝ้าประตูวังหลวงก็ไม่พบร่องรอยใดๆของต้าเซียน ท้ายที่สุดพระองค์จึงได้แต่กำชับให้เขากลับไปรอที่จวน และเพื่อมิให้เรื่องราวบานปลายเขาจึงจำใจต้องทำตามจนกระทั่งเพลานี้

           เมื่อควบม้ามาจนถึงหน้าประตูทางเข้าของวังหลวง ขันทีน้อยเสี่ยวลู่ที่มายืนรอตนอยู่ก่อนแล้ว เขารีบลงจากหลังม้าพลางกล่าวถามด้วยท่าทีร้อนใจ “เจอต้าเซียนแล้วรึยัง”

           ด้านเสี่ยวลู่ก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นท่านรองแม่ทัพถลาเข้ามาอย่างรวดเร็ว จึงพลันอึกอักเล็กน้อยก่อนตอบคำ “ยังมิเจอขอรับท่านรองแม่ทัพเซียว องค์รัชทายาททราบว่าท่านรองแม่ทัพเซียวร้อนใจ จึงให้ข้าน้อยมารอท่าน ตอนนี้พระองค์รออยู่ด้านในแล้ว” เสี่ยวลู่กล่าวพลางนำทางให้

           ที่เก๋งหกเหลี่ยมในวนอุทยานหลวงซวนหยวนหมิงไท่ในชุดเต็มยศสีขาวปักดิ้นทอง ศีรษะประดับด้วยหมวกที่มีแผงลูกปัดกล่าวน้ำเสียงเข้มเมื่อเห็นสหายก้าวเข้ามาด้วยท่าทีร้อนใจ “ฟังข้าให้ดีเซียวถิงฟง นับแต่นี้อย่าได้กระทำการใดหุนหันพลันแล่น ตอนนี้ทั้งไป๋เซ่อ ถิงถิงกำลังออกตามหาต้าเซียนอยู่”

           ประโยคดังกล่าวคล้ายบอกแก่เขาว่าเพลานี้ต้าเซียนได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจริงๆ ทำเอาเขาถึงกับทรุดนั่งเก้าอี้พลางกุมขมับ

           “เจ้าอย่าพึ่งคิดมากไป จะอย่างไรไป๋เซ่อก็เคยติดตามต้าเซียนมาก่อน ไม่ช้าหรือเร็วต้องได้ข่าวคราวแน่” องค์รัชทายาทกล่าวปลอบสหาย

           “ข้าควรทำเช่นไรดี” เซียวถิงฟงถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน

           เมื่อเห็นว่าคำปลอบมิได้ช่วยเยียวยาอีกฝ่ายได้ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ทอดถอนใจก่อนกล่าวเสริม “เจ้าไปหาหย่าเหลียนซะ มิแน่ว่านางคงยอมบอกความจริงเจ้าบางส่วน”

           “ท่านหมายความว่าอย่างไร” เขาเงยหน้าขึ้นถามอย่างสงสัย

           “เมื่อวานท่าทีของนางบ่ายเบี่ยงมิยอมคำถามข้านัก” นึกถึงท่าทีของหย่าเหลียนครั้นเมื่อไต่ถามถึงต้าเซียน องค์รัชทายาทก็ทรงขมวดคิ้ว

           “ข้าสามารถสอบถามด้วยตัวเองได้รึ” เซียวถิงฟงถามย้ำเพื่อความแน่ใจ ด้วยรู้ว่าหากทำแบบนี้เรื่องราวอาจจะยิ่งบานปลาย ตระกูลเซิงก็จะยิ่งตีปีกยกใหญ่

           “เจ้าไปเถิด หากเกิดเรื่องกับต้าเซียนจริง ช่วยคนย่อมสำคัญกว่า” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มตอบ

           “ข้า…ขอโทษ” ด้วยรู้ว่าองค์รัชทายาทลำบากใจ เซียวถิงฟงก็อดที่จะละอายมิได้

           “ช่างเถิด ถือว่าเจ้าติดค้างข้าคราหนึ่งละกัน” รัชทายาทหนุ่มกล่าวติดตลก ทั้งยังตบที่หลังสหายสนิทเบาๆ “ข้าต้องไปประชุมกับเหล่าขุนนางแล้ว และหากไป๋เซ่อกับถิงถิงทราบข่าวคราว ทั้งสองจะตรงไปยังเรือนพฤกษา” กล่าวจบซวนหยวนหมิงไท่ก็จากไปพร้อมกับกลุ่มขันทีและเหล่าองครักษ์ ส่วนเซียวถิงฟงก็มุ่งหน้าเพื่อตรงไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

           จวบจนมาถึงยังตำหนักลุ่ยหวา นางกำนัลเว่ยก็ออกมาต้อนรับพร้อมนำทางตนเข้าสู่ภายในตำหนัก ระหว่างทางก็สังเกตเห็นดอกโบตั๋นที่หย่าเหลียนปลูกไว้สมัยยังเด็ก แลข้าวของต่างๆยังคงเก็บวางไว้ที่เดิม ดูไปตลอดสามปีที่ตนมิได้ย่างกรายมาที่นี้ คล้ายว่าสถานที่แห่งนี้มิเปลี่ยนแปลงไปเท่าใดนัก กระทั่งในที่สุดก็ถูกพามาถึงโถงรับแขก ด้านในมีองค์หญิงหย่าเหลียนในชุดขาวนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

           “พี่ถิงฟง” นางร้องเรียกอย่างดีใจ

           “สบายดีรึไม่” เซียวถิงฟงยิ้มตอบน้อยๆ องค์หญิงหย่าเหลียนเองก็พยักหน้าตอบอย่างจริงจัง ทว่าใบหน้าสดใสกลับระคนไปด้วยขาวซีด

           “ดี ดีอย่างยิ่ง” นางกล่าวตอบพลางกระตือรือร้นรินชาใส่ถ้วยพลางยื่นให้ชายหนุ่ม

           เซียวถิงฟงรับมาแต่มิได้ดื่ม ทั้งยังเอาแต่นั่งมองชาในถ้วยอย่างเงียบงันก่อนถามขึ้น “หย่าเหลียน เมื่อวานนี้เพลาใกล้พระอาทิตย์ตก ต้าเซียนได้มาหาเจ้ารึไม่” เขากลั้นใจถาม ใจหนึ่งรู้สึกเหมือนเข้าหน้านางไม่ติด

           รอยยิ้มพลันชะงักค้าง นางกล่าวน้ำเสียงดุ “ท่านมาด้วยเหตุผลนี้เองรึ หากเป็นนางล่ะก็ ข้ามิได้พบเห็น เมื่อวานข้าก็ได้แจ้งแก่องค์รัชทายาทไปแล้ว ท่านเองก็คงจะทราบจากเสด็จพี่แล้วกระมัง” เป็นเพราะต้าเซียนกระนั้นหรือเขาจึงได้คิดเหยียบย่างเข้ามาที่นี่

           “เช่นนั้นเจ้าให้คนส่งจดหมายหาเขาทำไม” เซียวถิงฟงกล่าวถามอย่างสงสัย ดวงตาคมเค้นหาคำตอบ

           หย่าเหลียนที่เผลอสบสายตาดั่งเช่นพยัคฆ์ร้ายก็บังเกิดอาการคุกรุ่นในใจ “ข้าเพียงอยากรู้จักกับนาง ถึงแม้ข้าจะให้คนส่งจดหมายจริงๆ แต่นางก็มิได้มาที่นี่”

           “ไม่ได้มาแน่รึ” เขาถามซ้ำทั้งใช้สายตาจ้องนางอย่างจริงจัง ชั่วครู่หย่าเหลียนที่สบตาเขากลับหลุบตาลง มือทั้งสองประสานกันแน่น “ข้ารู้ เวลาเจ้าโกหกมักหลบตาข้า ทั้งยังกุมมือตัวเองแน่น”

           ฟังแล้วหย่าเหลียนก็ต้องรีบคลายมือออก กระนั้นก็ยังมิกล้าสู้สายตาชายหนุ่มได้ ทั้งยังไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ “โอ๊ย” จู่ๆอาการบีบเกร็งที่หัวไหล่ก็ปรากฏขึ้น นางกุมที่หัวไหล่พลางร้องลั่นไปด้วยความเจ็บปวด

           เซียวถิงฟงถึงกับตกใจรีบปราดเข้าไปดูอาการ แล้วจึงแลเห็นรอยเลือดที่ย้อมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ให้เป็นสีแดงฉานที่บริเวณหัวไหล่มน “ต้องเรียกหมอหลวง” 

           ขณะที่ร่างสูงผละตัวออก หย่าเหลียนก็รีบรั้งมือเขาไว้ สมองพลันขบคิดแผนการหนึ่งขึ้นได้อย่างฉุกละหุก “ไม่ได้” นางกล่าวปราม

           “เหตุใดจึงมิได้”

           “.......”

           นางมิได้ตอบแต่กลับขยับริมฝีปากแทน เป็นคำสองคำที่นางเอ่ยออกมาจนทำให้เขาต้องตกตะลึงวูบ “ต้าเซียน” ดวงตาสีดำถึงกลับเบิกกว้างอย่างมิอยากจะเชื่อ “เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าแผลนี้...เป็นเขา” เซียวถิงฟงแทบกล่าวออกมาไม่เป็นประโยค ทว่าองค์หญิงหย่าเหลียนกลับพยักหน้าย้ำเป็นเชิงตอบรับ

           “ขอข้าดูบาดแผลเจ้าหน่อย” เขาไม่เชื่อนอกจากจะได้เห็นกับตา

           หย่าเหลียนได้ยินแล้วต้องตกใจ นางพยายามเอี้ยวตัวหนี แต่เซียวถิงฟงกลับจับข้อมือนางไว้แน่น รอจนนางรู้ว่ามิอาจทัดทานได้ ก็ยินยอมเปิดสาบเสื้อที่ชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดงฉานออกอย่างเบามือ

           คล้ายร่างต้องอสนีบาต ที่หัวไหล่มนกลับปรากฏรอยไหม้บนผิวหนังบอบบาง มาตรว่ารอยแผลไม่กินบริเวณกว้าง แต่ก็ดูสาหัสสากรรจ์ยิ่ง หนำซ้ำมันยังเป็นรอยไหม้เฉกเช่นเดียวกับตำราพิชัยยุทธ์ของเขา ต้าเซียนเคยใช้อิทธิฤทธิ์นี้ เขาจำได้ดี
ความสับสนคับคั่งอยู่ในอก เขาก้มหน้าลงกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นแล้วต้าเซียนไปไหน”

           “ข้าเองก็ไม่รู้ นางเข้ามาในตำหนัก ไม่กล่าววาจากระไรก็ลงมือ หลังจากนั้นข้าก็หมดสติไป พอตื่นขึ้นมานางก็ไม่อยู่เสียแล้ว” หย่าเหลียนกล่าวโป้ปด ดีที่เซียวถิงฟงมิได้มองนางอยู่

           เซียวถิงฟงถึงกับเงียบงันไปชั่วขณะ เรื่องราวดูเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้

           “พี่ถิงฟง”

           “ข้าจะทำแผลให้เจ้า” เมื่อคืนสติอีกครั้งเขาก็กล่าวเสียงเรียบก่อนลงมือจัดการรักษาบาดแผลอย่างถูกวิธี ด้านองค์หญิงหย่าเหลียนก็เพียงนั่งมองชายหนุ่มที่กำลังรักษาตนเองนิ่ง

           ครั้นจัดการกับบาดแผลจนแล้วเสร็จ เซียวถิงฟงก็หยิบขวดยาจากอกเสื้อ นำมาวางไว้ในมือของหย่าเหลียน “บัวหิมะพันปีขวดนี้จะช่วยรอยแผลของเจ้าดีขึ้นในเร็ววัน จำไว้อย่าให้แผลโดนน้ำ และให้ทามันติดต่อจนครบสิบวัน หากมีไข้จงให้หมอหลวงต้มยาลดไข้ซะ”

           หย่าเหลียนรับฟังจนรู้สึกตื้นตัน รู้สึกได้จริงๆว่าเขาเป็นห่วงนางจากใจจริง ฉับพลันนั้นนางก็โถมกายเข้ากอดชายหนุ่มผู้อบอุ่นไว้แน่น ร่างสูงถึงกับชะงักตัวนิ่งไป สักพักจึงดึงตัวนางออกอย่างเบามือ

           “ข้าต้องไปแล้ว แล้วข้าจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่” เซียวถิงฟงตอบพลางหมุนกายจากไป เขามีเรื่องที่ต้องหาคำตอบ หากมิได้คำตอบเขาคงต้องเป็นบ้าแน่

           แม้อยากจะร้องห้าม แต่นางก็ข่มใจไม่ร้องออกไป เพราะนางยุแยงสำเร็จแล้ว เซียวถิงฟงกำลังฟุ้งซ่านและอีกไม่นานก็คงจะเข้าใจต้าเซียนผิดไปเอง นางมองชายหนุ่มที่ค่อยๆหายลับไปจากตำหนัก ไม่นานนักเสียงทุ้มแหลมก็ดังออกมา

           “ทำได้ดีนี่”

           เป็นจิ้งจอกเหม่ยซินที่กล่าวอย่างชื่นชม องค์หญิงหย่าเหลียนจึงยกยิ้มที่มุมปาก ต่อจากนี้ไปหัวใจของเซียวถิงฟงจะไม่มีวันมีต้าเซียนอีกเป็นอันขาด เพราะนางจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองลงซะ


*******************************************

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
กลัวดราม่าจัดหนักจัง

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 18.1 เข้าใจผิด


           ท้องฟ้าในวันนี้ดูไม่สดใสนัก เฉกเช่นเดียวกับใจของไป๋เซ่อเองเช่นกัน ขณะนี้มันกำลังเลื้อยวนไปเวียนมาอยู่ที่ด้านหน้าตำหนักสูงใหญ่ แลไม่นานนักผู้มาใหม่ในร่างแมวก็กระโดดลงมาจากต้นไม้

           “เป็นที่นี่รึ” ถิงถิงถาม ทั้งนางและไป๋เซ่อออกตามหาต้าเซียนไปจนทั่วแล้วแต่ก็ยังไม่พบร่องรอยใดๆ หลงเหลือเพียงตำหนักเตี้ยนชิงแห่งนี้ที่ยังคงมิได้ตรวจสอบ

           ไป๋เซ่อมองดูอย่างหนักใจ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตำหนักเบื้องหน้านี้เป็นของผู้ใด เนื่องเพราะคลื่นพลังสีน้ำเงินที่แผ่ปกคลุมไปทั่วตำหนักเช่นนี้ เห็นจะมีแต่จอมมารเฟยหลงเท่านั้นที่ทำได้

           ครั้นเห็นสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดอยู่ส่วนหนึ่งของไป๋เซ่อ ถิงถิงก็ไม่รอคำตอบ มุดเข้าไปในพุ่มไม้ของตำหนัก แลไม่นานนักไป๋เซ่อก็ขู่ฟ่อพลางเลื้อยตัวนำหน้านางไปอย่างรวดเร็ว

           กลิ่นดอกบัวอ่อนๆลอยตามกระแสลม ไป๋เซ่อตระหนักแล้วว่าตนมาไม่ผิดที่ แต่กระนั้นทำไมท่านมหาเทพจึงมาอยู่ที่นี่? ทำไมร่องรอยของท่านจึงหายไป?

           “เหตุใดที่นี่จึงเงียบนัก แล้วยังท่าทีขององครักษ์ที่ดูเซื่องซึมพวกนี้อีก” มองดูทีท่าแปลกๆของเหล่าองครักษ์ ถิงถิงก็อดสงสัยมิได้ พวกเขาเหล่านี้คล้ายคนไม่มีสติ ทั้งยังดูซึมเซาชอบกล

           “เป็นมนตร์สะกดใจ คนที่โดนมนตร์นี้จะไม่มีสติและจะกระทำตามคำสั่งของผู้ร่ายมนตร์โดยที่มิอาจจดจำเรื่องราวใดได้” กล่าวอธิบายพลางเลื้อยตัวมาจนถึงห้องๆหนึ่งก็หยุดตัวลง กลิ่นอายเทพบริสุทธิ์ส่งกลิ่นมาจากภายใน ไป๋เซ่อจึงเริ่มเปิดผนึกเนตรทิพย์สำรวจมองห้องๆนั้น

           ภายในห้องถูกประดับตกแต่งด้วยของล้ำค่า ไม่ว่าจะภาพเขียนมีฝีมือ แจกันล้ำค่า แม้กระทั่งตั่งตู้เตียงก็ยังทำมาจากไม้แกะสลักชั้นดี ดวงตาสีฟ้าอมเขียวกวาดมองไปทั่วห้องจวบจนสะดุดเข้ากับร่างที่ไม่ได้สติก

           “ท่านมหาเทพ” ไป๋เซ่ออุทานอย่างตกใจ เนื่องเพราะใบหน้าของท่านมหาเทพนั้นขาวซีด ทั้งยังดูอ่อนกำลังคล้ายได้รับอาการบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด

           มิได้การแล้ว จะปล่อยให้ท่านมหาเทพอยู่ที่นี่แม้แต่เพลาเดียวมิได้

           “เกิดอะไรขึ้น เขาอยู่ในนี้หรือ” ถิงถิงพลอยร้อนรนถามขึ้น แต่ไป๋เซ่อเสกมนตร์ให้ประตูเปิดออกแล้ว โชคดีที่จอมมารเฟยหลงมิได้อยู่ตอนนี้ พวกมันจึงเข้าไปได้โดยสะดวก

           “ท่านมหาเทพ ท่านเป็นอะไรมากรึไม่” มันร้องเรียกอย่างเป็นห่วง ทว่าคนบนเตียงกลับยังนอนนิ่งมิได้รู้ตัว ไป๋เซ่อเห็นท่าไม่ดีก็รีบเลื้อยตัวเข้าไปใกล้ขอบเตียง แต่พริบตานั้นแสงๆหนึ่งก็พุ่งตรงเข้าขัดขวาง

           “เมี้ยว” ถิงถิงที่ตามหลังมาติดๆถึงกับร้องตกใจ

           ด้านไป๋เซ่อก็มิมีเวลาให้พะวงมากนัก จึงหมุนตัวเข้ากำบังถิงถิงไว้ ฉับพลันนั้นร่างก็แปรเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มในชุดสีเขียว แสงดังกล่าวเองก็เริ่มขยายตัวเป็นวงกว้างก่อนจะกระแทกพวกเขาเข้าอย่างจัง

           ร่างพลันถูกเหวี่ยงออกไปจากนอกห้องพร้อมๆกับสองมือที่กอดเเมวตัวน้อยเอาไว้ ด้านเหล่าทหารที่เคยนั่งเซื่องซึมมาบัดนี้ได้ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว พวกเขาต่างก็พากันยืนล้อมผู้บุกรุกอย่างแข็งขัน ในมือพร้อมด้วยทวนอาวุธคนละอัน

           “เมี้ยว” เห็นสถานการณ์คับขันอีกทั้งไป๋เซ่อที่ทรุดเข่าย่อกายไถลไปกับพื้นแล้วยังคงแล้วไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ถิงถิงก็รีบร้องเรียก

           ไม่นานนักดวงหน้าเล็กก็เงยขึ้น เผยให้เห็นดวงตาเรียวที่มีประกายไฟ ไป๋เซ่อหยัดกายลุกขึ้นอย่างแช่มช้า นิ้วชี้ไปทางร่างแกร่งที่ยืนขวางทางไว้  เอ่ยน้ำเสียงกัดฟัน “เฟยหลง เจ้ากล้าทำร้ายท่านมหาเทพเชียวรึ”

           ผู้ถูกเอ่ยนามถึงกับขมวดคิ้ว ดวงตาดุจดั่งพญาอินทรีถลึงมองไป๋เซ่ออย่างดุดัน “ข้ารึ ทำร้ายท่านมหาเทพ ไป๋เซ่อเจ้ารู้ดี ข้าไม่มีวันทำร้ายท่านได้ ถ้าหากเจ้ายังคงส่งเสียงโวยวายอยู่เช่นนี้ข้าคงต้องลงมือ” สิ้นน้ำเสียงดังกังวานก็หมุนกายกลับเข้าห้องอย่างมิใส่ใจ

           “หึ” ไป๋เซ่อแค่นเสียงในลำคอ เห็นคนที่กลับเข้าห้องไปโดยง่ายก็บังเกิดเป็นความไม่พอใจ แต่จะอย่างไรท่านมหาเทพก็ตกอยู่ในกำมือของเฟยหลง เรื่องนี้เขาไม่ควรผลีผลามควรหาหนทางช่วยก่อน

           ทว่าเพลานี้ทหารองครักษ์ต่างยืนโอบล้อมรอบตัวพวกเขาไว้ บางคนยังส่งสายตาเย้ยหยันเขาที่ตอนนี้อุ้มไว้ด้วยแมวสาวตัวสีดำ แลขณะที่ชำเลืองมองไปรอบๆ องครักษ์นายหนึ่งก็พุ่งเอาทวนเข้าใส่แล้ว

           ไป๋เซ่อเพียงใช้มือหนึ่งจับยึดด้ามทวนนั้นไว้พลางวาดปลายเท้าเข้าใส่ลำคอองครักษ์ที่กำลังมีสีหน้าฉงน พริบตานั้นทวนก็ตกอยู่ในมือเขา ส่วนองครักษ์ผู้นั้นกลับล้มไม่ได้สติ

           องครักษ์คนอื่นๆเห็นดังนั้นก็มองหน้ากันคราหนึ่งก่อนที่จะพากันกลุ้มรุมเข้าใส่ผู้บุกรุกพร้อมกัน ถิงถิงในร่างแมวถึงกับหลับตาปี๋ ด้านไป๋เซ่อก็หมุนตัวสะบัดทวนเข้าใส่ลำตัวขององครักษ์ทีละนายๆอย่างไม่เปิดช่องว่าง ไม่นานนักคนเหล่านี้ก็ต้องยืนนิ่งไม่ไหวติง

           “จะสู้กับข้า ไปตายแล้วเกิดใหม่ก่อนเถิด” ผู้บุกรุกในชุดเขียวตะโกนก้องไปทั่วตำหนักอย่างมีโทสะ จากนั้นทั้งคนทั้งแมวต่างก็กระโดดข้ามผ่านกำแพงตำหนักหายลับไป ทิ้งไว้ให้เหล่าองครักษ์ยืนแน่นิ่งดั่งหุ่นฟาง หากมิใช่เพราะเหงื่อชโลมกาย พวกเขาคงเหมือนหุ่นฟางจริงๆก็เป็นได้

           ไป๋เซ่อลอยตัวไปยังเรือนพฤกษา สถานที่ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยต้นไผ่แน่นขนัด ที่นั่นมีบุรุษผู้หนึ่งเดินวนเวียนไปมาอย่างร้อนใจ ครั้นเมื่อเห็นพวกเขา สายตาของชายผู้นี้ก็เกิดทอประกายวูบอย่างมีความหวัง

           “ไป๋เซ่อ” เซียวถิงฟงตะโกนลั่นเมื่อเห็นเงาร่างสีเขียวมาแต่ไกล

           “........” ทว่าไป๋เซ่อมิได้ตอบ มีเพียงสีหน้าที่แฝงแววเครียดเขม็ง เขาลอยตัวลงสู่พื้น จากนั้นก้มลงปล่อยแมวในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เมื่อปลายเท้าของถิงถิงสัมผัสพื้นอีกครั้ง นางก็คืนร่างกลับเป็นมนุษย์ สีหน้าดูเคร่งเครียดไม่แพ้ไป๋เซ่อเช่นกัน
เซียวถิงฟงสังเกตได้ก็รีบซักไซ้ ด้วยสังหรณ์ใจว่าคงเกิดเรื่องไม่ดี“เป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวคราวของต้าเซียนรึไม่”

           “เขาอยู่ที่ตำหนักของเตี้ยนชิง ตำหนักขององค์ชายหย่าเซิง” เป็นถิงถิงที่กล่าวตอบแทนไป๋เซ่อที่มีท่าทีครุ่นคิดอย่างหนัก

           “ทำไมจึงอยู่ที่นั่น แล้วเกิดอะไรขึ้นกับต้าเซียนรึไม่ เหตุใดเขาถึงไม่มาด้วยเล่า” เซียวถิงฟงโวยวายเป็นชุด

           “นายน้อย ดูเหมือนว่าต้าเซียนจะมิได้สติ หากไม่เป็นเพราะจอมมารเฟยหลงเข้ามาขัดขวางเสียก่อน พวกเราคงนำตัวเขากลับมาที่นี่แล้ว” ถิงถิงพูดเสียงอ่อย แต่แล้วใบหน้าของผู้เป็นนายก็พลันเปลี่ยนเป็นอึมครึม ทั้งยังสาวเท้าเดินออกจากเรือนพฤกษาไปอย่างรีบร้อน พลอยทำให้นางลนลานไปด้วย “เดี๋ยว นายน้อยจะไปไหน” 

           “ตำหนักเตี้ยนชิง” เซียวถิงฟงกล่าวสั้นๆ มิคิดหยุดฝีเท้าแม้แต่น้อย

           ได้ยินเช่นนั้นนางก็รีบปราดตัวมาดักที่ด้านหน้าไว้ “นายน้อย ท่านจะบ้าหรือ ท่านควรรอองค์รัชทายาทกลับมาแล้วค่อยปรึกษากันก่อน”

           “ต้าเซียนไม่ได้สติ หากยังรออยู่เกรงว่าไม่ทันการ” เขาไม่แยแสคนปราม องค์รัชทายาททรงติดประชุมอยู่กับเหล่าขุนนาง กว่าจะแล้วเสร็จก็กินเพลาราวหนึ่งชั่วยามได้ ซึ่งเขาทนรอขนาดนั้นมิได้

           เมื่อทัดทานมิสำเร็จ ถิงถิงก็ลุกลี้ลุกลนหันไปหาตัวช่วย “เจ้าก็พูดอะไรบ้างสิ ไป๋เซ่อ” นางเขย่าแขนของไป๋เซ่อที่ยังคงเงียบงันอย่างเต็มแรง

           การกระทำดังกล่าวทำให้ไป๋เซ่อกลับคืนสติอีกครั้ง เขาร้องทักคนที่ใจร้อน “ช้าก่อน” ครานี้เซียวถิงฟงชะงักฝีเท้าลงแล้ว ถิงถิงเองก็มองไป๋เซ่ออย่างมีความหวัง แต่ทว่าไป๋เซ่อกลับกล่าวตอบ “ข้าไปด้วย” 

           ถิงถิงถึงกลับปละปล่อยแขนของไป๋เซ่อโดยแรง นางให้กล่าวห้ามมิใช่ให้ยุยงเสียหน่อย ท้ายที่สุดจึงได้แต่มองคนทั้งสองตะบึงฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักเตี้ยนชิงอย่างกังวลใจ นางมิอาจตามไปได้ เพราะถ้าหากนางไป ก็จะไม่มีคนคอยส่งข่าวให้กับองค์รัชทายาทอีก ดังนั้นตอนนี้จึงได้แต่ภาวนาขอให้พวกเขาปลอดภัยและขอให้องค์รัชทายาทกลับมาโดยเร็ว


************************************************


           เฟยหลงหยิบผ้าสะอาดซึ่งถูกซับด้วยน้ำค้างบริสุทธิ์ ก่อนบรรจงเช็ดใบหน้าที่ยังคงหลับใหลอย่างละมุนละไม สีหน้าระหว่างนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข จวบจนออกจากห้องสีหน้าก็ต้องแปรเปลี่ยนเป็นรำคาญใจ

           เป็นเพราะเหล่าองครักษ์ถูกสกัดจุดไว้จนยืนนิ่งดั่งตอไม้ นี่นับว่าเป็นนิสัยของไป๋เซ่อโดยแท้ แม้ไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ก็ยังอุตส่าห์สร้างภาระให้เขาต้องตามเก็บกวาดภายหลัง ดีที่ตนกลับมาทัน มิเช่นนั้นหากช้าไปกว่านี้ร่างที่หลับใหลนี้คงต้องถูกพาตัวไปเป็นแน่

           เมื่อการคลายจุดสิ้นสุดลง เหล่าองครักษ์ก็กลับมาเซื่องซึมอีกครั้ง พวกเขาต่างเดินช้าๆนำพาตัวเองไปยืนตามจุดต่างๆเช่นดังเดิม แต่ในขณะที่กำลังเตรียมกลับเข้าห้อง ร่างก็พลันชะงักหยุด รู้สึกถึงรังสีอาฆาตที่ใกล้เข้ามาจากคนผู้หนึ่ง

           “รนหาที่ตายโดยเเท้” เฟยหลงเหยียดยิ้มพลางคิด ก็ดีมิต้องเปลืองแรงไปหา เจ้ากลับเดินมาหาที่ตายเสียเอง

           “ข้าจะตายรึไม่ มิใช่เรื่องที่เจ้าตัดสิน” เซียวถิงฟงตะโกนก้อง ทั้งยังก้าวเข้าด้านในของตำหนักเตี้ยนชิงอย่างไม่เกรงกลัว

           “หึ เช่นนั้นแล้วผู้ใดตัดสิน”

           “เป็นข้าตัดสินเอง”

           ครานี้เฟยหลงแหงนหน้าขึ้นหัวเราะ ด้วยมิใช่น้ำเสียงเย้ยหยัน ทั้งยิ่งมิใช่น้ำเสียงเบิกบาน หากแต่เป็นน้ำเสียงประชด เมื่อสิ้นเสียงลงทั่วทั้งบริเวณก็พลันเงียบกริบ รังสีฟาดฟันเริ่มเด่นชัด ประกายแสงทอวาบในแววตา ผู้หนึ่งเด็ดเดี่ยวเฉกเช่นพยัคฆ์ร้าย อีกผู้หนึ่งคมกล้าดั่งพญาอินทรี ทั้งสองต่างจ้องมองกันด้วยหมายให้ตกตายกันไปข้างหนึ่ง

           ในอีกด้านหนึ่งไป๋เซ่อที่ซุ่มมองอยู่ไกลก็รีบเลื้อยตัวเข้าไปในพุ่มไม้อย่างเงียบเชียบ ดูว่าจอมมารเฟยหลงหันเหความสนใจไปกับการต่อปากต่อคำกับเซียวถิงฟงจนลืมท่านมหาเทพไปชั่วขณะ ดังนั้นตนต้องลอบเข้าไปช่วยท่านมหาเทพให้เร็วที่สุด

           “ส่งตัวต้าเซียนมาให้ข้า” เซียวถิงฟงตวาด

           “ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถรึไม่” เฟยหลงสวนตอบ บัดนี้ในมือหนึ่งปรากฏด้วยดาบสีทองอันมีเอกลักษณ์ ปลายด้ามห้อยไว้ด้วยพู่สีแดง

           รอจนดาบถูกยกขึ้นต้องประกายแสง อารมณ์ที่เคยร้อนรนดั่งไฟของก็พลันสงบลงอย่างน่าประหลาด เซียวถิงฟงตั้งกระบวนท่ารับ

           “เจ้ามีคำสั่งเสียสุดท้ายรึไม่” มุมปากของเฟยหลงประดับด้วยรอยยิ้ม หากแต่เซียวถิงฟงก็ยิ้มแล้วโต้กลับ

           “แล้วเจ้าล่ะ มีคำสั่งเสียสุดท้ายรึไม่”

           “เฮอะ” เฟยหลงสบถในลำคอ มนุษย์ผู้นี้ช่างไม่เจียมตัวสักนิด

           จู่ๆร่างของคู่มือก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา กระนั้นเซียวถิงฟงก็มิได้ตื่นตระหนก ทั้งยังมีสมาธิจดจ่อ แลทุกโสตประสาทก็ใช้ออกจนหมดสิ้น

           แคร้ง ดาบพาดอยู่ใกล้ลำคอ เพียงอีกสองหุนคมดาบสีทองนี้ก็จะเชือดเฉือนที่ลำคอของเขาแล้ว หากแต่ยังคงมีพัดเหล็กสีดำ เข้าสกัดกั้นคมกระบี่ไว้ได้อย่างทันท่วงที

           เป็นเซียวถิงฟงที่จับแรงผันผวนของอากาศ มือตวัดพัดเหล็กที่เหน็บไว้กับผ้าคาดเอวที่ด้านหลัง จวบจนพัดตีวงโค้งขึ้นก็คว้าหมับขึ้นสกัดคมดาบไว้ได้อย่างฉิวเฉียด ทำให้เพลานี้ทั้งสองต่างประจันหน้ากันอย่างดุเดือด รอไม่นานนักทั้งคู่ก็ผลักดันอาวุธเข้าใส่ เกิดเป็นแรงผลักให้ต่างฝ่ายต่างถอยหลังออกมาคนละสองก้าว

           “เจ้าคงลำพองใจกับพลังใหม่สินะ หากมิใช่เพราะท่านมหาเทพแบ่งปันพลังเซียนให้ แม้แต่กระบวนท่าเดียวเจ้าก็สู้ข้าไม่ได้”

           “เฮอะ นั่นหมายความว่าเจ้ายอมรับข้าเป็นคู่ต่อสู้แล้วใช่รึไม่” เซียวถิงฟงเหยียดยิ้ม ยังผลให้เฟยหลงบึ้งตึงถึงขีดสุด ก่อนที่ร่างทั้งสองจะถลันเข้าประมือกันอีกครั้งอย่างดุเดือด กระทั่งพื้นดินยังสั่นไหวน้อยๆ

           เสียงดาบที่คำรามก้องทำให้ไป๋เซ่อต้องหันกลับมามองอย่างตกใจ ด้วยนึกไม่ถึงว่าเฟยหลงถึงกับใช้ออกด้วยอาวุธคู่กายอย่างดาบฟ้ามังกรคำรน เกรงว่าคงถ่วงเวลาได้อีกไม่นานแล้ว

           เซียวถิงฟงต้านรับดาบฟ้ามังกรคำรนอย่างสุดกำลัง ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากอานุภาพของดาบ แต่ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าจะทนรับมิไหว ต่อเมื่อเฟยหลงพุ่งดาบเข้าใส่จึงใช้ออกด้วยท่าจันทร์กลางน้ำ

           เเขนทรงพลังถูกวาดออกเป็นวงกว้าง พัดเหล็กคลี่ออกแล้วตวัดในเสี้ยววินาทีพร้อมกับพลังที่ถาโถม เฟยหลงที่ถลาเข้ามาตรงๆจำต้องผงะถอยหลังกลับไป แต่มาตรว่าตัวจะหลบพ้น หากแต่ปอยผมส่วนหนึ่งกลับปลิวไปตามกระแสลมอ้อยอิ่ง กระนั้นเซียวถิงฟงก็ไม่คอยท่าวกมือกลับรวบพัดแล้วจู่โจมที่หน้าอกของอีกฝ่าย

           พัดเหล็กนี้หาใช่พัดธรรมดาอย่างที่เห็นไม่ นอกจากจะทำด้วยเหล็กกล้าแล้ว กระทั่งโครงสร้างของพัดยังสามารถเปลี่ยนให้เป็นมีดสั้นได้ในพริบตา ยังมีคมมีดที่มีพิษสงร้ายกาจเพียงแค่แตะโดนก็สามารถแยกออกเป็นสองส่วนแล้ว แต่กระนั้นก็ใช่ว่าดาบฟ้ามังกรคำรนจะไร้ซึ่งอานุภาพ

           กำลังภายในส่วนหนึ่งหมุนเวียนเข้าสู่ดาบสีทอง เกิดเป็นม่านพลังสีน้ำเงินเข้าผลักให้ร่างของเซียวถิงฟงต้องกระเด็นถอยออกไป พร้อมกันนั้นก็ตวัดดาบขึ้น โลหิตสีแดงพลันกระจายตัวโปรยปรายดั่งเช่นฝนเลือด

           ไหล่ซ้ายบังเกิดเป็นรอยแผลยาว เป็นเฟยหลงที่เปลี่ยนกระแสลมให้เป็นดั่งคมมีด ยังไม่ทันได้รู้สึกแปลบปลาบก็ต้องฝืนยกพัดเหล็กขึ้นต้านรับไว้ จวบจนไหล่ซ้ายเริ่มต้านรับพลังไม่ไหว เพียงชั่วลัดนิ้วมือเซียวถิงฟงก็ตัดสินใจแอ่นหลังถีบเท้าส่งตัวไปด้านหลัง แต่แล้วเฟยหลงกลับตามเข้าพัวพัน ปลายดาบตวัดปลดปล่อยขุมพลังรุนแรงเข้าใส่ เขาได้แต่ตั้งรับไว้กะทันหัน ทว่าพัดเหล็กต้านไว้ได้ไม่นาน ร่างก็ต้องเข้ากับพลังนี้เข้าอย่างจัง

           เฟยหลงย่อกายก้มมองคนเบื้องล่าง คมดาบวางพาดเฉียงห่างจากลำคอเซียวถิงฟงราวหุนหนึ่ง เพียงหักข้อมือลงก็จะสามารถตัดศีรษะของมนุษย์ผู้นี้ได้ มาตรว่าเป็นเช่นนั้นแต่เขาก็ยังคงแน่นิ่งอยู่ในท่าเดิม เนื่องเพราะใกล้ลำคอเขาราวหุนหนึ่ง ก็ปรากฏด้วยพัดเหล็กสีดำพาดอยู่ด้วยเช่นกัน

           ในช่วงวิกฤตเซียวถิงฟงที่นอนขนาบ พลันปละเปลี่ยนพัดจากมือขวาไปยังมือซ้าย ขอเพียงคลี่พัดออกก็จะปลิดปลงศีรษะของเฟยหลงได้เช่นกัน กระทั่งแลเห็นประกายความแปลกใจพาดผ่านในดวงตาของอีกฝ่าย แม้จะอยู่ในสถานการณ์คับขันเขาก็เผยรอยยิ้มแล้ว     

           “เจ้าแน่ใจรึ ว่าสามารถฆ่าข้าได้” เฟยหลงเอ่ยขึ้น

           “งั้นก็ปลิดชีวิตข้าซะ ข้ายินดีเสี่ยง” กล่าวจบก็หัวร่อออกมาดังๆ ยังผลให้เฟยหลงเตรียมหักข้อมือลง แต่แล้วเสียงแง้มประตูห้องก็ดังขึ้น

           “ท่านมหาเทพ” เฟยหลงอุทานขึ้นทันทีด้วยรู้ตัวว่าหลงกล จังหวะนั้นเองเซียวถิงฟงก็ได้โอกาสซัดฝ่ามือเข้าใส่ เขาแม้ตั้งรับแต่ก็ไม่ทันการจึงถูกฝ่ามือในระยะประชิด ร่างพลันถอยร่นชนเข้ากับกำแพงทางด้านหลัง

           เซียวถิงฟงออกวิ่งไปยังห้องที่ถูกเปิดไว้ หากแต่ภายในห้องกลับมีแต่ความว่างเปล่า ด้านไป๋เซ่อก็หันมาสบตาผู้เข้ามาใหม่ด้วยใบหน้าที่แฝงความงงงัน ร่างสูงกวาดมองรอบห้องคราหนึ่งก็เดินไปยังเตียงเปล่า ครั้นวางมือลงก็พบว่าร่องรอยไออุ่นยังคงมีอยู่เบาบาง...เกรงว่าต้าเซียนได้ออกจากห้องไปครู่หนึ่งแล้ว

           “หึ หึ หึ” เสียงที่ดังขึ้นทำให้คนในห้องต้องเหลียวหน้ากลับไป เป็นเฟยหลงที่ยืนพิงประตู มือท้าวดาบไว้กับพื้นอย่างสบายๆ ทั้งยังหัวเราะด้วยมุมปากที่ปรากฏรอยเลือดซึม

           “เจ้าเอาท่านมหาเทพไปซ่อนยังที่ใด” ไป๋เซ่อชี้หน้าตวาด

           “ท่านคิดจะไปที่ใด ผู้ใดห้ามได้” เฟยหลงแค่นเสียงตอบ ทำเอาไป๋เซ่อหน้าดำหน้าแดงเตรียมถลาเข้าจู่โจม หากแต่เซียวถิงฟงกลับปรามไว้

           “ตอนนี้ตามหาต้าเซียนสำคัญกว่า” เขากระซิบบอกเสียงต่ำ ไป๋เซ่อจึงจำต้องสงบอารมณ์ลงอย่างไม่ค่อยพอใจนักก่อนก้าวตามเขาไป

           “คราหน้าข้าหวังว่าเราคงได้ตัดสินกัน” เฟยหลงกล่าวขึ้นในขณะที่อีกฝ่ายกำลังเดินผ่านไป เซียวถิงฟงเองฟังแล้วก็หยุดยืนนิ่ง สีหน้าฉายแววจริงจัง ก่อนกล่าว

           “ข้าจะรอวันนั้น”


***********************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 18.2 เข้าใจผิด


           ร่างสีขาวยืนตระหง่านทอดสายตาลงอย่างใจเย็น มาตรว่าแสงอาทิตย์จะสาดแสงแรงกล้าเพียงใด ก็มิอาจแผดเผาร่างองอาจนี้ได้แม้แต่น้อย รอจนกลุ่มนางกำนัลในชุดสีชมพูก้าวออกมาจากในตำหนัก ร่างอรชรในชุดสีแดงก็ค่อยๆปรากฏกายขึ้น ดูว่าสตรีนางนั้นก็รู้สึกถึงสายตาคมกล้า นางเดินไปหลายก้าวก็พลันหยุดลงอย่างไม่มีสาเหตุ ทำให้เหล่านางกำนัลต้องหยุดตัวลงด้วยเช่นกัน แลไม่นานใบหน้าหวานก็แหงนขึ้นมองแล้ว

           คนผู้หนึ่งยืนอยู่บนหลังคาตำหนักลุ่ยหวาอย่างมิเกรงกลัวผู้ใด อาภรณ์พลิ้วไหวสะบัดไปมาตามกระแสลม ร่างบดบังแสงอาทิตย์จนเงาดำทาบทอลงมาที่พื้น องค์หญิงหย่าเหลียนจ้องมองดวงหน้าคนผู้นี้อย่างคุ้นตา บุรุษผู้นี้สวมอาภรณ์ขาวสะอาดปักลายดอกบัว เส้นผมยาวสีน้ำตาลต้องประกายแดดดูสว่างไสว ดวงตาสีทองเปี่ยมไปด้วยความเฉียบคม อีกทั้งแค่ถีบเท้าเบาๆก็สามารถลอยเหนืออากาศดุจดั่งก้อนเมฆ

           ต้าเซียนนำพาร่างของตนลงมาจากหลังคาตำหนักด้วยท่วงท่าสง่างาม ส่งผลให้เหล่านางกำนัลต่างชมดูกันอย่างเซื่องซึม ไม่เว้นแม้แต่องค์หญิงหย่าเหลียน “จำข้ามิได้รึ” เสียงทุ้มนุ่มชวนให้ใจหวั่นไหวดังขึ้น

           เห็นดวงตาสีทองที่จับจ้องมองอย่างเย็นชา สีหน้าของนางก็เริ่มผิดสี บังเกิดเป็นเสียงแหลมคำรามก้องออกจากริมฝีปากจิ้มลิ้ม “ท่านมหาเทพ”

           สติพลันถูกฉุดกระชากออก ร่างกายถูกควบคุมอีกครั้ง หางสีน้ำตาลขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน จิ้งจอกเหม่ยซินไม่รอท่าถลันตัวเข้าใส่ ด้วยคิดใช้หางจิ้งจอกฟาดโบยคนตรงหน้า ยังผลให้เหล่านางกำนัลหวีดร้องอื้ออึงดังไปทั่วตำหนัก ทั้งยังพากันวิ่งวุ่นหนีกันอย่างอลหม่าน

           “หึ เผยร่างที่แท้จริงแล้วรึ” เขาหลบหลีกหางจิ้งจอกได้อย่างนุ่มนวล กระทั่งฝ่าเท้าก็ยังคงหยัดยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่เเม้แต่จะไหวติง

           เห็นดังนั้นปีศาจสาวก็ประหวั่นลนลาน ปลดปล่อยหางจิ้งจอกออกมาอีกสองหาง เข้าสะบัดโบยขู่กับพื้นตำหนักจนเกิดเป็นรอยร้าว เศษหินหลุดแตกออกก่อนจะพุ่งโจมตีอีกฝ่าย

           “ต่อให้เจ้าเพิ่มหางออกมาจนครบเก้าหางก็มิอาจทำอะไรข้าได้” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงเย็นชา

           “ข้าไม่เชื่อ” นางเองก็ตวาดก้องพลางใช้หางจิ้งจอกรัดเข้าที่ข้อมือของท่านมหาเทพไว้

           ต้าเซียนพลันหมุนข้อมือดึงกระชับจับพวงหางนั้นไว้ แต่แล้วหางจิ้งจอกพวงที่สองกลับพุ่งเข้าใส่อีกระลอกหนึ่ง เขาแสร้งตวัดขาล่อหลอกก่อนจะเหยียบหางนั้นไว้ใต้ฝ่าเท้า พอดีกับที่หางที่สามพุ่งตรงรัดเอวเขาไว้อย่างรวดเร็ว

           ครานี้หางจิ้งจอกทั้งเก้าหางเผยปรากฏออกมาแล้ว ส่งผลให้นางกำนัลกรีดร้องขึ้นมาเป็นคำรบที่สอง พวกนางมิอาจออกไปจากตำหนักได้ เนื่องด้วยประตูคล้ายถูกขวางกั้นไว้ด้วยกำแพงอากาศ แม้จะทุบตีเพียงใดก็กลับเป็นเพียงการกระทำที่สูญเปล่า

           เมื่อเห็นเค้าความวุ่นวายบังเกิดขึ้น ต้าเซียนก็พลันคิดปิดฉากลงทันที ดังนั้นเมื่อหางจิ้งจอกทั้งเก้าพุ่งตรงมาก็มิได้คิดหลบหลีกอีก ร่างจึงถูกพันธนาการไว้ท่ามกลางอากาศ หางจิ้งจอกพวงหนึ่งเริ่มบีบกระชับที่รอบคอ

           ด้านจิ้งจอกเหม่ยซินเห็นอีกฝ่ายสิ้นฤทธิ์ก็เริ่มแสยะยิ้ม นางรั้งร่างของท่านมหาเทพเข้ามาใกล้ๆ พลางสูดดมกลิ่นอายเทพเซียนอย่างย่ามใจ มือลูบไล้ใบหน้าสวย “บริสุทธิ์เหลือเกิน หากข้าได้ลิ้มรสหัวใจของท่านแล้ว ข้าก็จะยังคงเก็บร่างของท่านไว้เชยชม มิต้องห่วง”

           ต้าเซียนถึงกับเบิกตาโพลง ประกายตาสีทองยังคงไว้ซึ่งเย็นชา จิ้งจอกสาวจึงค่อยๆไล้มือจากใบหน้าไปยังลำคอก่อนจรดลงที่หัวใจ นางขยุ้มอาภรณ์สีขาว ทันใดนั้นเสียงขององค์หญิงหย่าเหลียนก็ดังขึ้นในสมอง

           “ฆ่าเขาซะ ฆ่าต้าเซียนเดี๋ยวนี้”

           “หย่าเหลียน จงอย่าได้ถูกมารร้ายควบคุม ข้ารู้เจ้ายังมีแรงต่อต้าน ตอนนี้ยังไม่สาย จงออกมาเดี๋ยวนี้” เขามองลึกเข้าไปในดวงตาหวาน แม้ร่างนี้จะถูกจิ้งจอกเหม่นซินควบคุม หากแต่ภายในยังคงมีจิตวิญญาณของนางหลงเหลืออยู่

           “กรี๊ด” เสียงร้องดังขึ้นอย่างเจ็บปวด ในจังหวะหนึ่งที่เล็บสีแดงจิกเข้าไปถึงผิวเนื้อ ต้าเซียนก็หมุนฝ่ามือที่ถูกพันธนาการไว้แล้วฟันลงทันที

           หางจิ้งจอกถูกตัดขาดพร้อมกันกับเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด จิ้งจอกเหม่ยซินพลันปละปล่อยร่างของท่านมหาเทพ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ท่านกล้าตัดหางข้า” 

           ต้าเซียนที่หวนคืนสู่พื้นดินอีกครั้งก็ถือไว้ด้วยหางจิ้งจอกที่ถูกตัด แลไม่นานก็บังเกิดประกายไฟสีทองส่องสว่างลุกไหม้เผาผลาญหางจิ้งจอกในมือไปอย่างรวดเร็ว “เอาคืนไป” กล่าวจบก็มือเรียวก็แบออก

           ผงธุลีสีขาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหางจิ้งจอกซึ่งสถิตไว้ด้วยพลังทั้งมวลต่างลอยละล่องไปตามกระแสลม จิ้งจอกเหม่ยซินชมดูจนน้ำตาหลั่งไหล สองขาทรุดลงกับพื้น จวบจนรู้สึกถึงฝีเท้าที่เข้าใกล้ ปลายหางก็พลันเปลี่ยนเป็นคมหอก นางเคียดแค้นจนเข้ากระหน่ำโจมตีอย่างไม่คิดชีวิต

           ต้าเซียนเบี่ยงกายหลบกะทันหัน หากแต่นางกำนัลผู้หนึ่งกลับโดนลูกหลงจากคมหางจิ้งจอกนี้จนเสียชีวิต โลหิตของนางสาดกระเซ็นไปทั่วพื้น บังเกิดเป็นความรู้สึกหดหู่ระคนโทสะ เป็นเพราะเขาใจร้อนหุนหันเกินไป ดังนั้นเขาจึงคว้าหางจิ้งจอกอีกสองพวงก่อนดึงทึ้งอย่างไม่ปราณี ทั้งใช้ไฟสวรรค์เผาผลาญตบะของจิ้งจอกจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน

           ปีศาจจิ้งจอกส่งเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวน ครานี้นางหดหางจิ้งจอกกลับเข้าไปภายในร่างแล้ว นางฝืนยืนหยัดกายขึ้นอย่างยากเย็นก่อนเชยตาขึ้นมองท่านมหาเทพแล้วแสยะยิ้ม ฉับพลันนั้นก็โผทะยานเข้าหากลุ่มนางกำนัลที่อยู่ด้านหลังแทน

           “อย่า” ต้าเซียนเห็นแล้วก็ตกใจพลางเร่งฝีเท้าเข้าขวาง หากแต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง

           นางกำนัลสองคนยังมิทันได้ร้องก็ถูกปีศาจจิ้งจอกคว้าร่างขึ้นสูบพลังชีวิต ร่างกายที่เคยเต่งตึงเยาว์วัยกลับค่อยๆแห้งเหี่ยวคล้ายซากไม้ที่ขาดน้ำ จวบจนพวกนางมิอาจหายใจได้อีก ร่างของพวกนางก็ถูกโยนทิ้งดั่งตุ๊กตา ดูเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก
โทสะของเขาเริ่มพุ่งขึ้นถึงขีดสุด “เจ้าปีศาจชั่วช้า” ต้าเซียนตะโกนก้อง ปลดปล่อยพลังออกจากฝ่ามือแล้ว
           
           จิ้งจอกเหม่ยซินเพียงเห็นแค่แสงสว่างจ้าก่อนที่ทั่วร่างจะรู้สึกปวดร้าว ท้ายที่สุดก็กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง จากนั้นนอนแผ่กาย

           แน่นิ่งอยู่บนพื้น ร่างกลับกลายเป็นองค์หญิงหย่าเหลียนอย่างช้าๆ จวบจนเห็นเค้าใบหน้าของคนที่นางเกลียดชังก็ขมวดคิ้วแน่น

           ต้าเซียนเพียงมองแววตาก็รู้ได้ว่าร่างตรงหน้าเปลี่ยนกลับเป็นองค์หญิงหย่าเหลียนแล้ว เขาย่อกายลงพยุงตัวนางขึ้นนั่งพิงกับต้นไม้ใหญ่

           “ข้าขยะแขยงเจ้านัก ข้าเกลียดเจ้า” หย่าเหลียนพูดอย่างอ่อนแรง น้ำตาแวววาวร่วงหล่นแนบแก้ม

           เขารับฟังแล้วก็ทำได้แค่เพียงถอนใจ “จงฟังข้าเถิดอย่าได้มอบจิตใจให้ปีศาจ มิเช่นนั้นเจ้าจะไม่มีวันกลับคืนสู่แสงสว่างได้อีก”

           “แสงสว่างที่มีเจ้าอยู่ ข้าไม่ต้องการ สู้ให้ข้าตายเสียดีกว่า” นางปฏิเสธเสียงแข็ง

           ต้าเซียนได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ หากนางไม่ต้องการเช่นนั้นเขาจะบังคับนางให้ออกมาจากความมืดนั้นเอง “เช่นนั้นคงต้องขออภัย” พูดจบก็หลับตาลงตั้งท่า

           องค์หญิงหย่าเหลียนถึงกับเลิกตากว้าง ด้วยคาดคิดได้ว่าคนตรงหน้าจะทำอะไร “อย่ามาแตะต้องข้า ไปให้พ้น ไสหัวไป” นางตวาดลั่น ทว่าดวงตาสีทองกลับลืมขึ้นมาอย่างแน่วแน่ จากนั้นฝ่ามือก็ถูกส่งเข้าประกบที่กลางอกของนาง

           ร่างคล้ายถูกดึงรั้งอย่างรุนแรง หน้าอกคล้ายกับโดนฉีกแขวะออก สิ่งๆหนึ่งกำลังดิ้นทุรนทุรายภายในร่าง ยังผลให้เจ็บปวดทรมานราวกับจะตาย ความรุ่มร้อนเผาผลาญที่หัวใจ นางบิดกายด้วยความเจ็บปวดเหลือแสน ทั้งเหงื่อและน้ำตาต่างไหลไม่ขาดสาย

           “ฆ่าข้าซะ ฆ่าข้า” นางทนไม่ไหว ทนไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็ต้องกรีดร้องอย่างน่าเวทนา

           ร่างสีขาวมองดูนางอย่างเป็นกังวล ดูว่าปีศาจจิ้งจอกกัดกินจิตวิญญาณของนางไปมาก หากปล่อยทิ้งไว้ อีกไม่นานนางจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของปีศาจจิ้งจอกจริงๆ

           ว่าแล้วก็พยายามตามหาจิตของปีศาจจิ้งจอกที่ฝังตัวอยู่หัวใจ ครั้นเข้ามาลึกพอสมควรก็พลันพบความทรงจำที่หลบซ่อนอยู่ เขาเห็นเซียวถิงฟงที่อยู่ในนั้น หากแต่เมื่อฝืนลึกเข้าไปยิ่งขึ้น เรื่องราวความทรงจำในอดีตที่เกี่ยวกับซวนหยวนหมิงไท่ก็ปรากฏขึ้น แลจิตสีดำก็หลบซ่อนอยู่ในนั้น เขาจับจิตนั้นให้มั่นก่อนจะดึงมันออกจากร่างของนางอย่างระมัดระวัง

           “ต้าเซียน”

           บังเกิดเป็นเสียงตะโกนก้องอย่างตกใจที่ด้านหลัง หากแต่ต้าเซียนมิได้หันกลับไป เนื่องเพราะอีกนิดเดียวก็จะสามารถดึงจิตปีศาจออกมาได้แล้ว แต่มิคาดว่าพริบตานั้นเซียวถิงฟงกลับใช้วิชาตัวเบา คว้าร่างขององค์หญิงอย่าเหลียนไปอย่างเร่งร้อน ยังผลให้พลังสะท้อนกลับเข้าร่างเขาทันที

           “ท่านมหาเทพ” ไป๋เซ่อเข้าประคองคนที่ซวนเซไว้อย่างเป็นห่วง ด้านต้าเซียนเมื่อตั้งหลักได้ก็มองเห็นเซียวถิงฟงที่โอบกอดร่างที่ไร้สติ ทั้งยังร้องเรียกองค์หญิงหย่าเหลียนไม่หยุด

           “หย่าเหลียน หย่าเหลียน” 

           หัวใจพลันรู้สึกเจ็บแปลบปลาบ สายตาคู่นั้นมิได้มองมาที่ตนแม้แต่น้อย ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างไม่รู้ตัว ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจเอ่ยสองคำนี้ออกมา “ถิงฟง”

            “เจ้า...ทำอะไรกับนาง” เซียวถิงฟงกล่าวถามอย่างยากเย็น

           ต้าเซียนเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาคู่นั้นแล้ว ใจก็คล้ายกับหนักอึ้ง ได้แต่จ้องงันไปที่ก้อนหินที่แตกเป็นเสี่ยงๆ น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยอย่างช้าๆ “ข้าเพียงแต่จะช่วยนาง”         

           “ช่วยงั้นรึ เหตุใดนางถึงร้องราวกับคนถูกทำร้ายกัน”

           “ข้ากำลังดึงจิตปีศาจออกจากหัวใจของนาง แต่ปีศาจจิ้งจอกแฝงตัวอยู่ลึก จึงยากที่จะเลี่ยงอาการเจ็บปวด” ต้าเซียนอธิบาย

           ปีศาจ ปีศาจอะไรกัน เซียวถิงฟงสับสน “นางน่ะรึเป็นปีศาจ นางเหมือนปีศาจที่ใดกัน”

           ฟังแล้วต้าเซียนก็รู้สึกเหมือนในอกจะระเบิด เขาสะกดกลั้นอารมณ์มาเพียงพอแล้ว “รึว่าเจ้าเห็นข้าเป็นปีศาจ”

           ต่อเมื่อคำกล่าวจบ เซียวถิงฟงก็เผลอมองไปรอบๆตำหนัก กระเบื้องหินแตกระนาว เลือดสีแดงไหลนองอยู่บนพื้นหลายจุด ร่างไร้วิญญาณของนางกำนัลหลายคนต่างอยู่ในสภาพน่าอเนจอนาถ

           ต้าเซียนที่เห็นสายตาที่กวาดมองก็แค่นหัวเราะอย่างขมขื่น “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าคงคิดว่าข้าทำสินะ”

           “........” ด้วยสภาพของตำหนักลุ่ยหวาคล้ายทำให้เซียวถิงฟงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ครั้นเมื่อคิดถึงบาดแผลที่ไหล่ขององค์หญิงหย่าเหลียนก็ต้องยิ่งสับสนหนัก

           “เจ้าไม่ตอบแสดงว่าเจ้าคิด” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนพลันหลุบลงพื้น หัวใจราวกับถูกกรีดแทง ไป๋เซ่อที่ยืนฟังอยู่ตลอดก็ทำทีจะกล่าว หากแต่เขากลับยกมือปราม

           ประจวบเหมาะพอดีกับร่างในอ้อมกอดเริ่มฟื้นคืนสติ เซียวถิงฟงจึงหันมากล่าวถามอย่างเป็นห่วง “หย่าเหลียน เจ้าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง”

           หย่าเหลียนน้ำตาไหลพราก โผเข้ากอดชายหนุ่มไว้แน่น กล่าวน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้ากลัวพี่ถิงฟง ข้ากลัวว่าข้าจะไม่ได้เห็นหน้าท่านอีก”

           “ไม่เป็นไรแล้ว ข้าอยู่ที่นี่ เจ้ามิต้องกลัวอีก ไหนเล่าสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เขากล่าวปลอบ องค์หญิงหย่าเหลียนจึงค่อยๆเบือนหน้ามองไปรอบๆ หากแต่เมื่อเหลือบเห็นต้าเซียน นางก็ถึงกับตัวสั่นงันงก

           “นางทำร้ายข้า นางจะทำให้ข้าเป็นแบบนั้น” กล่าวจบก็ชี้ไปทางร่างซูบเซียวเหี่ยวแห่งดั่งต้นไม้ที่ขาดน้ำหล่อเลี้ยง

           เซียวถิงฟงมองดูอย่างตกใจ เพราะว่าเมื่อมองดูดีๆแล้วจะพบว่าร่างนั้นเป็นของนางกำนัลที่ครั้งหนึ่งเคยมีผิวพรรณเต่งตึงกรปรไปด้วยความเยาว์วัย ด้านต้าเซียนกลับคล้ายถูกตีแสกหน้า ไม่นึกไม่ฝันว่าจะโดนป้ายสีเช่นนี้

           “เจ้าเกลียดข้าถึงเพียงนี้เชียวรึ” คิ้วขมวดมุ่น ร่างทั้งร่างเริ่มเลือนหายไปท่ามกลางแสงแดด เห็นแล้วเซียวถิงฟงรู้สึกใจไม่ดี เพราะท่าร่างแบบนี้คล้ายเป็นท่าร่างเคลื่อนย้ายในพริบตา

           ซึ่งร่างสูงก็คาดเดาไม่ผิด เพราะกว่าจะรู้สึกตัวก็พลันสบเข้ากับดวงตาสีทองในระยะประชิด แขนเล็กๆของต้าเซียนฉวยเอาร่างของหย่าเหลียนขึ้น ชั่วขณะหนึ่งเขาก็รีบคว้าร่างของนางไว้ หากแต่ร่างน้อยกลับมิเปิดโอกาส หมุนร่างของนางให้ออกห่างจากเขาไปสำเร็จ

           “ข้ามิอาจปละปล่อยปีศาจร้ายเช่นเจ้าได้อีก” ต้าเซียนกล่าวพลางมองไปที่องค์หญิงหย่าเหลียนเขม็ง แม้จะถูกเข้าใจผิด ก็มิอาจปล่อยให้ปีศาจอยู่ใกล้เซียวถิงฟงได้

           ครานี้พัดเหล็กตวัดขึ้นแล้ว เส้นผมยาวสีน้ำตาลอ่อนปลิวลอยไปกับสายลม ผ่านดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เลิกกว้างอย่างมิเชื่อสายตา

           “หากเจ้าไม่ปล่อยนาง ข้าจำเป็นต้องลงมือ” เซียวถิงฟงขึ้นเสียง เป็นเพราะเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวอันไร้ความปราณีจึงทำให้ต้องตัดสินใจเช่นนี้

           “เจ้าต้องทำถึงขนาดนี้เชียวรึ” ต้าเซียนนิ่งอึ้ง ก่อนสังเกตเห็นได้ว่าสายตาคู่นั้นแฝงแววไม่ไว้ใจ จึงกล่าวน้ำเสียงกร้าวขึ้น
           
           “เช่นนั้นข้าคงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องอยู่กับเจ้าอีกแล้วสินะ ในเมื่อข้าทำร้ายคนของเจ้า” สองมือพลันปละปล่อยวางร่างที่ไร้เรี่ยวแรงนอนลงบนพื้นแล้ว

           ครั้นแลเห็นดวงตาแดงก่ำในนัยน์ตาคู่สวยนั้น เซียวถิงฟงก็จุกในอก ความจริงตลอดเวลาที่ผ่านมาต้าเซียนเป็นคนอ่อนโยนมิใช่หรือ ทั้งที่เขาควรรู้ดีแก่ใจ หากแต่เรื่องราวดำเนินไปอย่างรวดเร็ว รวดเร็วจนเกินไป ทำให้เขาสับสนมิอาจคิดใคร่ครวญได้ทัน จนกระทำการวู่วามเช่นนี้

           ต้าเซียนหยั่งลึกลงในจิตใจของร่างสูง หากรู้สึกได้เพียงแต่ความว่างเปล่า เซียวถิงฟงไม่แม้แต่จะหวั่นไหว มิได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย จู่ๆก็พลันเข้าใจถึงคำว่าเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ในวันนี้นี่เอง

           “ดี ดียิ่งนัก” เขากล่าวน้ำเสียงหยันก่อนตัดสินใจโผทะยานไปให้ไกลจากสถานที่เย็นชาแห่งนี้


***************************************

บทนี้รีไรท์ยากมาก ตัดเนื้อหาบางส่วนที่เยิ่นเย้อไปเยอะ เเต่ก็เเอบกังวลว่าอารมณ์บางส่วนจะถูกตัดไปด้วย อ่านเเล้วรู้สึกอย่างไร เม้นท์เเนะนำได้นะคะ  :o12:

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 19.1 ความสับสน


           “นี่เจ้าฟังที่ข้าพูดอยู่รึเปล่า”

           “หืม” น้ำเสียงขององค์รัชทายาทช่วยปลุกให้เซียวถิงฟงหลุดออกจากภวังค์แล้วหันใบหน้าที่ไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวาขึ้นมองคนทักที่อยู่ในชุดสีฟ้าที่ขับผิวขาวให้ผ่องขึ้นอย่างเต็มตา

           พอเห็นใบหน้าที่ซึมเซาของสหาย ซวนหยวนหมิงไท่ก็อดที่จะสัพยอกขึ้นมามิได้ “ข้าเดาว่าใจเจ้าคงคิดถึงคนผู้หนึ่ง กลางคืนนอนไม่หลับ แม้ยามกลางวันสติก็ยังคงเลื่อนลอย”

           เขาเสหลบสายตาที่มองอย่างรู้ทันก่อนแสร้งทำขึงขัง “ท่านกล่าวเกินเลยไป”

           “แต่ช่วงนี้ข้าได้รับฟังข่าวหนึ่งที่น่าสนใจมิใช่น้อย ดูว่าระยะนี้รองแม่ทัพเซียวสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เกรงว่าตำแหน่งราชบุตรเขยคงทำให้ถึงกับเนื้อเต้น” ซวนหยวนหมิงไท่ร่ายยาว

           ปึง เซียวถิงฟงถึงกับทุบโต๊ะกล่าวเสียงดัง “ใครมันกล้ากล่าววาจาไร้สาระเยี่ยงนี้”
องค์รัชทายาทตอบห้วนๆ “ซุนจื่อหาน”

           “เพ้ย เจ้าบัณฑิตหน้าจืด ช่างรนหาที่ตายนัก” เซียวถิงฟงสบถ นึกถึงใบหน้ากระลิ้มกระเหลี่ยของซุนจื่อหานแล้วก็ยิ่งมีโทสะ
           
           ด้านรัชทายาทหนุ่มกลับลอบยิ้มที่มุมปาก จากนั้นกล่าวใส่ไฟยิ่งขึ้น “ข้ายังได้ยินมาอีกว่า เมื่อใดที่เจ้าเข้าพิธีรับตำแหน่งราชบุตรเขยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตระกูลซุนจะส่งแม่สื่อไปสู่ขอต้าเซียนจากใต้เท้าเซียวถิงหลี่ให้กับซุนจื่อหาน”

           “ไม่มีทาง ข้าไม่มีทางปล่อยให้เป็นเช่นนั้นแน่” เสมือนเลือดขึ้นหน้า เซียวถิงฟงถึงกับผุดลุกขึ้นขึงขัง ใครจะปล่อยต้าเซียนให้ไปกับคนกะล่อนพรรค์นั้น

           “อา จะว่าไปแล้วพอพูดถึงต้าเซียน ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าเขาหายไปราวสิบวันแล้วสินะ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวเปรยๆ พลางยกชาขึ้นดื่มเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ

           “ไม่ถูก สิบหกวันแล้วต่างหาก” เซียวถิงฟงโต้ตอบกลับแทบในทันที แต่ครั้นพูดจบใบหน้าก็กลับมาเซื่องซึมอีกครั้ง

           ต่อเมื่อสหายสนิททรุดนั่งลงบนเก้าอี้กลมอีกครั้ง ก็พลอยให้นึกสงสาร “ถิงฟง การที่เจ้ามาหาข้าทุกยามเช้า กลางวัน เย็น หรือแม้กระทั่งหลังเลิกงาน เจ้าก็ยังคงอยู่กับข้าจนดึกดื่นค่อนคืน ไม่กลับบ้านกลับช่อง ใช่เพราะเจ้ารอต้าเซียนรึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวเข้าประเด็น วันนี้เขาต้องเค้นคำตอบจากปากของเซียวถิงฟงให้ได้ เพราะสำหรับเขาที่ต้องชมดูเจ้าตัวคอตกกลับบ้านไปทุกวี่ทุกวัน ก็พานให้รู้สึกหดหู่ขึ้นมาเหมือนกันมิได้ห

           “ขะ ข้า”

           “เจ้ามิได้คิดตามหาเขาจากที่อื่นบ้างหรือ”

           “มิใช่ข้าไม่ตามหา แต่ข้าตามหารอบเมืองฉางอันแล้ว อีกทั้งในทุกยามที่สบโอกาส แต่กระทั่งป่านนี้ข้าก็ยังมิอาจพบร่องรอยของเขาเลยสักนิดเดียว” เซียวถิงฟงกล่าวน้ำเสียงสลด นึกถึงคำพูดตัดพ้อของต้าเซียนในวันนั้นก็ต้องรู้สึกผิดยิ่งนัก

           “แล้วเจ้าคิดว่าเขาจะแวะมาหาข้าอย่างนั้นหรือ”

           “ข้าก็ไม่มั่นใจนัก” เขาตอบเสียงอ่อย

           ซวนหยวนหมิงไท่มองคนตรงหน้าเขม็ง ท่าทีไม่จริงจังเช่นเมื่อครู่ก่อนมลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง “ข้าขอถามเจ้าตามตรง เจ้าจะตามหาต้าเซียนไปไยกัน ทั้งๆที่เขาทำร้ายหย่าเหลียน ทุกวันนี้นางเองก็กินมิได้นอนไม่หลับ ร่างกายซูบเซียวไปถนัดตา แม้แต่เรี่ยวแรงก็ไม่มีแม้แต่น้อย เป็นเสมือนดอกไม้ที่รอวันร่วงโรยเหี่ยวเฉา” เมื่อกล่าวถึงประโยคสุดท้าย ก็อดที่จะนึกถึงวันเกิดเหตุที่ได้พบกับร่างแห้งกรอบราวกับซากต้นไม้ของนางกำนัล ซึ่งถูกหามออกมาจากตำหนักลุ่ยหวาต่อหน้าต่อตามิได้

           จากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น ทำให้ทางราชสำนักประกาศเพียงว่าคนร้ายเป็นยอดฝีมือจากต่างแคว้นที่ลอบเข้ามาสร้างความวุ่นวายให้แก่แคว้นซวนหยวน ดังนั้นฮองเฮาเซิงจึงถือโอกาสนำเรื่องขึ้นกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ขอพระองค์พระราชทานตำแหน่งราชบุตรเขยแก่รองแม่ทัพเซียวถิงฟงที่ได้เข้าไปช่วยองค์หญิงหย่าเหลียนในขณะนั้น

           “ข้าไม่ควรเข้าใจผิด ทั้งที่ข้ารู้ว่าต้าเซียนมิใช่คนโหดเหี้ยม เขามิใช่คนที่จะทำร้ายผู้อื่นได้ แต่ในเวลานั้นข้ารู้สับสน” ยิ่งกล่าวก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดในใจ

           “ดูท่าอาการของหย่าเหลียนคงไม่เกินคำกล่าวอ้างของต้าเซียน ไม่ดีแน่หากยังมีปีศาจป้วนเปี้ยนอยู่ในวังหลวง ข้าหวังว่าคงมิต้องเห็นผู้เคราะห์ร้ายเช่นนี้อีก อีกอย่างหากจะรักษาหย่าเหลียนพวกเราคงต้องพึ่งต้าเซียนแล้ว”

           “แต่ปัญหาคือ ต้าเซียนอยู่ที่ใด” พูดจบเซียวถิงฟงก็ถอนใจเป็นคำรบที่สอง สองมือยกขึ้นกุมขมับ หากแต่ซวนหยวนหมิงไท่กลับหลิ่วตาถาม

           “หึ หึ เจ้าลองคิดซิว่าใครใกล้ชิดเขามากที่สุด”
เขาได้แต่มองอย่างสงสัย แลไม่นานนักดวงตาสีดำก็เกิดประกายวาบ เขาโพล่งตอบออกมา “ไป๋เซ่อ”

           “ใช่แล้ว หมู่นี้ข้ายังได้ยินข่าวมาว่า อาหารคาวหวานจากทางฝ่ายต้นเครื่องมักเกิดขโมยขึ้นบ่อยครั้ง จนกระทั่งป่านนี้ยังจับคนร้ายมิได้ และน่าแปลกที่ทุกคราที่ของกินหายไปมักจะมีร่องรอยแปลกๆขึ้น” รัชทายาทหนุ่มเว้นกล่าวก่อนอมยิ้มขึ้น จากนั้นจึงกล่าวถึงหัวขโมยตัวแสบ

           “ที่พื้นห้องมักเกิดร่องรอยเลี้ยวลด ทำเอาพวกองครักษ์ได้แต่งงกันเป็นทิวแถว ประจวบเหมาะกับท่าทีแปลกๆของไป๋เซ่อในระยะนี้ เขามักแบกห่อผ้ากองโตไว้กลางหลัง จากนั้นก็หายตัวไปเสียนาน พอข้าซักถามก็มักจะโดนเขาตวาดฉุนเฉียวอยู่ร่ำไป”

           “น่าแปลก ถ้าจะมาขโมยของกิน ก็มิเห็นต้องเสียเวลานำออกไปกินนอกวังหลวง ยกเว้นว่าจะนำไปให้...” ยังมิทันกล่าวจบประโยครอยยิ้มก็พลันปรากฏบนใบหน้าของเซียวถิงฟง

           “วันนี้เราคงต้องจับขโมยกันเสียหน่อยแล้ว” องค์รัชทายาทยิ้มเจ้าเล่ห์ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อก็ปรากฏเสียงหัวเราะเหี้ยมในลำคอที่ดังมาจากคนหนุ่มทั้งสอง

           “หึ หึ หึ”


*******************************************************


           ไป๋เซ่อในร่างของงูเผือกถึงกับสะดุ้งตัวโหยงอย่างไร้สาเหตุแล้วพลันขบคิด เหตุใดจึงรู้สึกขนลุกขนชันถึงเพียงนี้ ว่าแล้วมันก็ต้องหัวเราะเยาะตนเอง

           “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” ข้าเป็นงูเผือกที่สง่างาม มีเกล็ดเรียบลื่นแวววาวจะไปมีเส้นขนเช่นมนุษย์ได้เยี่ยงไรกันเล่า มันกล่าวอย่างหลงตัวเองก่อนจะเลื้อยเข้าสู่ห้องครัวใหญ่ของฝ่ายต้นเครื่องที่ไม่มีผู้คนอยู่

           ทันทีที่ได้สัมผัสกับพื้นห้อง ก็แลเห็นขนมกุ้ยฮัวที่อยู่บนโต๊ะมุมหนึ่ง ดูท่าจะเป็นของว่างของเหล่าบรรดานางสนม ไป๋เซ่อฉีกยิ้ม พริบตาเดียวก็มีห่อผ้าขนาดใหญ่ลอยวนอยู่เหนือศีรษะ ขนมกุ้ยฮัวเองก็ดูเหมือนจะล่องลอยได้ มันลอยอยู่เหนือผืนผ้าก่อนจะตกลงไปในห่ออย่างไม่มีทางเลือก จะว่าไปลูกท้อบนโต๊ะนั่นก็ดูไม่เลว มันคิดแล้วรีบเลื้อยตัวไปใกล้

           กระทั่งห่อผ้าเริ่มปริแน่นไปด้วยของหวานนานาชนิด ไป๋เซ่อก็เริ่มที่จะวางมือ มันนำพาร่างของตัวเองเลื้อยออกจากห้องด้วยท่าทีเบิกบานใจ แต่ไม่ทันไรสายตาก็ปะทะเข้ากับสิ่งๆหนึ่งบนพื้น ทำให้ดวงตาถึงกับลุกวาว

           “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” เหตุไฉนขนมถั่วแดงจึงมาอยู่บนพื้นได้ ไป๋เซ่อเลื้อยเข้าไปหาขนมอย่างไม่รอช้า จนกระทั่งมันฉีกยิ้มแล้วอ้าปากกว้างเตรียมเขมือบขนมนั้น จู่ๆก็พลันชะงักกึก

           “ฟ่อ ฟ่อ” แต่ท่านมหาเทพห้ามกินของตกพื้นนี่นา ไป๋เซ่อคิด แววตาสีฟ้าอมเขียวทอประกายเสียดายอย่างสุดแสน มันจ้องขนมถั่วแดงอยู่นาน หางก็สะบัดไปมาเหมือนกำลังต่อสู้กับปีศาจร้ายในใจ แต่แล้วสักพักก็แสยะยิ้มขึ้น ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดจึงทำให้มันรู้สึกถึงแรงยั่วยุ ให้กัดขนมถั่วแดงเสียสักคำสองคำ อีกทั้งยังได้ยินเสียงที่ไร้ที่มากล่าวกับมันว่า

           กินซะสิ กินเลย ว่าแล้วไป๋เซ่อก็ไม่ลังเลอีก มันใช้ปากตะครุบจนขนมถั่วแดงถูกกลืนหายเข้าไปในปาก รอจนท้องนูนป่องก็เลื้อยตัวออกจากห้องพร้อมห่อผ้าอย่างร่าเริง ทว่าออกเลื้อยตัวได้ไม่นานก็เกิดสะอึกขึ้นไม่หยุด ร่างกายเริ่มร้อนผ่าว กระทั่งพื้นยังเริ่มเอนเอียง หมู่แมกไม้ต่างกลับหัวกลับหาง จันทราเองก็คล้ายเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง

           ไป๋เซ่อเผยอยิ้มมอง รู้สึกอยากโบยบินดั่งนก ร่างจึงเปลี่ยนกลับเป็นเด็กหนุ่มในชุดเขียว ฝีเท้าเหาะเหินเหนือพื้นดิน แต่ฉับพลันกลับปรากฏมือปริศนาสองคู่ฉุดข้อเท้าลงมา ยังผลให้หน้าผากกระแทกเข้ากับพื้นโดยไม่มีโอกาศได้ร้องสักแอะ เล่นเอาสติถึงกับหลุดลอยแทบออกจากร่าง ทว่าก่อนที่จะสิ้นสติก็พอจะพบเห็นเงาร่างที่คุ้นตาอยู่บ้าง

           .................

           .........

           ...

           ในห้องเล็กแคบที่ถูกจุดไว้ด้วยแสงเทียนสลัว ผนังรอบด้านแขวนไว้ด้วยอาวุธลงทัณฑ์น้อยใหญ่ ส่งผลให้บรรยากาศในห้องดูอึมครึมน่ากลัว แต่แล้วภายในห้องก็ปรากฏเสียงทุ้มของคนผู้หนึ่งที่กล่าวอย่างสงสัยใคร่รู้

           “ข้าอยากจะรู้นัก สายข่าวของท่านเป็นใครกัน ดูจากฝีมือแล้วเห็นทีจะนำหน้าตระกูลเซิงไปก้าวหนึ่ง”

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” บังเกิดเป็นเสียงหัวเราะร่วนของคนอีกผู้หนึ่ง “ต้องขอบคุณบุตรสาวของเจ้าอย่างยิ่ง ตอนนี้นางสะสมตบะจนสามารถกลับกลายร่างได้ตามใจชอบ ไม่ว่าที่ใดนางล้วนเข้าไปได้ทั้งสิ้น”

           “มิน่า ข้าถึงมิได้เห็นหน้านางมาเสียหลายวัน หากท่านเห็นชอบท่านก็อุปการะนางเสียหน่อยสิ”

           “เจ้าอย่าพูดแบบนี้ต่อหน้าไป๋เซ่อเชียว ข้าไม่อยากฟังเขาโวยวาย ว่าแต่เขาฟื้นรึยัง”

           พอดีกับทีไป๋เซ่อเริ่มสะลึมสะลือ คิ้วขมวดมุ่นด้วยอาการเจ็บแปลบที่หน้าผากอันปูดโปน ดวงตารางเลือนอยู่ครู่หนึ่งก็แลเห็นคนทั้งสองอย่างเต็มตา

           เซียวถิงฟงไม่รอช้าจับหมับที่หัวไหล่ของคนพึ่งฟื้นสติ แล้วกล่าวถามอย่างร้อนใจ “ไป๋เซ่อ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าต้าเซียนอยู่ที่ใด”

           จวบจนขยับกายทีหนึ่งก็พบว่าตนถูกมัดติดกับเก้าอี้ในห้องเล็ก ซ้ำยังมีอาวุธแปลกตาแขวนอยู่รอบห้อง ที่ด้านหลังเซียวถิงฟงยังมีซวนหยวนหมิงไท่ที่นั่งด้วยท่าทีสบายๆ สมองเริ่มเข้าใจที่มาที่ไป สีหน้าของไป๋เซ่อจึงแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เขาตวาด
           
           “พวกเจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน”

           “ไป๋เซ่อ เจ้าอย่าได้โกรธไป ก็แค่ขนมถั่วแดงผสมเหล้านารีแดงไม่กี่หยดเอง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวไปยิ้มไป ทำให้ตลอดทั่วทั้งร่างของไป๋เซ่อต้องสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธ ก่อนตะเบ็งเสียงลั่น

           “เจ้า...พวกคนหน้าไม่อาย ถึงกับกล้าหลอกข้าที่เป็นถึงมือขวาของท่านมหาเทพเชียวรึ อย่าหวังว่าข้าจะบอกอะไรเลย หึ”

           ฟังแล้วเซียวถิงฟงก็ยิ้มกริ่ม ดูว่าพวกเขาคาดการณ์มิผิด ไป๋เซ่อรู้ว่าต้าเซียนอยู่ที่ใด

           ยิ่งเห็นทั้งสองยิ้มเจ้าเล่ห์ ไป๋เซ่อก็ยิ่งเกรี้ยวกราด “หากข้าหลุดพ้นจากเงื้อมมือพวกเจ้าเมื่อไหร่ ข้าจะ...ข้าจะ” จู่ๆก็เกิดนึกคำพูดไม่ออกจึงได้แต่อึกๆอักๆ เอ...ข้าจะทำอะไรดี

           “เจ้าจะทำอะไร” เซียวถิงฟงกล่าวถาม

           “ข้าจะหนีออกจากวังหลวงให้ดู” ไป๋เซ่อลั่นวาจาก้อง ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับอ้าปากเปล่งเสียงหัวเราะออกมาไม่หยุด ถึงขนาดน้ำตาเริ่มปริ่ม

           ไป๋เซ่อได้ยินเสียงหัวเราะลั่นก็บัดเดี๋ยวหน้าดำบัดเดี๋ยวหน้าแดง  จึงพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ แต่ก็มิเป็นผล ฝ่ายเซียวถิงฟงเริ่มเห็นหนทางก็รีบตะล่อมถาม

           “อย่างเจ้าจะไปไหนได้ เจ้ามีที่ไปรึ”

           “ขะ ข้ามีสิ” ไป๋เซ่อกล่าวตะกุกตะกัก ดวงตาเสมองไปทางด้านบนคล้ายกับใช้ความคิด

           ทว่าเซียวถิงฟงไม่ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายคิดมากนัก เขาแค่นเสียงเค้นถามต่อ “เฮอะ อย่างเจ้าจะมีที่ไปรึ”

           “ข้ามี มีแน่นอน” ครานี้ไป๋เซ่อเริ่มฮึดฮัด ไม่ยอมเสียหน้า

           “เช่นนั้นเจ้าจะไปที่ใดกันเล่า”

           “หึ หึ หึ ข้าจะไปสระบัว ที่นั่นท่านมหาเทพรอข้าอยู่ ข้าไม่ได้อยากอยู่กับพวกเจ้านักหรอกนะ” หากที่นี่ไม่มีของกิน ไป๋เซ่อกล่าวตอบได้ไม่เต็มปากเต็มคำ แต่แล้วก็แทบอยากกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นรอยยิ้มแสยะของคนทั้งสอง “ไม่ไป ข้าไม่ไปสระบัวแล้ว ข้าไม่หนีออกจากวังหลวงแล้ว ข้าจะ...ข้าจะตามล้างแค้นพวกเจ้า” เขาเลิกตาตื่น ทั้งยังกลับคำกลบเกลื่อนอย่างมีพิรุธ

           “สระบัวรึ แต่สระบัวถูกเผาไปจนหมดแล้วนี่” องค์รัชทายาทเอะใจ นึกถึงคดีเผาสระบัวในเมืองต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ในวังหลวง เหตุการณ์นี้ยังทำให้ราษฎรจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เสียยกใหญ่

           “ไม่ ยังมีอีกที่หนึ่ง” เซียวถิงฟงตอบอย่างมั่นใจ เขารู้ว่าสระบัวนั้นอยู่ที่ใด สระบัวเพียงแห่งเดียวที่รอดพ้นจากการถูกไฟปริศนาเผาผลาญ
 

*******************************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 19.2 ความสับสน


           สายลมเย็นปะทะเข้ากับกายเป็นระลอกๆจนตัวเริ่มเย็นชืด มวลหมอกหนาจับกลุ่มขมุกขมัวไปรอบๆสระบัว ดูราวกับว่ามันกำลังปกปิดซุกซ่อนอะไรบางอย่างไว้อยู่

           เซียวถิงฟงที่พึ่งรุดฝีเท้าจากฉางอันมาสู่เมืองลู่หยางเพียงไม่กี่ชั่วยาม ก็เริ่มปลดเชือกออกจากท่าแล้วกระโดดลงเรือลำเล็กโดยไม่แสดงอาการเหน็ดเหนื่อย สองมือจับฝีพายแล้วล่องเรือออกไปในทันที

           ดูไปแล้วดอกบัวที่นี่ยังคงออกดอกเบ่งบานดูสวยงาม แต่กระนั้นเขายังสัมผัสได้ถึงความเหงารางๆ จวบจนมาถึงกึ่งกลางของสระบัวที่มีหมอกหนาทึบ ในใจส่วนลึกก็รู้สึกได้ทันที ร่างน้อยอยู่ที่นี่จริงๆ

           “ต้าเซียน” เขาตัดสินใจร้องเรียก แม้ใจหนึ่งมิกล้าสู้หน้า หากแต่อีกใจหนึ่งกลับอยากจะเห็นใจจะขาด แต่กระนั้นก็ไม่มีเสียงใดตอบรับ เขาจึงได้แต่ร้องเรียกต้าเซียนซ้ำไปซ้ำมา ทั้งยังดังขึ้นเรื่อยๆ จวบจนนน้ำเสียงกลายเป็นตะเบ็งลั่น น้ำในสระกระเพื่อมไหวน้อยๆ

           จนถึงตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกท้อทั้งเหนื่อยล้าในใจ อาจเพราะบางทีต้าเซียนมิอยากพบหน้า จึงไม่ยอมปรากฏตัวให้เขาเห็น อดที่จะเริ่มเซื่องซึมมิได้ ฝีพายก็หยุดลงดื้อๆ พลันปล่อยเรือให้ลอยไปกลับกระแสน้ำแทน

           “ต้าเซียน” เขาพึมพำนามที่เขาเป็นคนตั้งให้อย่างเบาๆพร้อมกับใจที่สิ้นหวัง บรรยากาศโดยรอบเองก็เงียบสนิทพานให้หัวใจว่างเปล่า แต่แล้วในชั่วอึดใจต่อมากลับบังเกิดเป็นเสียงดังขึ้นจนทำให้เขาต้องสะดุ้งโหยง
           
           โครม เสียงเรือชนอะไรบางอย่างทำให้ร่างถึงกับผงะหงายไปกับท้องเรือ นี่เป็นเพราะเรือถูกกระแสน้ำชักนำให้ปะทะเข้ากับโขดหินอย่างรุนแรง ฉับพลันนั้นเสียงนุ่มทุ้มระคนรำคาญก็ดังออกมา

           “โอ๊ย หนวกหูเสียจริง”

           เสียงนั้นแทบทำให้เซียวถิงฟงตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอย่างเบิกบานใจ แลเมื่อเห็นร่างน้อยที่นอนเอกเขนกบนโขดหินก้อนใหญ่ก็ต้องโพล่งออกมาเสียงดัง “ต้าเซียน”

           “จะเรียกไปถึงเมื่อไหร่กัน” ต้าเซียนส่งเสียงดุใส่คนที่ซูบเซียวลงไปถนัดตา ครั้นเห็นร่างสูงมองตนไม่วางตา ทั้งยังส่งรอยยิ้มจริงใจให้ ก็ต้องหลุบตาลงในทันที

           รอยยิ้มนี้มอบให้ข้าจริงๆหรือ เกิดเป็นความรู้สึกสับสน ตั้งแต่ที่เซียวถิงฟงมาถึงสระบัว ตนก็ได้กลิ่นอายของชายหนุ่มตั้งแต่แรกแล้ว จึงรีบเสกหมอกควันหนาขึ้นบดบังทิวทัศน์รอบข้าง ด้วยไม่คิดพบเจ้าตัว ต่อเมื่อได้ยินเสียงสั่นสะท้านที่ร้องเรียกตนอย่างสุดกำลัง ก็ทำให้ใจพลันหวั่นไหว

           แลขณะที่กำลังชั่งใจว่าควรแสดงตัวดีไหม เสียงของเซียวถิงฟงก็กลับเงียบหายไป เขาจึงแอบหยั่งความรู้สึกของร่างสูง แต่แล้วก็พบว่ามันราบเรียบสนิท ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกใดๆ ใจดวงน้อยก็ถึงกับดิ่งวูบ

           ไม่รู้สึกอะไร แล้วจะตามหาข้าไปไยกัน ได้แต่ตัดพ้อว่ากล่าวในใจ กระนั้นหูก็ยังคงเงี่ยฟัง ในใจยังคงแอบบอก หากเรียกอีกเพียงครั้ง ข้าก็จะยอมพบหน้าเจ้าอีกก็ได้

           “ต้าเซียน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เซียวถิงฟงถามอย่างประหลาดใจ เรือนำพาเขาถอยหลัง แสดงว่าเขาต้องผ่านมาตรงนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

           ต้าเซียนเบือนหน้ามองคนถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เดิมทีที่ตรงนี้ก็เป็นที่ของข้าตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่บ้านเจ้ามาปลูกล้อมรอบที่นี่ไว้ต่างหาก หากเจ้ามิพอใจข้าจะใช้มนตร์เคลื่อนย้ายไปที่อื่นเสียเดี๋ยวนี้” พูดจบก็หยัดกายลุกขึ้นอย่างว่องไว

           “ไม่ได้” แต่แล้วเซียวถิงฟงกลับตวาดก้อง ทั้งกระโจนเข้าใส่ร่างน้อยในทันที จากนั้นทาบทับร่างเล็กไว้มิให้จากไปไหน

           ต้าเซียนถูกผลักจนหงายหลังไปกับโขดหิน ก่อนจะต้องตกใจไปกับสีหน้าว้าวุ่นของผู้ที่กำลังคร่อมตัวเขาอยู่...เหตุใดต้องทำสีหน้าเช่นนี้ด้วย เขามองดูอย่างสับสน จู่ๆเบ้าตาก็เริ่มรื้นไปด้วยน้ำตาใส แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันเห็นน้ำตาหยดนี้ เขาก็โถมกอดร่างของชายหนุ่มเอาไว้พลางซุกศีรษะเข้าไปยังไหล่กว้าง

           เซียวถิงฟงตกใจเล็กน้อยกับท่าทีดังกล่าว หากแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทั้งยังกอดรับร่างเล็กไว้อย่างเบามือ แม้รู้ว่าน้ำตาของร่างน้อยเริ่มไหลออกเป็นสาย แต่เขาไม่มีวันได้เห็นชัดถนัดตา และคงมีแต่เพียงหยาดน้ำตาใสที่หลงเหลืออยู่บนเสื้อของเขาเท่านั้นที่เป็นหลักฐาน แลไม่นานเสียงสะอึกสะอื้นก็เล็ดลอดออกมาจากลำคออย่างน่าสงสาร เขาเอื้อมมือไปลูบหลังปลอบโยนร่างที่เริ่มสั่น

           “ข้าขอโทษ” แทบอยากจะตบหน้าตนเองสักหลายหน เป็นเขาที่ทำร้ายต้าเซียนเอง รอจนร่างในอ้อมกอดหยุดสั่นเทา เสียงสะอึกสะอื้นจางหาย เขาก็เอ่ยขึ้น “กลับไปกับข้าเถอะ ต้าเซียน”

           “อื้อ” ต้าเซียนตอบด้วยเสียงงึมงำในลำคอ

           ทว่าเพียงเท่านี้เซียวถิงฟงก็ยิ้มได้แล้ว เขากอดรัดร่างเล็กให้แน่นกว่าเดิม ดวงตาก็หลับลงสัมผัสถึงไออุ่น ในไม่ช้าทั้งกายและใจก็คล้ายได้รับการปลดปล่อยจากห้วงเวลาที่ขมขื่น
 

***********************************************


           “ไม่ ข้าไม่ยอม” นางกล่าวปฏิเสธอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทั้งผินหน้าหลบสายตาของคนในห้องทั้งหมด ทำให้เซียวถิงฟงต้องมองดูอย่างลำบากใจ “เหตุใดพวกท่านจึงใจร้ายนัก ทั้งๆที่พวกท่านก็รู้ว่าต้าเซียนทำร้ายข้า กระนั้นแล้วยังจะให้ข้าไปพบเขาอีกทำไมกัน”

           “ต้าเซียนทำร้ายเจ้าจริงรึไม่ ก็ยังไม่กระจ่างนัก แต่หากเจ้าพบหน้าเขาอีกครั้ง พวกเราอาจได้คำตอบ” องค์รัชทายาทกล่าวเสียงแข็ง ทำเอาองค์หญิงหย่าเหลียนหันมาชักสีหน้าใส่

           “หรือองค์รัชทายาทกำลังกล่าวว่าหม่อมฉันเป็นปีศาจ”

           “ใช่รึไม่เจ้าย่อมรู้ดี ดูสภาพของเจ้าตอนนี้สิคล้ายกับคนรึไม่” องค์รัชทายาทโต้กลับพร้อมจ้องหญิงสาวตาเขม็ง

           “ท่าน” ดวงตาของนางถึงกับลุกโชนไปด้วยความโกรธ

           “หย่าเหลียนอย่าได้กล่าวเช่นนี้ พวกเราแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น” เซียวถิงฟงกล่าวแทรกตัดบทระหว่างคนทั้งสอง

           “พรุ่งนี้ต้าเซียนจะมาพบเจ้าที่ตำหนักลุ่ยหวา จงเตรียมตัวให้พร้อม นี่เป็นคำสั่ง” องค์รัชทายาทขึ้นเสียงพร้อมทั้งสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่พอใจ จากนั้นก็เดินพรวดพราดออกไปด้วยท่าทีที่โกรธไม่แพ้กัน

           “ท่านก็เห็นข้าเป็นปีศาจมิใช่รึ” นางหันไปเอาความกับคนที่เหลือด้วยน้ำตา

           ได้ยินดังนั้นเซียวถิงฟงก็ทอดถอนใจ ทั้งที่มือคู่นี้เคยเป็นมือที่นุ่มนวลจนเป็นที่น่าหลงใหลของบุรุษหลายๆคน หากแต่ตอนนี้มันกลับเป็นมือที่ห่อหุ้มกระดูกบางเอาไว้เท่านั้น กระทั่งสีหน้าที่เคยเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลมาบัดนี้ก็กลายเป็นซูบตอบอย่างน่าใจหาย

           “ข้าน่าเกลียดมากใช่ไหม” นางกล่าวถามผ่านผ้าคลุมหน้าบาง แม้จะไม่มีใครกล้าวิจารณ์สภาพของนาง แต่นางก็รู้ดี ตัวนางในตอนนี้แทบจะไม่หลงเหลือเค้าความงดงามอีก ดวงตาโหลลึกถึงเบ้า ผิวหนังก็เหี่ยวแห้งดั่งเช่นหญิงสูงอายุ

           “ใครบอก เจ้ายังคงงดงามอยู่เลย” เขากล่าวยิ้มๆแล้วเอื้อมมือไปสัมผัสที่ศีรษะของนาง “วันนี้เจ้าก็พักเสียเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องพบกับต้าเซียนอีก ข้าเชื่อว่าเขาต้องช่วยเจ้าได้อย่างแน่นอน” พูดจบก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวนางก่อนเดินออกจากห้องไป ทว่าก่อนที่จะพ้นประตู เสียงขององค์หญิงหย่าเหลียนก็ดังขึ้น
               
           “เหตุใดท่านจึงเชื่อใจนางยิ่งนัก”

           เซียวถิงฟงชะงักหยุดยืนนิ่งที่หน้าประตู แต่แล้วก็ตัดสินใจก้าวเท้าออกจากห้องไปโดยไม่คิดที่จะตอบคำถามแต่อย่างใด
หย่าเหลียนมองคนที่จากไปโดยไม่คิดให้คำตอบ สองตาก็แดงก่ำไปด้วยความน้อยใจ “ถึงท่านจะเชื่อเขา แต่ท่านก็มิอาจกลับไปหาเขาได้อีก เนื่องเพราะท่านกำลังจะเป็นสามีข้า” กล่าวจบก็เหยียดยิ้มขึ้นทั้งน้ำตา

           ร่างสูงเดินออกมาจากตำหนักลุ่ยหวาด้วยสีหน้าเครียดเขม็ง คำถามที่หย่าเหลียนกล่าวถามนั้น มิใช่ว่าตนตอบมิได้ หากแต่ตนมีคำตอบในใจเรียบร้อยแล้ว ทว่าคำตอบนั้นเขามิอาจกล่าวต่อหน้านางได้ในเพลานี้

           เพราะข้ารักเขา คิดถึงได้ไม่ทันไรทางเดินด้านหน้าก็พลันมีร่างๆหนึ่งกระโดดพรวดออกจากพุ่มไม้ เซียวถิงฟงไม่มีทีท่าประหลาดใจซ้ำยังออกอาการแย้มยิ้ม เขามองร่างเล็กที่กำลังปัดฝุ่นไปตามชุดสีเหลืองสดใส

           “ข้าเห็นซวนหยวนหมิงไท่เดินดุ่มออกไปด้วยท่าทีแปลกๆ”

           “พระองค์ทรงมีธุระที่ตำหนักจึงรีบกลับน่ะ” เซียวถิงฟงยิ้มบอก

           เห็นสีหน้าที่แฝงแววกังวล ต้าเซียนก็จ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง ก่อนเอียงคอเล็กน้อยกล่าว “เจ้ายังไม่หายเหนื่อยอีกรึ”

           อากัปกิริยาน่ารักเหล่านี้แทบทำให้ความกังวลในใจหายไปจนหมดสิ้น เซียวถิงฟงถึงกับยกยิ้มแฉ่งอย่างเจ้าเล่ห์ จากนั้นจึงแสร้งทำตัวอ่อนระโหยทิ้งตัวสวมกอด จนต้าเซียนต้องพยุงร่างเขาไว้อย่างทุลักทุเล

           “โอ๊ย หนักจริงๆ เจ้ายังนอนไม่พออีกรึ รู้ไหมว่าเมื่อวานข้าแบกเจ้าที่หลับเป็นตายกลับมาฉางอันด้วยสภาพเยี่ยงไร” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงดุ ในใจลอบคิด ไฉนจึงโดนเอารัดเอาเปรียบอีกแล้ว

           เซียวถิงฟงที่โดนดุ จำใจต้องกลับมายืนในสภาพปกติ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ลืมทิ้งลายไว้ “หึ หึ เช่นนั้นข้าแบกเจ้าบ้างดีไหม” ว่าแล้วก็เข้าไปรวบตัว ทว่าต้าเซียนกลับกระโดดหนีราวกับเป็นกระต่าย ท้ายที่สุดพวกเขาก็พากันวิ่งวุ่นไล่จับ คนหนึ่งหนีคนหนึ่งตาม โดยมิรู้เลยว่ามีคนผู้หนึ่งเฝ้ามองพวกเขาด้วยสายตาคับแค้นระคนหมองเศร้า

           อีกด้านหนึ่งเมื่อซวนหยวนหมิงไท่กลับถึงตำหนักเหวินหัว เขาก็เดินตรงไปที่ศาลาหลังเล็กพลางนั่งเหม่อลอยหวนรำลึกถึงอดีตครั้นยังเยาว์อยู่ แต่ครั้นได้ยินเสียงที่ใกล้เข้ามา สายตาที่เคยหม่นหมองก็เปลี่ยนกลับเป็นเฉียบคมขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว
           
           “เสี่ยวลู่ ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

           “ช่วงนี้ตระกูลซุนเข้าหาทั้งตระกูลเซิงกับตระกูลเซียวไม่เว้นแต่ละวัน ใจความว่า” ขันทีน้อยเสี่ยวลู่จึงกราบทูลรายงาน แต่จู่ๆองค์รัชทายาทก็ทรงยกมือขึ้นทัดทาน เป็นเหตุให้ต้องหยุดน้ำเสียงลง

           “เรื่องอื่น” เขากล่าวสั้นๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นสหายสนิทและคนรักของเจ้าตัวที่ก้าวเข้ามาในศาลาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขามองหน้าเซียวถิงฟงอย่างเป็นกังวลใจ

           เซียวถิงฟงเองก็พอจะได้ยินคำกราบทูลเมื่อครู่ ก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นเรื่องอะไร ตระกูลซุนต้องการสนับสนุนให้ตระกูลเซิงกราบทูลฝ่าบาท ให้พระราชทานตำแหน่งราชบุตรเขยให้แก่ตนโดยเร็ว คาดว่าอีกไม่กี่วัน เรื่องนี้ก็จะได้กลายเป็นประเด็นสำคัญในท้องพระโรง นอกจากนี้ตระกูลซุนยังติดต่อตระกูลเซียว ด้วยเรื่องสู่ขอต้าเซียน ซึ่งเจ้าตัวเองก็คงยังมิได้รับรู้เรื่องพวกนี้ ว่าแล้วเขาก็ลอบมองร่างน้อยที่กำลังดื่มชาด้วยท่าทีผ่อนคลาย

           หากเจ้ารับรู้เรื่องนี้ จะคิดเช่นไร จะไปจากข้าหรือเปล่า

           “ตระกูลเจี่ยเริ่มติดต่อตระกูลเซิงอย่างลับๆ เสบียงอาหารในกองทัพหายไปเป็นจำนวนหนึ่งพันหาบ” เมื่อขันทีน้อยเสี่ยวลู่กราบทูลต่อ เซียวถิงฟงจึงได้กลับมามีสติอีกครั้ง เขาหยิบรายงานการฉ้อโกงของตระกูลเจี่ยขึ้นอ่านรายละเอียด

           “ให้หลิวซีฝูติดตามเรื่องนี้” องค์รัชทายาทออกคำสั่ง องครักษ์ผู้หนึ่งก็ค้อมตัวถวายคำนับก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว

           “อีกเรื่องพะย่ะค่ะ องค์รักษ์เติ้งแจ้งว่า องค์ชายหย่าเซิงไม่มีความเคลื่อนไหว พระองค์มิได้ออกจากตำหนักเป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว” เสี่ยวลู่กล่าวแต่แล้วก็หยุดชะงักลง เมื่อถ้วยน้ำชาลื่นหลุดออกจากมือของคนผู้หนึ่งแล้วกระทบเข้ากับโต๊ะหินอ่อนจนเกิดเป็นเสียงดัง

           “เรื่องอื่น” รัชทายาทหนุ่มกล่าวสั้นๆทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนั้น เซียวถิงฟงก็เช่นกัน เสี่ยวลู่จึงกราบทูลรายงานต่อไป แต่ทว่าเมื่อกำลังจะอ้าปาก ต้าเซียนก็ผุดลุกขึ้นพรวดพราด

           บ้าจริง ไฉนเขาจึงลืมเรื่องนี้ไปได้

           “ท่านจะไปไหนรึ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถามขึ้น

           ต้าเซียนชะงักก่อนหันกายกลับมา ก่อนแลเห็นเซียวถิงฟงมองตนด้วยสายตาสับสน สร้างความอึดอัดใจแล่นเข้าสู่ทรวงอก กระนั้นเขาก็เลือกที่จะเบนสายตาออก “ข้าไม่รบกวนพวกท่าน ข้าจะออกไปเดินเล่น” กล่าวจบก็เดินออกจากศาลาไปอย่างรวดเร็ว

           “เจ้าจะไม่ห้ามหน่อยหรือ” องค์รัชทายาทหันมาถามเซียวถิงฟง

           เซียวถิงฟงได้แต่ทอดถอนใจ “ข้าไม่มีสิทธิ์จะห้ามเขา” พูดจบก็ก้มหน้างุดอ่านรายงานฉ้อฉลของตระกูลเจี่ยต่อไป หากแต่ในอกกลับว้าวุ่นจนยากจะสงบลง
 

***********************************************


           “ท่านมาแล้ว” เฟยหลงกล่าวด้วยท่าทีเบิกบานใจ เมื่อเห็นร่างเล็กที่ดูสดใสก้าวเข้ามาในห้อง

           ต้าเซียนเดินไปนั่งที่โต๊ะกลมแล้วจึงถาม “อาการเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เห็นดังนั้นเฟยหลงก็เลือกนั่งลงที่ด้านข้างพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านหายไปไหนมาเสียนาน รู้ไหมว่าข้า...คิดถึงท่านมาก”

           มองดูรอยยิ้มนั้นก็ต้องเงียบงันลง ต้าเซียนหลุบตาลงมองโต๊ะ รู้สึกอึดอัด “พลังข้าเริ่มฟื้นฟูขึ้นบ้างแล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะอาการเป็นเช่นไร”

           “ข้าไม่เป็นไรแล้ว ขอเพียงท่านมา”

           รอยยิ้มอ่อนโยนยังคงมิจางหายไปจากใบหน้าคมคาย ต้าเซียนบังเกิดความไม่เข้าใจ รู้สึกสับสนในใจอย่างยิ่งยวด “ทำไมเจ้าต้องช่วยข้าด้วย ทั้งๆที่เราต้องตัดสินกันในเวลาอันใกล้นี้”

           “ท่านกล่าวถามเพราะไม่รู้ รึว่าท่านรู้ แต่...ไม่มั่นใจ” เฟยหลงกล่าวน้ำเสียงทุ้มเสน่ห์ สองตาสบมองดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยอย่างแน่วแน่

           “........” เมื่อถูกจ้องสายตาอย่างลึกล้ำ ต้าเซียนก็จำต้องหลุบตาลงอีกครั้งด้วยไม่กล้ามองตอบ
           
           เห็นคนตรงหน้าคล้ายครุ่นคิดสับสน เฟยหลงก็นึกอยากแกล้ง จึงไม่รอช้าลุกขึ้นรวบร่างเล็กขึ้นมาในอ้อมอก

           ต้าเซียนถึงกับตื่นตกใจพยายามดิ้นตัวร้องขึ้น “จะทำอะไร ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้” หากแต่ร่างแกร่งกลับยิ้มแล้ววางเขาไว้บนเตียงนุ่ม ครั้นจะยันตัวลุกขึ้นก็อีกฝ่ายใช้มือกดลงให้นอนราบ พริบตาต่อมากายก็ถูกทาบทับไว้ การกระทำดังกล่าวทำให้เขาต้องส่งเสียง...บังอาจ

           หากแต่เฟยหลงกลับใช้นิ้วป้องที่ริมฝีปากบางไว้ พอแลเห็นสายตาดุ เขาก็หัวเราะขึ้นน้อยๆ แล้วเคลื่อนใบหน้าคมคายเข้าไปใกล้ จวบจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นถี่เบาๆ ก็ยิ้มกว้างฟังเสียงนั้น...เสียงหัวใจที่เต้นอย่างอบอุ่น

           “ท่านรู้ดีว่าข้ารักท่าน”

           ร่างน้อยยังไม่ทันหายจากอาการตกตะลึง เฟยหลงก็ประกบจูบอย่างเร่าร้อน และเป็นอีกครั้งที่ริมฝีปากนี้ทำให้เขาลุ่มหลง ปลายลิ้นที่ตามพัวพันสัมผัสได้ถึงความละมุน เขาดื่มด่ำความสุขนี้อยู่สักพักก็ปละปล่อยร่างน้อยให้เป็นอิสระ ครั้นเห็นใบหน้าแดงก่ำที่ดูสับสนก็กระซิบบอกที่ริมใบหู “ท่านมิต้องอายไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับพวกเรา”

           ต้าเซียนถึงกับสะดุ้งตัวเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่ริมใบหู สองมือรีบผลักคนที่ทาบทับออก เป็นเพราะก่อนหน้านี้มิทันระวังตัวจึงจำต้องยอมรับจุมพิตนั้น บังเกิดเป็นความสับสน ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะได้แต่เบือนหน้าหนี

           ด้านเฟยหลงก็มิได้โกรธอะไรกลับพึงพอใจเสียมากกว่า เนื่องจากท่านมหาเทพอ่อนไหวเพราะเขาแล้ว เขามองใบหน้าที่งดงามอย่างไม่วางตาก่อนตัดสินใจล้มตัวลงนอนลง พาดศีรษะไว้ที่บนตักน้อย แม้อีกฝ่ายจะตกใจแต่ก็มิกล้าผลักไส เขาจึงหลับตาลง นอนหลับบนตักนุ่มของท่านมหาเทพอย่างที่เคยวาดฝันไว้

           เฟยหลงหลับลึกลงไปแล้ว หากแต่ต้าเซียนไม่กล้าขยับ เนื่องด้วยกลัวอีกฝ่ายจะตื่น ณ ตอนนี้เขามิกล้าสู้สายตาคู่นั้น สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ จึงได้แต่รู้สึกผิดในใจ มาตรว่ารู้ว่าอีกฝ่ายรักตนมากแค่ไหน แต่กระนั้นในใจเขากลับถูกคนผู้หนึ่งยึดครองไปแล้ว

           คนเพียงผู้เดียวเท่านั้น

           เซียวถิงฟง


**********************************************

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ผิดหวังกับถิงฟงมากกกก
เรื่องนังองค์หญิงนั้นก็ไม่ทำอะไรเลยนอกจากพาต้าเซียนมาแสดงตัว จบ
รู้สึกอินจนอยากทะลุไปตบตีแย่งต้าเซียนมาดูแลเอง  :fire:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด