♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558  (อ่าน 54501 ครั้ง)

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 20.1 อดีตที่มิอาจลืม


           กลิ่นดินอับชื้นอบอวลอยู่ในบรรยากาศ ฝีเท้าเปลือยเปล่าสัมผัสได้ถึงความเยียบเย็นที่ส่งผ่านจากพื้นดิน แสงจันทร์สลัวส่องลงมายังปล่องถ้ำสูงลิบ กระทบเข้ากับเด็กหนุ่มรูปร่างผอมซูบ เนื้อตัวเปราะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน เสียงเหนื่อยหอบดังขึ้นเป็นระยะๆ มาตรว่าถ้ำสูงเพียงใด เขาก็ยังคงปีนป่าย อย่างมิเกรงกลัวว่าจะพลาดพลั้งตกลงมา

           บางทีอาจเป็นเพราะการอยู่ที่นี่ ก็มิได้ต่างจากคนที่ตายไปแล้ว

           เสียงจั๊กๆบ่งบอกว่าฝนกำลังตก เฟยหลงในวัยสิบหกปีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดสลัว ละอองฝนโปรยปรายผ่านปล่องถ้ำ ความผิดหวังทอดทอผ่านดวงตา แม้ด้านนอกจะมืดสักเท่าไหร่ ก็มิอาจเทียบได้กับความมืดมิดในถ้ำแห่งนี้ เฉกเช่นเดียวกับความมืดที่กลืนกินหัวใจของเขา
               
           สุดท้ายได้แต่ปีนลงมาทรุดนั่งอย่างอ่อนแรง ใคร่ครวญว่าสภาพอากาศแบบนี้ไม่เหมาะแก่การปีนถ้ำเท่าไรนัก แต่นี่ก็นับเป็นเวลาสามปีแล้วที่เขามิอาจเห็นแสงตะวัน เขาลืมแม้แต่สีของต้นไม้ใบหญ้า สีของธารา รวมถึงลืมแม้กระทั่งความสุขที่เคยมี
               
           เสียงฝีเท้าของคนสองสามคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ เขาแสร้งหลับตาลง จวบจนประตูกรงขังเหล็กถูกเปิดออก เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งที่เบาราวปุยนุ่นก็ถูกผลักเข้ามาในห้อง

           “อย่าได้คิดหนีเชียว” เสียงดุห้าวของผู้คุมตะโกนบอก ประตูกรงเหล็กถูกปิดลงกลอนอย่างหนาแน่นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าผู้คุมเหมืองจากไปโดยทิ้งบุคคลผู้หนึ่งไว้ในห้องขังเดียวกันกับเขา

           ที่เหมืองแร่แห่งนี้ เต็มไปด้วยทาสที่ถูกทางการส่งตัวมาเพื่อใช้แรงงานอย่างหนัก กายคลุกฝุ่นดินอยู่ตลอดเวลา มีเพียงยามดึกที่จะได้พักผ่อนเพียงช่วงสั้นๆ ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องใช้ชีวิตเนิ่นนานอยู่ที่นี่ ย่อมส่งผลให้ลืมเลือนวันเวลาไปอย่างแท้จริง ไม่มีใครรู้ว่าวันเวลาผ่านไปนานสักเท่าใด...เว้นเพียงเขา

           เฟยหลงลืมตาขึ้น แล้วจ้องมองพื้นดินที่ขีดเป็นเส้นบอกวันเดือนปีอย่างสลดใจ คุกที่มืดสนิท แม้จะมีแสงลอดผ่านเข้ามาบ้าง แต่กระนั้นก็ยังให้ความรู้สึกมืดมนอยู่ดี เขาจ้องมองแสงนั้นอย่างเงียบงัน จวบจนกระทั่งรู้สึกถึงสายตาของคนผู้หนึ่งจึงเผลอสบตาเข้า

           เบื้องหน้าเป็นเด็กหนุ่มที่อายุไล่เลี่ยกันกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ในฝั่งตรงข้าม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องมองเขาอยู่ น่าแปลกที่แม้ในถ้ำจะมืดสลัว หากแต่เขายังคงสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายได้ชัดถนัดตา ดวงหน้าเล็กรูปไข่ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง เส้นผมยาวสีน้ำตาลปล่อยยาวสยายขับเน้นให้ใบหน้าดูเด่นชัด อาภรณ์สีขาวเรียบง่ายปักลายดอกบัว ทุกองค์ประกอบกลับทำให้เด็กหนุ่มผู้นี้ดูเจิดจ้าจนยากที่จะสายตา

           เฟยหลงชมดูอย่างตะลึงลาน ก่อนจะรู้สึกเก้อเขินจึงก้มหน้างุดลงกับพื้น เหตุใดคนที่สว่างไสวเช่นเขาจึงมาอยู่ที่นี่ได้ คิดเซื่องซึมอยู่นานก็ข่มตาหลับลงอีกครั้ง แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจสายตาอ่อนโยนคู่นั้นอีก   

           วันต่อมาเขาก็ถูกคุมตัวไปขุดเหมืองยังส่วนลึกของถ้ำ ซึ่งกว่าจะได้กลับมายังที่พัก ตัวเขาก็แทบหมดเรี่ยวแรง กายคลุกฝุ่นสีแดงดูสกปรก สองมือเต็มไปด้วยรอยแผลเก่าและใหม่ เสื้อผ้าเก่าจนชายขาดลุ่ย

           ร่างถูกผลักเข้ามายังห้องขังเช่นทุกที หากแต่วันนี้ยังมีคนอีกผู้หนึ่งอยู่ที่นี่ด้วย เขาลอบมองอีกฝ่ายก่อนเบิกตากว้างขึ้นสงสัย เหตุใดเด็กหนุ่มผู้นี้ยังคงสว่างไสว ดวงตายังทอประกายดูมีชีวิตชีวา ทั้งที่หากเป็นผู้อื่นถูกจับขังในสถานที่มืดมิดไม่บ่งบอกวันเวลาเช่นนี้ ย่อมต้องมีหม่นหมองลงบ้าง

           เขาได้แต่ยืนตะลึงอยู่อย่างนั้น จวบจนกระทั่งผู้คุมนำอาหารมาแจก อาหารถูกลอดส่งผ่านเข้ามาในกรงขัง อันมีเพียงข้าวปั้นเปล่าๆที่ทั้งแข็งทั้งเย็นชืด ไม่เพียงพอให้รู้สึกอิ่มท้อง

           “เจ้าคนชุดขาวในเมื่อเข้ามาที่นี่แล้วก็อย่าหวังจะได้ออกไปอีก ช่างโง่นัก มาหาของรึ เจ้ามาผิดที่เสียแล้ว” ผู้คุมตะโกนบอกก่อนเดินจากไป คงเหลือเพียงเขา เด็กหนุ่มและบรรยากาศที่เงียบงันอีกครั้ง

           จริงอย่างที่ผู้คุมว่า เด็กหนุ่มช่างโง่เขลานัก เฟยหลงคิดพลางลอบมองอีกฝ่ายด้วยหางตา แต่แล้วกลับพบว่าเด็กหนุ่มมิได้มีทีท่าวิตก สีหน้าเรียบเฉย สักพักเขาก็ไม่ใส่ใจอีกจึงเดินไปหยิบก้อนข้าว ฝืนกลืนลงลำคอแล้วนอนรอเพลาที่เงียบสนิทกว่านี้

           ค่ำคืนนี้ยังเปี่ยมไปด้วยความพยายาม เฟยหลงปีนถ้ำไปจนถึงครึ่งทางก็ต้องตัดใจลงมา เนื่องเพราะหาทางปีนต่อไม่ได้แล้ว แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก บางทีคืนพรุ่งนี้เขาอาจหาทางออกไปได้ หรือไม่ก็คืนต่อไป เขาปีนลงมาด้วยอาการเหนื่อยหอบ หยาดเหยื่อหลั่งรินชโลมกาย แต่แล้วจู่ๆก็ต้องหันขวับ

           ร่างสีขาวยังคงนั่งกอดเข่าจ้องมองเขาอย่างเงียบงัน ที่ด้านข้างยังมีก้อนข้าวที่แตะต้องเพียงเล็กน้อยวางทิ้งไว้ เฟยหลงเห็นแล้วก็ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หากพรุ่งนี้เขาไม่แรงขุดเหมืองจะต้องโดนผู้คุมรุมซ้อมอีก

           แลดูเหมือนเด็กหนุ่มจะเข้าใจจึงได้เลื่อนก้อนข้าวนั้นมาให้ตนแทน “เจ้าไม่กินรึ” เฟยหลงถาม ทว่าอีกฝ่ายเพียงยิ้มแล้วพยักหน้าให้ ทำเอาเขาชมมองรอยยิ้มนั้นอย่างเพลินตา ก่อนจะหยิบก้อนข้าวขึ้นกินอย่างหิวกระหาย

           หลายวันต่อมาเขายังคงอยู่กับเด็กหนุ่มปริศนา โชคดีที่อีกฝ่ายมิได้ถูกส่งตัวไปใช้แรงงานเช่นคนอื่นๆ เพียงถูกขังไว้อย่างเงียบๆ แต่กระนั้นเด็กหนุ่มยังคงแตะต้องก้อนข้าวเพียงเล็กน้อย ก่อนหยิบยื่นให้เขาหลังจากการปีนถ้ำสิ้นสุดลงดั่งเช่นวันอื่นๆ

           ผิดแต่ในค่ำคืนนี้ เฟยหลงที่ปีนถ้ำไปได้เพียงน้อยนิดก็เป็นอันต้องล้มเลิกไป เนื่องด้วยสองมือเต็มไปด้วยบาดแผล ยากที่จะฝืนปีนต่อไป จวบจนกระทั่งฝีเท้าสัมผัสถึงพื้นก็พลันพบว่าไม่มีสายตาที่คอยจับจ้อง ครั้นลอบมองอีกฝ่าย ก็แลเห็นอากับกิริยาแปลกๆ คล้ายว่าเด็กหนุ่มกำลังบีบนวดอะไรสักอย่างด้วยท่าทีจริงจัง จริงจังเสียจนไม่รู้ว่าเขาปีนกลับลงมาแล้ว เมื่อพยายามจ้องมองไป ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังบีบนวดเป็นงูเผือกสีขาวตัวหนึ่ง

           งูเผือกสีขาวที่ดูใกล้ตายเต็มทน กึ่งกลางลำตัวของมันมีรอยคล้ำสีเขียวอมม่วงวงใหญ่ ลิ้นแฉกสีแดงห้อยตกออกจากปาก ดวงตาสีฟ้าอมเขียวทอดมองพื้นอย่างหมดอาลัย เด็กหนุ่มนวดเสร็จก็บิก้อนข้าวเล็กๆก่อนส่งเข้าปากมัน งูเผือกเองก็งับนิ้วมือเรียวอย่างเบาๆ

           เฟยหลงมองภาพตรงหน้าอย่างยากจะอธิบาย หากสี่วันที่ผ่านมาเด็กหนุ่มมิได้กินอะไรเลย แล้วเขาอยู่ได้อย่างไรกัน “งูเผือกตัวนี้ใกล้ตายแล้ว ไฉนจึงยังต้องแบ่งอาหารที่มีเพียงน้อยนิดให้แก่มันอีก เจ้าไม่กลัวตายอย่างนั้นหรือ” เขาถามอย่างสงสัย ก่อนสังเกตเห็นความสว่างไสวที่มิได้ลดทอนลงไปในตัวเด็กหนุ่มแม้แต่น้อย

           “ต้องโทษที่ข้าเผลอทำของสิ่งหนึ่งตกลงไปจนกระทบเข้ากับก้อนหินใหญ่ แล้วก้อนหินใหญ่ก็ตกใส่มันจนอาการปางตายเยี่ยงนี้ กว่าข้าจะยกหินออกจากตัวมันได้ มันก็กัดข้าแทบตาย” ยิ้มพลางเผยข้อมือที่เป็นรอยเขี้ยวเล็กๆสองรูออกจากชายเสื้อ “แต่มันปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ มันจึงพยายามกิน เช่นเจ้าที่พยายามทำในสิ่งที่ยากยิ่ง เพื่อที่จะมีชีวิตสืบต่อไป”
           
           เสียงทุ้มนุ่มออกมาจากริมฝีปากบาง เสียงนั้นอ่อนโยนจนทำให้เขานึกถึงชีวิตก่อนหน้าที่จะถูกส่งตัวมาที่นี่ เขาฝืนยิ้มกล่าว “เจ้าเก็บข้าวไว้เถอะ หากเจ้าไม่กินเจ้าจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้” เมื่อพูดจบก็เดินไปฝั่งตรงข้ามก่อนล้มตัวลงนอน
 

***********************************************


           ผ่านไปสิบห้าวัน ในแต่ละวันพวกเขาจะพูดคุยกันเพียงคำสองคำ แต่กระนั้นเฟยหลงกลับรู้สึกอบอุ่น รู้สึกว่าตนมีชีวิต รู้สึกถึงแสงสว่างที่ถูกลบเลือนในจิตใจ เสมือนว่าเด็กหนุ่มเป็นแสงสว่างในชีวิตเขา และกว่าจะรู้ตัว เขาก็ได้แต่เฝ้ารอที่จะได้พูดคุยกับอีกฝ่ายอยู่ร่ำไป

           ค่ำคืนนี้มีงานเลี้ยงของเหล่าขุนนางใหญ่ เบื้องบนถ้ำมีเสียงดนตรีขับกล่อมอย่างครึกครื้น ผิดกับสถานที่เงียบงันดั่งเช่นใต้พื้นดินราวฟ้ากับเหว วันนี้เขากลับจากการขุดเหมือนด้วยสภาพอ่อนแรง บาดแผลที่มือยังคงไม่หายดีจนเผยให้เห็นเส้นเลือดปูดโปน

           “เจ้าเจ็บมือหรือ”

           จู่ๆเด็กหนุ่มก็ก้าวเข้ามารวบสองมือไว้ เฟยหลงถึงกับสะดุ้งตกใจ ใบหน้าแดงซ่านอย่างไม่รู้ตัว “มันสกปรก เดี๋ยวชุดของเจ้าจะเลอะเปล่าๆ” พูดพลางชักมือออก ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่ปล่อยมือเขาไป ทั้งยังส่งยิ้มมาให้ ทำให้เขามองดูรอยยิ้มนั้นอย่างโง่งม รอชั่วครู่อาการปวดบวมกลับทุเลาลงอย่างน่าประหลาด จมูกได้กลิ่นหอมอ่อนๆที่กำจายมาจากตัวของอีกฝ่าย เขาขยับไปใกล้มากขึ้นพลางคิดในใจ...กลิ่นอะไรกันนะ

           “ดอกบัวน่ะ”

           คล้ายรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เฟยหลงรีบก้มหน้างุดอย่างเก้อเขิน แต่แล้วเสียงดังฟ่อ ฟ่อ ของงูก็ดังขึ้น ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องตกตะลึงวูบ งูเผือกสีขาวที่เคยมีท่าทีใกล้ตายมาบัดนี้กลับดูมีชีวิตขึ้น ทั้งกำลังเลื้อยพันแขนเรียวพลางจ้องมองเขาด้วยสายตาสีฟ้าอมเขียว ดูไม่เป็นมิตรนัก

           ปึง ประตูกรงขังถูกเปิดผาง เฟยหลงสะดุ้งตัวชักมือออก ด้านงูเผือกก็รีบเลื้อยซ่อนในแขนเสื้อสีขาว ผู้คุมเหมืองสามนายเดินเข้ามาให้ห้องขังด้วยท่าทีกักขฬะ หนึ่งในนั้นฉุดรั้งข้อมือของเด็กหนุ่มขึ้นโดยแรง

           “หน้าตางดงามทีเดียว แม้เป็นบุรุษก็ดูไม่เสียเปล่า น่าจะสนุกอยู่”

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ผู้คุมต่างพากันหัวร่อขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

           “เจ้าคงไม่รู้ว่าที่พวกเราปล่อยเจ้าจนถึงวันนี้ นั่นเพราะพวกเราทนรอวันนี้ วันที่จะได้เชยชมคนงาม” ผู้คุมอีกคนกล่าวจบก็ลูบไล้ที่สะโพกบาง

           เฟยหลงมองดูการกระทำนั้นอย่างคับแค้น โทสะค่อยๆพุ่งสูงขึ้น“เจ้า” ในที่สุดก็ตะเบ็งเสียงถลาเข้าใส่ ผู้คุมทั้งหมดต่างไม่มีทีท่าตกใจซ้ำยังถีบยอดอกเขาจนล้มกระแทกกับผนังถ้ำอย่างแรง

           “องค์ชายแคว้นซู ทรงไม่พอใจอะไรพวกกระหม่อมรึ” ชายอีกคนตรงเข้ากระทืบตัวเขาอย่างสะใจ เสียงหัวเราะเยาะดังสะท้อนก้อง แลไม่นานนักเสียงก็เงียบลง หลงเหลือเพียงคนที่นอนตัวงอในห้องขังตามลำพัง

           ถูกนำตัวไปแล้ว แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของเขา เฟยหลงปาดรอยเลือดที่มุมปากอย่างขื่นขม ใช่แล้วครั้งหนึ่งเขาเป็นถึงองค์ชายของแคว้นซู หากมิใช่เพราะขุนนางฉ้อฉล ชักนำข้าศึกเข้าเมือง เขาก็มิต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ สภาพที่เหมือนไร้ชีวิต เดิมทีเขาควรจะต้องถูกประหาร หากแต่กลับถูกส่งตัวมาที่นี่เพื่อทนรับการเหยียดหยาม

           ทั้งๆที่ได้พบกับแสงสว่างแล้ว เหตุใดเล่าสวรรค์จึงพรากแสงสว่างนี้ไปจากเขาอีก

           “อ๊ากกก” เฟยหลงคำรามลั่น มือทุบพื้นอย่างคับแค้นใจ หลายต่อหลายครั้งจนกระทั่งหมดแรงลง เขาก้มหน้าลงอย่างสิ้นหวัง น้ำตาพลันหยดลงบนหลังมือ ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกขึ้น

           ดูว่าฝ่ามือที่เคยเต็มไปด้วยรอยแผล มาบัดนี้กลับไม่หลงเหลือแม้แต่รอยขีดข่วน นำพาความประหลาดใจจนต้องนึกถึงร่างสีขาวที่กอบกุมมือเขาไว้ รอยยิ้มผุดขึ้นในใจ เขาจ้องมองไปที่ปล่องถ้ำอย่างแน่วแน่แล้ว

           เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วยามเศษที่เฟยหลงนำพาตัวเองมาถึงที่ปล่องถ้ำ ครั้นเมื่อฝีเท้าได้เหยียบย่ำผืนหญ้า ได้สัมผัสถึงอากาศภายนอก แลถึงสายลมที่ปะทะตามตัวก็แทบทำให้เขาคลั่ง ทว่าตอนนี้เขาต้องรีบตามหาบุคคลผู้หนึ่ง

           เพลานี้เสียงดนตรีขับขานเริ่มขาดหายลง เหล่าผู้คุมต่างเมามายนอนหลับสะเปะสะปะไปกับพื้น เฟยหลงลอบขโมยเสื้อผ้าพวกเขามาผลัดเปลี่ยน ทั้งยังนำดาบเล่มยาวติดตัวมา แลเมื่อเข้าใกล้ห้องหนึ่งก็ได้ยินเสียงประจบประแจงที่แทบทำให้ควบคุมตัวเองมิได้

           “ใต้เท้า ของดีหายากแบบนี้ พวกเราตั้งใจนำมามอบให้กับใต้เท้ากับมือเชียว ใช่ไหม” เสียงผู้คุมคนหนึ่งบุ้ยใบ้ไปยังคนที่อยู่ข้างกาย

           “ใช่ๆ” ผู้คุมสองคนโพล่งตอบ เฟยหลงแอบมองลอดเข้าไปในห้องพลันเห็นขุนนางอ้วนท้วมน่าตาน่ารังเกียจผู้หนึ่ง

           “ตบรางวัล” น้ำเสียงยโสดังขึ้น พร้อมถุงเงินที่ตกลงไปกับพื้น ผู้คุมทั้งสามต่างกระวีกระวาดรับไว้ อีกทั้งยังเปล่งเสียงขอบคุณไม่หยุดปาก ขุนนางอ้วนท้วมผู้นี้มิได้ใส่ใจพวกเขาอีก จึงหันไปแสยะยิ้มให้กับเด็กหนุ่มที่ต้องปรนนิบัติเขาในคืนนี้ “ผิวช่างเรียบลื่นยิ่งนัก” น้ำเสียงเปี่ยมราคะกล่าวพลางเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้านวล

           เฟยหลงกัดฟันข่มกลั้น กระทั่งทนไม่ไหวก็ถีบประตูเข้าไป คนในห้องต่างสะดุ้งตกใจ ครั้นกวาดตามองไปรอบๆก็พบร่างสีขาวที่ถูกมัดไว้บนเตียง ถัดลงไปบนพื้นกลับมีงูเผือกสีขาวที่นอนหงายท้องนิ่งสนิท มุมปากมีคราบเลือดเป็นจุดๆ แลเมื่อสบเข้าที่ข้อมือของผู้คุมคนหนึ่งก็พบผ้าพันแผลเปื้อนเลือด สองตาเขาแดงก่ำพลางตะเบ็งเสียงคำรามลั่นก่อนลงดาบแล้ว

           ไม่นานร่างที่เคยคลุกฝุ่นดินสีแดงก็ย้อมไปด้วยโลหิต ศพคนสี่คนนอนอยู่กับพื้น เด็กหนุ่มเพียงมองเขาด้วยสายตานิ่งเรียบ เขาเดินโซเซเข้าไปใกล้ก่อนใช้ดาบตัดเชือกที่พันธนาการข้อมือนั้นไว้ แต่แล้วดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็เบิกตากว้างคล้ายประหลาดใจ

           “อึ่ก” ไม่ทันเอะใจก็รู้สึกได้ถึงปลายดาบแหลมคมที่เสียดแทงทะลุอก เลือดสีแดงฉานทะลักเปราะเปื้อนอาภรณ์สีขาวสะอาด ผู้คุมที่ยังคงมีเรี่ยวแรงใช้ดาบแทงเขาก่อนที่จะล้มลงแน่นิ่งไป บางทีอีกไม่นานตัวเขาก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน ร่างพลันเซลงแล้ว หากแต่เด็กหนุ่มกลับรับร่างเขาไว้

           “เสื้อของท่านเลอะเสียแล้ว” เฟยหลงกล่าวอย่างยากเย็น แม้เลือดจะทะลักออกจากริมฝีปาก แต่ปลายจมูกก็ยังคงได้กลิ่นหอมของดอกบัว เป็นกลิ่นที่ทำให้สงบใจยิ่งนัก “เจ้าเจอของของเจ้าแล้วรึยัง”

           “เจอแล้ว” เด็กหนุ่มตอบ สิ่งที่กำลังตามหานั้นบังเอิญถูกใต้เท้าผู้คุมเหมืองเก็บไปนั่นเอง

           “ดี ดีแล้ว” เฟยหลงกล่าว ลำคอสัมผัสได้แต่รสเลือด

           “เจ้าอยากติดตามข้าไปรึไม่ ข้าไม่บังคับเจ้า” จู่ๆเสียงนุ่มทุ้มก็กล่าวจริงจังขึ้น สติของเฟยหลงก็เริ่มที่จะเลอะเลือน พานนึกถึงช่วงเวลาที่ตนได้พ้นจากเหมืองนรก

           “ที่นั่นข้าจะได้อยู่กับแสงสว่างไหม แล้วต้นไม้ล่ะ ลำธารอีกด้วย ข้าจะได้เห็น ได้สัมผัสรึเปล่า” พูดจบก็ต้องสำลักเลือดในลำคออย่างทรมาน

           “ทุกอย่างที่เจ้ากล่าวมาล้วนแล้วแต่ได้ทั้งสิ้น เจ้าจะได้ยืนในจุดที่สูงที่สุด ได้มองทุกสรรพสิ่งทั่วหล้า ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี จะมีแต่แสงสว่างล้อมรอบตัวเจ้า ข้าสัญญา” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างหนักแน่น

           เฟยหลงมองเพดานห้องคล้ายฝันถึงชีวิตในรูปแบบที่กล่าวมา “ข้า...อยากมีชีวิตเช่นนั้น ข้าอยากติดตามเจ้าไป” กล่าวพร้อมน้ำตาที่ไหลแนบแก้ม เขาอยากมีชีวิตอยู่กับแสงสว่างเช่นเด็กหนุ่มตลอดไป...ตลอดไป

           “ดี เจ้ามีนามว่ากระไร”

           “เฟยหลง” เสียงอันเบาเอ่ยขึ้น ดูว่าเขาไม่มีแรงหลงเหลืออีก แต่กระนั้นตนก็ยังไม่ทราบนามของอีกฝ่ายเลย และคงจะดีไม่น้อยหากอีกฝ่ายยอมเรียกชื่อตนสักครั้ง “ท่านสัญญาได้ไหม หากข้าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท่านจะเรียกนามของข้า” เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายกล่าวอย่างยากเย็น จนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า เขาก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ เปลือกตาที่หนักอึ้งจึงปิดลง

           ทว่าก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะขาดห้วง ก็บังเกิดแสงสว่างสีทองวาววับใต้เปลือกตาที่ปิดสนิท มันสว่างจนไม่รู้สึกถึงความมืด กระแสคลื่นพลังร้อนที่มีลักษณะกลมเล็กคล้ายลูกแก้วถูกถ่ายเทเข้ามาในร่างอย่างล้นปรี่ ร้อนแรงจนทำให้ใจรู้สึกอบอุ่น เขาเหมือนได้พักผ่อนอย่างสงบอีกครั้ง

           ...................

           ...........

           ...

           “เขาฟื้นแล้วท่านมหาเทพ” เสียงทุ้มแหลมไม่คุ้นหูของคนผู้หนึ่งดังขึ้น สายตาเลือนรางเริ่มเห็นดวงตาสีฟ้าอมเขียวที่ดูคุ้นตาเหมือนเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน เด็กหนุ่มร่าเริงในชุดสีเขียวอ่อนร้องเรียกคนผู้หนึ่ง

           จมูกเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของดอกบัวอีกครั้ง แลไม่นานนักร่างในชุดสีขาวสะอาดปักลายดอกบัวก็เดินเข้ามาหา ดวงหน้าที่คุ้นเคยนั้นเริ่มเด่นชัด จากนั้นเด็กหนุ่มก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางกล่าว

           “เฟยหลง”

           เฟยหลงพลันลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย เป็นท่านมหาเทพที่เรียกชื่อเขา ซ้ำกำลังก้มมองเขาอยู่ สายตาอ่อนโยนเช่นวันนั้น

           “ข้าต้องกลับแล้ว”

           เขาจับจ้องดวงตาคู่นั้นอย่างเนิ่นนาน ก่อนลุกศีรษะขึ้นจากตักน้อยอย่างจำใจ ต้าเซียนเองก็ลุกขึ้นยืนจากเตียง เดินตรงไปยังที่ประตูห้อง เขาเห็นดังนั้นก็พูดขึ้น “ข้าฝันถึงวันที่เราพบกัน”

           ต้าเซียนถึงกับชะงักฝีเท้า รู้สึกปวดแปลบในอกคล้ายถูกบีบรัดไว้

           “ข้าหลงรักท่านตั้งแต่ตอนนั้น” แสงสว่างของข้า

           ร่างน้อยนิ่งอึ้งก่อนควบคุมตัวเองให้เปิดประตูออกโดยเร็ว ทว่าเพียงเปิดออกได้ครึ่งหนึ่ง เฟยหลงก็กล่าวสืบต่อ

           “เซียวถิงฟงกำลังจะเป็นราชบุตรเขยในอีกไม่ช้านี้ หากท่านยังอยู่กับเขา ท่านจะเสียใจ”

           บังเกิดเป็นความว้าวุ่นใจ ต่อเมื่อประตูเปิดออก ต้าเซียนก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว คล้ายต้องการสลัดเอาความสับสนนี้ให้หายไปราวกับสายลม รอจนพ้นจากตัวตำหนักเตี้ยนชิงฝีเท้าก็ค่อยๆหยุดลง ก้มหน้าลงคิดอย่างสับสน กระทั่งแลเห็นรองเท้าสีดำคู่หนึ่ง

           “กลับบ้านกันเถอะ” เซียวถิงฟงกล่าวน้ำเสียงอ่อน สีหน้าสะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บปวดรางๆ เขาเอื้อมมือไปจูงมือน้อยแล้วพาเดินไป

           ระหว่างทางร่างสูงมิได้ปริปากถามถึงสาเหตุที่ตนมาพบเฟยหลง ต้าเซียนจึงมองแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มพลางเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นแทน “เจ้ามีอะไรจะบอกข้ารึไม่”
           
           “ไม่มี ไม่มีอะไร” เซียวถิงฟงหยุดชะงัก นิ่งไประยะหนึ่งก่อนพึมพำตอบด้วยน้ำเสียงขมขื่น
 

***********************************************

   

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 20.2 อดีตที่มิอาจลืม


           หลังจากผ่านพ้นแต่ละวันไปอย่างยากลำบาก เช้าวันต่อมาตำหนักลุ่ยหวาก็ต้องเผชิญกับบุคคลที่ไม่เป็นที่ต้อนรับตามรับสั่งขององค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่

           “เชิญแม่นางทางนี้” นางกำนัลเว่ยกล่าวเชื้อเชิญอย่างเต็มใจ ก่อนหลีกทางให้คนทั้งสองก้าวเข้าไปในห้องที่ผ้าม่านถูกปลดลงปิดบังแสงจากภายนอก ทั่วทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพร ที่ด้านในสุดมีสตรีที่คลุมหน้าด้วยผ้าแพรบาง กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

           “พี่ถิงฟง รบกวนท่านออกไปข้างนอกก่อนเถิด ข้าอยากคุยกับนางตามลำพัง” องค์หญิงหย่าเหลียนกล่าวน้ำเสียงแหบเครือ คำขอร้องนี้ทำให้เซียวถิงฟงต้องจำใจออกจากห้อง แต่มิวายมองต้าเซียนอย่างเป็นห่วง รอจนเสียงฝีเท้าลับไป นางก็ขึ้นเสียง “เจ้ามาดูว่าข้าใกล้ตายรึยังใช่รึไม่”

           “.......” ต้าเซียนไม่ตอบคำ ทั้งยังนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ใกล้เตียงนอน เขายื่นมือออกไปเพื่อสำรวจดูชีพจรของนาง แต่ยังไม่ทันจะได้แตะที่ข้อมือ นางก็สะบัดแขนเขาออกโดยแรง

           “มิต้องตรวจ ข้ารู้ดีว่าตัวข้าเป็นเช่นไร” กล่าวจบก็เลิกผ้าแพรคลุมหน้าออก เผยให้เห็นถึงใบหน้าที่มีน้ำมีนวล ดวงตาสุกใส ริมฝีปากแดงเป็นธรรมชาติ หาได้มีร่องรอยของคนที่ใกล้ตายไม่

           ต้าเซียนถึงกับหายใจลึกอย่างหนักใจ “เจ้ารู้รึไม่ ทำเช่นนี้เจ้าถือว่าขายชีวิตให้แก่ปีศาจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวเจ้ามิใช่มนุษย์อีกต่อไป” เขากล่าวเสียงเข้ม หากแต่องค์หญิงหย่าเหลียนกลับหัวร่อขึ้น

           “ดังนั้นเจ้าจึงมิต้องตรวจอะไรข้าอีก” นางกล่าวแล้วเหยียดยิ้ม

           “เจ้าตัดสินใจดีแล้วรึ”

           “หึ หากไม่มีตัววิปริตอย่างเจ้า ข้ากับพี่ถิงฟงคงได้แต่งงานกันไปแล้ว เป็นเพราะเจ้า เป็นบุรุษแท้ๆกลับยั่วยวนให้เขาไขว้เขวไปจากข้า แต่ไม่เป็นไร หลังจากนี้เขาจะไม่มีวันคิดถึงใครได้อีก นอกจากข้าเพียงผู้เดียว”

           “เจ้าหมายความว่ากระไร” จู่ๆก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล

           “เจ้าไม่เชื่อก็รอดูให้ดีเถอะ” รอยยิ้มมั่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม ก่อนบิดเบี้ยวเหี่ยวเฉาซูบเซียวดั่งซากต้นไม้อีกครั้ง ฉับพลันนั้นนางก็ส่งเสียงกรีดร้องราวกับคนเสียสติ ทั้งใช้เล็บข่วนเข้าที่แขนตัวเอง

           ประตูห้องถูกเปิดผาง เซียวถิงฟงตรงรี่เข้าขืนตัวหย่าเหลียนที่เสียสติไว้อย่างทุเลทุลัก นางกำนัลเว่ยก็เอาแต่ร่ำไห้อยู่ข้างเตียง ต้าเซียนถึงกับทำตัวไม่ถูกจึงได้แต่ถอยกรูดไปยืนหลบอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง

           “ต้าเซียนเกิดอะไรขึ้น” เซียวถิงฟงกล่าวถาม ด้านหย่าเหลียนยังคงบิดเร่าอย่างเจ็บปวด ผ้าแพรร่นขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าที่เหี่ยวเฉา นางกำนัลเว่ยถึงกับน้ำตาหลั่งไหล หันไปดึงคอเสื้อของต้าเซียนอย่างคับแค้น เขาเห็นร่างน้อยผงะตกใจก็ถลันตัวจะเข้าไปช่วยเหลือ หากแต่องค์หญิงหย่าเหลียนกลับกอดเขาไว้แน่น
               
           “นางบอกว่า ข้ากำลังจะตายในอีกไม่ช้า นางมิอาจช่วยข้าได้”

           คำกล่าวจบคนในห้องต่างก็ตกตะลึงวูบ ไม่เว้นแม้แต่ต้าเซียนเองเช่นกัน นางกำนัลเว่ยเริ่มคลายมือออกจากคอเสื้อ ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นร่ำร้องว่าไม่จริง ไม่จริงอยู่หลายครา

           ด้านเซียวถิงฟงก็ต้องเบิกตาค้างมิอยากจะเชื่อ เขาค่อยๆดึงมือของหย่าเหลียนออก ตรงเข้าไปหาต้าเซียนอย่างแช่มช้าพลางจับกระชับเข้าที่ไหล่ของร่างเล็ก “เจ้าช่วยนางไม่ได้จริงๆรึ” 

           “ข้าขอโทษ ข้ามิอาจช่วยนางได้จริงๆ” ต้าเซียนกล่าวตามสัตย์จริง ตอนนี้องค์หญิงหย่าเหลียนได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับปีศาจจิ้งจอกแล้ว เขามิอาจช่วยนางได้อีกต่อไป

           เซียวถิงฟงได้ยินดังนั้น ดวงตาเลื่อนลอยมองไปที่ไกลแสนไกล ต้าเซียนเห็นแล้วบังเกิดเป็นความเจ็บปวดดั่งเช่นเข็มนับพันทิ่มแทง

           “เขาเป็นของข้า” เสียงหนึ่งดังขึ้นในกระแสจิต ต้าเซียนเบือนสายตาไปยังองค์หญิงหย่าเหลียน เห็นนางกำลังยิ้มเยียบเย็นแฝงไปด้วยความอำมหิต “เจ้าจะทำอย่างไรดีล่ะ จะฆ่าข้ากระนั้นหรือ”

           เสียงนั้นฟังดูย่ามใจ เกรงว่านางกำลังถือไพ่เหนือกว่า ต้าเซียนรับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ตนมิอาจทำกระไรได้  หากเขาฆ่านาง เท่ากับว่าความสัมพันธ์ของเขาและเซียวถิงฟงจะสิ้นสุดลง

           “ความเจ็บปวดที่ข้าได้รับมิได้มีเพียงเท่านี้หรอกนะ” เสียงนั้นกล่าวอย่างเคียดแค้น หย่าเหลียนจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนสายตาเป็นโศกเศร้า “พี่ถิงฟง พี่ถิงฟง”

           นางร่ำร้องเรียกดั่งคนเสียสติ ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ เซียวถิงฟงบีบมือของต้าเซียนคราหนึ่งก่อนลุกขึ้นเดินไปอย่างรวดเร็ว หวังมิให้อีกฝ่ายได้เห็นสีหน้าเขาตอนนี้

           “อย่า...อย่าทิ้งข้าไปได้โปรด” เสียงแหบแห้งน่าเวทนาดังขึ้น ร่างบอบบางซุกลงที่อกแกร่ง

           “ข้าก็อยู่นี่แล้วไง หย่าเหลียน”

           “ข้ายังไม่อยากตาย พี่ถิงฟง ข้า...” องค์หญิงหย่าเหลียนไม่อาจพูดต่อไปได้อีก นางสะอึกสะอื้นจนกระทั่งหมดแรง 

           “เจ้าจะมีต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าจะต้องหาทางอื่นได้แน่นอน” เขาลูบหลังปลอบนางอยู่หลายครั้ง สายตากวาดไปมาเค้นหาวิธีต่างๆนานา

           “จากนี้ไปไม่ว่าเมื่อไร เขาก็จะเลือกที่จะอยู่เคียงข้ามิใช่เจ้า ต้าเซียน” เสียงในกระแสจิตกล่าวกับต้าเซียนเป็นครั้งสุดท้าย

           “ไม่ หากแม้นท่านรักษาข้าได้ ท่านก็ยังคงจากข้าไป สู้ข้าตายเสียแต่ตอนนี้ดีกว่า”

           “หย่าเหลียน เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่รู้ตัวบ้างไหม” เขาตวาดใส่

           “ข้ารู้ดีว่ากำลังพูดอะไรอยู่ หากแต่ความฝันของข้าคือการได้เป็นภรรยาท่าน หากมิได้เป็นดั่งที่หวัง ข้าก็มิรู้จะอยู่ไปเพื่อกระไร” ครานี้นางผละตัวออกจากชายหนุ่ม หันไปซุกหน้าร่ำไห้ลงบนหมอน “ท่านไปเถอะ ข้าเข้าใจท่าน ข้าจะไม่โกรธเคืองท่านแม้แต่น้อย”

           “แต่”

           “ออกไป ข้าบอกให้ออกไป” นางร้องลั่นพลางปาหมอนใส่เซียวถิงฟง “ปล่อยให้ข้าตายไปอย่างเงียบๆเถอะ ไปซะ”           

           เซียวถิงฟงมองคนที่เป็นดั่งน้องสาวนิ่งงันไปในทันที ก่อนไพล่ครุ่นคิดเรื่องหนึ่งจนสีหน้าไม่สู้ดี คล้ายตัดสินใจบางอย่างได้ยากยิ่ง ในอกเผชิญกับรสขม แต่ในที่สุดก็กล้ำกลืนฝืนกล่าว “ได้ ข้าจะแต่งกับเจ้า ข้าจะทำตามความปรารถนาของเจ้า ขอเพียงเจ้ายอมมีชีวิตอยู่” หากนี้เป็นเหตุผลเดียวที่นางยอมมีชีวิตอยู่ เขาก็ยินยอม

           ข้าอยู่ที่นี่ไปเพื่อกระไรกัน จู่ๆคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ ต้าเซียนทนรับชมภาพเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ จวบจนต้องรู้สึกชาไปทั่วทั้งร่าง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนิ่งค้างไม่แม้แต่กะพริบ ตอนนี้เขาคล้ายเป็นส่วนเกินของคนทั้งสอง เป็นส่วนเกินของเซียวถิงฟง

           ราวกับเวลาหยุดเดิน จนมิอาจสัมผัสได้ถึงสิ่งรอบข้าง แม้กระทั่งเสียงหัวใจที่อยู่ภายในอก เสมือนถูกลากกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เป็นเช่นตัวเขาในอดีต เขาที่ไม่เคยมีหัวใจมนุษย์

           ถิงฟง หัวใจของเจ้ามิได้มีแม้แต่ความเสียใจให้กับข้าเลยหรือ ต้าเซียนพร่ำบอกในขณะที่นำพาตนเองออกจากห้องอย่างอ่อนล้า แต่แล้วก็ต้องสะดุดถึงเงาร่างที่พาดทอลงบนพื้น เงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่ตนรู้จัก

           ดูว่าคนผู้นี้ยืนตัวแข็งดั่งหินผาหลบอยู่นอกประตูห้องบรรทม ครั้นรู้สึกตัวก็เผลอสบเข้ากับสายตาเขา วินาทีนั้นต้าเซียนพลันรู้ได้ทันทีว่า สายตาเศร้าโศกคู่นั้นมิได้ต่างจากตนเท่าใดนัก ท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่คิดถามอะไร ต่างเลือกที่จะจมอยู่ในห้วงทุกข์ของตัวเองอยู่เช่นนั้น
 

***********************************************


           หลังจากที่ออกมาจากตำหนักลุ่ยหวา สองเท้าก็พาออกเดินไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่มีทั้งจุดหมาย เพียงเดินไปตามใจ แต่แล้วก็ต้องรู้สึกคิดผิด

           “นั่น แม่นางต้าเซียนไม่ใช่รึ” เสียงหนึ่งดังขึ้นในระยะใกล้ๆ ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่จ้ำอ้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ต้าเซียนพลันรู้สึกขัดใจ ทำไมคนผู้นี้จึงต้องโผล่มาตอนนี้ด้วยเล่า 

           “ข้าเอง ซุนจื่อหาน” เสียงที่ไม่ปกปิดความดีใจแม้แต่น้อยกล่าวขึ้น แต่ครั้นแลเห็นว่าสาวงามทำท่าไม่สนใจ ทั้งมีท่าทีเดินหนีไปอีกทาง ซุนจื่อหานก็ฉวยจับเรียวแขนบางไว้

           “ปล่อยข้า” ต้าเซียนหลบหน้ากล่าวอย่างเย็นชา

           “แม่นางอย่าได้กล่าวเช่นนี้ จะอย่างไรเราสองก็จะเป็นสามีภรรยากันอยู่วันยังค่ำ อย่าได้ทำหมางเมินไป”

           “เจ้าว่ากระไร” ร่างน้อยถึงกับผงะหันไปกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ

           “ที่แม่นางได้ยินฟังไม่ผิดหรอก ตระกูลเซียวได้ยินยอมมอบแม่นางให้เป็นภรรยาข้าแล้ว” ซุนจื่อหานแสร้งกล่าวพกลม ด้วยรู้ว่าเซียวถิงฟงมีใจให้กับนางในดวงใจของเขา แต่จะอย่างไรอีกฝ่ายก็จะกลายเป็นราชบุตรเขยในอีกไม่ช้า ดังนั้นเขาต้องรีบฉวยโอกาสนี้ไว้ครอบครองใจหญิงงาม

           ต้าเซียนคล้ายถูกสายฟ้าฟาดเข้าที่ร่างอย่างจัง ดวงตาเขาเบิกค้างตกตะลึง...เจ้ามิเพียงไม่เลือกข้า ซ้ำยังคิดจะผลักไสข้าอีกด้วยหรือ เช่นนั้นแล้วความอ่อนโยนที่เจ้ามอบให้คืออะไรกันแน่ พลันเจ็บแปลบในอก ภาพชายหนุ่มสะท้อนในแววตาสีน้ำตาลอ่อน
             
           “แม่นาง แม่นางเป็นอะไรมากรึเปล่า” ซุนจื่อหานเรียกโฉมงามตรงหน้า ครั้นเห็นอีกฝ่ายสับสน ก็ต้องลอบยิ้มในใจพลางคิดว่าอีกไม่นานสาวงามตรงหน้าต้องติดเบ็ดเขาแน่ ทว่า...
             
           “ออกไปให้ห่างข้า” จู่ๆร่างน้อยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ซุนจื่อหานตกตะลึงวูบ มิคาดว่าเหตุการณ์จะเปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม ทั้งยังมิทันตั้งตัว ฉับพลันนั้นร่างในชุดสีฟ้าอ่อนก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป

           ความจริงในสายตาของซุนจื่อหานมิได้มีสิ่งใดเปลี่ยนไปนัก หากแต่มีบางสิ่งที่ทำให้เขาต้องรู้สึกเช่นนั้น คนตรงหน้าคล้ายมีรัศมีสีทองปกคลุมร่างกายอย่างเบาบาง ใบหน้าและท่าทีจากที่เคยอ่อนหวาน กลับแทนที่ด้วยความสง่างามน่าเกรงขาม ดูน่าหลงใหล

           บัณฑิตหนุ่มรับชมอย่างตะลึงลาน ก่อนเขยิบก้าวเข้าไปใกล้ตัวนางให้มากยิ่งขึ้น รออีกเพียงก้าวเดียวก็จะสัมผัสถึงตัว แต่แล้วพายุประหลาดก็พลันผุดขึ้น ยังผลให้ร่างถูกลมหมุนผลักกระเด็นถอยออกไป

           บังเกิดความงุนงง ขยี้ตาคราหนึ่งแล้วจึงพบว่ามิใช่พายุอย่างที่นึก หากแต่เป็นบุรุษผู้หนึ่งที่แทรกกายขวางกั้นพวกเขาเอาไว้ สายตาดุจดั่งพญาอินทรีคู่นั้นคล้ายฟาดฟันเขาให้ตายในพริบตาเดียว ซุนจื่นหานถึงกับหน้าซีดปากสั่น พูดอะไรไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายพาร่างงดงามนี้ไปต่อหน้าต่อตา

           บริเวณต้นน้ำของสระใหญ่ในอุทยานหลวง ที่มุมหนึ่งถูกจัดไว้ด้วยก้อนหินใหญ่ที่ตั้งชันสูงตระหง่าน สายน้ำหลั่งรินไหล หากแต่ในซอกหลืบเล็กๆกลับมีพื้นที่มืดสลัวที่ไม่เป็นที่สังเกตแก่ผู้คน
             
           “เหตุใดจึงต้องลากข้ามาที่นี่”
             
           “หรือท่านต้องการให้ผู้อื่นเห็นน้ำตาของท่าน” เฟยหลงกล่าวน้ำเสียงเจือไปด้วยโทสะ ต้าเซียนพลันใช้มือสัมผัสที่ดวงตาแล้วจึงพบว่ามีหยาดน้ำใสที่ร้อนระอุคลออยู่ “ข้าบอกท่านแล้ว หากท่านยังคงอยู่กับเขา ท่านไม่พ้นคำว่าเสียใจเป็นแน่”

           เห็นท่านมหาเทพยังคงเงียบสนิท อารมณ์ของเฟยหลงก็ยิ่งคุกรุ่น “ทำไมท่านถึงใจร้ายเช่นนี้ ทำไมถึงไม่เคยมองมาที่ข้าบ้างเล่า” เขาพูดตัดพ้ออย่างเจ็บปวด ด้วยรู้ว่าท่านมหาเทพกำลังเจ็บปวดเพราะคนผู้หนึ่ง ซึ่งมิใช่เขา

           ต้าเซียนเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนตัดสินใจเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “สิ่งที่เจ้าต้องการ ข้ามิอาจให้เจ้าได้” แม้รู้ดีว่าเฟยหลงไม่เพียงเป็นห่วงตน แต่อีกฝ่ายยังรักตนอย่างหมดหัวใจอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรเขาก็มิอาจตอบรับความรู้สึกนี้ได้

           “เพราะเหตุใดกัน” เฟยหลงกล่าวถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ

           “เพราะข้าคือมหาเทพ ข้ามิอาจมอบความรักให้ใครคนเดียวได้ ข้ายังต้องดูแลสามโลก ดูแลเหล่าเทพ และดูแลเหล่ามนุษย์บนพื้นพิภพ”

           “เช่นนั้นทำไมมนุษย์ผู้นั้นจึงสามารถ ชายผู้นั้น เซียวถิงฟง เขาเองก็เป็นเช่นข้า แต่ท่านลำเอียงให้โอกาสเพียงแต่เขา ส่วนตัวข้าท่านได้แต่ผลักไส ไม่แม้แต่คิดถึงใจข้าแม้แต่น้อย” เฟยหลงขึ้นเสียงตะโกนออกมาอย่างขมขื่น ดวงตาแดงก่ำ เป็นเพราะสามโลกจริงๆน่ะหรือท่านจึงมิอาจรักข้าได้

           ดวงตาของต้าเซียนพลันรื้นขึ้นด้วยน้ำตา “เพราะเขาทำให้ข้าหวั่นไหว ทำให้ตัวข้าอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้อยู่กับเขา เขาสอนให้ข้ารู้จักคำว่ารัก” เขาหยุดเสียงลงด้วยความอัดอั้นก่อนฝืนกล่าวสืบต่อ “และทำให้ข้ารู้สึกถึงคำว่าเสียใจ” เขาเม้มริมฝีปากบางแน่น พยายามกลั้นน้ำตาที่ไหลออกมา แต่แล้วจู่ๆเฟยหลงก็รั้งร่างเขาไปใกล้ๆ

           หากไม่มีเจ้ามนุษย์นั่น เรื่องมันคงง่ายกว่านี้ เขาคับแค้นใจ แต่ก็ยังต้องอดทนไว้ บางทีนี่อาจยังไม่ถึงเวลา “ท่านแน่ใจได้อย่างไร ว่าใจของท่านเป็นของเขา”

           “เฟยหลง” ต้าเซียนขึ้นเสียง ดูเหมือนว่าจะคุยกันไม่รู้เรื่องเสียแล้ว

           “ท่านรักเขาจริงหรือ ท่านแน่ใจได้อย่างไร หัวใจในร่างของท่านดวงนี้อาจมิได้คงอยู่ไว้เพื่อเขา แต่อาจมีไว้เพื่อข้าก็เป็นได้ ท่านมิใช่เคยหวั่นไหวเพราะข้ากระนั้นหรือ หากท่านให้เวลาให้ข้าพิสูจน์ ข้าเชื่อมั่นว่าไม่นาน ใจท่านจะกระจ่าง”

           ต้าเซียนฟังแล้วก็ต้องนิ่งอึ้ง เขาเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ดีที่ที่นี่มืดสลัว เฟยหลงจึงมิอาจมองเห็นสีหน้าเขาได้ชัด เขาตัดสินใจแล้ว เพื่อที่เรื่องราวจะได้จบลงแต่โดยดี จบลงที่ตัวเขาเพียงผู้เดียว

           “ได้ นับจากนี้หนึ่งเดือน หากเจ้าสามารถพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่า ใจข้ามิได้เป็นของเซียวถิงฟง หัวใจดวงนี้เป็นหัวใจที่คงอยู่เพื่อเจ้าแล้ว ข้าจะยอมไปกับเจ้าทุกหนทุกแห่ง ทั้งสละตำแหน่งมหาเทพ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสามพิภพอีกต่อไป หากแต่เจ้าเองก็จะต้องไม่ข้องเกี่ยวกับแดนปีศาจอีกด้วย” ต้าเซียนกล่าวหนักแน่น

           “ข้าตกลง” เฟยหลงยิ้มรับข้อเสนอทันที

********************************************

ช่วงนี้ยุ่งๆ ต้องดูเเลหลานอายุ 5 วัน เเล้วก็เเอบเครียดมั่กมาก เพราะมีญาติที่พึ่งรู้จักมาอยู่บ้าน  :katai1: ความเป็นส่วนตัวมันหายไป บางทีจะรีไรท์ล่ะ คิดไม่ออก เเต่ก็จะพยายามอัพทุกวัน หรือวันเว้นวันนะคะ

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
อ่านแล้วหงุดหงิดๆๆๆๆๆ
ต้าเซียนต้องเสียใจอีกกี่ครั้งละเนี่ย :m31:

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 21.1 พลังชีวิต


           แอ๊ด ประตูถูกผลักเข้า ตามมาด้วยฝีเท้าที่เบาราวกับปุยนุ่น ทุกย่างก้าวแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยอ่อน อีกาสีดำตัวหนึ่งซึ่งเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่างพลันร้องทักขึ้นเมื่อเห็นคนผู้นี้

           “จุ๊ จุ๊ จุ๊”

           เสียงร้องของมันแตกต่างจากอีกาอื่นทั่วไป ทำให้คนที่ยืนใจลอยต้องหลุดออกจากภวังค์ แล้วพบว่าตนกลับมาถึงเรือนนอนเรียบร้อยแล้ว ต้าเซียนยกแขนขึ้นเล็กน้อย แลไม่นานอีกาตัวสีดำก็รีบบินเข้ามาหา มันทิ้งตัวเกาะอยู่บนข้อมือเรียว จากนั้นก้มตัวลงใช้จงอยปากจิกเบาๆอย่างรักใคร่

           “ฉุนซุ่ย จากนี้ไปติดตามเซียวถิงฟงให้ดี หากเขาเกิดอันตรายให้รีบกลับมาแจ้งข้า” กล่าวจบอีกาตัวน้อยก็ผงกหัวให้ก่อนจะโผบินออกไปครานี้ต้าเซียนหันมากล่าวขึงขังผ่านต่างหูมุก “ท่านเทพอาวุโสทั้งสาม โปรดฟังข้าให้ดี นี่เป็นคำสั่งสุดท้ายของมหาเทพ ผู้นำสูงสุดแห่งพิภพสวรรค์”

           “น้อมรับคำสั่ง ท่านมหาเทพ”   

           “นับแต่นี้ไป ให้พวกท่านเสาะหาบุคคลที่เหมาะสมแก่ตำแหน่งผู้นำพิภพสวรรค์ แลรับฟังคำสั่งจากบุคคลผู้นั้นสืบต่อไป”

           เกิดเป็นความเงียบขึ้น ไม่มีผู้ใดปริปากออกเสียง แม้มิได้พบหน้าค่าตา กระนั้นต้าเซียนก็รู้ดีว่าเหล่าอาวุโสเทพกำลังแตกตื่นมากเพียงใด

           “ท่านมหาเทพเกิดอะไรขึ้นหรือ อีกไม่กี่วันจะเป็นวันที่ความมืดบดบังแสงอาทิตย์ หรือก็คือวันชี้ชะตาของสามพิภพแล้ว เหตุไฉนท่านจึงให้พวกเราค้นหาผู้นำแห่งพิภพสวรรค์อีก แล้วตัวท่านเล่า” เทพอาวุโสหวางจื้อตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นถาม

           “อย่าได้ถามมากความ”

           น้ำเสียงห้วนกึ่งตวาดถูกส่งกลับมา เทพอาวุโสหวางจื้อเงียบกริบลงอีกครั้ง หากท่านมหาเทพมิต้องการให้ไต่ถาม เขามีรึจะกล้าขัด ดังนั้นจึงได้กระทุ้งศอกไปยังคนข้างกาย

           เทพอาวุโสเจิ้งผิงถึงกับอึกอัก รอสักพักก็กล่าวทวนอย่างทำความเข้าใจ “อ่อ รึท่านมหาเทพต้องการให้พวกเราเลือกผู้นำพิภพสวรรค์อีกผู้หนึ่ง เข้าทำการบัญชาเหล่าทหารเทพ เมื่อถึงคราศึกชี้ชะตา มนตร์ปิดกั้นสวรรค์สิ้นพลานุภาพก็ให้พวกเรารับคำสั่งคนผู้นี้ จัดการกับเหล่าปีศาจให้สิ้นซาก”

           “มิใช่ มิใช่”

           “ถ้าเช่นนั้น...” เทพอาวุโสเจิ้งผิงเกริ่น

           “จะไม่มีศึกในวันนั้นอีกแล้ว” ต้าเซียนตอบเสียงเรียบ หากแต่เหล่าเทพอาวุโสต่างขึ้นเสียงกันอย่างงุนงงวูบ

           “ท่านมหาเทพหมายความว่าอย่างไร”

           “ตอนนี้พวกท่านยังมิต้องใส่ใจ หากเพลานั้นมาถึง พวกท่านจักกระจ่างเอง”

           ฟังแล้วเทพอาวุโสเทียนสีก็ขมวดคิ้ว “ข้าไม่เข้าใจ ทำไมท่านมหาเทพจึงตัดสินใจเยี่ยงนี้ หรือเป็นเพราะหัวใจมนุษย์ในร่างของท่าน ท่านจึงไม่”

           “ข้าจึงไม่ตรึกตรองให้ถี่ถ้วนใช่รึไม่” ต้าเซียนขึ้นเสียงดุ “หรือพวกท่านกำลังคิดว่าข้าใช้อารมณ์ของมนุษย์มาตัดสินการใหญ่”

           “มิใช่เช่นนั้นท่านมหาเทพ พวกข้าเพียงเป็นห่วงท่านจริงๆ” เทพอาวุโสเทียนสีรีบกล่าวปฏิเสธ
   
           ได้ยินเช่นนั้นต้าเซียนก็สงบสติลง ทอดหายใจยาว “เอาเถอะ พวกท่านมิต้องเป็นห่วงไป อีกไม่นานข้าจะคืนหัวใจให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ ส่วนเรื่องที่ข้าตัดสินใจไปแล้วนั้น ข้าอยากให้พวกท่านเข้าใจ นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ไม่เกิดการนองเลือด และข้ามิอยากให้ใครหน้าไหนมารับเคราะห์มากไปกว่านี้อีก” เขากล่าวน้ำเสียงสลด รอจนมิมีผู้ใดกล่าววาจาใดอีก เขาจึงตัดบท “เช่นนั้นจงไปจัดการตามนี้”

           “ท่านมหา~”

           ต้าเซียนตัดการติดต่อลงโดยไม่ฟังเสียงทัดทาน เปลี่ยนสายตาที่เศร้าสลดให้กลับมาคมกล้าอีกครั้ง เขาเดินออกไปเปิดประตูห้องให้กับร่างสูงที่ยืนซึมกะทืออยู่ด้านนอก

           “เจ้ากำลังคุยกับผู้ใดอยู่” คล้ายมีเสียงของคนกลุ่มหนึ่งกำลังสนทนากันอย่างเคร่งเครียดภายใน

           “ไม่มีผู้ใดทั้งสิ้น”

           ต้าเซียนกล่าวเสียงเข้ม เซียวถิงฟงจึงเลือกเก็บความสงสัยไว้ ก่อนหลุบตาลง “ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”

           “เรื่องใดกันล่ะ เรื่องที่เจ้าจะแต่งให้กับองค์หญิงหย่าเหลียน หรือเรื่องที่เจ้าจะยกข้าให้กับซุนจื่อหาน”

           ฟังแล้วก็ถึงกับงงงันวูบ ครั้นเงยหน้าขึ้นก็ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ทอแววขุ่นเคือง “มิใช่อย่างที่เจ้าคิด” เขารีบกล่าวอธิบาย ทว่าต้าเซียนกลับหันกายเข้าห้อง เขาจึงรีบเดินตามไปติดๆ ท้ายที่สุดร่างน้อยก็หยุดลงนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีห่างเหิน

           “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปได้ยินอะไรมา แต่ข้าสาบานได้ ข้ามิเคยปรารถนายกเจ้าให้แก่ผู้ใดทั้งสิ้น” เซียวถิงฟงลั่นวาจา ดวงตาเป็นประกายแน่วแน่

           “ข้ามิได้ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย เรื่องราวจะเป็นเช่นไร ข้าจะต้องการหรือไม่ ข้า...มหาเทพแห่งแดนสวรรค์ก็มิมีวันอยู่ร่วมกับมนุษย์อยู่แล้ว” ต้าเซียนเน้นหนักประโยคสุดท้าย

           เซียวถิงฟงเลิกตากว้าง หัวคิ้วชนเข้าหากัน คล้ายต้าเซียนต้องการบอก ไม่ว่าตัวเขาก็ดี หรือซุนจื่อหานเองก็ช่าง ต้าเซียนไม่มีวันที่จะอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างพวกเขา เนื่องเพราะต้าเซียนคือมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ระหว่างพวกเขานั้นแตกต่างกันเกินไป ยังผลให้สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่ยืนกำหมัดอยู่อย่างนั้น

           ดูว่าชายหนุ่มจะเข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการบอกแล้ว ต้าเซียนฝืนเก็บความอึดอัดไว้ในใจ ขอเพียงผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ ทุกอย่างก็จะลงตัว ชายหนุ่มจะกลับมามีชีวิตที่ปกติอีกครั้ง โดยปราศจากตน “ข้ายินดีกับการแต่งงานของเจ้า หากเวลามีมากพอข้าย่อมต้องเข้าร่วมงานแน่”

           ถ้อยคำดังกล่าว ราวกับคมมีดที่กรีดลงบนหัวใจ เซียวถิงฟงนิ่งอึ้งไปทันที ลมหายใจขาดห้วง เสมือนมีพายุโหมกระหน่ำในอก คล้ายมิต้องการรับรู้อะไรอีก แต่ท้ายที่สุดก็ฝืนเค้นเสียง “ดี ข้าเข้าใจแล้ว”

           กระนั้นแล้วต้าเซียนก็ยังคงทำใจแข็งกล่าวอย่างไร้เยื่อใย “หากไม่มีอะไรแล้ว เจ้าก็กลับไปเถิด ข้าอยากพักผ่อน” กล่าวจบก็เบนสายตาหนี

           เซียวถิงฟงมองดูแล้วร่างน้อยอย่างเลื่อนลอย “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ไม่อาจอยู่กับข้าได้กระนั้นหรือ”

           เสียงเข้มปนเศร้าหมองดังออกมา ต้าเซียนยังคงไม่มองหน้าเจ้าของเสียงนี้ ริมฝีปากที่เม้มสนิทเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ใช่ ไม่มีวันเป็นเช่นนั้น สักวันข้าต้องกลับไปทำหน้าที่ของข้า”

           “.......” ราวกับได้ยินเสียงอสนีบาต เซียวถิงฟงนิ่งงันไปสักพักก็ยิ้มเยาะให้กับตนเอง “ข้า เข้าใจแล้ว” ฝืนลากฝีเท้าไม่มั่นคงไร้เรี่ยวแรงให้ถอยห่างไป ต่อเมื่อถึงหน้าประตูน้ำเสียงนุ่มทุ้มกลับดังออกมา

           “สิ่งที่ข้าเคยมอบให้เจ้าไป ได้โปรดอย่าได้แบ่งปันให้ใคร ถือว่าเป็นคำขอร้องสุดท้ายของข้า”

           ครานี้เรี่ยวแรงของเซียวถิงฟงคล้ายกลับมาแล้ว มือที่เคยกำแน่นก็ทุบเข้ากับประตูไม้อย่างรวดร้าว ประตูพังครืนลงในทันที เฉกเช่นเดียวกับหัวใจเขา

           เหตุใดยังต้องเป็นห่วงเป็นใยข้าอีก หากใจข้าสามารถละทิ้งไว้ ณ ที่แห่งนี้ได้ ดั่งเศษซากประตูบานนี้ ก็คงจะดีไม่น้อย แต่กระนั้น...ข้ากลับทำมิได้ ข้าไม่สามารถละทิ้งหัวใจที่มีเพียงเจ้าไปได้...ต้าเซียน

           เสียงกู่ร้องคำรามอย่างรวดร้าวดังขึ้น ต้าเซียนฟังแล้วก็เย็นวาบไปทั้งตัว ใจเสมือนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เห็นเซียวถิงฟงวิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง ร่างก็พลันผุดลุกขึ้น แต่แล้วฝีเท้ากลับชะงักหยุดลงได้ทันท่วงที

           ไปไม่ได้ ต้าเซียนพร่ำบอกตัวเองในใจ แม้เสียงคำรามก้องจะรวดร้าวแค่ไหน เขาก็มิอาจตามออกไปได้ ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงพึมพำอย่างขมขื่น “ถิงฟง”

           ใช่แล้วเซียวถิงฟงจะไม่กลับมาอีก ไม่กลับมาอีกแล้ว ร่างน้อยนั่งกอดเข่าอยู่บนเก้าอี้เล็กอย่างเซื่องซึม ใบหน้านิ่งเรียบฟุบลงกับหัวเข่า แลไม่นานนักก็มีเสียงสะอื้นแว่วเบาอย่างอ้างว้าง และเป็นเช่นนี้อยู่ทั้งคืน


***********************************************


           ในเช้าวันที่แดดร่ม ณ จวนตระกูลกลับวุ่นวายไปกับการเร่งเตรียมงานพิธีหมั้น ด้านพ่อบ้านตระกูลเซียวก็ง่วนอยู่กับการคุมข้ารับใช้จัดระเบียบข้าวของอย่างแข็งขัน มือหนึ่งก็ใช้พู่กันจดรายการสิ่งของที่ถูกส่งมาอวยพรให้กับว่าที่ราชบุตรเขยเซียวถิงฟงมือเป็นระวิง ส่วนปากก็ตะโกนบอกข้ารับใช้ “ระวังๆขนมาทางนี้”

           ต้าเซียนที่พึ่งตื่นแล้วเดินออกมายังกลางจวน เห็นกองของขวัญตั้งมหึมาก็หยุดฝีเท้าให้ความสนใจ ดูไปแล้วของแต่ละอย่างหาได้ยากยิ่ง แม้แต่ต้นไม้เงินต้นไม้ทองก็มีอยู่ในจำนวนนี้ เขาลอบเหลียวซ้ายแลขวา เห็นคนยุ่งวุ่นวาย มิน่ามีใครสังเกตเห็นก็แอบเอื้อมมือออกไปอย่างซุกซน

           แต่กระนั้นต้นไม้เงินทองกลับไม่นำพาแก่คนที่สูงน้อย ต้าเซียนจึงต้องเขย่งปลายเท้ากระโดดขึ้นลงราวกับกระต่าย ผ่านไปครึ่งเค่อต้องหยุดลงปาดเหงื่อ เท้าเอวมองอย่างขัดใจ นึกอยากจะเสกมันให้เตี้ยลงอยู่รอมร่อ แต่แล้วดวงตาคู่สวยก็พบบางสิ่งที่อยู่ไม่ไกลแล้ว รอยยิ้มกริ่มผุดขึ้น

           บันไดไม้ถูกพาดวาง เขาปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว ต้นไม้ทองนี้ยากจะได้พบเห็นนัก ฉะนั้นต้องลูบคลำมันสักหลายๆทีเสียหน่อย ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปสัมผัส มิได้สังเกตเห็นความวุ่นวายของในจวนขณะนี้

           ประจวบเหมาะกับที่ข้ารับใช้ผู้หนึ่งเกิดสะดุดเท้าลื่น เป็นเหตุให้ชนเข้ากับบันไดที่พาดสูง ร่างน้อยอยากจะร้องก็ร้องมิออก นึกในใจว่าต้องเจ็บตัวอีกแล้ว ขณะเดียวกันร่างก็ค่อยเอนเอียงไปพร้อมกับบันไดเพื่อนยาก จะคว้าจับเกาะกุมสิ่งใดก็ดูจะไม่ทันการแล้ว

           “อ๊ากกก” เสียงแผดร้องดังขึ้น กระนั้นยังโชคดีที่มีคนผู้หนึ่งรับเขาไว้ มิปล่อยให้เขาต้องลงไปจับกบต่อหน้าผู้คน “เฮ้อ ขอบคุณท่านมาก” ต้าเซียนโล่งอกกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ทว่าคนผู้นี้กลับไม่พูดไม่จา ทั้งยังมิยอมปละปล่อย จู่ๆหัวใจก็พลันเย็นเฉียบกะทันหัน

           เป็นเซียวถิงฟงที่เข้ารับร่างน้อยได้ทันท่วงที เนื่องเพราะลอบมองอีกฝ่ายจากที่ไกลๆมาเนิ่นนานแล้ว

           “วางข้าลง” ต้าเซียนรีบร้องบอก

           เซียวถิงฟงตัวชาวูบด้วยฟังออกถึงน้ำเสียงเย็นชา แม้ใจมิอยากปละปล่อย แต่ตนก็ไม่มีปัญญารั้งไว้ จำใจต้องวางอีกฝ่ายลงอย่างช้าๆ แลเมื่อฝีเท้าสัมผัสถึงพื้น ร่างน้อยก็ผละตัวออก พริบตานั้นในอกเขาก็วูบโหวง

           “โอ๊ย” จู่ๆก็เจ็บจนน้ำตาแทบหลั่งไหล เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าเส้นผลติดพันที่กิ่งไม้ ต้าเซียนขมวดคิ้วรีบเขย่งปลายเท้าหมายจะแกะมันออก แต่แล้วไม่นานเงาร่างใหญ่ก็พลันทาบทับ ทำให้ตนได้เห็นเค้าหน้าชายหนุ่มได้ชัดถนัดตาแล้ว รอยคล้ำใต้ตาบ่งบอกถึงความกลัดกลุ้ม หากแต่สีหน้ายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย พานให้ปวดแปลบในใจ

           เส้นผมเกี่ยวติดกับกิ่งไม้ทองอย่างยุ่งเหยิง เซียวถิงฟงพยายามแกะออกอย่างเบามือ แต่มิไยจะแกะสักเท่าใดก็ยังคงแกะไม่ออก จึงเอาแต่จดจ้องอยู่กับการคลายปมผมสลวย มิทันสังเกตเห็นบุรุษผู้หนึ่งซึ่งยืนมองด้วยสีหน้าถมึงทึงที่ด้านหลังแล้ว

           “ออกไป ข้าจัดการเองได้” เสียงคมเข้มฉายแววไม่พอใจดังออกมา เซียวถิงฟงชะงักมือ กระนั้นก็มิได้วางมือลง
   
           “เฟยหลง” ต้าเซียนร้องเรียก

           เห็นใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มที่มีให้คนอื่น เซียวถิงฟงก็ซึมกะทือไป

           “ข้ามาแล้ว” เฟยหลงตอบรับพร้อมรอยยิ้มกว้าง แสร้งทำเมินตัวตนของเซียวถิงฟงไปโดยสิ้นเชิง เขาก้าวเข้าไปกล่าวเป็นนัย “ต้าเซียน สิ่งใดที่เกะกะท่านนักก็จงตัดมันทิ้งไป หากปล่อยทิ้งไว้ รังแต่จะเป็นที่น่ารำคาญใจเสียเปล่า” พูดจบก็หักกิ่งไม้ที่ยังคาอยู่ในมือของคนที่มัวแต่ยืนทื่อ

           เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนพลันเลื่อนหลุดออก กิ่งไม้ทองถูกโยนลงพื้นราวกับสิ่งของไร้ค่า พ่อบ้านตระกูลเซียวถึงกับอ้าปากตาค้างตื่นตะลึงสุดขีด มิเว้นข้ารับใช้ที่ต่างพากันตะลึงงันจนบรรลุถึงขั้นไร้วาจาแล้ว

           “จบเรื่องแล้ว ไปกันเถิด” เฟยหลงสอดผสานมือน้อยแล้วพาเดินออกไปจากจวนตระกูลเซียวท่ามกลางสายตานับสิบกว่าคู่

           เซียวถิงฟงรู้สึกตัวแล้วก็รีบคว้าไปที่ข้อมือน้อย หากแต่ปลายนิ้วมิทันได้สัมผัส ก็ชะงักหยุดลงมือลงเสียดื้อๆ ถ้อยคำที่ต้าเซียนกล่าวทิ้งไว้คล้ายกลับมาเคี่ยวกรำเขาอีกครั้ง

           “ไม่มีวันเป็นเช่นนั้น เพราะข้าคือมหาเทพแห่งแดนสวรรค์” 

           “ต้าเซียน” เขาพร่ำเรียกอย่างขมขื่น ในขณะที่พ่อบ้านตระกูลเซียวเดินไปเก็บกิ่งไม้ทองหายากแล้วร้องคร่ำครวญเป็นการใหญ่ ครั้นเขาจ้องมองสิ่งที่อยู่ในมือพ่อบ้าน ความนัยของเฟยหลงก็ดังขึ้นในสมอง

           “ข้าเป็นตัวเกะกะสำหรับเจ้ากระนั้นหรือ”

            “เอ๋ คุณชายท่านกล่าวอะไร” พ่อบ้านตระกูลเซียวถามอย่างแปลกใจ ครั้นเห็นคุณชายเอาแต่ยืนนิ่งตาแดงก่ำ ก็ต้องเกาแก้มอธิบาย “เอ่อ มิได้เป็นเช่น อ้ะ” มิคาดว่าฉับพลันนั้นกิ่งไม้หายากฉวยไปจากมือ พ่อบ้านเซียวถึงกับหน้าแตกตื่น “เดี๋ยว คุณชายเซียว อย่า”

           สิ้นเสียงพ่อบ้าน เซียวถิงฟงก็บดขยี้มันอย่างนึกน้อยใจ กิ่งไม้ทองพลันสลายกลายเป็นผุยผง ก่อนจะลอยละลิ่วไปต่อหน้าต่อตาของคนทั้งลานกว้าง เขาโปรยมันขึ้นฟ้า จากนั้นเดินดุ่มไปที่โรงม้า ทิ้งไว้ให้พ่อบ้านตระกูลเซียวกับเหล่าข้ารับใช้ยืนอ้าปากตาค้างหลั่งน้ำตาเงียบๆกันอีกรอบ

           ม้าขาวตะบึงไปยังป่าแถบชานเมือง ต่อเมื่อได้ยินเสียงน้ำตกสะท้อนก้องกังวาน เขาก็กระโจนลงจากหลังม้า สืบเท้ารวดเร็วไปยังกลางลำธาร มือชักพัดเหล็กตวัดปัดป่ายลงบนโขดหิน บังเกิดเป็นแสงวิบวับ สายน้ำกระจัดกระจายทุกครั้งที่ตวัดแขนลง

           จวบจนพอใจแล้วก็ทิ้งร่างหงายหลังลงสู่ผืนน้ำ ดวงตาปิดสนิทไว้ มิคิดอยากจะลืมขึ้นมาชั่วขณะ ครั้งหนึ่งต้าเซียนเคยนั่งเคียงข้างเขาที่โขดหินแห่งนี้ ทว่าตอนนี้กลับมีเพียงความว่างเปล่า...เหนื่อยเหลือเกิน เซียวถิงฟงคิดแล้วพลันปล่อยให้กระแสน้ำนำพาร่างเขาไปอย่างไม่สนใจอีก

           ..................

           .........

           ...

           รู้ตัวอีกทีดวงตาคู่สีน้ำตาลก็ทอดมองอย่างเศร้าโศก เซียวถิงฟงรู้สึกราวกับฝันไป มิอาจห้ามใจเอื้อมมือขึ้นสัมผัสใบหน้านั้น จังหวะนั้นน้ำตาเม็ดงามก็หลั่นรินไหลบนฝ่ามือเขา

           “ต้าเซียนอย่าร้องไห้ เป็นข้าไม่ดีเอง แต่ข้าไม่มีทางเลือก” เขาพยายามบอก แต่กระนั้นดวงตาคู่สวยกลับยังคงฉายแววเศร้า อีกทั้งร่างตรงหน้าก็ค่อยๆเลือนรางหายไป

           “ไม่ อย่าไป” เขาคำรามก้อง พยายามไขว่คว้าร่างนั้นไว้ หากแต่ต้าเซียนกลับกลายเป็นกลุ่มทรายสีทอง ค่อยๆกระจัดกระจายล่องลอยไปสายลมแรง เขาถึงกับตื่นตะลึงกับภาพดังกล่าว มิอาจห้ามน้ำตาที่ทะลักออกมาจากเบ้าตาได้

           “จุ๊ จุ๊ จุ๊”

           เสียงแปลกๆทำให้ตัวเขาต้องสะดุ้งตื่น แล้วพบว่ามือข้างหนึ่งยังคงกำแน่น ทั้งชูยกขึ้นสูงคล้ายไขว่คว้าอะไรบางอย่าง กระทั่งลองคลายมือออก ก็เผยให้เห็นถึงความว่างเปล่าในกำมือ

           กระทั่งในฝัน ข้าก็ยังมิอาจมีเจ้าได้เลยหรือ

           “ข้าจำเจ้าได้” เซียวถิงฟงกล่าวกับอีกาสีดำที่ยังคงจิกตีที่หน้าอกตนเองไม่หยุดหย่อน คล้ายมันต้องการติเตียนว่าตน ม้าขาวเองก็เดินอ้อยอิ่งเข้ามาใกล้ หย่อนหัวซุกไซ้ใบหน้าของเขาราวกับปลอบใจ เขาลูบสันจมูกมันทีหนึ่งก็พยุงตัวเองขึ้นหลังม้า เหยาะย่างม้าออกไปอย่างอ่อนแรง ด้านฉุนซุ่ยเห็นดังนั้นก็รีบโผบินติดตามไป
   
           ที่ด้านหลังกลับปรากฏเงาร่างสองสาย ผู้หนึ่งจับจ้องชายที่ควบม้าจากไปอย่างอาลัย อีกผู้หนึ่งกลับมีท่าทีไม่พอใจอยู่ไม่น้อย

           หลังจากที่คนและม้าจากไป ต้าเซียนก็ทะยานตัวขึ้นเหนือน้ำ หยุดตัวยืนลงบนโขดหินใหญ่

           “สลักลึกกลางใจ มิเสื่อมคลาย รำลึกถึงกาลก่อน ยากแท้ใจมิอาจลืมเลือน”

           เฟยหลงกัดฟันเปล่งเสียงอ่านข้อความนั้นอย่างประชดประชัน พลางสังเกตปฏิกิริยาของท่านมหาเทพอย่างใกล้ชิด
ด้านต้าเซียนเองก็รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง จึงสบเข้ากับสายตาดุจพญาอินทรีเข้าตรงๆ ก่อนจะพบความอิจฉาที่มิได้ปิดบังแม้แต่น้อย เขานิ่งเงียบครุ่นคิด มาตรว่าใจต้องเจ็บปวดใจ แต่เขาจำต้องถอนรากแห่งปัญหานี้ 

           แขนเรียวสะบัดวูบหนึ่ง ไม่นานนักโขดหินก็เกิดเป็นรอยร้าว ตามมาด้วยเสียงพังทลายดังสนั่นขึ้น พริบตาเดียวก็หลงเหลือเพียงหินก้อนเล็กก้อนน้อย ต้าเซียนสะบัดแขนเก็บเข้าแขนเสื้อเสมือนมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น กล่าวเสียงเรียบ “เรื่องนี้เป็นเพียงความเพ้อฝัน ต่อเมื่อมันจบลงก็หลงเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า มีแต่ความเป็นจริงเท่านั้นที่ดำรงอยู่ เจ้ามิต้องกังวลไปข้าตื่นขึ้นมาอยู่กับความเป็นจริงแล้ว” 

           ได้ยินดังนั้นเฟยหลงก็ยิ้มออก เขาเดินเข้ามากอดแผ่นหลังบางไว้โน้มตัวกระซิบคำหวานที่ข้างหู “ข้าเป็นคนที่อยู่ในความเป็นจริงของท่าน”

           อีกด้านหนึ่งที่ไม่ไกลนักกลับมีเสียงบดขยี้กิ่งไม้ นัยน์ตาปะทุไปด้วยความโกรธ แม้เรื่องสักครู่จะเป็นเพียงความฝัน แต่เซียวถิงฟงยังคงหวังให้เป็นเรื่องจริง จู่ๆเขาก็นึกติดใจควบม้าขาวย้อนกลับมาอีกครั้ง ทว่าภาพตรงหน้ากลับทำให้หัวใจเขาแตกสลายลงอย่างสิ้นเชิง 

           โขดหินถูกต้าเซียนพังทลาย ไม่หลงเหลือถ้อยคำที่สลักไว้ ยังมีภาพคนทั้งสองที่ตระกองกอดกันแนบแน่น ทำให้เซียวถิงฟงต้องรวดร้าวราวกับโดนมีดกรีด เขาฝืนกลั้นเสียงคำรามไว้ในอก สองมือกำสายบังเหียนม้า จากนั้นตัดสินใจชักบังเหียนกลับ ตะบึงม้าขาวไปยังทิศทางที่ตรงกันข้าม


************************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 21.2 พลังชีวิต


           
           “ถึงเวลาแล้ว กำจัดเซียวถิงฟงซะ” น้ำเสียงดุดันทรงพลังกล่าวขึ้น

           ปีศาจจิ้งจอกนึกแล้วก็เผยรอยยิ้มยินดี ดูว่าท่านจอมมารใกล้จะทำสำเร็จแล้ว มาตรว่านางเองจะพลาดกับเหยื่อชิ้นใหญ่ หากแต่อีกไม่นานนางก็จะได้เหยื่ออีกชิ้นที่ดูหอมหวนไม่แพ้กัน

           แต่จะอย่างไรนางต้องหลอกองค์หญิงหย่าเหลียนให้สำเร็จเสียก่อน แม้ว่าจิตของอีกฝ่ายถูกกลืนกินไปหลายส่วน จนมิอาจขัดขืนนางได้อีกต่อไป แต่กระนั้นบางทีนางก็ยังคงปล่อยให้จิตของเหยื่อดำเนินเรื่องราวให้เป็นไปจนกว่าจะถึงวันที่เหมาะสม

           “หย่าเหลียน ถึงเวลาอันควรแล้ว จงทำให้เซียวถิงฟงยินยอมมอบพลังชีวิตให้แก่เจ้าอย่างเต็มใจซะ เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะกลายเป็นของเจ้าตลอดกาล” จิ้งจอกเหม่ยซินใช้น้ำเสียงหวานกระซิบบอก จนอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับอย่างเซื่องซึม ทั้งยังกล่าวอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ

           “ข้าต้องทำได้แน่”

           “องค์หญิงหย่าเหลียน ท่านรองแม่ทัพเซียวขอเข้าเฝ้าเพค่ะ” นางกำนัลเว่ยขานบอกจากหน้าห้อง องค์หญิงหย่าเหลียนยิ้มกว้างรีบตอบรับทันที จากนั้นประตูก็ถูกเปิดพร้อมๆกับร่างของชายในชุดลำลอง

           “หย่าเหลียนเป็นอย่างไรบ้าง” เซียวถิงฟงถามอย่างเป็นห่วง

           “ท่านพี่ต่างหากเป็นเช่นไรบ้าง เหตุใดจึงดูซูบเซียวลงไปกว่าเดิม”

           “ข้ามิเป็นไร เพียงแค่ช่วงนี้ฝึกทหารหนักไปหน่อยจึงไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อนเท่านั้นเอง” เขาฝืนยิ้มตอบ

           “ไม่ได้นะ ท่านพี่ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้มากกว่านี้ อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นของพวกเราแล้ว” นางยิ้มกล่าวภายใต้ผ้าแพรคลุมหน้า

           “......” เขาฟังแล้วก็ได้แต่เงียบงันไป

           หย่าเหลียนเห็นดังนั้นจึงกล่าว “ท่านพี่ ถ้าอย่างไรท่านพาข้าไปเดินเล่นในสวนได้รึไม่ ข้าเบื่อที่จะอยู่แต่ในห้องแล้ว” นางอ้อนวอนเสียงเศร้า แม้ร่างสูงจะมีสีหน้าลำบากใจ แต่ก็ยังช่วยพยุงตัวนางขึ้นจากเตียง มุ่งหน้าไปยังสวนภายในตำหนักลุ่ยหวา

           เพียงก้าวที่ไปยังสวนในตำหนัก เสียงร้องแปลกประหลาดก็แผดลั่นไปทั่ว จู่ๆอีกาสีดำสนิทตัวหนึ่งก็พุ่งตัวเข้าหาคนทั้งสอง หย่าเหลียนเพียงเห็นก็ต้องลอบยิ้มในใจ ก่อนแสร้งซบลงที่อกแกร่งด้วยท่าทีหวาดกลัว

           เป็นฉุนซุ่ยบินวนเหนือฟากฟ้า กระทั่งเห็นร่างที่แฝงด้วยกลิ่นอายปีศาจจิ้งจอก มันก็ร้องลั่นถลาบินเข้าไปอย่างมิเกรงกลัว แต่ก่อนที่มันจะได้เข้าจิกตีปีศาจร้ายก็ปรากฏพัดเหล็กขึ้นตัดหน้ามันอย่างกะทันหัน ภาพตรงหน้าแปรเปลี่ยนฉับพลัน มันจำต้องล่าถอยบินกลับไปตั้งหลัก หากแต่มือใหญ่คู่หนึ่งกลับรวบตัวมันไว้จากทางด้านหลัง ฉุนซุ่ยพยายามร้องทั้งดิ้นไปมา แต่ก็มิอาจหลุดพ้นไปจากพันธนาการ

           "เจ้าจะทำอะไร" เซียวถิงฟงกล่าวถาม ฉุนซุ่ยจึงจิกเข้าที่มือชายหนุ่มอย่างแรง

           "ท่านพี่ช่างเถิด ข้าว่าให้นางกำนัลนำกรงมาขังไว้ดีกว่า มันจะได้ทำร้ายใครไม่ได้อีก"

           "แล้วแต่เจ้าเถิด" เซียวถิงฟงได้ฟังที่นางกล่าวก็เออออตาม

           กรงไม้ขนาดไม่ใหญ่นักถูกนำออกมา จากนั้นฉุนซุ่ยก็ถูกยัดเข้าไปในกรงอย่างไม่ยินดี ชั่วขณะหนึ่งมันพลันเห็นรอยยิ้มเยาะของปีศาจจิ้งจอก จึงส่งเสียงร้องลั่นไม่พอใจ สักพักนางกำนัลที่เหลือก็มิอาจทนเสียงโหวกเหวกได้อีก จัดการนำผ้าสีดำมาคลุมที่กรงไว้ นับแต่นั้นฉุนซุ่ยจึงมิอาจแลเห็นเรื่องราวภายนอกได้อีก
   
           เมื่อจบเรื่องเซียวถิงฟงก็พาองค์หญิงมานั่งพักที่ศาลาริมน้ำ จัดแจงพยุงนางนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนอย่างนุ่มนวล ทว่าในขณะที่กำลังผละตัวออก สาบเสื้อก็พลันถูกจับไว้แน่น
   
           “ท่านพี่อีกสองวันจะถึงงานหมั้นของเราแล้ว ท่านรังเกียจใบหน้าของข้ารึไม่” น้ำเสียงของนางเริ่มสั่น แม้แต่มือก็เริ่มเกร็งเขม็ง

           เซียวถิงฟงรู้สึกถึงอาการดังกล่าวก็ย่อกายลงนั่งข้างๆ ใช้สองมือกุมมือเล็กของนางให้หยุดเกร็ง “เจ้ากำลังกังวลเรื่องใดอยู่กันแน่”

           “ท่านเองก็เห็น แม้แต่อีกาเองก็ยังรังเกียจข้า แล้วข้าจะคู่ควรแต่งกับท่านอีกหรือ” องค์หญิงหย่าเหลียนกล่าวตัดพ้อ

           เซียวถิงฟงจึงกล่าวเสียงอ่อน “หย่าเหลียนอีกไม่นานเจ้าจะหายเอง รออีกนิดเถิด ข้ากับองค์รัชทายาทกำลังหาทางช่วยเจ้าอยู่” 

           “หึ ข้ายังจะเชื่อใจองค์รัชทายาทได้อยู่อีกรึ พระองค์เพียงแต่ส่งหมอหลวงมาดูอาการ ทุกวันข้าต้องทนดื่มยารสฝื่นขม แต่ก็ยังมิได้ดีขึ้นแม้แต่น้อย แบบนี้น่ะหรือคือช่วยข้า ไม่ช้าข้าคงตายด้วยน้ำมือของพระองค์เข้าสักวัน” ใช่แล้ว การที่องค์รัชทายาทประทานยาให้นางก็เสมือนกับทรงประทานยาพิษให้ จะดื่มหรือไม่ นางล้วนต้องตายอยู่ดี

           “หย่าเหลียนทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ พระองค์ทรงเป็นพระเชษฐาของเจ้านะ” เขาเริ่มขึ้นเสียง

           หย่าเหลียนบ่ายหน้าหนี เรื่องระหว่างนางกับพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงไม่บอกเล่าให้เซียวถิงฟงฟังอีก ทั้งๆที่เหตุผลนั้นสามารถใช้ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างนางกับเซียวถิงฟงได้ เช่นนี้แล้วองค์รัชทายาททรงรออะไรอยู่

           “แต่ว่าข้ารอต่อไปมิไหวแล้ว ข้ามิอยากร่วมงานหมั้นในสภาพคนใกล้ตายเช่นนี้ ข้ามิกล้าสู้หน้าใคร อีกอย่างหากข้ายังคงรอต่อไป ไม่ช้าก็เร็วข้าคงต้องตายอยู่ดี”

           “หย่าเหลียน เจ้าอย่าได้ใจร้อนไป” เซียวถิงฟงทอดถอนใจเบาๆพลางทำท่าจะลุกขึ้น ทว่านางกลับดึงมือของเขาไว้ ก่อนปลดผ้าแพรที่คลุมหน้าออก ใบหน้าที่ดูล่วงผ่านกาลเวลามานับหลายปีเผยสู่สายตาเขา พานให้รู้สึกสะท้อนใจ

           “หากตอนนี้ข้ามีวิธีที่จะสามารถทำให้ข้ามีชีวิตสืบต่อไป ท่านจะยินยอมช่วยข้าหรือไม่” นางกล่าวด้วยน้ำตาที่รื้นขึ้น ทั้งยังจ้องลึกเข้าไปในดวงตาพยัคฆ์ด้วยแฝงไปด้วยความวาดหวัง

           “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

           “หากท่านยินยอมมอบพลังชีวิตส่วนหนึ่งให้แก่ข้า ชีวิตของข้าจะกลับเป็นปกติอีกครั้ง ใบหน้าของข้าจะกลับเป็นดั่งกาลก่อน ไม่เหี่ยวเฉาราวกับหญิงอายุแปดสิบเช่นนี้” นางหลุบตาลงแสร้งกล่าวอย่างละอายใจ

           สองคิ้วของเซียวถิงฟงเริ่มขมวดเป็นปม “เจ้ารู้ได้อย่างไร ใครเป็นผู้บอกวิธีนี้แก่เจ้า”

           “ข้า... ”

           หย่าเหลียนหันกายหนี แต่เซียวถิงฟงกลับยึดกายนางให้เผชิญหน้าไว้ เขามิใช่คนโง่งมถึงขนาดไม่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เขาเค้นเสียงถาม “บอกข้ามาหย่าเหลียน”

           สายตาแรงกล้าบีบคั้นให้นางจำต้องตอบแต่โดยดี “ต้าเซียน นางเป็นคนกล่าวกับข้า วันนั้นนางบอกว่า หากมีผู้เสียสละแบ่งปันพลังชีวิตส่วนหนึ่งให้แก่ข้า ข้าก็จะมีชีวิตสืบต่อไป”

           เซียวถิงฟงฟังแล้วรู้สึกเหมือนจะล้มทั้งยืน “เวลาก็ผ่านพ้นมาเนิ่นนานแล้ว เหตุใดเจ้าถึงพึ่งมาบอกตอนนี้กัน” หากรู้เช่นนี้เขาคงมิเลือกเส้นทางสายนี้

           “ข้าไม่คิดไม่ฝันว่าท่านจะยอมแต่งกับข้า และเป็นเพราะข้ารู้ว่านางคงไม่ยอมบอกท่าน นางกลัวว่าท่านจะเป็นผู้เสียสละนี้ นางมิอยากให้ท่านไปจากนาง ข้าก็เช่นกัน ข้าไม่อยากให้ท่านเป็นอันตรายเพราะข้า” นางก้มหน้ากล่าวเสียงเบา

           ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวดในอก แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาจะทำกระไรได้ “ไม่ ตอนนี้เขา...ไปจากข้าแล้ว” เซียวถิงฟงกำหมัดแน่น

           กล่าวน้ำเสียงรวดร้าว ต้าเซียนมิอยากให้เขาเป็นผู้เสียสละ แต่มาตอนนี้เจ้าตัวกลับต้องการไปจากเขาเสียเอง จู่ๆคำขอร้องร่างน้อยแว่วดังอยู่หู

           “สิ่งที่ข้าเคยมอบให้เจ้า ได้โปรดอย่าได้แบ่งปันให้ใคร ถือว่าเป็นคำขอร้องสุดท้ายของข้า”

           พอดีกับที่ภาพโขดหินพังทลายด้วยน้ำมือของร่างน้อย แลถึงภาพที่เฟยหลงกอดอีกฝ่ายด้วยท่าทีลึกซึ้งก็ฉายออกมาเป็นฉาก บังเกิดเป็นความเจ็บช้ำในอก เซียวถิงฟงกล่าวอย่างน้อยใจ “ข้าเข้าใจแล้วหย่าเหลียน ข้าจะเป็นผู้มอบพลังชีวิตให้แก่เจ้าเอง” ในเมื่อเป็นต้าเซียนตัดสินใจไปจากเขาแล้ว จะยังคงห่วงใยเขาไปเพื่ออะไรกัน
 
           “ท่านยินยอมปลดปล่อยความเจ็บปวดนี้ของข้ากระนั้นหรือ จากนี้ข้าจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้วใช่ไหม” นางกล่าวถามย้ำด้วยน้ำเสียงยินดีพร้อมๆกับเสียงหัวเราะอำมหิตที่ดังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ

           “ใช่ ข้าจะยินยอมที่จะให้พลังชีวิตแก่เจ้า”

           “พี่ถิงฟง ขอบคุณท่านมาก เพียงพลังชีวิตส่วนหนึ่งของท่าน ข้าก็จะได้กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง กลับมาเป็นหย่าเหลียนที่ท่านรักอีกครั้ง”

           ท่านจะกลายเป็นของข้า หัวใจของท่านก็เช่นกัน เสียงหัวเราะดังขึ้นในใจของหย่าเหลียน หากแต่ที่ดังกว่าคือเสียงหัวเราะอำมหิตของจิ้งจอกเหม่ยซิน ซึ่งเหยื่ออย่างนางกลับมิได้รับรู้ แลได้ยินสักนิดเดียว

           ระหว่างที่เซียวถิงฟงกำลังจมอยู่ในห้วงภวังค์ลึก นางก็ค่อยๆขยับเขยื้อนดวงหน้าเข้าไปใกล้คนที่ย่อกายอยู่ ดวงตาโศกเศร้าของเขาสะท้อนในแววตาของปีศาจจิ้งจอก หากแต่ทั้งเขาและนางต่างไม่มีใครรู้ตัว

           หย่าเหลียนแนบริมฝีปากนุ่มนวลลงบนริมฝีปากของชายหนุ่ม กระแสความร้อนความอบอุ่นค่อยๆหลั่งไหลเข้ามาสู่กาย นางรู้สึกราวกับกำลังโบยบิน ทั้งรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตและความมีชีวิตชีวา ต่อเมื่อกระแสพลังจำนวนหนึ่งถูกถ่ายเทเข้าสู่ร่างแล้ว นางก็ถอนริมฝีปากออก แม้ในใจจะยังคงรู้สึกกระหายอยู่ก็ตามที

           กระทั่งการกระทำเสร็จสิ้นลง ฉับพลันนั้นร่างก็อ่อนแรงลง จนเขาต้องเซนั่งลงกับพื้น แม้ไม่ถึงกับหน้ามืด แต่ก็รับรู้ได้ว่าพลังมลายหายไปส่วนหนึ่ง

           “ท่านพี่ ท่านพี่ถิงฟง” เห็นร่างสูงเซถอยหลัง ทั้งยังมีสีหน้าซีดเผือด องค์หญิงหย่าเหลียนก็ถึงกับตกใจ

           “ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร” เขารีบโบกไม้โบกมือบอก เมื่อได้หายใจหายคออย่างสะดวกก็ยันกายลุกขึ้น สายลมที่โชยพัดผ่านทำให้สมองเริ่มปลอดโปร่งอีกครั้ง ครั้นเมื่อสบมองหย่าเหลียนอีกครั้ง เขาก็ต้องตกตะลึงวูบ

           “ท่านพี่เป็นอะไรมากไหม ข้าไม่น่าเลย” นางรีบนำผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อที่ประปรายบนหน้าผากของชายหนุ่มอย่างเบามือ

           เซียวถิงฟงยกมือขึ้นจับมือนางให้หยุดลง ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ท่าทีของนางดูกระปรี้กระเปล่าขึ้นกว่าแต่ก่อน แม้แต่รอยแห่งกาลก็เวลาก็จางลงไปหลายส่วน

           “ใบหน้าของเจ้า”

           องค์หญิงหย่าเหลียนชะงักตัวขึ้นบ้างแล้ว ก่อนที่จะรีบยกมือขึ้นคลำใบหน้าของตนเองไปทั่ว จากนั้นจึงร่ำร้องอย่างดีใจ “ใบหน้าของข้ากำลังจะหายแล้ว”


*****************************************************

เอ บอกกันไปรึยัง เรื่องนี้ 30 บทจบนะจ้ะ ติดตามกันต่อด้วยน้าาาา   :z2:

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
ต้าเซียนคิดดีๆแล้วจริงๆหรอ กลับมาเถอะนะ ถิงฟงแย่แล้วววว

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
สมน้ำหน้า
ต้าเซียนจ๋าอย่าร้องไห้เลย :hao5:

ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 22.1 ความโดดเดี่ยว


           เสียงพลุอันบ่งบอกถึงความเป็นมงคลดังขึ้นเหนือจวนตระกูลเซียว ทั่วทุกมุมห้องประดับประดาไปด้วยโคมสีแดงสว่างไสว ที่หน้าประตูจวน สองพ่อลูกต่างยืนต้อนรับขับสู้ขุนนางผู้ใหญ่ที่ให้เกียรติมาเยือนพิธีหมั้น หน้าที่ที่เหลือจึงปล่อยให้พ่อบ้านตระกูลเซียวจัดการไป

           ไม่ว่าจะมองทางไหนก็พบเห็นแต่แขกเหรื่อที่นั่งสนทนาพูดคุยกันอย่างอ่อนรส บ้างดื่มสุราบ้างรับประทานอาหารกันอย่างเต็มที่ ดูไปแล้วผู้มาล้วนเบิกบานใจกันทั้งสิ้น เว้นเพียงเจ้าของงานอย่างเซียวถิงฟงที่ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มประดับไว้บนใบหน้า

           ครั้นเหลียวมองรอบๆงานอีกครั้ง ก็พลันพบบุคคลผู้ที่รู้จักมักคุ้น ซึ่งกำลังนั่งดื่มสุราอยู่ในศาลาด้วยชุดสีขาวงามสง่า ที่ศีรษะประดับกวานทองหรูหราบ่งบอกฐานะสูงส่ง ทว่าบรรยากาศรอบกายกลับดูอึมครึม บันดาลให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ โดยเฉพาะเหล่าคุณหนูที่แสร้งยืนอยู่ห่างๆ หวังเพียงให้มังกรหนุ่มแลเห็นดวงหน้าอันสวยงามของพวกนางสักครั้ง

           “ท่านกำลังเสียใจอยู่รึ” ต้าเซียนตัดสินใจเดินเข้าไปร่วมโต๊ะ มิสะทกสะท้านไปกับสายตาริษยาของเหล่าคุณหนู

           “แล้วท่านเล่ามิเสียใจรึ” ซวนหยวนหมิงไท่สวนตอบ พร้อมทั้งยกเหล้าขึ้นดื่มหมดจอก

           ต้าเซียนเงียบลงพลางครุ่นคิด พวกเขาทั้งสองแม้ผู้หนึ่งเป็นเซียน อีกผู้หนึ่งเป็นมนุษย์ ทว่ากลับมีส่วนคล้ายกันอย่างน่าประหลาด ซวนหยวนหมิงไท่มีความลับที่เก็บเงียบในใจมาเนิ่นนาน ทั้งยังไม่สามารถบอกใครได้ แม้แต่กับสหายของเขา เซียวถิงฟง

           “ถ้าท่านรักนาง ทำไมถึงไม่รั้งนางไว้” ใช่แล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ผู้นี้เป็นคนเดียวกันกับที่แอบยืนอยู่นอกประตูห้องในวันนั้น ต้าเซียนยังคงไม่ลืมสีหน้าเช่นนั้น สีหน้าที่บ่งบอกถึงความตกใจไปพร้อมๆกับความเจ็บปวด

           “แล้วตัวท่านเล่า ท่านรักเซียวถิงฟง แต่ท่านกลับทิ้งเขาไป”

           “นั่นเป็นเพราะข้ากับเซียวถิงฟงต่างกันเกินไป อีกทั้งข้ายังมีหน้าที่ที่ต้องกระทำ หากข้าไม่ไปจากเขา เกรงว่าสุดท้ายเขาก็ต้องเดือดร้อนเพราะข้าอยู่ดี” ต้าเซียนตอบเสียงเรียบ

           รัชทายาทหนุ่มชะงักจอกเหล้าในมือ ดวงตาหม่นแสงไปวูบหนึ่ง “ข้าก็เช่นกัน ข้ากับนางต่างกันเกินไป นางเองก็มิเคยได้รู้ความจริง และหากข้ามิวางตัวนิ่งเฉย ไม่แสดงท่าทีเย็นชาต่อนาง เกรงว่านางจะต้องโทษตัวเอง สุดท้ายก็มิอาจฝืนทนอยู่ได้อีก”

           “ช่างเถิดเรื่องราวย้อนกลับมามิได้ หลานข้าได้แต่ต้องทำใจ” เขากล่าวพร้อมกับรินเหล้าในจอกที่พร่องลง ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังแล้วก็หัวเราะขึ้นน้อยๆ ทำเอาเหล่าคุณหนูที่ยืนอยู่ใกล้ๆต่างมองรอยยิ้มหวานนั้นกันอย่างเซื่องซึม
 
           “อย่าว่าแต่ข้ามีเรื่องทุกข์ใจ ไป๋เซ่อเองก็เช่นกัน เขาเอาแต่ร่ำไห้เรื่องที่หลายวันก่อนท่านสั่งห้ามมิให้เขาติดตามท่านอีกต่อไป เรื่องนี้ทำให้เขาบ่นเสียจนขี้หูข้าเต้นระบำ ซ้ำยังตะเบ็งเสียงลั่นไปทั่วตำหนักข้าว่า เขามิยินยอมติดตามข้าเป็นแน่” องค์รัชทายาทกล่าวติดตลก ท่าทีเศร้าโศกคลายลงบ้างแล้ว
 
           “อีกไม่นานเขาจะยอมรับท่านเอง ท่านกับไป๋เซ่อมีวาสนาต่อกัน หากไป๋เซ่อติดตามท่านไปจะเป็นผลดีต่อตัวเขาเสียมากกว่า”

           “วาสนา วาสนาแบบไหนกัน ข้าฟังแล้วขนลุกชอบกล” ซวนหยวนหมิงไท่ทำสีหน้าฉงนแล้วแสร้งทำท่าทีหนาวสั่น สองมือยกกอดตัวเอง

           ต้าเซียนยิ้มกล่าว “ภายภาคหน้าท่านคงได้พึ่งเขา และเขาก็ต้องพึ่งท่านอย่างแน่นอน ข้ากล่าวได้เพียงเท่านี้”

           ประจวบเหมาะกับเสียงของขบวนแห่คู่หมั้นดังขึ้นที่หน้าประตูจวน ทำให้การสนทนาของทั้งคู่ต้องยุติลง ขบวนเกี้ยวสีแดงสดมาถึงที่หมาย แต่ที่น่าสะดุดตากลับเป็นผู้นำขบวนที่เป็นชายในชุดสีน้ำเงินเข้มดูภูมิฐาน คนผู้นี้มาถึงก็พลิกกายลงจากหลังม้า ครั้นแม่สื่อพยุงองค์หญิงในอาภรณ์สีแดงเข้ามาใกล้ เขาก็แสดงท่าทีปั้นปึ่งเดินเข้าไปยังในจวนตระกูลเซียวอย่างมิใคร่ใส่ใจ จนคนในงานต้องหลีกทางให้อย่างงงๆ

           ผิดกับเซียวถิงฟงสบสายตาของเฟยหลง หรือที่ใครๆพากันเข้าใจว่าเป็นองค์ชายซวนหยวนหย่าเซิง แลอีกฝ่ายเองก็มองกลับอย่างฟาดฟัน ต่างคนต่างไม่ลดละ จวบจนกระทั่งร่างของทั้งคู่ล่วงเลยผ่านไป

           เจ้าของดวงตาดุจพญาอินทรีกวาดมองคราหนึ่งก็พบร่างบางในอาภรณ์สีม่วงอ่อน ผู้ซึ่งเปล่งประกายงดงามสว่างไหวกว่าใครในสามพิภพนี้

           เห็นประกายตาดุดันที่มองมาของอีกฝ่าย ซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบกล่าว “ข้าควรไปตามหาไป๋เซ่อแล้ว มิฉะนั้นเขาอาจก่อปัญหาในพิธีหมั้นได้ ข้าขอตัว”

           “อืม” เขาตอบรับสั้นๆ

           “ต้าเซียน” เฟยหลงร้องเรียกอย่างเบิกบานใจ ผิดกับท่าทีที่แสดงต่อผู้อื่นราวกับหลังมือ

           ต้าเซียนยิ้มแห้งๆ พอดีกับที่เจ้าของงานหมั้นก้าวเข้ามาถึงด้านใน สตรีย่างก้าวเข้ามาด้วยชุดหมั้นหรูหรา บางครายังเผยรอยยิ้มภายใต้คลุมสีแดง ผิดกับฝ่ายชายที่จ้องตรงมาด้วยสายตาที่ร้อนระอุ ทำให้สบมองแล้วเกิดเป็นคำถามขึ้นในใจ

           เจ้ามองข้าด้วยความรู้สึกแบบไหนกัน โกรธกระนั้นหรือ?

           มาตรว่าเซียวถิงฟงจะอยู่ข้างกายหย่าเหลียน หากแต่หัวใจกลับมิอาจแปรเปลี่ยนไปจากคนผู้หนึ่ง ทำได้เพียงเฝ้ามองร่างน้อยอย่างหึงหวง...ทำไมถึงไม่ใช่ตัวข้าที่ยืนอยู่เคียงข้างเจ้า

           ด้านเฟยหลงเองก็สังเกตเห็นสายตาที่มองผ่านเลยตนไป ทั้งยังบ่งบอกถึงความสับสน ความไม่พอใจพวยพุ่งในอก มิอาจห้ามความรู้สึกที่ราวกับไฟแผดเผาในใจได้อีก เขาเลื่อนมือขึ้นปิดที่ดวงตาคู่งามเอาไว้

           ดวงตาที่ฉายให้เห็นร่างสูงถูกปิดสนิท แปรเปลี่ยนเป็นความมืด พร้อมๆกับความรู้สึกรวดร้าวที่หลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของเขา

           ไม่ มองข้า อยู่เคียงข้างข้า อย่าจากข้าไป

           “ข้าอยู่ที่นี่” ต้าเซียนกล่าวทั้งๆที่ยังถูกปิดตาอยู่

           ได้ยินดังนั้นเฟยหลงก็ยอมเลื่อนมือลงจากดวงตาคู่งาม “ท่านมหาเทพ อย่าได้มองใครอื่น ได้โปรดมองข้าเพียงผู้เดียว หากมิเป็นเช่นนั้น ข้าก็มิอาจควบคุมตัวเองได้อีก” เขากล่าวเสียงเข้ม ดวงตาแดงก่ำก้มทอดมองลงพื้น

           “อืม ข้ากำลังมองเจ้าอยู่”

           สิ้นเสียงดังกล่าว เฟยหลงก็เงยหน้าขึ้นพร้อมประกายตาที่สุกใส เขากอบกุมสองมือนุ่มนวล แล้วกล่าวน้ำเสียงอ่อน “อยู่เคียงข้างข้า อย่าจากข้าไป”

           คล้ายกับมีบางสิ่งกระตุ้นให้รู้สึกแปลกประหลาด ดวงตาเขาเลิกขึ้นน้อยๆฉายแววสงสัย มีสิ่งใดที่แปลกไป ต้าเซียนครุ่นคิด ทว่ายิ่งคิดกลับยิ่งไร้คำตอบ

           “เราไปกันเถอะ ที่นี่วุ่นวายนัก เราไปหาที่สงบๆกันเถิด”

           เฟยหลงกล่าวขึ้นทำให้เขารู้สึกตัวอีกครั้ง จากนั้นมือก็ถูกกอบกุมไว้ก่อนชักนำให้ออกห่างไปจากผู้คน ต่อเมื่อเบื้องหน้าปรากฏเสียงร้องโวยวาย ฝีเท้าเบาบางก็มีอันหยุดชะงักก่อนเปลี่ยนเป็นตรงรี่ไปยังต้นเสียง ยังผลให้มือที่จับกุมต้องเลื่อนหลุดออก เฟยหลงจำใจหยุดลงอย่างมิเต็มใจสักเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็ยังติดตามอีกฝ่ายไปอยู่ดี

           “ไม่ ข้าไม่เข้าใจ ทำไมท่านมหาเทพต้องทิ้งข้าไปด้วย” เสียงร่ำไห้อย่างหดหู่ของไป๋เซ่อดังไปทั่วบริเวณ ดีที่ในงานมีเสียงอึกทึกจึงพอกลบเสียงเหล่านี้ลงไปได้บ้าง

           “ไป๋เซ่อ เจ้าหยุดร้องเถิด ก็คิดเสียว่าต้าเซียนฝากเจ้าไว้กับข้าชั่วคราวก็แล้วกัน” ซวนหยวนหมิงไท่พยายามปลอบ หากแต่ยังมีหญิงสาวอีกคนที่ยืนกอดอกพูดอย่างรำคาญใจ

           “หากเจ้ายังไม่หยุดร้อง ข้าจะไปแล้วนะ”

           “ถิงถิง แม้แต่เจ้าก็คิดที่จะทิ้งข้าไป โฮ” ไป๋เซ่อเบะปากร่ำไห้หนักกว่าเดิม องค์รัชทายาทถึงกับเหงื่อตกนั่งปลอบไป๋เซ่อพัลวัน คงไม่มีใครคาดคิดว่าบุคคลระดับรัชทายาทต้องมีวันมาตกอยู่ในสภาพพี่เลี้ยงแน่ๆ

           ครั้นเมื่อเข้าไปหาก็พบไป๋เซ่อในร่างมนุษย์กำลังนั่งกอดไหเล็กๆไว้กับอก ใบหน้ายังแดงก่ำไปด้วยฤทธิ์สุรา ต้าเซียนเห็นแล้วก็อดส่ายหน้ามิได้ เขากับไป๋เซ่อผูกพันกันมาหลายพันปี มีหรือที่จะทิ้งไป๋เซ่อได้ลงคอ หากแต่เพื่ออนาคตของไป๋เซ่อ เขาจึงจำต้องทำเช่นนี้

           “เหตุใดจึงได้เหลวไหลเช่นนี้” เสียงตวาดอันทรงพลังดังขึ้น ไป๋เซ่อถึงกับสะดุ้งสุดตัว ยังผลให้ปล่อยป้านสุราลงจนตกแตกกับพื้น ด้านซวนหยวนหมิงไท่และถิงถิงต่างเหลียวหลังกลับมามองทางต้นเสียง

           “ท่านมหาเทพ ข้าผิดไปแล้ว อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว” ไป๋เซ่อร้องพลางคลานเข่าเข้ามากอดขาข้างหนึ่งของท่านมหาเทพไว้

           “เจ้ารู้โทษของเจ้ารึไม่” ต้าเซียนกล่าวเสียงดุ ทำให้ไป๋เซ่อนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะขึ้นเสียงเถียงอย่างไม่เข้าใจ

           “ไม่ ข้าทำผิดอะไร เหตุใดท่านมหาเทพจึงต้องสั่งให้ข้าติดตามมนุษย์พวกนี้ด้วย”

           ต้าเซียนฟังแล้วก็แสร้งใจดำ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดโทษกล่าวน้ำเสียงราบเรียบที่เปรียบเสมือนดั่งประกาศิต “หนึ่ง ไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้า ผู้นำสูงสุดของพิภพสวรรค์ สอง ประพฤติตนเหลวไหล มีสถานะเป็นถึงเซียนกลับดื่มสุราจนขาดสติ ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ทั้งยังเป็นเหตุสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เหตุผลสามประการนี้เจ้ายังมิยอมรับอีกรึ”

           ครานี้สีหน้าที่แดงก่ำด้วยพิษของสุรากลับต้องแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวดั่งกระดาษ ไป๋เซ่อได้แต่นิ่งเงียบนั่งคุกเข่า ดวงหน้ามีแววตกตะลึงสุดขีดเนื่องด้วยชะงักติดหลัง ต้าเซียนมองดูก็รู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้าสำนึกในความผิดแล้ว แม้ในใจจะรู้สึกสงสาร แต่หากเมื่อตนไม่อยู่ เขาก็มิอาจทนให้ไป๋เซ่อต้องไร้ที่พึ่งได้อีก ดังนั้นจึงกล่าวสืบต่อ “หากเจ้ารู้สำนึกแล้ว ก็จงทำตามคำสั่ง นับแต่นี้ให้เจ้าติดตามองค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่โดยไม่มีข้อแม้” เขาลั่นวาจาหนักแน่น ส่งผลให้คนรอบข้างต้องรู้สึกเกร็ง เจ้าของนามทั้งสองก็ออกอาการเงียบขรึมไป

           “ไม่ ข้าไม่ยอมรับ ข้าอยากไปกับท่าน เดิมทีเป็นท่านที่เก็บข้ามา ไยตอนนี้ท่านจึงต้องทิ้งขว้างข้าด้วย ข้าไม่ยอม” ไป๋เซ่อก้มหน้าลงจนหน้าผากจรดกับพื้น สองมือกำแน่นอย่างเจ็บปวดใจ พื้นดินเริ่มเปียกชื้นเนื่องด้วยน้ำตาที่หลั่งชโลม
ต้าเซียนตกตะลึงวูบ ด้วยไม่คาดคิดว่าจะทำให้ไป๋เซ่อเจ็บปวดถึงเพียงนี้ เขามองเด็กหนุ่มในชุดสีเขียวอ่อนที่คุกเข่ากับพื้นอย่างสงสาร หากแต่เขาทำได้เพียงพร่ำกล่าวขอโทษในใจ

           ข้าขอโทษ ไป๋เซ่อ หากเป็นไปได้ ข้าก็มิอยากทำเช่นนี้ แต่เพื่อเจ้าแล้วข้าต้องทำ ข้าจำเป็นต้องตัดขาดกับคนที่เกี่ยวข้องกับข้าทั้งหมด

           “เขาเป็นของข้าเพียงผู้เดียว”

           จู่ๆความรู้สึกรุนแรงของคนผู้หนึ่งก็หลั่งไหลเข้ามาในใจอีกครั้น ต้าเซียนพลันจับกระแสความรู้สึกนี้ไว้ทัน มันเป็นความรู้สึกรุนแรงที่มีต่อตัวเขา และเป็นเพลาเพียงชั่วลัดนิ้วที่เขาสัมผัสได้

           “รึเป็นเพราะเจ้า เฟยหลง เจ้าอย่าแกล้งทำเป็นไขสือ ตั้งแต่วันที่ท่านมหาเทพอยู่ในจวนของเจ้า กลิ่นอายของท่านก็เปลี่ยนไป จากที่เคยมีกลิ่นอายของมนุษย์ แต่จู่ๆก็มีกลิ่นอายของเจ้าแทน เจ้าทำอะไรกับท่านมหาเทพกันแน่” ไป๋เซ่อที่สะกดกลั้นมานานก็โพล่งกล่าวถึงสิ่งที่สงสัยออกมาจนหมด กระทั่งเรื่องนี้ตนก็มิเคยกล่าวถามท่านมหาเทพเลยสักครั้ง

           ต้าเซียนถึงกับเบิกตากว้าง ดูเหมือนว่ามีอะไรอีกหลายอย่างที่เขามองข้ามไป นับตั้งแต่ที่เฟยหลงได้ช่วยถ่ายเทพลังเพื่อรักษาหัวใจในร่างนี้ไว้ มาตอนนี้กลิ่นอายพลังของอีกฝ่ายสมควรจะสลายไปได้แล้วนี่

           ด้านเฟยหลงเมื่อถูกพาดพิงก็เดินเข้าไปหาไป๋เซ่อ ก่อนผุดรอยยิ้มออกมา “แน่นอน ท่านมหาเทพเปลี่ยนไป เพราะท่านรักข้า”

           ไป๋เซ่อตะลึงงันอย่างไม่เชื่อหู ได้แต่หันไปมองใบหน้าของท่านมหาเทพอย่างต้องการคำอธิบาย หากแต่ตอนนี้ต้าเซียนก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน สมองของเขาคล้ายผุดคำถามมากมายที่ยากที่จะเข้าใจได้

           ความรู้สึกรัก ความรู้สึกต้องการครอบครอง ความรู้สึกรุนแรงนี้ใช่เป็นของเซียวถิงฟงแน่หรือ ทั้งๆที่ตอนนี้เขากำลังอยู่ในงานหมั้น กระนั้นแล้วเขายังคงเกิดความรู้สึกเยี่ยงนี้ได้อีกหรือ ต้าเซียนคิด

           “ไป๋เซ่อ ใจของท่านมหาเทพนั้นเป็นของข้า เจ้าได้แต่ยอมรับ”

           เฟยหลงกล่าวอย่างเต็มปาก ส่งผลให้ต้าเซียนต้องหันไปมองด้วยความสะกิดใจ แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ตัว สีหน้าของเขาก็กลับมาราบเรียบอีกครั้ง ซึ่งอาจมีคนเพียงผู้เดียวที่มองเห็นความเป็นไปเมื่อสักครู่นี้ ต้าเซียนมองซวนหยวนหมิงไท่อย่างมีความในใจ แลอีกฝ่ายก็มองตอบด้วยเช่นกัน 

           “ไป๋เซ่อพอได้แล้ว ในเมื่อเจ้าเองมิสำนึก ข้าจักต้องลงโทษเจ้า จากนี้ไปหากเจ้ายังมิอาจเปิดใจให้กับซวนหยวนหมิงไท่ได้ เจ้าก็มิอาจกลับคืนร่างเดิมได้อีก” ต้าเซียนขึ้นเสียง ไม่เปิดโอกาสให้ไป๋เซ่อได้คัดค้านอีกต่อไป เขาสะบัดปลายนิ้วเรียว จนเกิดเป็นลำแสงสีทองพุ่งตรงไปยังอีกฝ่าย

           ด้านไป๋เซ่อที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกลำแสงนี้ นำพาให้ร่างลอยวนเหนือพื้นดิน ก่อนแปรเปลี่ยนกลับไปอยู่ในร่างของงูเผือกอย่างช้าๆ แลไม่นานมันก็ค่อยๆหดตัวเล็กลงจนมีขนาดเท่ากับกำไลข้อมืออันหนึ่ง

           ต้าเซียนใช้มือหนึ่งรับเอากำไลหิน จากนั้นมุ่งตรงไปยังซวนหยวนหมิงไท่ แต่มิคาดว่าถิงถิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆกลับก้าวเข้ามาตวาดเสียงใส่

           “เจ้าร้ายกาจยิ่ง เจ้าทิ้งนายน้อยที่รักเจ้าไม่พอ ตอนนี้ยังจะทอดทิ้งบุคคลที่ติดตามเจ้าทั้งยังภักดีต่อเจ้าอย่างไม่ลืมหูลืมตา” น้ำเสียงของถิงถิงคล้ายกับจะร้องไห้ นางเกลียดการถูกทอดทิ้ง จึงกล่าวโทษต้าเซียนด้วยสายตาแดงก่ำ ทั้งที่นายน้อยไม่ได้คิดอยากจะแต่งงานกับองค์หญิงแท้ๆ

           ต้าเซียนฟังแล้วก็รู้สึกเจ็บหนึบที่หน้าอก ถูกแล้ว นางกล่าวได้ถูกต้อง เป็นเขาที่ผิดเอง พลันสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นจึงก้าวผ่านนางไปอย่างมิใส่ใจ “แต่นี้ไปข้าขอฝากไป๋เซ่อด้วย” กล่าวพลางยื่นกำไลหินให้แก่ผู้เป็นนายใหม่

           ซวนหยวนหมิงไท่รับมาโดยมิได้กล่าววาจาอันใด เพียงมองของในมือเงียบๆ กำไลหินนี้ยังคงรูปรางดุจคราแรกที่ได้เห็น เว้นแต่เพียงพลอยเล็กๆสีขาวใสที่ประดับอยู่ตรงหางตาสีฟ้าอมเขียว ดูคล้ายกับรอยน้ำตา

           “ข้ารับปากว่าจะดูแลเขาอย่างดี แต่จะอย่างไรข้าเพียงรับฝากเขาไว้ชั่วคราวเท่านั้น” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าว
ได้ยินเช่นนั้นต้าเซียนก็วางใจแล้ว


***************************************************


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 22.2 ความโดดเดี่ยว


           งานเลี้ยงมีเริ่มก็ย่อมต้องมีสิ้นสุด แขกเหรื่อขุนนางต่างเริ่มทยอยกลับออกจากงาน ใต้เท้าเซียวถิงหลี่และพ่อบ้านตระกูลเซียวจึงคอยรอส่งแขกเหรื่อกลับบ้านโดยปราศจากเงาร่างของเซียวถิงฟง

           ภายในจวนกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง ถ้วยชามรวมถึงขวดสุราต่างวางกระจัดกระจายอยู่ตามโต๊ะ หญิงรับใช้พากันเก็บทำความสะอาดกันอย่างขะมักเขม้น ด้านข้ารับใช้ชายก็พากันดึงเอาผ้าสีแดงที่ประดับรอบๆจวนออก

           ต้าเซียนมองดูความวุ่นวายนี้แล้วจึงตัดสินใจกลับไปที่เรือน เนื่องด้วยมีเรื่องที่ต้องทบทวนให้เข้าใจ และหากตัวเขายังคงอยู่ที่นี่ ก็คงเป็นได้แค่ตัวเกะกะเสียเปล่า ด้านเฟยหลงเองก็ต้องนำพาองค์หญิงหย่าเหลียนกลับไปยังวังหลวง มาตรว่าจะไม่ค่อยพอใจ แต่ก็จำต้องกระทำอันเป็นเพราะรูปลักษณ์ขององค์ชายซวนหยวนหย่าเซิง ทว่าเขากลับรู้สึกโล่งใจอยู่ลึกๆ

           ยิ่งเดินห่างออกจากใจกลางจวนมากเท่าไหร่ ความเงียบก็ยิ่งคืบคลานเข้าใกล้ ความรู้สึกโดดเดี่ยวเริ่มถาโถมตัวเขาอีกครั้ง เขาพลันยิ้มขบขันตัวเอง เขาที่ตัดขาดจากเหล่าเทพเซียนบนพิภพสวรรค์ ขับไล่กระทั่งไป๋เซ่อ แม้แต่เซียวถิงฟงเองก็เช่นกัน ความจริงเขาควรจะชินชากับความรู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนี้ได้แล้ว แต่ไฉนใจยังคงรู้สึกเศร้า

          หากไม่อยากยิ้ม ก็จงอย่าฝืน เหมือนว่าเคยมีใครบางคนกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ไว้ ต้าเซียนเผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากที่กำลังยกยิ้มอยู่ “เจ้าจะรู้บ้างไหม หากข้าไม่ฝืนยิ้มเช่นนี้แล้ว เกรงว่าบางสิ่งในตัวข้าอาจจะพังทลายลงได้” เขากล่าวพึมพำ แม้ไม่อยากนึกถึงแต่กลับมิอาจห้ามใจได้ เขาพลันเข้าใจความรู้สึกของเฟยหลง การที่รักใครสักคนแล้วกลับต้องทุกข์ทรมาน ด้วยความรู้สึกที่มิอาจเป็นจริงได้นั้นเป็นเช่นไร

           เมื่อกลับถึงเรือนพัก ต้าเซียนกลับพานพบคนผู้หนึ่งโดยไม่คาดคิด ชายในชุดสีแดงเข้มยืนพิงเสาหน้าห้องด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ ร่างสูงคล้ายยืนรออยู่เนิ่นนานแล้ว รอจนกระทั่งสายตาดุจพยัคฆ์ดุร้ายสบเข้าที่ตน เขาก็ชะงักฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว ทั้งยังไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังทำสีหน้าแบบใดอยู่

           “เจ้าไปยังที่ใดมา เหตุใดจึงพึ่งกลับ”

           เสียงนั้นกล่าวตวาดทั้งเต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะ เขามิได้เห็นเซียวถิงฟงที่อารมณ์รุนแรงแบบนี้มานานแล้ว จึงไม่ตอบทั้งยังบังคับให้ฝีเท้าก้าวไปยังตรงหน้า กระทั่งเดินผ่านร่างของเซียวถิงฟงไป

           “เหตุใดจึงไม่ตอบ ทั้งๆที่บอกจะยินดีกับข้า แต่กระทั่งงานหมั้น เจ้าก็กลับมิยอมอยู่ร่วม” เซียวถิงฟงกล่าวประชด หากแต่ในใจนึกตัดพ้อ...ความจริงแล้วเจ้าไม่เคยรู้สึกรักข้าบ้างเลยใช่รึไม่

           “เป็นเพราะเจ้าต้องต้อนรับแขกมากมาย จึงมิอาจเห็นข้าเอง” ต้าเซียนกล่าวสั้นๆพร้อมกับผลักบานประตูให้เปิดออก ทว่าประตูเปิดออกเพียงไม่กี่หุน เซียวถิงฟงก็กระชากเสียงดังขึ้นมาอีก

           “เฮอะ มิใช่ว่าเจ้ากำลังพลอดรักอยู่กับชายอื่นรึ”

           ต้าเซียนรู้สึกราวกับพื้นกำลังถล่ม แต่กระนั้นก็ยังคงพยายามควบคุมโทสะในใจ เขากล่าวเนิบนาบ “เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร ข้าไม่เข้าใจ คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้าเองก็คงเหนื่อย ฉะนั้นกลับไปเสียเถิด”

           กล่าวตัดบทพร้อมก้าวเข้าห้องไปอย่างไม่ไยดี แต่แล้วในจังหวะหนึ่งเซียวถิงฟงก็ฉุดรั้งกายเขาให้กลับมาเผชิญหน้า ต้าเซียนเตรียมจะแผดเสียงใส่ แต่แล้วก็ทำได้เพียงเบิกตากว้างอย่างตกใจ

           เซียวถิงฟงประกบริมฝีปากเข้าอย่างรุนแรง สองมือกอดรัดร่างน้อยไว้ คล้ายต้องการบอกให้รู้ว่าเขาเจ็บปวด กระทั่งต้าเซียนมิอาจขัดขืนได้อีก สัมผัสจุมพิตจึงค่อยๆเบาบางลงจนกลายเป็นอ่อนโยน สองแขนกำยำของเขาผ่อนแรงลง ส่งผลให้ปราการคุมขังหละหลวมขึ้น

           ต้าเซียนฉวยโอกาสผลักร่างชายหนุ่มออกไปโดยแรง ก่อนชี้หน้าตวาดเสียงดัง “เจ้าบังอาจล่วงเกินข้า” ความอดทนของเขาย่อมมีจำกัด แม้ตนจะชอบอีกฝ่าย แต่ก็มิได้ต้องยอมถูกบังคับกระทำการล่วงเกินแบบนี้ได้

           “ทำไม รึมีแต่จอมมารเฟยหลงที่ทำแบบนี้ได้” เซียวถิงฟงสวนกลับ

           ความโกรธจึงพุ่งขึ้นถึงขีดสุด “ใช่ เพียงเจ้าที่มิอาจทำได้ แล้วจะทำไม” ครานี้ต้าเซียนละทิ้งซึ่งหน้ากากเดิมของมหาเทพแล้ว กลับกลายเป็นตัวตนจริงๆ หรือบุคคลธรรมดาที่มิเก็บงำความโกรธและความเสียใจอีก

           “อย่าได้บังอาจกล่าวคำเช่นนั้น ต่อหน้าข้าอีกเป็นอันขาด” เซียวถิงฟงกัดฟันกรอด แต่ดูเหมือนว่ายิ่งพูดกลับเสมือนยิ่งยุ

           “ใช่ มีเจ้าเพียงคนเดียว ที่มิอาจล่วงเกินข้าได้ ได้ยินชัดไหม” ต้าเซียนกล่าวย้ำ แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงสายตารุนแรงเฉกเช่นพยัคฆ์ดุร้ายที่พร้อมจะตรงเข้าขย้ำเหยื่อตรงหน้าได้ทุกเมื่อ 

           เซียวถิงฟงเองก็หมดความอดทนแล้วเช่นกัน ในเมื่อต้าเซียนไม่ยอมเชื่อฟัง เขาก็จะทำให้เจ้าตัวรู้สึกเอง หากเขาเป็นบุคคลเพียงผู้เดียวที่มิอาจสัมผัสร่างน้อยได้ เขาก็จะทำให้เห็นว่าเขาสามารถ

           ร่างสูงก้าวย่างสามขุมเข้ามาอย่างเย็นชา ดวงตาที่วาวโรจน์คู่นั้นทำให้ต้าเซียนพรั่นใจก้าวถอยหลังไปโดยมิรู้ตัว แลในพริบตานั้นชายหนุ่มก็โถมตัวเข้าหา พันธนาการข้อมือเขาไว้ราวกับโซ่ตรวน แผ่นหลังถูกดันจนประชิดเข้ากับโต๊ะกลม

           จากนั้นการลงทัณฑ์ก็เริ่มต้นอย่างสาสม เซียวถิงฟงก้มระดมจูบต้าเซียนอย่างบ้าคลั่ง ไม่ใส่ใจแม้ร่างน้อยจะกัดริมฝีปากเขาจนรู้สึกถึงรสเลือด รอจนตักตวงความสุขสมได้สำเร็จก็หันมาซุกไซร้ที่ซอกคอหวาน ต่อเมื่อจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นดอกบัวอ่อนๆ ก็ยิ่งมิอาจควบคุมสติมิให้กลืนกินร่างน้อยตรงหน้าได้ เขาอ้าปากกัดเข้าที่ลำคอระหง

           “หยุด ถิงฟงหยุด” มาตรว่าจะร้องดังแค่ไหน เซียวถิงฟงก็มิยอมปละปล่อย อาภรณ์สีม่วงถูกกระชากออกจนเผยให้เห็นถึงวงไหล่ขาวเนียน ชายหนุ่มพรมจูบไปมาไม่หยุด ต้าเซียนยิ่งเสียขวัญ

           ไม่ ถิงฟงมิเคยเป็นเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ถิงฟงที่เขารู้จัก บังเกิดเป็นความรู้สึกหวาดกลัว “คะ ใคร ใครก็ได้ ช่วยยด้วย” เขาร่ำร้องจนดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำ หวังให้ใครสักคนยื่นมือเข้ามาช่วยไว้ จวบจนนึกถึงคนผู้หนึ่งซึ่งคอยติดตามเขาอยู่ตลอด

           “ไป๋เซ่อ ไป๋เซ่อ” ทว่าร้องเรียกเพียงสองคำ สมองก็พลันตกอยู่ในห้วงลึก ความโดดเดี่ยวกลืนกินจิตใจลึกขึ้นเรื่อยๆ เป็นเขาที่ทำให้ไป๋เซ่อต้องกลายรูปเป็นกำไลหินมิใช่หรือ เป็นเขาที่ทอดทิ้งเหล่าเทพเซียนอย่างไร้ความรับผิดชอบ และยังเป็นเขาที่บีบคั้นเฟยหลงต้อนให้อีกฝ่ายจนมุมกระทั่งต้องเลือกเดินทางสายมาร แม้แต่เซียวถิงฟงเอง เขาก็เป็นผู้ทำลายความรักที่ชายหนุ่มมีให้อย่างสิ้นเชิง ...สาสมแล้ว

           สองมือที่ดิ้นรนไม่หยุด มาบัดนี้กลับดูอ่อนแรงทั้งยังวางเฉย เซียวถิงฟงชะงักหยุดลงด้วยความแปลกใจ ก่อนจะแลเห็นดวงตาสีน้ำตาลที่ดูเคว้งคว้างว่างเปล่า ร่องรอยของสายน้ำตายังคงพาดเป็นสาย เขาถึงกับตกใจ ใช้สองมือพยุงใบหน้านวลขึ้นไว้อย่างอ่อนโยน

           “ต้าเซียน ต้าเซียน เจ้าเป็นอะไรไป ต้าเซียน” เขย่าตัวร่างน้อยเบาๆเพื่อเรียกสติ หากแต่เจ้าตัวกลับไม่แม้แต่จะกะพริบสักนิด

           นี่ข้า...ข้าทำอะไรลงไป ความรู้สึกผิดเข้าถาโถมจิตใจ

           “ข้าขอโทษต้าเซียน ได้โปรดอย่าเป็นแบบนี้ ข้ากลัวนะ” เซียวถิงฟงกล่าวน้ำเสียงสั่น ทั้งโอบอุ้มต้าเซียนไว้แล้วพร่ำเรียกเพียงแต่ชื่อของอีกฝ่ายอยู่เนิ่นนาน

           น้ำเสียงอบอุ่นคุ้นเคยแว่วดังอยู่ข้างหู ทั้งยังพร่ำเรียกอย่างห่วงหา ต้าเซียนรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่า เซียวถิงฟงยังคงนั่งกอดเขาอยู่บนเตียงไว้แน่น แม้ดวงตาจะปิดสนิทลง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเหน็ดเหนื่อย

           มือน้อยเอื้อมสัมผัสใบหน้าคมเข้มอย่างแผ่วเบา ขอแค่เพลานี้เท่านั้น ที่ข้าจะได้ทำตามหัวใจตัวเอง ต้าเซียนคิดพลางซบลงที่อกแกร่ง ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ ไม่นานเปลือกตาก็หลับลงอีกครั้ง

           หากถึงพรุ่งนี้เช้าเมื่อไหร่ ข้าจะต้องไปจากเจ้า...เซียวถิงฟง


******************************************************


           แสงอัสดงลอดผ่านเข้ามายังทางหน้าต่าง เซียวถิงฟงค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างแช่มช้า แต่แล้วก็ต้องรู้สึกเย็นเยียบไปทั่วกาย เมื่อเรือนแห่งนี้ปราศจากเงาของร่างน้อยไปแล้ว ความเจ็บปวดเริ่มแผ่เข้ามาในหัวใจเสมือนถูกกรีดอย่างช้าๆ สองตาแดงก่ำฝืนปิดมันแน่นเพื่อทนรับความร้าวรานข้างในอก ตอนนี้เขารู้ตัวแล้ว เขามิอาจฝืนรั้งร่างน้อยได้อีกต่อไป

           “นายน้อย”

           เสียงเรียกของถิงถิงดังขึ้นอยู่ใกล้ๆ หากแต่ไม่รู้ว่านางเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด ทว่าเขาก็ยังคงเงียบงัน จนกระทั่งพักหนึ่งก็ลืมตาขึ้น

           “นายน้อย” หยาดน้ำตาอุ่นร้อนของถิงถิงเอ่อขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าที่เรียบเฉย หากแต่ในดวงตาพยัคฆ์กลับทุกข์หม่นเศร้า

           “มีอะไรรึ ถิงถิง” น้ำเสียงอ่อนแรงถูกเอ่ยออกจากปากบุคคลที่ไม่เคยยอมแพ้กับสิ่งใดง่ายๆ ถิงถิงฟังแล้วเหมือนจุกอยู่ในอก

           “ท่านจะไม่บอกเขาจริงๆรึ” นางกล่าวถามทั้งน้ำตาที่คลอเบ้า หลายวันก่อนนางในร่างแมวได้เข้าไปในห้องของชายหนุ่ม แล้วบังเอิญพบฎีกาฉบับหนึ่งที่ถูกพับเก็บซุกซ่อนไว้

           “บอกรึไม่ มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว” เซียวถิงฟงหัวเราะน้อยๆด้วยสมเพชตัวเอง เดิมทีตนรับปากแต่งงานกับหย่าเหลียนไว้ก็เพียงเพื่อให้นางมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป และไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน เขาก็จะพยายามหาวิธีรักษานางให้ได้

           ซึ่งหากวันใดวันหนึ่งเขาทำสำเร็จ ก็จะถือโอกาสทูลขอราชโองการจากฝ่าบาท ไปเฝ้าประจำรักษาชายแดนฝั่งตะวันตกเพื่อหลบเลี่ยงพระราชทานสมรส จากนั้นเอ่ยปากชวนร่างน้อย แลไม่ย้อนกลับมายังวังหลวงอีก ด้านซวนหยวนหมิงไท่เองก็จะไม่ต้องกังวลกับเรื่องขุมกำลังของตระกูลเซิงอีกต่อไป แต่มาตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว

           สิ่งที่เขาคิดมันเป็นเพียงแค่ความเพ้อฝัน อีกทั้งยังโง่งม

           “แต่เขาอาจเข้าใจท่าน เขาต้องเข้าใจท่านแน่ๆ นายน้อย” ถิงถิงยังคงไม่ยอมแพ้ แต่เซียวถิงฟงกลับส่ายหน้า

           “เขาบอกกับข้าเอง เขามิมีวันอยู่ร่วมกับข้าได้ ดังนั้นไม่ว่าข้าจะแต่งงานกับหย่าเหลียนรึไม่ มันก็มิอาจเปลี่ยนความจริงที่ว่า เขาต้องไปจากข้าอยู่ดี” รู้สึกเหมือนหายใจได้อย่างยากเย็น บางทีสิ่งที่ทำให้เขาร้าวรานมากที่สุด อาจเป็นต้าเซียนเลือกที่จะจากเขาไป แล้วไปหาเฟยหลง “ข้า...ยังคงต้องจัดการเรื่องสุดท้าย” กล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากเรือนนอน เรือนที่คงจะไม่มีเงาร่างน้อยอีกต่อไป

           ถิงถิงได้แต่มองชายหนุ่มที่ค่อยๆเดินออกไป แม้อยากจะกล่าวปลอบสักเพียงใด แต่ตัวนางเองก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน แต่จะอย่างไรนางก็รู้ดีว่าเซียวถิงฟงเป็นคนเช่นไร บางทีหากย้อนเวลากลับไปได้ นางมิอยากให้เขาได้เอ่ยคำสัญญานั้น สัญญาที่ทำลายชีวิตตนเองในวันนี้

           .....................

           ............

           ....
 
           “ถิงถิง” นามใหม่ของตนดังขึ้น ทำให้นางที่หลับใหลต้องตื่นขึ้น มองเด็กหนุ่มหน้าตาคมคาย วัยสิบเจ็ดสิบแปดปีกำลังนั่งยองๆถือปลาย่างตัวหนึ่งส่งมาให้ ยังผลให้ท้องที่ว่างเปล่าร้องครวญครางในทันที ร่างเล็กกระจ้อยร้อยค่อยๆลุกขึ้น ใช้ศีรษะน้อยๆถูไถที่มือของเด็กหนุ่ม แล้วรับเอาปลาย่างในมือไป

           “วันหลังเจ้าไปนอนในห้องข้าดีกว่านะ หากยังนอนอยู่ตรงนี้ เกรงว่าคงโดนพวกเหล่าขันทีจับลงหม้อเข้าสักวัน” เซียวถิงฟงกล่าวขึ้นขณะนั่งยองๆใกล้พุ่มไม้รกสูงในมุมหนึ่งของอุทยานหลวง จากนั้นจึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะลูกแมวน้อยอย่างอ่อนโยน

           นางเป็นแค่ลูกแมวที่ถูกนำไปถวายให้แก่องค์หญิงน้อยองค์หนึ่งเพื่อเลี้ยงดูไว้คลายเหงา ทว่าเพียงไม่กี่วันตัวนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานอีก ทำให้นางกำนัลต้องนำนางมาปล่อยทิ้งไว้ที่นี่ โชคดีที่เด็กหนุ่มผู้นี้พบนางเข้าโดยบังเอิญในขณะที่นางส่งเสียงร้องด้วยความหิว จากนั้นมานางก็มิต้องเผชิญกับความหิวโหยอีก

           “โอ้ย เสด็จพี่หย่าเซิง หย่าเหลียนเจ็บนะ” เสียงร้องของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้เซียวถิงฟงที่ยังคงก้มตัวนั่งอยู่ต้องเอี้ยวตัวไปมองผ่านพุ่มไม้อย่างสนอกสนใจ

           “จะทำไม เจ้ามันก็แค่เด็กที่เสด็จแม่เก็บมาเลี้ยง” ซวนหยวนหย่าเซิงผลักตัวเด็กสาวให้ออกห่างจากตัวเอง จากนั้นนึกในใจอย่างโกรธๆ ใครใช้ให้นางกล้าทำให้เขาดูโง่เง่าต่อหน้าเสด็จพ่อกันเล่า

           “เสด็จพี่พูดกระไร หม่อมฉันไม่เข้าใจ” องค์หญิงหย่าเหลียนเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ ก่อนหน้านี้ทั้งนางและเสด็จพี่หย่าเซิงต่างไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อพร้อมกัน ต่อเมื่อเสด็จพ่อทดสอบเชาว์ปัญญา เสด็จพี่กลับได้แต่นั่งนิ่งเหงื่อตก ครั้นเห็นเสด็จพ่อมีสีพระพักตร์ไม่สู้ดี นางจึงตัดสินใจตอบคำถามแทนจนกระทั่งได้รับคำชมมา

           “ก็อย่างที่พูดนั่นแหละ เจ้ามันก็แค่ลูกเลี้ยงกล้าดีอย่างไรมาหักหน้าข้าเช่นนี้” พูดจบซวนหยวนหย่าเซิงก็เงื้อเท้าขึ้นใส่เด็กสาวที่พึ่งอายุสิบสองสิบสามปี เซียวถิงฟงเห็นดังนั้นก็รีบผละออกจากถิงถิง ตรงรี่ไปยังองค์ชายที่อายุอ่อนกว่าตนสองปี

           “โอ๊ย” เสียงร้องขององค์ชายซวนหยวนหย่าเซิงดังขึ้นแทน เมื่อร่างถูกคนคนหนึ่งกระแทกเข้าอย่างจังจนล้มลงกับพื้น

           “พี่ถิงฟง” หย่าเหลียนร้องขึ้นเมื่อเห็นเซียวถิงฟงเข้ามายืนบังร่างของนางไว้ ด้านเซียวถิงฟงก็ยิ้มกล่าวพลางเอื้อมมือไปฉุดร่างบอบบางขึ้น

           “มาลุกขึ้นเถอะ”

           “เจ้า...เจ้าเป็นใครกัน บังอาจทำร้ายข้าที่เป็นถึงองค์ชาย มีโทษสมควรตาย” องค์ชายหย่าเซิงขึ้นเสียงใส่เด็กหนุ่มเบื้องหน้า แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะกลัวตนสักนิด ใจจึงเริ่มฝ่อลง แต่แล้วเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นในสมองทำให้เขากระหยิ่มยิ้มย่องขึ้น

           “เกิดอะไรขึ้น” ฮองเฮาเซิงที่อยู่ในระหว่างเดินเล่นในอุทยานกล่าวถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของเด็กทั้งสามที่เสมือนกำลังมีเรื่องกันอยู่ ทางด้านเซียวถิงฟงพอแลเห็นขบวนของฮองเฮาเซิงและเหล่านางกำนัลที่เดินเข้ามาใกล้ก็คุกเข่าถวายพระพรทันที

           “เสด็จแม่ เจ้าคนโอหังผู้นี้บังอาจทำร้ายลูก เสด็จแม่ต้องสั่งโบยมันนะพะย่ะค่ะ” ซวนหยวนหย่าเซิงรีบกล่าวฟ้องทันที ทว่าหย่าเหลียนเองก็รีบกล่าวช่วยเซียวถิงฟงเช่นกัน

           “ไม่ใช่อย่างนั้นเสด็จแม่ พี่ถิงฟงเพียงแค่เข้ามาช่วยหม่อมฉันไว้เท่านั้นเอง”

           ฮองเฮาเซิงมองเด็กหนุ่มที่ยังคงคุกเข่านิ่งเงียบก่อนจะหันไปถามองค์หญิงหย่าเหลียน “เจ้าสนิทกับเด็กหนุ่มคนนี้รึ”

           หย่าเหลียนสะดุ้งเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่ามารดาจะถามคำถามนี้ นางรีบกล่าวตอบตามตรง “เพค่ะเสด็จแม่ พี่ถิงฟงมักมาเล่นเป็นเพื่อนลูกบ่อยๆ”

           “เจ้าเป็นบุตรชายของอัครเสนาบดีเซียวใช่รึไม่”

           “ใช่พะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นบุตรชายโทนของอัครเสนาบดีเซียวถิงหลี่”

           ฮองเฮาเซิงรับฟังเสร็จก็ยิ้มที่มุมปาก จ้องมองเซียวถิงฟงด้วยสายตายากที่จะคาดเดา “เช่นนั้นก็แล้วกันไปเถิด” กล่าวจบนางและเหล่านางกำนัลก็เดินกลับไปท่ามกลางเสียงร้องโวยวายขององค์ชายหย่าเซิง

           รอจนคนทั้งหมดจากไป หย่าเหลียนก็หันมากล่าวน้ำเสียงสั่น “พี่ถิงฟง ข้าขอโทษ ข้าเกือบทำให้ท่านต้องเดือดร้อนไปด้วย”

           “เด็กโง่ เจ้าก็เปรียบเสมือนน้องสาวของข้า เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก” เซียวถิงฟงหัวเราะแล้วลุกขึ้นอย่างสบายๆ แต่กระนั้นก็ยังคงเห็นดวงตาแดงก่ำที่คลอไปด้วยน้ำตา เขาถอนหายใจน้อยๆ “เจ้ายังคงคิดมากเรื่องที่เจ้าเด็กปากเสียนั่นพูดว่าเจ้าเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยง”

           “ฮิ ฮิ” ในที่สุดนางก็หลุดหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินสรรพนามที่กล่าวถึงพี่ชายของตน แต่หัวเราะได้ไม่นานนัก ใบหน้าของนางก็สลดลงอีกครั้ง เป็นอย่างที่เซียวถิงฟงพูด นางคิดมากเรื่องดังกล่าวจริงๆ “พี่ถิงฟง ข้ากลัว กลัวว่าข้าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพียงลำพังที่นี่” นางกล่าวน้ำเสียงสั่นคลอน เป็นเพราะความเพิกเฉย ทั้งไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว ทำให้นางทุกข์ทรมานใจมาตลอด

           “เจ้าจะกลัวอะไร มีข้าอยู่ด้วยทั้งคน หากมีใครกล้าทำร้ายเจ้า จงรีบบอกข้า ข้าจะไปสั่งสอนมันผู้นั้นให้เอง” เขากล่าวอย่างมีอารมณ์ แต่พอพูดจบก็เอื้อมมือไปสัมผัสที่ศีรษะน้อยของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการปลอบ

           ได้ยินเช่นนั้น น้ำตาของนางก็ไหลพราก “พี่ถิงฟง รับปากข้า ไม่ว่าอย่างไรก็ได้โปรดอย่าทอดทิ้งข้าไป” กล่าวจบนางก็กอดเซียวถิงฟงไว้แน่น นางกอดบุคคลเพียงคนเดียวที่ยอมรับตัวตนของนางในวังหลวงแห่งนี้ไว้

           “ได้ ข้ารับปาก” คำสัญญาถูกเอ่ยออกจากปาก ถิงถิงมองไปที่เซียวถิงฟงตาเป็นประกายรู้สึกได้ถึงความมีน้ำใจไมตรีของเด็กหนุ่มผู้นี้

           วันต่อมาถิงถิงยังคงได้ยินเสียงเรียกของเด็กหนุ่ม เซียวถิงฟงยังคงก้มตัวลงมองนางที่ซุกตัวในพุ่มไม้รกๆพลางกล่าว

           “มาถิงถิง ข้ามารับเจ้าไปอยู่ด้วยกัน” เซียวถิงฟงกล่าวแล้วส่งยิ้มให้ นางมองไปทางเด็กหนุ่มแล้วแสร้งทำเมินหน้าหนี เมื่อไม่เห็นปลาย่างที่ติดมือมาอย่างทุกที แต่กระนั้นนางก็ปล่อยยังให้เขาอุ้มนางออกไปแต่โดยดี

           ทว่าไม่นานนักทั้งคนทั้งแมวก็ต้องชะงักตัว เสียงของฮองเฮาเซิงดังขึ้นจากอีกฝั่งของพุ่มไม้หนึ่ง ดีที่พุ่มรกนี้ค่อนข้างจะสูงจึงทำให้ปกปิดร่างของพวกเขาไว้จนมิด

           “หึ หึ ในที่สุดเด็กนั่นก็ทำตัวเป็นประโยชน์กับข้าซะที ไม่เสียแรงที่ข้ารับมาเลี้ยงไว้” 

           “ต้องขอบคุณตระกูลถงที่ทิ้งนางไว้ให้พวกเราไว้ใช้เป็นหมากในภายภาคหน้าแท้ๆ” ชายหนุ่มสูงอายุคนหนึ่งพูดแล้วหัวเราะขึ้น เซียวถิงฟงจดจำเสียงนั้นได้ดีว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของอัครเสนาบดีเซิงคู่ปรับหนึ่งเดียวของบิดาเขานั่นเอง

           “จริงอย่างที่ท่านพ่อกล่าว หากมิใช่เพราะแม่ทัพถงพลีชีพในสนามรบ ฮูหยินถงตรอมใจตายจนทิ้งหย่าเหลียนไว้เพียงลำพัง ฝ่าบาทคงไม่เห็นพระทัย รับนางมาเลี้ยงดูเฉกเช่นองค์หญิงองค์อื่นๆหรอก”

           “นับว่าเจ้ามองการณ์ไกลจริงๆที่ตอนนั้นชิงทูลขอฝ่าบาทรับเลี้ยงนางไว้แทนฮองเฮาองค์ก่อน ฮ่า ฮ่า”

           “ท่านพ่อก็อย่าได้นำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวแก่ผู้ใด เรื่องนี้นับว่ามีคนรู้น้อยมาก ฝ่าบาททรงมิประสงค์ให้หย่าเหลียนรับรู้ความจริงว่านางเป็นเพียงลูกเลี้ยง” เมื่อฮองเฮาเซิงกล่าวจบ ทั้งคู่ก็เดินจากไป เหลือเพียงแค่หนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวที่ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน

           เซียวถิงฟงจ้องมองถิงถิงที่ยังคงถูกอุ้มอยู่ในมือนิ่งๆ สายตาของเขาฉายแววตกตะลึง ทั้งยังสงสารผสมปนเปกันไป ไม่นานนักเด็กหนุ่มก็เอ่ยขึ้น “หากเป็นเจ้าที่ต้องอยู่ในวังหลวงเพียงลำพัง ไม่มีแม้แต่ผู้คนจริงใจ หรือคิดที่จะใส่ใจเจ้า เจ้าจะอยู่ได้รึเปล่า”

           “.........” ถิงถิงเงียบงัน

           เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว ไฉนบุคคลที่นี่ ล้วนแล้วแต่มีปัญหาใจ ไม่ว่าจะเป็นองค์รัชทายาทที่เป็นเหมือนดั่งสหาย หรือแม้แต่องค์หญิงหย่าเหลียนที่เป็นดั่งน้องสาว “หากเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะช่วยเหลือพวกเขาอย่างสุดกำลังความสามารถ” กล่าวจบก็อุ้มตัวเจ้าแมวน้อยจากไป

           ถิงถิงยังคงจำวันนั้นได้ดี ความจริงแล้วนางก็ไม่ต่างกับองค์หญิงหย่าเหลียน พวกนางต่างถูกเก็บมาเลี้ยง จากนั้นก็ถูกทิ้งขว้างไปอย่างไม่มีใครไยดี กระนั้นแล้วนางกลับโชคดีกว่ามากนัก เพราะเซียวถิงฟงสามารถช่วยนางไว้ได้อย่างเต็มที่ ผิดกลับอีกฝ่ายที่ยังคงถูกผู้อื่นใช้ประโยชน์

           “นายน้อย หากนายน้อยใจดำกับองค์หญิงหย่าเหลียนมากกว่านี้ ท่านอาจมิต้องเสียใจเช่นนี้ก็เป็นได้” นางกล่าวอย่างเศร้าใจเมื่อเห็นแผ่นหลังที่ดูอ้างว้างก้าวจากไปอย่างช้าๆ


**********************************************

วันนี้ลงดึกไปหน่อย อินเตอร์เน็ทเสัยต้อง Hotspot เอา  ติดตามกันต่อด้วยน้า  :hao7:

ออฟไลน์ darksmile

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เศร้าจัง  :mew4: :mew4: ต้าเซียนคิดจะทำอะไรกันแน่

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
อยากจิ้มคนเขียน เมื่อไรต้าเซียนจะมีความสุข :serius2:

ออฟไลน์ Umiko

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เศร้าจัง...อยากให้มีความสุขซักที

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 23.1 ปราณมังกร


           “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมาที่นี่”

           เสียงพูดแกมเย้ยหยัน รวมถึงรอยยิ้มดูแคลน ทำให้เซียวถิงฟงต้องเบ้ปากด้วยความไม่ถูกชะตา นี่ถือเป็นครั้งที่สองที่ตนเหยียบย่างมาถึงตำหนักเตี้ยนชิง

           “ข้ามิได้กระทำความผิด เหตุใดจึงไม่กล้ามา” เขากล่าวขึ้น ก่อนสังเกตเห็นถ้วยชาคู่หนึ่งที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะ ดูว่ายังคงมีควันลอยขึ้นฉุยคล้ายพึ่งถูกรินเพียงไม่นาน

           “เจ้าต้องการอะไร ข้าไม่มีเวลาว่างนัก” เฟยหลงเร่งเร้าอย่างรำคาญใจ จากนั้นหันหลังเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะกลางห้อง

           ด้านเซียวถิงฟงก็ลอบกวาดตามอง ก่อนจะตามเข้ามานั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับอีกฝ่าย “ข้ามาเพื่อต้องการแน่ใจ”

           เฟยหลงแค่นเสียงไม่พอใจ มือหนึ่งกำจอกชาไว้แน่น “เฮอะ แน่ใจ แน่ใจกระไรกัน”

           “อีกสามวันที่จะถึงนี้ จะเป็นวันที่ตะวันสิ้นแสง ข้าต้องการแน่ใจว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายต้าเซียน”

           ครานี้จอกชาถูกวางลงแล้ว เฟยหลงมองคนที่กล่าวคำพูดเมื่อสักครู่ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ หากแต่ในใจกลับเดือดดาล ชายผู้นี้ถือดีอย่างไร ถึงกล้ากล่าวประโยคนี้กับตน ทั้งที่ชีวิตตัวเองก็ยังแทบจะเอาไม่รอดเสียด้วยซ้ำ ช่างโง่งมนัก “หึ หึ หึ”

           “เจ้าหัวเราะกระไร”

           “นับแต่ที่เจ้าช่วงชิงพลังเซียนมา เจ้าก็ได้ทำร้ายท่านมหาเทพแล้ว หากไม่เป็นเพราะเจ้า วันนี้ท่านมหาเทพก็คงไม่ต้องรู้สึก...” เฟยหลงหยุดประโยคลงแค่นี้ ด้วยมิอยากที่จะกล่าวต่อ หากมิใช่เพราะเซียวถิงฟงช่วงชิงพลังของท่านมหาเทพไป วันนี้ท่านมหาเทพก็คงไม่มีความรู้สึกใดๆกับคนตรงหน้าเป็นพิเศษ

           เซียวถิงฟงฟังแล้วถึงกับชาวาบ เนื่องเพราะที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้นเป็นความจริงทั้งหมด เป็นเพราะความโลภของเขา เป็นเพราะเขาต้องการเก็บลูกแก้ววิเศษไว้ โดยมิรู้ว่าจะเป็นเหตุให้ช่วงชิงพลังของต้าเซียนมา ยังมีความเห็นแก่ตัวของเขาที่พยายามรั้งร่างน้อยไว้ โดยไม่สนใจว่าเจ้าตัวจะรู้สึกเจ็บปวดและลำบากใจสักแค่ไหน

           “ข้าไม่เหมือนเจ้า ข้าไม่มีวันละเลยท่านมหาเทพ แล้วจงรู้ไว้ หากถึงวันที่ตะวันสิ้นแสงเมื่อไหร่ ข้าจะพาท่านไปจากที่นี่ทันที” เฟยหลงเน้นประโยคสุดท้ายอย่างหนักแน่น

           เหมือนชะตาจะมิเคยปราณี เมื่อคิดว่าต้าเซียนต้องหายไปจากชีวิตเขาโดยสิ้นเชิงแล้ว เซียวถิงฟงก็เจ็บลึกในอก แต่แล้วอย่างไรล่ะ ตอนนี้เขาได้คำตอบแล้ว จอมมารเฟยหลงจะไม่ทำร้ายต้าเซียน เขาควรดีใจมิใช่รึ เขาพลันยกยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“ข้าจะยอมเชื่อเจ้าสักครั้ง แต่หากวันใดที่เจ้าทำร้ายต้าเซียนแม้แต่เพียงปลายเล็บ ข้าจะไม่ขออยู่ร่วมโลกกับเจ้า” เซียวถิงฟงลั่นวาจาสาบาน หากมีวันนั้น เขาจะต้องปลิดชีวิตคนตรงหน้าให้ได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ยินดี

           เฟยหลงยิ้มเย็น “หมดธุระแล้วก็เชิญกลับได้ หากเป็นไปได้ข้ามิอยากเห็นหน้าเจ้าอีก”

           เมื่อเจ้าตัวออกปากไล่แล้วไยต้องอยู่อีก เซียวถิงฟงมองจอกชาอีกถ้วยที่อยู่บนโต๊ะอีกครั้ง “ต้าเซียน ข้าขอให้เจ้ามีความสุขมากๆ” มือข้างหนึ่งยื่นสัมผัสถ้วยชาที่ถูกวางทิ้งไว้อย่างอาลัย จากนั้นตัดสินใจเดินจากมาเพียงลำพัง

           ...ต้าเซียนข้าปรารถนาให้เจ้ามีชีวิตที่มีความสุข มิต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป

           แผ่นหลังที่กว้างใหญ่ ลำแขนที่ชอบโอบกอดเขาไว้อย่างอบอุ่นอยู่เสมอ กำลังห่างออกไปทีละนิด ต้าเซียนทอดมองตามด้วยสายตาเศร้า นึกไม่ถึงว่าเซียวถิงฟงจะมาที่นี่ มาหาเฟยหลง

           เขาที่ซึ่งกำลังดื่มชาได้แต่หลบหน้าชายหนุ่มที่หลังฉากกั้นไม้ลวดลายภูเขาหิมะขนาดใหญ่ ด้วยรู้สึกมิกล้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แลที่ด้านหลังนี้แม้เพียงเห็นเงาคนรางๆ แต่ก็ยังคงรับรู้ได้ว่าเงาร่างของเซียวถิงฟงได้นั่งลงพูดคุยกับเฟยหลงชั่วประเดี๋ยวหนึ่งก็จากไป

           มาตรว่าคนจากไปแต่ความห่วงใยยังคงตราตรึง ต้าเซียนได้ยินคำสาบานที่เอ่ยออกมาจากปากของเซียวถิงฟง ก็อดที่จะรู้สึกสะท้านใจมิได้ เขาก้าวออกมายังโต๊ะรับรองอีกครั้ง มองถ้วยชาที่มิได้มีควันร้อนฉุยอยู่อีก จากนั้นยื่นมือไปสัมผัสถ้วยชา พริบตานั้นก็ต้องชะงักมือเล็กน้อย ก่อนจะลอบเก็บอารมณ์ไว้ภายในใจ

           แม้ชาในจอกจะเย็นลง หากแต่ความร้อนที่ติดอยู่บนถ้วย กลับเป็นความอบอุ่นที่ตัวเขาคุ้นเคยดี ความอบอุ่นของเซียวถิงฟง

           เฟยหลงลอบมองความเป็นไปของคนตรงหน้า ครั้นเห็นสีหน้าที่มิได้บ่งบอกความรู้สึกใดๆกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ เขาก็ยิ้มอย่างดีใจ แต่กระนั้นเขาก็มิอาจทิ้งรากแห้งปัญหาไว้ที่นี่ได้

           หากเมื่อขุดรากลึกลงไปแล้ว ก็จำต้องถอนโคนทิ้งให้สิ้นซาก


********************************************


           สายตาสีเขียวสะท้อนแวววับท่ามกลางความมืด มันจ้องติดตามทหารหนุ่มผู้มีท่าทีแปลกๆ ซึ่งพบโดยบังเอิญ แต่มิคาดว่าสะกดรอยจนถึงมุมอับแสงแล้ว ร่างของคนผู้นี้ก็อันตรธานหายลับไป

           แมวขนสีดำตัวหนึ่งวิ่งติดตามไปยังเงามืด แต่ที่ที่คนผู้นี้เคยยืนอยู่กลับว่างเปล่าไร้ผู้คน มันได้แต่เดินเวียนวนอย่างไม่เข้าใจ ทว่าพริบตานั้นก็บังเกิดเสียงหล่นดังตุบอยู่ไม่ไกล มันถึงกับสะดุ้งตัวโหยง ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจ ในตอนนี้มันพบแล้ว หากแต่เป็นร่างไร้วิญญาณของทหารหนุ่มที่หายตัวไปกะทันหัน เขานอนแผ่อยู่บนพื้นด้วยสภาพน่าอเนจอนาถ ส่งผลให้มันมิกล้าเข้าไปสำรวจอีก ได้แต่ตัดสินใจผละตัวออกไป

           “องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท” เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้น

           รัชทายาทหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านรายงานของเหล่าขุนนางภายในห้องหนังสือจำต้องหันไปยังที่มาของเสียง

           เป็นแมวสาวขนสีดำที่กระโดดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ต่อเมื่อปลายเท้าสัมผัสทถึงพื้น ร่างของแมวสาวก็กลับกลายเป็นหญิงสาวในชุดสีดำสนิทอย่างน่าอัศจรรย์

           “มีอะไรหรือถิงถิง”

           “องค์...รัชทายาท มีคนตาย ข้าเห็นเขาทำท่าลับๆล่อ พอข้าสะกดรอยตามเขาไป ไม่นานร่างของเขาก็หายไปต่อหน้าข้า แล้วจู่ๆเขาก็ตาย” ถิงถิงโพล่งออกมาด้วยสีหน้าที่ทอแววตื่นตระหนก

           “เหตุเกิดที่ใด ถิงถิง” ฟังแล้วเขาก็เลิกคิ้วขึ้นถามเสียงเข้ม แต่ก็มิได้ดูตกใจสักเท่าใด ราวกับนี่มิใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้

           “ใกล้ตำหนักลุ่ยหวา” ถิงถิงกล่าว

           ...อีกแล้ว องค์รัชทายาทฟังแล้วสีหน้าก็ต้องเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม หันไปตะโกนเสียงจริงจัง “เสี่ยวลู่ เรียกเหล่าองค์รักษ์เงา บอกเขาว่าต้องเก็บกวาดอย่างเงียบเชียบ ห้ามมิให้ผู้ใดพบเห็นเป็นอันขาด”

           “พะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยเสี่ยวลู่เข้ามารับคำสั่งเสร็จก็รีบออกจากห้องไปด้วยท่าทีเร่งร้อน

           “ถิงถิง เจ้ากลับไปพักก่อนเถิด วันนี้เจ้าคงเหนื่อยมากแล้ว” องค์รัชทายาทหันมากล่าวกับถิงถิง ชั่วอึดใจหนึ่งร่างของหญิงสาวก็หายไปจากห้อง เหลือเพียงแมวสาวที่กระโจนออกจากทางหน้าต่างแทน

           ห้องกลับคืนสู่ความเงียบสงบ ซวนหยวนหมิงไท่ทอดถอนหายใจพลางนั่งกุมขมับ นี่มิใช่ศพแรกที่คนของเขาพบเห็น แต่นับเป็นศพที่สามแล้วต่างหาก แลหากเรื่องราวรั่วไหลออกไป ทั่วทั้งวังหลวงจะต้องเผชิญกับความวุ่นวายครั้งใหญ่ ดังนั้นการสืบสวนเรื่องนี้จำต้องเก็บเป็นความลับ แต่กระนั้นแล้วจนถึงวันนี้เขาก็ยังคงไม่พบเบาะแสใดที่ชี้ชัดมาก เว้นเพียง

           ...ตำหนักลุ่ยหวา

           “องค์รัชทายาท” เสียงของผู้มาใหม่ดังขึ้นภายในห้องหนังสือ เป็นเหล่าองค์รักษ์เงาที่อยู่ภายใต้อาภรณ์สีดำ ทั้งอำพรางใบหน้าจนมิอาจเห็นชัด แลคนกลุ่มนี้จะปรากฏกายต่อเมื่อได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายเท่านั้น

           องค์รักษ์เงาจำนวนหนึ่งย่อกายถวายบังคมให้ หากแต่รัชทายาทหนุ่มกลับเฉยเมย หันไปจดจ้องของที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาแทน

           “มีใครเห็นรึไม่” เขาขึ้นเสียงถาม สายตาเพ่งมองไปที่ถุงกระสอบใบใหญ่ที่ถูกมัดไว้อย่างหนาแน่น

           “ไม่มีใครพบเห็นพะย่ะค่ะ” หนึ่งในองค์รักษ์เงาตอบ

           “แล้วสภาพศพเป็นเช่นใด”

           “นายทหารผู้นี้ไร้ซึ่งบาดแผล มีเพียงผิวกายที่แห้งเหี่ยวซูบเซียวอย่างน่าประหลาด ลงความเห็นได้ว่าสภาพศพเหมือนกับสองศพแรกที่เราพบในอุทยานหลวงใกล้ตำหนักลุ่ยหวาพะยะค่ะ” องค์รักษ์อีกนายกล่าว

           “เปิดถุงออก” ซวนหยวนหมิงไท่ออกคำสั่งพลางขยับกายเข้าไปใกล้ ด้านเหล่าองค์รักษ์เงาก็จัดแจงเปิดปากถุงตามคำสั่ง

           หลังจากถุงผ้าถูกเปิดออก ใบหน้าซูบตอบ ดวงตาที่ฉายแววตกตะลึงปนฉงนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ซวนหยวนหมิงไท่ขมวดคิ้วมุ่น ดูแล้วสภาพศพใกล้เคียงกับนางกำนัลที่ประสบเคราะห์ในตำหนักลุ่ยหวา ทั้งยังเป็นเช่นเดียวกับศพอื่นๆที่ถูกพบเมื่อสามสี่วันก่อนจริงๆ เขาทอดถอนใจเฮือกใหญ่ “ทำลายศพเขาซะ แล้วส่งเงินจำนวนหนึ่งไปทางบ้านเขา”

           “พะย่ะค่ะ” องค์รักษ์เงารับคำสั่ง จากนั้นจึงแบกถุงกระสอบออกไป

           เหลือเพียงเค้าความกังวลใจที่ให้เห็นชัดบนใบหน้าของซวนหยวนหมิงไท่ เขามิอาจรอให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก ยิ่งเรื่องนี้มีส่วนพัวพันกับตำหนักลุ่ยหวาด้วยแล้ว ก็เกรงว่ามิอาจวางใจได้


********************************************


           เช้าวันต่อมาองค์รัชทายาทก็ตัดสินใจไปเยือนยังตำหนักลุ่ยหวา แม้ในใจจะไม่อยากเหยียบย่าง แต่ก็ไม่อาจมามิได้ ซึ่งดูท่าว่าทางตำหนักลุ่ยหวาแห่งนี้ก็คาดไม่ถึงกับการมาของตนเช่นกัน

           “ถวายบังคมเพค่ะ องค์รัชทายาท เหตุใดวันนี้จึงทรงเสด็จมายังตำหนักลุ่ยหวาได้” นางกำนัลเว่ยหรือแม้นมขององค์หญิงหย่าเหลียนกล่าวถามด้วยท่าทีแปลกใจ

           “ข้ามีธุระหรือไม่ จำเป็นต้องบอกเจ้า? หรือตำหนักแห่งนี้มิต้อนรับข้า” รัชทายาทหนุ่มกล่าวประชดประชัน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม

           นางกำนัลเว่ยฟังแล้วก็แตกตื่นในใจ เหงื่อกาฬหลั่งแนบที่ริมหน้าผาก “มิได้เพค่ะ หม่อมฉันจะไปกราบทูลองค์หญิงหย่าเหลียนเดี๋ยวนี้เพค่ะ โปรดทรงรอสักครู่”

           “ไม่ต้อง ข้าจะไปพบนางเอง” ซวนหยวนหมิงไท่ยกมือขึ้นเป็นเชิงปฏิเสธ จากนั้นเดินตรงเข้าไปยังใจกลางของตำหนัก ทว่ายังไม่ทันถึงที่หมาย ก็พลันพบกับคนที่ตามหาแล้ว

           ท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นในสวนของตำหนักลุ่ยหวา มังกรหนุ่มยืนมองร่างอรชรจากที่ไกลๆ ก่อนเหยียดยิ้มให้กับภาพตรงหน้า องค์หญิงหย่าเหลียนในชุดสีฟ้ากำลังหัวเราะร่าอยู่กับเหล่านางกำนัล พวกนางกำลังแช่เท้าที่ริมสระน้ำกันอย่างสบายใจ เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นเป็นระยะ เขาหันไปสั่งให้เหล่าขันทีและองค์รักษ์ล่าถอยออกไป ก่อนเดินเข้าไปทางด้านหลัง

           “องค์รัชทายาท” นางกำนัลคนหนึ่งร้องอย่างตกใจเมื่อสังเกตเห็นผู้มาใหม่ จากนั้นจึงลุกลี้ลุกลนขึ้นจากขอบสระ หันมาถวายบังคมอย่างนอบน้อม นางกำนัลคนอื่นก็เช่นกัน หากแต่ยังมีเพียงแค่สตรีอีกผู้หนึ่งที่ยังคงเงียบงัน ทั้งไม่หันมาและยังคงเตะน้ำในสระเล่นอย่างไม่ไยดี

           “ดูท่าเจ้าคงจะดีขึ้นไม่น้อย จึงได้ออกมานั่งตากแดดตากลมเช่นนี้” เขากล่าวประชดประชัน

           “ต้องขอบพระทัยเสด็จพี่ ที่ทรงพระราชทานยาหลายขนานให้แก่หม่อมฉัน” หย่าเหลียนกล่าวพร้อมทั้งหันหน้ามาส่งรอยยิ้มหวานให้ องค์รัชทายาทเห็นใบหน้าของนางอย่างชัดถนัดตาก็ถึงกับตกตะลึง

           “ตอนนี้ข้าว่าเจ้าคงหายดีแล้วจริงๆ” น้ำเสียงเขาเจือไปด้วยความแปลกใจ เป็นเพราะใบหน้าที่ดุจดั่งหญิงชรา มาตอนนี้กลับดูเป็นสาวแรกรุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งไม่มีท่าทีราวกับคนใกล้ตายแม้แต่น้อย

           เมื่อเห็นเค้าใบหน้าที่ตะลึงไป องค์หญิงหย่าเหลียนก็ยกยิ้มพอใจ นางหยัดกายลุกขึ้นจากขอบสระ หันกายเข้าหาองค์รัชทายาทอย่างเต็มตัว จากนั้นก้าวขาอันขาวนวลขึ้นสู่พื้นอย่างมาดมั่น แต่แล้วจังหวะหนึ่งกลับมีท่าทีโงนเงนกะทันหัน

           “หย่าเหลียน” องค์รัชทายาทเข้ารับร่างที่คล้ายจะเป็นลมของนางอย่างตกใจ ยังผลให้ศีรษะของนางเซซบลงที่หน้าอก

           “รบกวนพระองค์พาข้าไปยังที่ห้องที”

           น้ำเสียงนั้นดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ซวนหยวนหมิงไท่เห็นใบหน้าที่ซีดขาวของนางแล้วก็รีบรวบตัวขึ้นอุ้ม พากลับไปยังห้องบรรทมท่ามกลางความตะลึงลานของเหล่าข้าทาสบริวารทั้งหลาย

           “เจ้ายังไม่หายดี ออกไปตากแดดตากลมเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน” เขากล่าวน้ำเสียงดุ สองมือวางร่างบางในชุดสีฟ้าลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

           จู่ๆเสียงหัวร่อก็ดังขึ้น ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องชะงักหยุด มองเจ้าของเสียงอย่างไม่พอใจ “เจ้าปั่นหัวข้า”

           “.......” องค์หญิงหย่าเหลียนไม่ตอบกระไร เพียงส่งรอยยิ้มหยาดเยิ้มให้แก่องค์รัชทายาท ประกายตามีร่องรอยของความสนุก

           “เจ้าไม่ใช่หย่าเหลียน” จู่ๆซวนหยวนหมิงไท่ก็ขึ้นเสียงด้วยความมั่นใจ

           “ตรงไหนที่ข้าไม่ใช่” เสียงตอบนั้นยั่วเย้าอย่างเห็นได้ชัด

           “หากเป็นหย่าเหลียนจริง นางไม่มีวันส่งรอยยิ้มยั่วยวนเช่นนี้ให้แก่ข้าหรอก” เขาหลุบตากล่าว ด้วยรู้ตัวดีว่ามีเพียงสายตาเคียดแค้นเท่านั้นที่นางจะมีให้เขา

           ครานี้ร่างอรชรหยุดยิ้มลงแล้ว แต่ไม่นานก็ยกยิ้มหยาดเยิ้มขึ้นใหม่ ทั้งขยับกายเข้าหา สองมือยกขึ้นโอบกอดคอของบุรุษตรงหน้าอย่างแนบแน่น “ท่านหลักแหลมยิ่งนัก ข้าเหม่ยซินนับถือๆ” เสียงทุ้มแหลมเอื้อนเอ่ยมาจากริมฝีปากขององค์หญิงหย่าเหลียน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2015 20:41:16 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 23.2 ปราณมังกร



           “เจ้าปีศาจ” ซวนหยวนหมิงไท่โพล่งออกมาทันที พลางกระชากสองมือที่โอบรอบคอตนออกอย่างแรง ร่างบอบบางจึงมีอันต้องล้มลงนอนราบกับเตียง

           “ท่านมิได้ชมชอบนางหรอกหรือ” ประกายตาสีแดงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างรู้ดี ชายหนุ่มสง่างามผู้นี้ชื่นชอบเจ้าของร่างที่นางอาศัยอยู่ แม้จะแสดงออกด้วยท่าทีเย็นชาก็ตาม

           “อย่าได้บังอาจพูดพล่อยๆเจ้าปีศาจ”

           “ข้าพูดผิดรึไม่นั้น ตัวท่านเองย่อมรู้แก่ใจดี” จิ้งจอกเหม่ยซินตอบ ทั้งใช้นิ้วจิ้มหยอกระหว่างกลางอกรัชทายาทหนุ่ม
เขารีบปัดมือเรียวทิ้ง ทั้งยังผละตัวใช้หญิงสาวตรงหน้าหยุดการกระทำลง “เจ้าเอาหย่าเหลียนไปไว้ที่ใดกัน”

           “นางก็อยู่ตรงหน้าท่านแล้วอย่างไร” ปีศาจจิ้งจอกเล่นลิ้นโดยใช้น้ำเสียงหวานขององค์หญิงหย่าเหลียน ครานี้นางโผเข้าหาอีกฝ่ายอีกครั้ง

           “เจ้าไม่ใช่” ซวนหยวนหมิงไท่ยังคงยืนกราน หากแต่มิได้ผลักไสสตรีในอ้อมอกอีก คล้ายมีพลังบางอย่างบังคับมิให้เป็นตัวของตัวเอง

           “เช่นนั้นท่านคงอยากช่วยนาง ใช่รึไม่” จิ้งจอกเหม่ยซินยิ้มหวานกล่าว ครั้นเห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่มีท่าทีชั่งใจ ก็ได้ทีลูบไล้ใบหน้างามสง่า กระซิบยั่ว “มอบปราณมังกรให้ข้า ข้ารับรองข้าจะคืนนางให้แก่ท่านเอง”

           ได้ยินเช่นนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็คืนสติ “คิดว่าข้าจะตกหลุมพรางเจ้ารึ เจ้าประเมินข้าต่ำไปแล้ว”  ไม่ผิดไปจากที่เขากังวล เหล่าทหารหนุ่มที่เสียชีวิตลงอย่างน่าประหลาด ล้วนมีส่วนพัวพันกับปีศาจที่เคยปรากฏในตำหนักลุ่ยหวาแห่งนี้

           “เช่นนั้นท่านจะปล่อยให้สหายของท่านค่อยๆตายไปกระนั้นหรือ”

           “เจ้าหมายความเช่นไร” องค์รัชทายาทถึงกับงงงันวูบ
 
           “หึ ข้าจะบอกให้ เขายินยอมมอบพลังชีวิตให้แก่ข้า เพียงเพราะต้องการช่วยชีวิตนาง และหากตัวท่านไม่ยอม ไม่นานนางที่ท่านรักและสหายของท่านจะต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของข้า” ปีศาจจิ้งจอกกล่าวขู่

           “เจ้า...” เขาถึงกับพูดไม่ออก ยังผลให้จิ้งจอกเหม่ยซินหัวร่อออกมา นางเดินเข้ามากระซิบอย่างยั่วยวนอีกครั้ง

           “ท่านยินยอมแล้วใช่รึไม่”

           “........”

           ความเงียบของชายผู้นี้คล้ายเป็นการตอบรับ นางปีศาจยิ้มอย่างชอบอกชอบใจ ผลักร่างที่หนุ่มแน่นให้นอนราบลงกับเตียง มือหนึ่งสัมผัสที่กลางอก จากนั้นลากปลายนิ้ววนไปมากระตุ้นอารมณ์ สายตาก็จับจ้องสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างนึกสนุก ด้านซวนหยวนหมิงไท่ก็ได้แต่นอนนิ่ง ทั้งเบนสายตามองไปที่แสงเทียน

           “มิต้องเป็นห่วงไป ข้าจะค่อยๆลิ้มลองปราณมังกรของท่านอย่างช้าๆ”

           “จะทำก็รีบทำ ไยชักช้างุ่นง่านยิ่งนัก” กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ นางปีศาจตนนี้เห็นเขาเป็นเพียงของเล่น จึงเอาแต่สัพยอกเขาไม่หยุด

           “ท่านอย่าได้ใจร้อนไป เป็นเพราะข้าถูกใจท่านหรอกนะ” เหม่ยซินประทับริมฝีปากลงบนไหล่กว้าง

           องค์รัชทายาทถึงกับถลึงตาอย่างรังเกียจ สตรีตรงหน้าแม้จะหย่าเหลียน หากแต่ภายในกลับมิใช่นาง วิธีนี้จะช่วยนางได้จริงรึ เขาคิดอย่างสับสน

           “เจ้าจะทำอะไรน่ะ เจ้ารัชทายาทงี่เง่า” จู่ๆเสียงที่มักร้องโหวกเหวกของไป๋เซ่อก็ดังขึ้นในสมองของเขา

           ด้านปีศาจจิ้งจอกก็มองร่างที่นอนนิ่งไม่กระดุกกระดิกอย่างย่ามใจ พลางสอดมือเข้าไปสาบเสื้อสีขาวแล้วลูบไล้อย่างช้าๆ

           “เจ้ารัชทายาทงี่เง่า เจ้าบ้าไปแล้วรึ อยากตายรึไงหา”

           ครานี้มิใช่เสียงของไป๋เซ่อที่ร้องโวยวายเท่านั้น แม้แต่กำไลหินรูปงูก็ยังสั่นสะท้านขึ้นน้อยๆ ซวนหยวนหมิงไท่จำต้องซ่อนปลายแขนประชิดลำตัว เพื่อมิให้เป็นที่ผิดสังเกตใดๆ

           อกที่ผายไหล่กว้างสมส่วน ผิวพรรณเปล่งประกายสมแล้วที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ จิ้งจอกเหม่ยซินสำรวจเรือนร่างนี้อย่างพึงพอใจ แม้องค์รัชทายาทจะมิกำยำเท่ากับเซียวถิงฟง อีกทั้งใบหน้าค่อนไปทางสวย แต่ก็ถือได้ว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามหายาก แลสิ่งที่น่าดึงดูดที่ไม่ด้อยไปกว่าพลังเซียนนั่นก็คือ ปราณมังกร

           ซวนหยวนหมิงไท่ถือกำเนิดในฐานะโอรสสวรรค์ ใบหน้าบ่งบอกวาสนาบุญบารมีดั่งคนเป็นใหญ่ ภายภาคหน้าอยู่เหนือคนทั้งปวง คุกเข่าให้เพียงสิ่งเดียวคือฟ้า ซึ่งหากได้ปราณของเขามา ตบะของนางก็จะแกร่งกล้าหาใครเทียมไม่ และวิธีที่จะได้ปราณมังกรมาทั้งหมดก็คือ การดื่มเลือดเนื้อผู้เป็นเจ้าของ

           “เจ้าอย่าได้มอบพลังให้แก่ปีศาจเชียว ฟังที่ข้าพูดอยู่รึเปล่า” ไป๋เซ่อตะโกนสุดเสียง แทบทำให้แก้วหูแตก

           “หุบปาก” ซวนหยวนหมิงไท่ก็โต้กลับในใจ

           “หนอย เจ้ากล้าด่าข้ารึ ถ้าเจ้าตายไป คิดว่าข้าจะกลับไปหาท่านมหาเทพยังไงกันเล่า เปิดใจให้ข้าเดี๋ยวนี้” 

           “ไม่ ตอนนี้ยังไม่ใช่”

           “ไม่ใช่รึ ต้องรอให้เจ้าตายก่อนรึไงหา ข้าไม่รอหรอกนะ ข้าบอกให้เปิดใจไงเล่า เจ้าองค์รัชทายาทงี่เง่าไม่ได้เรื่อง”
รอจนขี้เกียจต่อปากต่อคำ ซวนหยวนหมิงไท่ก็เลือกที่จะเงียบไว้ ปล่อยให้ไป๋เซ่อตวาดร้องไปตามแต่ใจ แลที่หน้าอกก็สัมผัสได้ถึงมือที่เยียบเย็น ก่อนบังเกิดเป็นความเจ็บแปลบปลาบ ก่อนที่จะทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ

           หลังจากที่ลูบไล้อย่างพอใจ จิ้งจอกเหม่ยซินก็เปลี่ยนมาทรมาทรกรรมคนตรงหน้าอย่างช้าๆ นางส่งยิ้มเหี้ยมให้ใบหน้างาม “ผิวขาวของท่านช่างเหมาะกับสีของโลหิตยิ่งนัก” พูดจบเล็บยาวแหลมคมก็กดลงบนผิวเนื้อ ลึกลงพอที่จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต

           ต่อเมื่อเห็นแววตาที่สะท้อนถึงความเจ็บอยู่เสี้ยวหนึ่ง เหม่ยซินก็รู้สึกสนุก ยิ่งชายผู้นี้อดทนมากเท่าไรก็ยิ่งกระตุ้นให้นางพึงพอใจได้มากเท่านั้น จวบจนปลายเล็บสัมผัสได้ถึงของเหลวซึม นางก็จัดการลากปลายเล็บที่ยังคงฝังเนื้อเนียนละเอียดอย่างช้าๆ

           “อึก” องค์รัชทายาทได้แต่กัดฟันรับความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วร่างกาย สองมือขยุ้มผ้าห่มที่วางอยู่บนเตียงแน่น สองตาข่มปิดแน่น หวังให้ผ่านช่วงเวลาแห่งการทรมานไปโดยเร็ว

           กระทั่งเสื้อสีขาวซึมไปด้วยโลหิต เหงื่อชโลมหลั่งไหล ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด การทรมานจึงได้จบลง เขาลืมตาขึ้นมาอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนพบเงาร่างบางของหย่าเหลียนกำลังลิ้มรสโลหิตที่ติดอยู่ตามปลายนิ้วอย่างหิวกระหาย ครั้นนางรู้สึกตัวก็แสยะยิ้มให้ เอื้อนเสียงแหลมที่มิใช่เสียงของนางออกมา

           “เลิศรสยิ่งนัก ข้ารับรองว่าจะถนอมท่านไว้เป็นอย่างดี” นางจิ้งจอกยิ้มอย่างถูกอกถูกใจ ไม่ว่าพลังชีวิตของเซียวถิงฟงก็ดี ปราณมังกรขององค์รัชทายาทก็ช่าง ล้วนแล้วแต่สร้างความพึงพอใจให้นางทั้งสิ้น ว่าแล้วก็นางก็ขึ้นคร่อมตัวองค์รัชทายาทไว้ จากนั้นก้มริมฝีปากลงใกล้

           ซวนหยวนหมิงไท่เบือนหน้าหนี หากแต่สัมผัสกลับประทับลงบนลำคอ พริบตานั้นเขี้ยวแหลมก็กัดขยุ้มลงมาอย่างมิทันตั้งตัว “อื้อ” เสียงในลำคอแทบหลุดออกมาจากริมฝีปาก การทรมานครั้งนี้เทียบไม่ได้กับครั้งก่อน มันทั้งยาวนานและเจ็บปวด พลอยให้สมองมึนตื้อ ภาพตรงหน้าเลือนรางเช่นเดียวกับสติ แสงเทียนที่ส่องสว่างอยู่บนโต๊ะคล้ายค่อยๆดับวูบลง

           “เจ้าคนงี่เง่าซวนหยวนหมิงไท่ตื่นเดี๋ยวนี้”

           เสียงๆหนึ่งปลุกเรียกเขาด้วยวาจาที่หยาบคาย จะมีใครสักกี่คนที่กล้าเรียกเขาแบบนี้กันเชียว บังอาจนัก องค์รัชทายาทคิดแล้วเริ่มก็รู้สึกไม่สบอารมณ์

           “หากเจ้าตายไป ถึงเวลานั้นข้าจะเอาวิญญาณเจ้ามาปรนนิบัติรับใช้ข้าให้ได้ คอยดู”

           เสียงนั้นฟังดูมั่นใจหนักหนา ยังผลให้เขารู้สึกฉุนเฉียวจนอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมามิได้ ข้อมือข้างหนึ่งก็ค่อยๆรู้สึกร้อนวาบ ทำให้เขาพยายามสะบัดมือด้วยนึกรำคาญใจ แต่กลับกลายเป็นว่ามันร้อนราวกับเผาไหม้ เขาทนมิไหวจึงสะบัดแขนขึ้นโดยแรง หวังให้ที่มาของความร้อนหายไปจนหมด กระทั่งแขนกระแทกกับร่างๆหนึ่ง เขาก็พลันลืมตาตื่นขึ้น

           จิ้งจอกเหม่ยซินที่กำลังดื่มเลือดเนื้อถูกผลักให้ถอยห่าง สีหน้าของนางดูมึนงงไปชั่วขณะ แต่ไม่นานนักนางก็กลับมายิ้ม เป็นเพราะเหยื่อรายนี้ยังคงมีแรงดิ้นหลุดจากกำมือของนาง ทำให้นางพอใจยิ่งนัก

           “อีกสามวันหากท่านไม่กลับมาที่นี่ ข้อตกลงของเราถือว่าจบลงเพียงแค่นี้” นางกล่าวพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดมุมปากที่มีคราบเลือดติดอยู่

           “ยังไม่รีบไปอีก เจ้าคนงี่เง่า”

           จวบจนได้ยินเสียงตวาดของไป๋เซ่อ องค์รัชทายาทก็ต้องสะดุ้งตื่นอย่างมีสติอีกครั้ง เขารีบนำพาร่างที่บาดเจ็บไปจากตำหนักลุ่ยหวา ทว่าครั้นก้าวออกมานอกห้อง ก็ต้องพบบรรยากาศที่ดูบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาด คล้ายไม่มีใครมองเห็นโลหิตที่เปรอะเปื้อนไปทั่วร่าง ยังมีนางกำนัลที่เดินถือกรงนกที่คลุมผ้าดำผ่านตัวเขาไปอย่างหน้าตาเฉย

           “มนตร์อำพรางตา ปีศาจจิ้งจอกตนนี้ตบะแกร่งกล้านัก เป็นเพราะเจ้านั่นแหละที่มอบพลังให้นาง เฮอะ”

           ไป๋เซ่อแค่นเสียงใส่ แต่ตอนนี้เขามิสนใจอะไรแล้ว ไม่ว่าจะมนตร์อะไรก็ตามที เขาจำต้องหาสถานที่ปลอดภัยทั้งมิดชิดเพื่อรักษาบาดแผลนี้อย่างเป็นความลับ
 

*************************************************


           เหนือขึ้นไปจากอุทยานหลวงใกล้สระน้ำไท่เย่ ต้าเซียนกำลังเหาะเหินไปรอบๆพระราชวังหลวง ก่อนหน้านี้เขาผละตัวออกมาในระหว่างที่องค์ฮองเฮาเซิงเสด็จมาที่ตำหนักเตี้ยนชิง เป็นเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้เฟยหลงในคราบของซวนหยวนหย่าเซิงมิอาจปฏิเสธได้ 

           เขาจึงใช้โอกาสนี้ออกมาสูดอากาศ อีกทั้งออกมาดูท่าทีของปีศาจจิ้งจอกไปพร้อมๆกัน แต่กระนั้นความรู้สึกขุ่นข้องในอกก็กระตุ้นให้เกิดความวิตกอยู่เรื่อยๆ แม้มิอาจเข้าใจได้ทั้งยังขบคิดมิตก ก็ได้แต่ละทิ้งความกังวลพลันนึกถึงเรื่องอื่นขึ้นแทน

           จนป่านนี้ฉุนซุ่ยยังคงไม่ปรากฏกายขึ้น นั่นทำให้เขาวางใจได้เปลาะหนึ่ง มาตรว่าเซียวถิงฟงยังคงไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่ถึงอย่างไรหากยังไม่สามารถกำจัดปีศาจจิ้งจอกลงได้ เขาก็มิอาจจากไปอย่างสงบ

           ปีศาจตนนี้เปี่ยมไปด้วยมารยาเล่ห์เหลี่ยม นางแฝงตัวอยู่ในร่างขององค์หญิงหย่าเหลียน เพื่อมิให้เขากำจัดนางได้อย่างสะดวก แม้ต้าเซียนรู้ดีว่าควรทำเช่นไร แต่กระนั้นก็กลัวว่าเซียวถิงฟงจะต้องผิดหวังในตัวเขา เนื่องเพราะตนเคยให้คำสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายคนรอบกายชายหนุ่ม จึงเป็นเหตุให้เขามิกล้าลงมือจนถึงบัดนี้

           ครั้นเหาะเหินใกล้สวนรกทึบ เสียงไม้ไผ่ไหวก็กระทบเข้าสู่โสตประสาท ต้าเซียนก้มลงมองอย่างติดใจ ก่อนจะสะดุดสายตาที่ชายเสื้อขาวปักลายดอกเบญจมาศ เขารีบเหาะเหินเข้าไปใกล้ แล้วพลันได้พบกับร่างที่เปราะเปื้อนไปด้วยโลหิต

           เสียงหายใจติดขัดกลบทุกสิ่งที่อยู่รอบกาย ซวนหยวนหมิงไท่เดินโซซัดโซเซมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งด้วยสติที่ใกล้จะรางเลือน หากแต่ความเจ็บปวดที่รุมเร้าก็คอยกระชากสติให้ฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว

           จนกระทั่งมาถึงเรือนพฤกษา เขาก็ใช้พละกำลังที่เหลืออยู่โถมตัวเข้าเปิดประตู ยังผลให้ร่างล้มลงกระแทกกับพื้น ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย ฉับพลันนั้นเงาร่างของคนผู้หนึ่งทอดลงผ่านพื้น ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ สีหน้าที่อ่อนล้าแปรเปลี่ยนเป็นระแวดระวังอีกครั้ง เนื่องเพราะเรือนพฤกษาในตอนนี้ควรจะมีเพียงแค่เขาเพียงผู้เดียว

           เส้นผมสีน้ำตาลปรกใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตาสว่างสุกใสจ้องมองลงฉายแววตำหนิ ก่อนที่จะก้มตัวพยุงตัวคนเจ็บจากทางด้านหลัง จัดการลากร่างอันแสนจะหนักอึ้งให้นั่งพิงกับผนังไม้ในมุมที่มีแสงแดดพาดผ่าน

           “เกิดอะไรขึ้น” เสียงเยียบเย็นของต้าเซียนเอ่ยขึ้น

           “.......”ซวนหยวนหมิงไท่เบนสายตาหนีแล้วจึงกัดริมฝีปากแน่น แต่แล้วร่างสีขาวก็ย่อกายลงนั่งเบื้องหน้า มือเรียวเอื้อมจับมือของเขาที่กุมบาดแผลบริเวณลำคอไว้ หากแต่เขายังคงเกร็งข้อมือไว้ไม่ปล่อย

           “หากเจ้ายังดื้อดึงเช่นนี้ ไม่แน่ว่าตอนนี้ข้าอาจจะบุกไปกำจัดนางปีศาจที่ตำหนักลุ่ยหวาเลยก็เป็นได้” ต้าเซียนเอ่ยปากขู่ ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ยอมลดมือลงจนเผยให้เห็นบาดแผลที่ช้ำจนเป็นสีม่วง “ดีที่เจ้ายังไม่สูญเสียปราณไปทั้งหมด มิเช่นนั้นเจ้าคงมิอาจเดินมาจนถึงที่นี่”

           “แล้วท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวน้ำเสียงอ่อน

           “ข้าแค่บังเอิญผ่านมา แล้วจึงเจอท่านที่กำลังมุ่งหน้ามาที่นี่พอดิบพอดี” ต้าเซียนกล่าวพลางปลดปล่อยขุมพลังไอเย็นออกมาเหนือบาดแผล ทำให้ลำคอที่มีสีม่วงช้ำค่อยๆเลือนหายไป สีหน้าขององค์รัชทายาทจึงกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง

           “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตำหนักลุ่ยหวาแต่อย่างใด"

           “เจ้าปิดบังข้าไม่ได้หรอก กลิ่นอายปีศาจจิ้งจอกยังอบอวลตัวเจ้าอยู่เลย ทั้งยังเป็นปีศาจตนเดียวกันกับที่ข้าพบในร่างขององค์หญิงหย่าเหลียน เจ้าปฏิเสธไม่พ้น”

           “แต่ปีศาจตนนั้นไม่ใช่หย่าเหลียน” ซวนหยวนหมิงไท่รีบค้าน

           “มิผิด ปีศาจตนนั้นมิใช่นาง ทว่าร่างและจิตใจของนางในตอนนี้ถูกปีศาจกลืนกินจนเป็นหนึ่งเดียวแล้ว” ต้าเซียนกล่าวความจริงโดยไม่อ้อมค้อม ทำให้ร่างที่อ่อนแรงต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตกตะลึง

           “แต่ หากข้า...มอบปราณบางส่วนให้ นางก็จะกลับมาเป็นมนุษย์ดังเดิม” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวตะกุกตะกัก แต่ต้าเซียนกลับทอดถอนใจ ก่อนหันมารักษาบาดแผลฉกรรจ์ที่หน้าอกเขาแทน

           “ที่ท่านถอนใจ เป็นเพราะนางไม่สามารถกลับมาเป็นมนุษย์ดังเดิมได้แล้วใช่รึไม่” รวบรวมความกล้าขึ้นไต่ถาม ขอเพียงแค่นางกลับมา นางจะโกรธเกลียดเขาแค่ไหน เขาก็จะไม่ปริปากบ่น

           ต้าเซียนที่กำลังแหวกสาบเสื้อที่ชุ่มเลือดออกถึงกับหยุดมือ เขาเลื่อนสายตาสีน้ำตาลอ่อนขึ้นมองใบหน้าของซวนหยวนหมิงไท่ กล่าวตอบสั้นๆ “อืม”

**********************************************

สงสัยคนเขียนจะต้องโดนจิ้มอีกหลายจึกเเน่ๆ 5555+  :z13:

ออฟไลน์ Umiko

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 :z13: ค้างคาใจมาก...สนุกมาก

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 24.1 ลงมือ



           “ท่านไปไหนมา ข้ากำลังจะออกไปตามหาท่านพอดี”

           สีหน้าที่ร้อนใจพลันเปลี่ยนเป็นสงบ เมื่อเขาก้าวเข้ามายังตำหนักเตี้ยนชิง ต้าเซียนหยุดตัวลงตรงหน้าเฟยหลง สองมือไขว้ประสานที่กลางหลัง สองตาจับจ้องมองความเป็นไปของอีกฝ่าย “มีอะไรกระนั้นรึ”

           “ท่านมาแล้ว เช่นนั้นจึงไม่มี” เฟยหลงตอบ ดวงตาดุจดั่งพญาอินทรีเปล่งประกายด้วยรอยยิ้ม ช่วงนี้เขาสัมผัสได้ถึงความสุข อาจเป็นเพราะมีท่านมหาเทพอยู่เคียงข้างกาย มาตรว่ามีสิ่งใดสามารถหยุดเวลาแห่งความสุขนี้ได้ เขาก็ยินดีแลกกับทุกสิ่ง ร่างแกร่งไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก คว้ากุมข้อมือเรียว จูงไปยังสถานที่แห่งหนึ่งอย่างเบิกบานใจ

           “เฟยหลง จะพาข้าไปไหน”

           “อุทยานหลวง” ร่างแกร่งตอบสั้นๆ สองมือกำชับมือน้อยแนบแน่น

           ภายใต้ท้องฟ้ายามเย็นที่แปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม เฟยหลงพาต้าเซียนตรงเข้ามายังเก๋งหกเหลี่ยมทางฝั่งตะวันตกของอุทยานหลวง อันเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้คนเดินตัดผ่านไปยังตำหนักอื่นเป็นบางครั้งคราว

           “จำได้แต่ก่อนท่านเคยเป่าขลุ่ยให้ไป๋เซ่อฟัง ท่านเล่นให้ข้าฟังสักเพลงบ้างได้รึไม่” เฟยหลงตรงไปนั่งเอนหลังพิงเสา ท่าทีผ่อนคลายอย่างยากที่จะเห็นได้นัก

           “อืม” เห็นแล้วต้าเซียนก็ไม่กล้าปฏิเสธ มือหนึ่งสอดเข้าไปในแขนเสื้อด้านซ้าย ก่อนดึงบางสิ่งออกมา

           ปรากฏเป็นท่อนไม้เรียวยาวที่มีบางส่วนบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย เถาวัลย์สีเขียวอ่อนประดับด้วยดอกไม้สีขาวเล็กๆพันเกี่ยวอยู่โดยรอบ ดูไปไม่คล้ายเป็นขลุ่ย แต่ต้าเซียนก็ยกมันขึ้นจรดริมฝีปาก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนปิดลงทั้งสองข้าง แลไม่นานเสียงแว่วดั่งฝันก็ดังออกมา

           ท่วงทำนองถูกบรรเลงผ่านปลายนิ้ว เนื่องเพราะเป็นบทเพลงที่ไม่มีอยู่บนพิภพมนุษย์ เสียงที่ดังออกมาจึงนุ่มนวลต่างจากบทเพลงทั่วไป ทั้งยังชโลมจิตใจคนฟังให้สงบท่ามกลางสายลมที่บางเบา

           แสงตะวันที่กำลังจะลับฟ้าสาดส่องใบหน้าครึ่งซีกของเฟยหลง ดูสง่างามและทรงพลังอย่างน่าประหลาด กลุ่มนางกำนัลราวห้าหกคนที่ผ่านทางมา ต่างก็หยุดตะลึงลานลงที่เก๋งหกเหลี่ยมแห่งนี้ แม้กระทั่งเหล่าทหารเองก็หยุดมองบุคคลที่กำลังเป่าขลุ่ย ด้วยรู้สึกเสมือนดั่งเทพเซียนบนฟากฟ้า

           “ท่านมหาเทพ จากนี้อีกสามวันพวกเราขึ้นเหนือกันดีรึไม่ จำได้ว่าท่านชื่นชมธรรมชาติแถบนั้นมาก”

           เสียงขลุ่ยหยุดลงแล้ว ปลายนิ้วของต้าเซียนชะงักหยุดลงกะทันหัน ใบไม้สีเหลืองปลิดปลิวร่วงหล่นจากต้นไม้ใหญ่ แสงอาทิตย์พานย้อมผืนฟ้าให้กลายเป็นสีแดงเข้มโดยพลัน แต่ดูว่าอีกไม่เกินสามวันท้องฟ้าในยามสว่างไสวจะต้องถูกย้อมไปด้วยความมืดมิด

           ใบหน้านวลต้องแสงตะวันจนดูแดงระเรื่อ เฟยหลงเอื้อมจับมือของร่างเล็กให้มั่น จากนี้ไปเขาจะไม่มีวันปล่อยสองมือนี้ไปเด็ดขาด เขาจะพาท่านมหาเทพเดินทางไปให้ไกลสุดหล้า มิให้มีใครพบเห็นอีก เท่านี้ท่านมหาเทพก็จะมองเขาแต่เพียงผู้เดียว

           “ข้า...ยังไปไม่ได้”

           ดวงตาดุจพญาอินทรีถึงกับวาวโรจน์เมื่อได้ยินคำปฏิเสธ มือที่กุมไว้ก็บีบกระชับแน่น ทว่าสีหน้าของร่างเล็กกลับไม่บ่งบอกถึงความเจ็บปวด เขาข่มกลั้นความโกรธเกรี้ยวไว้ในใจแล้วเค้นเสียงกล่าว “ทำไม”

           “เพราะข้ายังต้องกำจัดปีศาจจิ้งจอก จึงจำต้องใช้เวลาอีกสักระยะ แต่หากจบเรื่องแล้วข้าจะไปกับเจ้า ไปทุกๆที่เจ้าอยากไปดีรึไม่” ต้าเซียนตอบเสียงอ่อน หวังว่าคำพูดเหล่านี้จะช่วยดับไฟโกรธลงได้บ้าง

           “สักระยะที่ท่านว่าอีกนานแค่ไหนกัน” เฟยหลงตวาดเสียงดัง

           ต้าเซียนรู้สึกชาวาบกับความเย็นชานี้ เขารีบบีบย้ำมือของร่างแกร่ง เตือนให้รู้ว่าที่นอกเก๋งหกเหลี่ยมยังคงมีคนจับจ้องพวกเขาอยู่

           “พวกเจ้ามองอะไร หากยังอยากมีชีวิตอยู่ก็ไสหัวไปให้ไกล” เฟยหลงตวาดใส่กลุ่มคนที่มัวแต่จับจ้องมองพวกเขาโดยไม่รู้สึกถึงบรรยากาศที่ร้อนระอุ ทำให้เหล่านางกำนัลและเหล่าทหารถึงกับตัวสั่นงันงก ก่อนพากันก้มหน้าก้มตาถอยห่างออกไปอย่างเร็วรี่

           “เฟยหลง” ต้าเซียนขึ้นเสียงตำหนิ

           “ท่านกล่าวมา สักระยะของท่านนานแค่ไหนกัน” เฟยหลงเค้นถามคำตอบ ทว่าต้าเซียนกลับหลุบตาลงกล่าวเสียงเรียบ

           “ข้าจำเป็นต้องใช้เวลา ปีศาจจิ้งจอกแฝงตัวอยู่ในร่างมนุษย์ ข้ามิอาจบุ่มบ่ามเฉกเช่นครั้งก่อนได้อีก มิเช่นนั้นอาจต้องมีผู้บริสุทธิ์รับเคราะห์”

           เฟยหลงหัวเราะแล้ว หัวเราะด้วยน้ำเสียงขมขื่น เนื่องเพราะเขารู้เหตุผลที่แท้จริง “ไม่ เป็นเพราะท่านกลัวว่าเซียวถิงฟงจะว่ากล่าวท่าน ข้ารู้ หากร่างที่ปีศาจจิ้งจอกแฝงอยู่นั้นมิใช่องค์หญิงหย่าเหลียน มิใช่คนสำคัญของเขา ท่านคงกำจัดปีศาจตนนั้นให้สิ้นซากไปนานแล้ว ไม่รอให้เรื่องบานปลายจนถึงทุกวันนี้หรอก”

           ถ้อยคำดังกล่าวทิ่มแทงใจดำต้าเซียนได้อย่างถนัดถนี่ เป็นความจริงที่เขากลัวว่าจะโดนเซียวถิงฟงโกรธและเกลียด เนื่องเพราะองค์หญิงหย่าเหลียนเป็นคนพิเศษสำหรับชายหนุ่ม หากมิใช่เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเจ้าตัวจึงต้องเลือกที่จะแต่งงานกับองค์หญิงหย่าเหลียนด้วยเล่า

           เฟยหลงสังเกตเห็นความหม่นแสงในประกายตาคู่นั้น แม้จะไม่ชอบด้วยวิธีการนี้ แต่เขาก็จำเป็นต้องทำให้ท่านมหาเทพรู้สึกผิด เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้มองเห็นแต่เขา “หึ ในครั้งสงครามระหว่างพิภพสวรรค์กับแดนปีศาจ ท่านไม่เคยปราณีให้แก่ปีศาจหน้าไหน ท่านกำจัดพวกมันได้อย่างไม่ลังเล ทั้งยังสั่งกักขังข้า ให้ทนทุกข์อยู่ใต้ธารน้ำแข็งเป็นเวลานานนับพันปี ท่านไม่เคยปราณีแม้กระทั่งข้า” ประชดประชันจบก็เบนตัวหนี เดินออกไปยังฝั่งตรงกันข้าม

           “ฟะ เฟยหลง” ต้าเซียนฟังแล้วถึงกับพูดไม่ออก ทุกคำพูดของเฟยหลงล้วนบดขยี้ใจเขาทั้งสิ้น เขาแลเห็นความสิ้นหวังในแววตานั้น เกรงว่าตอนนี้เขาจำเป็นต้องเลือกแล้ว เลือกที่จะต้องทำร้ายใครสักคนหนึ่ง
ระหว่างเซียวถิงฟงและเฟยหลง

           ร่างน้อยสับสนอยู่ครู่ใหญ่ ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาแผ่นหลังที่สูงตระหง่าน “ข้าตัดสินใจแล้ว สามวันให้หลัง เราจะไปจากที่นี่ เราจะขึ้นเหนือกัน ข้าอยากชมทิวทัศน์แถบนั้น เจ้าว่าดีไหม”

           ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเฟยหลงก็ทอประกายขึ้นอีกครั้ง เป็นเพราะท่านมหาเทพเลือกที่จะอยู่ข้างกายเขา เขาจึงไม่มีคำพูดใดๆอีก เขาหันไปรั้งกระชับกอดร่างเล็กไว้ รับฟังเสียงหัวใจที่ดังขึ้นเป็นจังหวะ เฟยหลงยกยิ้ม รับรู้ได้ว่าอีกไม่นานหัวใจของท่านมหาเทพจะเป็นของเขาโดยสมบูรณ์


*****************************************************

               
           “ท่านจะลงมือวันนี้เลยรึ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวย้ำเพื่อความแน่ใจ ดวงตาเลิกกว้างอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยนัก

           “ข้าจำเป็นต้องจบเรื่องในเพลานี้”

           “แม้ว่าจะต้องหมางใจกับเซียวถิงฟง?” นี่เร็วเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้

           “อืม” ต้าเซียนยังคงยืนกรานอย่างหนักแน่น หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากทิ้งรอยแผล แลฝังความเกลียดชังเอาไว้ แต่กระนั้นหากเซียวถิงฟงมีอันต้องเป็นไปเพราะปีศาจจิ้งจอก เขาก็ยินยอมมิได้เช่นกัน

           “แล้วหลังจากนั้นท่านจะไปกับจอมมารเฟยหลงจริงๆรึ” องค์รัชทายาทถามย้ำ ในใจวาดหวังให้คนตรงหน้าพิจารณาดูใหม่

           “ข้า...ทำร้ายเขามาตลอด โดยที่มิเคยรู้ตัวแม้แต่น้อย ดังนั้นข้ามิอาจปล่อยปละเขาได้อีก อีกอย่างพิภพทั้งสามจะปลอดภัยหากข้าไปกับเขา” ต้าเซียนหลุบตาลงกล่าว

           “ท่านรักเขา?”

           “.......” คำถามนี้ต้าเซียนไม่ตอบทั้งยังก้มหน้านิ่งเงียบไป

           “ท่านรักเซียวถิงฟง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวจบก็พลันเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก พานให้นึกถึงสีหน้าเจ็บปวดของคนอีกผู้หนึ่ง

           ทั้งที่ทั้งคู่ต่างมีความรู้สึกรักต่อกัน ทว่าแต่ละคนกลับต้องถูกผูกมัดไว้ด้วยคำว่าหน้าที่และคำว่าคุณธรรมน้ำมิตร จนมิอาจคำนึงถึงความสุขของตนเองเป็นที่ตั้ง

           ฉะนั้นจะดีกว่าไหม หากคนที่จะต้องเสียใจ จะมีเพียงเขาผู้เดียว

           ถึงอย่างไรคนที่ควรจะรับผิดชอบต่อหย่าเหลียนมากที่สุด ก็ควรจะเป็นเขา มิใช่เซียวถิงฟง ซวนหยวนหมิงไท่คิดใคร่ครวญแล้วจึงกล่าวขึ้น “จอมมารเฟยหลงเชื่อว่าใจของท่านจะมีเพียงเขา หากท่านยอมติดตามเขาไป เช่นนั้นมิเท่ากับว่าท่านหลอกลวงเขาหรือ”

           ต้าเซียนถึงกับชะงัก เงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่เข้าใจเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ซึ่งหลังจากพบกับซวนหยวนหมิงไท่ที่ได้บาดเจ็บในเรือนพฤกษา ตนก็ได้บอกเล่าสัญญาระหว่างเฟยหลงให้อีกฝ่ายฟังจนหมดสิ้น

           ต่อเมื่อถึงวันที่รัศมีดวงตะวันถูกกลืนกินด้วยความมืดแล้ว หากตอนนั้นใจของเขามิได้เป็นของเฟยหลง เรื่องของสามพิภพคงยากที่จะจบลง เฟยหลงมาไกลเกินกว่าที่ยอมลงได้ เขารู้ดี ดังนั้นเขาจำต้องเลือกเฟยหลง ต้าเซียนยิ้มตอบ “ข้าเชื่อว่าสักวันข้าอาจจะรักเขาได้”

           องค์รัชทายาทชมมองรอยยิ้มฝืนๆแล้วต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางคิดในใจ เซียวถิงฟง ข้าพยายามที่จะรั้งเขาไว้แล้วนะ

           “สัญญากับข้า ท่านจะดูแลเขา” ต้าเซียนกล่าวคำขอร้อง

           “ท่านวางใจ เขาเป็นดั่งพี่น้องของข้า ข้าย่อมต้องดูแลเขา”

           “เช่นนั้นข้าก็วางใจ ข้าให้สัญญา นางจะเจ็บปวดน้อยที่สุด นางจะจากไปทั้งใจและกายที่ยังคงความเป็นมนุษย์ทุกประการ” ต้าเซียนลั่นวาจา ฉับพลันนั้นบรรยากาศรอบตัวก็เริ่มมีกลิ่นอายสูงส่ง ก่อนที่ร่างจะแปรเปลี่ยนดุจดั่งเม็ดทรายสีทอง ค่อยๆลอยละล่องไปตามกระแสลม

           รัชทายาทหนุ่มมองทรายทองที่เลือนลับไป มุมปากก็พลันยิ้มฝืดฝืน ความจริงแล้วต้าเซียนเองก็เฉกเช่นเดียวกับนาง...จับต้องมิได้ แม้อยากจะจับต้องมากเท่าใด กลับยิ่งเลือนหายไปมากเท่านั้น “ข้าขอโทษ หากเพื่อให้เจ้าได้กลับมาเป็นมนุษย์ในยามสุดท้ายของชีวิตแล้ว ข้าก็ยอมที่จะถูกเจ้าเกลียดไปตลอดชีวิต ยอมที่จะไม่สามารถแตะต้องเจ้าได้อีก” เขาพึมพำน้ำเสียงเศร้า ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นขึงขัง

           “เสี่ยวลู่ ข้าจะไปตำหนักลุ่ยหวาเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงทรงพลังกล่าวจบ เสี่ยวลู่ก็เข้ามาในห้องพร้อมน้อมกายตอบรับคำสั่ง

           ...............

           ........

           ...

           ยามเช้าของวันนี้มีท่าทีฝนจะตก ตกลงท่ามกลางอากาศที่ร้อนชื้นอบอ้าว ซวนหยวนหมิงไท่ขมวดคิ้วมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ทั้งยังสายลมแรงที่พัดผ่านพาให้ฝุ่นดินฟุ้งกระจายไปทั่วระหว่างทางไปตำหนักลุ่ยหวา เหล่าขันทีและองค์รักษ์ต่างยกมือปัดป้องฝุ่นที่ลอยคลุ้ง ต่างกับตัวเขาที่ทั้งไม่ปัดป้อง แต่ยังเดินนำฝ่าลมพายุไปอย่างไม่สะทกสะท้าน แลไม่นานก็แว่วเสียงสายลมที่ดังคล้ายกับเสียงของต้าเซียน

            “ซวนหยวนหมิงไท่ จำไว้ตอนนี้ปีศาจจิ้งจอกกลืนกินพลังปราณของเจ้าไปส่วนหนึ่งแล้ว จงหลีกเลี่ยงที่จะพบกับนางตามลำพัง แล้วนำพาถิงฟงออกมาโดยเร็วที่สุด อย่าได้ต่อปากต่อคำกับนางต่อ ข้าจะรอให้พวกท่านพ้นออกจากที่นี่แล้วจึงเข้าไปจัดการกับนางปีศาจจิ้งจอกตามลำพัง”

           “ท่านจะไม่เข้าไปพร้อมกับข้าหรอกรึ” ซวนหยวนหมิงไท่กระซิบถาม

           “ไม่ ตอนนี้ตบะของปีศาจจิ้งจอกกล้าแข็งขึ้นแล้ว หากข้าเข้าไปด้วย เกรงว่านางจะรู้ตัวและยิ่งทำให้พวกท่านตกอยู่ในอันตราย แต่มิต้องเป็นห่วงไป หากท่านพบถิงฟงแล้ว ข้ามั่นใจว่านางจะมิกล้าลงมือ เพราะนางยังคงมิกล้าเปิดเผยตัวจริงต่อหน้าเขา แต่หากมิเป็นเช่นนั้น ท่านจงเปิดใจให้ไป๋เซ่อเสีย เขาจะช่วยท่านได้มาก”
           
           “องค์รัชทายาท ดูว่าพายุกำลังมาอีกไม่นาน กระหม่อมว่าวันนี้พระองค์ทรงเสด็จกลับตำหนักก่อนดีไหมพะย่ะค่ะ”

           เสียงทักของเสี่ยวลู่แทรกผ่านตามกระแสลมแรง กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็มิได้ใส่ใจ ทั้งยังคงมุ่งมั่นฝ่าประแสพายุตรงไปยังตำหนักเบื้องหน้า ผู้ติดตามทั้งหลายจึงต้องก้มหน้าจ้ำอ้าวตามเข้าไปอย่างเร็วรี่

           เพียงก้าวแรกที่ย่างเข้าสู่ตำหนักลุ่ยหวา ก็ต้องรู้สึกถึงสิ่งที่ผิดแผกแตกต่าง ซวนหยวนหมิงไท่หันกลับไปมองยังที่ทางเข้าอีกครั้ง ฉับพลันนั้นเสียงอุทานของเหล่าองค์รักษ์ดังขึ้นแทบในทันที

           “เอ๊ะ ทำไม”

           ดูว่าเขามิได้คิดไปเองคนเดียว ที่ด้านนอกปรากฏเป็นท้องฟ้ามืดครึ้ม ทั้งยังมีแสงวูบวาบของสายฟ้าเป็นระยะๆ หากแต่ที่ด้านในท้องฟ้ากลับแจ่มใส แสงแดดแรงกล้า ทว่าชวนให้กายอ่อนล้า เขามองความไม่ธรรมดานี้ด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ทั้งๆที่อยู่ภายใต้ผืนฟ้าเดียวกัน แต่สภาพอากาศช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว

           อีกทางด้านหนึ่งภายในห้องบรรทมขององค์หญิงหย่าเหลียน เพลานี้ม่านพลังสีทองได้ปกคลุมไปทั่วร่างคนทั้งสอง กระแสพลังสีทองค่อยๆหลั่งไหลจากร่างของเซียวถิงฟงไปสู่ร่างของหย่าเหลียน

           เป็นอีกครั้งที่ร่างกายคล้ายถูกยื้อยุดหนักหน่วง ราวกับมีบางส่วนที่พร้อมจะแตกสลาย สมองถูกบีบรัดจนทำให้คิ้วขมวดมุ่น จวบจนริมฝีปากนุ่มผละออก ความทรมานเหล่านี้จึงค่อยๆคลายลง แต่กระนั้นภาพตรงหน้ากลับดูเชื่องช้าอย่างเห็นได้ชัด หย่าเหลียนคล้ายพูดอะไรบางอย่าง แต่ว่าเขามิอาจรับทราบได้ สายตาเลื่อนลอยนั้นมองตรงไปยังเพดานห้อง

           “ท่านพี่ พี่ถิงฟง”

           เป็นเวลานานกว่าที่จะรู้สึกตัว เปลือกตาขยับอย่างยากลำบาก ในที่สุดก็พบว่าตนกำลังนอนอยู่บนเตียง ด้วยร่างกายอันอ่อนเปลี้ยจนขยับมิได้ดั่งใจนัก มันเป็นเช่นนี้นับแต่เขาถ่ายเทพลังชีวิตส่วนหนึ่งให้อีกฝ่าย และมันก็หนักหนาขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตอนนี้

           “ท่านควรนอนพักสักครู่ ท่านสูญเสียพลังไปมาก” หย่าเหลียนรีบใช้มือดันร่างสูงที่พยายามจะลุกขึ้นให้นอนลงกับเตียง ยังผลเซียวถิงฟงต้องนอนแน่นิ่งไปอีกครั้ง จากนั้นนางก็ก้มลงกอดเขาไว้ กล่าวน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านพี่ ท่านอดทนอีกนิดเถิด อีกเพียงครั้งเดียว ข้าก็จะหายดีแล้ว” พอดีกับที่มีเสียงเอะอะดังขึ้นขัดที่หน้าห้อง ทำให้นางต้องรู้สึกขุ่นเคือง

           “ไม่ได้เพค่ะ โปรดทรงรอสักครู่เพค่ะ”

           “ถอยไป”

           เป็นเสียงปรามของนางกำนัลเว่ย และตามมาด้วยเสียงที่ทรงอำนาจ เซียวถิงฟงถึงกับได้สติ เรี่ยวแรงกลับมาโดยฉับพลัน เขาฝืนใช้เรี่ยวแรงที่มียันตัวขึ้นนั่ง ทั้งพยายามตีสีหน้าปกปิดความอ่อนล้าไว้

           ประตูถูกเปิดผาง ใบหน้าเคร่งขรึมองค์รัชทายาทกวาดไปรอบห้อง คราหนึ่งก็สบเข้าที่ดวงตาพยัคฆ์ ฝ่ายนางกำนัลเว่ยที่พยายามกระเสือกกระสนเข้าห้ามก็ถูกเหล่าองครักษ์ขวางกั้นไว้ชั้นหนึ่ง

           “ท่าน เหตุใดจึงต้องทำรุนแรงขนาดนี้ด้วย” องค์หญิงหย่าเหลียนโพล่งกล่าวอย่างไม่พอใจ

           “หย่าเหลียนงั้นรึ” ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็หลุดเอ่ยอย่างแปลกใจ ก่อนจะรีบหลุบตาที่เบิกกว้างลง

           “หากมิใช่ข้าแล้วท่านเห็นเป็นผู้ใด” นางกล่าวยอกย้อน ทว่ารัชทายาทหนุ่มกลับเบนหน้าหนี หันไปออกคำสั่งกับบุคคลในห้อง

           “รองแม่ทัพเซียวถิงฟง จากนี้ไปเจ้าโดนกักบริเวณ ห้ามเข้ามาที่ตำหนักลุ่ยหวาไม่มีกำหนด”

           “เดี๋ยว ท่านมีเหตุผลอะไร” หย่าเหลียนปรี่เข้าถามองค์รัชทายาท กระนั้นอีกฝ่ายยังคงเฉยเมย ไม่มองหน้านางสักนิด

           “ยังมิรีบไปอีก” ซวนหยวนหมิงไท่ตวาดสั้นๆให้กับเซียวถิงฟงที่ยังคงนั่งบื้อใบ้มองคนโต้เถียงกัน

           “ไม่ได้ ท่านพี่ไม่สบาย ยังไปไม่ได้”

           “อ่อ รองแม่ทัพเซียวไม่สบาย องครักษ์เสิ่น องครักษ์เมิ่ง แบกรองแม่ทัพออกไปจากตำหนักลุ่ยหวาเดี๋ยวนี้” เขาเลิกเสียงสูงสั่งให้องค์รักษ์ติดตามพาตัวคนออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ

           เซียวถิงฟงที่รู้สึกถึงอะไรบางอย่างก็รีบลุกขึ้น กล่าวในขณะที่องครักษ์ทั้งสองเดินเข้ามาประชิด “ข้าเดินเองได้”

           ด้านองค์หญิงหย่าเหลียนยังคงยืนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองดูองครักษ์ทั้งสองนำตัวเซียวถิงฟงออกไปจากห้องของตน จวบจนคนทั้งหมดลับไป นางก็หันมาตวาดใส่ชายผู้ซึ่งบ้าอำนาจ “ท่านทำเกินไปแล้วนะ” กล่าวจบก็เงื้อมือตีคนตรงหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว

           องค์รัชทายาทยั้งมือนางไว้ “ใครกันแน่ที่ทำเกินไป จริงสิ เจ้าหายป่วยแล้ว แต่น่าแปลกที่เซียวถิงฟงกลับต้องมาล้มป่วยเสียแทน”

           ดวงตาหวานถึงกับเบิกตากว้าง คิดไม่ถึงว่าความลับของนางกำลังถูกสงสัย เป็นเพราะนางใช้ประโยชน์จากความใจดีของเซียวถิงฟงเพื่อรั้งตัวเขาเอาไว้ แม้จะต้องเดิมพันด้วยชีวิตตนก็ตามที

           “ส่วนเรื่องที่เซียวถิงฟงป่วยเป็นอะไรเจ้าคงรู้แก่ใจดี” ซวนหยวนหมิงไท่ผละมือของนางทิ้งลง จากนั้นก้าวออกไปอย่างเย็นชา

           หย่าเหลียนขบเม้มริมฝีปากจนรู้สึกถึงรสปร่าของเลือด สองมือกำแน่นทั้งสั่นเทาไปด้วยความโกรธ นางเกลียดคนผู้นี้ เกลียดที่สุด แต่นางกลับทำอะไรเขามิได้ ได้แต่จิกเล็บลงบนฝ่ามืออย่างแรง ทว่าเสียงหัวเราะหนึ่งกลับดังขึ้นในสมอง นางพลันยิ้มกว้างขึ้นแล้ว

           “ท่านกำลังเล่นตลกกระไรกัน ข้าหวังว่าคงจะได้ฟังคำอธิบายจากท่านในอีกสองวันข้างหน้านะ มิเช่นนั้นนางไม่รอดแน่”
ในที่สุดเสียงแหลมอำมหิตก็ทักขึ้น ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับเสียวสันหลังวาบ สติสั่งตนเองมิให้หันกลับไปมอง จากบาดแผลเมื่อวันก่อนหากมิได้ต้าเซียนรักษาแล้ว เขาก็มิควรจะฟื้นตัวเร็วเช่นนี้ จะให้ดีที่สุดคือ เขาต้องรีบไปจากที่นี่โดยเร็ว ก่อนที่นางปีศาจจะรู้สึกผิดสังเกต

           “เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เซียวถิงฟงถามขึ้นเมื่อเห็นองค์รัชทายาทก้าวออกมาจากห้องบรรทมอย่างรีบร้อน

           “รีบไปเดี๋ยวนี้” องค์รัชทายาทเพียงสั่งให้คนของตนรีบไป ไม่สนใจตอบคำสหาย ดังนั้นเซียวถิงฟงจึงถูกองครักษ์ประกบตัวเดินไป โดยไม่ได้รับแม้แต่คำอธิบาย ด้านนางกำนัลเว่ยที่มีสีหน้าไม่พอใจก็ได้แต่นำเหล่านางกำนัลติดตามส่งเสด็จองค์รัชทายาทถึงหน้าตำหนักลุ่ยหวา

           ต่อเมื่อฝีเท้าของคนทั้งหมดลับไป ประตูห้องบรรทมที่ถูกเปิดทิ้งไว้ก็คล้ายถูกกระแสลมปิดลงโดยแรง กระนั้นกลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าในชั่วพริบตาดังกล่าว กลับมีคนผู้หนึ่งก้าวเข้าไปในห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
           

**********************************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 24.2 ลงมือ



           “พระองค์จะทรงบอกได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น” เซียวถิงฟงที่ซึ่งสะบัดหลุดจากการประกบตัวขององครักษ์โพล่งกล่าวออกมาเมื่อรั้งไหล่ของพระองค์ได้สำเร็จ

           “ท่านรองแม่ทัพเซียว โปรดสำรวมกิริยาของท่านด้วย” เสี่ยวลู่ ขันทีประจำพระองค์รีบกล่าวตำหนิ เมื่อเห็นอีกฝ่ายกระทำการมิบังควร

           “ช่างเถิด เสี่ยวลู่” องค์รัชทายาทกล่าวปรามคนรอบข้าง ก่อนหันไปประจันหน้ากับเจ้าของมือ

           “พระองค์ทรงมิใช่คนที่จะบุกเข้าไปยังตำหนักผู้อื่นโดยไม่มีสาเหตุ” เซียวถิงฟงคาดคั้น หากแต่ซวนหยวนหมิงไท่กลับปัดมือเขาทิ้ง ก่อนมองไปทางเหล่านางกำนัลขององค์หญิงหย่าเหลียนซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล
               
           “ออกไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

           เซียวถิงฟงรับฟังแล้วจึงเข้าใจ จากนั้นจึงได้ติดตามไปอย่างเงียบๆครั้นพ้นเขตตำหนักลุ่ยหวาก็ถึงทีซักถามข้อข้องใจ แต่ทว่ายังมิทันจะเอ่ยถาม ก็บังเกิดกระแสลมแรงพัดผ่าน ฝุ่นละอองคละคลุ้ง ยังผลให้ต้องเบนหน้าหลบ ดวงตาพยัคฆ์หยีลงแล้วจึงเผอิญสังเกตเห็นบางสิ่ง

           บางสิ่งที่ลอยผ่านไปกับกระแสลม ทั้งระยิบระยับส่องประกาย มันลอยละล่องผ่านเข้าไปยังตำหนักลุ่ยหวา คล้ายว่าเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน ความรู้สึกผิดแปลกพาให้สังหรณ์ใจขึ้น “พระองค์ทรงกล่าวได้แล้วกระมังว่าเหตุใดท่านจึงทรงทำเช่นนี้”

           “จนกว่าจะมีคำสั่งจากข้า ห้ามเจ้ามาที่ตำหนักลุ่ยหวาอีกเป็นอันขาด” องค์รัชทายาทกล่าวเสียงเข้ม มิสนใจท่าทีกำหมัดแน่นของอีกฝ่าย

           “ซวนหยวนหมิงไท่ ท่านกำลังปิดบังอะไรอยู่กันแน่” ครานี้เซียวถิงฟงเลิกพูดจาแบ่งยศแบ่งขั้นแล้ว

           “.........”

           “ท่านหลอกข้าไม่ได้หรอก ต้าเซียนกำลังจะทำสิ่งใดบอกมา”

           “ไปตำหนักเหวินหัว”

           อีกฝ่ายแสร้งเฉไฉ ทั้งยังเดินหนีเพื่อหลบเลี่ยงคำถาม ทว่าเซียวถิงฟงก็มิหยุดซักไซ้ “ต้าเซียน เขาเข้าไปยังตำหนักลุ่ยหวาใช่รึไม่ พวกท่านคิดจะทำอะไรกันแน่”

           ในที่สุดซวนหยวนหมิงไท่ก็หยุดฝีเท้าลง เขารู้จักนิสัยของเซียวถิงฟงดี หากมิได้คำตอบเจ้าตัวจะมิยอมเลิกราง่ายๆ ดังนั้นจึงตัดสินใจตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “สตรีนางนั้น มิใช่หย่าเหลียนที่เจ้ารู้จักอีกต่อไป นางเป็นปีศาจจิ้งจอกต่างหาก” กล่าวจบก็ก้าวฝีเท้าต่อ
           
           เซียวถิงฟงเบิกตากว้าง คำกล่าวที่ไม่รู้สึกรู้สานั่น ยังมีแผ่นหลังที่เดินออกไปอย่างเย็นชา จุดประกายให้เกิดเป็นความโมโหขึ้นมา เขาเดินปรี่เข้าไปกระชากสาบเสื้อทั้งสองข้างขององค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์

           เหล่าองครักษ์เห็นดังนั้นก็ตะโกนก้องแล้วพากันชักดาบออกมา“บังอาจ”

           “มิต้องเข้ามา” ซวนหยวนหมิงไท่ตวาดบอกองครักษ์ ก่อนจ้องมองเซียวถิงฟงที่กัดฟันไปพร้อมๆกับดวงตาที่วาวโรจน์

           “ท่านพูดอะไร ท่านก็เห็นอยู่มิใช่รึว่านางคือ หย่าเหลียน”

           จริงดังที่เซียวถิงฟงกล่าว สตรีที่เขาเห็นเมื่อครู่นั้นเป็นหย่าเหลียน หากแต่ในร่างของนางนั้นก็มีปีศาจจิ้งจอกแฝงอยู่เช่นกัน

           “แล้วท่านยังจะปล่อยต้าเซียนเข้าไปทำอะไร”

           “กำจัดปีศาจ”

           คำตอบดังกล่าวทำให้เซียวถิงฟงเลือดขึ้นหน้า เงื้อหมัดระรัวเข้าใส่ใบหน้าอีกฝ่าย ด้านซวนหยวนหมิงไท่ถูกหมัดชุดหนึ่งก็ริมฝีปากแตก บังเกิดเป็นโทสะคุกรุ่น ยกฝ่าเท้าเข้าถีบกลับที่หน้าท้องคนตรงหน้าอย่างแรง

           เซียวถิงฟงถึงกับล้มไปทางด้านหลัง แต่ในชั่วอึดใจก็ลุกขึ้นถลันเข้าโจมตีอีกครั้ง ส่งผลให้คนทั้งสองนอนกลิ้งเกลือกตะลุมบอนอยู่กับพื้น โดยมีเหล่าองครักษ์และขันทีน้อยเสี่ยวลู่ยืนมองกันเหงื่อตก

           “ท่านกำลังจะฆ่านาง นางยังมีหนทางรักษา”

           “รักษา รักษาโดยการสละพลังชีวิตของเจ้ารึ เจ้าคิดบ้างไหมว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างนาง เหตุใดจึงต้องช่วงชิงพลังชีวิตจากเจ้าด้วย นี่มันวิถีปีศาจชัดๆ” ซวนหยวนหมิงไท่ตวาดใส่คนที่นั่งคร่อมตนอยู่

           “แต่ข้าเชื่อใจนาง” เซียวถิงฟงสวนกลับ แม้จะรู้สึกได้ว่าเรื่องราวนั้นมีปัญหา แต่เขาก็อยากจะเชื่อใจหย่าเหลียน เชื่อว่านางจะต้องคิดได้และกลับมาเป็นดังเดิม

           “เจ้าต้องรอให้ใครตายก่อนรึ ถึงจะเข้าใจ”

           “นางไม่เคยทำร้ายใคร”

           “เจ้าอาจยังไม่รู้ นับตั้งแต่นางหมั้นกับเจ้าจนถึงวันนี้ เราพบศพทหารหนุ่มสามคนที่โดนปีศาจทำร้าย”

           “หลักฐานล่ะ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นนาง”

           องค์รัชทายาทหนุ่มกัดฟันกรอดด้วยอารมณ์ที่ถึงขีดสุด เขาตวาดโพล่งอย่างเจ็บปวด “เพราะปีศาจก็คือนาง และนางก็เป็นปีศาจ นางไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว ข้าเห็นกับตา”

           ครานี้เซียวถิงฟงถึงกับชาวาบไปทั้งตัว ดวงตานิ่งค้างไปชั่วขณะ เห็นท่าทีดังกล่าวแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ก็พอจะรู้ว่าเซียวถิงฟงต้องระแคะระคายอยู่บางส่วน “ข้าเชื่อว่าในใจเจ้าส่วนหนึ่งต้องรู้ว่านางเกี่ยวข้องกับปีศาจ” เขากล่าวน้ำเสียงอ่อน คิดว่าคงจบเรื่องเสียที

           “แต่ท่านไม่ควรทอดทิ้งนาง”

           ทว่าเสียงเบาๆที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของเซียวถิงฟง ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องรู้สึกราวกับโดนมีดกรีด

           “มิใช่เพราะท่านต้องการแบบนี้หรือ ท่านต้องการให้ใครสักคนอยู่เคียงข้างนาง ดังนั้นเมื่อตอนเรายังเด็ก ท่านจึงชอบชวนข้าไปเล่นแถวตำหนักลุ่ยหวา ท่านหลอกข้าว่าที่นั่นเป็นตำหนักร้าง ทั้งยังให้ข้าลอบเข้าไปจนพบกับนาง จากนั้นมาท่านเองกลับไม่เคยเฉียดกายเข้าไปใกล้ตำหนักลุ่ยหวาเลยสักครั้ง ท่านยังแสร้งให้ผู้อื่นมาบอกเล่าเรื่องราวของนางให้ข้าฟัง เพื่อให้ข้ากลับไปเยี่ยมเยือนตำหนักนั้นบ่อยๆ มิใช่เป็นเพราะท่านไม่ต้องการให้ข้าทอดทิ้งนางรึ” เซียวถิงฟงคำรามก้อง

           เหตุใดกัน เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ มันผิดพลาดที่ตรงไหนกัน

           ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วถึงกับนิ่งอึ้ง ความลับที่ตนเพียรซ่อนไว้กลับถูกคนตรงหน้าล่วงรู้มาตลอด เริ่มแรกเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเขารู้จักนิสัยของเซียวถิงฟงดี แม้ภายนอกจะฉุนเฉียวดูเจ้าอารมณ์ไปบ้าง ทว่าเนื้อแท้กลับคนอ่อนโยน ฉะนั้นเขาจึงเชื่อมั่นว่าคนอย่างเซียวถิงฟงจะไม่มีทางปล่อยให้หย่าเหลียนต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในตำหนักที่ไม่มีใครเหลียวแล

           ดังนั้นเขาจึงแสร้งหลอกให้อีกฝ่ายลอบเข้าไปยังตำหนักลุ่ยหวา กระทั่งใช้ให้เหล่าข้ารับใช้แสร้งทำเป็นพูดคุยกันถึงสภาพอันน่าหดหู่ของหย่าเหลียนให้เซียวถิงฟงรับฟัง จนอีกฝ่ายบังเกิดเป็นความรู้สึกสงสารและกลับไปคอยดูแลนางบ้างเป็นครั้งคราว

           ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อหย่าเหลียน เพียงเพื่อให้นางมีคนคอยอยู่เคียงข้างกาย ดวงพลันอับแสงลง “ข้า...เป็นเพราะข้าไม่สามารถทอดทิ้งนางได้ ข้าจึงต้องทำ ข้าไม่สามารถยอมให้นางกลายเป็นปีศาจได้ หากแม้นว่ามีวิธีเดียวที่จะทำให้นางกลับมาเป็นมนุษย์ด้วยการต้องแลกกลับชีวิตของนางนั้นข้าก็ยอม”

           นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาสามารถทำให้นางได้ ต้องโทษที่เขาละเลยนางมาตลอด หากเขาเข้าใจนางมากกว่านี้ เข้าใจว่านางเจ็บปวดถึงเพียงใด เข้าใจว่านางมิได้เข้มแข็งอย่างที่คิด เขาคงจะไม่ยอมหันหลังให้กับนาง และนางเองก็คงไม่ยินยอมพึ่งพิงพลังของปีศาจเช่นกัน

           ดังนั้นเมื่อปรึกษากับต้าเซียนอย่างจริงจัง แลได้รับรู้วิธีสุดท้ายที่จะช่วยหย่าเหลียน แม้วิธีนั้นจะไม่สามารถรักษาชีวิตของนางได้ แต่อย่างน้อยนางก็จะยังคงเป็นมนุษย์ และวิญญาณของนางก็จะไม่ตกลงสู่ความมืดมิดตลอดกาล เขาจึงยินยอมตกลง
มาตรว่าจะเป็นวิธีที่โหดร้าย และสุดท้ายนี้นางอาจจะไม่อภัยให้เขา กระนั้นเขาก็จะยอมเป็นผู้แบกรับความเกลียดชังของนางไว้เอง

           “ท่านกล่าวอะไรออกมา ท่านยอมให้ต้าเซียนฆ่านาง ทั้งๆที่ท่านรักนาง” เซียวถิงฟงกล่าวอย่างไม่เชื่อหู

           “ถิงฟง เจ้าต้องเข้าใจข้า ข้าซึ่งเป็นองค์รัชทายาทมีหน้าที่ต้องดูแลคนในวังหลวง ทั้งยังต้องดูแลพสกนิกรทั่วหล้า ข้ามิอาจปล่อยให้ปีศาจทำร้ายผู้คนของข้า แม้ว่าปีศาจผู้นั้นจะเป็นคนที่ข้ารักก็ตามที” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวน้ำเสียงสั่น ทว่าดวงตาทอประกายแน่วแน่

           เซียวถิงฟงมองดวงตาคู่นั้นแล้วต้องเบนหลบ “ข้าเข้าใจท่าน” เขาหยุดน้ำเสียงไปชั่วครู่ก็เค้นเสียงกล่าวต่อ “แต่ข้าทำใจยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ ตัวข้าเคยสัญญากับนางไว้ว่าจะไม่ทอดทิ้งนาง และข้ามิอาจเห็นคนรอบกายข้าต้องจากไปต่อหน้าต่อตาเช่นกัน” กล่าวจบก็หยัดยืนขึ้น หันกายกลับไปยังตำหนักลุ่ยหวาอีกครั้ง

           ดวงตาของซวนหยวนหมิงไท่เลิกกว้าง โพล่งเสียงกล่าว “จับเขาไว้ อย่าให้เขาเข้าไปได้”

           สิ้นเสียงคำสั่ง เหล่าองครักษ์สี่ถึงห้านายต่างก็ดาหน้าเข้าไปจับตัวรองแม่ทัพ กระนั้นเซียวถิงฟงกลับใช้ออกด้วยวิชาเร้นกาย หลบหลีกการจับกุมไปได้อย่างไม่ยากลำบาก จวบจนซวนหยวนหมิงไท่ปราดเข้าขวาง ทั้งยังวาดปลายแขนหมายฟาดมาที่ลำคอ เขาก็ต้องถลาหลบโดยพลัน

           “ข้าไม่อยากสู้กับท่าน ปล่อยให้ข้าเข้าไปเถอะ”

           “ไม่ หากเจ้าต้องทำเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เห็นว่าเจ้าเป็นเพื่อนข้าอีก” รัชทายาทหนุ่มกล่าวจริงจังแล้วบุกเข้าจู่โจมทันที เขาใช้กระบวนท่าที่ฝึกกับไป๋เซ่อ ส่งผลให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่คุ้นเคยกับกระบวนท่าที่แปลกไป

           เซียวถิงฟงจำต้องถอยร่นไปไกลจากตัวตำหนักลุ่ยหวา มาตรว่าเคยเห็นอีกฝ่ายฝึกซ้อมกระบี่กับไป๋เซ่ออยู่บ้าง แต่กระนั้นก็มิเคยได้ประชันฝีมือกันจริงๆ ซึ่งท่วงท่าที่ซวนหยวนหมิงไท่ใช้ออกนั้น บ้างเชื่องช้า ทว่าเมื่อจู่โจมกลับกับแปรเปลี่ยนเป็นรวดเร็ว ยังผลให้เขาสับสน แม้ตอนนี้จะไม่มีไป๋เซ่อที่เป็นกระบี่พิสุทธิ์ แต่ท่วงท่าที่แสดงออก ก็ทำให้เขารับมือยากยิ่ง

           แต่เกรงว่าหากชักช้ากว่านี้คงไม่ทันการณ์ “ข้าขอโทษ” เขาพึมพำแล้วบุกเข้าหาโดยตรง ต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายรอรับกระบวนท่าอยู่แล้ว ก็เกร็งกำลังภายในที่ฝ่ามือ ซัดไปยังด้านข้าง

           ด้วยรู้ว่าสู้พละกำลังภายในของสหายไม่ได้ ซวนหยวนหมิงไท่จึงตัดสินใจปัดฝ่ามือนั้นออก มิคาดว่าเซียวถิงฟงกลับได้จังหวะเคลื่อนย้ายพลังที่ฝ่ามือมายังท่อนแขน จวบจนปะทะมือกันก็บังเกิดเป็นพลังสะท้อนขึ้น ยังผลให้ร่างของเขากระเด็นถอยหลังไปราวเจ็ดแปดก้าว

           “องค์รัชทายาท” เสี่ยวลู่ถึงกับร้องอย่างตกใจ เมื่อเห็นองค์รัชทายาทกระเด็นถอยหลังไปไกล ยิ่งไปกว่านั้นต้นไม้ใหญ่ที่ด้านหลังกลับถูกหักโค่นลง ด้านองค์รักษ์ก็วิ่งมาล้อมผู้เป็นรัชทายาทอย่างเป็นห่วง

           ดีที่ตนควบคุมพลังเซียนในร่างไว้ได้ มิเช่นนั้นคงต้องรู้สึกผิดไปตลอดกาล เซียวถิงฟงมองหน้าสหายที่อยู่ไกลออกไปด้วยรู้สึกผิด ด้านองค์รัชทายาทก็มองสบสายตาตอบอยู่เช่นกัน

           “เซียวถิงฟง เป็นเพราะต้าเซียนรักเจ้า เขายอมมิได้หากเจ้าต้องถูกปีศาจทำร้าย เข้าใจไหม” ซวนหยวนหมิงไท่ตะโกนบอก

           เซียวถิงฟงรับฟังแต่ก็หันหลังให้ เขากำหมัดแน่นก่อนทำใจกล่าว “ข้าก็เช่นกัน เป็นเพราะข้ารักเขา ข้าจึงยอมไม่ได้เช่นกัน” กล่าวจบก็ออกวิ่งไปยังตำหนักลุ่ยหวาอย่างสุดฝีเท้า เสียงขององค์รัชทายาทที่แฝงความห่วงใยยังคงดังไล่หลังตามมา แต่กระนั้นเขาก็ยังคงเลือกที่จะไปต่อ

           ม่านหมอกสีขาวขุ่นปกคลุมอยู่เบื้องหน้า ดูว่ามันเกิดขึ้นในขณะที่พวกเขาออกมาจากตำหนักลุ่ยหวาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกลับไม่มีใครสังเกตเห็น หรือเกรงว่าอาจมีเพียงเขาที่สังเกตเห็นมันก็เป็นได้ เซียวถิงฟงปรายตามองหมอกหนาที่โอบรอบบริเวณตำหนัก เพียงชั่วครู่ก็พบเจอช่องว่างที่มีขนาดไม่ใหญ่อยู่มุมหนึ่ง ซึ่งช่องดังกล่าวยังคงมีท่าทีหดเล็กลงเรื่อยๆ เขาพลันเร่งฝีเท้า กระโจนตัวเข้าไปอย่างไม่ลังเล

           บรรยากาศที่น่าอึดอัด ชวนให้คลื่นไส้ถาโถมเข้าใส่ ครั้นร่างผ่านรอยต่อของม่านพลัง เข่าข้างหนึ่งก็ถึงกับทรุดลงไปกับพื้น เขานิ่งพักปรับสายตาจนเมื่อเป็นปกติแล้วจึงเงยหน้าขึ้น ครั้งหนึ่งซวนหยวนหมิงไท่แสร้งบอกว่าตำหนักลุ่ยหวาเป็นตำหนักร้าง แต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ทว่าความเงียบสงัดที่ตนได้สัมผัสในขณะนี้ กลับคล้ายว่ามันเป็นตำหนักร้างอย่างแท้จริง

           ตอนนี้เขารู้เพียงว่าต้องหยุดต้าเซียนไว้ สำหรับเขาแล้วหย่าเหลียนก็เปรียบเสมือนน้องสาว แม้มิได้มีสายเลือดเกี่ยวข้อง แต่เขาก็คอยดูแลนางมาตั้งแต่เด็ก ทั้งเข้าใจบาดแผลในใจของนางดี จึงมิอาจหักใจทนเห็นใครทำร้ายนางได้ และยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นั้นจะต้องมิใช่ต้าเซียน เพราะเขามิยินยอมให้เรื่องของพวกเขาต้องจบลงด้วยการเข้าหน้าไม่ติด


*****************************************************


           ย้อนกลับไปหลังจากที่คนกลุ่มหนึ่งทยอยออกมาจากตำหนักลุ่ยหวา ต้าเซียนที่รอคอยอยู่ด้านนอกมานานก็สบโอกาส ร่างเฉกเช่นเม็ดทรายสีทองก็หลั่งไหลผ่านร่างขององค์รัชทายาทและเซียวถิงฟงไปยังตำหนักด้านใน พร้อมกันนั้นก็ร่ายมนตร์ปิดกั้นอย่างไม่รอช้า ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออกที่นี่ได้อีก ต่อเมื่อเสร็จสิ้นจึงค่อยๆก่อตัวขึ้นเป็นร่างของมนุษย์

           “เจ้าเป็นใคร” นางกำนัลผู้หนึ่งร้องทัก ต่อเมื่อเห็นแผ่นหลังคนผู้หนึ่งปรากฏกลางตำหนัก คนผู้นี้มีรูปร่างสูงเพรียว สวมอาภรณ์ขาวสะอาด เส้นผมสีน้ำตาลที่ต้องประกายแดดจนเกิดกลายเป็นสีทองนั้นรวบขึ้นและปักด้วยปิ่นไม้ เส้นผมที่เหลือปล่อยยาวจนถึงช่วงกลางหลัง

           แม้จะมิได้เห็นรูปหน้าแต่ก็สัมผัสได้ถึงบารมีรอบตัว นางเอื้อมมือออกไปหาร่างสีขาว แต่ก็ต้องชะงักมือค้างเมื่อเจ้าของร่างหันกลับมาพอดี แลชั่วขณะที่ได้เห็นอีกฝ่าย นางก็ตื่นตะลึงวูบ จวบจนดวงหน้างดงามนั้นก็ขยับเข้าใกล้ เปล่งน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ราวกับหลอมละลาย สองขาของนางก็ต้องอ่อนยวบลง เปลือกตาพลันหนักอึ้ง

           กระทั่งร่างอรชรล้มนอนอยู่กลางอุทยาน เฉกเช่นเดียวกับผู้คนในตำหนักลุ่ยหวา ต้าเซียนที่เหลียวมองไปรอบๆก็เริ่มวางใจ จากนี้ไปจะไม่มีใครสามารถขัดขวางเขาในระหว่างที่กำจัดปีศาจจิ้งจอกได้อีก ว่าแล้วก็รุดฝีเท้าไปข้างหน้า ก่อนหยุดตัวลงในตำหนักรับรองที่เงียบสงัด

           ครั้นกวาดตามองรอบหนึ่งก็เดินเข้าไปยังตำหนักชั้นใน ระหว่างนั้นก็พยายามซ่อนเร้นกลิ่นอายของตนให้ได้มากที่สุด จวบจนมาถึงหน้าเรือนบรรทม ก็คล้ายกับมีเสียงกระซิบกระซาบจากภายใน ซึ่งเสียงกระซิบนี้ย่อมต้องเป็นเสียงขององค์หญิงหย่าเหลียน แต่ทว่าผู้คนในตำหนักต่างตกอยู่ในห้วงนิทรา

           เช่นนั้นนางกำลังพูดคุยอยู่กับใครกันเล่า?

           ต้าเซียนขมวดคิ้วอิงหลังแนบติดอยู่กับผนัง จากนั้นจึงเคลื่อนตัวไปทางด้านประตูอย่างเงียบเชียบ แลไม่นานดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็ถึงกับเบิกกว้าง กายพลันเบี่ยงหลบ พร้อมกันนั้นพลังขุมหนึ่งก็เข้าปะทะที่หน้าประตูจนเกิดเป็นเสียงดังระเบิด

           ตูม


*********************************************

อัพบทนี้ล่ะรีบเผ่น  :katai5:  55555+ ติดตามต่อพุ่งนี้จ้า

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ยิ่งอ่านยิ่งกลียดถิงฟงอะ ปากบอกทำเพื่อต้าเซียนตอนอ่านนี่เบ้ปากแรงมาก

แต่สงสารเฟยหลงอะ เราปลอบใจให้ได้นะ :impress2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 25.1 ตัดขาดความสัมพันธ์



           เห็นองค์รัชทายาทที่รีบร้อนออกจากห้องไปด้วยใบหน้าซีดขาวจิ้งจอกเหม่ยซินก็ยกยิ้มมุมปาก เพลานี้ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของเซียวถิงฟงหรือองค์รัชทายาทก็ล้วนตกอยู่ในกำมือของนาง อดมิได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะขึ้น ทว่ายังมิทันทั่วท้อง นางก็ต้องรีบกลืนเสียงลงในลำคออย่างรวดเร็ว

           เป็นเพราะพลังกดดันหนักหน่วงที่แผ่กำจายเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องนึกพรั่นพรึงอยู่ในใจ แลไม่นานประตูที่เปิดทิ้งไว้ก็ถูกลมพัดจนปิดสนิท พร้อมกันนั้นเสียงของบุรุษผู้หนึ่งก็ดังขึ้นมา

           “เจ้ากำลังเล่นอะไรอยู่ เหม่ยซิน” เสียงดุดันเนิบนาบนั้นแฝงแววตำหนิ เพียงแค่นี้ก็ทำให้จิ้งจอกเหม่ยซินต้องตัวสั่นเทิ้มอย่างห้ามมิอยู่

           “เหม่ยซิน คารวะท่านจอมมาร” นางเยื้องกายหันมาคำนับอย่างนอบน้อม ทั้งพยายามกลบเกลื่อนน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด สายตาก็ลอบชำเลืองขึ้นมองอีกฝ่าย ขณะนี้ผู้เป็นจอมมารกำลังเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งยืนพิงเสาใกล้เตียงนอนด้วยท่าทีเงียบขรึม สายตาคมกริบดั่งพญาอินทรีก็จดจ้องมองนิ้วมือของตนเองอย่างไม่ยี่หระ

           เห็นดังนั้นจิ้งจอกเหม่ยซินก็ยิ้มกว้างขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นใช้โอกาสนี้เดินเข้าไปหาบุรุษตรงหน้า บดเบียดร่างกายที่สะพรั่งพร้อมเข้าใส่ ”ท่านจอมมาร เหม่ยซินคิดถึงท่านมากทีเดียว ดีที่ท่านมาเสียก่อน มิเช่นนั้นข้าคงต้องบุกไปพบท่านที่ตำหนักเตี้ยนชิงเป็นแน่” นางกล่าวอย่างออดอ้อน

           “หึ หึ ข้าจำต้องมาหาเจ้าก่อนอยู่แล้ว” สายตาคมเลื่อนจากปลายนิ้วไปยังเจ้าของใบหน้าเย้ายั่วที่คืนสู่ร่างที่แท้จริง มุมปากก็พลันหยักยิ้ม

           ปีศาจจิ้งจอกบังเกิดความย่ามใจ หมุนกายโอบรอบลำคอแกร่งไว้ ใช้สายตาหยาดเยิ้มจ้องมองพลางขยับริมฝีปากเข้าไปใกล้ ดูว่าแม้แต่ท่านจอมมารก็มิได้บ่ายเบี่ยง จวบจนริมฝีปากใกล้จะสัมผัส เฟยหลงก็กล่าวน้ำเสียงเหี้ยมขึ้น

           “คราก่อนข้าสั่งให้เจ้าทำกระไร”

           ดวงตาของเหม่ยซินกระตุกลุกวาว ริมฝีปากสั่นระริก นางรีบลดมือลงจากรอบคอจอมมาร นำพาตนเองถอยหลังคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว ”ทะ ท่านจอมมารสั่งให้ข้าน้อยสังหารเซียวถิงฟงเสีย” นางกล่าวน้ำเสียงสั่นเครือ

           “แล้วเจ้าทำสำเร็จแล้วหรือไม่”

           “ขะ ข้าน้อย”

           “ดูว่าเจ้าคงได้ของเล่นชิ้นใหม่ เลือดเนื้อปราณมังกรของทายาทโอรสสวรรค์ คงทำให้เจ้ากระหายมากเสียจนลืมคำสั่งของข้าใช่รึไม่” ดวงตาของเฟยหลงฉายแววเกรี้ยวกราด

           จิ้งจอกเหม่ยซินสบเข้าแล้วก็ต้องเสียวสันหลังวาบ เหงื่อเย็นเยียบไหลซึมแนบหน้าแก้ม นางรีบปฏิเสธพัลวัน ”มิใช่เช่นนั้น ข้าน้อยเพียงแต่”

           “เจ้ากำลังทำให้แผนของข้าล้มเหลว รู้ความผิดของเจ้ารึไม่”

           น้ำเสียงทรงพลังดังก้องขึ้นแล้ว ยังมีดวงตาแววโรจน์ที่ทำให้นางต้องทรุดเข่าก้มลงโขกศีรษะไม่หยุดหย่อน “ดะ ได้โปรดละเว้นโทษตายให้ข้าน้อยด้วย เหม่ยซินสำนึกผิดแล้ว” เพลานี้นางยังมิอยากตาย

           เฟยหลงมองสภาพหวาดกลัวของนางจิ้งจอกแล้วก็แค่นสียงหัวเราะในลำคอ “หึ หึ ก็ได้ ข้าคงไม่ลงโทษตายเจ้า แต่เจ้าคงต้องพิสูจน์ฝีมือของตัวเองเสียหน่อย”

           “ท่านจอมมารหมายความว่ากระไร” นางเงยหน้าถามอย่างงงงัน

           ด้านเฟยหลงก็เคลื่อนกายเข้าหา ก้มลงกระซิบใกล้ริมหูของนาง “อีกไม่นาน ท่านมหาเทพจะรุดมาที่นี่ มาเพื่อกำจัดเจ้าพร้อมทั้งร่างที่เจ้ากำลังใช้ประโยชน์อยู่นี้ หากเจ้ายังอยากมีชีวิตสืบต่อไป ก็จงทำให้เซียวถิงฟงเชื่อมั่นว่านางผู้นั้นยังคงมีทางรอดอยู่ แต่หากทำไม่สำเร็จ เจ้า...” ใบหน้าเขาฉายแววยิ้ม “คงต้องจบชีวิตในเงื้อมมือของท่านมหาเทพ”

           สิ้นคำดังกล่าวจิ้งจอกเหม่ยซินก็ตะลึงวูบ นางรีบไขว่คว้าขาของร่างแกร่งพลางกอดไว้แน่น ”ได้โปรดท่านจอมมารช่วยข้าน้อยด้วยเถิด ข้าน้อยผิดไปแล้ว” นางอ้อนวอนซ้ำไปซ้ำมาด้วยใบหน้าที่ขาวซีด

           ด้านเฟยหลงกลับยิ้มเหี้ยมอย่างมิได้เห็นใจ เขาหยัดกายขึ้นตรง มองออกไปยังประตูที่ปิดสนิท ...ท่านมหาเทพมาแล้ว

           “ข้าจะเปิดทางให้เจ้าเป็นครั้งสุดท้าย” เฟยหลงกล่าวน้ำเสียงเบาบาง ด้านนางจิ้งจอกก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ เขาไม่รอช้า สะบัดฝ่ามือไปที่ทางเข้า พลังสายหนึ่งพุ่งกระแทกไปที่ประตู จนเกิดเป็นเสียงระเบิดดังตูม พร้อมกันนั้นร่างก็ค่อยๆเลือนรางหายไป ทว่าในช่วงเวลาประหนึ่งลัดนิ้ว สายตาดุจพญาอินทรีก็สะดุดเข้ากับบางสิ่งตรงมุมห้อง เขามองมันอย่างคลางแคลงใจก่อนจะอันตรธานหายลับไป

           รอจนควันสีขาวคละคลุ้งคลายตัวลง ต้าเซียนก็ก้าวเข้าในที่ว่างเปล่า เป็นไปได้ว่าปีศาจจิ้งจอกไหวตัวทัน จึงหนีเอาตัวรอดไปเสียก่อน กระนั้นยังมีสิ่งหนึ่งที่ตนมั่นใจ นางปีศาจมิได้รู้ตัวมาก่อน...หากแต่เป็นเพราะบุคคลที่อยู่ที่นี่ ว่าแล้วก็รีบออกไล่ล่าตามกลิ่นอายของปีศาจต่อ

           จิ้งจอกตัวสีน้ำตาลกัดฟันวิ่งลอดไปตามพุ่มไม้อย่างสุดฝีเท้า นี่เป็นเพราะนางคาดการณ์ไว้ผิด ด้วยคิดว่าตราบใดที่เซียวถิงฟงยังคงเชื่อว่าองค์หญิงหย่าเหลียนมิใช่ปีศาจ และยังคงให้การปกป้องนางนั้น ท่านมหาเทพก็จะมิมีวันแตะต้องนางได้อีก แต่มาตอนนี้ท่านมหาเทพกลับกระทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ด้วยคิดกำจัดนาง โดยมิสนใจว่าจะต้องแตกหักกับเซียวถิงฟง

           ไม่ทันได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ ลำแสงสีทองก็พุ่งวาบจากทางด้านหลัง จิ้งจอกเหม่ยซินแหงนหน้ากลับไปด้วยความตื่นตะลึง เพลานี้ร่างสูงส่งได้ปรากฏกายแล้ว ยังมีลำแสงที่ตามเข้ามาปะทะเข้ากับนางอย่างจัง

           ต้าเซียนไล่ตามจิ้งจอกไปอย่างกระชั้นชิด ครั้นได้จังหวะก็สะบัดปลายนิ้วส่งพลังเข้าหยุดความเคลื่อนไหว ยังผลให้ปีศาจจิ้งจอกต้องล้มลงโลหิตหลั่งไหล ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด ครั้นเดินเข้าไปใกล้ มันก็ส่งเสียงขู่ใส่ จากนั้นสะบัดตัวหายเข้าไปในพุ่มไม้ที่ด้านหลัง เขาได้แต่ส่ายหัวน้อยๆกับการละเล่นวิ่งไล่จับ กระนั้นก็ยังไม่ประมาท ประเมินทางหนีทีไล่แล้วจึงวกอ้อมไปอีกทางด้านหนึ่ง

           นางปีศาจวิ่งหนีตาย อาศัยมุดลอดพุ่มไม้หนาที่อันยากแก่การเสาะหา จวบจนเห็นว่าท่านมหาเทพมิได้ติดตามมาอีกก็ตัดสินใจหยุดลง ใช้ลิ้นเลียบาดแผลที่ขาซึ่งปรากฏโลหิตไหลเป็นทางยาว ในใจก็แทบอยากจะฉีกทึ้งใครสักคนเพื่อสงบอารมณ์ขุ่นแค้น แต่แล้วทันใดนั้นเสียงของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้นใกล้ๆ นางถึงกับแสยะยิ้ม “โอกาสที่ท่านจอมมารเฟยหลงมอบให้ ข้าย่อมต้องสำเร็จ ฮึ ฮึ”

           ตั้งแต่เห็นซากประตูห้องบรรทมที่ทลายด้วยแรงระเบิด ภายในห้องไร้วี่แววผู้คน เซียวถิงฟงก็เริ่มกระวนกระวายวิ่งพล่านไปทั่วอุทยาน เขากวาดตามองไปรอบๆอย่างสับสน มาตรว่ามุ่งหมายจะหยุดยั้งการกระทำของต้าเซียน แต่ ณ ตอนนี้เขาควรตามหาใครก่อน?

           “หย่าเหลียน” สุดท้ายก็ร้องเรียกบุคคลที่น่าเป็นห่วงที่สุดในขณะนี้ แม้ที่เรือนบรรทมจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น กระนั้นกลับไม่พบร่องรอยการต่อสู้ ซึ่งบางทีหย่าเหลียนอาจจะหลบหนีไปแล้วก็เป็นได้

           “ท่านพี่”

           ฉับพลันที่ได้ยินเสียงร้องโอดโอย เซียวถิงฟงก็รีบตรงไปที่ทิศทางหนึ่ง ใช้มือแหวกเอาพุ่มไม้สูงใหญ่ตรงหน้าออก แล้วจึงพบเป็นสตรีนางหนึ่ง ”หย่าเหลียน” เขาร้องอย่างตกใจ เมื่อเห็นโลหิตที่เปราะเปื้อนไปทั่วเรียวขาซ้ายของนาง

           จิ้งจอกเหม่ยซินโผเข้ากอดชายหนุ่มทันที ทั้งไม่ลืมดึงเอาจิตที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจสะกดออกมาใช้ ส่งผลให้หย่าเหลียนค่อยๆลืมตาขึ้นตื่น ก่อนจะพบว่านางกำลังอยู่ในอ้อมกอดชายที่ตนรัก ทว่าความเจ็บปวดที่แล่นริ้ว ทำให้นางต้องกะพริบตา มองบาดแผลฉกรรจ์ของตนเองอย่างงุนงง

           นางได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ครั้งสุดท้ายนางจำความได้ ว่าตนกำลังพูดคุยอยู่กับองค์รัชทายาท ดูไปแล้วหลังจากที่นางรับเอาพลังชีวิตจากเซียวถิงฟง บางครานางก็เหมือนกับไม่มีสติ

           นี่ ข้าเป็นอะไรกันแน่ จู่ๆก็พลันเหน็บหนาว ความหวาดกลัวแล่นกอบกุมจิตใจอย่างไร้สาเหตุ

           “หย่าเหลียน ข้าจะพาเจ้าออกไป” เซียวถิงฟงมองเห็นความไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขององค์หญิงหย่าเหลียนแล้วก็ยิ่งเป็นห่วง

           “ข้า”

           “ตอนนี้เจ้าอย่าได้ว่ากล่าวกระไรเลย เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ก่อนที่ต้าเซียนจะมาพบ” เซียวถิงฟงตัดบทจัดการโอบอุ้มนางออกไป เพื่อมิให้ต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้

           “ต้าเซียนทำร้ายข้ารึ” นางถามน้ำเสียงสูงระคนตกใจ ความทรงจำส่วนลึกนางเองก็คลับคล้ายคลับคราว่าเห็นต้าเซียนอยู่ที่นี่ แต่ทว่าร่างสูงกลับนิ่งเงียบไม่ตอบคำ

           เซียวถิงฟงโอบอุ้มร่างอรชรออกไปทางด้านหลังของตำหนักลุ่ยหวา ที่นั้นมีทางออกเล็กๆ ซึ่งล้อมรอบไปด้วยพุ่มไม้แน่นขนัด แต่มันกลับถูกปิดตายครั้งตั้งแต่เจ้าของตำหนักคนก่อน มาบัดนี้ผู้คนก็ลืมเลือนมันไป หากมิใช่สมัยเด็กเขาแอบปีนมาทางด้านนี้ก็คงมิมีทางรู้เช่นกัน

           ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นสูงถึงเข่า เนื่องเพราะไม่มีใครสนใจจะแผ้วผาง ทำให้เซียวถิงฟงต้องเดินลุยเข้าไปอย่างระมัดระวัง ด้านหย่าเหลียนก็คอยเช็ดเหงื่อให้เขาเป็นพักๆ กระทั่งเลี้ยวไปทางขวา เดินไปอีกสิบก้าวก็พบเข้ากับประตูไม้เล็กๆ หากแต่ครานี้ย่างก้าวไปไม่ถึงสามก้าว ฝีเท้าก็มีอันต้องหยุดลง เนื่องเพราะเพลานี้ที่ประตูทางออกปรากฏเงาร่างสีขาวแล้ว

           “ต้าเซียน” หย่าเหลียนอุทาน อีกฝ่ายในตอนนี้ไม่หลงเหลือเค้าความอ่อนโยน มีแต่ความสง่างามที่ล้อมกรอบไปด้วยความเย็นชา

           “พวกเจ้าออกไปไม่ได้หรอก” ต้าเซียนกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาสีน้ำตาลทองจ้องมองคนทั้งสองแล้วก็พลันหลุบลงกับพื้น
บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นเงียบ หากแต่กลับแฝงไปด้วยความน่าอึดอัด ต้าเซียนขยับกายเล็กน้อยเพื่อผ่อนคลายอาการตึงเครียดนี้ จากนั้นตัดสินใจก้าวไปข้างหน้าอย่างมาดมั่น

           “อย่าเข้ามา” แม้ร่างน้อยจะยังมิได้ลงมือ แต่กลิ่นอายเทพเซียนที่แผ่กำจายกดดันนี้ก็ทำให้เซียวถิงฟงต้องกล่าวขึ้น
ได้ยินน้ำเสียงหวาดระแวง ฝีเท้าก็มีอันชะงักหยุด ต้าเซียนเลื่อนสายตามองก้อนหินบนพื้นพลางนึกถึงบางสิ่ง

           ก้อนหินไม่เคยมีหัวใจ แต่หากเมื่อใดที่มันมีหัวใจแล้ว ย่อมต้องรู้สึกเจ็บปวด ฉะนั้นก้อนหินก้อนนี้ไม่ควรมีความรู้สึกตั้งแต่แรกแล้ว

           ต้าเซียนยิ้มขมขื่น เขาจะไม่ลังเลใดๆอีก ดังนั้นจึงกล่าว “ครานั้น เจ้าก็พูดกับข้าเช่นนี้ อย่าเข้าไปใกล้เจ้า”

           นึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในครั้งก่อน เซียวถิงฟงฟังแล้วก็รู้สึกเจ็บหนึบในอก ครั้งนั้นเป็นเขาที่สร้างบาดแผลในใจของต้าเซียน แลครั้งนี้ล่ะ เจ้าจะรู้สึกเจ็บปวดมากเพียงใดกัน

           ครั้นเห็นอีกฝ่ายก้มหน้าด้วยรู้สึกผิด ต้าเซียนก็กล่าวสืบต่อไป “ข้าจำได้ ครั้งนั้นเจ้าคิดว่าข้าทำร้ายนาง หากแต่เป็นนางเองที่ทำร้ายตนเอง ทว่าคราวนี้...”

           น้ำเสียงหยุดลงทำให้คนที่ก้มหน้าต้องเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่แล้วก็ถึงกับต้องผงะ คนที่อยู่ไกลราวสิบก้าว มาตอนนี้กลับปรากฏกายเบื้องหน้าเขาแล้ว เซียวถิงฟงจ้องมองต้าเซียนตาไม่กะพริบตา ริมฝีปากบางนั้นก็เอ่ยขึ้น

           “เป็นข้าเองที่ทำร้ายนาง”

           ต้าเซียนเอียงคอเล็กน้อย พร้อมส่งรอยยิ้มอย่างเยือกเย็นให้ ดวงตาพยัคฆ์เบิกกว้างขึ้นด้วยรับรู้สึกถึงบรรยากาศที่คุกรุ่น องค์หญิงหย่าเหลียนก็เช่นกัน นางเห็นดวงตาสีทองคู่นั้นแล้วร่างก็พลันสั่นเทิ้ม สุดท้ายต้องหันไปกอดร่างเซียวถิงฟงเพื่อให้สงบลง

           “ข้ามหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ไม่เคยเอาเปรียบผู้ใด ฉะนั้นข้าให้โอกาสเจ้า เซียวถิงฟง ปล่อยนางลงซะ หากการกำจัดปีศาจในร่างของนางจำเป็นต้องทำให้ข้าลงมือกับเจ้าแล้ว ข้าก็จะทำ” ต้าเซียนกล่าวเสียงเข้ม เสียจนเซียวถิงฟงต้องนิ่งอึ้งไปขณะหนึ่ง

           “จำเป็นต้องทำเช่นนี้จริงๆรึ”

           “ใช่”

           เมื่อต้าเซียนยืนกรานเช่นนั้น เซียวถิงก็ได้แต่หลับตาข่มกลั้นความเจ็บปวดที่พลุ่งพล่านในอก ตัดสินใจอุ้มร่างอรชรไปวางใกล้ร่มไม้ใหญ่ หากแต่หย่าเหลียนกลับมิยอมปละปล่อยมือ นางกอดเขาไว้แน่นทั้งๆที่ร่างของนางเองก็กำลังสั่นสะท้าน

           “ข้าจะมิเป็นไร เจ้าไม่ต้องห่วง” เขากระซิบบอกคนที่ซุกตัวอยู่ที่อก จากนั้นแกะสองมือที่เกาะกุมออก หันกลับไปเผชิญหน้ากับร่างสีขาวที่ยืนรออยู่เบื้องหลัง
 

***********************************************


           ห่างออกไปจากประตูทางออกด้านหลังของตำหนักลุ่ยหวาไม่ไกลนัก เรือนบรรทมที่ซึ่งเงียบงันไม่ปรากฏวี่แววของผู้คน กลับมีกรงนกที่คลุมปิดไว้ด้วยผืนผ้าสีดำกำลังสั่นระริกคล้ายกับพสุธาสั่นไหว

           ก่อนหน้านี้มันตั้งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมในมุมอับของห้องมาเนิ่นนานแล้ว กระทั่งเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง มันก็เริ่มมีอาการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง บางสิ่งบางอย่างพยายามดิ้นรนออกมาสู่ภายนอก จวบจนขยับเขยื้อนมาจนถึงขอบโต๊ะ กรงนกก็ร่วงตกลงสู่พื้นในที่สุด

           “จุ๊ จุ๊ จุ๊” เสียงร้องของสิ่งมีชีวิตที่ถูกจำกัดอิสรภาพดังขึ้น ในขณะที่กรงตกกระแทกพื้นแล้วกลิ้งหลุนๆไปตามพื้นอย่างแรง ผืนผ้าสีดำปลิดปลิวออก เผยให้เห็นอีกาสีดำที่กำลังบินเร่าๆอยู่ภายในกรงได้อย่างชัดเจน

           เป็นเพราะเมื่อสักครู่มันสัมผัสได้ถึงพลังของท่านมหาเทพ อีกทั้งตอนนี้ก็ยังคงอยู่ไม่ไกลนัก และเกรงว่ามันต้องแจ้งเรื่องสำคัญบางอย่างแก่ท่านผู้นั้นโดยเร็ว

           จู่ๆก็มีเสียงฝีเท้าหนักแน่น อีกทั้งสัมผัสพลังที่หนักหน่วง คล้ายว่ามีคนย้อนกลับมาที่นี่ ฉุนซุ่ยถึงกับตกใจ แม้อยากจะซ่อนตัว แต่ก็มิอาจหยุดตัวกรงที่กลิ้งหลุนๆได้ จวบจนตัวกรงหยุดลง ก็แลเห็นเป็นฝีเท้าของคนผู้หนึ่ง มันรีบบินไปเกาะที่ขอนไม้ แสร้งทำตัวปกติดั่งอีกาทั่วไป 

           “เจ้ามิใช่อีกาธรรมดา คงจะเป็นอีกาของท่านมหาเทพสินะ” เฟยหลงหยิบยกกรงนกขึ้นสูงในระดับเดียวกันกับสายตา เมื่อเห็นมันไม่ตอบทั้งยังจ้องมองด้วยสายตาโกรธขึง เขาก็ยิ้มเย็น “เจ้าคงได้ยินเรื่องเมื่อสักครู่...ทั้งหมดด้วยกระมัง”

           “จุ๊ จุ๊ จุ๊” ฉุนซุ่ยไม่ทนอีกต่อไป มันร้องลั่น ชายผู้นี้ต้องการสังหารเซียวถิงฟง ซ้ำยังหลอกลวงท่านมหาเทพ

           “ถึงตอนนั้นเจ้าคงจะมิได้ส่งเสียงอีก จงรู้ไว้แม้จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวพลังของท่านมหาเทพ กระนั้นข้าก็ยังรู้สึกได้” เฟยหลงกล่าวจบก็บังเกิดเป็นบรรยากาศที่น่าอึดอัดขึ้น

           นับแต่ฉุนซุ่ยถูกขังอยู่ในกรง มันก็เก็บตัวเงียบมาตลอด ปีศาจจิ้งจอกมิได้กำจัดมันอย่างที่คิด เพราะเหตุอันใดมันก็มิทราบได้ จวบจนมันได้เห็นเซียวถิงฟงโดนนางสูบพลังชีวิต อีกทั้งภาพที่นางดื่มเลือดเนื้อของทายาทโอรสสวรรค์ มันก็พลันเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย

           นางต้องการให้มันได้เห็นชีวิตที่ถูกทำลาย ซึ่งต่อให้มันเจ็บแค้นแค่ไหนก็ต้องทนข่มกลั้นเอาไว้ เพราะถ้าหากยิ่งโวยวาย ปีศาจจิ้งจอกก็จะยิ่งได้ใจทั้งจะยิ่งโหดเหี้ยมขึ้น ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรียกได้ว่ามันรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายในสถานที่แห่งนี้ แม้กระทั่งความจริงอีกประการหนึ่งเช่นกัน

           “ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องทั้งหมด ข้าก็คงปล่อยเจ้าไปมิได้ ต้องโทษที่เจ้าอยู่ผิดที่เอง” เฟยหลงกล่าวจบก็พลางคว้ากรงนกขึ้นเหาะเหิน รอจนพ้นตำหนักลุ่ยหวา เขาก็โยนมันลงไปอย่างไม่ลังเล

           กรงนกค่อยๆตกลงสู่พื้นเบื้องล่าง ฉุนซุ่ยพอจะคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ แต่จะอย่างไรมันก็มิเอ่ยปากร้อง เพียงข่มตาลงแน่นก่อนที่ตัวกรงจะกระทบลงสู่ด้านล่าง

           ตูม เสียงกระทบดังสะท้อนก้องในโสตประสาท สติของฉุนซุ่ยพลันพร่ามัวในทันที สายน้ำปะทะตีเข้ากับร่าง ก่อนที่กรงนกอันหนักอึ้งจะค่อยๆจมลึกสู่ใต้สระ เช่นเดียวกับความสิ้นหวังในใจมัน

           ทว่าฉับพลันนั้นกลับมีอุ้งมือหนึ่งยื่นเข้ามาไขว่คว้า จะอย่างไรอุ้งมือดังกล่าวก็เล็กเกินกว่าที่จะฉุดรั้ง ฉุนซุ่ยเผลอลืมตาขึ้นมอง ดูว่าอีกฝ่ายก็กำลังแสดงสีหน้าหงุดหงิดมิใช่น้อย จนในที่สุดก็บังเกิดเป็นแสงสว่างจ้า อุ้งมือเล็กๆกลับกลายเป็นมือของหญิงสาว มือเรียวนั้นเกาะกุมกรงไว้มั่น พร้อมกันนั้นก็ฉุดรั้งมันขึ้นเหนือน้ำอีกครั้ง
 

****************************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 25.2 ตัดขาดความสัมพันธ์



           “ข้าไม่อยากสู้กับเจ้า” เซียวถิงฟงกล่าวย้ำ ทว่าต้าเซียนกลับยักคิ้วขึ้นแล้วทำหน้าฉงน

           “ข้าทำร้ายนาง ทำร้ายคนที่เจ้ารัก อีกทั้งยังคิดจะเอาชีวิตนาง เช่นนี้แล้ว เจ้ายังมีเหตุผลใดที่ต้องปฏิเสธอีก” ริมฝีปากบางยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนว่าเขาในตอนนี้ได้กลับไปเป็นมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ผู้ซึ่งเย็นชา ไร้น้ำตาและหัวใจอีกครั้ง

           เซียวถิงฟงรับฟังแล้วรู้สึกเสมือนกลืนก้อนขม ทั้งๆที่รักคนตรงหน้า เพียงต้าเซียนเท่านั้น แต่ตอนนี้คล้ายยืนอยู่คนละเส้นทาง

           มองร่างสูงที่เงียบงันไป ต้าเซียนก็เริ่มตีสีหน้าเคร่งพลันตวาด “หากเจ้ายังมิลงมือ ข้าจักลงมือก่อน” กล่าวจบก็ใช้ออกด้วยท่าร่างเคลื่อนย้ายในพริบตา

           เสียงดังกล่าวทำให้เซียวถิงต้องคืนสติ ร่างเบื้องหน้าหายไปอีกครั้ง ประสาทสัมผัสทั้งหมดถึงกับทำงานทันที
 
           ผัวะ

           “ท่านพี่” หย่าเหลียนร้องเสียงหลงพร้อมกับเสียงที่กระทบกระทั่ง
 
           ขลุ่ยไม้เลาเล็กลำหนึ่ง ซึ่งพันเกี่ยวไปด้วยเถาวัลย์กระแทกลงบนแขนขวา เซียวถิงฟงรับมันได้ทันก่อนที่ต้าเซียนจะใช้มันฟาดเข้าที่สะบักไหล่ แต่มาตรว่ารับกระบวนท่าได้ กระนั้นก็ต้องก็รู้สึกร้าวไปทั่วทั้งท่อนแขน

           “อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือกับเจ้า เซียวถิงฟง” ต้าเซียนประกาศกร้าว สีหน้าจริงจังปราศจากแววลังเลใจ ยังผลให้ร่างสูงตกตะลึงมิได้ ทว่าเขาไม่เปิดโอกาสให้มีเพลามากไปกว่านั้น มือเรียวรั้งขลุ่ยกลับมา พร้อมกันนั้นก็พลิกตัวยกฝ่าเท้ามุ่งไปที่ลำคออีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

           เซียวถิงฟงรู้สึกตัวอีกครั้งก็ใช้ท่อนแขนซ้ายป้องกันไว้ได้ หากแต่ฝีเท้าของร่างน้อยก็แรงพอที่จะทำให้เขากระเด็นไถลออกไปไกล แลยังมิทันจะเงยหน้า เงาร่างเพรียวก็ตามลุกไล่อย่างรวดเร็ว ขลุ่ยไม้พุ่งตามเข้าแทงที่ลำตัว เขาก็พลิกตัวคลุกฝุ่นดินไปหลายตลบ แต่ร่างสีขาวก็ยังคงไม่เลิกรา ทั้งยังใช้ขลุ่ยไม้นั้นไล่กวดเขาต่อไป จนกระทั่งจนมุมที่ต้นไม้ใหญ่

           ต้าเซียนซัดอาวุธตรงไปที่อีกฝ่ายอีกครั้ง หากแต่เซียวถิงฟงกลับอาศัยจังหวะนี้หมุนตัวกลิ้งขึ้นไปตามต้นไม้ใหญ่ จนเมื่อพ้นวิถีก็ทะยานตัวขึ้นหมุนตัวกลับ ปลายเท้าเกาะเข้าที่กิ่งไม้ ส่งผลให้ขลุ่ยต้องแทงทะลุเข้าไปที่ลำต้นไม้แทน

           “ต้าเซียนพอเถอะ เจ้าละเว้นหย่าเหลียนสักคนมิได้หรือ” เขาร้องห้ามอย่างลำบากใจ ทั้งมองคนที่อยู่ด้านล่างด้วยสายตาอ้อนวอน

           “บอกให้ข้าหยุด นั่นหมายความว่านางต้องตาย” ต้าเซียนตวาด

           เซียวถิงฟงเบิกตากว้าง หันไปมองสตรีที่มีสีหน้าตื่นตระหนกที่มุมตรงกันข้าม ใบหน้านั้นเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา ทั้งยังจับจ้องมองเขาอย่างห่วงใย ความรู้สึกอัดอั้นคล้ายกับจะระเบิดออกมา เขากัดฟันกล่าวด้วยสายตาแดงก่ำ “เหตุใดต้องบีบบังคับข้าด้วย”

           ฝีเท้าที่เบาราวกับปุยนุ่นได้ทะยานตัวขึ้น แล้ววิ่งไต่ไปตามลำต้นไม้อย่างรวดเร็ว ต่อเมื่อประชิดตัวต้าเซียนก็ชักขลุ่ยไม้ชี้ไปที่หน้าชายหนุ่ม กล่าวน้ำเสียงเยียบเย็น “นั่นเป็นเพราะเจ้าเลือกเองต่างหาก” จากนั้นก็ถาโถมกายพลางสะบัดฟาดขลุ่ยในมือลง

           ร่างสูงมิอาจต้านทานได้ด้วยมือเปล่า จำต้องหยิบพัดเหล็กขึ้นสกัดกั้น ม้วนตัวข้ามร่างของอีกฝ่ายไป แต่จังหวะนั้นต้าเซียนกลับหงายหลังแอ่นตัววาดแขนเข้าใส่ แลวิถีพลังก็แผ่กว้างเกินกว่าที่เขาจะหลบได้ ส่งให้ร่างต้องลอยละลิ่วไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่อีกทางหนึ่งแทน

           ต้าเซียนม้วนตัวลงสู่พื้นด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย ก้าวเท้าเดินเข้าไปหาคนที่แน่นิ่งไป ไม่นานเซียวถิงฟงก็ยันตัวลุกขึ้น มือปาดโลหิตที่มุมปาก ใช้แววตาเศร้าสร้อยมองมา กระนั้นเขาก็ยังคงไม่ปราณี แม้ในอกจะเจ็บราวกับคว้านดวงใจออกมาทั้งดวงก็ตามที “มันยังไม่จบ ลุกขึ้นมา”

           คนตรงหน้าไม่มีแล้วเยื่อใย ทั้งมิใช่ต้าเซียนที่เขารู้จักอีก เซียวถิงฟงมองแววตาแข็งกร้าวที่ส่งมาให้อย่างรวดร้าว เขาค่อยๆยันตัวลุกขึ้น ขลุ่ยไม้ยังคงถูกชี้มาที่หน้าเขา รอจนมันเงื้อขึ้นสูงหมายจะฟาดใส่ เขาก็พลันหลับตาลง หากแต่เสียงๆหนึ่งกลับหยุดมือของต้าเซียนไว้

           “หยุดนะ หากข้าตายก็จบใช่ไหม” หย่าเหลียนโพล่งออกมาจนทำให้ทุกสิ่งต้องหยุดชะงัก นางกล่าวจบก็ดึงเอาปิ่นปักผมมาจ่อไว้ที่หัวใจตนเอง ทำให้เซียวถิงฟงต้องตื่นตระหนก

           ครานี้ต้าเซียนลดขลุ่ยไม้ลงแล้ว แต่ยังคงไม่หันกลับไป สีหน้ายังคงความเรียบเฉย ทั้งยังจ้องลึกในดวงตาพยัคฆ์ กล่าวชัดถ้อยชัดคำ “ใช่”

           “ต้าเซียน” เซียวถิงฟงตวาดลั่น ทั้งยังรั้งไหล่บางของคนตรงหน้าไว้ จับจ้องลึกในดวงตาที่เคยอ่อนโยน แต่แล้วก็ต้องรู้สึกผิดหวังเมื่อยังคงเห็นแต่ความแข็งกร้าวในดวงตาคู่นั้น ราวกับหัวใจโดนมีดกรีด

           “เจ้าคาดหวังอะไรอยู่ เซียวถิงฟง” ต้าเซียนเอ่ยขึ้น ต่อเมื่อแลเห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของอีกฝ่าย

           “ข้า...หวังเพียงให้เจ้ามีหัวใจสักนิดเท่านั้น” เซียวถิงฟงก้มหน้ากล่าวเสียงเบา มือที่กุมไหล่บางก็สั่นสะท้านอย่างข่มกลั้นความทรมานไว้ เขามิอาจทนรับเรื่องเช่นนี้ได้ ต้าเซียนที่เขารู้จักมิใช่คนเลือดเย็นเพียงนี้ มิใช่คนที่มิรู้สึกรู้สากับความตายของคนผู้หนึ่งแม้แต่น้อย

           เพียงประโยคเดียวกลับคล้ายมีคนตีแสกหน้า ดวงตาของต้าเซียนเลิกกว้าง ลมหายใจขาดห้วง คำกล่าวของเซียวถิงฟงเสมือนคมมีดที่สะกิดเข้าที่รอยแผลเดิม ร่างกายพลันอ้างว่างเหน็บหนาว เขาค่อยๆลดสองมือใหญ่บนไหล่ออก ก่อนจะผละตัวเซียวถิงฟงออกอย่างแรง

           “ข้าเป็นแค่ก้อนหิน ก้อนหินจะมีหัวใจเฉกเช่นมนุษย์ได้เยี่ยงไรกัน” ต้าเซียนส่งยิ้มเย้ยหยัน หากแต่เป็นรอยยิ้มที่มอบให้กับตนเอง

           ความจริงล้วนมิเคยแปรเปลี่ยน ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร เวลาจะผ่านไปสักแค่ไหน ความจริงล้วนคงอยู่ มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสิ้น

           กล่าวจบก็สะบัดตัวหลบ เก็บซ่อนความอ่อนแอมิให้ชายหนุ่มได้เห็น จากนั้นตรงไปยังองค์หญิงหย่าเหลียน นางมองเขาด้วยสายตาที่พรั่งพรูไปด้วยหยาดน้ำตา สองมือยังคงถือปิ่นปักผมจ่อที่บริเวณหัวใจ “เจ้าเสียใจรึไม่” ต้าเซียนหลุบตากล่าวถาม

           “ข้าไม่เสียใจ อย่างน้อยข้าก็ได้รู้ว่าในใจของท่านพี่เห็นข้าสำคัญยิ่ง” กล่าวจบนางก็ส่งยิ้มน้อยๆ คล้ายเป็นการอำลาให้กับบุคคลที่นางรัก
 
           “......” ต้าเซียนฟังแล้วก็เบี่ยงกายไปยังอีกด้าน สองมือประสานไว้ที่หลัง ด้วยรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเซียวถิงฟงกำลังจะจบลงในไม่ช้า

           ด้านเซียวถิงฟงมองดูแล้วก็ต้องกระวนกระวายใจ มันไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆหรือ แต่ทว่าหย่าเหลียนยังคงยิ้ม แลสายตาก็ยังคงไม่ละจากไปเขา ชั่วขณะหนึ่งริมฝีปากก็เอ่ยขึ้นโดยไร้สุ้มเสียง กล่าวจบเปลือกตาก็ปิดลง มือเงื้อปิ่นขึ้นสูง ก่อนจะจ้วงแทงไปที่หัวใจของตน

           “เดี๋ยว” เขาร้องลั่นพร้อมทั้งทะยานตัวเข้าไป ลาก่อน สองคำที่นางเอ่ย ผลักดันให้เขาตัดสินใจแล้ว สองมือยื้อปิ่นเอาไว้ ดวงตาพยัคฆ์ทอประกายไปด้วยความโกรธ เหงื่อผุดประปรายเต็มหน้าผาก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงดุ “ใครให้เจ้าตายกัน”

           “ท่านพี่” ได้ฟังแล้วหย่าเหลียนก็สะอื้นไห้ นางปล่อยปละปิ่นปักผมจนตกลงพื้น จากนั้นสวมกอดเซียวถิงฟงไว้
ผิดกับต้าเซียนที่ยืนตัวแข็ง แม้อยากจะร้องก็ร้องมิออก น้ำตาเสมือนว่าเหือดแห้งไปจากกายจนสิ้น แต่กระนั้นยังคงเหลือไว้ซึ่งความทรมานทางใจ เขากำขลุ่ยไม้ในมือแน่นก่อนจะถลันตัวเข้าหาคนทั้งคู่


***********************************************


           พัดเหล็กถูกคลี่ออก ทั้งสะบัดตีเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว ต้าเซียนที่พุ่งตรงเข้าไปต้องสะอึกกายถอยหลบออกจากวิถีนั้น ดูว่าอีกฝ่ายเตรียมพร้อมแล้ว แลดวงตาพยัคฆ์ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

           ครานี้ร่างสูงปัดป้องไว้อย่างดี ทำให้ต้าเซียนมิอาจเข้าถึงตัวองค์หญิงหย่าเหลียนได้ง่ายๆ รอจนขลุ่ยไม้กระทบเข้าที่ปลายพัด เซียวถิงฟงก็พลิกแพลงท่าร่างใช้พัดหมุนควงอาวุธในมือ กระทั่งขลุ่ยไม้กระเด็นหลุดมือเรียวไปในที่สุด เขาก็อาศัยจังหวะนี้ปราดเข้าประชิดตัวร่างน้อย มือหนึ่งคว้าจับที่หัวไหล่ แต่มิคาดว่าต้าเซียนจะฉุดรั้งแขนเขาเอาไว้ ทั้งกระชากตัวเขาออกก่อนโผทะยานไปถึงตัวของหย่าเหลียนอย่างรวดเร็ว

           ร่างใกล้จะถึงตัวเป้าหมาย แต่ฉับพลันนั้นก็สังเกตเห็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้น ดวงตาหวานคล้ายมีประกายสีแดงปรากฏอยู่ ต้าเซียนสังหรณ์ใจไม่ดี แลในชั่วพริบตานั้นอาวุธลับขนาดเล็กก็ถูกซัดตรงมาที่หัวใจ เขารีบตัดสินใจเบี่ยงกายหลบ แต่แล้วกลับฉุกคิดถึงความจริงอีกข้อหนึ่ง

           เกรงว่าเซียวถิงฟงที่อยู่ด้านหลังจะต้องอาวุธนี้เข้าแทน คิดได้ดังนั้นก็มิยอมหลบอีก ทำได้แต่ผ่อนหนักเป็นเบา เบี่ยงกายหันหลังกลับเพื่อมิให้โดนจุดที่สำคัญ ท้ายที่สุดอาวุธลับก็พุ่งทะลุเข้าที่สะบักหลังด้านขวา ร่างถูกแรงผลักดันให้มุ่งตรงไปยังข้างหน้า

           เมื่อรู้ว่าเสียท่าเซียวถิงฟงก็รีบพลิกตัวกลับ หวังใช้ท่ากรงเล็บพยัคฆ์จับแขนของต้าเซียนไว้ มิให้หลุดมือออกไปเป็นครั้งที่สอง ต่อเมื่อหันกลับมาพร้อมกับวาดกรงเล็บพยัคฆ์ไปทางด้านหน้า เขาก็แทบจะสิ้นสติ

           ร่างสีขาวอยู่เบื้องหน้าตนแล้ว เซียวถิงฟงรีบรั้งมือกะทันหัน ทว่ามันกลับสายไป ต้าเซียนเบิกตาจ้องมองตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ ของเหลวอุ่นไหลนองกับมือ บัดนี้กรงเล็บได้ทะลุเข้าไปยังอกซ้ายแล้ว เขาตื่นตะลึงสุดขีดได้แต่จ้องมองไปยังเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอยู่เช่นนั้น

           ...ข้า ข้าทำร้ายเจ้า สมองคล้ายดับวูบลงไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะใดๆ แต่แล้วมือหนึ่งของร่างน้อยก็ปลุกสติเขาขึ้นมา

           ต้าเซียนรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่หน้าอกแล้วจึงกลั้นใจดึงเอากรงเล็บพยัคฆ์ออกอย่างช้าๆ โลหิตไหลทะลักเปราะเปื้อนชุดขาว ดีที่บาดแผลนั้นไม่ลึกซ้ำยังไม่ถึงหัวใจ แต่กระนั้นก็ทำให้ร่างของเขาต้องทรุดลงกับพื้น

           มาตรว่าบาดแผลทางกายมิได้ทำให้เขาอ่อนแรงลง หากแต่เป็นบาดแผลทางใจที่ทำให้เขามิอาจฝืนตัวได้อีก

           “ต้าเซียน” เซียวถิงฟงคำรามลั่น ทั้งรีบร้อนทรุดตัวลงตามไป รั้งร่างน้อยเข้ามากอดไว้ พลางพูดน้ำเสียงตื่นตระหนก
           
           “ต้าเซียน ข้าไม่ได้ตั้งใจ” สองมือพยายามกดปิดที่ปากแผล ปากพร่ำขอโทษไม่หยุดราวกับคนเสียสติ ขอบตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ”
           
           “ซะ เซียวถิงฟง ดะ ได้โปรด กำจัดนางซะ น่ะ นางเป็นปีศาจ หากปล่อยไว้นางจะเป็นภัยต่อเจ้า เข้าใจไหม” ต้าเซียนกระซิบบอกน้ำเสียงติดๆขัดๆ

           เซียวถิงฟงฟังแล้วก็หยุดชะงักนิ่งไป รู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องเลือกอีกครั้ง “ข้า...”

           เมื่อรับรู้ว่าชายหนุ่มยังคงลังเลใจ ครานี้ต้าเซียนคล้ายโกรธเกรี้ยวจนถึงขีดสุด สองมือผลักร่างที่กำลังกดปิดบาดแผลของตนออก พลางตวาดขึ้นอย่างน้อยใจ “ประเสริฐ เจ้ายอมให้นางทำร้ายเจ้าได้ ทำร้ายข้าได้ แต่กลับยอมให้ข้าทำร้ายนางเพื่อเจ้าไม่ได้”

           เหนื่อย...เหนื่อยเหลือเกิน ต้าเซียนรู้สึกเช่นนั้น ริมฝีปากบางขบเม้มแน่นจนรู้สึกถึงรสปร่า กายฝืนหยัดลุกขึ้น แต่แล้วก็มีอันต้องเซลง

           หลังจากที่ถูกผลักออกไปเซียวถิงฟงก็นิ่งอึ้งชาวาบไปทั้งตัว ครั้นเห็นร่างที่ซวนเซก็รีบเข้าไปประคอง แต่ดูว่าอีกฝ่ายไม่ยินดีรับ ทั้งยังผลักเขาให้ออกห่างอย่างเย็นชา แลไม่นานต้าเซียนก็กลับมาหยัดกายยืนตรงอีกครั้ง

           “ต้าเซียน” เซียวถิงฟงร้องเรียกอย่างเจ็บปวด แต่กระนั้นเจ้าตัวกลับหันหลังให้ เสมือนปิดกั้นไม่ยอมรับตนอีก รอจนร่างน้อยยินยอมหันกลับมาอีกครั้ง เขาก็พบแต่ดวงตาแข็งกร้าวที่ทำให้ต้องรู้สึกใจหาย

           “ข้าขอประกาศในนามของมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ทั่วทั้งสามพิภพจงเป็นพยาน บัดนี้ข้าขอละทิ้งนาม ‘ต้าเซียน’ ไว้ ณ ที่แห่งนี้ จะไม่มีต้าเซียนที่เจ้ารู้จักอีก เซียวถิงฟง จะมีเพียงแต่ข้า มหาเทพแห่งแดนสวรรค์เท่านั้น”

           คำประกาศก้องดังกังวานไปทั่วบริเวณ กระทั่งฟากฟ้ายังบังเกิดเป็นเสียงดังครืน ฝนพร้อมใจกันเทตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว เซียวถิงฟงได้แต่ยืนมองต้าเซียนที่กล่าววาจาศักดิ์สิทธิ์ด้วยดวงตาเลื่อนลอย

           นามนี้ตนเป็นคนมอบให้กับต้าเซียน แม้จะเป็นนามที่ตั้งขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ แม้จะเป็นนามที่ตั้งเพียงเพื่อประชดประชัน แต่เมื่อนานวันเข้า นามนี้กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผูกพันกับร่างน้อยมากที่สุด เสมือนกับมีด้ายบางๆพันเกี่ยวให้เขากับต้าเซียนต้องมีชีวิตเกี่ยวพันซึ่งกันและกัน

           อีกทั้งเขายังจำได้ดี ใบหน้าของต้าเซียนในยามที่ได้รับนามจากตนนั้นดีใจมากแค่ไหน แต่มาวันนี้ร่างน้อยกลับละทิ้งนามที่ตนมอบให้ ทั้งยังตัดสัมพันธ์กับเขา รวมทั้งทำลายเส้นด้ายบางๆทิ้งอย่างไร้เยื่อใย

           รู้สึกราวกับสายฟ้าที่ฟาดเหนือฟากฟ้านั้นกำลังฟาดตัวตนเขาเอง สายน้ำอุ่นร้อนหลั่งรินจากดวงตา กระนั้นมันกลับถูกชะล้างด้วยสายฝน ดังนั้นไม่ว่าน้ำตาของเขาจะหลั่งไหลเพียงใด ต้าเซียนก็มิอาจเห็นความเสียใจนี้ได้

           “นางปีศาจจิ้งจอก ถึงคราหน้าก็จะไม่มีใครปกป้องเจ้าได้อีก จงเตรียมใจไว้” ต้าเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลัง ดวงตาส่องประกายสีทองเจิดจ้า ก่อนกวาดเหลียวมองคนที่ยืนนิ่งดุจคนมิเคยรู้จัก

           เซียวถิงฟงมองสบสายตาที่เปรียบเสมือนคมมีด มือเอื้อมออกไปไขว่คว้าหา ทว่าร่างสีขาวก็ทะยานขึ้นเหนือฟ้าไป สิ่งที่เขาจับต้องได้กลับมีแต่เพียงความว่างเปล่าอีกครั้ง

           ...............

           ........

           ...

           เม็ดฝนขนาดใหญ่ตกต้องไปทั่วกาย เสื้อสีขาวที่เปราะเปื้อนไปด้วยโลหิต ยังมิทันจะแห้งสนิทก็ต้องเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน เขาถลาตัวลงสู่พื้นที่หน้าตำหนักลุ่ยหวา ที่นั่นยังมีกลุ่มคนที่รอคอยอยู่มิได้ไปไหน

           ซวนหยวนหมิงไท่ถือร่มสีแดงหม่น ใบหน้าไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ มีเพียงความมุ่งมั่นที่ฉายออกผ่านแววตา ดูว่าแม้ฟ้าฝนจะตกหนักสักเท่าใด เขาก็จะยังคงยืนอยู่เช่นนี้ ตราบจนกว่าจะได้รับทราบข่าวสำคัญ

           “ท่านมีอะไรจะกล่าวถามรึไม่”

           องค์รัชทายาทได้ฟังแล้วจึงค่อยๆเลื่อนสายตามองไปตามชุดอมเลือดของคนตรงหน้า แม้เขาจะข่มกลั้นความรู้สึกมากเท่าใด แต่มือข้างที่ถือร่มก็ยังคงสั่นอยู่น้อยๆ สองตาที่มักเฉียบแหลมบัดนี้ดูทื่อลง รอจนรวบรวมความกล้าได้แล้วจึงกล่าวขึ้น “โลหิตที่ชุดของท่าน...”

           “มิใช่ของนาง ท่านโปรดวางใจ นางยังคงมีชีวิตอยู่” 

           รัชทายาทหนุ่มได้ยินแล้วก็พลันโล่งใจ แต่ถึงอย่างไรก็รู้ดีว่ามันเป็นเพียงแค่การยื้อเวลาไว้ชั่วคราว เขาจึงมิอาจหายใจได้ทั่วท้อง แต่แล้วก็นึกถึงบางสิ่งที่มองข้ามไป หน้าตาเขาตื่นตะลึงเล็กน้อย

           “เช่นนั้นแล้ว โลหิตบนเสื้อของท่านเป็นของผู้ใด คงมิใช่เป็นเพราะเขา” ซวนหยวนหมิงไท่ถามด้วยน้ำเสียงตกใจ เนื่องเพราะบาดแผลเช่นนั้นเขารู้จักดียิ่ง มีเพียงกระบวนท่านั้นเท่านั้นจึงทำให้เกิดรอยแผลเช่นนี้ได้

           “.......” ต้าเซียนไม่คิดตอบ เนื่องเพราะต้องการเลี่ยงคำถามนี้ จึงแสร้งทำมิได้ยินแล้วขยับกายเดินจากไป พอดีกับที่ด้านหลังปรากฏเป็นเสียงฝีเท้ารีบร้อนของคนผู้หนึ่ง พอคนผู้นี้เห็นเขาแล้วก็ตะโกนลั่น

           “ต้าเซียน ต้าเซียน” เซียวถิงฟงร้องเรียกชื่ออย่างสุดกำลัง ทั้งยังรวดร้าวเป็นที่สุด บันดาลให้ผู้คนที่รับฟังต้องพากันสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ

           ต้าเซียนสะอึกกายหยุดฝีเท้าลง รู้สึกว่าทุกฝีก้าวที่ผ่านมาล้วนหนักแน่นมาเสมอ แต่วันนี้มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น คล้ายมีบางสิ่งในตัวพังทลายไป รอจนเสียงฝีเท้าของเซียวถิงฟงเข้ามาใกล้ ก็กล่าวด้วยเสียงที่พอที่จะทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ได้ยิน
           
           “พาข้าไป เดี๋ยวนี้”

           รัชทายาทหนุ่มรับฟังแล้วก็ชำเลืองมองเซียวถิงฟงวูบหนึ่งอย่างสับสน แต่ไม่นานก็ตอบรับคำของอีกฝ่าย

           “เดี๋ยวก่อน ยะ อย่าพึ่งพาเขาไปหมิงไท่” เซียวถิงฟงขอร้องอ้อนวอน หากแต่ซวนหยวนหมิงไท่กลับออกคำสั่งกับเหล่าองค์รักษ์ ก่อนจะรวบตัวต้าเซียนขึ้นอุ้ม

           “ขวางเขาไว้”

           “รับบัญชาพะย่ะค่ะ” เหล่าองค์รักษ์รับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นต่างก็กรูกันเข้าไปใช้กำลังสกัดกั้นขวางรองแม่ทัพเซียวไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย

           ร่างสูงพยายามบุกฝ่าวงล้อมของเหล่าองครักษ์อย่างสุดกำลัง แต่ดูว่าพลังใจและพลังกายของเขาใช้ออกจนแทบหมดสิ้นแล้ว ท้ายที่สุดจึงถูกรวบตัวกดร่างลงกับพื้น หากแต่ก็ยังคงตะเกียกตะกายเข้าหา ไม่สนแม้สภาพที่คลุกฝุ่นเปราะน้ำโคลนไปทั่วทั้งกาย

           “ต้าเซียนนน”

           เสียงร่ำร้องเรียกอย่างปวดใจ ทว่าเปลือกตาบางก็เลือกที่จะปิดลง แต่ทว่าเสียงคำรามก้องที่เรียกนามตนยังคงแจ่มชัด และอาจติดตรึงอยู่ในเบื้องลึกของจิตใจไปตลอดกาล แต่มาตรว่าเป็นเช่นนั้น ต้าเซียนก็มิอาจรู้ได้เลย ว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้าย...

           …ที่จะได้ยินเสียงนั้นอีก


***************************************************

จะดราม่า เราต้องดราม่าให้ถึงที่สุด  o18  เหลืออีก 5 บทเเล้วจ้ะ

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เหมือนคนเขียนเอาหัวใจเราไปขยี้สะแหลกเลย กล้าทำร้ายต้าเซียนนะเอ๊ง :fire:

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 26.1 ความปรารถนา


           เห็นคนบนเตียงกอดเข่าสั่นด้วยความหนาวเหน็บไม่หยุด องค์รัชทายาทก็กล่าวอย่างร้อนรน “เสี่ยวลู่ หมอหลวงมารึยัง”

           “ใกล้แล้วพะยะค่ะ เดี๋ยวกระหม่อมจะออกไปรอรับท่านหมอหลวงเป่ยที่หน้าตำหนักเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ”

           “ท่านอย่าได้เรียกหมอมา ข้ารักษาตัวเองได้”

           เสียงทัดทานดังกล่าวทำให้คนทั้งสองต้องชะงักงัน ซวนหยวนหมิงไท่มองต้าเซียนที่นอนแผ่อยู่บนเตียง สักพักคิ้วที่เรียงสวยก็ขมวดขึ้น เขาลอบถอนใจหันกลับไปกล่าวกับเสี่ยวลู่ “เจ้าไม่ต้องตามหมอหลวงแล้ว เพียงนำเสื้อผ้าชุดหนึ่งกับชุดยาของข้ามา”

           “พะย่ะค่ะ” เสี่ยวลู่รับคำสั่งแล้วก็ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

           “ท่านทนรอสักนิด ข้าจะทำแผลให้” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าว แลไม่นานเสี่ยวลู่ก็กลับเข้ามาใหม่พร้อมกับอาภรณ์สีขาวชุดหนึ่ง รวมถึงกล่องยาขนาดไม่ใหญ่มากนัก “ท่านลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนเสื้อเถิด ข้าจะใส่ยาให้”

           ต้าเซียนรับฟังแล้วลุกขึ้นอย่างช้าๆ รับเอาเสื้อผ้าชุดใหม่จากเสี่ยวลู่ไป จากนั้นหันกายเพื่อผลัดเปลี่ยน

           รัชทายาทหนุ่มเบนสายตาหลบ แม้ว่าต้าเซียนจะเป็นบุรุษก็ตามที ขณะนั้นก็กล่าวไปเรื่อย “ข้าขอโทษที่ไม่สามารถรั้งตัวเขาไว้ได้ เขาดื้อรั้นมาก ข้ามิอาจขวางเขาได้ทัน” กล่าวจบก็เผอิญเบนสายตากลับไปโดยมิตั้งใจ

           เสื้อสีขาวปนชมพูชุดเก่าถูกปลดกองกับพื้น เผยให้เห็นถึงแผ่นหลังสีขาวซีดเปลือยเปล่ากระจ่างตา ต้าเซียนดึงเอาเสื้อที่ได้รับมาสวมใส่ แต่ก่อนที่จะสวมให้เข้าที่ น้ำเสียงตกใจก็พลันดังออกมา

           “ต้าเซียน แผลนี้ท่านได้แต่ใดมา” องค์รัชทายาทขยับเข้าไปใกล้ แผ่นหลังที่ต้องทนตากฝนพรำๆนั้นซีดขาวจนรอยแผลที่สะบักไหล่ดูเด่นชัด ยังมีขอบแผลที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ

           “ท่านอย่าได้สัมผัส มันเป็นพิษจากกรงเล็บจิ้งจอก” ต้าเซียนกล่าวอธิบาย อาวุธลับดังกล่าวนั้น เมื่อต้องที่ผิวกาย กรงเล็บนั้นจะมลายหายไปอย่างรวดเร็ว หลงเหลือเพียงพิษที่ซึมลึกกัดผิวเนื้อ

           “เหตุใดท่านจึงดื้อรั้นยิ่งนัก ท่านควรพบหมอหลวง”

           “ท่านอย่าได้ลืมไป ข้าคือมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ แผลแค่นี้ มิอาจทำอะไรข้าได้ ท่านเพียงใส่ยาก็พอ”

           “แต่”

           “และโปรดอย่าเรียกข้าว่าต้าเซียนอีก”

           ถึงตรงนี้ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาใดอีก ด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่ตนต้องการทราบนั้น ถือเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับตอนนี้ รอจนใส่ยาที่หลังเรียบร้อยแล้ว เขาก็ทักขึ้นอีก “ท่านควรใส่ยารักษาแผลที่ด้านหน้าด้วย”

           “อย่า ปล่อยมันไว้เถิด” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงเบา เขาอยากเก็บรอยแผลนี้ไว้เพื่อเตือนตัวเอง ว่าระหว่างเขาและเซียวถิงฟง ไม่ได้มีอะไรติดค้างกันอีก หากพบกันคราหน้าหัวใจของชายหนุ่มในร่างนี้ เขาจะต้องคืนให้ อย่างแน่นอน

           “เอาเถอะ ท่านอย่าได้คิดมากอีก อย่างน้อยท่านก็ควรพักบ้าง” มองดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีความในใจ ซวนหยวนหมิงไท่พยุงต้าเซียนให้นอนลง เหน็บผ้าห่มให้คนบนเตียงรู้สึกอุ่นกาย ครั้นเปลือกตาบางหลับลงก็เตรียมถอยร่น เพื่ออีกฝ่ายได้นอนพักอย่างสงบ ทว่าในชั่วอึดใจนั้นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลับเบิกโพลงแฝงแววสงสัย

           “ไม่ถูก นั่นไม่ถูกอย่างยิ่ง” ต้าเซียนพึมพำไปมา ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็พลอยสงสัยไปด้วย

           “ท่านกำลังกล่าวถึงเรื่องใด”

           “เหตุใดเซียวถิงฟงถึงเข้าไปในตำหนักลุ่ยหวาได้ ทั้งๆที่ข้าใช้มนตร์ปิดกั้นแล้วแท้ๆ” ต้าเซียนผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก้มมองฝ่ามือทั้งสองของตนเอง “รึว่าเวทย์ของข้าเสื่อมถอยลง” เขาครุ่นคิดอย่างหนัก

           “นั่นเป็นไปไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าที่ตามเซียวถิงฟงไปติดๆ เหตุใดจึงมิอาจเข้าไปภายในตำหนักได้” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวพลางนึก

           หลังจากที่หลุดพ้นจากการจับกุมของเหล่าองครักษ์แล้ว เซียวถิงฟงก็ตรงดิ่งไปยังตำหนักลุ่ยหวาทันที ตัวเขาเองก็ตามไปติดๆ หากแต่เมื่อผ่านเข้าไปยังตำหนักด้านในแล้ว ร่างของเขาก็พลันปรากฏที่ด้านนอกตำหนัก ผิดกับเซียวถิงฟงที่ได้หายตัวไปแล้ว เขาพยายามทดลองเข้าไปอีกหลายครา ทว่าผลก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ดังนั้นเขาจึงได้แต่เฝ้ารอ

           “เป็นไปได้รึไม่ ว่ามีคนตั้งใจปล่อยให้เซียวถิงฟงผ่านเข้าไปในตำหนักลุ่ยหวาเพียงลำพัง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถึงความเป็นไปได้ ทำให้ดวงตาสีน้ำตาลเกิดเป็นประกายวาบ

           “นั่น ก็ไม่แน่นัก” ต้าเซียนกล่าวเสียงอ่อน หลุบตาลงขมวดคิ้ว หากเป็นไปตามที่ซวนหยวนหมิงไท่คาดการณ์ บุคคลที่สามารถทำเช่นนั้นได้ในตอนนี้กลับมีอยู่หนึ่ง แต่กระนั้นเขามิอยากจะเชื่อ

           บังเกิดเป็นเสียงเงียบขึ้นในห้อง แม้ซวนหยวนหมิงไท่จะไม่คิดกล่าววาจาถามต่อ แต่ต้าเซียนก็รู้ว่าเขากำลังสงสัยผู้ใด ในสามพิภพตอนนี้บุคคลที่สามารถต่อกรกับเขาได้มีเพียงแค่ผู้เดียว และคนผู้นั้นก็บังเอิญอยู่ในวังหลวงแห่งนี้เช่นกัน

           พอดีกับที่ภายนอกมีเสียงวิ่งอึกทึก ส่งผลให้ทั้งสองต้องเหลียวไปมองที่ประตู ประตูถูกผลักเปิดอย่างมิใคร่สนใจในเรื่องมารยาท พร้อมกันนั้นก็ปรากฏน้ำเสียงสดใสดังออกมา

           “องค์รัชทายาททายสิว่ากระหม่อมเก็บอะไรมา” ถิงถิงพรวดพราดเข้ามาในห้องด้วยสภาพเปียกปอน มือหนึ่งก็ชูกรงนกขนาดใหญ่ขึ้นสูง ทำให้สายตาสองคู่ต้องให้ความสนใจ

           ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดอยู่ภายในกรง แต่แล้วกลับมีบางสิ่งค่อยๆผงกหัวขึ้น เผยให้เห็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ขนสีดำเรียบลู่ไปตามผิว อีกาผอมโซตัวหนึ่งกำลังพยายามลุกขึ้นยืน

           “ฉุนซุ่ย” ต้าเซียนร้องเรียกอย่างตกใจ

           “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ถิงถิงก็ร้องอย่างตกใจไม่แพ้กัน

           “นำมันมาให้ข้าเร็ว” เขารีบออกคำสั่ง ถิงถิงที่งงงันจึงส่งกรงนกให้แต่โดยดี หลังจากนั้นเขาก็วางกรงนกไว้ที่บนตักพลางมองฉุนซุ่ยที่อ่อนแรงด้วยความสงสาร

           “เจ้าได้มันมาจากที่ใดกัน” รัชทายาทหนุ่มหันไปกล่าวถามถิงถิง

           “กระหม่อมผ่านไปแถวสระน้ำไท่เย่ แล้วเผอิญได้ยินเสียงบางอย่างตกลงมาในสระ ดูเหมือนมีคนตั้งใจโยนมันลงมา กระหม่อมเห็นว่ามิชอบกลจึงกระโดดลงไปเก็บ ก่อนจะเห็นเป็นมัน กระหม่อมจดจำได้ อีกาที่ถูกเวทย์” นางกล่าวอธิบายอย่างรวดเร็ว ด้วยธรรมชาติของแมวนั้นไม่ถูกกับน้ำ แต่ผิดกับแมวอย่างถิงถิง ความอยากรู้อยากเห็นย่อมมาก่อนเรื่องหยุมหยิม

           ต้าเซียนพยักหน้าให้น้อยๆแล้วจึงเปิดกรงออก โอบอุ้มอีกาตัวน้อยที่นอนหายใจแผ่วอย่างอ่อนโยน ฉุนซุ่ยเองก็ลืมตาขึ้นอย่างเหนื่อยล้า จากนั้นพยายามจิกที่มือของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ “หลายวันที่ผ่านมานี้คงลำบากเจ้าไม่น้อย” กล่าวจบประกายแสงสีทองก็วาบขึ้นในมือ

           ความอบอุ่นแผ่กำจายไปทั่วร่าง ขนสีดำสนิทไม่เรียบลู่อีกต่อไป ฉุนซุ่ยร้องขอบคุณด้วยเสียงอันดัง ต้าเซียนยกร่างน้อยที่อยู่ในอุ้งมือขึ้นแนบริมหู มันส่งเสียงเบาๆอยู่ครู่หนึ่ง ก็เกิดประกายตาเฉียบคมในดวงตาคู่สีน้ำตาลทอง

           เขาวางร่างของฉุนซุ่ยลงที่เตียง “พักเสียเถิด หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของข้า เจ้ามิต้องกังวล” กล่าวจบก็สะบัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกขึ้นยืน

           “ท่านจะไปที่ใดกัน” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะจากไปทั้งที่ยังคงบาดเจ็บ

           “ข้าจำต้องพบคนผู้หนึ่ง เดี๋ยวนี้” ต้าเซียนกล่าวเสียงเข้ม

           “เดี๋ยวก่อน” ยังมิทันที่จะปรามจบ ร่างของต้าเซียนก็อันตรธานหายไปเสียแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่กลับมานั่งที่ข้างเตียงพลางปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเอาเอง

           ทันใดนั้นฉุนซุ่ยก็ร้องขึ้น รัชทายาทกวาดตามองมันนิ่งครู่หนึ่งก็ผุดลุกขึ้น “เสี่ยวลู่ ตอนนี้เซียวถิงฟงอยู่ที่ใด” 

           “เมื่อพระองค์เสด็จกลับถึงตำหนักเหวินหัว เหล่าองค์รักษ์เห็นว่าบรรลุแก้หน้าที่แล้วจึงปล่อยท่านรองแม่ทัพเซียวไปเรียบร้อยแล้วพะย่ะค่ะ”

           เมื่อได้ยินเสี่ยวลู่กล่าวตอบ เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น ความไม่สบายเกาะกุมจนมิอาจพรั่งพรูลมหายใจได้เต็มที่ อาจเป็นเพราะเรื่องราวมีพิรุธอยู่บ้าง เขาเบนศีรษะไปนอกตำหนัก

           บัดนี้ฝนได้หยุดลงแล้ว ท้องฟ้าด้านนอกสว่างไสว แต่ใจเขากลับมิอาจสงบลงได้ ดูว่าเขาจำต้องกลับไปยังตำหนักลุ่ยหวาอีกครั้ง “ครานี้ข้าต้องพาเจ้ากลับมาได้ เซียวถิงฟง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวพึมพำ


******************************************************


           บนเก๋งหกเหลี่ยมหลังซึ่งตั้งอยู่ใจกลางในอุทยานของตำหนักเตี้ยนชิง เฟยหลงนั่งเหยียดขาข้างหนึ่ง อีกข้างยันขึ้นวางพาดไว้ด้วยลำแขน ดวงตาก็ทอดมองหาเงาร่างของคนผู้หนึ่งแต่ไกล เส้นผมสีดำที่มัดรวบขึ้นสูงยาวสยายไปตามสายลมแผ่ว

           ...เขามักเป็นฝ่ายรออยู่เสมอ แต่กระนั้นเขาก็ยังคงทนรออยู่

           ในที่สุดคนที่รอก็มา เสื้อสีขาวบริสุทธิ์ เส้นผมสีน้ำตาลดูอ่อนนุ่ม ดวงหน้าเล็กอ่อนหวานแต่แฝงไปด้วยความคมคาย ท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความสง่างามหาผู้ใดเปรียบไม่

           เฟยหลงยิ้มแล้ว ร่างสีขาวเหาะเหินเข้ามา ต่อเมื่อปลายเท้าสัมผัสลงที่หลังคาก็พลันหยุดลง เขาจับจ้องทุกท่วงท่าอิริยาบถด้วยสายตาชื่นชม จนมิอาจละไปจากคนผู้นี้ได้
   
           “เฟยหลง”

           ดวงตาคู่งามอันน่าหลงใหลมองสบ น้ำเสียงน่าฟังเอ่ยขึ้น เขาชอบให้คนผู้นี้เรียกนามของตน เขาลุกขึ้นแล้วกอบกุมมือเรียวเล็กไว้

           “เหตุใดตัวของท่านจึงเย็นยิ่งนัก” เฟยหลงกล่าวด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้ม แต่กระนั้นใบหน้าของท่านมหาเทพกลับทาบทับไปด้วยความเย็นชาเสียหลายส่วน

           ต้าเซียนดึงมือออกจากการเกาะกุม กล่าวน้ำเสียงเคร่งเครียด “ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า เฟยหลง”

           ฉับพลันนั้นก็รู้สึกถึงบางสิ่ง แต่เฟยหลงก็ยังคงใช้น้ำเสียงปกติ “ข้าพาท่านกลับห้องก่อน แล้วเราค่อยกล่าวถามดีรึไม่”

           “ไม่ ข้าอยากรู้ตอนนี้ ข้าจำเป็นต้องรู้ตอนนี้” ต้าเซียนกล่าวซ้ำไปซ้ำมาอย่างสับสน ใบหน้าของเฟยหลงเองก็แฝงแววเคร่งเครียดประการหนึ่ง เขาพยายามสงบสติอารมณ์ก่อนถามเสียงแข็ง “เป็นเจ้าที่ปล่อยให้เซียวถิงฟงเข้าไปยังตำหนักลุ่ยหวาใช่รึไม่”

           ทันทีที่เอ่ยปาก ดวงตาดุจพญาอินทรีก็เบิกกว้างขึ้น ก่อนแปรเปลี่ยนกลับเป็นปกติ เฟยหลงไม่ตอบคำเพียงเดินเข้ามากอดร่างของเขาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไประหว่างบทสนทนานี้

           “เจ้าตั้งใจจะให้เซียวถิงฟงช่วยเหลือนางปีศาจจิ้งจอก ขัดขวางข้าไว้เพื่อที่จะให้นางฆ่าเขาในภายหลังใช่หรือไม่” ต้าเซียนพยายามถามซักไซ้ จากคำบอกเล่าของฉุนซุ่ย มันได้กล่าวถึงแผนการของจอมมารเฟยหลงและนางปีศาจ

           ดวงหน้าเล็กถูกจับซบอยู่ระหว่างอกแกร่ง เสียงหัวใจของร่างเล็กดังชัดจนสามารถจับความเคลื่อนไหวได้เป็นอย่างดี เสียงนั้นกำลังเต้นไปพร้อมกับจังหวะหัวใจที่อยู่ในกายเขา เฟยหลงเลื่อนมือหนึ่งโอบศีรษะคนตรงหน้า มืออีกข้างยังกอดร่างบางเอาไว้ เขาเคลื่อนใบหน้าลงกระซิบตอบที่ข้างหู “ใช่ ข้าต้องการให้เขาตาย”

           เสียงตอบนั้นเบาบาง แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอาฆาตรุนแรง แรงเสียกระทั่งทำให้ต้าเซียนต้องชาวาบไปทั้งตัว ทว่าเฟยหลงยังคงกล่าวต่อ

           “ข้ารู้ว่ามันเสี่ยงมากที่ทำเช่นนี้ ท่านอาจรู้ความจริง แต่ข้ายังคงต้องเสี่ยง ข้าต้องรีบตัดความสัมพันธ์ระหว่างเขากับท่าน ข้ามิอาจละเว้นชีวิตของเขาได้” เจ้าของดวงตาดุจพญาอินทรีกล่าวแล้วเหยียดยิ้ม

           เขาเป็นฝ่ายรอมาเนิ่นนานแล้ว และจะไม่ยอมอยู่สูญเสียท่านมหาเทพไปอีก ดังนั้นเขาจำต้องเป็นฝ่ายลงมือก่อน เฟยหลงยังคงลูบที่ศีรษะของต้าเซียนอย่างไม่รู้สึกผิด

           “เจ้ารู้จักกับนางปีศาจจิ้งจอกตนนั้น แต่เจ้าแสร้งบอกข้าว่าเจ้าหาได้รู้จักนางไม่ ทำไม”

           “ข้าไม่ไว้ใจชายผู้นั้น เขาทำให้ท่านหวั่นไหว ข้ามิอาจให้เขาคงอยู่ในใจท่านได้ ใจของท่านเป็นของข้า กายของท่านก็เช่นกัน และเป็นเพราะข้ามิอาจลงมือฆ่าเขาเองได้ ดังนั้นมีแต่นางที่ทำตามที่ข้าปรารถนาได้” พูดจบเฟยหลงก็ขยับใบหน้าเข้าจุมพิตที่หน้าผากของร่างเล็กอย่างแผ่วเบา

           ทว่าต้าเซียนกลับเบนศีรษะหนีพลางซักถามต่อ “ดังนั้นเจ้าจึงสั่งให้ปีศาจจิ้งจอกทำร้ายกระทั่งข้าด้วยอย่างนั้นรึ” นึกถึงคราที่ต้องอสรพิษแมงมุม วันนั้นแทบทำให้เขาเกือบต้องสูญเสียหัวใจของเซียวถิงฟงไป

           “ข้าบอกท่านแล้ว ข้ามิอาจยอมให้ใจท่านมีเขาได้” เฟยหลงตอบสั้นๆ สายตาทอดมองต้าเซียนอย่างโหยหา

           “เช่นนั้นทำไมวันนั้นเจ้าต้องช่วยข้าไว้”

           “........”

           เฟยหลงไม่ตอบ หากแต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่บริเวณหนึ่ง ต้าเซียนมองตามสายตานั้น ก่อนหยุดลงที่หน้าอกข้างซ้ายของตน จู่ๆก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว คล้ายสิ่งที่ติดขัดอยู่ในใจกำลังคลี่คลายออกทั้งหมด

           สีหน้าซีดขาวลงอย่างฉับพลัน ฝ่ามือหนึ่งยกขึ้นทาบที่หน้าอกตนเอง อีกข้างหนึ่งก็เอื้อมสัมผัสบริเวณหน้าอกของเฟยหลงอย่างสั่นไหว ใจคาดหวังมิให้สิ่งที่ตนกลัวบังเกิดขึ้นจริง แต่แล้วดวงตาก็ต้องเบิกกว้าง

           หัวใจของเฟยหลงเต้นเร็วแรงเป็นจังหวะ คล้ายกับหัวใจในร่างตนที่เต้นอย่างตื่นตระหนก...เสมือนมีบางสิ่งบีบรัดอยู่ในอก ต้าเซียนพยายามเค้นเสียงถามอย่างเจ็บปวด “หัวใจครึ่งดวงของเซียวถิงฟงอยู่ที่ใด”

           “ข้ารักท่าน ท่านมหาเทพ ท่านรู้ไหมว่าข้ารอท่านมานานเท่าใด เฝ้ามองท่านมาเนิ่นนานแค่ไหน” เฟยหลงกล่าวจบก็รวบตัวต้าเซียนเข้ากอดไว้แน่น

           เฟยหลงตอบไม่ตรงคำถาม ต้าเซียนขมวดคิ้วแน่น เริ่มสูญเสียการควบคุมตนเอง เขาผลักดันร่างของเฟยหลงออก ก่อนตะเบ็งเสียงตวาด “บอกข้ามาหัวใจของเขาอยู่ที่ไหน”

           สายตาดั่งพญาอินทรีเริ่มทอประกายเหี้ยม แต่แล้วก็เปลี่ยนกลับเป็นสงบลงอย่างรวดเร็ว “พรุ่งนี้เราจะไปจากที่นี่ เราจะขึ้นเหนือไปด้วยกัน มิว่าเป็นเพราะเรื่องใด หรือผู้ใดก็มิอาจพรากเราสองคนไปได้อีก” เฟยหลงกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างสุขใจ ท่ามกลางการยื้อยุดของร่างเล็กในอ้อมกอด

           ชั่วพริบตาต่อมาร่างสีขาวก็หลุดรอดออกจากวงแขนแกร่ง พร้อมกันนั้นก็วาดฝ่ามือไปยังคนตรงหน้าจนบังเกิดเป็นเสียงดัง

           เพียะ ต้าเซียนหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ใบหน้าของเฟยหลงหันเหไปด้านข้าง เส้นผมดำปรกจนเห็นเพียงโครงหน้าที่ได้รูป ร่างแกร่งค่อยๆหันหน้ามาอย่างเชื่องช้า ใบหน้านั้นก้มต่ำลง จนทำให้เขามิอาจเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้ในยามนี้

           ในที่สุดเฟยหลงก็เงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาที่แดงก่ำ คำตอบที่ไม่เบี่ยงเบนประเด็นถูกกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงคำรามลั่น ทั้งยังแฝงไปด้วยความอำมหิต “ข้าทำลายไปแล้ว”

           ภายในอกเสมือนถูกฉีกกระชากออก ต้าเซียนจ้องมองสายตาอันแดงก่ำคู่นั้นแล้วต้องใช้มือหนึ่งกุมที่หน้าอก หัวใจภายในร่างถูกบีบคั้นอย่างแสนสาหัส หัวใจครึ่งดวงนี้กำลังเจ็บปวดเขารู้ดี

           แต่กระนั้นหัวใจของเซียวถิงฟงกลับไม่อยู่อีกแล้ว เขาปกป้องมันไว้ไม่ได้ ตลอดเวลาที่เขาไม่สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกของเซียวถิงฟงได้ มิใช่ว่าชายหนุ่มมิได้รู้สึกรู้สา หากแต่ว่าหัวใจของเซียวถิงฟงนั้นไม่มีอยู่ในร่างเขาอีกต่อไป เขาจึงมิอาจสัมผัสมันได้อีก

           “ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย” ต้าเซียนตวาดถามอย่างไม่เข้าใจ ทั้งเรื่องพนันนั่นก็เช่นกัน เฟยหลงรู้ดีอยู่แก่ใจ หัวใจในร่างเขามิอาจเป็นของเซียวถิงฟงได้ เนื่องเพราะหัวใจครึ่งดวงนั้นได้ถูกทำลายไปแล้ว ด้วยน้ำมือของเฟยหลงเอง ดังนั้นเขามิอาจเป็นฝ่ายชนะได้อีก กระนั้นแล้วก็ยังคงหลอกล่อให้เขารับพนันในครั้งนั้น

           “เพราะข้ารักท่าน ข้ายอมที่จะต้องถูกเนรเทศออกจากแดนสวรรค์ ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ เป็นจอมปีศาจที่ไร้ซึ่งความเมตตา เพียงเพื่อมีท่าน แต่แล้วข้ากลับต้องพบกับความสิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยาก ข้าสูญเสียท่านไปเนื่องเพราะท่านคือมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ท่านมิมีหัวใจ ท่านไม่เคยมีความรักเฉกเช่นมนุษย์ แต่ท่านรู้ไหม ในวันที่ข้ารู้ว่าท่านมีหัวใจ โชคชะตากลับเล่นตลกกับข้า

           แม้ท่านจะมีหัวใจแต่ทว่าภายในใจของท่านกลับไม่มีข้า มันเป็นเพราะชายผู้นั้น ทั้งที่เขาเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา แต่เขากลับยึดครองพื้นที่ภายในใจของท่าน...ท่านมหาเทพ ข้ามิอาจทนรับการสูญเสียท่านได้เช่นพันปีก่อน ดังนั้นข้าต้องยอมให้ผู้อื่นทำร้ายท่าน ทั้งต้องยอมเป็นคนที่หลอกลวงท่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้ได้ท่านมา”

           เฟยหลงระบายความในใจทั้งหมดออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขามิอาจขาดท่านมหาเทพไปได้ ดังนั้นเขาทำได้ทุกๆอย่างเพียงเพื่อให้ได้มา ไม่ว่าจะถูกหรือผิด หรือแม้จะต้องอำมหิตเลือดเย็นสักแค่ไหน ทำร้ายใครมากสักเท่าใด เขาก็ไม่สนใจ

           “เฟยหลง นั่นมันผิดไปแล้ว เจ้าผิดไปแล้ว” ต้าเซียนก้มหน้าลงส่ายหน้าอย่างรู้สึกผิด มิใช่ว่าเขาไม่รู้สึกถึงความรักของเฟยหลง แต่เป็นเพราะว่าความรักของเฟยหลงนั้นเปี่ยมไปด้วยความต้องการ ไม่สนแม้แต่สรรพสิ่งใดๆ อีกทั้งความต้องการนั้นยังคงเปี่ยมไปด้วยการเข่นฆ่าทำลาย

           “ไม่ ข้าไม่ผิด” สองตาเฟยหลงเบิกค้าง แววตาส่วนลึกนั้นว่างเปล่า เขาปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว ทั้งใช้สองมือจับเข้าที่ไหล่ของท่านมหาเทพไว้แน่น “เพียงแค่ชายผู้นั้นตาย ในใจของท่านก็จะไม่มีเขาอีก ท่านมิต้องเป็นห่วง อีกไม่นานท่านก็จะลืมเขาไปเอง”

           เฟยหลงกล่าวเหมือนคนเสียสติ ต้าเซียนมองดูความบ้าคลั่งนั้นอย่างเจ็บปวดใจ แล้วพยายามตวาดเรียกเพื่อให้อีกฝ่ายคืนสติ แต่ทว่ามันกลับไม่สะทกสะท้านถึงสติของอีกฝ่าย ร่างแกร่งยังคงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งเขารั้งสาบคอเสื้อเจ้าตัวเข้ามากล่าวด้วยน้ำเสียงอันดัง “เจ้าพอได้แล้ว ทำเช่นนี้หาได้มีประโยชน์อันใดไม่”

           ครานี้เสียงหัวเราะของเฟยหลงหยุดชะงักแล้ว หากแต่กลับแทนที่ด้วยน้ำเสียงอำมหิต “ไม่มีประโยชน์รึ หากข้าไม่มีท่าน เขาก็อย่าได้หวังว่าจะมีท่านได้เช่นกัน”

           “ข้าบอกว่าพอได้แล้ว ถึงเขาจะตายรึไม่ ข้าก็ยอมติดตามเจ้าไปอยู่แล้ว เช่นนั้นเจ้าจะฆ่าเขาอีกทำไมกัน” ต้าเซียนกล่าวด้วยความสัตย์จริง

           ไม่ว่าหัวใจของเขาจะเป็นของเซียวถิงฟงหรือไม่นั้น เขาก็ตัดสินใจที่จะตามเฟยหลงไปแต่แรกอยู่แล้ว อันเพื่อความสงบของสามพิภพและเพื่อให้เขาได้ชดใช้บาดแผลในใจของอีกฝ่าย เขายอมติดตามเฟยหลงไปทุกหนแห่ง ดังนั้นไม่ว่าจะแพ้หรือชนะพนันนั้นก็ย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของเขาได้

           “ท่านคิดจะไปกับข้าจริงๆรึ” น้ำเสียงของเฟยหลงนั้นเริ่มอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

           ต่อเมื่อเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น ต้าเซียนก็รีบกล่าวตกลง “ข้าให้สัญญา จบเรื่องนี้ข้าจะไปกับเจ้า ฉะนั้นเจ้าอย่าได้คิดฆ่าเซียวถิงฟงอีก” ดูว่าดวงตาของเฟยหลงอ่อนแสงลงได้ไม่นาน ก็กลับต้องฉายแววฟาดฟันอีกครั้ง

           “ถึงที่สุดแล้วท่านก็ยังเป็นห่วงชายผู้นั้นอยู่ดี ท่านยังไม่เข้าใจอีกรึ สิ่งที่ข้าต้องการมิใช่เพียงแต่ตัวท่าน ข้ายังต้องการหัวใจของท่านด้วย หึ ข้ารับรอง ไม่เกินคืนนี้ เขาต้องตายด้วยน้ำมือของปีศาจจิ้งจอก” เฟยหลงกล่าวหนักแน่นทั้งยังหัวเราะขึ้นอีกครา

           ใจของต้าเซียนวูบโหวงไปในทันที เขาไม่น่าปล่อยปละปีศาจจิ้งจอกเป็นครั้งที่สอง ทั้งที่รู้ว่าปีศาจตนนั้นจะเป็นภัยแก่เซียวถิงฟง กระนั้นเขากลับใจอ่อน ห่วงแต่ความรู้สึกของอีกฝ่าย ด้วยกลัวว่าจะโดนเกลียด ทว่าสิ่งที่เขากลัวกลับกลายเป็นความเห็นแก่ตัวของเขาเองทั้งสิ้น และสิ่งนั้นจะทำลายชีวิตของเซียวถิงฟง

           ต้าเซียนผละกายออกจากเฟยหลง ทว่าสองมือใหญ่กลับเอื้อมมาพันธนาการมือเขาไว้ ตอนนี้เขารู้แล้ว เขามิอาจหยุดยั้งทั้งความคิดและการกระทำของเฟยหลงได้ เนื่องเพราะมันไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์อันใด

           สองเท้าก้าวถอยหลังห่างออกไป จนกระทั่งสองมือที่กอบกุมนั้นเลื่อนหลุดออก เฟยหลงพยายามไขว่คว้าสองมือนั้นไว้ ทั้งยังกล่าวด้วยน้ำเสียงและสายตาอ้อนวอน “อย่าไป”

           “แล้วข้าจะกลับมา” ต้าเซียนกล่าวสั้นๆ จากนั้นกระโดดลงจากหลังคาเก๋งหกเหลี่ยม โผทะยานเหาะเหินมุ่งหน้าไปทางทิศหนึ่ง ทิ้งไว้ให้เฟยหลงคำรามก้องอย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่างอย่างมืดมน


*************************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 26.2 ความปรารถนา


           
           สายตาทอดมองความเวิ้งว้างว่างเปล่า สองขาที่เคยมั่นคงมาตอนนี้คล้ายพังทลายลงสิ้นเชิง เซียวถิงฟงค่อยๆยกสองมือขึ้นดูอย่างช้าๆ ดูว่ามือข้างหนึ่งยังคงเปราะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดของบุคคลอันเป็นที่รัก แลไม่นานสองตาก็เริ่มแดงฉาน เมื่อจับจ้องมือข้างนั้น

           น่ารังเกียจ น่าขยะแขยง เป็นเพราะมันที่ทำให้เขาต้องทำสิ่งที่เสียใจไปตลอดกาล บังเกิดความรู้สึกรังเกียจตนเองพวยพุ่งอยู่ในอก ทันใดนั้นประกายตาเฉกเช่นพยัคฆ์ก็สว่างวาบด้วยความเคียดแค้น มือหนึ่งจับหมับแขนข้างที่เปราะเปื้อนด้วยเลือดอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงบิดหมุนไปในด้านที่ตรงกันข้ามอย่างไม่ลังเล

           กร๊อบ

           “อึ่ก” เซียวถิงฟงกัดริมฝีปากแน่นจนโลหิตไหลออกที่มุมปาก สองตายังคงแดงก่ำทั้งยังคงไม่กะพริบ แขนถูกหมุนไปในทิศทางตนกันข้ามรอบหนึ่งเสร็จก็คลายออก ก่อนที่มันจะร่วงหล่นดั่งไม่มีเรี่ยวมีแรง ทั้งยังห้อยต่องแต่งอย่างน่ากลัว

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เขาเห็นแล้วพลันอดหัวเราะหยันตัวเอง จากนั้นน้ำเสียงเข้มก็เอ่ยออกมา “ความเจ็บปวดนี้มันไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเจ้าเลยสักนิด ต้าเซียน” เซียวถิงฟงคำรามก้องอย่างเจ็บปวด หากเป็นไปได้เขาอยากที่จะตัดแขนข้างนี้ซะ แขนที่มันไม่รักดี...แขนที่ทำร้ายต้าเซียน

           เสียงคำรามดังก้องลอยเข้าสู่ประโสตประสาท ปลุกสติที่ยังคงดับๆหายๆให้รู้สึกตัวขึ้น ใต้จมูกรู้สึกถึงกลิ่นคาวคลุ้งที่ลอยอบอวล ดวงตาประเดี๋ยวชัดประเดี๋ยวพร่าเลือน รอจนครู่หนึ่งนางก็แลเห็นเงาร่างที่นั่งอยู่หน้าตำหนักลุ่ยหวา เฉกเช่นคนไร้จิตวิญญาณ

           ฉับพลันที่ต้าเซียนจากไป เซียวถิงฟงก็วิ่งไล่ตามอีกฝ่ายไปจนลืมกระทั่งนางที่ได้รับบาดเจ็บ นางได้แต่ตื่นตะลึงมองอยู่เช่นนั้น อาจเป็นเพราะแลเห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของชายหนุ่ม...สีหน้าที่ไม่เคยมีให้นาง

           องค์หญิงหย่าเหลียนเริ่มตระหนักได้อย่างถ่องแท้ จะอย่างไรในส่วนลึกของหัวใจของเซียวถิงฟงก็คงมีแต่ต้าเซียน แลไม่ว่าจะเป็นความรักหรือการปกป้องที่เขามีให้กับนาง มันก็เป็นเพียงแค่ความสงสารเท่านั้น

           นางพยุงร่างที่บาดเจ็บเข้าหาบุรุษที่ยังคงนั่งหันหลังให้ แม้จะทรุดลงนั่งที่ข้างกาย เขาก็ยังไม่รู้สึกถึงตัวตนของนาง ครั้นเห็นแขนข้างที่หักลงนางก็มิอาจเอ่ยวาจาใดได้อีก ได้แต่มองใบหน้านิ่งเรียบที่เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ ดวงตาพยัคฆ์ที่มักเปล่งประกายอยู่เสมอกลับหม่นแสงลงอย่างน่าใจหาย อีกทั้งสายตาที่เหม่อมองไปไกล ไกลจนสุดที่จะประมาณ

           นี่คือสิ่งที่ข้าอยากเห็นกระนั้นหรือ สิ่งที่ข้าทำมันถูกต้องจริงๆรึ

           ในความทรงจำของนางมักเปี่ยมไปด้วยภาพของเซียวถิงฟงที่มีชีวิตชีวา แต่ทว่าตอนนี้มันกลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง นางก้มหน้าลงอย่างสับสบ แต่แล้วก็พลันสะดุดสายตาไปที่อาภรณ์สีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มที่เปราะเปื้อนไปด้วยโลหิตเป็นหย่อมๆ

           เหมือนมีบางสิ่งที่ถาโถมขึ้นสู่ภายในทรวงอก บางสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกอัดอั้น นางกุมมือที่หน้าอกพลางหายใจให้สงบ ทั้งพยายามข่มกลั้นความทรมานนี้ไว้ จู่ๆลำคอก็แห้งผาก ทำให้ต้องฝืนกลืนน้ำลายไปอึกหนึ่ง แต่กระนั้นก็ยังคงมิอาจดับความหิวกระหาย

           นางกำลังหิวกระหาย ต่อเมื่อตระหนักได้เช่นนั้น นางก็ต้องสะดุ้งกาย ถามตนเอง...ข้ากำลังหิวกระหายอย่างนั้นหรือ

           “ปล่อยกายปล่อยใจซะของเจ้าซะ แล้วเจ้าจะรู้สึกดีขึ้นเอง”

           เสียงแหลมเล็กกล่าวดังในสมอง เสียงนั้นกล่าวสบายๆแต่แฝงไปด้วยการบีบบังคับ นางส่ายศีรษะ ด้วยรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง

           “เจ้ากล้าต่อต้านข้ารึ”

           เสียงดังกล่าวเริ่มกราดเกรี้ยวใส่ ทำให้นางต้องยกมือขึ้นกุมศีรษะ หวังสลัดเสียงเหล่านี้ให้ออกจากสมอง ทว่ายิ่งพยายามเท่าใดกลับดูเหมือนยิ่งทรมานตัวเองมากเท่านั้น “ไม่” นางพึมพำ

           “อย่างเจ้าน่ะรึ กล้าต่อกรกับข้า จิ้งจอกเก้าหางเหม่ยซิน ดูสิว่าเจ้าจะทนไปได้สักกี่น้ำ” กล่าวจบเสียงหัวเราะหวีดแหลมก็ดังขึ้น

           กระหม่อมเสมือนถูกบีบรัด นางกุมศีรษะจนแทบจะจิกทึ้งเส้นผมของตนเอง นางฝืนกล่าวได้อย่างยากเย็น “เจ้าทำอะไรกับร่างกายของข้า”

           “ร่างกายของเจ้าน่ะหรือ เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่จากนี้ไปร่างนี้จะกลายจะเป็นของข้าโดยสมบูรณ์”

           “จะ เจ้าหลอกข้างั้นรึ” 

           “ข้าไม่เพียงแต่หลอกเจ้า ข้ายังจะแย่งเขาไปจากเจ้าอีกด้วย”

           “มะ หมายความว่ากระไร” นางตื่นตะลึงวูบ กายสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งตัว ชีวิตของนางอยู่ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอยู่เสมอ ตอนนี้ก็เช่นกัน

           “เจ้ายังต้องถามอีกรึ ทั้งๆที่เจ้าได้บั่นทอนพลังชีวิตของเขาเสียหลายครั้ง” จิ้งจอกเหม่ยซินกล่าวแทงใจดำ

           “ขะ ข้า ไม่จริง” เขาจะตายอย่างนั้นรึ นางแตกตื่นจนแทบสิ้นสติ นางมิอาจยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้ นางมิเคยต้องการแบบนี้ นางสาบานได้ แต่ดูว่าตอนนี้มันกลับสายไปแล้ว นางประจักษ์ได้ เนื่องเพราะมือของนางได้เอื้อมออกไปยังเบื้องหน้าที่มีเขาอยู่ โดยที่นางมิได้ต้องการทำเช่นนั้น

           ร่างกายถูกควบคุมโดยอย่างสิ้นเชิง นางได้แต่มองบุรุษที่นางรักยืนอยู่ตรงหน้า...ย่ะ หยุด ข้าไม่ได้ต้องการเช่นนี้ หยุด ได้โปรด นางกล่าวซ้ำไปซ้ำมา จนสุดท้ายต้องกรีดร้องขึ้นอย่างสุดเสียง หวังให้ชายหนุ่มหนีออกไปให้ไกลจากตัวนาง ยิ่งมากเท่าใดยิ่งดี แต่ดูเหมือนว่าเสียงของนาง มิอาจสะท้อนไปถึงเขาได้สักนิด

           “หย่าเหลียน”

           เสียงของเซียวถิงฟงเหมือนคืนสติให้แก่นางอีกครั้ง มือของนางสัมผัสตรงที่อกข้างซ้ายของเขา แลข้างในอกก็มีสิ่งหนึ่งที่เต้นเป็นจังหวะ จิ้งจอกเหม่ยซินยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก

           “ท่านเป็นอะไรมากรึไม่” น้ำเสียงหยาดเยิ้มกล่าวขึ้น ดวงตาเป็นประกายจ้องมองใบหน้าคนที่ดูเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก

           เซียวถิงฟงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเบาบาง “ข้า...ข้ามิเป็นอะไร” จากนั้นจึงฉุกคิดขึ้นได้ว่านางเปียกไปด้วยน้ำฝน ทั้งยังได้รับบาดเจ็บ “ข้าจะพาเจ้ากลับตำหนักเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงหม่นหมองเอ่ยขึ้นพลางลุกตัวเข้าพยุง หากแต่นางกลับยกมือเป็นเชิงห้าม
   
           “ท่านจะมอบหัวใจของท่านให้ข้าได้รึไม่” นางเอ่ยขอน้ำเสียงจริงจัง ไม่เว้นแม้แต่สายตา ทำให้เซียวถิงฟงต้องนิ่งอึ้งไป
   
           “นางไปจากท่านแล้ว นางมิได้รักท่าน เช่นนั้นแล้วท่านควรมอบหัวใจของท่านให้ข้าซะ” จิ้งจอกเหม่ยซินกระซิบคำกล่าวที่เป็นเสมือนดั่งมนตร์ ไม่ว่าชายใดที่ต้องมนตร์นี้มักลุ่มหลงให้กับนางด้วยกันทั้งสิ้น นางรอคอยโอกาสนี้มานานแล้ว รอคอยให้จิตใจของชายหนุ่มตรงหน้าอ่อนแอลงจนมิอาจต้านทานมนตร์ของนางได้อีก
   
           วาจาเชือดเฉือนของนางเปรียบเสมือนคมมีดที่กรีดทับบาดแผลให้เต็มเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง เซียวถิงฟงรู้สึกคล้ายถูกดึงเข้าไปยังบ่อทรายที่ลึกยิ่ง แลยิ่งตะเกียกตะกายมากเท่าใด กลับยิ่งจมลงไปมากเท่านั้น ยากที่จะกลับขึ้นมาได้อีก
   
           ในที่สุดบุรุษเบื้องหน้าของจิ้งจอกเหม่นซินก็ดั่งเช่นคนเป็น หากแต่กลับเป็นคนเป็นที่หัวใจตายไปแล้ว สายตาของนางเกิดเป็นประกายสีแดง นางยิ้มหยันอย่างดีอกดีใจ ก่อนโผกอดเขาไว้แน่น กล่าวปลอบโยนเขาอย่างดี “กล่าวสิว่าท่านจะมอบหัวใจให้ข้า”
   
           เซียวถิงฟงรู้สึกถึงหัวใจที่ด้านชา ทั้งที่เจ็บปวดแทบตายแต่กลับมิอาจตายได้ เสมือนมีเสียงกระซิบหนึ่งร้องบอก จะสนไปไยว่าชีวิตที่เหลือจะดีหรือร้าย ในเมื่อหัวใจแตกสลายไปหมดแล้ว ซึ่งแม้จะมีอีกเสียงกระซิบหนึ่งพยายามทัดทานความคิดนี้ แต่ทว่ามันก็มิอาจสู้เสียงกระซิบแรกได้

           ดวงตาเลื่อนลอยคล้ายตกอยู่ในมนตร์สะกด เขาตอบออกไปอย่างช้าๆด้วยน้ำเสียงตายด้านไร้ซึ่งชีวิตชีวา “ข้าจะมอบหัวใจให้เจ้า”
   
           ครั้นได้คำตอบที่รอคอย จิ้งจอกเหม่ยซินก็แค่นหัวเราะภายในใจ ความสามารถด้านการสะกดจิตใจของนาง มิเคยทำให้นางต้องผิดหวัง และบัดนี้เพียงประโยคเดียวของเขาได้ทำให้นางได้สิ่งที่ต้องการแล้ว นางเหยียดยิ้มเมื่อกลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด

           “ขอบคุณท่านมาก ที่ท่านยอมมอบสิ่งที่ข้าต้องการมาตลอด” สายตานางแหลมคมยิ่งขึ้น หากแต่เซียวถิงฟงกลับมิได้รู้สึกตัว แลชั่วพริบตานางก็พุ่งมือเข้าใส่อย่างรวดเร็ว

           เซียวถิงฟงเบิกตากว้าง หยดน้ำสีแดงสาดกระเซ็นจนเปราะเปื้อนที่ใบหน้าตนเอง ที่หน้าอกรู้สึกถึงสายลมพัดผ่าน ยังผลให้รู้สึกโหวงเหวง เพียงชั่ววูบก็รู้สึกอึดอัด เขาก้มหน้าลงมองใบหน้าของหย่าเหลียนอย่างช้าๆ

           ดูหมือนว่าใบหน้าของนางก็ต้องด้วยหยดน้ำสีแดงเช่นกัน นางส่งรอยยิ้มกว้างให้ ทั้งจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีแดงโลหิต จากนั้นนางก็ค่อยๆผละตัวออกจากเขาอย่างแช่มช้า บางสิ่งบางอย่างคล้ายเสียดสีที่หน้าอก

           “อึก” ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วทั้งกาย เซียวถิงฟงข่มกัดฟันไว้แน่น ดวงตาแข็งกร้าว

           ในที่สุดหย่าเหลียนก็เดินถอยหลังออกห่างไปอย่างช้าๆ สีหน้าของนางยังคงไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ชุดสีขาวที่เปียกปอนด้วยน้ำฝนกลับถูกหยดน้ำสีแดงสาดทับลงไปอีกที แขนขวาของนางชุ่มไปด้วยสีแดงเสมือนถูกย้อมด้วยสี รอจนนางถอยห่างออกไปหนึ่งช่วงตัว เซียวถิงฟงก็ได้เห็นสิ่งที่อยู่ในมือของนางอย่างเต็มตา

           สิ่งนั้นกำลังเต้นตุบๆในมือที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด...หัวใจของเขา
   
           “แค่ก แค่ก” โลหิตที่อยู่ภายในพากันถาโถมออกมาจากริมฝีปากอย่างไม่หยุดยั้ง เขากระอักเลือดออกมา ไม่นานนักร่างกายที่เคยอบอุ่นก็พลันรู้สึกหนาวสะท้าน ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น
   
           “ขอบคุณรองแม่ทัพเซียวอย่างยิ่ง” เสียงแหลมเล็กกล่าวขึ้นพร้อมทั้งชะโงกหน้ามองร่างของเซียวถิงฟง
   
           เซียวถิงฟงมองร่างอรชรอย่างไม่กะพริบตา บัดนี้สตรีที่อยู่เบื้องหน้ามิใช่หย่าเหลียนอีกต่อไป หยดเลือดสีแดงของเขาพร่างพรมอาภรณ์สีขาวของสตรีนางนี้จนกลายเป็นชุดสีแดงสด ฉับพลันนั้นความทรงจำหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมอง

           รอยยิ้มที่หยาดเยิ้มยั่วยวน ดวงตาที่มีประกายสีแดง อาภรณ์สีแดงสดดั่งโลหิต นางคือสตรีลึกลับที่เขาได้พบเจอโดยบังเอิญครั้นงานเลี้ยงในวนอุทยานชวีเจียง “จะ เจ้า” เซียวถิงฟงเค้นเสียงพูดอย่างอย่างลำบาก

           “ท่านจำข้าได้แล้วหรือ แล้วท่านยังจำได้รึไม่ ว่าข้าเคยกล่าวอะไรไว้กับท่าน ข้าเคยกล่าวไว้ว่าสุดท้ายแล้วท่านจะเป็นฝ่ายมอบหัวใจของท่านให้ข้าอย่างแน่นอน” กล่าวจบจิ้งจอกเหม่ยซินก็หัวเราะขึ้นอย่างสะใจ

           “ยะ หย่าเหลียน น่ะ นาง” เซียวถิงฟงหายใจได้ไม่ทั่วท้อง ทำให้เสียงที่บังเกิดกลายเป็นน้ำเสียงขาดๆหายๆ

           “มิต้องห่วง ข้าจะดูแลร่างกายของนางให้ดีทีเดียว ว่าแต่หัวใจของท่านช่างเปี่ยมไปด้วยพลังของเซียน น่าลิ้มลองยิ่งนัก” ปีศาจจิ้งจอกกล่าวจบ ก็ยกหัวใจที่ยังคงเต้นตุบๆขึ้นกัดกินต่อหน้าชายหนุ่มอย่างตะกรุมตะกราม ในระหว่างนั้นนางยังคงใช้มือหนึ่งลูบไล้ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างหยอกเย้า แม้หัวใจดวงนี้จะมีเพียงแค่ครึ่งดวง แต่มันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเซียนที่จะช่วยให้ตบะของนางรุดหน้าไปไกล

           เซียวถิงฟงสะบัดหน้าหนีอย่างรังเกียจ แต่ความจริงแล้วเขาไม่หลงเหลือพลังในกายที่จะหลบหลีกอีกต่อไป ในไม่ช้าดวงตาก็รู้สึกหนักราวกับแบกหินไว้พันชั่ง เขามิอาจฝืนสู้ได้อีก ดวงตาจึงปิดลงอย่างเหน็ดเหนื่อยจนมองเห็นเพียงแต่ความมืดมิด

           แต่กระนั้นในความมืดนั้นยังคงมีแสงส่องสว่าง แสงที่ส่องเป็นประกายสีเหลืองท่ามกลางความมืดมิด ที่ใจกลางนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดขาวหมดจด ใบหน้าเรียวเล็ก เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ดูอ่อนละมุนน่าสัมผัส เฉกเช่นดวงตาที่งดงาม ริมฝีปากบางนั้นแย้มยิ้มอย่างมีความสุข

           ต้าเซียนกำลังยิ้มให้เขา ความอบอุ่นล้นปรี่ขึ้นในใจอีกครั้ง ทว่าไม่นานภาพของเขาที่ทำร้ายต้าเซียนกับมือของตัวเอง อีกทั้งนามต้าเซียนที่ถูกร่างน้อยทิ้งไว้ ณ ที่แห่งนี้ก็แล่นวาบเข้าสู่สมอง ความสะเทือนใจกอบกุมจิตใจเขาอีกครั้ง

           ความเจ็บปวดนี้สาสมแล้ว สาสมแล้ว เซียวถิงฟงแค่นหัวเราะสมเพชตนเองในใจ

           ต้าเซียน...ตัวข้าที่ไม่เคยอยู่เคียงข้างเจ้า ตัวข้าที่ทำร้ายเจ้ามาตลอด แม้ข้าจะกระทำผิดมามากมาย และคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะแก้ตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าอยากให้เจ้ารับรู้มาตลอด

           ...ข้าปรารถนาเป็นดั่งเช่นเจ้า เป็นดั่งเช่นเม็ดทรายที่สามารถลอยละล่องไปทั่วทุกที่ เพื่อที่ข้าจะได้ติดตามเจ้าไปทุกหนทุกแห่ง แม้ข้าไม่อาจสัมผัสจับต้องเจ้าได้ ก็มิเป็นไร ขอเพียงข้าได้มองเจ้าอยู่ห่างๆ เห็นเจ้ายิ้มอย่างมีความสุข แม้คนที่เจ้ายิ้มและคนที่เจ้ารักจะไม่ใช่ตัวข้า และหากวันใดที่เจ้ารู้สึกโดดเดี่ยว ข้าจะคอยอยู่ข้างกายเจ้า ปลอบโยนเจ้า แม้ว่าเจ้าอาจจะไม่รู้สึกถึงตัวตนของข้าเลยก็ตามที

           เพียงแค่นี้ก็ เพีย งพอสำหรั บคนอย่าง ข้าแล้ ว

           ต้าเซี ยน...รั ก


****************************************************

เเบ่งเบามาม่ากันไปคนละชามนะจ้ะ  :laugh:

ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2

ออฟไลน์ Umiko

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เศร้าเกินไปแล้ว.... :hao5:

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
มาเต็ม ไม่นะถิงฟงอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปปป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด