♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558  (อ่าน 54472 ครั้ง)

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 27.1 ฝืนลิขิต



           เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาปรารถนาเป็นคนพิการตาบอด เพียงเพื่อจะได้มิต้องรับรู้เรื่องราวตรงหน้า กายพลันสั่นสะท้านรุนแรง ต่อเมื่อสองตาสบพบกับชายที่ซึ่งนอนหลับตาแน่นิ่งกับพื้น

           หากเป็นตามปกติเขาคงจะเดินดุ่มเข้าไปเตะสีข้างของคนผู้นี้สักทีสองที หากแต่ตอนนี้เขามิกล้าทำเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว เนื่องเพราะเจ้าตัวมิได้นอนแน่นิ่งเกียจคร้านเช่นในวัยเด็ก ผู้ซึ่งมักหาเวลาส่วนใหญ่ล้มตัวนอนเล่นบนพื้นหญ้าโดยที่มิได้ใส่ใจถึงกิริยามารยาทอันใด
           
           ทั้งตอนนี้เจ้าตัวมิได้เพียงแค่งีบหลับ แต่ที่ด้านหลังยังปรากฏไว้ด้วยโลหิตกองหนึ่ง ที่หน้าอกยังมีร่องรอยทะลุทะลวงบริเวณหัวใจ คล้ายถูกมือเรียวเล็กคว้านออกไปอย่างอำมหิต สมองของเขาอื้ออึงในบัดดล เสียงร้องของถิงถิงดังขึ้นสุดเสียง นางแล่นเข้าไปหาคนผู้นี้ทันทีที่มองเห็นสภาพของเขา พร้อมกับร่ำไห้สะอึกสะอื้นราวจะขาดใจ

           “องค์รัชทายาท” เสี่ยวลู่กล่าวเรียกตนด้วยน้ำเสียงสั่นอันแฝงแววหวาดกลัวอย่างปกปิดไม่มิด

           ซวนหยวนหมิงไท่พยายามอ้าปากขึ้นเอื้อนเอ่ย แต่ก็หาได้มีคำใดเล็ดลอดออกมาไม่ เพียงแค่รู้สึกถึงคำหนึ่ง...เร็ว เร็วเกินไป

           ไม่กี่ชั่วยามก่อนเขายังคงได้ประมือกับชายผู้นี้ ชายที่เป็นดั่งสหายเพียงหนึ่งเดียวของเขา แต่มาตอนนี้อีกฝ่ายกำลังนอนไร้ชีวิตชีวา โดยมีถิงถิงร้องไห้ฟูมฟายพยายามเขย่าตัวไม่หยุดหย่อน กระทั่งเหล่าองค์รักษ์ต้องเข้าไปรั้งตัวนางไว้

           เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมีวันนี้...

           สมองเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า รู้สึกเสมือนถูกใครตีเข้าที่ศีรษะอย่างจัง ฉับพลันนั้นบังเกิดเสียงหัวเราะดังก้องเหนือฟากฟ้า ทำให้คนทั้งหลายต้องยกมือขึ้นป้องหู แล้วเงยหน้าขึ้นมองหาต้นเสียง

           เพียงชั่วครู่ก็เกิดเป็นลมแรง พัดพาเอากิ่งไม้รอบๆต่างสะบัดไสว ราวกับตอบสนองความชั่วร้ายประกายหนึ่ง สายลมกระหน่ำเฉกเช่นคลื่นพายุ ส่งผลให้เหล่าองค์รักษ์ต้องโซเซกาย ความอลหม่านเกิดขึ้นโดยรอบ

           ไม่นานนักลมพายุก็สงบ ดวงตาของซวนหยวนหมิงไท่ต้องฉายแววประหลาดใจอีกครั้ง เพราะผู้คนที่เหลืออยู่กลับมีเพียงเขาและถิงถิงที่มีสีหน้างงงันเคล้าน้ำตา ครั้นหันไปมองรอบด้านอย่างระแวดระวัง ก็พลันพบร่างของเหล่าองครักษ์และเสี่ยวลู่ที่นอนไม่ได้สติกับพื้น มีเพียงหน้าอกที่สะท้อนขึ้นลงน้อยๆ บ่งบอกว่ายังคงมีชีวิตอยู่

           “นึกแล้วว่าท่านยังคงต้องย้อนกลับมา”

           เสียงหวานระคนยั่วยวนสะท้อนเข้าสู่โสตประสาท เขาค่อยๆขยับเขยื้อนกายทีละเล็กทีละน้อยเพื่อหันกลับไปยังด้านหลัง กระทั่งใบหน้ากระจ่างตาสะท้อนสู่แววตา หญิงสาวที่ตนรู้จักก็เหยียดยิ้มกว้างให้ ดูไร้ซึ่งความเดียงสาเช่นกาลก่อน นางเองก็หยุดมองท่าทีนิ่งไม่ไหวติงของเขา จากนั้นก็ค่อยๆยกมือที่เปราะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิตที่ยังคงไม่แห้งสนิทขึ้นป้องริมฝีปากแล้วหัวเราะขึ้น

           “คิก คิก” น้ำเสียงที่ราวกับระฆังถูกเปล่งออกมา “ดูท่านสิ กำลังหวาดกลัวใช่รึไม่ นี่ข้าเองหย่าเหลียนของท่านอย่างไรล่ะ”

           น้ำเสียงนั้นกล่าวเจือไปด้วยความขบขันเล็กน้อย รัชทายาทหนุ่มฟังแล้วก็ขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ “ข้ารึหวาดกลัว นางปีศาจ เจ้ากล่าววาจาเหลวไหล อีกทั้งเจ้าก็มิใช่หย่าเหลียน” กล่าวจบ ถิงถิงที่ยังคงมีสตินั่งอยู่ข้างกายเซียวถิงฟงก็กล่าวสนับสนุน

           “ใช่ เจ้าปีศาจ เจ้าพูดจาเหลวไหล เจ้าทำร้ายนายของข้า วันนี้เจ้าอย่าได้หมายมีชีวิตอีกต่อไป” เมื่อสิ้นเสียง ถิงถิงก็ทะยานร่างด้วยท่าสี่เท้าเข้าหานางปีศาจอย่างไม่รอช้า เล็บของนางงอกขึ้นยาวอย่างรวดเร็ว หมายที่จะฟาดกรีดไปที่ดวงหน้าของหญิงที่มีใบหน้าเฉกเช่นองค์หญิงหย่าเหลียน

           หากแต่ร่างของนางปีศาจกลับไม่หลบไม่หลีก นางเพียงยกยิ้มเย้ยหยัน จากนั้นจึงยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นปลดปล่อยขุมพลังเข้าใส่ พริบตานั้นขุมพลังสีดำทะมึนก็ปรากฏที่เบื้องหน้าของถิงถิง ก่อนจะกระแทกเข้ากับร่างจนทำให้นางต้องลอยละลิ่วไถลกับพื้นแน่นิ่งไปในทันที

           “ถิงถิง” เขาถึงกับตื่นตะลึง

           “ทางที่ดีท่านอย่าได้ขยับเสียดีกว่า มิฉะนั้นนางตายแน่” เสียงอำมหิตถูกเอ่ยออกมาจากใบหน้าที่ยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สา
ซวนหยวนหมิงไท่ที่เคลื่อนกายไปได้เพียงแค่ก้าวเดียวจำต้องหยุดชะงัก หันกลับมาจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง แต่จิ้งจอกเหม่ยซินหาได้แยแสไม่ นางกลับชมชอบเสียด้วยซ้ำ นางยกฝ่ามือไปทางถิงถิงเพื่อเป็นการขู่อีกที

           “เจ้าต้องการอะไร” ครานี้เขากัดฟันกล่าวถาม ในใจพยายามสงบกลั้นอารมณ์ให้เยือกเย็น   

           “ข้าเพียงต้องการสัญญาที่ท่านเคยตกลงกับข้าไว้” ปีศาจจิ้งจอกกล่าวขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปหาองค์รัชทายาทที่ยืนไม่กระดุกกระดิก

           “เจ้า...สังหารเซียวถิงฟงไปแล้ว ยังไม่พอใจอีกรึ” เขาฝืนกล่าวขึ้น อย่างทำใจยอมรับได้ยากกับสิ่งที่พึ่งพบเห็น หากแต่เซียวถิงฟงนั้นได้เสียชีวิตลงแล้วจริงๆ

           “เขาก็ส่วนเขา ท่านก็ส่วนท่าน” นางพูดสั้นๆพร้อมทั้งจงใจลูบไล้ใบหน้าสง่างามด้วยมือที่ยังคงเปื้อนไปด้วยโลหิต “แต่มิต้องห่วง กับท่านข้าจะมิปล่อยให้ท่านต้องจากไปอย่างรวดเร็วเป็นแน่”

           “แสดงว่าเขาจากไปเร็วมาก”

           “เป็นเช่นที่ท่านกล่าว” เหม่ยซินเริ่มโอบกอดชายที่ยืนเซื่องซึม ก่อนจะแสยะยิ้มขึ้นเมื่อนึกถึงรสชาติเลือดเนื้อของโอรสมังกรอีกครั้ง นางซุกไซ้ลำคอเรียวอย่างพึงพอใจ มิได้สังเกตเห็นถึงท่าทีผิดปกติของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

            “เปิดรับข้า ผสานใจกับข้า” เสียงที่คอยโหวกเหวกข้างหูอยู่เสมอทุกเมื่อเชื่อวัน เพลานี้กลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า

           “ข้าต้องทำเช่นนั้นจริงๆรึ” คำถามผุดขึ้นในใจ...จะให้เขาช่วงชิงชีวิตของสตรีที่รักด้วยน้ำมือของตนเองจริงๆน่ะหรือ

           “ในเพลานี้นางจะเป็นอิสระจากความมืดได้รึไม่ ขึ้นอยู่ที่เจ้าตัดสินแล้ว” ไป๋เซ่อกล่าวตอบอย่างหนักแน่น

           ด้านซวนหยวนหมิงไท่รับฟังแล้วหลับตาลงเม้มริมฝีปากแน่น แม้ความเจ็บปวดจะต้องคงอยู่ไปตลอดกาล แต่เขาจะไม่ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง


**************************************************


           แสงสว่างสะท้อนขึ้นภายใต้เปลือกตา พริบตานั้นความเย็นเยียบก็ปรากฏขึ้นที่แขน เขาก้มลงมองแขนขวาแล้วพลันเห็นงูเผือกสีขาวที่กำลังเลื้อยรัดที่ข้อมืออย่างเงียบเชียบ กระทั่งเลื้อยไปถึงที่ท่อนไหล่ที่แข็งแรง มันก็ใช้จังหวะนี้เลื้อยอ้อมไปหลบที่แผ่นหลัง รอจนได้จังหวะที่นางจิ้งจอกไม่ทันระวัง ก็โผล่ออกไปเผชิญหน้าอย่างที่มิให้นางตั้งตัวได้ติด

           “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” เจ้าปีศาจจิ้งจอก วันนี้เป็นวันตายของเจ้า
   
           “กรี๊ด” จิ้งจอกเหม่ยซินกรีดร้องตกใจ ทันทีที่เห็นงูเผือกแยกเขี้ยวดุร้ายประชิดที่ใบหน้าตัวเอง นางรีบผละตัวออกจากซวนหยวนหมิงไท่ แต่ทว่าไป๋เซ่อกลับไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น มันดีดตัวออกจากรัชทายาท พร้อมทั้งทะยานร่างเข้าหาปีศาจจิ้งจอกอย่างมิเกรงกลัว

           ครานี้นางจิ้งจอกถึงกับตะเบ็งเสียงร้องลั่น เนื่องเพราะงูเผือกโผเข้ารัดที่ลำคออย่างพัลวัน แม้นางจะพยายามดึงทึ้งมันออกสักแค่ไหน กลับกลายเป็นว่ามันยิ่งรัดคอจนนางหายใจมิออก ท้ายที่สุดต้องแสร้งอ่อนระทวยคล้ายสิ้นฤทธิ์ ยังผลให้งูเผือกคลายตัวลง พอสบโอกาสก็ดึงมันออกจากลำคอ แล้วขว้างออกไปให้ไกลสุดแสน

           ไป๋เซ่อที่หลงกลก็รู้สึกโมโหจัด แลจังหวะที่โดนเขวี้ยงตัวออกมา มันก็ดีดตัวกลับไปหาซวนหยวนหมิงไท่ที่ซึ่งยืนอยู่ทางด้านหลัง พร้อมกันนั้นก็ผงกหัวขึ้นขู่ฟ่อๆไปทางนางปีศาจที่กำลังทำสีหน้าขยะแขยง

           “ท่านกล้าปฏิเสธข้า” จิ้งจอกเหม่ยซินกล่าวน้ำเสียงกร้าว

           “ใช่ ข้าขอปฏิเสธ นางปีศาจชั่วช้า” ซวนหยวนหมิงไท่ยืนกรานหนักแน่น ทำให้นางต้องถลึงตามองด้วยความโกรธ

           “ท่านอย่าได้ลืมไปว่าร่างนี้เป็นร่างของสตรีที่ท่านรักยิ่ง” นางมิยอมให้ใครมาหักหน้าได้ จึงงัดเอาจุดอ่อนของคนตรงหน้ามาใช้ขึ้นแทน

           แลคำพูดที่หยิบยกมาก็ทำใจของซวนหยวนหมิงไท่สับสน เพราะร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา เป็นร่างขององค์หญิงหย่าเหลียนจริงๆ

           “เจ้าอย่าได้ลังเลใจอีก ตอนนี้มีเพียงเจ้าที่สามารถช่วยนางได้ หาทางเข้าใกล้นางแล้วใช้กระบี่พิสุทธิ์แทงที่หัวใจของนางเสีย เท่านี้นางก็จะสามารถกลับมาสู่ทางที่สว่างได้” เสียงขู่ฟ่อๆของไป๋เซ่อกล่าวเตือนสติเขา

           ใช่แล้ว ไป๋เซ่อกล่าวได้ถูกต้อง เขามิอาจลังเลใจได้อีก ตอนนี้มีเพียงเขาที่จะสามารถช่วยนางได้ คิดได้ดังนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ตัดสินใจในที่สุด แขนขวายกขึ้น ไป๋เซ่อที่เลื้อยรัดอยู่ก็ขู่ฟ่อตอบรับ จากนั้นร่างของมันก็เปล่งแสงสว่างวาบ ก่อนจะกลับกลายเป็นเช่นกระบี่สีขาวบริสุทธิ์

           “กล้าเป็นปรปักษ์กับข้า ดูสิว่าจะร้ายกาจแค่ไหนกันเชียว” จิ้งจอกเหม่ยซินแค่นน้ำเสียงไม่พอใจ นางถลันตัวเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว กระบี่พิสุทธิ์ในมือของซวนหยวนหมิงไท่ก็ถูกวาดออกด้วยเช่นกัน

           ปลายแขนเพียงแค่ตวัด โลหิตสีแดงคล้ำก็สาดกระเซ็นท่ามกลางกระแสลม จิ้งจอกเหม่ยซินถึงกับงงงันวูบ เนื่องเพราะโลหิตนี้หาใช่ขององค์รัชทายาทไม่ หากแต่เป็นของนางเอง ครั้นมองดูบาดแผลที่ไม่ตื้นไม่ลึกที่แขนข้างซ้าย ก็ดูว่ากระบี่ในมือขององค์รัชทายาทนี้หาได้ธรรมดาไม่

           “กระบี่ท่านเป็นของดีมิใช่น้อย เกรงว่าเป็นของวิเศษจากแดนสวรรค์” หากเป็นกระบี่ธรรมดาย่อมมิสามารถทำอันตรายนางได้ ยิ่งในตอนนี้ นางมีพลังเซียนที่แย่งชิงมาจากเซียวถิงฟงด้วยแล้ว นั่นย่อมเป็นไปมิได้

           “กระบี่นี้เรียกว่ากระบี่พิสุทธิ์ เป็นกระบี่ประจำองค์มหาเทพแห่งแดนสวรรค์ มีฤทธานุภาพทำลายพลังมืดและพลังฟ้า ถึงแม้ว่าเจ้าจะช่วงชิงพลังเซียนมาได้ แต่ก็มิอาจรอดพ้นไปจากกระบี่นี้ได้เช่นกัน” เสียงขู่ฟ่อของไป๋เซ่อดังขึ้นในสมอง แต่น่าแปลกที่เขากลับเป็นฝ่ายกล่าวออกมาเอง

           นางจิ้งจอกคิ้วขมวดเป็นปม “พวกเจ้าอย่าได้อวดอ้างเกินไป ข้าไม่มีวันเชื่อว่าพวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้” กล่าวจบก็ส่งเสียงหัวเราะก้องไปทั่วบริเวณ ทิ้งไว้ให้คนกับกระบี่นิ่งงันจับตาดูท่าทีของนางไม่ไหวติง รอจนนางข่มขวัญจบก็อาศัยจังหวะนี้ พุ่งตัวเข้าหาทั้งคนทั้งกระบี่

           เสียงกระบี่และกรงเล็บอันแหลมคมปะทะกันอย่างรุนแรงคราหนึ่ง ก็ผละออกจากกัน กระนั้นจิ้งจอกเหม่ยซินก็หาได้เลิกราไม่ นางยังคงเข้ารุกไล่ด้วยพละกำลังอันเปี่ยมล้น อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

           สีหน้าของซวนหยวนหมิงไท่เองก็มิได้แปรเปลี่ยน กระบี่พิสุทธิ์นั้นรุกไล่ขึ้นสวนไปทางด้านบนอย่างกะทันหัน ทำเอาจิ้งจอกเหม่ยซินต้องสะบัดหน้าแหงนขึ้นแทบมิทัน แต่เพลงกระบี่พิสุทธิ์นั้นก็หาได้ธรรมดาอย่างที่นางคิด กระบี่พึ่งรุกไล่ขึ้นแต่แล้วกลับทิ่มแทงลงอย่างกะทันหัน

           จิ้งจอกเหม่ยซินผงะตกใจ เมื่อเห็นปลายกระบี่พุ่งสวนลงมาที่หน้าอก แลช่วงเวลาที่วิกฤตนี้สองมือของนางก็ประกบปลายกระบี่นี้ไว้อย่างทันท่วงที เหงื่อกาฬหลั่งไหลที่หน้าผาก นางใช้สายตาจ้องลึกลงไปยังสายตาของรัชทายาทหนุ่ม

           ลึกลงไปในดวงตาประกายแดง กลับปรากฏภาพหญิงสาวที่ตนคุ้นตาดียิ่ง นางจ้องมองเขาอย่างมีความในใจ  จากนั้นจึงกล่าวกับเขาประโยคหนึ่ง

           “ได้โปรดฆ่าข้าซะ”

           ซวนหยวนหมิงไท่บังเกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ทำให้เผลอชะลอท่าทีลง จิ้งจอกเหม่ยซินสบช่องโหว่นี้แล้วก็รีบผละร่างให้ห่างจากคมกระบี่ จวบจนรู้สึกตัวอีกครั้งรัชทายาทหนุ่มก็ไล่ติดตามไปอย่างมิลดละ

           เพลงกระบี่บ้างมุ่งตรง บ้างวกวน จากช้าเปลี่ยนเป็นเร็ว จากเร็วเปลี่ยนเป็นช้า บางเพลงก็ลดเลี้ยวดุจเช่นงู ส่งผลให้นางจิ้งจอกรับมืออย่างงุนงง ในใจเริ่มประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ลึกๆ เนื่องเพราะกายเกิดเป็นรอยแผลริ้วจากคมกระบี่ แม้แผลไม่ลึกแต่กลับแสบร้อนยากต่อการทานทน ดูท่าว่านางจำเป็นต้องปลดปล่อยพลังที่ยังคงไม่เสถียรภาพออกมาแล้ว

           หลังจากที่จิ้งจอกเหม่ยซินกัดกินหัวใจของเซียวถิงฟง พลังเซียนที่เอ่อท้นไปด้วยพลังก็หมุนเวียนไปทั่วร่างกาย ประกอบกับปราณมังกรขององค์รัชทายาทจำนวนหนึ่ง ก็ทำให้นางถึงแก่บรรลุตบะหลายพันปี ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้คึกคะนองยิ่ง แม้ต้องรอคอยให้พลังในร่างเสถียร แต่บัดนี้นางได้เปล่งพลังแล้ว

           หางจิ้งจอกนับร้อยปรากฏขึ้นสู่สายตา ในแววตาขององค์รัชทายาทนั้นมีความตื่นตระหนกอยู่บ้าง นางหัวร่อเพื่อแสดงความน่าเกรงขามนี้ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดูสิว่าแบบนี้เจ้าจะทำอะไรข้าได้”

           ซวนหยวนหมิงไท่รับเอาการข่มขวัญของนางปีศาจแล้วจึงพยายามสร้างขวัญกำลังใจให้กับตน ทว่าน่าแปลกนักที่ในหัวสมองของเขาเองก็มีน้ำเสียงที่ฟังดูตื่นเต้น ทั้งยังท้าทายขึ้นเป็นระยะๆ

           “มาเลย ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก เจ้าหางไม้กวาด” เป็นเสียงของเจ้างูน้อยที่ฟังดูฮึกเหิม พลอยทำให้เขารู้สึกคล้อยตามไปด้วย และในไม่ช้าหางจิ้งจอกนับสิบก็พุ่งใส่เขาราวกับห่าฝน

           เขาใช้กระบี่พิสุทธิ์ปัดป้องหางจิ้งจอกที่มุ่งทำร้ายอยู่หลายครั้ง แต่คนเพียงคนเดียว กระบี่เพียงเล่มหนึ่ง หาได้รับเอาหางจิ้งจอกนับสิบที่พากันโจมตีได้หมดไม่ ในที่สุดมันก็พันธนาการร่างและกระบี่ในมือของเขาไว้อย่างหนาแน่น

           จิ้งจอกเหม่ยซินยิ้มเยาะขบขันเมื่อเห็นอีกฝ่ายสิ้นฤทธิ์ ก่อนจะเคลื่อนกายเข้าใกล้คนที่ยังมีประกายตาไม่ยอมแพ้ ในมือแม้ถือด้วยกระบี่แต่ก็มิอาจใช้ออกได้อีก ดังนั้นนางจึงเริ่มต้นการทรมานอย่างที่ตนชื่นชอบ

           หางจิ้งจอกพุ่งตรงรัดที่แขนขวา เกิดเป็นรอยเขียวคล้ำเนื่องเพราะโลหิตมิอาจไหลเวียน ทว่าองค์รัชทายาทกลับมิร้องออกมาสักครึ่งคำ มีเพียงเหงื่อเย็นชโลมบนใบหน้า ส่งผลให้นางพานกล่าวยั่วยุ

           “ดูสิว่าเจ้าจะมีปัญญาฆ่าข้าได้รึไม่” พูดจบก็ใช้หางจิ้งจอกบังคับแขนข้างที่ถูกทรมาน ซ้ำยังถือไว้ด้วยกระบี่พิสุทธิ์จ่อเข้าที่หน้าอกข้างซ้ายของตน นางรู้ดีว่าตอนนี้คนผู้นี้ไม่ว่าจะบีบหรือคลาย ล้วนแล้วต้องตายทั้งสิ้น แต่นางยังคงเล่นสนุกกับเหยื่อก่อนที่จะฆ่าเสียให้ตาย

           ซวนหยวนหมิงไท่พยายามขยับแขนขวาอย่างสุดความสามารถ แต่กระนั้นมือกลับหาได้ฟังเจ้าของไม่ ขอเพียงแทงกระบี่เข้าใส่หัวใจของนางปีศาจที่น่าชังตนนี้ นางต้องถึงแก่ดับสูญ แต่บัดนี้เขากลับกระทำมิได้ แลทำได้เพียงส่งสายตาเคียดแค้นให้กับนางปีศาจจิ้งจอกเท่านั้น

           ทว่าก่อนที่เขาจะหมดแรงกายแรงใจ ในแววตาสีแดงที่น่ารังเกียจคู่นั้นกลับสะท้อนภาพองค์หญิงหย่าเหลียนอีกครั้ง ดูว่าดวงตาของนางเอ่อท้นไปด้วยน้ำตา หากแต่สีหน้าที่ปรากฏกลับฉายถึงความมุ่งมั่น นางขยับริมฝีปากกล่าวเพียงประโยคสั้นๆ
“ท่านต้องทำได้”

           เพียงเท่านี้เรี่ยวแรงที่หดหายก็กลับมาในบัดดล เขามุ่งมั่นที่จะขยับแขนเพื่อที่จะเอาชีวิตปีศาจจิ้งจอกอีกครั้ง

           “เพลงกระบี่หาได้ใช้เพียงกำลังไม่ กระบี่ที่ทรงอานุภาพย่อมเกิดจากใจ และจะยิ่งทรงพลานุภาพได้ ต่อเมื่อส่งเสริมซึ่งกันและกัน”

           เสียงไป๋เซ่อแว่วดังในสมอง ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่จุดประกายความคิดขึ้นมาประการหนึ่ง ครานี้เขาตั้งสมาธิ แล้วจึงแบฝ่ามือออก ใช้พลังที่เหลืออยู่น้อยนิดซัดกระบี่พิสุทธิ์ออกไปที่เบื้องหน้า

           กระบี่สีขาวพุ่งตรงเข้ามาอย่างกระชั้นชิด แววตาของจิ้งจอกเหม่ยซินนั้นเหลือกจนแทบจะถลนออกจากเบ้า นางมิเชื่อ มิเชื่ออย่างเด็ดขาด หากแต่กระบี่ที่แทงทะลุหัวใจนางนั้นหาได้หลอกนางไม่

           รอจนหางจิ้งจอกทั้งหมดคลายออกจากร่างขององค์รัชทายาท นางก็ผงะซวนเซถอยหลังไป มือกุมอกที่ยังคงมีกระบี่ปักบริเวณหัวใจ “เพราะเหตุใดกัน ข้าผิดพลาดประการใดกัน” จิ้งจอกเหม่ยซินกล่าวอย่างค้างคาใจ ทั้งๆที่อีกฝ่ายอยู่ในกำมือของนางแล้วแท้ๆ

           “ผิดที่เจ้าประมาท มองว่ามนุษย์นั้นไร้ซึ่งอำนาจต่อกร” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวขึ้น ฝีเท้าก้าวเข้าใกล้นางปีศาจที่พยายามกระถดตัวถอยหนี กระทั่งแบฝ่ามือออก กระบี่พิสุทธิ์ก็หวนกลับคืนสู่มือของเขา กลับกลายร่างเป็นเช่นงูเผือกสีขาวบริสุทธิ์อีกครั้ง

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” จู่ๆจิ้งจอกเหม่ยซินก็หัวเราะด้วยเสียงอันแหบแห้ง ทั้งกล่าวน้ำเสียงขาดห้วง “แม้ว่าวันนี้เจ้าจะชนะ แต่หาได้ชนะข้าทั้งหมดไม่ อย่างน้อยข้าได้คร่าชีวิตสตรีที่เจ้ารัก ซ้ำยังสหายสนิทเพียงคนเดียวของเจ้า ชีวิตของเจ้าหาได้มีความสุขอีกต่อไป จากนี้ไปเจ้าต้องตายทั้งเป็น” กล่าวจบก็หัวเราะไม่หยุด ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังจบก็รู้สึกสลดใจทอดถอนใจอย่างยากลำบาก

           ทว่าจิ้งจอกเหม่ยซินที่ยังคงพยายามหัวเราะเป็นครั้งสุดท้าย กลับต้องหวีดเสียงร้องเมื่อร่างของนางลุกท่วมด้วยเปลวไฟสีทอง นางโหยหวนอย่างเจ็บปวด แลไม่นานนักร่างของนางก็แตกกระจายหายไป หลงเหลือเพียงร่างที่โชกเลือดของสตรีนางหนึ่ง

           ครานี้ซวนหยวนหมิงไท่ไม่มีทีท่าลังเลอีกแล้ว เขาตรงเข้าไปโอบกอดนางไว้ราวกับคนเสียสติ “หย่าเหลียน”

           “ทะ ท่านอย่าได้เสียใจเพราะข้าอีกเลย ทุกอย่างเป็นข้าผิดเอง” น้ำเสียงเหนื่อยอ่อนนั้นกล่าวปลอบชายที่ครั้งหนึ่งนางเคยมอบหัวใจให้

           “ไม่ เป็นเพราะข้า ข้านิ่งดูดายเจ้ามาตลอด” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวน้ำเสียงสั่น หัวใจราวกับจะขาดรอนๆ

           “ไม่ เป็นเพราะข้า หากวันนั้นข้ามิได้มอบกล่องขนมให้ท่านไป หากข้าไม่คิดลองใจท่าน ความสัมพันธ์ระหว่างเราคงไม่เกิดรอยร้าว”

           “เป็นเพราะข้าคาดการณ์ผิดเอง ข้าไม่อยากให้เจ้าใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างตระกูล ข้าจึงทำหมางเมินเจ้า ข้าบอกตัวเองว่าทำเพื่อเจ้า แต่หาได้ดูไม่ว่าเจ้ามิได้เข้มแข็งอย่างที่ข้าคิด ข้าหาได้คิดถึงความสุขของเจ้าไม่” เขาก้มหน้ากล่าวอย่างรู้สึกผิด

           “เช่นนั้นท่านอย่าได้โทษตัวเองอีก ถือว่าเป็นคำขอร้องสุดท้ายของข้า ได้โปรด” หย่าเหลียนกล่าวอย่างเจ็บปวด น้ำตาหลั่งรินมิหยุด จากนั้นจึงมองออกไปที่บุรุษที่อยู่ไกลออกไป แล้วพลันเอื้อมมือไขว่คว้า แต่กระนั้นกลับไม่สามารถแม้แต่สัมผัสเขาได้ ซวนหยวนหมิงไท่เห็นดังนั้นจึงอุ้มนางขึ้น แล้ววางร่างของนางไว้ที่ข้างกายของเซียวถิงฟง

           “เป็นข้าทำร้ายท่าน บีบบังคับท่าน ให้ท่านต้องละทิ้งความสุขของตัวเอง” หย่าเหลียนกล่าวน้ำเสียงขมขื่น พลางลูบไล้ใบหน้าที่หลับสนิทของเซียวถิงฟง

           ซวนหยวนหมิงไท่มองดูภาพนั้นอย่างสะท้านใจ เขากุมมือข้างหนึ่งของหย่าเหลียนแน่นไว้ ดูว่านางรู้ว่าเขาต้องการถามอะไร นางมองหน้าเขา และพยายามกล่าวกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย

           “ท่านเปรียบเสมือนแสงอาทิตย์ แสงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นแก่ข้า ท่านสว่างไสว สว่างไสวเกินไป สว่างไสวจนทำให้ข้ามิอาจทนต้องแสงนั้นได้” นางหยุดกล่าวเล็กน้อย แล้วจึงหันหน้าไปกล่าวกับเซียวถิงฟง “แต่พี่ถิงฟง เขาเปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่ทำให้ข้ารู้สึกพึ่งพิง ทำให้ข้ารู้สึกสงบใจ” กล่าวถึงตรงนี้นางก็เริ่มไอไม่หยุด

           ซวนหยวนหมิงไท่เห็นดังนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก “ข้ารู้แล้ว เจ้าอย่าได้กล่าวอีกเลย” ยังไม่มิทันปรามจบ นิ้วมือของนางก็ยกป้องที่ริมฝีปากเขา

           “ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระ”

           นางยิ้มให้แก่เขา ยิ้มเหมือนครั้งยังเป็นเด็กที่เอาแต่วิ่งเล่นอยู่รอบๆตัวเขา จากนั้นเปลือกตาบางก็ปิดลง สุ้มเสียงของนางหยุดลงเพียงเท่านี้ ซวนหยวนหมิงไท่รับรู้โดยปริยายว่านางมิอาจกล่าววาจาได้อีก เขาทำได้เพียงแค่กอดร่างที่เริ่มเย็นของนางไว้อย่างเงียบงัน


*************************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 27.2 ฝืนลิขิต


           ร่างสีขาวเดินเข้ามาใกล้คนทั้งสามอย่างเงียบเชียบ คนหนึ่งกอดร่างของอีกคนไว้แน่น อีกผู้หนึ่งนอนนิ่งราวกับไร้ซึ่งชีวิต ฝีเท้าหยุดลงเบื้องหน้าร่างที่นอนแน่นิ่งนั้น มองโลหิตสีแดงที่กำลังซึมลึกสู่ผืนดินอย่างช้าๆ

           ชีวิตของมนุษย์ช่างแสนเปราะบาง แม้จะผ่านกาลยุคสมัยมามากเท่าใด แลเห็นผู้คนเกิดแก่เจ็บตายจนถือเป็นปกติวิสัย เข้าใจถ่องแท้ลึกซึ้งกว่าผู้ใด แต่ตนในตอนนี้กลับดูเหมือนไม่เข้าใจความจริงอันใดแม้แต่น้อย

           เขาย่อกายลง เอื้อมมือหนึ่งไปลูบไล้ใบหน้าคมคายอย่างเบามือ ภาพรอยยิ้มอบอุ่น ใบหน้ายามโกรธ หรือแม้แต่ใบหน้ายามเศร้าหมอง บัดนี้กลับตราตรึงขึ้นในสมอง ยากนักที่จะลืมเลือนมันไปได้ จู่ๆก็พลันรู้สึกอยากหยุดหายใจไปเสียดื้อๆ

           “ต้าเซียน”

           เสียงเรียกใกล้ๆปลุกให้เขารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง เขาช้อนสายตาขึ้นมองเจ้าของเสียงอย่างเชื่องช้า

           “นางจากไปแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวน้ำเสียงเศร้าพลางกระชับร่างที่ไร้ชีวิตขององค์หญิงหย่าเหลียนในอ้อมอก
ด้านไป๋เช่อในร่างมนุษย์เองก็ก้าวเข้ามาใกล้ๆ พลางกล่าวถึงสถานการณ์ให้แก่เขาฟังอยู่ครู่หนึ่ง

           “วิญญาณของปีศาจจิ้งจอกได้สูญสลายไปแล้ว นางหลุดพ้นจากความมืดมิดแล้วเช่นกัน” ต้าเซียนตอบพลางมองร่างไร้วิญญาณขององค์หญิงหย่าเหลียนในอ้อมกอดของซวนหยวนหมิงไท่ จากนั้นหันกลับมามองร่างตรงหน้าอีกครั้ง ในใจผุดคำถามหนึ่งขึ้นมา องค์หญิงหย่าเหลียนจากไปแล้ว เซียวถิงฟงเล่าต้องจากไปเช่นนางจริงๆน่ะหรือ

           “ท่านมหาเทพ มันสายไปแล้ว” ไป๋เซ่อบอกท่านมหาเทพที่เงียบงันลง จากนั้นจับจ้องเซียวถิงฟงที่ครั้งหนึ่งเคยมองเป็นคู่แข่งอย่าสลดใจ

           “อะไรคือสายไปแล้ว” ฉับพลันนั้นเสียงหนักแน่นกึ่งตวาดก็ดังขึ้นพร้อมกับสายตากล้าแข็ง ไป๋เซ่อสบสายตาคู่นั้นก็พลันรู้สึกลางไม่ดี

           “ทะ ท่านมหาเทพ ชีวิตมนุษย์นั้นเกิดแก่เจ็บตายเป็นไปตามกฎแห่งฟ้าดิน” ไป๋เซ่อกล่าวขึ้นอย่างร้อนใจ มองดูแววตาที่ดื้อดึงขององค์มหาเทพในตอนนี้แล้วก็ต้องรู้สึกใจคอไม่ดี

           “หากข้าต้องการละเมิดกฎแห่งฟ้าดินเล่า”

           สิ้นประโยคดังกล่าว ไป๋เซ่อก็ถึงกับต้องอ้าปากกว้าง ฝีเท้ารีบเข้าไปขวางกั้นกลางระหว่างองค์มหาเทพกับร่างของเซียวถิงฟงไว้

           “หลีกไปไป๋เซ่อ” ต้าเซียนตวาด หากแต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าไม่ยอมกระดุกกระดิก

           “ท่านซึ่งเป็นองค์มหาเทพแห่งแดนสวรรค์กำลังจะทำผิดกฎ ข้าไม่ยอม” ไป๋เซ่อกล่าวหนักแน่นทั้งยังกางแขนห้าม ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่เขากล้าขัดคำสั่งของท่านมหาเทพ

           ต้าเซียนมองดูไป๋เซ่อแล้วจึงถอนใจครู่หนึ่ง ดวงตาคลายความดื้อดึงลง ไป๋เซ่อมองดูแล้วก็ค่อยๆโล่งใจพลางลดแขนทั้งสองลง แต่ในชั่วอึดใจนั้นเขากลับจู่โจมใส่ สองมือบิดแขนข้างหนึ่งของไป๋เซ่อให้หลุดจากข้อต่อ

           “ข้าขอโทษไป๋เซ่อ ข้าจำเป็นต้องทำ ข้าติดค้างหัวใจครึ่งดวงของเซียวถิงฟงไว้ ข้าต้องใช้คืน” ต้าเซียนกล่าวพร้อมปล่อยแขน ยังผลให้ไป๋เซ่อต้องลงไปนอนร้องลั่น ทั้งพยายามกัดฟันฝืนกล่าว

           “ไม่ หากท่านช่วยเขา ครานี้พลังของท่านก็จะหมดไป กระทั่งร่างก็มิอาจคงเหลือไว้”

           ซวนหยวนหมิงไท่มองดูเหตุการณ์ที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วแล้วก็งงงันวูบ กระทั่งไป๋เซ่อกล่าวขึ้น ตนจึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เขาสบสายตาต้าเซียนแล้วก็ต้องหลุบลงอย่างรู้สึกผิด เขามิได้ขัดขวาง ทั้งมิได้กล่าวห้ามปรามอันใด แม้รู้ว่าเป็นการเห็นแก่ตัว แต่หญิงสาวอันเป็นที่รักได้ตายลงแล้ว หากแม้แต่สหายยังจากไปอีก เขาก็ได้แต่ตายทั้งเป็น

           “ท่านอย่าได้รู้สึกผิด ข้าเต็มใจ” ต้าเซียนกล่าวแล้วยิ้มอ่อนๆ ซวนหยวนหมิงไท่มองอีกฝ่ายแล้วจึงรู้สึกตื้นตันใจ เอ่ยตอบ
“ขอบคุณท่านมาก”

           ต้าเซียนไม่รอช้าอีก เขามองดวงหน้าที่ไร้สีเลือดของเซียวถิงฟงแล้วจึงผายมือออก ในมือเรียวนั้นปรากฏหัวใจครึ่งหนึ่งที่กำลังเต้นเป็นจังหวะไม่หยุด ทั้งแรงเร็วราวกับว่ามันมิยินยอมที่จะออกจากร่างของเขาไป

           เขาโอบอุ้มมันไว้ที่กลางฝ่ามือ อีกมือหนึ่งหยิบเอาลูกแก้ววิเศษ จากนั้นวางไว้ที่หน้าอกข้างซ้ายของชายหนุ่ม ประกบฝ่ามือไว้เหนือหัวใจ แสงสีทองค่อยๆส่องอำพันที่ฝ่ามือ ดวงตาสีน้ำตาลเริ่มส่องประกายสีทอง พลังในร่างเริ่มถ่ายเทออกจากร่างของตนไปสู่ร่างของเซียวถิงฟง

           ไป๋เซ่อมองดูภาพตรงหน้าแล้วจึงกัดฟัน เอื้อมมือไปดึงเสื้อสีขาวไว้ แต่ก็นับว่าสายไป พลังสีทองแผ่ขยายโอบร่างคนทั้งสองไว้ มือจึงถูกผลักออกมายังนอกขอบข่ายของพลัง แม้จะพยายามทุบตีเท่าไหร่ก็มิอาจทำลายเขตพลังนี้ได้

           เส้นผมสีน้ำตาลยาวสยายไปด้านหลัง ต้าเซียนมองดวงหน้าของเซียวถิงฟงอย่างไม่กะพริบตา เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่กำลังจะหมดไปทีละเล็กทีละน้อย ร่างเริ่มรางเลือนแปรเปลี่ยนดั่งเช่นเม็ดทราย บ่งบอกความจริงที่ว่าพลังของเขากำลังหมดไป
เป็นจริงอย่างที่ไป๋เซ่อกล่าว หากเขาต้องการช่วยชีวิตของเซียวถิงฟง เขาต้องฝืนกฎธรรมชาติ แม้จะรักษาชีวิตของอีกฝ่ายได้ เขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนสูง ต้องยอมสละพลังทั้งหมด ทั้งยังเสี่ยงต่อการดับสูญ แต่กระนั้นเขาก็ยินยอมพร้อมใจ

           ใบหน้าของเซียวถิงฟงเริ่มปรากฏสีเลือด ต้าเซียนยิ้มขึ้นอย่างดีใจ แผลที่เคยแหวกกว้างก็ประสานกันราวกับไม่เคยมีบาดแผลมาก่อน ไม่นานนักขอบข่ายพลังที่โอบล้อมก็เริ่มอ่อนแสงลงจวบจนจางหายไปในที่สุด

           รู้สึกถึงริมฝีปากนุ่มที่ประทับลงมาอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นทำลายความฝันที่มีแต่ความมืดมิดให้สิ้นสุดลง เขาพยายามเปิดเปลือกตาที่แสนจะหนักอึ้งขึ้นอย่างยากเย็น แต่แล้วก็พบดวงหน้าสวยที่ตนมิอาจลืมเลือนได้ปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้า

           หยดเหงื่อต้องประกายแสงราวกับเพชร ร่างน้อยยิ้มให้อย่างเหนื่อยอ่อน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองตนอย่างอ่อนโยน หัวใจเขาเต้นแรงเร็วราวกับตอกย้ำว่า มันต้องการคนผู้นี้ ทั้งยังเรียกร้องปานจะขาดใจ เขาเอื้อมมือสัมผัสแก้มอันอ่อนนุ่ม พร้อมกล่าวนามอันเป็นที่รักอย่างช้าๆ

           “ต้าเซียน”

           เสียงเรียกจบลง แต่ร่างของต้าเซียนกลับฟุบลงกับร่างเขา ดวงตาของเซียวถิงฟงเบิกกว้าง ร่างอันเย็นเฉียบของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกใจหาย เขาร้องเรียกต้าเซียน แต่ร่างน้อยกลับนอนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจของอีกฝ่าย เขาถึงกับหน้าซีด

           สองมือเอื้อมไปสัมผัสที่ไหล่บาง จากนั้นพยายามเขย่าให้ร่างน้อยรู้สึกตัว ทว่าร่างของเขากลับอ่อนเปลี้ยไม่ฟังคำสั่งแม้แต่น้อย ฉับพลันนั้นสายตาก็พลันสะดุดแลเห็นเม็ดทรายสีทองที่ค่อยๆล่องลอยออกไป เพียงพริบตาเขาก็จดจำได้เป็นอย่างดี

           ...ต้าเซียน ดูว่าฟ้าไม่เป็นใจบังเกิดให้มีกระแสลมแรง นำพาเม็ดทรายสีทองให้กระจายตัวออกไป เขามองภาพตรงหน้าอย่างตะลึงลาน

           “ได้โปรดตอบข้าหน่อย ต้าเซียน” เซียวถิงฟงหลับตาภาวนาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขากลัวแทบตาย...เป็นข้าที่จะต้องจากไป มิใช่เจ้า...เขาได้แต่ข่มหลับตากอดร่างของอีกฝ่ายไว้แนบแน่น

           “ทำไมต้องช่วยข้า...ต้าเซียน พอได้แล้ว หยุดทำเพื่อข้าสักที ทั้งๆที่ข้าไม่เคยทำอะไรให้เจ้าได้เลยสักอย่าง ข้ามีแต่ทำร้ายเจ้า” เซียวถิงฟงร่ำร้องบอกอย่างปวดร้าว น้ำตาหยดหนึ่งไหลกลิ้งแนบแก้ม ทว่าร่างน้อยก็มิอาจได้ยิน แลไม่นานนักร่างที่อยู่ในอ้อมกอดกลับถูกกระชากออกไป

           ดวงตาพยัคฆ์ลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง ด้วยรู้สึกถึงความว่างเปล่าในอ้อมอก รอบๆด้านปรากฏหมอกควันดำคละคลุ้งจนไม่สามารถเห็นทัศนียภาพด้านนอกได้ จากนั้นจึงแลเห็นดวงตาคมเฉกเช่นพญาอินทรีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น แต่เขาไม่ใคร่ใส่ใจสายตาดังกล่าว

           เขากลับจดจ่อมองแต่ใบหน้าซีดเซียวของต้าเซียน อีกทั้งรูปร่างบางเบาคลับคล้ายจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ เขาเอื้อมมือออกไปหา แต่ก็รู้สึกต้องเจ็บใจเมื่อในเวลานี้ร่างกายของเขากลับไม่เอื้ออำนวย

           เฟยหลงจ้องมองเซียวถิงฟงด้วยความคับแค้น ก่อนเบนสายตามามองต้าเซียนอย่างเจ็บปวด “ข้าไม่ปล่อยให้ท่านจากไปเช่นนี้แน่” น้ำเสียงทรงพลังกล่าวตวาด จากนั้นจึงเกิดเป็นกระแสไฟสีน้ำเงินห้อมล้อมร่างของเขาและท่านมหาเทพไว้

           ร่างเล็กที่กำลังจะสลายกลับกลายเป็นค่อยๆมีรูปมีร่างขึ้น แต่กระนั้นต้าเซียนก็ยังคงไม่รู้สึกตัว เฟยหลงรับร่างที่ไม่ได้สติเข้ากอดแนบแน่น ความรู้สึกภายในใจถาโถมไปด้วยทั้งรักทั้งชัง สายตาของเขาเริ่มแดงก่ำ

           “ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะ” เซียวถิงฟงตวาดใส่ ด้วยรู้สึกถึงความรุนแรงถึงขั้นต้องการทำลายของอีกฝ่าย ดวงตาพยัคฆ์จับจ้องมองอย่างไม่ลดละ และด้วยดวงตานั้นเองที่กระตุ้นเพลิงโทสะของเฟยหลงให้คุกรุ่นยิ่งขึ้น

           “อาศัยอะไรให้ข้าปล่อยเขาไป” มุมปากปรากฏรอยยิ้มเหยียด เฟยหลงใช้ขาเหยียบขยี้ขาข้างหนึ่งของคนที่นอนไร้เรี่ยวแรงไว้

           เซียวถิงฟงที่ไม่สามารถป้องกันตนเองได้ จึงได้แต่กัดฟันทนรับ แต่กระนั้นก็ใช้ความเจ็บปวดผลักดันให้ลุกขึ้นนั่งจับขาของจอมมารไว้ มือหนึ่งก็เอื้อมไปจับที่ข้อมือน้อย เฟยหลงเห็นดังนั้นก็สะบัดตัวออก มือของต้าเซียนจึงเลื่อนหลุดออกจากมือของเขาไปอย่างมิยินยอม

           “ปล่อยต้าเซียน” เซียวถิงฟงที่ล้มลงเงยหน้าขึ้นตะโกน

           เฟยหลงชะงักเงียบไปก่อนจ้องมองสีหน้าของคนที่ไม่ยอมแพ้ จากนั้นจึงเปล่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮะ ฮ่า ฮ่า เจ้าคิดว่าท่านมหาเทพเป็นของเจ้าอย่างนั้นรึ ดูสภาพของเจ้าตอนนี้สิ นับเป็นตัวกระไร” เขากล่าวตวาดใส่อย่างกราดเกรี้ยว จากนั้นถีบร่างตรงหน้าเพื่อเป็นการระบายโทสะ

           ด้านเซียวถิงฟงก็มิอาจหลบหลีกได้ ร่างจึงกระเด็นไปคลุกกับพื้นราวสามตลบ ทว่าเฟยหลงยังคงไม่พอใจ เดินตามเข้าไปแล้วเหยียบที่ยอดอกของอีกฝ่ายไว้

           “ข้าจะบอกเจ้าให้ ชีวิตของเจ้าในตอนนี้เป็นเพียงแค่เศษหญ้า เพียงข้าเหยียบขยี้ มันก็จะตายลงในทันที”

           “เช่นนั้นก็ฆ่าข้าเลย แต่เจ้าต้องปล่อยต้าเซียนไป” เซียวถิงฟงกัดฟันกล่าว มุมปากปรากฏเป็นโลหิตหลั่งไหล

           เฟยหลงหลุบตามองคนตรงหน้าอย่างเหยียดๆ “มนุษย์อย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า หึ หึ แต่ข้ามิให้เจ้าตายง่ายๆสมใจแน่ ข้าจะฆ่าเจ้าต่อหน้าของท่านมหาเทพ ให้ท่านได้รู้ว่าเจ้ามันไร้ประโยชน์ ไม่คู่ควรกับท่าน”

           “จะ เจ้า”

           “ในวันที่อัสดงถูกกลืนกิน ที่หุบเขาลับแล เราจะตัดสินกัน หากเจ้าไม่ตายก็เป็นข้าตาย” เฟยหลงประกาศก้อง ก่อนจะสะบัดกายโอบอุ้มต้าเซียนหันหลังเดินจากไป ไม่ฟังเสียงร้องเรียกที่ไล่หลังแม้แต่น้อย

           ท้ายที่สุดเงาร่างของต้าเซียนและจอมมารก็หายไปท่ามกลางหมอกควันสีดำ เซียวถิงฟงร้องเรียกอย่างสุดกำลัง แต่ก็มิอาจขัดขวางเฟยหลงไปได้ เขาได้แต่ส่งเสียงกู่ร้องคำรามก้องอย่างเจ็บปวดก่อนสติจะพร่าเลือนไปอีกครั้ง


***********************************************

หลบหน่อยพระเอก (อีกคน) มาาาา~ อุ้ย บ่งบอกถึงอายุ มิดีๆ เเต่บทหน้ามาม่าลดลงล่ะ (มั้ง) เเฮะ เเฮะ :hao7:

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ต้าเซียนนนน  :sad4:
กินมาม่าจนตัวจะแตกแล้วจ้า

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 28.1 ปราสาทมารโลหิต



           “นายน้อย”

           เสียงดังราวกับระฆัง ปลุกสติครึ่งหนึ่งของเซียวถิงฟงให้ลืมตาอันพร่ามัวขึ้นมองถิงถิง ก่อนจะต้องผงะสุดตัว เมื่อแลเห็นสายตาอีกนับสี่ห้าคู่ที่ยืนห้อมล้อมตนเองไว้ กระทั่งแสงตะวันก็มิอาจเล็ดลอดเข้ามาได้

           “เฮ้อ ฟื้นกำลังเพียงแค่หนึ่งในสี่ส่วน เช่นนี้พวกเราจะทำเช่นไรดี” เสียงทอดถอนใจของผู้เฒ่าคนหนึ่ง ผู้มีเส้นผมและเคราสีขาวยาวระดับอกดังขึ้น พลอยทำให้ผู้เฒ่าอีกสองคนต้องกลุ้มไปตามๆกัน

           “เช่นนั้น หากเราส่งกองพลสวรรค์ฝีมือดีสักสองกองมาช่วยเขาอีกแรงเล่า ท่านเทพหวางจื้อ” ชายสูงวัยผู้มีเส้นผมสีเทา สวมชุดเกราะองอาจกล่าวขึ้นอย่างหนักใจ

           “ไม่ได้ท่านเทพเทียนสี เช่นนั้นศึกบนแดนสวรรค์ก็ยากที่จะปกป้องได้” ชายรูปร่างอ้วนท้วมเล็กน้อย เส้นผมประปรายด้วยสีดำและขาว ดูสูงวัยน้อยกว่าคนทั้งสองกลับรีบแย้งอย่างไม่เห็นด้วย

           “แต่ท่านมหาเทพ” เทพอาวุโสเทียนสียังมิเอ่ยจบ เทพอาวุโสหวางจื้อก็รีบยกมือปราม

           “ข้าเห็นด้วยกับท่านเทพเจิ้งผิง ท่านเทพเทียนสีก็ต้องรับศึกหนักบนสวรรค์มากพอแล้ว หากยังต้องแบ่งกำลังพลอีก ข้าเกรงว่าเราจะเป็นฝ่ายปราชัย”

           “มนตร์ปิดกั้นสวรรค์ของท่านมหาเทพถูกทำลายลงแล้ว กำลังพลของเราตอนนี้แค่ต่อต้านเหล่าปีศาจที่บุกแดนสวรรค์ก็หนักหนาสาหัสยิ่ง คาดว่าคงยื้อได้อีกไม่กี่วัน พวกเราจะทำเช่นไรดี” เทพอาวุโสเจิ้งผิงกุมขมับ ยังผลให้เหล่าเทพอาวุโสทั้งสองต่างก็เคร่งเครียดยิ่งขึ้น

           “ข้าเห็นว่า พวกเราควรเชื่อใจท่านมหาเทพ หากท่านได้มอบพลังทั้งหมดให้กับมนุษย์ผู้นี้ เขาย่อมต้องสร้างปาฏิหาริย์ได้แน่” เสียงหวานที่นางฟ้าชิงเซียงกล่าวขึ้น

           เทพอาวุโสทั้งสามรับฟังแล้วจึงหันมามองคนที่นอนอยู่บนเตียงกันอย่างพร้อมเพรียง แทบทำให้ขนแขนของเซียวถิงฟงต้องลุกเกรียว

           เมื่อฟื้นคืนสติเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงได้ทีกล่าวถามอย่างลนลาน“พวกท่านเป็นใคร”

           “พวกเราเทพอาวุโสทั้งสาม ข้านามหวางจื้อ ทางนี้คือท่านเทพเทียนสีและท่านเทพเจิ้งผิง ส่วนนางเป็นเทพธิดาประจำองค์มหาเทพองค์ก่อน” เทพอาวุโสหวางจื้อกล่าวแนะนำ

           เซียวถิงฟงรับฟังแล้วหน้าผิดสี สองเอื้อมมือไปกระชากเสื้อของเทพอาวุโสนามว่าหวางจื้ออย่างร้อนใจ “พวกท่านหมายความว่าอย่างไร มหาเทพองค์ก่อนอย่างนั้นรึ แล้วต้าเซียนเล่า”

           “ถิงฟง เจ้าสงบสติอารมณ์ก่อน” องค์รัชทายาทที่นั่งไกลออกไปกล่าวขึ้น ที่ข้างๆกายของเขายังมีไป๋เซ่อที่นั่งกอดเข่าซึมกะทืออยู่ด้วย

           “หมิงไท่”

           ซวนหยวนหมิงไท่ลุกขึ้นเดินดึงมือที่ขยุ้มอยู่ที่เสื้อของเทพอาวุโสหวางจื้อออก จากนั้นกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าฟังข้า ตอนนี้เจ้าคือมหาเทพองค์ใหม่แห่งพิภพสวรรค์ของพวกเขา”

           “อะไรกัน เพราะอะไร” เซียวถิงฟงออกอาการสับสน

           มือขององค์รัชทายาทจึงกระชับที่บ่ากว้างของเซียวถิงฟง “เจ้าต้องรู้ไว้ ความจริงเจ้าได้ตายไปแล้ว เป็นต้าเซียนที่ช่วยเจ้า ดังนั้นเขาจึงสูญเสียพลังทั้งหมดให้แก่เจ้า” กล่าวจบเสียงสะอึกสะอื้นเบาๆของไป๋เซ่อก็ดังลอยมา ถิงถิงที่ยืนอยู่ข้างกายจึงคอยลูบหลังปลอบใจ

           ด้านเซียวถิงฟงราวกับมีภาพลอยขึ้นมาเป็นฉากๆ เขายังคงจดจำความรู้สึกเมื่อครั้งหัวใจออกจากร่างตนเองได้ เขาได้ตายไปแล้วจริงๆ แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง

           แลเห็นอีกฝ่ายสงบสติลงบ้างแล้ว เทพอาวุโสหวางจื้อจึงถือโอกาสเล่าความเป็นมา “ท่านมหาเทพองค์ก่อนได้ทำผิดกฎสวรรค์ ช่วยเหลือท่าน ทั้งๆที่ชะตาของท่านได้สูญสิ้นแล้ว เดิมทีก่อนหน้านี้ท่านได้ออกคำสั่งให้พวกเราคัดเลือกผู้นำสวรรค์คนใหม่ พวกเราแม้ไม่อยากกระทำ แต่ด้วยเหตุการณ์หน้าอยู่ในช่วงสิ่วหน้าขวาน พวกเราจึงได้แต่จำต้องกระทำตาม

           ตอนแรกพวกเรายังมิอาจหาผู้นำแห่งพิภพสวรรค์ได้ กระทั่งเมื่อวานนี้มนตร์ปิดกั้นสวรรค์อ่อนกำลังลงมาก กำลังพลปีศาจจึงฉวยโอกาสเข้าโจมตี แม้พวกเราต้านทานสุดกำลัง แต่ก็มิอาจรักษาปราการด่านแรกไว้ได้ พวกเราจึงตัดสินใจลงมาตามหาท่านมหาเทพ แต่คนที่พวกเราพบกลับเป็นท่าน...ท่านรองแม่ทัพเซียวถิงฟง”

           “เหตุใดต้องเป็นข้า ไม่สิตอนนี้พวกท่านควรที่จะรีบไปช่วยต้าเซียน แล้วนี่พวกท่านรอกระไรอยู่ ต้าเซียนถูกจอมมารเฟยหลงจับตัวไปนะ” เซียวถิงฟงที่รับฟังอยู่เงียบๆเริ่มโวยวาย ทั้งๆที่ต้าเซียนกำลังตกอยู่ในกำมือของเฟยหลง แต่พวกเขากลับยังคงนิ่งเฉยเสียอย่างนั้น

           เทพอาวุโสทั้งสามต่างทอดถอนใจพร้อมกัน ต่างคนต่างก้มหน้าด้วยความลำบากใจ มีเพียงนางฟ้าชิงเซียงที่เดินเข้ามาใกล้ แล้วใช้นิ้วเรียวงามชี้ไปที่หน้าอกข้างซ้ายของเซียวถิงฟง

           “เป็นท่านได้เพียงผู้เดียว ท่านมหาเทพได้เลือกท่านแล้ว ข้างในตัวท่านมีพลังของท่านมหาเทพซุกซ่อนอยู่ แม้ตอนนี้จะอ่อนกำลัง ทั้งยังมีเพียงน้อยนิด แต่พวกเราก็ยังสามารถจับสัมผัสและออกตามหาท่านจนเจอ ดังนั้นในเพลานี้มีแต่ท่านที่คู่ควรแก่ตำแหน่งผู้นำแห่งพิภพสวรรค์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น” น้ำเสียงของนางฟ้าชิงเซียงหนักแน่น ทั้งยังมองเซียวถิงฟงด้วยสายตาที่เชื่อมั่น

           “เซียวถิงฟง ข้าขอโทษ ในตอนนั้นพวกเราขัดขวางจอมมารเฟยหลง แต่ข้ากับไป๋เซ่อมิอาจต่อกรกับเขาได้ ต้าเซียนจึงถูกเขาพาตัวไปได้สำเร็จ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวจบ เสียงร้องสะอึกสะอื้นของไป๋เซ่อก็ดังขึ้นกว่าเดิม

           ครานี้เซียวถิงฟงเหลียวมองไปที่พวกพ้อง เห็นร่องรอยของผ้าสีขาวที่พันอยู่ภายใต้เสื้อของซวนหยวนหมิงไท่ อีกทั้งยังเห็นผ้าที่พันรอบศีรษะของไป๋เซ่อ แม้แต่ถิงถิงก็ยังเห็นรอยถลอกตามตัวอย่างเห็นได้ชัด ก็พลันรู้สึกละอายใจ ตัวเขามิอาจปกป้องได้แม้แต่คนที่เขารัก กระทั่งของคนรอบกายก็มิอาจปกป้องได้อีก เขาช่างไร้ประโยชน์อย่างที่จอมมารเฟยหลงว่ากล่าวจริงๆ “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”

           “พวกท่านอย่าได้รู้สึกผิดต่อกันอีกเลย เราควรหาวิธีช่วยเหลือท่านมหาเทพและทั้งสามพิภพก่อนจริงรึไม่” นางฟ้าชิงเซียงกล่าวขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มเงียบงัน ทำให้เทพอาวุโสเจิ้งผิงกล่าวสนับสนุน

           “นั่นสิ พวกเราควรหาวิธีฟื้นฟูพลังที่มีอยู่ในตัวของเขาเสียก่อน”

           ได้ยินดังนั้นเทพอาวุโสเทียนสีจึงหันไปกล่าวกับเซียวถิงฟง “เอาอย่างนี้ภายในสามวันนี้ ท่านต้องเร่งฟื้นฟูพลังเซียนในกายส่วนหนึ่ง หลังจากนั้นให้ท่านลอบเข้าไปในหุบเขาลับแล ช่วยเหลือท่านมหาเทพออกมาให้ได้ก่อนถึงเพลาตะวันถูกกลืนกิน แม้พลังที่ท่านมีอยู่จะยังมิอาจต่อกับจอมมารเฟยหลงได้ แต่พวกเราจำต้องเสี่ยงพันดู”
 
           สิ้นความเห็น ทุกคนที่เหลือต่างก็พยักหน้าให้กันอย่างเห็นพ้อง เทพอาวุโสหวางจื้อจึงกล่าวเสริม “อีกเรื่องหนึ่งลูกแก้วในร่างกายท่านแม้จะเปลี่ยนเจ้าของ แต่จะอย่างไรลูกแก้วนี้ก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของท่านมหาเทพ ดังนั้นข้าเห็นท่านควรไปฟื้นฟูพลังในที่ที่หนึ่ง”

           “ข้าเข้าใจแล้ว” เซียวถิงฟงกล่าวตอบ ไม่จำเป็นต้องบอกสถานที่เขาก็รู้ว่ามันเป็นที่ใด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็พร้อมที่จะเดิมพันชะตาในครั้งนี้เพื่อช่วยต้าเซียนออกมา


**************************************************


           ท้องฟ้าสีแดงสะท้อนอยู่ในดวงตาที่เลื่อนลอย  มือใหญ่คู่หนึ่งเลื่อนขึ้นลูบไล้ผมเรียบลื่นสีน้ำตาลอย่างช้าๆ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นขยุ้มแล้วดึงดวงหน้าเล็กขึ้นประชิดใบหน้าของตน

           “หากเป็นไปได้ข้าอยากจะทำลายท่านซะ ข้าอยากทำลายท่าน” น้ำเสียงรวดร้าวของเฟยหลงกล่าวขึ้น พร้อมขยุ้มเส้นผมให้ที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น แต่กระนั้นร่างเล็กกลับมิแสดงออกถึงความรู้สึกใด ยังผลให้เขาต้องผละตัวออก หันไปทำลายข้าวของโดยรอบอย่างบ้าคลั่ง

           ทำไม ทำไมท่านถึงทำเช่นนี้ ท่านกล้ามอบหัวใจครึ่งดวงนั้นให้กับชายผู้นั้น หัวใจ...หัวใจของข้า

           รอจนห้องไม่เหลือของให้ทำลายอีก เขาก็หันมาจ้องมองท่านมหาเทพด้วยดวงตาวาวโรจน์ “ท่านรังเกียจข้ามากรึ ท่านจึงกล้ามอบหัวใจของข้าให้ผู้อื่น ตอบข้ามาสิ”

           “เฟยหลง เจ้าฆ่าข้าเสียเถอะ”

           เสียงเล็กๆนั้นกล่าวขึ้นแล้วหลับตาลงอย่างอ่อนแรง เฟยหลงได้แต่ข่มกรามตัวเอง ความโกรธยิ่งทวีขึ้น “ท่าน...ท่านไม่มีอะไรจะกล่าวแล้วรึ ท่านรู้ว่าข้าไม่ได้ต้องการคำตอบเช่นนี้”  เขาถลึงตาใส่ ก่อนจะตะเบ็งเสียงกร้าวใส่บุคคลที่ไม่แยแสต่อสิ่งใด แลในที่สุดดวงตาที่พึ่งหลับไปก็เปิดออกขึ้นอีกครั้ง

           “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ในเมื่อเจ้าก็ได้ตัวข้าแล้ว เหตุใดจึงยังต้องโจมตีพิภพสรรค์อีก เจ้าต้องการอะไรกันแน่”

           เฟยหลงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ นี่มิใช่สิ่งที่เขาอยากได้ยิน ดวงตาของต้าเซียนพลันเปล่งประกายลึกล้ำ ราวกับกำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่างภายในจิตใจของเขา แต่แล้วเขาก็แค่นเสียงหัวเราะอันดัง

           “ใช่ ท่านเดาได้ถูกต้อง เหตุที่ข้ายังโจมตีสวรรค์ เป็นเพราะต้องการทำลายสมดุลแห่งโลก ทั่วทุกพิภพต้องแตกสลาย จากนั้นข้าจะสร้างขึ้นใหม่ สร้างพิภพที่มีเพียงข้าและท่าน” เฟยหลงฉีกยิ้มกล่าวอย่างเยือกเย็น นี่จึงจะเป็นวิธีที่เขาได้ครอบครองท่านมหาเทพอย่างแท้จริง

           “เจ้าคิดว่าทำเช่นนั้นแล้วจะได้ในสิ่งที่ต้องการหรือ” ต้าเซียนเริ่มตีสีหน้าเครียด เดิมทีก็รู้สึกว่าสถานการณ์ในตอนนี้ร้ายแรงพออยู่แล้ว พิภพสวรรค์กำลังเสียเปรียบจากการสูญเสียผู้นำ แลหากกองทัพสวรรค์และกองทัพปีศาจเข้าต่อสู้พัวพันไม่เลิกรา ท้ายที่สุดสมดุลของโลกจะถูกทำลายลงดั่งสงครามในคราก่อน

           ดังนั้นทั้งสองทัพย่อมต้องจบสงครามก่อนที่สมดุลจะบิดเบี้ยว แต่จากคำตอบนั้นเขาคิดผิด เฟยหลงมิเพียงจะยืดเยื้อสงคราม หากแต่ยังต้องการให้สมดุลโลกปั่นป่วนดูดกลืนทุกพิภพ แล้วสร้างพิภพขึ้นใหม่

           “มาถึงขั้นนี้ไม่มีอะไรที่ข้าต้องเสียอีก อ่อ นอกจากนี้ท่านควรรู้ไว้ ก่อนที่แผนการจะเริ่มขึ้น ข้าได้เตรียมของสนุกให้ท่านชมดูเป็นการฆ่าเวลา”

           “เจ้าหมายถึงอะไร” ต้าเซียนขมวดคิ้วสงสัย รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี

           “พรุ่งนี้ยามตะวันถูกกลืนกิน จะเป็นวันที่เซียวถิงฟงดับสูญ”

           กล่าวจบดวงตาดุจพญาอินทรีก็บังเกิดเป็นรังสีสังหาร มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มเย็นชา ต้าเซียนพลันรู้สึกหนาววูบไปทั้งกาย สีหน้าเริ่มแตกตื่นเมื่อแลเห็นเฟยหลงกำลังจะออกไปจากห้อง “แต่หัวใจในร่างของเขานับเป็นหัวใจดวงเดียวกับเจ้า ดังนั้น”

           “ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถทำลายมันได้รึ” เฟยหลงขัดคำแล้วเหยียดยิ้ม “ท่านประเมินข้าต่ำไป ท่านมหาเทพ อ้ะ ไม่สิ ตอนนี้ท่านมิใช่ท่านมหาเทพแล้ว แต่เป็นต้าเซียน ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ หัวใจที่ข้ามอบให้เจ้าอย่างยินดีนั้น ในเมื่อเจ้าสามารถมอบมันให้คนอื่นได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว หัวใจครึ่งดวงนั้น สำหรับข้ามันก็เป็นเพียงแค่ขยะชิ้นหนึ่ง”

           ครั้งหนึ่งท่านมหาเทพเคยอ้อนวอนขอให้ช่วยเหลือหัวใจครึ่งดวงของเซียวถิงฟง แต่กระนั้นเขากลับทำลายมันลง แล้วแสร้งสลับสับเปลี่ยนหัวใจเพื่อหลอกลวงอีกฝ่าย แต่ทว่าโชคชะตากลับเล่นตลกอีกครั้ง ตอนนี้หัวใจของเขากลับไปอยู่ในร่างของคนที่เขารังเกียจที่สุด

           สิ้นเสียงแข็งกร้าว ร่างแกร่งก็จากไป ต้าเซียนได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น ในตอนนี้ตัวเขาหาได้มีพลังเหมือนก่อนไม่ เป็นเพราะพลังที่มีอยู่ได้มอบให้กับเซียวถิงฟงไปจนหมดสิ้น ความจริงแม้แต่ร่างตนเองก็ยังมิอาจจะรักษา แต่เป็นเพราะเฟยหลงใช้พลังส่วนหนึ่งคงร่างเขาเอาไว้

           “เป็นเพราะข้า” รู้แต่แรกแล้วว่าหากตนมอบหัวใจครึ่งดวงของเฟยหลงให้แก่เซียวถิงฟง เฟยหลงย่อมต้องแตกหักกับตนเป็นแน่ แต่กระนั้นก็ใช่ว่าตนทำไปด้วยความไร้เหตุผล

           เดิมทีเฟยหลงเป็นคนทำลายหัวใจครึ่งดวงของเซียวถิงฟง ดังนั้นเซียวถิงฟงจึงมีสิทธิ์รับหัวใจครึ่งดวงนี้ อีกประการหนึ่งเฟยหลงก็จะไม่คิดเอาชีวิตอีกฝ่ายอีก เพราะจะอย่างไรหัวใจในกายของเซียวถิงฟงก็เป็นของเฟยหลง เขาย่อมมิกล้าทำอะไร แต่มาวันนี้ทุกสิ่งที่คิดล้วนกลับตาลปัตร

           “หากรออยู่เช่นนี้คงไม่ดีแน่” ต้าเซียนพึมพำแล้วลุกขึ้นมองตนเองในสภาพที่มีพลังเพียงน้อยนิด เส้นผมยาวสีน้ำตาลที่ตกระพื้น เรือนร่างบอบบางในอาภรณ์สีขาว เขาทอดถอนหายใจคราหนึ่งแล้วเดินไปหยิบชิ้นส่วนแจกันที่รอดพ้นจากการทำลายล้างของเฟยหลงขึ้นมาชิ้นหนึ่ง

           “ตอนนี้เจ้าเป็นความหวังหนึ่งเดียวของข้าแล้วนะ” กล่าวจบ ก็คว้าเอาเศษแจกันที่แหลมคมพุ่งเข้าใส่ตัวเองอย่างไม่ลังเล
เฟยหลงทอดเดินไปยังลานกว้างของปราสาทมารโลหิต สถานที่ซึ่งเป็นที่พำนักของจอมมารทุกรุ่น ตัวปราสาทสร้างด้วยหินนับหมื่นปี บรรยากาศภายในมืดทึมทึบ แต่ยังคงสว่างไสวด้วยคบเพลิงที่จุดเรียงรายตลอดทาง ยังมีกลิ่นอายเลือดที่แม้จะผะแผ่ว แต่ก็ชวนให้ผู้มาใหม่ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วน นับว่าสมชื่อปราสาทโลหิตอย่างแท้จริง

           ปราสาทที่ผ่านสงครามการแย่งชิงตำแหน่งจอมมารจนนับไม่สิ้น อาบไปด้วยโลหิตจอมมารแลเหล่าปีศาจมาแล้วไม่รู้กี่หน มาบัดนี้ตำแหน่งนี้กลับตกอยู่ในมือของเฟยหลง บุคคลผู้ซึ่งเคยเป็นดั่งมือขวาของท่านมหาเทพ แม่ทัพสูงสุดซึ่งเคยกุมกำลังพลทหารเทพนับหมื่นนับแสน

           แม้ในสงครามระหว่างปีศาจและเหล่าเทพเมื่อพันปีก่อน ฝ่ายจอมมารเฟยหลงจะเป็นผู้ปราชัย ซ้ำต้องถูกกักขังอยู่ใต้ธรณีเย็น ทนรับความหนาวเหน็บที่เสียดแทงกระดูกราวนับพันปี แต่กระนั้นฝ่ายปีศาจก็ลอบปลดปล่อยจอมมารได้สำเร็จ

           ตอนนี้ฝีเท้าก้าวออกไปด้วยความหนักแน่น สายตาดั่งพญาอินทรีพุ่งมองไปยังข้างหน้า ครั้นเหล่าไพร่พลปีศาจแลเห็นจอมมาร ผู้ซึ่งเคยมีสถานะเป็นถึงเทพเซียนต่างก็คุกเข่าคำนับกันอย่างหวาดหวั่น

           กระทั่งเฟยหลงสะบัดชายเสื้อขึ้นนั่งบัลลังก์กว้างด้วยท่าทีน่าเกรงขาม ริมฝีปากก็เอื้อนเอ่ยน้ำเสียงทรงพลัง “สังหาร”
คำสั่งสั้นๆประการเดียวของเขาได้ปลุกให้เหล่าพลปีศาจนับแสนโห่ร้องฮึกเหิม พื้นพิภพทั้งสามต่างสั่นสะเทือน สายตาเยียบเย็นจับจ้องมองปีศาจเหล่านี้ ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม แม้แผนการสลับสับเปลี่ยนหัวใจจะมิได้ผล แต่ทว่าแผนการทำลายทุกพิภพย่อมต้องสำเร็จ

           ท่านจะต้องอยู่ในกำมือของข้า...ท่านมหาเทพ
 

*************************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 28.2 ปราสาทมารโลหิต



           เสียงโห่ร้องของเหล่าปีศาจยังผลให้ผากร่อนลง หินชิ้นเล็กชิ้นน้อยทยอยตกลงมาสู่เบื้องล่าง แต่ ณ ขณะนั้นกลับมีเสียงหอบหายใจดังกระชั้น คนผู้หนึ่งกำลังปีนผาสูงชันอย่างเหน็ดเหนื่อย เหงื่อกาฬไหลซึมไปทั่วกาย โชคดีที่เขาเบี่ยงหลบก้อนหินที่พังทลายลงมาได้อย่างหวุดหวิด

           “เร็วๆเข้าสิ”

           พอดีกับที่เสียงขู่ฟ่อๆดังตำหนิจากเบื้องบน เซียวถิงฟงเงยหน้ามองงูเผือกที่ไต่หินผาไปอย่างคล่องแคล่ว แล้วตวาดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่เห็นรึอย่างไร หินมันพังทลายลงมา จะให้ข้าปีนผาโดยเอาหน้าแบกรับก้อนหินทั้งหมดงั้นรึ”

           “เฮอะ หาได้มีความสง่างามสักนิด” ไป๋เซ่อในร่างงูแค่นเสียงประชด จะอย่างไรตอนนี้เซียวถิงฟงก็ถือได้ว่าเป็นมหาเทพชั่วคราวแล้ว เขาในฐานะอาวุธประจำกายของท่านมหาเทพย่อมต้องติดตามใกล้ชิด “หากไม่เพราะเราต้องแฝงเร้นมายังลับๆ ปกปิดพลังเซียน ป่านนี้ข้าคงตามหาท่านมหาเทพพบแล้ว” มันส่งเสียงพึมพำอย่างซึมเซาไปตามกระแสลม

           เซียวถิงฟงรับฟังแล้วก็เงียบกริบไม่ต่อปากต่อคำอีก พลางใช้เรี่ยวแรงที่มีปีนหน้าผาสูงชันนี้ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ต่อเมื่อผ่านพ้นผาสูงชันก็ทอดสายตาลงไป ที่ด้านล่างเป็นพื้นที่แบบแอ่งกระทะ พื้นที่ส่วนตรงกลางมีปราสาทหินที่ดูทะมึน แลตอนนี้ก็มีกองทัพปีศาจจำนวนหนึ่งยืนจัดแถวอย่างเป็นระเบียบ ดูท่าทีแล้วคล้ายกับกำลังเคลื่อนทัพไปยังพิภพสวรรค์

           “ทางนี้ๆ” ไป๋เซ่อตะโกนบอก

           เซียวถิงฟงพยักหน้าให้แล้วจึงรีบเดินไป ปกติแล้วหากไป๋เซ่อมิได้อยู่ในรูปร่างเช่นมนุษย์เขาก็มิอาจฟังภาษาออก ทว่าตั้งแต่เขาได้รับพลังทั้งหมดจากต้าเซียน เขาก็ฟังไป๋เซ่อในร่างงูเผือกออกทุกการร้องขู่

           เมื่อมองไปยังจุดที่ไป๋เซ่อบุ้ยใบ้บอก เขาก็พลันเหงื่อตก ใต้เขาสูงชันนี้มีทางแคบๆที่สามารถไต่ลงไปได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง อีกทั้งเมื่อลงไปถึงก็ต้องเผชิญกับกองซากศพที่กองพะเนินสูงดั่งภูเขาลูกหย่อมๆ แต่แม้จะดูยากลำบากเพียงไหน น่ากระอักกระอ่วนสักเพียงใด เขาก็ยังตัดสินใจลงไป ลงไปเพื่อช่วยต้าเซียน

           “เร็วๆหน่อยสิ” ไป๋เซ่อร้องเร่งรัดไม่ขาดปาก

           ด้านเซียวถิงฟงกลับบังเกิดอาการเส้นเลือดกระตุกที่หน้าผาก เจ้างูเอาเปรียบนี่ พอเห็นเป็นซากศพกลับมิยินยอมลงเลื้อย หันมาเลื้อยกอดคอเขาไม่ปล่อย เช่นนี้ยังมีหน้ามาสั่งเร่งเขาอีก

           “เจ้ามิเห็นรึว่ามันเดินลำบาก” เขาที่ไต่ลงหน้าผาโดยใช้เวลาแค่ชั่วประเดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนมาปีนกองซากศพปีศาจ เลือดสีเขียวต่างเปราะเปื้อนไปทั่วกาย กลิ่นเน่าเหม็นแทบทำให้ประสาทสัมผัสทางจมูกตายด้าน

           ไป๋เซ่อที่โดนเซียวถิงฟงตวาดก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะปล่อยโฮชุดใหญ่ร้องคร่ำครวญไม่หยุดปาก “....ฮึก ฮึก โฮ ท่านมหาเทพของข้าป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง จะโดนเจ้าคนทรยศเฟยหลงข่มเหงบ้างรึเปล่า ฮือ”

           คราแรกเซียวถิงฟงจะอ้าปากว่าเจ้างูขี้แยอีกสักประโยค แต่พอได้ยินประโยคหลังก็ยิ่งเร่งฝีเท้าขึ้น ริมฝีปากอ้าออกเปลี่ยนเป็นคำปลอบใจแทน “ไป๋เซ่อ อย่าได้ร้องไห้ให้เปลืองพละกำลัง ข้าจะรีบตามหาต้าเซียนให้เร็วที่สุด”

           “ฮึก งือ”

           เห็นไป๋เซ่อกดเสียงสะอื้นไห้จนเบาลงเรื่อยๆ เซียวถิงฟงก็เบาใจ สองมือยังปัดป่ายปีนกองซากศพ สายตามองตรงไปยังจุดหมายปลายทาง หากสามารถข้ามผาฝั่งตรงข้ามไป เขาก็จะสามารถเข้าสู่ปราสาทหินอันใหญ่โตนั่นได้ ว่าแล้วสมาธิของเขาก็หันมาจดจ่อเร่งพลังกาย

           เมื่อปีนผ่านผาสูงด่านสุดท้ายไป๋เซ่อก็แทบจะกระโดดโลดเต้นทั้งในร่างของงูเผือก ด้านหน้าปรากฏเป็นลานกว้างเรียบๆ มองตรงไปเป็นเนินบันไดหินที่ไม่สูงมาก บัลลังก์สีทองตัวใหญ่ถูกตั้งไว้อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางคบไฟสีแดงโชติช่วงจรัสแสง
           
           แลหากมองลึกเข้าไปอีกจะเป็นประตูขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับตัวปราสาท โชคดีที่เหล่าปีศาจทั้งหลายถูกเกณฑ์กำลังไปยังที่ด้านหน้าของตัวปราสาททั้งหมด ที่ด้านหลังจึงแทบไม่เห็นร่องรอยของปีศาจตนอื่นๆอีก

           “ถึงตาเจ้าแสดงฝีมือแล้ว ไป๋เซ่อ” เซียวถิงฟงกระซิบบอกงูเผือกที่ยังเลื้อยตัวอยู่ที่ต้นคอแกร่ง ไป๋เซ่อเองก็ยื่นศีรษะของมันจ้องตอบ ก่อนขู่ฟ่อตอบเขาเบาๆ

           “ทางซ้าย”

           เขาเดินไปตามทางที่ไป๋เซ่อบอก ทว่าภายในปราสาทแห่งนี้ดูกว้างขวาง กลิ่นอายของเลือดติดอยู่ตลอดทาง อีกทั้งบรรยากาศภายในยังให้ความรู้สึกกดดัน ยิ่งเข้าไปลึกทางก็ยิ่งลึกลับซับซ้อน ฉะนั้นครั้งนี้ต้องพึ่งประสาทสัมผัสของไป๋เซ่อเพียงผู้เดียว

           “เฮ้ย เจ้าน่ะ”

           บังเกิดเสียงเรียกเจื้อยแจ้วหนึ่ง ขณะที่พวกเขาเลี้ยวขวาเข้ามาตรงทางแยกหนึ่ง เซียวถิงฟงพลันเหงื่อตกตัวแข็งค้างทื่อ ไป๋เซ่อเองก็เฉกเช่นเดียวกัน มันแข็งค้างอยู่บนลำคอของเขา

           ปีศาจน้อยตนหนึ่งนาม เฉิงอี้ รูปร่างเล็ก หน้าตาเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ ผิดแต่มีหูที่แหลมและมีเขี้ยวเล็กๆที่โดดเด่น ยามเมื่อแย้มยิ้มกว้างใบหน้ากลับดูจิ้มลิ้มผิดกับปีศาจตนอื่น ซึ่งเมื่อแลเห็นปีศาจตนหนึ่งดูลับๆล่อ เดินผ่านเข้ามาใกล้บริเวณเขตหวงห้ามจึงส่งเสียงหยุดเอาไว้ แต่ทว่าคนถูกเรียกกลับไม่แม้แต่ขยับเข้าหา ตนจึงอดที่จะหงุดหงิดขึ้นมามิได้

           “เจ้านั้นแหละหันมา คิดรบกวนเวลาพักของข้า เจ้าต้องไม่ตายดีแน่” เฉิงอี้พูดขึ้นอย่างโอหัง เขาแม้จะอายุยังน้อยแต่ก็ได้รับความไว้วางใจจากจอมมารเฟยหลงผู้สง่างาม ให้รับหน้าที่เฝ้าคุมบริเวณเขตหวงห้ามนี้ไว้

           เซียวถิงฟงรับฟังคำขู่แล้วค่อยๆชะงักกายหันกลับไป ในใจครุ่นคิดหาคำอธิบายอย่างรวดเร็ว แต่พอเห็นสายตากลมโตของปีศาจตรงหน้าที่เริ่มเบิกกว้าง ก็พลันร้องบอกในใจว่า พลาดแล้ว เขาถูกจับได้เสียแล้ว

           “จัดการเขา เซียวถิงฟง” ไป๋เซ่อกล่าวเข้ามายังในสมองของเขา เขาจึงรวบรวมพลังไว้ที่ฝ่าเท้า เพียงถูกใช้ออกก็จะเข้าปราดประชิดเข้าหักคอปีศาจตนนี้ได้ในทันที เซียวถิงฟงขยี้ปลายนิ้วเท้าเล็กน้อยเตรียมส่งพลังพุ่งเข้าหา แต่ทว่า

           “อี๋ เจ้าไปให้ห่างข้านะ เจ้าไปผุดออกจากสุสานที่ไหนมา น่าขยะแขยง” เบะปากร้องอย่างรังเกียจ ทั้งยกนิ้วขึ้นบีบจมูกอย่างเร็วรี่ มองปีศาจตรงหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดสีเขียว คงพึ่งกลับมาจากการสู้รบกับแดนสวรรค์กระมัง เฉิงอี้คาดเดาในใจก่อนจะเหลือบไปมองสิ่งหนึ่ง

           เป็นงูเผือกที่มีท่าทีประหลาดๆ มันหันไปดมกลิ่นตัวเอง แล้วทำท่าสำลักความเหม็นออกมาอย่างเต็มที่ เฉิงอี้พลันรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าเป็นปีศาจอะไร ทำไมมิเคยพบเห็นมาก่อน แล้วเจ้านั่นไม่เปลี่ยนรูปลักษณ์รึ”

           เซียวถิงฟงรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมายังไป๋เซ่อที่ยังคงทำท่าสำลักความเหม็นจนเกิดพิรุธ ก็ต้องแอบลอบด่าทอในใจ...หากเสร็จเรื่องเมื่อไหร่ ข้าจะจับเจ้ายัดลงไหเต้าหู้เหม็นแน่ ไป๋เซ่อ “ข้า เป็นปีศาจงู นี่เป็นน้องชายข้า เขายังตบะไม่กล้าแกร่ง ดังนั้นจึงยังไม่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้”

           “ฟ่อ ฟ่อ” ใคร ใครเป็นน้องเจ้า ข้าต่างหากที่ต้องเป็นพี่ชายเจ้า

           “เอ๋ เขาพูดอะไรน่ะ”

           ไป๋เซ่อ ขู่ฟ่ออาละอาดใส่เขาอย่างดุร้าย เซียวถิงฟงแทบอยากจะเขวี้ยงมันใส่หน้าปีศาจน้อยที่ยังคงกล่าวถามไม่หยุด “เอ่อ เขา...เขาบอกว่าชอบเจ้ามาก”

           “หึ หึ เห็นแบบนี้ ข้าเฉิงอี้ก็มีปีศาจตนอื่นมาติดพันมากอยู่นะ ถ้ายังไงบอกน้องท่านว่าให้ไปบำเพ็ญเพียรจนเปลี่ยนรูปให้ได้เสียก่อน แล้วข้าจะพิจารณาเขาใหม่” เฉิงอี้พูดแล้วยืดอกอย่างหลงตัวเอง

           ไป๋เซ่อรับฟังแล้วปากกระตุกแทบอยากจะกระโจนไปกัดคอปีศาจตรงหน้าเสียเดี๋ยวนี้ แต่ติดที่ว่าเขาต้องตามหาท่านมหาเทพ ยังคงเก็บอารมณ์กราดเกรี้ยวไว้ก่อน

           เซียวถิงฟงหัวเราะขึ้นมาพลางประเมินได้ว่า ปีศาจน้อยตรงหน้าไม่ได้มีผิดมีภัยสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังดูซื่อๆไร้เดียงสา และอาจเป็นเหตุผลนี้กระมังที่ปีศาจน้อยมิได้ออกไปร่วมในกองทัพด้วย เขายกยิ้มในใจพลางลองเสี่ยงดูสักตั้ง “ท่านปีศาจน้อย ข้าได้รับคำสั่งจากจอมมารเฟยหลงให้มารับตัวเด็กหนุ่มนามต้าเซียนออกไป”

           เฉิงอี้ได้ฟังจบใบหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนไป สีหน้าดูไม่เป็นมิตรเหมือนแต่ก่อน ทั้งยังถามน้ำเสียงสูง “ท่านจอมมารให้ท่านมารับเขา”

           “ใช่ ท่านจอมมารกล่าวว่า เพลานี้ทัพปีศาจกำลังจะเคลื่อนพลไปที่แดนสวรรค์ ดังนั้นจำจะต้องนำตัวเขาออกไปเชือดไก่ให้ลิงดู” เซียวถิงฟงพูดจบ ในใจก็รู้สึกได้ถึงความไม่เชื่อใจ ทั้งยังระแวดระวังของอีกฝ่าย แต่กระนั้นไม่นานเฉิงอี้ก็แสดงสีหน้าแตกตื่นพลันโพล่งออกมา

           “แต่เขาน่าสงสารนะ ตัวเล็กนิดเดียวเอง ตอนมาถึงหน้าก็ซีดยังกับไก่ต้ม” เฉิงอี้กล่าวพลางแอบสงสารเด็กหนุ่มที่ตนแอบลอบมองอยู่บ่อยๆ เห็นเด็กหนุ่มน่าตาซื่อๆ ซ้ำอายุไม่น่าจะต่างจากตนเท่าไหร่ก็แอบสลดใจ

           ด้วยกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก เฉิงอี้ได้เข้ามาทำงานรับใช้ในปราสาทโลหิตก็แทบไม่มีเพื่อนที่อายุไล่เลี่ยกัน ครั้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มจึงแอบดีใจอยากเข้าไปทักทาย แต่ทว่าดูจากสภาพห้องที่จอมมารเฟยหลงเดินออกมาเมื่อไม่กี่ชั่วยามมานี่ ยังคงไม่ทักเด็กหนุ่มจะดีกว่า

           “ข้าพึ่งกลับมาจากสมรภูมิรบ ตอนนี้เป็นช่วงโอกาสอันดีที่จะได้ข่มขวัญเหล่าทหารเซียน จงรีบพาข้าไปนำตัวเขามา” เซียวถิงฟงเห็นแววตาที่สับสนของเฉิงอี้ก็ยิ่งกล่าวเร่งรัด
 
           ปีศาจน้อยเฉิงอี้เห็นท่าทีที่แฝงไว้ด้วยอำนาจของอีกฝ่ายก็เกิดลนลาน รีบนำทางเซียวถิงฟงและไป๋เซ่อเข้าไปในเขตหวงห้าม ผ่านประตูเหล็กบานใหญ่ จากนั้นเดินลงบันไดไปยังชั้นใต้ดิน เมื่อสุดปลายทางก็พบห้องโถงกว้างที่คล้ายเป็นถ้ำมรกต ด้านในสุดยังมีห้องเล็กๆเชื่อมติดอยู่ และภายในนั้นก็ปรากฏร่างๆหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง

           “ต้าเซียน/ฟ่อ ฟ่อ” ทั้งเซียวถิงฟงและไป๋เซ่อต่างร้องออกมาเป็นพร้อมเพรียงกัน สองเท้าออกถลาแล้วพุ่งตัวเข้าไปในห้องทันที

           เปรี๊ยะ แต่แล้วร่างของทั้งสองกลับถูกพลังที่มองไม่เห็นสะท้อนออกมาแทบในทันที คล้ายว่ามีม่านพลังหนึ่งกางกั้นเอาไว้ คนในจึงมิอาจออก คนนอกก็มิอาจเข้าไปได้

           “พวกเจ้าเป็นใคร กล้าหลอกข้างั้นรึ” เฉิงอี้ร้องถามเสียงแตกตื่น ใบหน้าเริ่มแสดงออกถึงความหวาดระแวง หากเป็นคำสั่งของจอมมารเฟยหลงจริง ไยพวกเขาจึงไม่สามารถผ่านประตูอาคมไปได้

           เซียวถิงฟงรู้ว่าพลาดท่าก็รีบยันตัวกลับมาในท่าเตรียมพร้อม ไป๋เซ่อที่กระเด็นไปก็ไม่ต่างกัน ร่างสีขาวพลิกตัวขึ้นแล้วเลื้อยตัวขู่ฟ่อไปทางเฉิงอี้หมายปิดปากรวดเร็ว

           “ว๊ากก อย่าๆ เข้ามา” ด้านปีศาจน้อยกลับเบิกตาโตร้องลั่น เมื่องูเผือกตัวสีขาวร้องขู่ใส่อย่างดุร้าย ทั้งยังรุดเข้าหาอย่างมิเกรงกลัว ทว่าเฉิงอี้นั้นเกรงกลัว

           ด้วยตนนั้นเป็นปีศาจค้างคาว ชีวิตจริงก็มิเคยออกสู้กับผู้ใด ยามนี้เจ้าถิ่นบนบกประกาศศักดาตรงหน้าแล้ว ในชั่วระยะเวลาสั้นๆจึงพลันทำอะไรไม่ถูก ลืมแม้แต่กางปีกกระจ้อยร้อยของตัวเอง สุดท้ายจึงได้แต่กระโดดตัวโหยงเหยงไปมารอบห้อง

           ไป๋เซ่อเห็นดังนั้นก็ยิ่งได้ใจ รีบเลื้อยเข้าหาเร็วรี่ ผิดกับด้านเซียวถิงฟงที่ถึงกับเงียบกริบ มองดูตนหนึ่งวิ่งจุกตูด อีกตนหนึ่งเลื้อยไล่ไม่ลดละ พลันให้รู้สึกชุลมุนอยู่บ้าง เขาไม่สนใจทั้งสองอีกต่อไป เดินตรงไปที่ประตูที่กั้นกลางไว้ด้วยม่านพลังที่มองไม่เห็น ร่างน้อยด้านในนั้นยังคงไม่รู้สึกตัว ความรู้สึกผิดที่แล่นกอบกุมในใจ มันเป็นความผิดของเขาทั้งหมด

           ...ถ้าในวันนั้นเขามิยอมปละปล่อยมือน้อยๆคู่นั้น ยอมกลายเป็นคนไร้คุณธรรมไร้น้ำใจ บางทีต้าเซียนอาจมิต้องกลายเป็นเช่นนี้ แต่เรื่องราวล้วนเกิดขึ้นแล้ว ย้อนกลับมิได้ ได้แต่ยอมรับ เขารู้ดี

           เซียวถิงฟงสูดหายใจเข้าลึกๆ เกร็งกำลังสามส่วนภายไว้ที่ฝ่ามือ ฝ่ามือข้างที่เคยพลาดพลั้งทำร้ายร่างน้อย แลในตอนนี้มันกำลังกำแน่นทั้งยังปูดโปนไปด้วยเส้นเลือด ก่อนจะเงื้อขึ้นสูง

           “เจ้า หยุดนะ” เฉิงอี้ที่วิ่งวนในห้องเป็นรอบที่สี่ มาตรว่าสติจะหลุดไปหลายส่วน แต่ก็ยังคงสังเกตเห็นคนแปลกหน้าที่กำลังคิดทำลายประตูอาคม กระนั้นแล้วตนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเขตหวงห้ามจากจอมมารเฟยหลง ย่อมมิยอมให้ใครบุกรุกเข้าไปได้แน่ เขาไม่รอช้าอีกต่อไป

           ควันสีขาวเริ่มคละคลุ้งไปทั่วร่าง ปีกสีเทาอ่อนแผ่ขยายออก หูเล็กแหลมตั้ง กายหดเล็กลงจนมีขนาดเท่ากำมือหนึ่ง เขี้ยวแหลมเล็กอ้ากว้าง มันออกโบยบินแล้ว แม้ตนมิได้มีฤทธิ์เดชร้ายแรง ทั้งยังเป็นแค่ปีศาจที่พึ่งบำเพ็ญเพียรสำเร็จ แต่อย่างน้อยพิษจากเขี้ยวของมันก็ยังพอมีดีอยู่บ้าง ขอเพียงจมเขี้ยวพิษลึกลงสู่ผิวหนัง เหยื่อจะกลายเป็นอ่อนแรง หมดพละกำลังลงไปในที่สุด

           เฉิงอี้กางปีกถลาเข้าหาผู้บุกรุกอย่างกล้าหาญ เนื่องเพราะมันมิอาจทนเห็นจอมมารต้องผิดหวังเพราะตนเองได้ ดังนั้นแม้อีกฝ่ายจะเปราะเปื้อนด้วยคราบจากซากศพจนน่าขยะแขยง แต่มันก็จะทน

           ตึง หมัดกระแทกประตูอาคมจนเกิดเป็นเสียงดัง รอยร้าวเล็กๆเริ่มปรากฏขึ้น เซียวถิงฟงพลันยิ้มออกก่อนจะส่งหมัดลงไปอีกครั้ง ครานี้ร่างเขามิได้กระเด็นออกไปแล้ว เป็นเพราะเขาเกร็งกำลังส่วนหนึ่งไว้ที่ขาด้วย

           คนแปลกหน้าเริ่มทลายประตูอาคมจนบังเกิดเป็นรอยร้าว เฉิงอี้ยิ่งร้อนรน แต่ยังคงมีสติเล็งไปที่ต้นคออีกฝ่ายอย่างไม่คลาดเคลื่อน โชคยังดีที่อีกฝ่ายมิได้ระวัง ทำให้ตัวมันเข้าถึงตัวอีกฝ่ายเพียงไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ

           ด้านไป๋เซ่อก็ยังคงไล่ตามปีศาจน้อยอย่างไม่ลดละ กระทั่งเห็นร่างแปลงของปีศาจค้างคาวบินหนีไปไกล ทั้งยังมีทีท่าหมายทำร้ายเซียวถิงฟง มันก็ไม่มีท่าทีครั้นคร้าม เพียงหยุดเลื้อยตัวลง รอจนจังหวะหนึ่งร่างสีขาวปลอดก็ดีดตัวขึ้นสูงเหนืออากาศ ก่อนจะกระโจนเข้าโรมรันเลื้อยลัดอีกฝ่าย

           “อ้ะ” เขี้ยวเล็กเข้าใกล้ที่ลำคอของแกร่ง ความตั้งใจใกล้สำเร็จผล แต่แล้วมันก็ต้องตกตะลึง เป็นเพราะมันลืมไปหมดสิ้น ว่ายังมีงูเผือกสีขาวที่ยังตามไล่ล่ามันอย่างไม่ลดละ ดังนั้นเขี้ยวยังมิอาจจมเข้าสู่ผิวเนื้อ ร่างของมันก็ถูกพันธนาการไว้ “ปล่อยข้า ปล่อย” เฉิงอี้ร้องลั่น สายตายังคงจับจ้องมองไปยังผู้บุกรุกที่เริ่มทำลายประตูอาคมจนเกิดเป็นรอยร้าวไปทั่วบริเวณ

           ท้ายที่สุดประตูอาคมก็คล้ายเป็นดั่งกระจก มันปริแตกออกจนบังเกิดเป็นเสียงดังเพล้ง เซียวถิงฟงหยุดมือมองดูประตูที่ค่อยๆพังทลาย จวบจนหมดสิ้นสองเท้าก็โผเข้าไปในห้องโดยที่ไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีก

           ภายในห้องเงียบสงัดจนน่ากลัว ข้าวของถูกทำลายวางระเกะระกะที่พื้น ฝุ่นเล็กๆกระจายอยู่โดยรอบ เซียวถิงฟงก้าวเท้าตรงไปยังเตียงที่มีร่างน้อยนอนอยู่ ใบหน้าซีดเซียวทั้งซูบผอมทำให้เขาปวดใจ เขานั่งลงข้างเตียง มือหนึ่งเอื้อมไปสัมผัสที่ใบหน้าเล็ก ทว่าผิวกายของร่างน้อยกลับเย็นเฉียบปานน้ำแข็ง

           “ต้าเซียน” เขาร้องอย่างตกใจพลางลนลานจับชีพจรที่ข้อมือเล็ก

           แผ่วเบา แผ่วเบาจนน่ากลัว หัวใจเริ่มดำดิ่งสู่ห้วงมืด เขากัดฟันข่มความรู้สึกที่กำลังพังทลายลง รั้งร่างบอบบางเข้ากอดอย่างทะนุถนอม เขามิยินยอมให้ต้าเซียนจากไปเช่นนี้ เขาต้องรีบพาต้าเซียนไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด


**************************************************


           ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนลอบมองยังภายนอก เมื่อครู่เกิดเสียงดังคล้ายมีคนเข้ามายังที่นี่ ดังนั้นเขาจึงซุ่มซ่อนตัวที่ด้านหลังเตียงนี้ หากโชคดีเขาอาจจะหาจังหวะหลบออกไปได้ ทว่าเมื่อแลเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียง เขาก็มีอันตะลึงงันไป ความรู้สึกดีใจพวยพุ่งอยู่เต็มอก

           ...เป็นเซียวถิงฟง เขามาช่วยข้า

           ต้าเซียนมองชายหนุ่มที่มีสีหน้ารวดร้าว ทั้งมองร่างที่เหมือนกับตนเองทุกประการอย่างไม่วางตา ความอ่อนโยนที่ห่างหายไปนานทำให้น้ำตาเริ่มซึมออกมา เขามองอยู่นิ่งๆอยู่อย่างนั้น คล้ายไม่อยากพลาดแม้สักเสี้ยววินาที กระทั่งเห็นร่างสูงอุ้มร่างที่เปรียบเสมือนฝาแฝดขึ้นหลังแล้วก้าวออกไป เขาก็พลันได้สติ

           “ถิงฟง”

           เสียงเล็กๆผะแผ่วดังขึ้น เซียวถิงฟงที่อุ้มร่างของต้าเซียนไว้บนแผ่นหลังถึงกับหยุดชะงัก เสียงนั้นเขาจำได้ดี หัวใจพลันรู้สึกพองโตขึ้น...เจ้ารู้สึกตัวแล้วใช่ไหม ทว่าดีใจได้ไม่นาน หัวใจก็ต้องหดลีบลง ร่างที่บอบบางราวกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อยังคงนอนนิ่งไม่ได้สติอยู่บนแผ่นหลัง ไม่มีแม้แต่จะกระดุกกระดิกสักนิด เขาคงคิดไปเอง

           ครั้นเห็นร่างสูงหยุดชะงัก แต่ไม่นานคอก็ตก อุ้มร่างที่ไร้ชีวิตชีวาก้าวออกไปอีก เขาก็พลันเปล่งเสียงเรียกอีกครั้ง “ถิงฟง”

           เซียวถิงฟงหยุดชะงักอีกครั้ง รู้สึกได้ว่าครั้งนี้ตนมิได้เพ้อฝัน จิตใต้สำนึกสั่งการให้หันกลับไป ครานี้สองเท้าหมุนกลับไป และแล้วดวงตาที่หม่นแสงก็ถึงกับเบิกกว้าง ใบหน้าเล็กที่โผล่ออกมาที่หลังเตียงนั้นเขาจดจำได้ดี แต่แล้วเขาก็บังเกิดเป็นอาการโง่งม ที่แผ่นหลังยังแบกร่างของต้าเซียนที่นอนไม่ได้สติไว้ แต่ทว่าที่หลังเตียงนั้นก็ยังมีต้าเซียนอีกคน

           เซียวถิงฟงงงงันจนกระทั่งเห็นหยาดน้ำที่คลอเต็มเบ้าในดวงตาคู่งามตรงหน้า ก็กระวีกระวาดตรงเข้าหาอย่างรวดเร็ว ไม่ลืมที่จะวางร่างที่อยู่บนหลังลงที่เตียงอย่างอ่อนโยน ก่อนร้องเรียกอย่างดีใจ “ต้าเซียน”

           “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” ต้าเซียนถามอย่างสงสัย นึกถึงเฟยหลงที่ทิ้งวาจาเหี้ยมโหดไว้ก่อนไปก็ถึงกับเคร่งเครียด...นี่มันเสี่ยงเกินไป เฟยหลงอาจสังหารชายหนุ่มได้ทุกเมื่อ

           “ทำไมเจ้าถึงอยู่ตรงนั้น” เซียวถิงฟงไม่ตอบคล้ายกับสงสัยบางสิ่งจนไม่ได้ฟังคำถาม ต้าเซียนค่อยๆยันตัวลุกขึ้น ทำให้เขามองเห็นได้เต็มตัวก่อนจะอุทานออกมาแทบในทันที “ผมของเจ้า”

           “อยู่ที่นี่” ต้าเซียนชี้นิ้วไปที่ร่างที่ยังคงนอนนิ่ง ตอนนี้เส้นผมของเขามิได้ยาวจรดพื้นอีกต่อไป เหลือเพียงแค่เส้นผมที่ยาวประมาณอก “ข้าเสกร่างเหมือนไว้ หวังว่าจะตบตาเฟยหลงได้ชั่วคราว” กล่าวจบก็แลเห็นร่างสูงทำหน้าปวดใจอีกครั้ง

           “รีบไปเถอะ ท่านอาวุโสเทพทั้งสามกำลังรอเจ้าอยู่” เซียวถิงฟงกล่าวน้ำเสียงเบา ก่อนจะตรงเข้าไปอุ้มร่างอีกฝ่ายแล้วพาขึ้นหลังไป

           ด้านต้าเซียนก็มิได้กล่าววาจาอันใด รู้เพียงว่าระหว่างพวกเขามีหลายเรื่องที่เจ็บปวดมากจนเกินพอแล้ว กระทั่งเมื่อฝีเท้าหนักแน่นเข้าไปที่ประตู น้ำเสียงหนึ่งก็ลอยมาเบาๆ

           “ต้าเซียน ที่ผ่านมาข้าไม่หวังให้เจ้าอภัย เพียงได้โปรดอย่างเกลียดชังข้า แค่นั้นก็พอ”

           “......” เขามองเซียวถิงฟงด้วยความเงียบกริบ แม้จะไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกในใจของชายหนุ่มได้ แต่คล้ายตอนนี้เขารับรู้ถึงมันได้เอง
           
           แม้จะมิได้รับคำตอบ เซียวถิงฟงก็มิได้ซักไซ้ เพียงก้าวฝีเท้าออกไป กระทั่งเมื่อผ่านประตูเสียงคร่ำครวญโหยหวนก็ดังขึ้น

           “ฮึก โฮ ท่านจอมมารเฟยหลง ข้าทำให้ท่านต้องผิดหวัง”

           เสียงร้องร่ำไห้ของเฉิงอี้ดังไปทั่วบริเวณ ต้าเซียนพลันเห็นร่างงูเผือกที่รัดพัวพันไว้ด้วยค้างคาวน้อยตัวหนึ่งก็มองอย่างสนใจ ราวกับมีสิ่งหนึ่งรบกวนจิตใจ

           ครั้นฝีเท้าคู่หนึ่งก้าวออกมา ไป๋เซ่อก็พลันเงยหน้าขึ้น “ฟ่อ ฟ่อ” ท่านมหาเทพ มันร้องตื่นเต้นดีใจ แทบอยากจะกระโดดโลดเต้นสักหลายที ส่งผลให้เผลอรัดร่างปีศาจค้างคาวไว้แน่นอย่างลืมตัว

           “แอ่กๆ” เฉิงอี้ในร่างค้างคาวสีเทาถึงกับตาถลน สองขาดิ้นตะเกียกตะกายไม่หยุด

           “ไป๋เซ่อ ลำบากเจ้าแล้ว” เห็นดังนั้นต้าเซียนก็รีบส่งรอยยิ้มเบาบางไปให้ ไป๋เซ่อจึงพลันสงบลง ร่างที่เลื้อยรัดก็เริ่มคลายลง ทำให้ค้างคาวน้อยเองรีบสูดอากาศหายใจเข้าเต็มปอด

           “จะทำเช่นไรกับเขาดี” เซียวถิงฟงกล่าวขึ้น มองไปยังปีศาจค้างคาวที่อยู่ในกำมือของไป๋เซ่อ หากปล่อยไปเกรงว่าอีกไม่นานจอมมารเฟยหลงจะต้องรุดมาโดยไว

           ด้านเฉิงอี้ถึงกับชะงักตัวแข็งทื่อ รู้สึกราวกับว่าชีวิตกำลังอยู่บนเส้นด้ายบางๆ เพียงคำพูดไม่กี่คำ ชีวิตมันก็คงจะหาไม่ในไม่ช้า แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้ร้องขอชีวิตแต่อย่างใด

           ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องมองค้างคาวตัวสีเทาที่กำลังสั่นไม่หยุด ที่หางตามีหยาดน้ำตาคลอ ฉับพลันนั้นบังเกิดเป็นความรู้สึกที่ยากยิ่งจะพรรณนา แสงสว่างทอประกายวาบมองปีศาจน้อยตาไม่กะพริบ จากนั้นพลันยิ้มออกมา ไม่แน่ว่าปีศาจน้อยตนนี้อาจเป็นบุคคลสำคัญยิ่งในภายภาคหน้า “พาเขาไปด้วย” ต้าเซียนกล่าวเสียงราบเรียบ

           เฉิงอี้ถึงกับลืมตาอย่างตกตะลึง มิคาดคิดว่ามันจะยังเก็บชีวิตตนเองไว้ได้ สายตาสีเทาของมันเผลอสบเข้ากับเจ้าของเสียง จู่ๆก็บังเกิดเป็นความรู้สึกอบอุ่นชนิดหนึ่ง จนได้แต่นอนนิ่ง กระทั่งในที่สุดร่างของมันก็ถูกจับใส่ลงไปในย่ามใบเล็กๆของเซียวถิงฟง

           ก่อนจากไปเซียวถิงฟงยังคงหันไปมองร่างอีกร่างของต้าเซียน เขาสัญญากับตัวเองในใจ...ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้อีก...ว่าแล้วเขาก็ลงอาคมที่ประตูอีกครั้งตามคำที่ต้าเซียนบอก

           หัวใจครึ่งหนึ่งของเขาเป็นของจอมมารเฟยหลง ดังนั้นขุมพลังนี้จึงมีกลิ่นอายเช่นเดียวกับเจ้าตัว ดังนั้นอาจสามารถยื้อเวลาให้จอมมารเฟยหลงไม่สามารถจับพิรุธได้สักพัก

           เขาแบกร่างน้อยย้อนกลับมายังหุบเหวที่มีแต่ซากศพ แต่ครั้งนี้เขามิได้เดินลุยลงไปอีกแล้ว เนื่องเพราะตอนนี้เวลาเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ดังนั้นจึงใช้กำลังภายในรวมถึงพลังเซียนในกายโผทะยานลงไปอย่างไม่หวาดหวั่น แลไม่นานร่างของทั้งสามก็ค่อยๆหายลับไปจากปราสาทมารโลหิต


**********************************************

อยากบอกว่า 2 บทสุดท้ายอย่างยาวจ้ะ ใกล้จะจบแล้ว เเต่ยังไม่อยากให้จบเบย :mew4:

ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
โหดร้ายมากเลย T_T

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 29.1 เพียงเข้าใจ


           โลหิตหลั่งไหล เสียงร้องโหยหวนดังอื้ออึง การฆ่าฟันที่มิรู้จบสิ้นยังคงดำเนินต่อไปภายใต้สายตาดุดันเฉกเช่นพญาอินทรี หากมิใช่ฝั่งกองทัพปีศาจ ก็เป็นเหล่ากองทัพเทพสวรรค์ที่บาดเจ็บล้มตาย

           เพลานี้คล้อยผ่านไปนานนับหลายชั่วยาม เหล่าทหารเทพเองก็ยังคงมีทีท่ายืนหยัดปกป้องเขตแดนสวรรค์เอาไว้อย่างไม่ลดละ แม้ต้องหลั่งหยาดเหงื่อเลือดเนื้อสักเพียงใด ต่างก็ไม่มีใครยอมท้อถอย ดวงตาที่กล้าแข็งเหล่านั้นมิได้แสดงออกถึงความเหน็ดเหนื่อยเลยสักเสี้ยวหนึ่ง

           ความมุ่งมั่นเหล่านี้กลับทำให้เฟยหลงหวนนึกถึงอดีต ครั้งที่ตนดำรงตำแหน่งแม่ทัพเทพเกราะทอง ผู้ซึ่งนำทัพพาเหล่าทหารเทพปกป้องเขตแดนสวรรค์จากเหล่าจอมมารในอดีต ทั้งยังฟันฝ่าอันตรายนานัปการ แต่แล้วสายตาคู่นี้ก็หลับลงอีกครั้ง ก่อนจะเปิดขึ้นใหม่ ทั้งยังโชนแสงยิ่งกว่าเดิม เขามิอาจหันหลังกลับไปได้ อดีตเป็นเพียงอดีต มิอาจเป็นปัจจุบัน เฟยหลงรู้ดี

           เพราะตอนนี้เขาคือ...จอมมารเฟยหลง

           “ท่านจอมมาร ข้าน้อยขอบังอาจเสนอให้ส่งกำลังพลอีกห้าพันนายเข้าตะลุยศึก ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้วเหล่าทหารเทพย่อมต้องหมดแรงในอีกไม่ช้า” ปีศาจหัววัว หนึ่งในแม่ทัพปีศาจกล่าวขึ้นอย่างฮึกเหิม

           กระนั้นเฟยหลงเพียงแค่เหลือบมองอีกฝ่ายแล้วกล่าวตอบสั้นๆ “ยังไม่ถึงเวลา”

           ทว่าปีศาจหัววัวรับฟังแล้วกลับรู้สึกไม่ถูกต้อง มันรีบกล่าวแย้งในทันที “แต่ตอนนี้ทหารเทพกำลังขาดผู้นำ พวกมันย่อมต้องเพลี่ยงพล้ำในไม่ช้า เหตุใดจึง...” สายตาเผลอสบเข้ากับนัยน์ตาคู่เย็นชา มันยังมิทันได้พูดจบก็ต้องหลั่งชโลมเหงื่อเยียบเย็น รังสีสังหารของจอมมารแทบทำให้มันไม่สามารถหลุดวาจาใดได้อีก
   
           “เพียงทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี ข้ารู้ว่าต้องทำเช่นไร” จอมมารเฟยหลงใช้น้ำเสียงเหี้ยมขึ้นเอ่ย เห็นอีกฝ่ายรีบพยักหน้ารับก็มิใคร่ใส่ใจอีก สายตาทอดมองไปยังภาพการสู้รบที่เบื้องหน้าอย่างเงียบงัน
   
           ถูกแล้ว ตอนนี้ยังมิถึงเวลา รอถึงคราที่อัสดงถูกกลืนกิน เมื่อถึงตอนนั้นก็ถึงคราวที่เขาจะลงมือทำลายทุกสิ่ง เฟยหลงนึกในใจ ไม่นานนักร่างของเขาก็กลับกลายเป็นกลุ่มควันชนิดหนึ่ง ก่อนจะหายไปยังที่ที่เพิ่งจากมา...ปราสาทมารโลหิต
   
           สองเท้าเดินไปตามทางที่ตนคุ้นเคย จนล่วงเข้าสู่เขตหวงห้ามก็พลันจับกระแสได้เพียงแต่ความเงียบงัน คนที่ควรอยู่กลับไม่อยู่แล้ว คิ้วขมวดลงเล็กน้อย กระทั่งลงบันไดผ่านเข้าไปยังโถงมรกต ก็ตรงเข้าไปในห้องที่มีร่างของคนผู้หนึ่งทอดนอนลงอย่างสงบ
   
           ภายในห้องยังคงเค้าความเสียหาย ไม่ต่างกับตอนที่จากไปด้วยความโกรธ ฝีเท้าเดินตรงไปเบื้องหน้าของร่างเล็ก ทอดมองตาไม่กะพริบอยู่นาน จนในที่สุดก็เอื้อมมือไปสัมผัสยังดวงหน้างดงามที่ขาวซีด สิ่งที่ได้รับกลับเป็นความเย็นเยียบอย่างน่าประหลาด ริมฝีปากเขาเริ่มเหยียดยิ้มขึ้น
   
           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ในที่สุดก็ระเบิดหัวเราะออกมา “ท่านคิดว่าเพียงแค่นี้หลอกข้าได้” เฟยหลงกล่าวเสียงแข็งจ้องมองใบหน้าที่หลับตาพริ้มด้วยอารมณ์คลุ้มคลั่ง “ข้าจะรอดู ถึงเพลานี้แล้วท่านจะทำอะไรได้อีก”

           ความเคียดแค้นเต็มเปี่ยมในดวงตา สองมือกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ทว่าเขาก็ไม่คิดตามร่างเล็กไปตอนนี้ เพราะเขามั่นใจ จะอย่างไรอีกฝ่ายต้องกลับมาแน่ เนื่องเพราะคำท้าสู้ระหว่างเขากับเซียวถิงฟง ยังมิได้เริ่มขึ้น และมันจะจบลงได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดับสูญไป

           “ท่านจะได้เห็นว่า ข้าไม่ผิด เป็นท่านต่างหากที่เลือกผิด ท่านมหาเทพ”

           .................

           ........

           ...

           คลื่นน้ำยังคงสงบนิ่งแตกต่างกับใจที่มีแต่ความสับสน ท้องฟ้าในยามนี้มืดลงแล้ว กระนั้นเขากลับได้ยินเสียงโห่ร้องสู้รบจากที่แสนไกล กลิ่นเลือดบางเบาถ่ายเทอยู่ในอากาศ สองมือน้อยกำแน่นจนสั่นระริก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแหงนมองท้องฟ้าเบื้องบนอย่างไม่วางตา เป็นอีกครั้งที่ต้องทนเห็นสิ่งเหล่านี้ ได้แต่มองสิ่งที่เพียรสร้างถูกทำลายลงช้าๆ ความโกรธปะทุขึ้น หากแต่ก็สลายลงกลับกลายเป็นเพียงความหมองเศร้า

           ใบหน้าเล็กหันมองไปรอบๆ ไม่แน่ว่าอีกไม่นานที่นี่อาจจะไม่มีอยู่อีก รอยยิ้มจะเปลี่ยนเป็นน้ำตา ความสงบสุขไม่คืนหวนคืนมา ทุกสิ่งทุกอย่างจะหายวับไม่มีอยู่อีกต่อไป คิดถึงตรงนี้ต้าเซียนก็สั่นสะท้าน ความรู้สึกโดดเดี่ยวกลับมาเคี่ยวกรำเขาอีกครั้ง

           ความหนาวเหน็บเคลื่อนเกาะกุมยังส่วนลึกในจิตใจ แม้แต่ลมหายใจก็มิอาจพรั่งพรู ทั้งๆที่เขาเป็นถึงมหาเทพแห่งพิภพสวรรค์ แต่มาตอนนี้กลับทำอะไรมิได้สักอย่าง สองตาข่มแน่นกล้ำกลืนความขมขื่นไว้ แต่แล้วมือใหญ่คู่หนึ่งก็เอื้อมมากระชับสัมผัสที่มือ ไม่เพียงน้ำเสียงอบอุ่น ดวงตายังทอแววด้วยความห่วงใย

           “ต้าเซียน เจ้าคิดอะไรอยู่”

           “.......” ต้าเซียนกลับคืนสู่ภวังค์ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงนี้ มือที่กำอยู่กลับคลายลงอย่างน่าประหลาด แต่กระนั้นเขาก็มิได้ตอบอะไร

           เซียวถิงฟงจับตามองร่างน้อยที่นั่งอยู่บนเรือลำเล็กเงียบๆมาเนิ่นนาน ดังนั้นใบหน้าหมองเศร้าเคล้าความสับสนระคนความไม่มั่นใจจึงมิอาจเล็ดรอดไปจากสายตาเขาได้ บัดนี้นัยน์ตาคู่สวยทอดมองมายังเขาแล้ว “ต้าเซียน...”

           “ถึงแล้วใช่รึไม่” น้ำเสียงหวานของนางฟ้าชิงเซียงดังขึ้น ทำให้ดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อนต้องละสายตาออกไป สุ้มเสียงของเซียวถิงฟงจำต้องหยุดชะงัก สุดท้ายก็ได้แต่กล้ำกลืนซ่อนบางสิ่งไว้ในอก

           “ตรงนี้แหละ” ต้าเซียนหยัดกายลุกขึ้นยืนบนเรือ สองตาแลเห็นดอกบัวในสระที่ยังคงเบ่งบานอยู่อย่างงดงาม ขัดกับภาพนองเลือดบนพิภพสวรรค์ในตอนนี้โดยสิ้นเชิง

           “ถ้าเช่นนั้น ท่านมหาเทพอย่าได้รอช้าอีกเลย” นางฟ้าชิงเซียงกล่าว

           ต้าเซียนจึงหันกลับไปมองที่ร่างสูงอีกครั้ง ครานี้เซียวถิงฟงหยัดยืนขึ้นแล้ว มือหนึ่งล้วงเข้าไปในสาบเสื้อก่อนจะเผยออกให้เห็นถึงลูกแก้วขนาดเท่าอุ้งมือ จากนั้นชายหนุ่มก็ยื่นมันมาให้ตน เขามองอยู่ครู่หนึ่งก็รับมันคืนกลับมา

           หลังจากที่เขากลับมาถึงที่คฤหาสน์ตระกูลเซียวในเมืองลู่หยางก็เพียงพบนางฟ้าชิงเซียงที่รออยู่นานแล้ว ไม่ต้องอธิบายอะไรมากเขาก็พอรู้สถานการณ์ ดังนั้นนางฟ้าชิงเซียง เซียวถิงฟง และเขาจึงพากันมายังที่จุดต้นกำเนิดของพลัง
   
           ร่างน้อยหันหลังให้คนทั้งสอง ตั้งสมาธิอยู่เพียงชั่วครู่ ลูกแก้วก็เปล่งประกายสีทองสุกสว่าง สายลมเริ่มพัดโหม พัดพาให้ดอกบัวสั่นไหวราวกับมีชีวิต ร่างกายเริ่มแปรเปลี่ยนดั่งทรายทอง ทั้งยังหลั่งไหลเข้าไปยังลูกแก้วใส จวบจนกายเหลือเพียงแค่ไม่กี่ส่วน น้ำเสียงของเซียวถิงฟงก็สะท้อนก้องไปทั่วสระบัว
   
           “ต้าเซียน เจ้ามิได้โดดเดี่ยว มิได้แบกรับภาระไว้เพียงลำพัง ทุกคนอยู่ข้างเจ้า ทุกคนเชื่อใจเจ้า”...ข้าเองก็เช่นกัน เซียวถิงฟงตัดสินใจบอกสิ่งที่กล้ำกลืนไว้ น้ำเสียงนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ จวบจนร่างน้อยหายไป

           หัวใจพลันรู้สึกปลอดโปร่ง คล้ายมีบางสิ่งเติมเต็มในส่วนที่ขาดหาย เขามิได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป ต้าเซียนมองเซียวถิงฟงผ่านทางลูกแก้วใส มองนางฟ้าชิงเซียงที่ส่งยิ้มให้ ก่อนจะหันมองไปยังท้องฟ้ายามราตรี ความเข้มแข็งกลับมาอีกครั้ง ทั้งยังรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง

           ขอเพียงมีคนเข้าใจ มันก็กลับกลายเป็นพลังให้มุ่งมั่นก้าวต่อไปข้างหน้าได้เช่นกัน

           แสงสว่างสีทองสว่างวาบแล้วจึงค่อยๆจมลงในสระบัว เซียวถิงฟงมองลูกแก้วใสที่นอนอยู่ก้นสระก็เริ่มสงบใจขึ้น

           “เจ้าเข้าใจท่านมหาเทพ” นางฟ้าชิงเซียงยิ้ม แม้นางจะเข้าใจถึงความโดดเดี่ยวที่ติดอยู่ในใจของท่านมหาเทพมานานปี แต่ตนก็มิอาจคลายปมนี้ออกจากใจของท่านได้ แต่ชายผู้นี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น

           “ข้าฝากดูแลเขาด้วย” เซียวถิงฟงไม่กล่าวตอบกระไรเพียงยิ้มให้น้อยๆ แล้วกล่าวฝากฝังต้าเซียนไว้ จากนั้นจึงใช้กำลังภายในส่วนหนึ่งนำพาตนเองออกจากเรือลำน้อยไป

           ต้าเซียน เป็นเจ้าที่ปกป้องข้าเสมอมา แต่หลังจากนี้ข้าจะเป็นฝ่ายปกป้องเจ้าเอง

           นางฟ้าชิงเซียงมองเงาร่างที่ค่อยห่างออกไป มาตรว่ารู้แน่ชัดว่าต้องประสบพบเภทภัยแต่เขาก็ยังคงไป รอยยิ้มของนางปรากฏขึ้น แล้วจึงหันกลับมามองยังสระบัวที่ซึ่งสะท้อนแสงสว่างสีทอง

           “ท่านมหาเทพ ท่านไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป”


****************************************************


           เช้าวันใหม่ถือกำเนิดขึ้น ทว่ากลุ่มสีดำอึมครึมกลับเคลื่อนที่บดบังดวงอาทิตย์ เสียงฟ้าผ่าดังครืนเป็นระยะๆ ราวกับจะบอกว่าอีกไม่นานเหตุชั่วร้ายจำต้องบังเกิดขึ้น ชายผู้หนึ่งสวมเกราะสีทองสง่างามนั่งอยู่บนบัลลังก์กว้างพลางทอดมองไปยังจุดหนึ่ง ดูว่าเขารอมาเนิ่นนานแล้ว

           เซียวถิงฟงเดินทางกลับมายังหุบเขาลับแล สถานที่ตั้งปราสาทมารโลหิตอีกครั้ง หากแต่ว่าครั้งนี้เขากลับมาเพียงลำพัง แลเมื่อถึงปากทางเข้า ปีศาจหน้าตาอัปลักษณ์ตนหนึ่งก็ยืนรอตนอยู่แล้ว จากนั้นมันก็นำพาเขามายังลานหินอ่อน ที่ซึ่งครั้งหนึ่งกองทัพปีศาจได้รวมตัวกันโห่ร้องเสียงอึกทึก แต่ในขณะนี้หาได้มีวี่แววพวกมันไม่

           “จอมมารเฟยหลง”

           น้ำเสียงแน่วแน่เอ่ยขึ้น ทำให้เจ้าของชื่อต้องเหยียดยิ้มหยันคราหนึ่ง ก่อนจะถลึงตามองคนที่ยืนอยู่เบื้องล่างอย่างชิงชัง มือหนึ่งยกขึ้นแล้วโบกมือคราหนึ่งเป็นสัญญาณให้ปีศาจที่นำพาชายผู้นี้ล่าถอยออกไป
   
           “นับว่าเจ้ายังมีสัจจะ” เฟยหลงยังคงนั่งนิ่งพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ สายตาจ้องมองบุรุษที่สวมชุดเกราะสีดำ ผมรวบขึ้นมวยท่าทางทะมัดทะแมงน่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย ดูท่าอีกฝ่ายก็เตรียมใจพร้อมแล้วเช่นกัน

           สายตาที่แฝงไว้ซึ่งรังสีสังหารนั้นมิได้ปกปิดเลยสักนิด เซียวถิงฟงยกยิ้มขึ้น ในเมื่ออีกฝ่ายอยากเล่นสงครามทางจิต เขาก็จะเล่นด้วย “วันสำคัญเช่นนี้ ข้าจะมิมาได้อย่างไร”

           น้ำเสียงที่ฟังดูไม่สะทกสะท้าน ทั้งไม่ยี่หระ ยิ่งโหมกระพือความเดือดดาลในใจขึ้นมา แต่แล้วเฟยหลงก็แค่นเสียงกล่าว “หึ หึ ข้ามิแปลกใจสักนิด ในเมื่อเจ้ากล้าลอบเข้ามาชิงตัวท่านมหาเทพถึงที่นี่ เหตุใดจึงจะไม่กล้ามาประชันหน้ากับข้าอีก”
   
           “.......” เซียวถิงฟงมิได้กล่าวอะไรอีก เนื่องด้วยรู้ดีว่าร่างแปลงของต้าเซียนมิอาจตบตาจอมมารเฟยหลงได้นาน ซึ่งการที่เขาตัดสินใจมายังหุบเขาลับแลก่อนถึงเวลาที่อัสดงจะถูกกลืนกินนั้น ก็เป็นเพราะเขาต้องการถ่วงเวลาให้ต้าเซียนฟื้นฟูพลัง และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการทวงหนี้สัญญาระหว่างเขาและเฟยหลง
   
           ครั้งหนึ่งเขาเคยไปหาจอมมารเฟยหลง เพียงเพื่อไปรับฟังคำมั่นสัญญาว่าอีกฝ่ายจะมิมีวันทำร้ายต้าเซียน “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว หากเจ้าทำร้ายต้าเซียน ข้าจะมิมีวันปล่อยเจ้า”
   
           เฟยหลงถลึงตามองบุรุษตรงหน้าด้วยดวงตาวาวโรจน์ “ฮ่า ฮ่า ข้าน่ะหรือทำร้ายเขา เป็นข้าต่างหากที่ใช้พลังส่วนหนึ่งคงร่างท่านไว้ มิให้ท่านต้องสูญสลายไป แล้วเจ้าคิดว่าใครกันที่ทำให้ท่านต้องเผชิญกับสิ่งนี้”
   
           ใช่ สิ่งที่เฟยหลงกล่าวมานั้นมิผิดแม้แต่น้อย ต้าเซียนถึงกับเสี่ยงชีวิต ยอมฝืนกฎทั้งสามพิภพเพียงเพื่อช่วยชีวิตเขา เซียวถิงฟงกัดฟันรับเอาคำพูดเสียดแทงใจอย่างเต็มอก ไม่คิดปฏิเสธอันใด
   
           ริมฝีปากของเฟยหลงเหยียดยิ้มเยาะเมื่อเห็นสีหน้าย่ำแย่ของอีกฝ่าย “เจ้าคิดว่าความรักที่ข้ามีให้ท่านมหาเทพ เทียบได้กับความรักของเจ้าน่ะหรือ เฮอะ เจ้ามันก็แค่ชายหน้าโง่ที่หลงกลข้า”
   
           “ใช่ ข้าเทียบเจ้ามิได้ แต่ทว่าความรักของเจ้าคือการทำลายสิ่งที่ต้าเซียนรักเช่นนั้นรึ” เซียวถิงฟงกล่าวโต้ตอบ กระทั่งเริ่มเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของอีกฝ่ายจึงหยุดคำกล่าวไว้ชั่วครู่ แล้วจึงกล่าวสืบต่อไป “เจ้าไม่เข้าใจเขาแม้แต่น้อย”
   
           เปรี้ยง เฟยหลงถึงกับผุดลุกขึ้น กำหมัดกระแทกบัลลังก์สีทองจนแหลกละเอียดเป็นผุยผง ดวงตาแดงก่ำจนถึงขีดสุด รอยยิ้มหยันไม่มีหลงเหลืออยู่อีกต่อไป เขาแค่นเสียงกล่าวตวาด “อย่างเจ้าจะเข้าใจอะไร เจ้ามันก็แค่ตัวบัดซบที่ทำร้ายจิตใจเขา”
   
           “ใช่ ข้ามันตัวบัดซบที่ทำร้ายจิตใจเขา แต่อย่างน้อยข้าก็มิมีวันทำลายสิ่งที่เขาเพียรสร้างขึ้นมาด้วยความรัก แล้วเจ้าเล่ากำลังทำอะไรอยู่” เซียงถิงฟงสวนตอบในทันที
   
           เฟยหลงเองก็ตวาดก้องไปทั่วบริเวณ “ข้าไม่เสวนากับตัวบัดซบเช่นเจ้า”

           “เช่นนั้นเจ้ารอกระไรอยู่” เซียวถิงฟงกล่าวคำ สายตาบ่งบอกถึงความพรักพร้อม ร่างของจอมมารเฟยหลงหายไปจากสายตาแล้ว ทว่าไม่นานเสียงเคร้งก็ดังขึ้นที่ข้างหู ดาบใหญ่จ่อเข้าประชิดที่ลำคอ หากแต่ยังมีพัดเหล็กขวางกั้นอยู่

           ทั้งสองต่างนิ่งจ้องสายตากันอย่างฟาดฟัน ขุมพลังชนิดหนึ่งเข้ากดดันปะทะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ไม่นานพื้นที่ยืนก็บังเกิดเป็นรอยร้าว ฝ่าเท้าทั้งสี่เริ่มค่อยๆจมลึกลงสู่พื้น เศษหินอ่อนแตกร้าวลอยขึ้นหมุนเวียนรอบตัวคนทั้งสองราวกับเป็นดั่งพายุหมุน แต่กระนั้นเศษหินอ่อนเหล่านี้กลับมิได้กระทบถูกตัวพวกเขาแม้แต่ปลายก้อย

           พัดเหล็กคลี่ออกในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ก่อนวาดออกใส่เจ้าของคมดาบอย่างรวดเร็ว พลังดังกล่าวขับดันให้เฟยหลงต้องเบี่ยงใบหน้าให้พ้นวิถี ทว่ามือที่กำชับดาบไว้ก็ถูกใช้ออกเช่นกัน

           ปลายดาบยังไม่ถูกลำตัว เซียวถิงฟงก็กระแทกฝีเท้าลอยตัวถอยห่างไปทางด้านหลัง จังหวะเดียวกันนั้นเศษหินอ่อนก็ค่อยๆร่วงกราวลงสู่พื้นอย่างแรง

           “เฮอะ” เฟยหลงแค่นเสียงไม่พอใจ ปราดเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายด้วยท่าร่างเคลื่อนย้ายในพริบตา

           กว่าที่เซียวถิงฟงจะรู้สึกตัวเฟยหลงก็อ้อมมาที่ด้านหลัง ปลดปล่อยฝ่ามืออำมหิตหนึ่งเข้าใส่อย่างไม่ปราณี เขารีบวกตัวใช้พัดเหล็กต้านรับขุมพลังสีน้ำเงินอย่างจัง จากนั้นเบี่ยงตัวหลบหลีกพลังดังกล่าวไปได้อย่างฉิวเฉียด ปรากฏเป็นเสียงระเบิดดังตูมขนานใหญ่ที่ด้านหลัง ดูว่าหากต้านรับพลังขุมนี้ไม่ได้ ร่างของเขาคงต้องแยกออกเป็นส่วนๆ

           เฟยหลงมิได้คิดออมกำลังให้แม้แต่น้อย เพียงกำจัดชายผู้นี้ได้ ความขุ่นแค้นในใจเขาคงได้รับการบรรเทา “ดูสิว่าครั้งนี้เจ้าจะหลบได้อีกสักกี่กระบวนท่า”

           “ครั้งนี้ข้าจะแพ้ไม่ได้” ด้านเซียวถิงฟงก็กล่าวกับตนเองเช่นกัน

           ร่างทั้งสองทะยานเข้าหากันอีกครั้ง เสียงอาวุธกระทบกระทั่งดังสนั่น เกิดเป็นประกายไฟแลบขึ้นทุกครั้งที่อาวุธต้องกัน ไม่รู้ว่าทั้งสองใช้ออกไปแล้วสักกี่ร้อยกระบวนท่า แต่ทว่าสีหน้าของพวกเขากลับมิได้แปรเปลี่ยน ความมุ่งมั่นฉายชัดบนใบหน้าของแต่ละฝ่าย ต่างมิมีใครยอมใครแม้สักชั่วประเดี๋ยว

           จากการต่อสู้บนพื้นบ้างเปลี่ยนเป็นบนอากาศ บางคราฝ่ายหนึ่งรุกไล่ อีกฝ่ายหนึ่งตั้งรับ สลับหมุนเวียนกันไป แทบไม่มีเวลาสังเกตเห็นสิ่งรอบกาย ต่างฝ่ายต่างใช้พละกำลัง รวมถึงสติกันอย่างเต็มที่ เนื่องเพราะหากพลั้งเผลอเพียงครั้ง ชีวิตอาจต้องดับสูญลง

           กระทั่งทั้งสองต่อสู้จนเข้าสู่เขตภูเขา ตามทางต่างๆจึงมีแต่ก้อนหินทั้งเล็กใหญ่ วางตั้งเรียงรายคล้ายเป็นทางเข้าสู่ถ้ำลึก จวบจนเข้าไปลึกขึ้นสองทางซ้ายขวากลับยิ่งเล็กแคบลง ดังนั้นไม่ว่าเฟยหลงจะวาดดาบดุดันเพียงใด หรือเซียวถิงฟงจะตวัดพัดเหล็กเข้าฟาดฟันสักแค่ไหน บุรุษทั้งสองต่างก็มิอาจหลบหลีกต่อกันได้พ้นอีก

           บังเกิดเป็นหยาดโลหิตสาดกระเซ็นออกจากกายของทั้งสองเป็นระยะๆ เลือดเริ่มหลั่งลงนองบนพื้น แต่ไม่นานก็ซึมลึกลงสู่พื้นดิน มาตรเป็นเช่นนั้นทั้งสองก็ไม่คิดจะหยุดมือ

           เห็นเฟยหลงถลันเข้ามา เซียวถิงฟงก็อาศัยจังหวะส่งปลายเท้าถีบเข้าที่ก้อนหินใหญ่ ร่างกระโดดขึ้นสูง ก่อนจะใช้พัดเหล็กสะบัดส่งพลังขุมหนึ่งเข้าหาผู้เป็นจอมมาร ทว่าเฟยหลงกลับตั้งรับอยู่แล้ว อีกทั้งยังวาดดาบปลดปล่อยพลังเข้าหา
   
           ร่างของเซียวถิงฟงยังมิทันลงพื้นดีก็ต้องต้านรับพลังจากดาบ แต่พื้นที่หลบหลีกกลับมินำพา ที่ไหล่ซ้ายจึงต้องคมดาบเข้าทันที เขากัดฟันทนรับความเจ็บปวด เฟยหลงไม่รอช้าถอนดาบเล่มใหญ่ออกโดยแรง สีหน้าทอแววสะใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายได้รับแผลฉกรรจ์ แต่กระนั้นเขาก็มิอาจหลบพ้นเช่นกัน เนื่องเพราะพัดเหล็กของเซียวถิงฟงได้ตวัดเข้าฟาดฟันใส่ตนแล้ว

           จวบจนเวลาผ่านไปชั่วครู่ชายทั้งสองก็ผละตัวออกห่างจากกันไปไกล เสียงหอบหายใจกระชั้นของทั้งสองดังขึ้นเล็กน้อย
เซียวถิงฟงกึ่งนั่งกึ่งยืนสำรวจมองตนเอง แผลที่ไหล่ซ้ายบาดลึกถึงกระดูก เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาไม่หยุด จนต้องใช้นิ้วสกัดจุดตนเองเป็นการห้ามเลือดชั่วคราว จากนั้นฉีกปลายเสื้อออกก่อนพันมันไว้ลวกๆบนบาดแผล ระหว่างนั้นก็จับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา

           ด้านเฟยหลงก็มิได้ต่างกันสักเท่าไหร่ แม้เซียวถิงฟงจะใช้เพียงอาวุธชิ้นเล็ก กระนั้นฤทธิ์เดชของมันก็มิได้เป็นอย่างที่เห็น พัดเหล็กกลับแปรเปลี่ยนสายลมให้บังเกิดเป็นคมมีด เมื่อวาดออกกลับแหลมคมคล้ายกระบี่เล่มหนึ่ง ร่างของเขาบังเกิดรอยกระบี่อยู่หลายรอย แม้แผลไม่ลึกถึงกระดูก แต่ก็สร้างความเจ็บแสบขึ้นเรื่อยๆ เลือดซึมออกมาไม่หยุด ดูแล้วมิได้ย่ำแย่ไปกว่ากันเท่าใดนัก

           ทั้งสองนิ่งพักอย่างเงียบงัน แต่แล้วรอยยิ้มเหี้ยมก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าเฟยหลง เซียวถิงฟงรู้สึกผิดแปลกใจทั้งยังสังหรณ์ใจได้ถึงบางสิ่ง ฉับพลันนั้นอีกฝ่ายก็เคลื่อนถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว เขาลุกขึ้นไล่ตามไปในทันที แต่ทว่าร่างในชุดเกราะสีทองกลับอันตรธานหายไปจนหมดสิ้น

           จังหวะเดียวกันนั้นก็บังเกิดเสียงครืนดังขึ้นเหนือศีรษะ ก้อนหินใหญ่หลายก้อนเริ่มถล่มลงมา สัญชาตญาณผลักดันให้เซียวถิงฟงต้องหลบหลีกมิอาจตามพัวพันร่างตรงหน้าได้อีก สองเท้าได้แต่นำพาร่างตัวเองให้ถอยห่าง กระทั่งเบื้องหน้าสงบลง ก็ต้องพบว่าผิดท่า ตอนนี้เขาเข้ามาในค่ายกลชนิดหนึ่งเรียบร้อยแล้ว

           สองตาแลมองซ้ายขวา สมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ดูว่าสถานที่แห่งนี้ได้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก มีเพียงแค่พื้นที่แคบว่างเปล่าที่มีแต่หินใหญ่ล้อมรอบ บรรยากาศเต็มเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย เขาจับสังเกตอย่างระแวดระวัง ก่อนจะสะดุดเห็นเงาสีดำที่ดูรางเลือนกลุ่มหนึ่ง

           เงาสีดำนั้นมีรูปร่างขนาดใหญ่ทั้งยังสวมใส่เสื้อเกราะโบราณ สิ่งที่พ้นจากคอเสื้อเป็นเพียงแค่กะโหลกมนุษย์ที่บิดเบี้ยว เบ้าตาโหลลึกว่างเปล่าปราศจากดวงตา พวกมันกำลังก้าวเข้ามาตรงหน้า ก่อนจะลงดาบในมือเข้าใส่เขาอย่างไม่เกรงกลัว

           เซียวถิงฟงต้านรับดาบใหญ่เอาไว้แล้วพลิกแพลงกระบวนท่า หมุนตัวหลบหลีก ส่วนมือก็ไม่ลืมตวัดพัดเหล็กตัดเอากะโหลกศีรษะที่บิดเบี้ยวนั้นลง แต่แล้วดวงตาก็ต้องเบิกกว้าง แม้เงาร่างสีดำนั้นสลายหายไปราวกับกลุ่มควัน หากแต่ก็ประกอบเป็นรูปร่างขึ้นใหม่ในชั่วพริบตา

           สมองประเมินมองกลุ่มเงาดำพวกนี้อย่างละเอียด มาตรว่าหากไม่สามารถหาทางออกไปจากค่ายกลนี้ได้โดยเร็ว ก็เป็นเขาที่จะหมดแรงจบสิ้นลงเสียก่อน กระนั้นเซียวถิงฟงก็หาได้แตกตื่นร้อนลนใจไม่ ทั้งยังคงคุมสติไว้ได้ดี สองเท้าออกเดินเข้าไปหาพวกมันอย่างช้าๆ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นวิ่ง รอจนจังหวะหนึ่งก็กระโดดตัวขึ้นถาโถมเข้าใส่เงาดำเหล่านี้อย่างดุดัน

           ผิดกลับสถานที่หนึ่ง ซึ่งเหนือขึ้นไปจากค่ายกลแห่งนี้ กลับมีเสียงหัวเราะของเฟยหลงดังก้องไปทั่วบริเวณ “หึ หึ จงรอความตายที่นี่เสียเถิด” กล่าวจบก็ทอดสายตามองบุรุษที่อยู่ตกอยู่ภายใต้ค่ายกลด้วยสีหน้าพึงพอใจ “ท่านมหาเทพ ข้ารอท่านมาชมดูเรื่องสนุกอยู่”


******************************************************

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 29.2 เพียงเข้าใจ



           ตะวันเริ่มถูกบดบัง ความมืดคืบคลานเกาะกินแสงสว่าง คาดว่าอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามทั่วทุกพิภพจะต้องตกอยู่ภายใต้ความมืดมิด บัดนี้นางฟ้าชิงเซียงนั่งอยู่บนเรือท่ามกลางสระบัวเพียงลำพัง แต่แล้วใบหน้าหวานก็ฉายแววเคร่งเครียด ซ้ำยังผุดลุกขึ้นยืนในทันที

           มิคาดคิดว่าสมุนของจอมมารจะตามมาถึงที่นี่ ดวงตาสีอำพันจับจ้องควันดำกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเคลื่อนที่เข้าใกล้เรือลำเล็กอย่างรวดเร็ว แลไม่นานก็ปรากฏเป็นปีศาจสามตนที่ยืนบริเวณหัวเรือด้วยท่าทีดุร้าย

           “ท่านมหาเทพอยู่ที่ใด” ปีศาจที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดกล่าวถามขึ้นอย่างคุกคาม

           นางฟ้าชิงเซียงเพียงใช้หางตาชำเลืองมองปีศาจทั้งหมดอย่างเงียบงัน นางในตอนนี้ได้รับหน้าที่คุ้มกันท่านมหาเทพในขณะฟื้นฟูพลัง ย่อมมิให้ใครขัดขวางโดยง่าย “ข้าจำเป็นต้องบอกพวกเจ้า” นางใช้น้ำเสียงสูงขึ้นถาม แม้นางจะเป็นเพียงแค่นางฟ้า หาใช่เหล่าทหารเทพแกล้วกล้า แต่ก็ใช่ว่าจะดูแคลนนางได้ง่ายๆ

           “ปากดีนัก ในเมื่อเจ้าไม่ตอบก็อย่าหาว่าพวกข้าไม่ปราณี” ปีศาจที่เป็นหัวหน้ากล่าวขึ้นเสียง พร้อมทั้งกระดิกนิ้วส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่ยืนยิ้มกริ่มอย่างย่ามใจ

           ทว่าพวกมันก้าวไปข้างหน้าได้เพียงไม่กี่ก้าว เสียงระเบิดดังตูมหนึ่งก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง พวกมันต่างผงะตกใจ แม้แต่ฝีเท้าก็หยุดชะงักลง ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นเพียงน้ำในสระที่สาดกระเซ็นไปทั่ว รอจนสงบลงจึงได้แลเห็นเงาร่างสีขาวที่ยืนขวางกั้นนางฟ้าตนนั้นเอาไว้อย่างรางเลือน

           “หนอย พวกเจ้าคิดเล่นตลกกระไร” ปีศาจตนหนึ่งแผดเสียงใส่

           “ก็หาข้ามิใช่รึ” ต้าเซียนเพียงโต้ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

           ครั้นเหล่าปีศาจเห็นบุคคลตรงหน้าได้ชัดเต็มตา พวกมันก็ถึงกับตะลึงลาน ทั้งยังประหวั่นพรั่นใจไปกับท่าทีเยือกเย็นของอีกฝ่าย ประกายสีทองที่ทอประกายอยู่รอบตัวนั้น สว่างไสวเสียจนพวกมันมิกล้ามองตรงๆ อีกทั้งขุมพลังที่มองไม่เห็นนั้นก็แทบกดดันให้พวกมันรู้สึกถึงความกลัว แลกว่าที่จะรู้สึกตัว เข่าของพวกมันก็ทรุดลงให้กับบุคคลเบื้องหน้านี้เสียแล้ว
 
           “จะ จอมมารเฟยหลงเรียนเชิญท่านมหาเทพไปยังหุบเขาลับแล” ในที่สุดปีศาจที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก็ขยับริมฝีปากกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเป็นที่สำเร็จ

           “ข้าต้องไปแน่” น้ำเสียงนุ่มทุ้มแต่ทรงพลังถูกเอื้อนเอ่ยออกมา นางฟ้าเซียงได้ฟังแล้วก็รีบร้องห้าม แต่ยังมิทันได้กล่าวร่างสีขาวก็ยกมือขึ้นทัดทานเสียก่อน

           “มิต้องเป็นห่วง พลังข้าในตอนนี้พอทัดเทียมกับเฟยหลง เจ้าเองก็ไปช่วยท่านผู้อาวุโสเทพทั้งสามอีกแรงเถิด” ต้าเซียนกล่าวแล้วส่งยิ้มให้นาง ตอนนี้พลังเขาฟื้นฟูได้ถึงแปดในสิบส่วน น่าแปลกที่ว่าตะวันยิ่งถูกกลืนกินมากเท่าใด ธาตุหยินหยางกลับพานมีมากกว่าปกติ เป็นเหตุให้เขาฟื้นฟูพลังได้เร็วกว่าที่ควร

           รอจนนางฟ้าชิงเซียงยอบกายให้ ต้าเซียนก็พลันหลับตาลง ร่างของเขาค่อยๆอันตรธานหายไปจากเรือลำเล็ก แลเมื่อเปลือกตาบางเปิดอีกครั้ง สภาพแวดล้อมตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สองเท้าที่เคยยืนบนเรือเล็กท่ามกลางสระบัวงดงาม ครานี้กลับยืนอยู่บนเนินหินใหญ่ ครั้นมองไปรอบๆก็พบหินที่แตกละเอียด บ้างไม่สมส่วนคล้ายกับถูกพลังปะทะเข้าอย่างรุนแรงจนเกิดการทลายลง

           “ท่านมาแล้ว” สุ้มเสียงทรงพลังดังขึ้นที่ด้านหลัง ต้าเซียนชะงักกายเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆหันกายไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

           เฟยหลงในชุดแม่ทัพเกราะทองกำลังนั่งอยู่บนเนินหินอีกด้านหนึ่งด้วยท่าทีสบายๆ แต่ทว่าสิ่งที่สะดุดสายตามากที่สุดกลับเป็นโลหิตที่เปราะเปื้อนบนใบหน้าเจ้าตัวส่วนหนึ่ง รวมถึงบาดแผลที่ประปรายตามลำตัว

           “ถิงฟงมาที่นี่” ต้าเซียนขมวดคิ้วกล่าวถามด้วยสีหน้าเย็นชา โลหิตบนใบหน้าดูมิใช่ของเฟยหลง อีกทั้งบาดแผลตามร่างก็ดูเป็นเอกลักษณ์
 
           “โลหิตที่ท่านเห็นย่อมมิใช่ของข้า” น้ำเสียงเฟยหลงพลันหยุดลงเท่านี้ จากนั้นจึงสำรวจมองร่างเล็กในชุดสีขาวครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มจะหยักขึ้น “ดูท่าพลังของท่านยังไม่ฟื้นเต็มที่นัก”

           “แต่ก็มีมากพอจะต่อกรกับเจ้า จอมมารเฟยหลง” ต้าเซียนโต้กลับ คำกล่าวของเฟยหลงก่อนหน้านี้ แม้จะดูไม่เหมือนมิใช่คำตอบ หากแต่เขาได้รับคำตอบแล้ว เซียวถิงฟงมาที่นี่จริงๆ กระนั้นชายหนุ่มกลับมิได้อยู่ที่นี่ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องคนตรงหน้าอย่างละเอียด เขายอมรับว่าตอนนี้ มิอาจคาดเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายคิดจะกระทำอะไรขึ้นอีก

           “ท่านจะไม่ลองคิดทบทวนอีกสักนิดรึ” เฟยหลงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นคนตรงหน้าครุ่นคิดจนเงียบไป

           “ทบทวนกระไร” ต้าเซียนกล่าวถามขึ้นอย่างงุนงง ก่อนจะแลเห็นสีหน้าที่ฉายแววจริงจังของอีกฝ่าย

           “เลือกข้า”

           “.....” เขาเงียบไปพักหนึ่งแล้วต้องทอดถอนใจเบาๆ กล่าว “หากเลือกเจ้าแล้ว เจ้าจะยอมถอนทัพปีศาจ ล้มเลิกความคิดจะทำลายสมดุลโลก ทั้งสร้างพิภพขึ้นใหม่เช่นนั้นรึ”

           “หึ มาถึงตอนนี้แล้ว ข้าจะไม่มีวันแบ่งปันท่านให้ใคร ความรักของท่านต้องเป็นของข้าผู้เดียว จะไม่มีใครหน้าไหนมันบังอาจช่วงชิงความรักจากท่านไปได้อีก” เฟยหลงสวนตอบแทบในทันที

           ใช่แล้ว...เขาชิงชังทุกคนที่ได้รับความรักจากท่านมหาเทพ แม้จะเป็นความรัก ความห่วงใยแม้เพียงน้อยนิด เขาก็รู้สึกชิงชัง ดังนั้นเขาต้องกำจัดความเป็นไปได้ทุกทาง มิให้มีสิ่งใดๆส่งอิทธิพลต่อท่านมหาเทพอีก

           “เช่นนั้นข้าขอปฏิเสธ”

           “ฮึ ฮึ เช่นนั้นท่านทนดูคนผู้นี้ตายอีกครั้งได้รึ” ร่างแกร่งดวงตาวาวโรจน์ พร้อมทั้งชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง

           ที่เบื้องล่างปรากฏเป็นภาพบุรุษผู้หนึ่ง หยาดเหงื่อแลโลหิตต่างหลั่งชโลมไปทั่วร่าง มือหนึ่งปัดป่ายพัดเหล็กเข้าใส่ฝูงปีศาจเงาอย่างไม่หยุดหย่อน เค้าความเหนื่อยล้าฉายได้ชัดจากท่วงท่าที่ใช้ออก แต่ก็มิใช่ว่าสองเท้าจะล้มลงโดยง่าย ต้าเซียนรู้สึกได้

           นัยน์ตาเฉกเช่นพญาอินทรีจับจ้องมองสีหน้าของร่างเล็กอย่างมิวางตา ในใจภาวนาขอให้อีกฝ่ายมิกล่าวปฏิเสธอีก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ท่านมหาเทพย่อมต้องตกอยู่ในกำมือเขา ยินยอมกระทำตามเขาทุกเรื่อง แม้ในใจจะต้องเจ็บปวดอีกครั้งที่ท่านเลือกสละตน ช่วยเหลือคนผู้นี้อีกครั้ง แต่ครานี้เขาจะไม่มีวันพลาดอีก

           “ข้า...ยังคงยืนกรานปฏิเสธ” ต้าเซียนเพียงมองร่างแกร่งด้วยท่าทีนิ่งเรียบก่อนกล่าวตอบอย่างหนักแน่น ยังผลให้เฟยหลงถึงกับเบิกตากว้าง เค้นเสียงแข็งกล่าววาจาประชดประชัน

           “เหตุใด เพราะเหตุใด ท่านมิใช่รักเขาจนถึงขนาดยินยอมยกหัวใจของข้าให้เขาอย่างนั้นหรือ” ในใจหวังให้ท่านมหาเทพเจ็บปวดเพราะตนสักนิด

           “ข้าเชื่อใจเขา” เขากล่าวตอบสั้นๆ ทว่าชั่วครู่หนึ่งก็กล่าวขึ้นอีก “เจ้า...เป็นฝ่ายทำลายหัวใจเซียวถิงฟง ฉะนั้นข้ายกหัวใจเจ้าให้เขา เช่นนั้นถือเป็นการใช้คืนเจ้าของ หากมิใช่เป็นเพราะเจ้าทำลายหัวใจเขา มีหรือข้าจะยกหัวใจเจ้าให้เขาไป เฟยหลง เจ้าดำรงอยู่พิภพสวรรค์มาเป็นเวลามิใช่น้อย ย่อมต้องรู้จักคำนี้ดี กรรมสนองกรรม”

           แต่แล้วคำกล่าวนี้กลับทำให้เฟยหลงต้องเบิกตาค้าง ร่างแข็งทื่อไป เสมือนใจถูกมีดกรีด เขารู้จักคำกล่าวนี้ดี...กรรมสนองกรรม คิดทำลายผู้อื่นสุดท้ายกลับย้อนสนองคืนตนเอง ดังนั้นหัวใจของเขาจึงอยู่ในร่างของบุคคลที่เขารังเกียจยิ่ง

           ...เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนี้ ข้าทำผิดตรงไหน ใจของท่านจึงมิเคยมีข้า ยิ่งคิดก็ยิ่งขุ่นแค้น จิตใจคล้ายวนเวียนอยู่ในสถานที่อันมืดมิด หยั่งไม่ถึงความตื้นลึกหนาบาง ทั้งเคว้งคว้างว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด สุดท้ายจึงบังเกิดเป็นความบ้าคลั่งชนิดหนึ่ง เขาแค่นเสียงกล่าวด้วยรอยยิ้มอำมหิต

           “เฮอะ ถ้าเช่นนั้นท่านก็จงดูเสียให้เต็มตา ชายที่ท่านรักมันก็แค่ตัวบัดซบที่ไม่เคยไยดีท่าน มิเคยเห็นท่านสำคัญ”


******************************************************


           ด้านเซียวถิงฟงก็ยังคงต่อสู้ทำลายปีศาจเงา ไม่มีเวลาแม้แต่จะพักหายใจ ในสมองครุ่นคิดหาวิธีทำลายค่ายกล จนเลือดอาบกายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่ง จึงบังเกิดความรู้สึกแปลกใจ ท่ามกลางปีศาจเงานับร้อย กลับมีปีศาจเงาตนนี้ที่มีจุดเลือดสีแดงเล็กๆประดับอยู่บนที่หน้าผาก หากมองเพียงผิวเผิน กลับจะละเลยลืมเลือนมันไปได้ง่าย แต่ครานี้เซียวถิงฟงมิอาจมองข้ามจุดใดๆไปได้ เนื่องเพราะความเป็นไปได้มีอยู่เสมอ

           ร่างถลันเข้าใส่ปีศาจเงาตนนี้ทันที แลผลที่ได้รับก็เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง เนื่องเพราะปีศาจเงาตนอื่นๆ ต่างมีท่าทีคล้ายปกป้องปีศาจเงาตนนี้ พร้อมทั้งพยายามสร้างความสับสนให้แก่เขา ว่าแล้วเซียวถิงฟงก็ขยี้ปลายเท้าบุกตะลุยเข้าใส่ฝูงปีศาจเงาตรงหน้ารวดเดียว

           กระทั่งสามารถเข้าถึงตัวเป้าหมาย ก็ตวัดพัดเหล็กเข้าใส่ในพริบตา ทว่าก่อนจะจู่โจมถึงตัวอีกฝ่าย มือก็กลับชะงักงันหยุดลง สองตาเบิกกว้างค้างไว้ราวกับได้พบเห็นสิ่งที่ไม่คาดคิด

           “พี่ถิงฟง ช่วยข้าด้วย ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน” เสียงร้องร่ำไห้ดังขึ้น

           ซึ่งน้ำเสียงนั้นเป็นที่จดจำได้อย่างดี...น้ำเสียงขององค์หญิงหย่าเหลียน เซียวถิงฟงจ้องมองหญิงสาวที่มีใบหน้าเน่าเปื่อยไปครึ่งซีกอย่างเจ็บปวด นางเดินเข้ามาตรงหน้าเขาก่อนจะโถมเข้ากอดอย่างแรง

           “ได้โปรดอยู่กับข้า ข้ามิอาจทนอยู่ที่นี่เพียงลำพัง พี่ถิงฟง” เสียงร่ำร้องนั้นฟังดูน่าเวทนา เป็นที่ร้าวรานใจแก่ผู้ที่รับฟัง

           เซียวถิงฟงกอดร่างนั้นไว้แน่น ทั้งข่มหลับตาลง แม้ในใจจะสงสารมากแค่ใด แต่เขาก็ยังต้องกล่าวออกไป “หย่าเหลียน ครานี้ข้ามีคนที่จำต้องปกป้องอย่างสุดกำลัง แม้ต้องแลกด้วยชีวิตข้า ฉะนั้นข้ามิอาจเลือกเจ้าได้” กล่าวจบพัดเหล็กก็กลายเป็นคมมีดเล่มหนึ่ง ปักทะลุตรงหัวใจของนาง

           เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจนแสบแก้วหู ร่างที่เคยเป็นสตรีนางหนึ่งกลับกลายเป็นเงาร่างของปีศาจเงาที่ถือคมดาบจ่อที่ด้านหลังเขาไว้ แต่กระนั้นคมดาบกลับต้องสลายหายไป ก่อนที่มันจะได้จ้วงแทงเข้าใส่ ร่างของมันพลันเปลี่ยนเป็นผุยผง ปีศาจเงาตนอื่นก็เช่นกัน พวกมันเริ่มสลายไปก่อนจะถูกสายลมพัดผ่านไปจนหมดสิ้น

           “นี่คือสิ่งที่เจ้าอยากให้ข้าดู” ต้าเซียนกล่าวถามบุคคลที่ยืนมองดูเรื่องราวด้วยสีหน้าที่บัดเขียวบัดดำ

           สุ้มเสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นที่เหนือศีรษะ เซียวถิงฟงถึงกับตื่นตกใจจนแทบเสียสติ เพลานี้ต้าเซียนควรที่จะยังคงฟื้นพลังที่สระบัวต้นกำเนิด เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้ สองเท้าไวกว่าความคิด ทั้งยังนำพาร่างเขากระโดดไปตามก้อนหินใหญ่ กระทั่งหลุดพ้นจากหุบเขาแคบๆ เงาร่างสีขาวสะท้อนสู่สายตา “ต้าเซียน ต้าเซียนเจ้าเป็นอะไรรึไม่ บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า”

           “ถิงฟง” เซียวถิงฟงวิ่งเข้าหาเขาอย่างเสียสติ ลืมแม้กระทั่งบาดแผลฉกรรจ์บนหัวไหล่ ความรู้สึกเป็นห่วงถ่ายทอดออกมาจากสีหน้าและท่าทางของชายหนุ่มอย่างเต็มตา

           มือใหญ่เอื้อมเข้าหา ก่อนรั้งร่างน้อยเข้ากอดอย่างสุดแรง คล้ายกับไม่ต้องการให้ร่างน้อยนี้ต้องหายไปอีกครั้ง ต้าเซียนถึงกับอมยิ้ม “ถิงฟง ข้ามิได้เป็นอะไร” กล่าวจบสองมือก็กอดตอบร่างสูง ทั้งยังปลอบประโลมอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

           บังเกิดเป็นรสขมขึ้นในอก เฟยหลงมิได้คาดคิดแม้แต่น้อยว่า เซียวถิงฟงจะสามารถออกมาจากค่ายกลได้ ซ้ำการที่ต้องมาเห็นภาพบาดตาเช่นนี้ก็แทบทำให้ใจของเขาระเบิดออกมา ดวงตาดั่งพญาอินทรีแดงก่ำจนคล้ายกับโลหิต มือหนึ่งยกขึ้นไปทางคนทั้งสองก่อนปลดปล่อยพลังรุนแรงไปขุมหนึ่ง

           หลังจากได้รับการปลอบประโลม เซียวถิงฟงก็ค่อยๆคืนสติ ความอึดอัดในใจนั้นเริ่มจางลง แต่แล้วตนกลับรู้สึกได้ถึงพลังที่ตรงเข้าประชิด จังหวะนั้นเองสายตาฉับไวพลันเห็นร่างน้อยพลิกตัวมายังด้านหน้า คล้ายกับต้องการแบกรับพลังนี้ไว้เพียงผู้เดียว แต่เขามิยอมให้เป็นเช่นนั้น

           ร่างอาบเลือดรีบพลิกกายขวางกั้นร่างน้อยเอาไว้ จากนั้นทำตัวเฉกเช่นกำแพงเหล็ก ด้านต้าเซียนได้แต่เบิกตาโตจ้องมองเจ้าของอ้อมอกตาไม่กะพริบ ก่อนจะแลเห็นรอยยิ้มของเจ้าตัวในขณะที่พลังถาโถมเข้าใส่

           ร่างของทั้งสองกระเด็นไปไกล แต่ทว่าภายใต้ร่างสูงกลับมิได้มีแม้แต่รอยขีดข่วน มีเพียงรอยเลือดสีแดงจากร่างทางด้านบนที่หยดลงสู่อาภรณ์สีขาว เมื่อมองไปไม่ไกลก็เห็นพัดเหล็กอาวุธคู่กายของชายหนุ่ม รวมถึงย่ามใบหนึ่งกระเด็นออกจากสาบเสื้อไปไม่ไกล

           “ต้าเซียน เจ้าเป็นอะไรไหม” เสียงแหบเครือของเซียวถิงฟงเอ่ยถาม ก่อนจะต้องกระอักเอาเลือดคั่งออกมา ต้าเซียนพลันรู้สึกเจ็บปวดในอก มือเรียวเอื้อมสัมผัสใบหน้าคมคายอย่างห่วงใย

           “เพราะอะไร ท่านถึงไม่มอบใจให้ข้าเช่นเขา ข้าทำผิดตรงไหนกัน” จังหวะนั้นเสียงทรงพลังก็ดังก้องขึ้น เฟยหลงไม่ยอมให้ทั้งคู่มีเวลาต่อกันแม้เพียงสักนิด เขาใช้ท่าร่างในพริบตาก่อนจะส่งมือหมายบีบคอบุรุษที่เขาชิงชัง หวังให้ตายในมือนี้ซะ ทว่ามือเรียวกลับคว้าข้อมือเขาไว้ ก่อนซัดฝ่ามือหนึ่งเข้าหา ยังผลให้เขาจำต้องถอยร่นออกมา

           “เจ้าอยากรู้คำตอบ” น้ำเสียงอันดังกล่าวขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลทองสายจ้องมองเฟยหลงเขม็ง

           “ใช่ ข้าอยากรู้ ข้าสู้มนุษย์ผู้นี้ไม่ได้ตรงไหนกัน”

           ต้าเซียนเดินเข้าไปแล้วหยุดตรงเบื้องหน้าเฟยหลง กล่าวน้ำเสียงจริงจัง “เฟยหลง จำได้รึไม่ นับตั้งแต่พันปีก่อนเจ้าได้กระทำผิดพลาดสิ่งใดไว้ ตอนนั้นเจ้าไม่เคยคิดว่าข้าเองก็มีความรู้สึกดั่งเช่นมนุษย์ มีความรู้สึกโดดเดี่ยว มีความหวาดกลัว มีความเหนื่อยล้าในใจ” เขาเงียบไปเล็กน้อยก่อนกล่าวสืบต่อ

           “ทว่าในตอนที่ข้ารู้สึกเช่นนั้น เจ้ากลับเป็นฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับข้า และสิ่งที่เจ้าทำให้ข้าผิดหวังมากที่สุดก็คือ เจ้าทำร้ายพี่น้องที่สู้รบเคียงข้างเจ้าได้อย่างเลือดเย็น มาถึงตอนนี้ครั้นที่ข้าลงมายังพิภพมนุษย์ เจ้าถือว่ายังมีโอกาส แต่เจ้าก็ยังคงเลือกที่จะทำเช่นเดิม ทั้งยังตั้งใจจะทำลายสิ่งที่ข้าหวงแหนสร้างมันขึ้นมากับมือ” ต้าเซียนกล่าวจบก็หยุดน้ำเสียงลงก่อนกล่าวอีกประโยคด้วยสุ้มเสียงอันเบา สีหน้าเจ็บปวด

           “เฟยหลง เจ้าไม่เคยเข้าใจข้าเลยแม้แต่น้อย”

           คล้ายราวกับอัสนีบาตรผ่าลงยังจิตใจของเขา ประโยคหนึ่งผุดขึ้นในใจ...ผิดพลาดเพียงก้าวเดียว เสียใจไปชั่วชีวิต...ดวงตาดุจพญาอินทรีเริ่มสั่นระริก สองเท้าเริ่มซวนเซถอยหลังไปสองสามก้าว ริมฝีปากเอ่ยพึมพำไม่หยุด “ไม่จริง ไม่จริง ข้าไม่เชื่อ”

           “เฟยหลง พอเถอะ หยุดทุกอย่างลงเพียงแค่นี้” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงอ่อน มองคนที่คล้ายดั่งคนขาดสติ “ทุกคนเคยทำผิด ม้าทุกตัวเคยหกล้ม ตอนนี้มันยังไม่สายไป กลับมาเถอะ เฟยหลง” เขาภาวนาในใจ ขอให้เฟยหลงยุติทุกอย่างลง ก่อนที่เรื่องจะเลวร้ายลงไปกว่านี้

           “หยุดเช่นนั้นรึ” น้ำเสียงของเฟยหลงเบาลง แต่ทว่าจิตใจที่มีแต่ความมืดมิดกลับมิยอมให้เป็นเช่นนั้น...หยุด แล้วชีวิตเขาจะเป็นเช่นไร เขายังสามารถหวนกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิมได้อีกหรือ เขายังจะสู้หน้าใครได้อีก

           คล้ายว่าสายตาแข็งกร้าวคู่นั้นอ่อนลง ต้าเซียนรู้สึกเบาใจขึ้นแต่แล้วก็ต้องผงะ เมื่อจู่ๆสายตาดังกล่าวกลับเปลี่ยนเป็นแดงฉาน จิตมารในใจเฟยหลงเผยออกมาอย่างเต็มที่แล้ว

           “ข้าจะทำลายมันทุกสิ่ง ทำลายทุกพิภพให้มันว่างเปล่า ไม่ให้เหลือแม้ทุกสิ่ง ฮะ ฮะ” เฟยหลงทั้งหัวเราะทั้งคำรามก้อง คลื่นพลังที่มองไม่เห็นผลักดันให้ต้าเซียนมิอาจเข้าใกล้ตนได้อีกต่อไป พลังสีน้ำเงินแผ่กระจายล้อมรอบกาย สองมือรวบรวมพลังที่มีมาทั้งหมด

           เห็นท่าทางเพียงแค่นี้ต้าเซียนก็ต้องตกใจ “อย่าเฟยหลง~” ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี เฟยหลงก็ปลดปล่อยพลังขุมใหญ่ไปยังฟากฟ้า อันนับเป็นช่วงเวลาที่อัสดงถูกกลืนกินด้วยความมืดมิดพอดิบพอดี

           พลังสีน้ำเงินพุ่งปรี่ขึ้นฟ้าไม่นานนักก็แตกกระจายขยายออกดั่งระลอกคลื่น บังเกิดเป็นแสงสว่างหนึ่งแลบขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่ทั่วทุกพิภพจะตกอยู่ภายใต้ความมืดอย่างแท้จริง

           เสียงเงียบสนิทแผ่ไปทั่วทุกบรรยากาศ ไม่นานนักเกิดเป็นเสียงสั่นคลอนของผืนพสุธา ทั้งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เหนือฟากฟ้าเริ่มเกิดปรากฏการณ์น่ากลัว คล้ายมีหลุมดำขนาดใหญ่แผ่ขยายออก ลมพายุเริ่มโหมพัดกระหน่ำ ทั่วทุกหนแห่งกลายเป็นความอลหม่านในชั่วพริบตา

           ต้าเซียนมองเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างเงียบงัน หยาดเหงื่อไหลกลิ้งที่หน้าผาก สิ่งที่ตนหวาดกลัวบังเกิดขึ้นแล้ว สงครามครั้งก่อนเขายังมีปัญญาปิดกั้นหลุมดำที่เกิดจากสมดุลถูกทำลาย หากแต่ครั้งนี้เขาไม่มั่นใจนัก

           ทว่าจู่ๆมือใหญ่อบอุ่นข้างหนึ่งได้สวมจับกระชับมือที่กำแน่นไว้ ต้าเซียนสะดุ้งตัวคราหนึ่งก็พบว่าเซียวถิงฟงยืนอยู่ข้างกาย ทั้งยังส่งยิ้มให้คล้ายไม่เห็นเรื่องร้ายแรงตรงหน้า “เจ้ากลัวรึไม่” เขากล่าวถามอย่างสงสัย มองไม่เห็นความตื่นตกใจใดๆจากเจ้าตัว

           “เหตุใดต้องกลัว ขอแค่มีเจ้า ไยข้าต้องกลัว” เซียวถิงฟงกล่าวแล้วหัวเราะน้อยๆ ดูไม่เข้ากับสถานการณ์ตรงหน้าสักนิด แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ต้าเซียนยกยิ้มอุ่นใจขึ้น

           “งั้นเราไปกันเถอะ” เขากล่าวขึ้น เซียวถิงฟงเองก็ตอบรับในทันที ทั้งสองกระชับมือที่จับไว้จนแนบแน่น ก่อนที่เงาร่างจะค่อยๆจางหายไป


******************************************************


           ร่างสีขาวที่ตนใฝ่ฝันหาได้จากไปแล้ว เฟยหลงที่ใช้พลังในกายจนเกือบหมดสิ้น ได้แต่นั่งชมดูสิ่งที่บังเกิดขึ้นเหนือท้องฟ้าดั่งคนไร้วิญญาณ จิตใจเหนื่อยล้าราวกับไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีก เว้นแต่เพียงความเจ็บปวดในใจ เขานั่งเงียบงันอยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง พลางคิดถึงอดีตที่ผ่านมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์ ล้วนมิอาจลืมมันไปได้

           “ไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์อันใด” เฟยหลงพึมพำ ไม่ว่าจะต้องการท่านมหาเทพมากเพียงใด ตนก็มิอาจครอบครองได้ ในใจผุดนึกถึงภาพของท่านมหาเทพกับเซียวถิงฟงก่อนจากไป สองมือที่เกาะเกี่ยวกันแน่น สีหน้าที่ไม่มีแม้แต่ความกังวลใจ อีกทั้งวาจาที่ทั้งสองต่างกล่าวต่อกัน ก็ทำให้เขาเข้าใจแล้ว

           เป็นเพราะเขามองข้ามสิ่งหนึ่งไป มองข้ามความต้องการของท่านมหาเทพ มองข้ามความเข้าใจในตัวอีกฝ่าย

           “ข้าพลาดไปแล้วจริงๆ” สองมือของเขาเริ่มกำแน่น ความอึดอัดในใจยังคงถาโถมออกมาให้ลิ้มรส ไม่มีสิ่งใดบรรเทามันได้แม้แต่น้อย เฟยหลงได้แต่ก้มหน้าฝืนทนความเจ็บปวดในใจ แต่แล้วถุงย่ามแปลกตาใบหนึ่งกลับขยับยุกยิกเคลื่อนที่เข้าใกล้ที่ฝ่าเท้าอย่างยากลำบาก

           เขาเหลือบมองมันอยู่นาน จนในที่สุดมือหนึ่งก็รับมันขึ้นมา ก่อนจะสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตด้านใน ในใจคิด...แม้แต่สิ่งมีชีวิตตัวจ้อยก็คงรับรู้สึกได้ถึงอันตราย พยายามกระเสือกกระสนหาทางหนีสินะ

           เสมือนรู้สึกสะท้อนใจเฟยหลงตัดสินใจแกะถุงย่ามออกมา ร่างกระจ้อยร่อยสีเทาโผบินออกจากย่ามแทบในทันทีที่เป็นอิสระ สองตาดั่งพญาอินทรีเบิกกว้างตกใจ เมื่อนึกไม่ถึงว่าจะเป็นมัน

           ครั้นเมื่อเฉิงอี้ออกจากถุงย่ามได้สำเร็จ ก็แปลงกลับกายไปรูปลักษณ์เฉกเช่นมนุษย์ ก่อนทอดมองจอมมารตรงหน้าอย่างเศร้าสร้อย เฟยหลงเองก็จับจ้องมองเฉิงอี้อย่างเงียบงัน ก่อนจะแลเห็นหมอกบางๆที่คลออยู่ในดวงตาสีเทา...สงสารกระนั้นหรือ

           “เจ้าไปเถอะ อีกไม่นานที่นี่จะถูกหลุมดำดูดกลืนกิน จงไปเสียเมื่อมีเวลา” เขากล่าวกับปีศาจน้อยตรงหน้า ทว่าเฉิงอี้กลับส่ายหน้าก่อนย่อตัวนั่งนิ่งอยู่ข้างกายเขา “เจ้าไฉนไม่ไป” เขากล่าวถามอย่างสงสัย
   
           เฉิงอี้ขยับปากน้อยๆกล่าว “แม้ไม่มีใครคิดอยู่เคียงข้างท่าน แต่เฉิงอี้จะอยู่ข้างกายท่านเอง” กล่าวจบหยาดน้ำตาก็หลั่งรินออกมา ก่อนหน้านี้เขาได้รับฟังจนหมดสิ้น ได้ฟังเสียงขมขื่นที่ตะโกนก้องอย่างเจ็บปวด แต่กลับกลายเป็นว่าตนก็รู้สึกเจ็บลึกในอกเฉกเช่นเดียวกัน

           ในสายตาของเฉิงอี้นั้นมีเพียงจอมมารเฟยหลงที่ยอมรับในตัวตน มีเพียงจอมมารเฟยหลงที่มิเคยดุด่าว่ากล่าว ทั้งยังเป็นคนเพียงผู้เดียวที่ยื่นมือออกมา ฉุดรั้งตนให้ออกมาจากถ้ำอันมืดมิดที่มีแต่เหล่าปีศาจรุมรังแก
   
           ได้ฟังเพียงแค่นี้เฟยหลงก็เงียบกริบลง คล้ายวาจาดังกล่าวเสียดแทงที่จิตใจ แต่ก็น่าแปลกที่มันก็เติมเต็มส่วนลึกในอกเช่นกัน...ทั้งๆที่ไม่มีใครอยากอยู่ข้างกายเขา แต่ทว่าปีศาจตัวน้อยตนนี้กลับเลือกที่จะอยู่ข้างตน สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนที่สัมผัสบนใบหน้า นิ้วมือจับต้องมันอยู่ชั่วครู่แล้วถึงได้รู้ว่ามันคือ...หยาดน้ำตา

           แลเห็นหยาดน้ำตาบนใบหน้าของจอมมารเฟยหลง ค้างคาวน้อยเฉิงอี้ก็ตะลึงลานทำอะไรไม่ถูก แต่แล้วความทรงจำที่จดจำได้ดีก็วูบเข้ามาในสมอง ครั้งหนึ่งตนเคยเห็นเด็กมนุษย์ผู้หนึ่งร้องไห้จ้าละหวั่น แต่แค่มารดานำอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมอก เด็กผู้นั้นก็หยุดร้องในทันที

           คล้ายรู้สึกได้ถึงความรัก ใจยังคงนึกอิจฉาดังนั้นจึงจดจำได้จนถึงตอนนี้ แต่ครานี้เฉิงอี้กลับอยากจะมอบความรู้สึกนี้ให้กับจอมมารตรงหน้า แม้เพียงแค่น้อยนิด แม้จะกล้าๆกลัวๆ แต่เฉิงอี้ก็โถมตัวเข้ากอดแล้ว

           เฟยหลงสะดุ้งตัวเล็กน้อย รับรู้ได้ว่าตนกำลังอยู่ในอ้อมกอดเล็กๆที่สั่นเทาไม่หยุด กระนั้นน่าแปลกที่ตนสัมผัสได้ถึงไออุ่น สองมือเอื้อมกอดอีกฝ่ายไว้ หลับตาลงแล้วปล่อยน้ำตาและความรู้สึกขมขื่นเหล่านี้ออกไป

           แสงสีทองสว่างวาบผ่านนัยน์ตาที่ยังคงหลับสนิท เฟยหลงรู้สึกได้ถึงมันก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาตัดสินใจแล้ว สองมือดึงตัวเฉิงอี้ออกเบาๆ จ้องมองใบหน้าที่ตนมิเคยได้มองสังเกตมองจริงจังอย่างละเอียด จากนั้นจึงก้าวออกไปสองสามก้าวก็หยุดลง ด้านเฉิงอี้ได้แต่มองตามแผ่นหลังสง่างามนั้นอย่างงุนงง

           “หากมีวาสนา พวกเราคงได้พบกันอีก เฉิงอี้” เฟยหลงยิ้มกล่าว ร่างค่อยๆจางหายไป

           เฉิงอี้พลันรู้สึกใจหาย สองขาออกวิ่งเข้าหา แขนเหยียดตรงไปข้างหน้าพยายามไขว่คว้าเอาไว้ แต่แล้วสิ่งที่จับต้องได้กลับเป็นเพียงอากาศ


*****************************************

สาวกเฟยหลงรอกระไรอยู่ กอดปลอบสิจ้ะ  : 222222:

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
จิ้มจึกๆ
โอ๋ๆ นะเฟยหลง โอ๋ๆ นะเฉิงอี้

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 30.1 มือที่กอบกุมไว้



           เหตุการณ์ยังคงชุลมุนวุ่นวาย จะหันไปทางใดก็มีแต่การต่อสู้ไม่หยุดหย่อน แต่เดิมทีพิภพสวรรค์ถูกแบ่งเป็นสี่เขตแดน โดยในแต่ละเขตแดนจะมีผู้บัญชาการที่นำโดยเหล่าผู้อาวุโสเทพทั้งสาม ซึ่งผู้อาวุโสเทพหวางจื้อดูแลฝั่งทิศเหนือ ผู้อาวุโสเทพเทียนสีดูแลฝั่งทิศใต้ และผู้อาวุโสเทพเจิ้งผิงดูแลฝั่งทิศตะวันออก

           หากแต่ยังมีอีกเขตแดนหนึ่งที่ยังคงไร้ผู้รับผิดชอบนับตั้งแต่ขาดเฟยหลงเป็นต้นมา และอาจเป็นเพราะพิภพสวรรค์สงบสุขมานาน เหล่าอาวุโสเทพทั้งสามจึงเพียงผลัดเปลี่ยนดูแลเขตแดนทางด้านนี้อยู่เรื่อยมา ทว่าตอนนี้ดูจากคุณสมบัติ บุคลิกภาพ ความเฉลียวฉลาด ทั้งความเป็นผู้นำแล้ว ผู้อาวุโสเทพทั้งสามต่างลงความเห็นให้บุคคลผู้นี้ เป็นผู้บังคับบัญชาการเหล่าทหารเทพทางเขตแดนฝั่งทิศตะวันตกเป็นการชั่วคราว

           ชายหนุ่มชุดเกราะสีขาวเต็มยศยืนอยู่บนกำแพงเมืองในเขตแดนทางตะวันตกอย่างสงบ สมองประเมินมองสถานการณ์สู้รบตรงหน้าอย่างใจเย็น ผิดกับคนข้างกายราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

           “เจ้าซวนหยวนหมิงไท่ ทำไมไม่บุกตะลุยไปให้มันจบสิ้น โอ๊ย ไม่สะใจข้าสักนิด” ไป๋เซ่อในร่างมนุษย์ร่ำร้องอยากจะกระโจนเข้าไปร่วมสู้ด้วยปานใจจะขาด แต่ก็ทำได้แค่เพียงยืนคุ้มกันเจ้ามนุษย์ผู้นี้เท่านั้น

           “นี่เป็นการรบ เจ้าคิดว่าจะตีใครก็เข้าไปตีง่ายๆรึ เห็นรึไม่ ทัพหนุนปีศาจมารอแต่ไกลนู่นแล้ว หากเราหละหลวมไม่ตั้งรับดีๆ พวกมันได้บุกทะลวงมาแน่” ซวนหยวนหมิงไท่สวนตอบอย่างรวดเร็ว

           ไป๋เซ่อรับฟังแล้วก็เถียงไม่ออก ทำได้เพียงร้องลั่นกระทืบเท้าไม่พอใจ “อ๊ากกก ข้าจะลงแดง”

           “เอาเถิด คราวหน้าเจ้าอยากจะตีใคร ก็ตีเลย ข้าจะไม่ห้ามแม้แต่คำเดียว” เขากล่าวกับอีกฝ่ายอย่างไม่ใคร่ใส่ใจมากนัก
ทว่าไป๋เซ่อถึงกับหันขวับมองอีกฝ่ายแล้วแค่นยิ้มเหี้ยม สองตาเบิกค้างอย่างน่ากลัว ในใจขบคิด...ข้าจะตีเจ้าเป็นคนแรกเลยคอยดู

           “แต่ห้ามตีข้าเป็นพอ” จู่ๆซวนหยวนหมิงไท่ก็หันมากล่าวอีกประโยค ไป๋เซ่อจึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดูว่าสายตาเขาคงโจ่งแจ้งไปหน่อย ครั้งหน้าคงต้องระวังให้มากกว่านี้

           “เป็นอย่างไรบ้าง” นางฟ้าชิงเซียงเดินเข้ามาหาคนทั้งสองพลางมองดูสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเป็นกังวล

           “ยังไม่น่าวิตกเท่าใด ยังดีที่ท่านมาแจ้งข่าวเรื่องต้าเซียน พวกทหารเทพจึงมีกำลังฮึกเหิมขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า” ด้วยเป็นเพราะกำลังพลของทหารเทพเองก็มิได้สูญเสียไปมาก สามารถปะทะกับกองทัพปีศาจได้อย่างมิต้องวิตก แต่กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ไม่คิดประมาท เฝ้ารักษาประตูเขตแดนเป็นสำคัญ “ทางด้านผู้อาวุโสเทพทั้งสามเล่าเป็นเช่นใดบ้าง”

           “พวกเขายังคงแบ่งรับแบ่งสู้กันอย่างแข็งขัน ดูไม่น่าเป็นกังวลเท่าใดนัก” นางฟ้าชิงเซียงกล่าวจบก็เผลอสะดุดตาเข้าที่พลังขุมหนึ่งซึ่งพุ่งทะยานทะลุฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ

           พริบตานั้นไป๋เซ่อตะโกนก้อง “ทุกคนหาที่กำบังเร็ว” พร้อมกันนั้นยังกระโจนเข้าใส่ซวนหยวนหมิงไท่และนางฟ้าชิงเซียงจนล้มลงไปกับพื้น ก่อนจะพากันคลานมาหลบอยู่ที่หลังกำแพงด่าน

           เหล่าเทพที่อยู่ด้านล่างเองก็ชะงักงัน ครั้นได้สติก็พากันหาที่กำบังกายอย่างรวดเร็ว ผิดกับเหล่าปีศาจที่ต่างงงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น แลกว่าที่พวกมันจะรู้สึกตัวก็สายเกินไป เสียงระเบิดดังครืนใหญ่ คลื่นพลังหนักหน่วงถาโถมรุนแรง ทั้งแผ่กระจายเป็นระลอกคลื่น คนที่หาที่กำบังไม่ได้ต่างก็ปะทะเข้ากับกระแสพลังสีน้ำเงินอย่างน่าเวทนา

           ความมืดทาบทับดวงตะวันจนหมดสิ้น บังเกิดเป็นความเงียบสงัดจนน่ากลัว แม้กระทั่งเสียงลมหายใจก็มิอาจได้ยิน แสงสีน้ำเงินแลบขึ้นคราหนึ่งก็หายไป ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ ไป๋เซ่อ และนางฟ้าชิงเซียงที่หมอบอยู่กับพื้นต่างมองสบสายตากันชั่วครู่ จากนั้นจึงตัดสินใจลุกขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ทหารเทพตนอื่นๆที่เริ่มทยอยออกมาจากที่กำบังอย่างงุนงง

           แต่ในขณะนั้นเองพื้นที่ยืนกลับสั่นคลอนโดยแรง ทำเอาคนทั้งหลายซวนเซไปคนละทิศ เสียงร้องอลหม่านดังไปทั่ว จนกระทั่งทุกอย่างสงบลง ทุกคนก็เหงื่อตกทอดถอนใจ แต่ยังมิทันจะหายใจเข้าออกเต็มที่ วิบากกรรมก็มาต้อนรับพวกเขาอีกครา ความวุ่นวายบังเกิดขึ้นอีกครั้ง เนื่องด้วยใครจะคาดคิดว่าจะต้องประสบภัยกับพายุหมุนที่หนักหนาสาหัสลูกนี้

           เหล่าผู้อาวุโสเทพทั้งสามเองก็รีบเหาะเหินมายังเขตแดนฝั่งตะวันตก พอหยั่งฝีเท้าลงพื้นแล้วก็รีบร้องเตือน “สมดุลบิดเบี้ยวแล้ว ทุกคนรีบออกห่างจากที่นี่โดยเร็ว”

           เทพเซียนทั้งหลายได้ฟังแล้วสีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก ยังมิทันได้กะพริบตาที่ด้านหลังก็ปรากฏเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ แรงดึงดูดมหาศาลก่อตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ดอกไม้ ไม่เว้นแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ต่างพากันทยอยถูกดูดกลืนเข้าไปจนหมดสิ้น

           โชคร้ายของเหล่ากองทัพปีศาจที่อยู่ใกล้กับหลุมดำมากที่สุด จึงเป็นฝ่ายถูกดูดกลืนกินหายลับไปในหลุมกว้างนี้ไปก่อนใครเพื่อน ด้านแม่ทัพปีศาจที่เห็นว่าต้องสูญเสียไพร่พลไปมากมายเช่นนี้ ต่างก็ไม่สนการสู้รบอีก พวกมันพากันหลบหนีกันอย่างจ้าละหวั่น

           ทหารเทพที่เฝ้าประตูเองก็มิได้นิ่งดูดาย ต่างช่วยกันเปิดประตูด่านรับเอาเหล่าทหารเทพที่อยู่ด้านนอกเข้ามายังด้านในกันอย่างชุลมุน เช่นเดียวหลุมดำที่ไม่รอช้า มันขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเพิ่มแรงดึงดูดขึ้นหลายระดับ ทำให้กำแพงเขตแดนเริ่มมีท่าทีจะทลายลง

           “รีบหนีเร็ว” ท้ายที่สุดทหารเทพซึ่งยืนอยู่บนกำแพงด่านร้องขึ้นเมื่อกำแพงด้านหนึ่งทลายลง ทุกคนต่างพากันเหาะเหินหลบไปอย่างเร็วรี่ แต่ทว่าบรรดาสิ่งของที่ถูกลอยสวนกลับมา กลับกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นต่อการหลบหนี ซ้ำร้ายบางคนหนีจนไม่ทันระวังมอง ถูกสิ่งของกระแทกหน้า เป็นเหตุให้ผิดท่าถูกดึงดูดเข้าไปยังหลุมดำอย่างน่าสงสาร

           ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ซวนหยวนหมิงไท่พลันมองหาบุคคลที่พึ่งโต้วาจา นับตั้งแต่เกิดพสุธาสั่นคลอนต่างคนต่างก็พลัดกันไปคนละทิศละทาง แม้แต่นางฟ้าชิงเซียงก็หายไป กระทั่งเห็นไป๋เซ่อทะเล่อทะล่าวิ่งเข้ามาหา เขาก็วางใจขึ้น ทว่า...
จู่ๆขาของไป๋เซ่อก็สะดุดเข้ากับแจกันโบราณซึ่งเผอิญกลิ้งอยู่บนพื้น ดูเซ่อซ่าอย่างไม่น่าเชื่อ ยังผลให้ร่างเพรียวหน้าคะมำ ตัวเริ่มลอยละลิ่วออกไป เขารีบทะยานตัวเข้าหาตวาดร้องบอก “ไป๋เซ่อ เจ้านี่ช่างสะดุดได้เวลาดีจริงๆ”

           “เจ้ากล้าเย้ยหยันข้าเรอะ ข้าจะกัดเจ้า แฮ่” ไป๋เซ่อตวาดกลับ แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปจับมือใหญ่ที่ส่งมาให้
ซวนหยวนหมิงไท่เบิกตากว้างอย่างแปลกใจ ดูท่าอีกฝ่ายคงลืมไปแล้วว่าอยู่ตกสถานการณ์เลวร้ายเพียงใด แลไม่นานทั้งสองก็ทนแรงดึงดูดไม่ไหว ร่างเริ่มหมุนเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ แต่กระนั้นมือก็ยังคงจับกันไว้อย่างเหนียวแน่น

           ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งถูกแรงพัดผ่านมา ดูแล้วน่าจะชนพวกเขาเข้าอย่างจัง ทั้งคู่ได้แต่จ้องมองกันตาปริบๆ ต่างคิดในใจ ดูท่าชะตากรรมไม่แคล้วเลวร้าย โชคดีที่มีเงาร่างสีขาวปราดเปรียวกระโดดตัวขึ้นสูง ก่อนจะปลดปล่อยฝ่ามือหนึ่งเข้าใส่ เสียงเปรี้ยงดังคราหนึ่งต้นไม้ก็แยกออกเป็นสองส่วน ทำให้ท่อนไม้ลอยผ่านตัวพวกเขาไปอย่างฉิวเฉียด

           ที่ด้านหลังเสื้อถูกจับหมับอย่างแน่นหนา ก่อนจะรู้สึกว่าร่างถูกดึงไปยังทิศทางตรงข้ามกับแรงลมขนานใหญ่ เงาร่างสีดำนั้นทะยานตัวต้านทานแรงดึงดูดอย่างเต็มที่ จากนั้นจึงพาคนทั้งสองไปยังพื้นที่ๆปลอดภัยโดยเร็วที่สุด

           “เจ้ามาช้า เซียวถิงฟง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวเหน็บแนมทันทีที่ฝีเท้าลงสู่พื้น

           “ฮ่า ฮ่า แต่ก็มาทันได้ฟังพวกเจ้าเถียงกันได้อย่างงี่เง่าพอดี” เซียวถิงฟงสวนกลับ ทำเอาไป๋เซ่อกระโดดเหยงๆชูหมัดเข้าใส่ แต่แล้วเสียงโห่ร้องอย่างดีใจก็ปรากฏขึ้น

           “ท่านมหาเทพมาแล้ว พวกเรา เฮ” ทหารเทพคนหนึ่งร้องตะโกนด้วยเสียงอันดัง ส่งผลให้ทหารเทพตนหยุดชะงัก เหลียวกลับมามองบุคคลที่พวกตนเคารพที่สุด ก่อนจะพากันโห่ร้องดีใจ ต้าเซียนรับฟังเสียงดังกล่าวก็บังเกิดเป็นความรู้สึกตื้นตัน ไม่นานนักผู้อาวุโสเทพทั้งสาม รวมถึงนางฟ้าชิงเซียงต่างก็เหาะเหินเข้ามาที่ข้างกาย

           “ท่านมหาเทพ พวกเราควร...อ๊าก นั่นมันบันทึกลับประวัติพิภพสวรรค์ของข้า” ผู้อาวุโสเทพเจิ้งผิงยังมิทันกล่าวจบก็ต้องแผดเสียงร้องดังลั่น อีกทั้งทะยานตัวเข้าไปรวบรวมเศษกระดาษที่ปลิดปลิวเข้ามาหลบซ่อนในสาบเสื้อของตนเองอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาต้าเซียนชมดูอย่างตกตะลึงก่อนจะยอบกายหลบกระถางดอกไม้ที่ลอยดิ่งตรงมายังศีรษะ

           “โอ๊ย ดูนั่นสิหลังคาตำหนักมาแต่ไกลแล้ว หลังซ่อมคงต้องหมดงบไปเยอะแน่ๆเลย โอย ข้า...ข้าจะเป็นลม” ผู้อาวุโสเทพหวางจื้อร้องโอดครวญพลันเหาะเหินอย่างซวนเซ จ้องมองดูหลังคาตำหนักที่ลอยผ่านไปต่อหน้าต่อตาด้วยใบหน้าเคล้าน้ำตา

           ผู้อาวุโสเทพเทียนสีได้ทีก็รีบกล่าวเสริม “ท่านหวางจื้อ ท่านดูทางนั้นเตาหลอมโอสถวิเศษของท่านมาแล้ว” กล่าวจบก็พุ่งตัวหลบไปอีกทาง เหลือเพียงเสียงร้องโหยหวนของอีกฝ่ายไว้

           ทว่าก็มีน้ำเสียงของคนผู้หนึ่งกล่าวสืบต่อ “อาวุธที่ท่านชอบสะสมก็มาแล้วเช่นกัน” เห็นอาวุโสเทพเทียนสีทำตาเหลือก ผู้อาวุโสเทพเจิ้งผิงก็หัวเราะชอบใจ

           “สวนท้อของข้า กลับมาเดี๋ยวนี้นะ ตั้งแต่ข้ากลับมายังไม่ได้ลิ้มรสเลย โฮ อย่าพึ่งปายย” เสียงร้องของไป๋เซ่อเองก็ดังตามกระแสลม ดีที่เซียวถิงฟงกับซวนหยวนหมิงไท่กระโจนจับอีกตัวเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะพุ่งปราดออกไป

           ต้าเซียนชมดูก็ถึงกับส่ายหน้า ดูแต่ละคนแล้วมิได้มีทีท่าว่ากังวลใจไปกับสมดุลบิดเบี้ยวที่อยู่ไม่ไกลเลยสักนิด คล้ายไม่รู้อยากจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

           “พวกท่านลืมไปแล้วรึไง หากมิรีบกันปิดหลุมดำ พวกท่านได้หมดตัวแน่” กลับกลายเป็นนางฟ้าชิงเซียงที่หมดความหมดทน นางตวาดก้องด้วยน้ำเสียงที่ดุราวกับแม่เสือ ทำเอาทุกคนต่างชะงักงันได้สติขึ้นมา

           ต้าเซียนไม่รอช้ารวบรวมพลังไว้ที่สองมือ พลังสีทองขุมหนึ่งค่อยๆขยับขยายขึ้น จากนั้นจึงซัดมันไปยังหลุมดำที่อ้ากว้าง พลังตรงดิ่งเข้าไปยังใจกลางก่อนจะเกิดเป็นระเบิด ตามมาด้วยแสงสีทองที่แล่นวาบขึ้นคราหนึ่ง ซึ่งพลังดังกล่าวส่งผลให้เกิดเป็นลมหมุนคว้างหลายลูกตีปะทะกันในหลุมดำ มันหดตัวเข้าเล็กน้อยแต่ก็มิใช่ว่าจะหายไปอย่างสิ้นเชิง

           “.......” ทุกคนต่างพาเงียบกริบทั้งยังชำเลืองมองหน้ากันเหงื่อตก...ครานี้หมดตัวแน่แท้

           กระนั้นต้าเซียนยังคงไม่สิ้นหวัง ตั้งท่ารวบรวมพลังเข้าใหม่ ผู้อาวุโสเทพทั้งสาม นางฟ้าชิงเซียง รวมถึงเหล่าเทพเซียนอื่นๆต่างก็เข้ามาประจันหน้ากับหลุมดำ รวบรวมพลังกันเข้าช่วยอีกแรง

           พลังจากหลายฝ่ายถูกซัดออกไปยังหลุมกว้าง เกิดเป็นเสียงระเบิดดังขึ้นจากภายในไม่หยุดหย่อน ความบิดเบี้ยวของหลุมสีดำฉายให้เห็นชัดถึงความผิดปกติ แต่แล้วแสงสีขาวหนึ่งก็พุ่งสะท้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว เทพเซียนทั้งหลายต่างก็ตาเบิกค้าง จากนั้นจึงปะทะถูกคลื่นพลังนี้กระเด็นออกไปไกล

           แรงปะทะผลักดันให้ต้าเซียนลอยกระแทกเข้ากับผนังกำแพงด้านหนึ่งที่ยังไม่ถูกดูดกลืนไป เซียวถิงฟงเห็นดังนั้นก็ตกใจรีบปราดเข้าหา พยุงร่างน้อยขึ้นมา แต่ยังมิทันได้กล่าวถามอาการ สุ้มเสียงนุ่มทุ้มก็พลันแทรกขึ้นมาก่อน

           “เกรงว่าต้องปิดจากด้านใน” ต้าเซียนกล่าวพร้อมทั้งจ้องไปยังหลุมดำตาไม่กะพริบ

           ผิดกับเขาที่สัมผัสได้ถึงความวูบโหวง เหงื่อเย็นเยียบไหลรินแนบแก้ม “หากเข้าไปในนั้นจะเป็นเช่นไร ใช่กลับออกได้รึไม่” เซียวถิงฟงเค้นเสียงถาม สองมือกระชับที่ไหล่บางไว้แน่น นับตั้งแต่ดูความเป็นไป เขาไม่เคยเห็นสิ่งใดที่กลับออกมาจากหลุมปริศนานั่นได้เลย

           “.......” ต้าเซียนไม่ตอบ เนื่องเพราะตนก็ไม่ทราบ สมดุลที่ถูกทำลายครั้งเมื่อพันปีก่อนนั้น ปิดลงได้เพราะพลังของเขา หากแต่ครานี้นับว่ารุนแรงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า อาจเป็นเพราะประจวบเหมาะกับอิทธิพลของอัสดงที่ถูกความมืดกลืนกิน
 
           “ไม่ได้ ข้าไม่ให้เจ้าไป” เซียวถิงฟงโพล่งออกมา ความกลัวแล่นกอบกุมในจิตใจ...หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า แล้วข้าจะทำเช่นไรกันเล่า

           “ถิงฟง ข้าจำเป็นต้องไป” ต้าเซียนกัดฟันฝืนกล่าวอย่างลำบากใจ นี่เป็นภาระที่เขาต้องรับผิดชอบ มิอาจละเลยไปได้

           “เช่นนั้นข้าจะเข้าไปด้วย หากเจ้าเข้าไปแล้วกลับออกมามิได้ ข้าก็จะขอไม่กลับออกมาเช่นกัน” เซียวถิงฟงลั่นวาจาด้วยสีหน้าปราศจากความลังเล เขาไม่มีวันปล่อยให้ต้าเซียนต้องเข้าไปเผชิญกับอันตรายเพียงลำพัง

           ได้ฟังน้ำเสียงที่ดื้อดึง ต้าเซียนก็เหมือนกลืนก้อนสะอึก สองมือรั้งใบหน้าของชายหนุ่มไว้ ก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตอย่างลึกซึ้ง ซึมซับเอาความรักความอ่อนโยนไว้ในใจ เก็บซ่อนหยาดน้ำตาคลอนั้นไว้ จากนั้นจึงพูดขึ้นที่ริมหูของชายหนุ่ม

           “เพียงพอแล้วสำหรับข้า ได้รู้สึกถึงคำว่ารักเช่นนี้ นับว่าคุ้มค่าแล้ว”

           เสียงกระซิบนุ่มทุ้มถูกกล่าวที่ข้างหู แต่แล้วฝ่ามือหนึ่งกลับฟาดเข้าที่ด้านข้างลำคอ ทั่วทั้งร่างบังเกิดเป็นอาการชาเสียดื้อๆ สองมือคลายออกจากร่างน้อยอย่างมิจำใจ ไม่เว้นแม้แต่เข่าที่ทรุดฮวบลงกับพื้น

           “ไม่ อย่าไป ต้าเซียน” เซียวถิงฟงพยายามร้องห้าม แต่กระนั้นต้าเซียนกลับเหาะเหินไกลออกไป “ต้าเซียน เจ้าต้องกลับมา รับปากข้า”

           “.....” เสียงตะโกนนั้นพลันไล่หลัง ทว่าต้าเซียนก็มิได้ตอบรับ ทั้งหันกายจากไปอย่างแท้จริง
สองตาของเซียวถิงฟงแดงก่ำ กายของเริ่มสั่นสะท้าน ราวกับในอกถูกคว้านลึก กระทั่งแลเงาร่างสีขาวกระโจนหายไปยังหลุมกว้างต่อหน้าต่อตา เขาก็คำรามก้อง


**************************************************


           ต่อเมื่อเหาะเหินมายังหน้าหลุมดำ ต้าเซียนก็กระโจนเข้าไปอย่างไม่หวาดหวั่น แม้ด้านหลังจะมีเสียงร้องเรียกสักเท่าใดก็มิอาจห้ามเจตนารมณ์นี้ได้

           ครั้นมาถึงก็สังเกตเห็นแต่ความมืดมิด ไร้ซึ่งขอบเขตอันเป็นที่สิ้นสุด ทั้งดูว่างเปล่าเสียจนน่ากลัว บรรยากาศกดดันจนแทบหายใจไม่ออก ต้าเซียนรู้สึกอึดอัดไปทั่วทั้งร่าง พริบตานั้นก็พลันได้ข้อสรุปถึงสองข้อ

           หนึ่ง หากยังรอช้า ร่างของเขาต้องสลายไป มิอาจปิดทางเข้านี่ได้ทัน สอง หากใช้พลังทั้งหมดปิดปากทางเข้าหลุมดำนี้แล้ว ดูว่ายังมิทันจะฝ่าออกไป ด้วยพลังในกายที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ย่อมมิอาจทนแรงกดดันได้ ไม่พ้นต้องสูญสลายในที่สุด

           ร่างน้อยคิดแล้วก็เหยียดยิ้มขึ้น ผุดนึกถึงใบหน้าของร่างสูง นิ้วมือเลื่อนสัมผัสที่ริมฝีปาก เกรงว่าข้าคงมิอาจกลับไป ข้าขอโทษ...ถิงฟง

           เปลือกตาบางค่อยๆปิดลง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นสม่ำเสมอ สองมือซ้ายขวารวบพลังไว้อย่างเต็มกำลัง หากว่าปล่อยไปแล้ว เขาก็จะไม่มีตัวตนอยู่อีก แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดจะเลิกล้ม สองมือเริ่มยกขึ้นหันไปทางปากทางเข้า ก่อนจะเลิกดวงตาสีน้ำตาลทองที่เปล่งประกายขึ้นอีกครา

           เพียงแต่ว่าฝ่ามือยังมิทันไม่ปลดปล่อยพลัง ก็พลันแลเห็นแผ่นหลังกว้างในชุดเกราะสีทองที่ยืนขวางกั้นอยู่ตรงหน้า สองมือถึงกับชะงักงัน เขาเปล่งเสียงร้องด้วยความงุนงง “เฟยหลง”

           เฟยหลงมิได้ตอบรับ ก่อนหน้านี้เห็นเงาร่างสีขาวกระโดดเข้าไปยังภายในหลุมดำก็บังเกิดความเข้าใจ ท่านมหาเทพต้องการปิดสมดุลจากทางด้านใน แต่หากทำเช่นนั้นมิใช่เป็นการเสียสละหรือ สิ่งที่เขาก่อจำเป็นต้องให้ร่างเล็กชดใช้แทนกระนั้นหรือ คิดได้ดังนั้นเขาก็มิยินยอม ฝีเท้ากระโจนตามท่านมหาเทพเข้าไปหลุมดำทันที

           พลังขุมสุดท้ายถูกปลดปล่อยออกไปแล้ว ไม่นานเสียงระเบิดก็ดังขึ้นกึกก้อง ส่งผลให้เกิดเป็นกระแสลมแรงตีกันปั่นป่วน จนมิอาจควบคุมร่างกายได้อีกต่อไป ต้าเซียนได้แต่ปล่อยให้ตนเองลอยคว้างไปตามสายลม จนทระทั่งเหลือบไปเห็นแสงสว่างเล็กๆที่สาดส่องเข้ามายังปากทางเข้า พร้อมทั้งหลุมดำที่ขยับเล็กลงอย่างรวดเร็ว

           คล้ายว่าครั้งนี้ประสบผล สมดุลเริ่มคงที่แล้ว เห็นเช่นนี้ ต้าเซียนก็เบาใจลง ทว่าใจก็กลับมาฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง พลังเขายังมิทันปลดปล่อย เหตุไฉนสมดุลจึงเริ่มจะสงบลง เสียงระเบิดนั้นคงมิใช่พลังของ...

           ดวงตาสีน้ำตาลทองถึงกับเบิกกว้างก่อนจะมองหาชายในชุดเกราะทองอย่างร้อนใจ ครั้นพอเห็นร่างของคนผู้หนึ่งที่ลอยคว้างแน่นิ่งก็รีบถลาเข้าหา แต่ยิ่งเข้าใกล้ก็กลับยิ่งแลเห็นร่างที่เริ่มไม่คงรูปของเจ้าตัว ใจคิดอยากจะฉุดรั้งอีกฝ่ายออกไปด้วย ทว่ากระแสลมที่เป็นเสมือนพายุหมุนลูกใหญ่ กลับทำให้มิอาจเข้าถึงตัวเฟยหลงได้ ต้าเซียนยังคงพยายามฝ่าพายุเข้าไปหลายครั้ง จนในที่สุดก็คว้าเอามือหนึ่งของอีกฝ่ายไว้ได้ เขาร้องลั่น “จับมือข้า เฟยหลง”

           คล้ายมีเสียงเรียกที่คุ้นเคย ดวงตาดั่งพญาอินทรีจึงเปิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะแลเห็นใบหน้าเล็กที่เต็มไปด้วยความร้อนรน ความทรงจำต่างๆนับแต่พบหน้าหวนคืนในสมอง หากแต่ไม่ละเว้นความผิดที่ได้กระทำเช่นเดียวกัน เฟยหลงส่ายหน้าก่อนยิ้มน้อยๆ “สิ่งที่ข้าก่อย่อมต้องชดใช้เอง”

           “จับมือข้า” ต้าเซียนตวาดลั่น ไม่ละความพยายาม

           “มันสายไปแล้ว” เขากล่าวเพียงสั้นๆ รู้สึกได้ว่าปลายขาเริ่มมลายหายไป เกรงว่าตอนนี้ร่างเขาคงเหลือเพียงแค่สามในสี่ส่วน

           “ไม่ เฟยหลงที่ข้ารู้จัก มิใช่คนที่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆเช่นนี้” ต้าเซียนกล่าวพร้อมทั้งจับมือข้างนั้นไว้แน่น เขาไม่ยินยอมให้คนผู้นี้ต้องหลงอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอีกเป็นอันขาด กระนั้นแล้วเขาก็มิอาจทานแรงพายุมหาศาลได้นาน ร่างเขาจึงเริ่มค่อยๆอ่อนกำลังลง

           เมื่อเห็นปลายเท้าของร่างเล็กเริ่มสลายดั่งเช่นเม็ดทราย เฟยหลงก็ตกใจรีบตวาดใส่ “รีบกลับไป ปากทางเข้าจะปิดสนิทแล้ว หากท่านยังยื้อยุดข้าอีก ร่างของท่านจะพลอยสูญสลายไปด้วย”
 
           “ไม่” ต้าเซียนสวนตอบแทบในทันที ทั้งยิ่งจับมือไว้แน่นมิยอมปละปล่อย

           ด้านเฟยหลงเองก็ได้แต่มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่ออย่างเงียบงัน มิเคยคาดคิดว่าท่านมหาเทพจะมีความดื้อรั้นเช่นนี้อยู่ด้วย เกิดเป็นความรู้สึกเสียดาย...พันปีที่ผ่านมานี้ ข้าได้พลาดสิ่งสำคัญไปจริงๆ

           “บ้าเอ้ย”

           ครั้นเมื่อนิ้วมือเริ่มหลุดออกจากการจับกุม คำพูดที่ไม่น่าจะหลุดออกจากปากท่านมหาเทพก็หลุดออกมา เฟยหลงได้ยินก็ต้องหัวเราะออกมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มเศร้า จวบจนนิ้วสุดท้ายพ้นจากมือน้อยๆ เขาก็หลับตาลง

           ...นับแต่นี้ไป ข้าเพียงหวังให้ท่านมีความสุข...

           “เฟยหลง” ต้าเซียนร้องเรียกอย่างหมดหวัง ได้แต่มองมือนั้นหลุดลอยออกไป
ทว่าฉับพลันนั้นก็บังเกิดสิ่งที่คาดไม่ถึง ฝ่ามือใหญ่ที่เปื้อนเลือดแห้งกรังได้เอื้อมเข้าจับหมับยังมือของเฟยหลง ต้าเซียนถึงกับตาโตร้องเรียกอย่างดีใจ “ถิงฟง”

           เซียวถิงฟงกระโดดลงมายังหลุมดำแล้ว ก่อนหน้านี้แลเห็นปากทางเข้าเริ่มหดเล็กลง หากแต่ร่างน้อยก็ยังไม่ออกมา ในใจก็ร้อนรนมิอาจทนเฉยได้อีก รอจนร่างทั้งร่างหายชาก็ร่ำร้องจะเข้าไป ดีที่นางฟ้าชิงเซียงไหวพริบดีจึงเสนอให้ผูกผ้าแพรวิเศษไว้ที่ลำตัวเขา แม้จะเป็นวิธีการที่ไม่รู้จะได้ผลรึไม่ แต่เขาก็ยินยอมพร้อมที่จะเสี่ยง
 
           “เจ้า ช่วยข้าไว้ทำไม” เฟยหลงกล่าวถามอย่างสงสัย ทั้งที่ผ่านมาเขาต้องการเอาชีวิตอีกฝ่ายแท้ๆ

           “เพราะต้าเซียนต้องการช่วยเจ้า” เซียวถิงฟงตอบทั้งยังกำชับมือให้แน่นกว่าเดิม อีกมือหนึ่งก็จับร่างเล็กให้มั่น “ต้าเซียนเจ้าเกาะข้าให้ดีๆ” เขาร้องบอก ต้าเซียนได้ยินแล้วก็กอดเอวตนไว้แน่น เมื่อทุกอย่างลงตัวเขาก็กระตุกผ้าแพรโดยแรง

           จากนั้นไม่นานเสียงแหลมทุ้มหนึ่งก็ดังขึ้นที่เบื้องบน “ช่วยกันดึงผ้าแพรเร็ว หลุมดำจะปิดแล้ว” ไป๋เซ่อตะโกนขึ้นอย่างร้อนใจตามมาด้วยเสียงวุ่นวายของบรรดาเหล่าเทพเซียน

           ที่ปากทางเข้าของหลุมดำเริ่มปิดลงอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้พวกเขาจำเป็นต้องแข่งกับเวลา ยิ่งด้านนอกมีแสงตะวันส่องผ่านเข้ามามากเท่าไร หลุมดำก็ยิ่งปิดลงอย่างรวดเร็วเพียงนั้น เหล่าเทพเซียนทั้งหลายต่างช่วยกันสาวผ้าแพรกันมือเป็นระวิง ยิ่งเห็นปากทางเข้าแคบลงจนเหลือเพียงขนาดเท่าตัวคน ต่างก็ยิ่งตาเหลือกฉุดดึงผ้าแพรกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

           ในที่สุดเงาร่างทั้งสองก็หลุดพ้นออกมาจากหลุมดำ ปากทางเข้าได้ปิดลงอย่างสิ้นเชิง สมดุลพิภพกับคืนสู่สภาพปกติ แสงสว่างสดใสกลับมาอีกครั้ง ต้าเซียนที่นอนทับเซียวถิงฟงไว้ค่อยๆพลิกกายลงก่อนลุกขึ้นนั่งอย่างเหน็ดเหนื่อย อาจเป็นเพราะพลังในกายถูกดูดกลืนไปมาก

           ดวงตาที่แฝงแววห่วงใยทอดมองลงไปยังชายหนุ่มที่นอนสลบไสล ดูว่าพลังชีวิตของเซียวถิงฟงเองก็ถูกกลืนกินไปมิใช่น้อย ต้าเซียนพลันลูบไล้ใบหน้าคมคายอย่างเบามือ “ข้าเกือบเสียเจ้าไปอีกครั้งแล้ว ถิงฟง” กล่าวจบก็เลื่อนสายตาถัดไปจากกายของชายหนุ่ม

           แต่แล้วสิ่งที่อยู่เบื้องหน้ากลับเป็นความว่างเปล่า ปากน้อยๆอ้าค้างอย่างมิอยากจะเชื่อ ก่อนที่สองตาจะข่มปิดลงอย่างเจ็บปวด

           ...ไม่ทันกระนั้นรึ เฟยหลง...

           ทว่าความหวังยังคงมีเสมอ ซวนหยวนหมิงไท่ที่ก้าวเข้าไปใกล้สหายสนิทก็สะดุดเห็นสิ่งหนึ่ง “เขากำอะไรไว้แน่น”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยแทบทำให้ดวงตาของต้าเซียนเบิกกว้างเป็นประกาย รีบเร่งแกะเอามือซ้ายที่เซียวถิงฟงกำไว้อย่างแน่นออก ต่อเมื่อมือคลายลงก็เผยให้เห็นดวงวิญญาณสีน้ำเงินดวงหนึ่ง ต้าเซียนพลันรู้สึกดีใจ จ้องมองร่างสูงอย่างลึกซึ้ง
   
           “ท่านมหาเทพ จากนี้ไปจะทำเช่นไรดี” ท่านอาวุโสเทพหวางจื้อรออยู่นานก็กล่าวขัดจังหวะดีใจไว้
   
           จังหวะนั้นสายตาอ่อนล้าก็ปรี่ขึ้นเล็กน้อย เปลือกตายังคงหนักอึ้ง มองเห็นแต่ความพร่ามัว มาตรว่าเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังฝืนเพียงเพื่อต้องการเห็นว่าบุคคลผู้หนึ่งปลอดภัย จนเมื่อได้ยินน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่อยู่ใกล้ๆก็เริ่มรู้สึกวางใจขึ้น แต่ในเวลาต่อมาเขากลับได้ยินประโยคๆหนึ่งที่ทำให้รู้สึกราวกับถูกอสนีบาตฟาดใส่

           “ส่งเขากลับไปยังโลกมนุษย์” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงราบเรียบแล้วจึงผละตัวออก แต่ยังมิทันได้ก้าวออกไปก็ถูกมือใหญ่ฉุดรั้งไว้ ครั้นเหลียวกลับมาก็พบว่าเป็นมือของเซียวถิงฟง เขามองนิ่งชั่วครู่ก็ค่อยๆแกะมือนั้นออก
   
           ในที่สุดมือของเขาก็ตกลงดั่งคนไร้เรี่ยวแรง หัวใจพลันรู้สึกเจ็บราวกับถูกมีดกรีด

           ...ต้าเซียน เจ้าจะกลับมาหาข้ารึเปล่า ริมฝีปากพยายามอ้าขึ้นกล่าวถาม แต่ทว่าก็มิมีเสียงใดเล็ดรอดออกมา น้ำตาหยาดหนึ่งหลั่งรินออกมาจากใจ...ข้าจะได้พบเจ้าอีกใช่ไหม จวบจนกระทั่งเห็นเงาร่างของซวนหยวนหมิงไท่เป็นคนสุดท้าย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เห็นอะไรอีก
   
           

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 30.2 มือที่กอบกุมไว้


         
           สามเดือนผ่านไป
   
           “เจ้าจะไปจริงๆน่ะหรือ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถามสหายสนิทที่ยืนจับจ้องมองเหล่ากองทัพที่ยืนสู้แดดแรงกล้าบนป้อมสูง กองทัพที่รอเพียงคนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาแล้วออกคำสั่งให้เดินทางไปยังที่ไกลแสนไกล

           “ราชโองการเองก็ออกมาแล้ว ข้าไม่กระทำตามได้รึ” เซียวถิงฟงตอบสั้นๆ

           ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังแล้วก็เงียบลง รู้สึกได้ว่านับตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเซียวถิงฟงก็เซื่องซึมลงไปถนัดตา เขากล่าวขึ้นอีกครั้ง “ถึงอย่างไรในตอนนี้ฐานกำลังตระกูลเซิงก็หายไปมากแล้ว ข้าจะไปทูลขอให้เสด็จพ่อส่งแม่ทัพคนอื่นไปแทน”

           หลังจากเรื่องราวบนพิภพสวรรค์จบลง เหล่าผู้อาวุโสเทพก็เป็นฝ่ายส่งพวกเขากลับมายังโลกมนุษย์ จากนั้นไม่นานก็ต้องประสบกับเรื่องราววุ่นวายภายในวังหลวง ทั้งเรื่ององค์หญิงหย่าเหลียนสิ้นพระชนม์ องค์ชายหย่าเซิงเองก็มีอาการเสียสติร่ำร้องถึงปีศาจไม่หยุดปาก

           ตระกูลเซิงที่เคยเรืองอำนาจกลับต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นจึงได้แต่หันเหเป้าหมายไปยังเซียวถิงฟง กระนั้นตระกูลเซิงยังมิทันได้วางแผน องค์ฮ่องเต้ก็เป็นฝ่ายช่วงชิงโอกาส แต่งตั้งเซียวถิงฟงให้เป็นแม่ทัพใหญ่เดินทางปกป้องชายแดนทางฝั่งตะวันตกเสียก่อน

           “จะอย่างไรข้าก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นคู่หมั้นขององค์หญิงหย่าเหลียน แม้จะยังมิได้ตกแต่ง แต่ตระกูลเซิงย่อมต้องหาวิธีใช้ประโยชน์จากข้าทางใดทางหนึ่งเป็นแน่” เซียวถิงฟงกล่าวเสียงเรียบ

           “เซียวถิงฟงเจ้าอย่าแสร้งเฉไฉ ข้ารู้ต่อให้เจ้าแต่งให้กับหย่าเหลียน เจ้าก็มิยินยอมกระทำตามตระกูลเซิงโดยง่ายหรอก มีแต่จะสร้างปัญหาให้พวกเขา”

           เซียวถิงฟงยิ้มแล้ว “ท่านยังคงรู้ใจข้า แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ต้องไป” กล่าวจบเขาก็ยอบกายลงคุกเข่าข้างหนึ่งให้กับคนเบื้องหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลัง

           “องค์รัชทายาท ข้ารู้ดีว่าสิ่งที่ท่านต้องการคือขุมกำลังที่แข็งแกร่ง แต่หากท่านยังรั้งข้าไว้ข้างกาย สุดท้ายท่านจะได้เพียงดาบที่ยังตีไม่เสร็จ มิได้มีกำลังที่แท้จริง เช่นนั้นไยท่านมิสู้ปล่อยข้าไปสร้างขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ ภายหลังจากนี้อีกสองปี ท่านจะได้รับดาบที่คอยฟาดฟันศัตรูให้แก่ท่าน พร้อมขุมกำลังที่จะคอยสนับสนุนท่านอย่างแท้จริง”

           ซวนหยวนหมิงไท่เบิกตากว้างรับชมอย่างตื่นตะลึงในใจ ชายผู้นี้นับว่าเป็นสหายเขาอย่างแท้จริง เขาถอนหายใจแล้วยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง “เช่นนั้นแม่ทัพใหญ่เซียว สองปีให้หลังข้าจะรอท่านที่วังหลวงแห่งนี้”

           “กระหม่อมทูลลา” เซียวถิงฟงตอบรับก่อนจะลุกขึ้นหันกายไป ก้าวเดินไปยังข้างหน้าอย่างองอาจ ซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่มองแผ่นหลังกว้างนี้อย่างตื้นตันใจ เสียงเบาๆพึมพำออกมา

           “ถึงตอนนั้น เจ้าเองก็คงมิต้องรอคอยอีกแล้วกระมัง เซียวถิงฟง”


 
**************************************************


           แสงแดดร้อนแรงแผดเผาจนสายตาพร่าเลือน ลำคอแห้งผากจนแทบเป็นผุยผง มือหนึ่งก่ายขึ้นเช็ดเหงื่อที่เกลือกกลิ้งไปตามใบหน้า แม้ที่นี่จะมีสายลมพัดผ่านตลอดเวลา แต่เขาก็มิได้รู้สึกเย็นกายสบายใจนัก เนื่องเพราะมันเป็นลมร้อน

           เอ้อหู ผู้เป็นรองแม่ทัพทรุดลงนั่งกับพื้นทรายใกล้ๆม้าศึกอย่างเหน็ดเหนื่อย นับดูแล้วเป็นเวลาเกือบสองปีที่เขาได้มาประจำอยู่ที่นี่ เขาคิดในใจพลางทอดสายตามองไปยังแม่ทัพใหญ่ที่ดูไม่สะทกสะท้านกับสภาพอากาศอันทุรกันดารอย่างพิศวง

           “อา ผิวหนังท่านแม่ทัพใหญ่คงด้านแล้วสินะ” เขาบ่นพึมพำขึ้นมาอย่างสงสัย จ้องมองท่านแม่ทัพใหญ่เซียวที่ชอบนั่งยิ้มเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียวท่ามกลางทะเลทรายอย่างไม่รู้สึกรู้สา ไม่รู้จะยิ้มกระไรนักหนา เอ้อหูนั่งสังเกตการณ์อีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ จนกระทั่งแลเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งเดินเข้าไปหาผู้เป็นแม่ทัพ
 
           “ท่านอา หากข้าโตเป็นสาวจะแต่งให้กับท่านดีไหม” เด็กสาววัยหกขวบเดินเข้าไปหยอกล้อผู้เป็นแม่ทัพใหญ่อย่างมิเกรงใจใคร นางเป็นลูกสาวของกองคาราวานพ่อค้าในชนเผ่าแถบนี้ เผอิญเมื่อสองคืนก่อนกองคาราวานของพวกนางถูกโจรทะเลทรายซุ่มโจมตี โชคดีที่กองกำลังของราชสำนักกำลังออกลาดตระเวนอยู่ จึงเข้าช่วยพวกนางไว้ได้อย่างปลอดภัย

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะอบอุ่นดังก้องทำให้นางต้องหน้าแดง เห็นท่าทางองอาจของท่านอาผู้นี้ ผิวกายที่คล้ำแดดขับดันให้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายสมชายชาตรี บ่าที่กว้าง ท่อนแขนที่แข็งแกร่ง รวมถึงพละกำลังดุดันที่เข้าต่อสู้กับพวกโจรแล้ว นางแทบเก็บเอาไปเพ้อฝันเลยทีเดียว

           “อาจู เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน รีบกลับมาหาแม่เดี๋ยวนี้” ได้ยินบุตรสาวกล่าววาจามิรู้จักที่สูงที่ต่ำแล้ว มารดาของอาจูถึงกับหน้าซีด “ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่จะลดตัวมาแต่งกับเจ้าได้เยี่ยงไร” นางเอ่ยเสียงดุจนอาจูเริ่มทำหน้าเบ้

           “ไม่เอา อาจูจะแต่งให้กับท่านอา” อาจูยังคงรั้น จนผู้เป็นมารดาต้องก้าวเข้ามาหมายว่ากล่าวสักอีกหลายประโยค ทว่าท่านแม่ทัพใหญ่กลับมิถือสาหาความ มือที่ทรงพลังนั้นยกขึ้นทัดทานพร้อมทั้งสีหน้ายิ้มแย้ม เขาย่อตัวลงกล่าวกับเด็กน้อย

           “ท่านอาแต่งกับอาจูมิได้หรอก” น้ำเสียงอบอุ่นกล่าวก่อนหยุดลงคล้ายกับครุ่นคิดเรื่องใดอยู่ ไม่นานรอยยิ้มก็เหยียดกว้างขึ้น “ท่านอาจะแต่งกับคนเพียงผู้เดียวเท่านั้น”

           “ใครหรือ สวยกว่าอาจูไหม” อาจูมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังคงซักต่อเมื่อแลเห็นใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้าใกล้ๆ แต่แล้วท่านอาผู้นั้นกลับหยิบเม็ดทรายขึ้นมากำหนึ่ง มือใหญ่นั้นละเลียดจับเม็ดทรายน้อยๆอย่างอ่อนโยน คล้ายกับว่ากำลังจับมือคนรักอยู่ จากนั้นจึงกล่าวกับนาง

           “สวยสิเปล่งประกายเหมือนเม็ดทรายพวกนี้เลย”

           ...ต้าเซียนเจ้ารู้ไหม แม้ข้าจะมิได้พบหน้าเจ้า แต่เพียงข้าอยู่ท่ามกลางเม็ดทรายพวกนี้ ข้ากลับรู้สึกเหมือนกับว่า เจ้ามิได้อยู่ห่างไกลจากข้าเลยแม้แต่น้อย

           อาจูมองการกระทำนี้อย่างเงียบงัน มองใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อยๆก็พลันรับรู้ได้ถึงความเศร้าสร้อยที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวท่านอา ไม่นานนักเสียงของทหารนายหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมา

           “ท่านแม่ทัพเซียวมีจดหมายด่วนถึงท่าน”

           เซียวถิงฟงรับฟังก็วางเม็ดทรายลง ก้าวตรงไปยังนายทหารที่มาส่งสาร เขาคลี่มันออกอ่าน ชั่วขณะหนึ่งสีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ไม่นานก็เอ่ยเสียงดัง “เอ้อหู จากนี้เจ้าเป็นผู้นำคุ้มกันกองคาราวานนี้ไปส่งถึงหมู่บ้านอย่างปลอดภัย ข้าจะกลับไปยังเมืองลู่หยาง”

           “ขอรับ” เอ้อหูตอบรับคำสั่งอย่างแข็งขัน จากนั้นจึงแลเห็นผู้เป็นแม่ทัพกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่วแล้วควบจากไปอย่างรีบร้อน

           เซียวถิงฟงใช้เวลาเกือบเดือนควบม้าเร็วมายังเมืองลู่หยาง โดยที่มิได้มีเวลาพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ เพียงใช้เวลาหลับพักไม่กี่ชั่วยามระหว่างจุดเปลี่ยนม้า จนในที่สุดก็เดินทางมาถึงหน้าคฤหาสน์ตระกูลเซียว

           เขากระโดดลงจากหลังม้าก่อนจะหยุดชะงักลงเล็กน้อย ความทรงจำหนึ่งหวนขึ้นมาให้นึกคิด เขามองม้าเร็วที่ขี่มา มันเองก็มองหน้าเขาก่อนจะใช้ปลายจมูกชนที่มือเขาเบาๆ ดูแล้วมันเป็นม้าหนุ่มสีน้ำตาลที่ขี้เล่นในครั้งนั้น รอยยิ้มผุดขึ้นน้อยๆ ครั้งหนึ่งต้าเซียนเคยแกล้งให้เขานอนกอดผ้านวมบนหลังเจ้าม้าตัวนี้

           ...แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนั้นอีกไหมเขาทอดหายใจลงเล็กน้อยก่อนเดินเข้าไปยังด้านในคฤหาสน์ตระกูลเซียว ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยโวยวายขึ้น

           “ไอ้ลูกตัวดี ทำไมต้องสร้างเรื่องให้ข้าไม่หยุดหย่อน ข้าขายขี้หน้าชาวบ้านชาวเมืองเค้าจะแย่อยู่แล้ว เมื่อไหร่มันจะไสหัวกลับมาสักที”

           ที่โถงกลางของจวน เซียวถิงฟงเงี่ยหูฟังแล้วบังเกิดเป็นความรู้สึกลางไม่ดี มือหนึ่งค่อยๆแง้มเปิดประตูเข้าไป แล้วจึงแลเห็นตาแก่ที่หน้าตาคล้ายคลึงกับตนถึงแปดเก้าส่วน แต่ในตอนนี้ดวงตาที่ต่างกันเพียงแค่สีกำลังเบิกตากว้างขึ้นเมื่อเห็นหน้าเขา ที่ด้านหลังของบิดายังคงมีพ่อบ้านที่คอยถือพัดโบกปลอบอารมณ์ผู้เป็นนายมือเป็นระวิง

           “เฮอะ พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา...มาให้ข้าหักคอซะดีๆมา” เซียวถิงหลี่ทิ้งมาดอัครเสนาดีใหญ่ประจำวังหลวง แย่งเอาพัดขนนกยูงในมือพ่อบ้านแล้วก้าวตรงมาแล้วฟาดใส่ลูกชายไม่ยั้ง

           “โอ๊ย ไหนว่าใกล้จะตายแล้วไง ทำไมแรงดีอย่างนี้” เซียวถิงฟงร้องบอกเมื่อถูกพัดกระหน่ำตีอย่างไร้เหตุผล

           “ถ้าข้าไม่ส่งข่าวเช่นนั้น เจ้ามีรึจะกล้ากลับมา ไอ้ลูกไม่รักดี ข้าจะตีเจ้าให้ตายกล้าก่อเรื่องถึงเพียงนี้เชียวรึ” เซียวถิงหลี่ตวาดใส่ด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยโทสะ ไม่สนใจพ่อบ้านที่เอาแต่ร่ำร้องว่า จะพังแล้วๆ พัดขนนกยูงสุดหายาก
   
           “เดี๋ยว ข้าไปทำอะไรให้ท่านกัน หยุดๆ” เซียวถิงฟงยกแขนต้านพัดขนนกยูงก่อนที่มันจะกระแทกใส่หน้าเขา

           เซียวถิงหลี่ยิ่งทำหน้าเขียวดุใส่ “จะ เจ้ายังกล้าถามอีกรึ เจ้าไปล่อลวงใครมา ทำเอาเขาต้องกระเตงลูกมาหา ไอ้ตัวโสโครก” พัดขนนกยูงถูกกระหน่ำตีอีกครั้งจนขนกระจุยกระจาย ทำเอาพ่อบ้านแทบร้องไห้มิออก

           “ตาแก่ ล้อเล่นกระไร ข้าไม่เห็นจะรู้เรื่อง ล่อลวงอะไร พอๆ เลิกตีข้าสักที”

           เมื่อตีจนอาวุธในมือไม่เหลือ เซียวถิงหลี่ก็เหลียวซ้ายแลขวาหาอาวุธใหม่ที่เหมาะมือ กระทั่งเหลือบไปเห็นดาบที่ข้างเอวลูกชายก็ชักออกมาชี้หน้า ประกาศเสียงกร้าว “เจ้ารับปากข้ามา จะรับผิดชอบทั้งสองชีวิต เช่นนั้นอย่าหาว่าข้า...เซียวถิงหลี่ไม่เตือน”

           นับแต่เจ้าลูกชายไปเป็นแม่ทัพที่ชายแดนทางฝั่งตะวันตกก็มีหญิงสาวมากหน้าหลายตามาร้องห่มร้องไห้ กล่าววาจาว่าตนได้เสียกับบุตรชายของตน ดีที่ว่าพอซักไซ้ไปมาจึงได้รู้ว่าเป็นเรื่องเหลวไหลพกลม แต่ทว่าครานี้ถึงกับมีเด็กติดตามมาด้วย ซ้ำยังเฉลียวฉลาด นิสัยไม่กลัวใคร ทั้งโดดเด่นแข็งกร้าวคล้ายกับบุตรชายของตน แทบทำให้เขาหัวใจจะวาย

           “ไม่ ข้ามิเคยกระทำเรื่องเสื่อมเสียอันใด ทำไมต้องรับผิดชอบ ตาแก่เองก็คงอายุมากแล้ว ตาถึงได้ฝ้าฟาง หูจึงได้ตึงยิ่งนัก ถึงกับหลงเชื่อพวกนักต้มตุ๋นเป็นตุเป็นตะเข้าได้” กล่าวจบก็เห็นเซียวถิงหลี่ถลึงตาเข้าใส่จนแทบจะถลน ทั้งพยายามควบคุมอารมณ์โกรธกล่าวถามขึ้นอีกครั้ง

           “ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย บอกมาคำเดียวจะแต่งรึไม่แต่ง”

           “ไม่แต่ง” คำตอบห้วนๆถูกส่งกลับมาอย่างไม่ต้องคิด

           เซียวถิงหลี่รับฟังแล้วลมแทบจุกอก โวยวายขึ้นอีกครั้ง “หนอย ไอ้ลูกคนนี้ ปีกกล้าขาแข็ง ปล่อยข้า ข้าจะเอาเลือดหัวมันออก”

           เห็นมือเงื้อดาบขึ้นสูง ไยต้องรอช้า พาตัวเองเผ่นแนบออกมาทันที เสียงเจ็บใจของบิดาดังก้องไปทั่วจวน แต่ฝีเท้าเขาก็ไม่คิดจะหยุดลง ดีที่พ่อบ้านกระโดดโถมเข้าใส่ตาแก่เสียก่อนเขาจึงหลบได้พ้น

           ฝีเท้าว่องไววิ่งมาจนถึงสวนในคฤหาสน์ก็เปลี่ยนกลับเป็นปกติ เขาเดินทอดน่องไปตามลำพัง กายสัมผัสได้ถึงสายลมหนาวที่พัดผ่านเบาๆ บรรยากาศเงียบเหงา จนอดคิดถึงเรื่องหนึ่งไม่ได้ สองเท้าหยุดลงที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มือเอื้อมขึ้นลูบเบา ยังคงจดจำได้ดีว่า ครั้งหนึ่งร่างน้อยเคยตกลงมาได้อย่างไร

           ...ตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ยังรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่อีกรึเปล่า ข้า...ข้าคิดถึงเจ้า ต้าเซียน ในอกพลันรู้สึกปวดแปลบ จนเขาต้องยกมือทุบเข้าไปตรงอกตัวเองไปสองสามครั้ง ด้วยหวังให้ความเจ็บปวดทุเลาลง

           พอดีกับที่เสียงฝีเท้าเบาปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง ตามมาด้วยสุ้มเสียงของเด็กชายชายอายุราวเจ็ดแปดขวบ “เจ้าเป็นใคร มาทำลับล่ออยู่ที่นี่ รึคิดมาขโมยอันใด”

           “เจ้าเห็นส่วนใดของข้าเป็นโจรกัน” เซียวถิงฟงหันกลับไปต่อปากต่อคำ จึงได้เห็นเด็กชายที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา
เด็กชายเพียงจับจ้องหน้าคนแปลกหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้ากล่าวเสียงดังลั่น “ก็ทั้งหมดแหละ”

           “......” เซียวถิงฟงรับฟังจนถึงกับริมฝีปากของกระตุก

           แลเห็นอีกฝ่ายเงียบไปเขาก็ยิ่งแสดงท่าทีมั่นใจ ดูยังไงชายฉกรรจ์ตรงหน้าก็เหมือนโจร สีผิวที่คล้ำแดด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา ดวงตาพยัคฆ์ที่ดูดุดัน จะดูยังไงก็เหมือนกับจอมโจมโฉดในตำราที่ข้ารับใช้อวี่จงเคยบรรยายให้ฟัง อีกทั้งตนอยู่ที่นี่มานานนับสามถึงสี่เดือนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นบุคคลผู้นี้ เช่นนั้นจะเป็นใครได้เสียอีก

           “แล้วเจ้าเล่าเด็กน้อย เจ้าเป็นใครกัน ถึงไม่รู้จักข้า” กล่าวจบเซียวถิงฟงก็กอดอกประเมินมองเด็กตรงหน้าอย่างละเอียด รูปร่างที่สมส่วน ใบหน้าที่ดูคมคาย คาดว่าภายภาคต้องดูสะดุดตา อีกทั้งดวงตาที่มีพลังเฉกเช่น...ประกายความแปลกใจแล่นวาบผ่านดวงตา

           “อย่ามาเรียกข้าว่าเด็กน้อย ข้ามิใช่เด็กแล้ว ข้าน่ะเป็นถึงคุณชายน้อยตระกูลเซียว เฮอะ” เห็นคนตรงหน้ากอดอก เขาก็กอดอกข่มอีกฝ่ายบ้าง

           ฝ่ายเซียวถิงฟงเห็นเด็กชายวางท่าไม่หยุดก็แค่นเสียงหัวเราะ “ฮึ ฮึ แต่เท่าที่ข้ารู้มา ตระกูลเซียวมีคุณชายเพียงคนเดียว และนั่นก็คือ ข้า”

           เด็กน้อยรับฟังก็ตะลึงมองอีกฝ่ายไม่กล่าววาจาใด คล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งฝีเท้าหนักใกล้เข้ามาก็ปรากฏเป็นข้ารับใช้ซื่อบื้อผู้หนึ่ง

           “คุณชายน้อย ท่านหายไปไหนมา ข้าตามหาซะแทบแย่ ข้าไปสืบข่าวมาแล้ว ได้ยินว่าบิดาท่านกลับถึงจวนแล้ว” อวี่จงวิ่งเข้ามาก็เอาแต่พร่ำพูดไม่หยุด มิได้แม้แต่จะสังเกตเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนกอดอก มองด้วยสีหน้าทะมึนตึง

           ...ดีนี่ อวี่จง เจ้าเปลี่ยนนายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เซียวถิงฟงแค่นหัวเราะเหี้ยมในใจ ดวงตาวาวโรจน์ ฮึ ฮึ นับจากนี้ไปข้าจะสละเวลามาสั่งสอนเจ้าสักหลายกระบวนท่า

           คล้ายรับรู้ได้ถึงบรรยากาศกดดัน อวี่จงเหลียวหน้าไปดูก็ถึงกับ สะดุ้งตัวโหยง คล้ายกับพบภูติผีก็มิปาน ปากโพล่งออกมา “อ้าว คุณชายเซียว ท่านมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”

           “เจ้าเด็กนี่ใคร” เซียวถิงถามเข้าประเด็น ด้านฝ่ายอวี่จงก็รู้สึกเหงื่อตก แลซ้ายแลขวาก็ดูไม่มีใครช่วยได้จึงกล่าวออกไป

           “โธ่ คุณชาย นี่ก็ลูกชายท่านไง เหมือนท่านเปี๊ยบ” อวี่จงกล่าวซื่อๆ ทว่าคุณชายน้อยที่ยืนอยู่ข้างกายกลับขมวดคิ้วแฝงแววไม่พอใจ

           “ข้าไม่มีพ่อหน้าตาเหมือนจอมโจรโฉด” กล่าวจบเด็กน้อยก็วิ่งปรู๊ดออกไป ยังผลให้อวี่จงต้องทำหน้าเหลอหลา ก่อนจะรู้สึกตัวแล้ววิ่งตามคุณชายน้อยไป ทิ้งไว้ให้เซียวถิงฟงควันออกหู ปากกระตุกค้างอีกรอบ

           มิเข้าใจจริงๆว่าทุกคนคิดกระไรอยู่ เด็กกำมะลอคนนี้อายุราวเจ็ดแปดขวบ เช่นนั้นมิใช่ว่าข้ามีลูกตั้งแต่ตอนอายุสิบเจ็ดรึ เฮอะๆ เลอะเลือนจริงๆ เลอะเลือนกันไปหมดแล้ว

           ย่ำเท้ามาถึงตำหนักพิรุณอันเป็นเรือนพักของตนก็เจอะเข้ากับเจ้าแมวสาวสุดรัก แต่ยังมิทันออกปากทักทาย ถิงถิงก็หยัดยืนขึ้น จากนั้นจึงเมินหน้าหนีกระโดดออกไปทางหน้าต่าง เขาถึงกับหน้าเขียว ดูว่าไม่มีใครต้อนรับเขาเลยสักคน ว่าแล้วก็ต้องสะบัดความเศร้าในใจทิ้งไป

           ฝีเท้าเดินตรงไปยังหีบผ้าใบหนึ่ง ค้นอยู่ครู่หนึ่งก็เจอเสื้อคลุมขนจิ้งจอก แม้มีร่องรอยขนหลุดล่วงไปบ้างเพราะการยื้อยุดของใครบางคน แต่เขาก็ไม่ใส่ใจ สวมทาบทับบนกายก่อนจะตรงไปยังสถานที่ที่คิดถึง

           ดอกบัวยังคงบานอย่างเงียบเหงา คล้ายรอคอยการกลับมาของคนผู้หนึ่ง เซียวถิงฟงพายเรือลำเล็กไปด้วยจิตใจที่เซื่องซึม ใบหน้าฉายให้เห็นชัดถึงเค้าความเมื่อยล้า แลไม่นานนักดวงตาก็คล้อยปิดลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย

           ..................

           ..........

           ...

           ทว่าในตอนนั้นเอง กลับมีมือขาวซีดข้างหนึ่งโผล่พ้นขึ้นมาเหนือสระ ดูน่ากลัวท่ามกลางบรรยากาศที่วังเวง ร่างๆหนึ่งตะเกียกตะกายขึ้นมาบนเรือลำเล็กอย่างทุลักทุเล สายตาจับจ้องมองสิ่งหนึ่งจนยากที่จะคาดเดา

           รู้สึกถึงหยดน้ำร่วงตกลงสู่ใบหน้า จนดวงตาที่ปิดอยู่ถึงกับสั่นระริก เสมือนได้ยินเสียงหนึ่ง แต่ทว่ามันกลับมิใช่น้ำเสียงของเขา

           “ชะตาเราต้องกัน วันนี้ยอมเป็นของข้าแต่โดยดีเถิด ฮ่า ฮ่า”

           คำพูดและเสียงหัวเราะย่ามใจดังขึ้นเหนือร่าง อีกทั้งยังรู้สึกถึงการถูกลูบไล้ตัวไปทั่ว ยังผลให้เขาต้องรู้สึกเสียวสันหลัง จู่ๆก็รู้สึกถึงเสื้อที่ถูกปลดออก เซียวถิงฟงกับได้สติกระเด้งตัวร้องขึ้นบัดดล
           
           “อ๊ากกก”

           “โอ๊ย หูของข้า” 

           “จะ เจ้าจะทำอะไร” เซียวถิงฟงละลักละล่ำถาม ก่อนที่สองตาจะแลเห็นได้เงาร่างที่เปียกปอนได้กระจ่างชัด

           “ข้าแค่จะเอาเสื้อ เหตุไฉนต้องร้องราวกับผู้อื่นจะข่มเหงเจ้าด้วย” ต้าเซียนที่เปียกปอนกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ สองมือยังคงปิดป้องที่ใบหูน้อย

           “ต้าเซียน” เซียวถิงฟงร้องเรียก ครั้นเห็นร่างน้อยทำหน้างุนงงก็กระโดดเข้ากอด ร่ำร้องด้วยความดีใจ “เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว เจ้ากลับมาหาข้าจริงๆ”

           “อะไรกัน ข้าแค่หายไปราวสองเดือนเท่านั้น ไยต้องตื่นตกใจถึงเพียงนี้” ต้าเซียนกล่าวอย่างงุนงงพร้อมทั้งเกาหัวแกรกๆอยู่หลายครา

           “ต้าเซียน เจ้า...เจ้าหายไปจากข้าตั้งสองปี เจ้าหายไปไหนมา” เซียวถิงฟงถึงกับน้ำตาคลอ การจากไปที่ไม่มีแม้แต่คำอำลาใดๆ ยังผลให้เขายังรู้สึกขมขื่นมาจนถึงทุกวันนี้

           “อา ตอนนั้นข้าต้องรีบไปฟื้นฟูดวงวิญญาณของเฟยหลงขึ้นก่อนที่จะดับสลายไป ข้าเลยกลับมาช้าก็เท่านั้นเอง ว่าแต่ข้ามาฟื้นฟูพลังที่นี่ตั้งนานแล้วแต่เจ้าไม่อยู่เอง เจ้าไม่ได้รอข้ากลับมาเลยสักนิด น่าโมโหนัก” ต้าเซียนแย้งชูมือขึ้นท้วงอย่างโมโห

           เซียวถิงฟงถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะบอกยังไงดี “เอ่อ ข้ามัวแต่ไปนั่งยิ้มคิดถึงเจ้ากลางทะเลทรายอยู่ตั้งนาน แฮะ แฮะ” กล่าวจบก็หัวเราะแห้งๆ

           ต้าเซียนรับฟังแล้วก็เบ้หน้าร้องบอก “ซื่อบื้อ” ทว่าร่างสูงกลับยิ้มกว้าง คล้ายไม่รู้สึกสากับคำว่ากล่าวแต่อย่างไร

           พูดคุยกับสักระยะ เซียวถิงฟงก็สังเกตเห็นอาการหนาวสั่นของร่างน้อย กลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นหวัด จึงรีบหันเหหัวเรือกลับในทันที แต่เมื่อใกล้ถึงท่ากลับเห็นแต่โคมไฟที่จุดเรียงรายกันเต็มไปหมด ดูว่าอีกไม่นานคงต้องเกิดเรื่องใหญ่อีกแล้วกระมัง

           “ต้าเซียน จากนี้ไป ไม่ว่าเจ้าได้ยินได้ฟังอะไรจากใคร ได้โปรดเชื่อใจข้า” เขาหันไปกล่าวกับต้าเซียน พอเห็นร่างน้อยมองเขานิ่งก่อนจะพยักหน้าก็วางใจ

           ต่อเมื่อเรือเทียบท่าแล้วก็เป็นดั่งที่เขาคาดคิด บิดาเขาเซียวถิงหลี่เดินตรงดิ่งเข้ามาหาอย่างกระฟัดกระเฟียดก่อนจะก่นด่าชุดใหญ่

           “เจ้ามันชั่วช้า ไม่คิดรับผิดชอบสองแม่ลูก ยังคิดจะเอาเปรียบข่มเหงซ้ำเติมเขาอีกรึ เจ้ายังเป็นผู้เป็นคนกับเขาอยู่รึเปล่า”
เสียงตวาดดุดันของเซียวถิงหลี่แทบทำให้ใครหลายคนสะดุ้งสุดตัว ที่ไม่ไกลออกไปยังเห็นเด็กชายที่พึ่งพบกันไม่นานยืนจ้องตาเขาเขม็ง

           “ตาแก่ ข้าจะบอกท่านเป็นครั้งสุดท้าย ข้ามิได้ล่วงเกินอะไรพวกเขา ฉะนั้นข้าจะไม่แต่งงานเด็ดขาด” เซียวถิงฟงประกาศกร้าว ทำเอาสีหน้าของบิดาย่ำแย่กว่าครั้งไหนๆ ข้ารับใช้ทุกคนต่างพากันเงียบสนิท หยาดเหงื่อหลั่งไหลยิ่งกว่าสายน้ำ ดูว่าวันนี้บ้านคงต้องพังกันไปข้าง

           “หนอยๆ จะ เจ้า” เซียวถิงหลี่กัดฟันแน่น ลมจุกในอกจนพูดอะไรไม่ออก สองขาเริ่มซวนเซลง พ่อบ้านตระกูลเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปประคอง เซียวถิงฟงรู้สึกผิดเล็กน้อยจึงคิดอ้าปากอธิบายอีกสักประโยค ทว่าน้ำเสียงนุ่มทุ้มก็พลันขัดขึ้น

           “เจ้ามิคิดแต่ง” เป็นเสียงของต้าเซียนนั่นเอง เสียงนั้นแฝงไปด้วยความโกรธเคือง ทำให้เซียวถิงฟงต้องหันไปมองหน้าร่างน้อยอย่างว้าวุ่นใจ

           “ข้าไม่แต่ง ข้าจะแต่งกับ...” เซียวถิงฟงพูดถึงตรงนี้ เด็กชายก็รีบปรี่เข้ามาประชิดต้าเซียนอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากน้อยๆนั้นชิงกล่าวขึ้น

           “เขามิคิดแต่งกับท่าน งั้นเรากลับกันเถอะ ข้าอยากไปเล่นกับพวกทหารเทพ” เด็กน้อยกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแส ทั้งยังเบือนหน้ามองจอมโจรโฉดแล้วแสยะยิ้มหยัน

           ด้านเซียวถิงฟงรู้สึกเหมือนสมองจะระเบิด เสียงดังวี้ๆลอยอยู่ที่ข้างหู ปากอ้าค้าง งงงันจนถึงขีดสุด รอจนต้าเซียนแค่นเสียงกล่าวเขาก็ยิ่งตะลึงลานเข้าไปอีกยกใหญ่

           “เฮอะ เจ้ามิคิดแต่งกับข้า งั้นไปกันเถอะ เฟยเทียน” กล่าวจบต้าเซียนก็จูงมือเด็กน้อยนามเฟยเทียนไว้ ก่อนจะพาเหาะเหินไปทั้งอย่างนั้น

           “ว๊ากกก เดี๋ยวก่อน ฟังข้าก่อน แต่งแล้ว ข้าจะแต่งแล้ว เอาเป็นว่าเข้าหอคืนนี้เลยเป็นไง อ๊ากก กลับมาก่อน ต้าเซียนนน” เซียวถิงฟงร้องเสียงหลง สองเท้าวิ่งไล่หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่อย่างบ้าคลั่ง ตั้งแต่เขากลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลเซียว กลับยังไม่มีใครบอกเขาเลยว่าสักคนว่าสองแม่ลูกคือใคร แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว

           แต่จะว่าไปแล้วก็ยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่ดูคลั่งไม่แพ้กัน “อ้ะ เดี๋ยว หลานข้า สะใภ้ข้า กลับมาก่อนนน” เซียวถิงหลี่เองก็ตะโกนลั่นก่อนจะวิ่งตามหลังบุตรชายไปติดๆด้วยท่าทีสติแตกไม่แพ้กัน

           ทำเอาข้ารับใช้ต่างชมดูกันอย่างตกตะลึง บ้างก็ชมดูอย่างสนุกสนาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มิได้มีใครแปลกใจกันสักเท่าไร อาจเป็นเพราะพวกเขาคุ้นชินกับคฤหาสน์ตระกูลเซียวที่มักมีแต่เรื่องพิลึกพิลั่นไม่หยุดหย่อนมานานแล้ว

           “โธ่ ต้าเซียน เจ้าอยู่บนพิภพสวรรค์สองเดือน แต่สำหรับข้ามันตั้งสองปีเชียวนะ” เซียวถิงฟงแผดเสียงร้องลั่นแทบอยากจะร่ำไห้เสียอย่างนั้น ฝีเท้ายังคงวิ่งไล่ตามเสียงหัวเราะชอบใจของต้าเซียนไปอย่างสุดแรงเกิด

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

(จบบริบูรณ์)


**************************************************


จบเเล้วจ้า ติชมเม้นท์เเนะนำได้นะจ้ะ เรื่องนี้ยังมีสเปเชียลคู่หลักเเละคู่รอง(เฟยหลง)นะจ้ะ เเต่จะไม่ได้อัพออนไลน์ เพราะมีคุยเรื่องรวมเล่มกันทางสนพ.เอาไว้ ซึ่งมีเเพลนจองปีหน้า หากใครสนใจรูปเล่ม ติดตามข่าวคราวได้ที่เพจนะจ้ะ https://www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/?ref=bookmarks

จากนี้ยังมีเเพลนเขียนเรื่องราวของซวนหยวนหมิงไท่กับ.... รอติดตาม เเต่อาจช้าหน่อยน้า เพราะยังมิได้เขียน เเฮะ เเฮะ


ขอบคุณที่ติดตามจนจบนะคะ  :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2015 22:15:02 โดย oaw_eang »

ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
จบได้น่ารักดีครับ ฮิๆ

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ขรรมขุ่นพ่อมาก
ขอให้เขียนนิยายดีๆแบบนี้มาเรื่อยๆนะคะ  o13

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ikou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ขอบคุณมากกกกกกก สนุกมากมาย  :katai4:

ออฟไลน์ boworange

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 537
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
 :pig4:  ขอบคุณคะ สนุกมากๆๆ เนื้อเรื่องและภาษาลื่นไหนมากๆ อ่านแล้วติดงอมแงม  :L1:

ออฟไลน์ w-for-winnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
สนุกมากๆค่ะ ภาษาก็ลื่นไหล

ว่าแต่เด็กคนนั้นมีที่มาที่ไปยังไงคะ

อยากอ่านตอนพิเศษกับ nc คู่นี้จัง
:mew2: :mew2: :mew2:

รอรวมเล่มค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-11-2015 11:24:24 โดย w-for-winnie »

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Tsubamae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
อยากให้มีอีบุ๊คจังค่ะ อยากอ่านเรื่องของซวนหยวนหมิงไท่ด้วยค่ะ. จะรอนะคะ

ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
อดหลับอดนอนอ่านรวดเดียวจบ ชอบมากกกกก สงสารเฟยหลง รักมั่นคงอาจจะดูร้ายแต่เราชอบ^^ น่าจะจบแบบ3P อิอิอิ มาต่อตอนพิเศษหน่อยน๊า ขอบคุณคนเขียนมากๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 735
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
อยากอ่านเรื่องของเฟยหลงกับค้างคาวน้อยต่อจัง
ติดตามอ่านมาซักพักและ
แต่เพิ่งจะมาตอบอ่ะ
ขอบคุณที่มาลงให้อ่านนะคะ

ออฟไลน์ cartoons

  • "ละอองกอ"
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-2
 :impress2: อ๊ากกกกกกกกก ชอบมากเรื่องนี้ สนุกมากกกก
น้ำตาไหลพรากๆ  :sad4: สุดท้ายก็ได้คริงคู่ซ้าที

ขอบคุณคนแต่งสำหรับนิยายดีๆสนุกๆคร่า

รอตอนพิเศษ อย่าใจจดใจจ่ออออออออออออ อยากอ่านตอนทั้งคู่ได้สวีทกันซ้ากที อยากอ่าน อย่ากอ่าน อย่ากอ่าน ตอนพิเศษษษษ พลีสสสสสสสสส  :mew2:

ออฟไลน์ parkii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตามอ่านจนจบ สนุกมากๆ
ไว้มานำเสนอผลงานเรื่องต่อๆ ไปนะ
จะรอติดตาม...

ออฟไลน์ mentholss

  • "เหตุผล" หรือ "ข้ออ้าง"
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
แล้วเจ้าหนูค้างคาวน้อยล่ะ แอบลุ้นให้เฟยเทียน(เฟยหลง)นะ หุหุ

ออฟไลน์ ammie_mn

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
ตอนแรกๆสนุกมาก หลังๆไม่คิดว่าจะดราม่าหนักอะไรขนาดนี้เสียทิชชู่ไปหลายแผ่นเลย ต้าเซียนคือสุดยอดต่อให้ถิงฟงจะทำร้ายจิตใจสักแค่ไหนแต่ก็กลับมาช่วยทุกครั้ง คือแอบเกลียดถิงฟงมากๆอะไรจะหวงนังองค์หญิงขนาดนั้นจนคิดว่าคงชอบกันแล้วไม่รู้ตัวรึเปล่า เหอะๆ เซ็งบทองค์หญิงมากมีแต่คนหลงรักจนคิดว่าเป็นนางเอกของเรื่อง กว่านางจะตายคืออึดอัดมากอ่านไปปวดใจจิ๊ดๆ

ออฟไลน์ Raina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
คลั่งรักกันทั้งเรื่อง เสิร์ฟมาม่ากันแบบไม่มีกั๊กเลย  :o12:

เห็นด้วยกับข้างบนจ้า ว่าหลายๆครั้งรู้สึกเหมือนองค์หญิงเป็นนางเอก เพราะทุกๆอย่างหมุนรอบตัวเธอ  :really2:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ่านละหงุดหงินพระเอกนะเรื่องนี้
บ้าบอไรกะไม่รู้แลดูพระเอกโง้โง่
สงสารต้าเซียนทั้งเรื่องเลย

ออฟไลน์ Frankdar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากกก  แต่หมั่นไส้พระเอกมากกกกกเช่นกัน  คนดีเกินไปไหม  อยากอ่านคู่เฟยหลง กับคู่ไป๋เซ่อจังง  :katai2-1:

ออฟไลน์ mass

  • "Smile! It increases your face value." -Steel Magnolias (1989)
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณนะคะินิยายสนุกมากเลย หลงรักต้าเซียน :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด