[แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

สำรวจความต้องการให้มีการพิมพ์รวมเล่มนิยาย >>>>ข้ามพิภพ<<<< หรือไม่

ต้องการ
27 (67.5%)
ไม่ต้องการ
0 (0%)
ไม่แน่ใจ
13 (32.5%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 40

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]  (อ่าน 284890 ครั้ง)

ออฟไลน์ padloms

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๑๐


จุมพิตสีเลือด



สายนทีหลั่งหลากแหวกพรากม่านละออกหมอกปกคลุมอณูผิวเย็นยะเยือก ท้องฟ้าปิดทึบคือทัศนียภาพยามอรุณรุ่งแห่งกรุงเทพมหานคร ภัทรพจน์จ้องมองแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านหมู่ต้นไทรริมตลิ่ง ปรากฏศาลาท่าน้ำทรงไทยหลังเก่า ตั้งอยู่หว่างกลางไพรพฤกษานานาพรรณ ชานเรือนด้านหลังเปียกชื้นด้วยหยดน้ำค้าง พี่ส้มกำลังใช้ผ้าแห้งเช็ดถูทำความสะอาดพื้นกระดานอยู่ ท่ามกลางเสียงฮำเพลงลูกทุ่งของหญิงรับใช้ นกประหลาดตัวหนึ่งโผบินจากหมู่แมกไม้ยืนต้นด้านทิศเหนือของเรือนไทย กางปีกสีส้มสยายขนรับลมพยุงกระพือร่างใหญ่ขนาดเท่าไก่ชนพร้อมเสียงร้องแหลมสูง ร่อนหายลับเข้าสู่ไม้ใบของแนวต้นไทรริมตลิ่ง พจน์เคยเห็นนกตัวนี้หลายครั้งหลายหนแต่ไม่สามารถสังเกตได้ชัดถนัดตา จนไม่อาจระบุสายพันธุ์ของมันได้
 
“ไปโรงเรียนได้แล้ว ไอ้พจน์ พ่อมึงให้มาตาม”

พจน์พยักหน้าให้ไอ้ปาล์มในชุดนักเรียนตัวเมื่อวานซึ่งฝากพี่ส้มซักรีดแล้วเรียบร้อย เด็กหนุ่มตาสวย กระชับเสื้อกันหนาวหนังสีน้ำตาล

“มึงยืมเสื้อกันหนาวกูก่อนก็ได้นะ” พจน์เดินตามไอ้คนมานอนค้างเมื่อสังเกตุเห็นอาการสั่นสะท้าน

“ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวก็คงอุ่นขึ้น” คุณชายปาล์มปฏิเสธหน้านิ่ง พจน์จึงวาดแขนโอบไหล่เพื่อนสนิท พร้อมรอยยิ้มกว้าง
 
“อยากให้กูกอดก็ไม่บอกดีๆนะ มึงอ่ะ” ปาล์มส่ายหน้าอมยิ้ม สองเด็กหนุ่มกอดกันกลมเหมือนแฝดสยามลงไปสมทบกับดาวและภพดนัย ณ โรงจอดรถ
 
หลังการรับประทานอาหารเช้ามื้อเย็นยะเยือก อาธนพลในชุดทำงานสีน้ำตาลก็รีบหุนหันไปทำงานทันที คุณปู่กับคุณชาญณรงค์แจ้งว่ามีเรื่องต้องสืบค้นจึงพากันคลุกตัวอยู่ห้องสมุดบริเวณปีกเรือนด้านขวา ทำให้การรับประทานอาหารเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว สีหน้าผิดหวังคือคำตอบของป้าแจ่มเมื่อมาพบภาชนะอาหารที่พร่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ทำไมวันนี้คุณพ่อแต่งชุดดำครับ” พจน์ถามทันทีเมื่อนั่งลงเบาะหลังรถพร้อมไอ้ปาล์ม ดาราจับจองที่นั่งด้านหน้า ภพดนัยแต่งชุดแขนยาวสีดำกลัดกระดุมถึงเม็ดบน เนคไทดำ เช่นเดียวกับชุดสูท

“เพื่อนที่ทำงานพ่อเสียเมื่อคืนน่ะ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบกล่องพัสดุในห้องเกิดเหตุ แพทย์ชันสูตรตรวจเจอสารพิษในหลอดลมและปอดส่งผลให้ร่างกายเป็นอัมพาต นำส่งโรงพยาบาลไม่ทันเลยเสียชีวิตทันที ตำรวจกำลังสืบหาต้นตอของกล่องว่างเปล่าข้างผู้ตายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่” ภพดนัยอธิบายสีหน้าเศร้าหมอง

“เค้าเป็นเพื่อนสนิทของพ่อเอง ถ้ากล่องพัสดุตรวจพบสารพิษปนเปื้อนจริง เขาก็ไม่น่าจะต้องมารับเคราะห์แทนพ่อเลย”

“หมายความว่ายังไงหรือคะ” ดาวตามเสียงตระหนกตกใจ

ภพดนัยลอบถอนหายใจหยิบแว่นกันแดดสีดำขึ้นสวมบดบังนัยน์ตาโศกเมื่อรถแล่นพ้นประตูรั้ว นักข่าวจำนวนมากเตรียมตั้งกล้องถ่ายพร้อมแสงแฟลชวูบวาบ ด้านนอกคงมีเสียงตะโกนถามดังสนั่น เบื้องหลังลุงชมจัดการปิดประตูได้ทันการณ์ รถยนต์แล่นฝ่ากองทัพนักข่าวได้อย่างอยากเย็น
 
“กล่องพัสดุนั่นจ่าหน้าชื่อถึงพ่อเอง ด้วยความหวังดีเพื่อนของพ่อคงแกะเปิดออกให้” พจน์รับรู้ถึงเสียงสั่นเครือได้ดี ไอ้ปาล์มขมวดคิ้วแน่นเช่นเดียวกับฝ่ามือซึ่งถือกระเป๋านักเรียน

“มีคนจะทำร้ายคุณพ่อหรือครับ” พจน์รู้สึกสับสน

“พ่อไม่เคยมีศัตรูหรือทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจอย่างแน่นอน พ่อยืนยันในข้อนี้ได้” พจน์เห็นด้วยกับคำพูดของภพดนัย ด้วยลักษณะนิสัยนุ่มนวล สุภาพนอบน้อมของผู้เป็นบิดา จะมีแต่ผู้คนรักใคร่เสียมากกว่า

กลุ่มหมอกเริ่มสลัวรางเมื่อแสงแดดระริกไหวเริ่มฉายฉาน ทัศนวิสัยบนท้องถนนยังไม่เกินกว่าห้าเมตร
 
“มันอาจเกิดการผิดพลาดบางอย่าง ต้องรอตำรวจสืบสวนให้เสร็จสิ้น ลูกไม่ต้องเป็นกังวลนะ พจน์ ดาว” ชายหนุ่มลูบผมเปียของลูกสาวปลอบโยนลูกชาย “แต่ต้องไม่ประมาท”

“ครับ” พจน์กดฟันตอบ

“ค่ะ” เด็กสาวรับคำเสียงหนักแน่น

เรื่องราวนี้รบกวนความคิดของพจน์ไม่น้อย เขาสัมผัสถึงอันตรายบางอย่างกำลังคลืบคลานมาสู่ครอบครัวเทพวิมาน แต่ไม่สามารถระบุได้แน่ว่าเป็นความจริงหรือคือสิ่งนึกคิดไปเอง

“คุณพ่อรู้จักคุณชาญณรงค์มานานหรือยังครับ” พจน์เปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศตรึงเครียด

ภพดนัยเลิกคิ้วขึ้นสูง เหลียวหลังมองลูกชายชั่วครู่

“แปลกนะที่อยู่ๆลูกพูดถึงคุณชาญณรงค์ พ่อคิดว่าลูกจะไม่ชอบเขาเสียอีก” ภพดนัยหัวเราะเสียงเบา

“คุณชาญณรงค์ออกจะน่ารัก นิสัยก็ดี เก่งเรื่องวาดรูปด้วย ยังมาดูรูปวาดของดาวพร้อมคำติชมบ่อยๆเลย” ดาวส่งเสียงร่าเริงทันทีเมื่อพูดถึงคนคนนี้

“ผมไม่ได้ไม่ชอบคุณชาญณรงค์ครับ” พจน์ตอบสีหน้านิ่ง

“โอเคๆ พ่อเข้าใจ ถามว่ารู้จักคุณชาญณรงค์เมื่อไหร่ คงเป็นตอนที่คุณปู่ของลูกๆรับเขาเข้ามาเป็นผู้ช่วยนั่นแหละ ก่อนหน้านั่นพ่อไม่เคยเจอคุณชาญณรงค์มาก่อนเลย” นี่คือสิ่งค้างคาใจพจน์เมื่อตอนรุ่งสาง เหตุการณ์ที่เขาพบเจอเป็นสัญญาณบอกว่า ชาญณรงค์ ชายหนุ่มผู้ช่วยของคุณปู่ มีท่าทีชอบพอบิดาของตนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

“แล้วคุณชาญณรงค์เคยพูดคุยแบบ...เอ่อ...แบบสนิทสนมกับคุณพ่อบ้างหรือเปล่าครับ” พจน์กลั้นหายใจถาม

“แบบสนิทสนมนี่หมายความว่ายังไง พจน์” ภพดนัยถามกลับ แววตาหลังแว่นดำสะท้อนกระจกมองหลังทำให้พจน์ไม่สามารถเห็นความจริงที่อยู่ในนั้นได้

“เปล่าครับ งั้นก็...ไม่มีอะไรแล้วครับ ผมแค่เกิดนึกสงสัยเฉยๆ”

“คราวหน้าถ้าสงสัยอะไร ถามคุณชาญณรงค์ได้เลย อย่างน้อยเขาก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรานะ พจน์” ภพดนัยไม่ได้ติดใจซักถามอีก พร้อมชี้แนะให้ลูกชายลองมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ช่วยของศาสตราจารย์วิชัยในคราวเดียวกัน

แฟชั่นเสื้อกันหนาวหลากสีราวลูกกวาดเคลื่อนที่ได้เป็นสิ่งแรกพบทันทีเมื่อพจน์ก้าวเข้าขอบรั้วโรงเรียน เขาอดสงสารไอ้ปาล์มไม่ได้ที่ต้องทนหนาวเพราะอาการปากแข็งสุภาพบุรุษของมัน จึงโอบไหล่เพื่อนรักตั้งแต่ประตูโรงเรียนจนถึงห้อง

“พี่ปาล์มมาค้างคืนกับพี่พจน์บ่อยๆนะคะ” ดาราฉีกยิ้มให้เพื่อนพี่ชาย
 
“เอ ทำไมหรือครับ” ไอ้เปรมณัฐถามกลับโคตรสุภาพ พจน์เองก็สงสัยเช่นกัน

“ดาวชอบให้พี่ปาล์มอยู่ใกล้ๆพี่พจน์ค่ะ มันดู...” ใบหน้าของเด็กสาวปรากฏเฉดสีชมพู “เพื่อนดาวก็ชอบพี่ปาล์มกับพี่พจน์ด้วยค่ะ แต่ไม่ใช่ชอบแบบนั้นนะคะ ชอบให้อยู่ด้วยกันน่ะค่ะ อย่าลืมมานอนค้างบ่อยๆนะคะ”

คุณชายปาล์มเหล่ตาขอความเห็นพจน์ซึ่งเขาพยักหน้าตกลง

“ได้สิครับ”

เพียงได้ยินคำตอบรับดาราก็รีบวิ่งเข้าสมทบกับกลุ่มนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ แล้วหลุดกรี๊ดรีบตะปบมือปิดปากเหมือนเพิ่งรู้ตัว แต่ละคนลอบมองเด็กหนุ่มรุ่นพี่ก่อนจะหัวเราะคิกคักจากไป

“มึงว่ามีอะไรแปลกๆเปล่าว่ะ” ไอ้ปาล์มสงสัยในพฤติกรรมน้องสาวของพจน์

“ไม่รู้ว่ะ เข้าห้องเถอะ” พจน์ดึงไหล่คนตัวหนาตามเข้าห้องเรียน

โต๊ะเรียนว่างเปล่าของไอ้กันเป็นสิ่งชินตาสำหรับทุกคนในห้อง มันหายไปไหน ไปทำอะไร และที่สำคัญเจ็บป่วยหรือเป็นตายร้ายดีอย่างใดหรือเปล่า ไม่มีใครตอบได้ นั่นทำให้พจน์ต้องยอมรับว่าอดห่วงเจ้านั่นไม่ได้จริงๆ
 
“มึงได้เอากระดาษแปลโคลงสี่สุภาพมาหรือเปล่า เมื่อคืนกูจะดูให้แต่มึงอยากนอนเสียก่อน” ไอ้ปาล์มหันหน้ามาถาม
 
“เอามา” พจน์หยิบกระดาษแปลให้คนร้องขอ เหลือเวลาอีกเพียงสองวัน หวังว่าไอ้กันคงไม่ลืมในสิ่งที่มันท้าทายพจน์และกลับมารอคำตอบ ใจหนึ่งพจน์อยากเห็นมันอีกครั้งว่ายังสบายดีอยู่หรือไม่

“มึงถอยออกไปเลย ไอ้ปาล์ม” ไอ้เตี้ยน้ำเดินมาแทรกกลางเด็กหนุ่มทั้งสองจับแยกคนทั้งคู่ออกห่าง “หมดหน้าที่ของมึงแล้ว วันนี้เป็นเวรกูเฝ้าดูแลไอ้พจน์เอง ไป ไปไหนก็ไป”

คุณชายเปรมณัฐยิ้มขำมุมปาก ส่ายหน้าน้อยๆแล้วนั่งลงเก้าอี้ของตัวเอง เสียงกลุ่มเพื่อนของพจน์อีกเจ็ดคนร้องต้อนรับ ส่วนหนึ่งกำลังลอกการบ้าน ซึ่งไม่พ้น ไอ้กีลูกครึ่งอังกฤษ ไอ้ต่อหน้ายาว ทรงผมสกินเฮด ไอ้โบทหน้าตี๋ และไอ้เอกผิวสีแทน ส่วนที่เหลือกำลังเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือแข่งกันอยู่

“ไอ้ปาล์มดูแลมึงดีเปล่าวะ” ไอ้น้ำกระซิบถามไม่ให้เจ้าตัวได้ยิน พจน์นั่งเก้าอี้ส่วนตัวพยักหน้า เหล่ตามองคนถูกพาดพิงซึ่งกำลังคร่ำเคร่งกับการถอดความโคลงสี่สุภาพตรงหน้า น้องน้ำจัดการย้ายไอ้โบทให้ไปนั่งที่เดิมของมันแล้วปีนตัวเองมานั่งคู่กับพจน์แทน ไอ้เตี้ยน้ำเถียงคอเป็นเอ็นว่าเพื่อจะได้ดูแลพจน์ให้ทั่วถึง ส่วนไอ้โบทโวยวายพอเป็นพิธีก่อนรีบลอกการบ้านวิชาสังคมต่อ
 
“มึงอย่าลืมเอากระดาษแปลโคลงของไอ้กันมาให้กูดูด้วยนะโว้ย กูกลัวว่ามึงต้องไปแฟนมันว่ะ” น้องน้ำทำหน้าปุเลี่ยนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
 
“เออ ครูประจำชมรมคนเจ้าบทเจ้ากลอนฝากกูมาบอกให้มึงไปหาด้วยเย็นนี้ เห็นบอกว่ามีเรื่องให้ช่วยอะไรไม่รู้ไม่ยอมบอกกู” มันทำตาโตปากยืนปากยาวแสดงอาการงอน ไอ้น้ำเป็นคนดูออกง่ายว่ามันรู้สึกอะไร เพราะทุกอย่างล้วนแสดงออกทางสีหน้าและการกระทำทุกอย่าง

“น้องน้ำหยุดพูดเหอะ พวกกูต้องใช้สมาธิแข่งเกมส์กันโว้ย” ไอ้เพรียวคางแหลมดักคอ ไอ้นายกับไอ้รักหัวเราะตบท้าย นั่นทำให้น้องน้ำหน้าคว่ำทันที ชี้หน้าพวกมันเรียงตัวเหมือนคาดโทษ พอดีกับเสียงสัญญาณเข้าแถวเคารพธงชาติดังขึ้น ทุกคนจึงรีบลงไปที่สนามหน้าตึกเรียน

เมื่อคาบเรียนวิชาแรกจบลง หัวหน้าห้องจึงประกาศว่าคาบวิชาภาษาไทย คุณครูติดธุระด่วนให้ทำสรุปเนื้อหาหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดและพร้อมส่งในวันพรุ่งนี้ เสียงโอดครวญดังตามติด กลุ่มของพจน์ลุกขึ้นยืนตกลงว่าจะไปนั่งม้าหินอ่อนข้างตึกเรียนใต้ต้นมะฮอกกานี โชคดีสำหรับพจน์เพราะได้นำหนังสือ อัญมณี ประวัติความเป็นมาและมูลค่าทางเศรษฐกิจ ติดกระเป๋ามาด้วย
 
กลุ่มของพจน์ไม่ใช่นักเรียนกลุ่มเดียวที่จับจองพื้นที่สวนป่าข้างตึกเรียน แต่ยังมีกลุ่มนักเรียนหญิงชั้นมัธยมต้นในชุดพละสีเทานั่งอยู่ก่อนแล้ว

พจน์สรุปเนื้อหาได้เกือบครึ่งของเล่มแล้ว ส่วนไอ้โบทแทบไม่ได้แตะหนังสือแม้แต่น้อยนั่นทำให้ไอ้พวกเข้าข่ายกำลังโดนไฟรนก้นรีบก้มหน้าเขียนสรุปความโดยแทบไม่ปริปากพูดคุยกัน ไอ้ปาล์มยื่นกระดาษแปลโคลงสี่สุภาพคืนพร้อมร่องรอยดินสอขีดเขียนเพิ่มเติม พจน์กวาดสายตาดูและพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่มันแก้ไข ไอ้น้ำนั่งอยู่ข้างซ้ายของพจน์ประกบติดราวกับกลัวพจน์หายตัวหรือโดนทำร้ายอย่างปัจจุบันทันด่วน

“ขอโทษค่ะ” เสียงเด็กสาวดังขัดจังหวะกิจกรรมคร่ำเคร่ง ทุกคนในกลุ่มต่างเงยหน้ามองเด็กสาวผู้สวมใส่ชุดพละเป็นตาเดียวกัน ใบหน้ากระจ่างใส รวมกับดวงตากลมโตไม่แพ้น้องน้ำทำให้ไอ้พวกเพื่อนของพจน์จ้องกันตาเยิ้ม
 
“ว่าไงครับ คนสวย” ไอ้กีรีบรับสมอ้างทันควัน
 
“ไม่ใช่พี่ค่ะ เพื่อนหนูฝากของขวัญมาให้พี่พจน์น่ะคะ” เด็กสาวมีท่าทีเขินอายเมื่อโดนสายตาเด็กหนุ่มทั้งสิบจ้องมอง คนอื่นส่งเสียงโอดโอยเมื่อบุคคลที่สาวเจ้ามาหาคือพจน์

“มึงอีกละ ไอ้พจน์ พี่ถามจริง ไอ้นี่มันมีอะไรดีหรือครับน้อง มีแต่สาวตามจีบมัน พวกพี่ๆหลายคนก็ยังโสดเหมือนกันนะครับ” ไอ้โบทกล่าวตัดพ้อยืดยาวตามประสาคนช่างคุย

เด็กสาวหัวเราะกลบเกลื่อน พลางยืนกล่องของขวัญขนาดเล็กห่อกระดาษสีชมพูพร้อมกระดาษข้อความสีครีม กลุ่มนักเรียนหญิงชุดพละซึ่งคาดว่าเป็นเพื่อนลุกขึ้นยืนเหมือนลุ้นรางวัล

พจน์ไม่อยากปฏิเสธให้ขายหน้าไอ้พวกนี้เลยพยายามยิ้มตอบ กำลังจะยื่นมือเข้าหาก็ถูกไอ้เตี้ยน้ำคว้ากล่องมาถือโดยเร็ว

“เพื่อนพี่ฝากขอบใจด้วยนะ” ไอ้น้ำพูดรัวเร็ว

“อ่อ ค่ะๆ” เด็กสาวล่าถอยกลับอย่างงุนงง กลุ่มของพวกเธอเดินจากไปทางสนามกีฬา จำได้แล้วว่าเป็นกลุ่มเดียวกับที่เคยให้กล่องของขวัญพจน์ในตอนเย็นที่มีพายุฝนตกหนัก และพจน์ลืมทิ้งไว้บนโต๊ะโรงอาหาร กลับมาหาวันรุ่งขึ้นก็ไม่เจอเสียแล้ว

“มึงนี่นะ ตัดบทไอ้พจน์ตลอด” ไอ้ต่อว่าให้น้องน้ำ แต่รอยยิ้มสะใจนั้นมอบมาให้พจน์

“กูเห็นมันลีลาอยู่นั่น อีกอย่างมันเป็นหน้าที่กูเว้ย วันนี้กูเป็นเวรดูแลไอ้พจน์ ก็ต้องดูแลอำนวยความสะดวกให้มันทุกอย่าง” ไอ้น้ำหยิบการ์ดขึ้นมาอ่าน
 
“แต่งเป็นโคลงสี่สุภาพด้วยว่ะ ฟังนะ” ทุกคนดูตื่นเต้นไม่ต่างจากไอ้น้ำพากันตั้งใจฟัง

         “มวลบุปผากิ่งก้าน     ดอกใบ ชื่นเอย
      รินหลั่งเลือดโลมไหล      หล่อค้ำ
      ผุดดอกเพลิงต้นไฟ        เกิดก่อ ฤาดับ
      โค่นไพร่ศัตรูซ้ำ             ต่อสู้ ขัดขืน”

   
“เพราะนะ แต่แปลกๆว่ะ” ไอ้ปาล์มออกความเห็นหน้านิ่ง

“นี่มันโคลงบอกรักหรือโคลงช้ำรักกันแน่เนี่ย กูบริการแกะให้มึงดูดีกว่า ข้างในจะเป็นอะไรวะ”

สีหน้าตื่นเต้นของคนลงมืออาสาทำให้พจน์ไม่อยากขัดขวางความสุขของเพื่อน อยากรู้เหมือนกันว่าของในกล่องคือสิ่งใด ฝ่ามือเรียวรีบแกะกระดาษห่อแล้วค่อยๆเปิดฝากล่องทันที ภายในกล่องของขวัญปรากฏดอกลีลาวดีสีขาวดอกหนึ่ง สดสวยงดงาม น่าดอมดม เสียงถอนหายใจดังระงม นึกว่าของขวัญจะเซอร์ไพรส์มากกกว่านี้ ล่าถอยกลับนั่งทำงานของตนเองต่อทันที ทุกคนรู้ว่าพจน์ชอบดอกลีลาวดี

“อะไรวะแมร่ง ไม่ลงทุนเลย เด็ดมาจากไหนละเนี่ย”

ทันทีเมื่อไอ้น้ำหยิบสัมผัสดอกลีลาวดี ร่างของเด็กหนุ่มตาโตก็สั่นสะท้าน ไอ้น้ำอ้าปากร้องไม่มีเสียงพจน์รับรู้อาการผิดปกตินี้ทันควัน ฉับพลันกลีบดอกสีขาวของลีลาวดีจึงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานทั่วทุกกลีบดอก สร้างความพิศวงแก่ทุกสายตาอย่างยิ่ง เสียงแผดร้องของนกบนต้นมะฮอกกานีเสริมส่งความสับสนอลม่าน

“ไอ้น้ำ มึงเป็นอะไรเปล่าวะ” พจน์เขย่าตัวร่างเล็ก ทุกคนลุกฮือด้วยสีหน้าซีดเผือด รุ่นน้องร่วมโรงเรียนบริเวณใกล้เคียงต่างชะเง้อมองร่างคนตัวเล็ก

แรงปัดจากฝ่ามือคนคนหนึ่งทำให้ดอกลีลาวดีนั่นร่วงหล่นบนพื้นโต๊ะหินอ่อน
 
“มึงรีบพามันไปห้องพยาบาลเดี๋ยวนี้”

เสียงทุ้มต่ำที่พจน์จำได้ดีแม้ไม่ต้องหันมองคือไอ้กันในชุดนักเรียนยืนอยู่ด้านหลังพจน์ด้วยสีหน้าถมึงทึง ไอ้กีรีบช้อนแขนอุ้มไอ้น้ำซึ่งหมดสติเสียแล้วไว้ในอ้อมแขน วิ่งรวดเร็วสู่ห้องพยาบาลที่อยู่ในตึกเรียนชั้นแรก ไอ้ต่อ ไอ้โบท เขย่าแขนไอ้น้ำให้คืนสติ ส่วนไอ้เอก ไอ้รัก ไอ้เพรียววิ่งรุดหน้าไปแจ้งครูประจำชั้น
 
พจน์มองตามหลังหมู่เพื่อนรักด้วยสติอันเลื่อนลอย มือสั่นสะท้านยากเกินควบคุม รับรู้น้ำตาเอ่อคลออยู่ทั้งสองข้าง
 
“กูเตือนแล้วว่าจะมีคนทำร้ายมึง” ไอ้กันพูดเสียงเข้ม พจน์เพิ่งสังเกตุเห็นรอยฟกช้ำทั่วใบหน้าของมันโดยเฉพาะตรงมุมปาก และพลาสเตอร์ปิดแผลเหนือคิ้วขวา ดวงตาดุเขม้นมองพจน์ การ์ดสีครีมจดจารโคลงสี่สุภาพถูกไฟปริศนาลุกท่วมมอดไหม้ ฉับพลันดอกลีลาวดีสีเลือดบนโต๊ะจึงเปลี่ยนเป็นดำทมิฬและสลายกลายเป็นผุยผงโดยเร็ว ดอกไม้ประหลาดนี่คือเรื่องตลกอะไรกัน

ลีลาวดีเพลิง” ไอ้กันตอบคำถามพจน์ “หรือรู้จักกันในอีกนามว่าจุมพิตสีเลือด


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2019 19:29:09 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ wwss2220

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :m31:มาต่อร็วๆนะค่ะ

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
ภัยเริ่มมาแล้ววว หนูพจน์จะทำยังไงเนี่ย

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ซับซ้อนเหลือเกิน   :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ตื่นเต้นน่าติดตามขึ้นเรื่อยๆเลย
ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:

ออฟไลน์ pnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :serius2: น้องน้ำของพี่ จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างหนอ มาต่อเร็วๆนะคะ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]


ห้องพยาบาลดูคับแคบถนัดตาเมื่อมีเด็กหนุ่มร่างโตสิบกว่าคนแออัดอยู่ในห้อง หลังจากครูผู้ดูแลจัดการปฐมพยาบาลเบื้องตน ตรวจสอบชีพจรและความดันเรียบร้อย อาการหมดสติของชลนธีไม่รุนแรงมากนัก เพราะฟื้นสติกลับคืนได้รวดเร็ว แต่น้ำเสียงและสภาพอ่อนเพลียทำให้คนตัวเล็กต้องฟุบหลับไปอีกในนาทีต่อมา ไอ้กีนั่งกุมขมับอยู่ข้างเตียงเช่นเดียวกับไอ้โบท ไอ้ต่อ และไอ้นาย สีหน้าเครียดของพวกมันทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปพูดคุย

ส่วนสามคนที่ไปตามครูประจำชั้นก็ตามเข้ามาในอีกสิบนาทีให้หลัง คุณครูสอบถามอาการจากครูห้องพยาบาลเมื่อพบว่าไม่มีอาการรุนแรงจึงเบาใจ เมื่อสอบถามสาเหตุก็ไม่มีใครบอกได้ชัดเจน
 
คำถามคือสิ่งที่ไอ้กันพูดเป็นเรื่องจริงหรือคำลวง แต่ดอกลีลาวดีสีขาวบริสุทธิ์แปรเปลี่ยนเป็นแดงฉานนั้นทุกคนต่างเห็นเป็นตาเดียวกัน ไม่ผิดเพี้ยนแน่ อีกทั้งดอกไม้ปริศนานั่นยังสูญสลายต่อหน้าต่อตาพจน์พร้อมเพลิงไฟลุกไหม้โคลงสี่สุภาพ ความชั่วร้ายใดหรือที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้

“มันโชคดีที่มีคนช่วยไว้ได้ทัน” ไอ้กันมองร่างบอบบางของไอ้น้ำ ชลนธีพร้อมพูดเสียงเครียด ครูประจำชั้นกับครูพยาบาลเข้าไปคุยกันในห้องส่วนตัว

พจน์สะดุ้งเล็กน้อย เหตุการณ์เฉียดตายเมื่อครู่ดึงสติอันมั่นคงให้สั่นสะเทือนไม่เหมือนเดิม ปาล์มยืนกอดอกพิงขอบตู้ยาด้วยสีหน้าเครียดกว่าปกติ จ้องมองเด็กใหม่ไม่วางตา

“มึงไม่จำเป็นต้องชมตัวเองก็ได้นะ” พจน์ส่ายหน้า

“กูหมายถึง...ช่างเถอะ แล้วมึงจะยืนรอแบบนี้อ่ะน่ะ”

“ไอ้น้ำคือเพื่อนกู ถ้ามึงมีธุระอื่นก็ไปเถอะ กูจะอยู่เฝ้า เผื่อมัน...” พจน์กลืนน้ำลายลงคอ และนั่นทำให้หยดน้ำตาทะลักล้นขอบลงอาบแก้มทันที

“ไอ้พจน์ที่กูรู้จักเป็นคนกล้า ไม่ยอมเสียน้ำตาง่ายๆนี่หว่า”

นิธิขยับร่างสูงพร้อมจะใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตา เสียงไอของไอ้ปาล์มทำให้พจน์หลบมือหวังดีนั้นและเช็ดเองรวดเร็ว จ้องมองร่างเล็กบนเตียงนอนด้วยสายตาพร่า ไอ้น้ำไม่ควรต้องมารับเคราะห์แทนพจน์เลย ถ้าดอกไม้พิฆาตนั่นไม่ใช่สิ่งลวงตาและอำนาจมันร้ายกาจตามชื่อเรียก คนคนนั้นที่สมควรโดนคือพจน์ต่างหาก

“มึงอย่าโทษตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าของขวัญนั่นจะกลายเป็นแบบนี้หรอก” ปาล์มตบไหล่พจน์

“กูฝากมึงดูพวกมันก่อนนะ เดี๋ยวมา” พจน์สั่งการแล้วผละจากโดยเร็ว เสียงฝีเท้าตามติดการเคลื่อนไหว เขาหวังให้เป็นไอ้กัน มีเรื่องราวมากมายที่ต้องการคำตอบจากมัน รู้สึกเบาใจบ้างเล็กน้อยเมื่อผู้เคราะห์ร้ายอาการไม่รุนแรงเกินกว่าที่คิด

ภัทรพจน์เลี้ยวเข้าห้องสมุด ตรงไปยังด้านในสุดของชั้นหนังสือหมวดวรรณกรรม ทำท่าทีเหมือนกำลังหาหนังสือเพื่อค้นคว้าทำรายงาน

“มึงมีคำถามอะไรก็ถามมา” นิธิกอดอกพิงบานหน้าต่างห้องสมุดเพ่งมองพจน์ไม่วางตา เหลียวมองคนถามแล้วกลับมาจ้องสันหนังสือด้วยสายตาแน่วแน่

“มึงเป็นใครกันแน่”

“ข้อนี้กูขอปฏิเสธ” พจน์รู้สึกผิดหวังในคำตอบของไอ้คนตัวสูง

“หน้ามึงไปโดนอะไรมาวะ” เด็กหนุ่มใช้สายตาจ้องจมูกงองุ้ม มีรอยแผลช้ำแดงตรงปลายโค้ง

“มีเรื่องนิดหน่อย ไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอก อีกสักพักก็กลับมาหล่อเหมือนเดิม” มันยิ้มอวดฟันแสดงความพึงพอใจ

“เรื่องของมึงดิ กูแค่สงสัยว่ามึงหายไปไหนมาตั้งหลายวัน” ไอ้กันหัวเราะเสียงห้าวและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

“พอได้ละ แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่านั่นเป็นดอกลีลาวดีเพลิงหรือจุมพิตสีเลือด”

ความเงียบของห้องสมุดแทรกกลางระหว่างคนทั้งสองชั่วขณะ พจน์เกือบคิดว่ามันคงปฏิเสธอีกจึงคิดตั้งคำถามต่อก็พอดีเสียงทุ้มต่ำเอ่ยอ้างคำตอบออกมา

“มันเป็นอาวุธทำลายล้างชนิดพิฆาตที่ทรงพลังยิ่ง” พจน์สบตาแหลมคมของไอ้เด็กใหม่ “กูมีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง ถ้ามึงยินดี”

เหตุการณ์เหนือธรรมชาติครั้งนี้เกินกว่าขอบเขตความรอบรู้ของพจน์จะนำมาใช้อธิบายได้ อีกทั้งไม่อาจสืบค้นหาจากตำราเล่มใดนอกจากผู้รู้เท่านั้น สิ่งที่ไอ้กันเล่าจะน่าเชื่อถือหรือไม่ตนจะตัดสินเองในท้ายที่สุดจึงพยักตอบรับ

“เมื่อเนิ่นนานมาแล้วมีอาณาจักรโบราณนามว่า อนันตาทมิฬ ปกครองพื้นดินแถบเทือกเขานามเดียวกับอาณาจักร เผ่าพันธุ์ผู้มีอำนาจปกครองนั้นคือ คนธรรพ์ ผู้มีอิทธิฤทธิ์บางอย่างเหนือมนุษย์ เชี่ยวชาญทักษะขับร้องและเล่นดนตรีเป็นเอก เช่นเดียวกับนิสัยเจ้าชู้อันลื่อชื่อ เนื่องเพราะเป็นดินแดนประทานของพระผู้สร้างสำหรับเผ่าพันธุ์ผู้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุรุษเพศ การสืบเสาะหญิงผู้ให้กำเนิดรัชทายาทจำต้องเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

แม้นจะขึ้นชื่อในเรื่องเสพสังวาสในเพศเดียวกันแต่นั่นหาได้นำมาซึ่งหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ จำต้องมีพระราชพิธีแต่งตั้งสตรีดำรงตำแหน่งพระอัครมเหสีผู้ให้กำเนิดผู้สืบสันตติวงศ์
 
ลุปีรัชสมัยพระเจ้าอนันตราช กษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรองค์ที่ ๙ ของราชวงศ์คนธรรพ์ พระองค์เป็นราชันย์หนุ่มรูปงาม พระชันษาเพียงยี่สิบสอง ขึ้นครองบัลลังก์หลังจากพระราชบิดาเสด็จสวรรคตด้วยพระโรคอย่างปัจจุบันทันด่วน เหตุเพราะเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่และถูกแต่งตั้งในฐานะพระมหาอุปราช เหล่าเสนาบดีจึงน้อมเกล้าอันเชิญพระมหาพิชัยมงกุฎถวายแด่พระองค์ สถาปนาดำรงขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อมา

นับแต่ครั้งยังดำรงพระยศพระมหาอุปราชนั้นได้กระทำการยกทัพไปตีอาณาจักรแว่นแคว้นใกล้ขอบขัณฑสีมามาถวายพระราชบิดาเป็นอเนกอนันต์จนพระราชอำนาจแผ่ไกลไพศาล เมืองประเทศราชนอบน้อมอยู่ใต้เศวตฉัตรอนันตาทมิฬโดยพร้อมเพียงกัน อาณาเขตของพระราชอาณาจักรกว้างขวางที่สุดนับแต่ก่อตั้งมหาราชวงศ์
 
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ได้เสด็จยาตราทัพตีนครชายแดนอันไกลโพ้น เหตุเพราะเจ้าเมืองประเทศราชนั้นคิดขบถแข็งเมืองตีใจออกห่าง จึ่งกรีธาทัพพยุหเสนาเรือนแสนกวาดต้อนช้างม้าพาหนะศึกหมายสยบยอมศิโรราบ ทำการรบทัพจับศึกอยู่เจ็ดทิวาราตรี หามีผลสำเร็จดั่งใจปรารถนาไม่ แม้นเป็นเมืองประเทศราชขนาดเล็กแต่ขุนทหารแกร่งกล้าฝีมือดีมิใช่น้อย นั่นทำให้ต่างฝ่ายเสียไพร่พลคณานับ เหล่าเสนาบดีทูลเสนอแนะให้กระทำอัศวายุทธ์เพื่อมิให้เสียไพร่พลโดยเปล่าดาย พระมหาอุปราชาเห็นตามด้วย จึงเชิญพระราชสาส์นคำเชิญ หลังจากนั้นสามราตรี ราชทูตพร้อมราชสาส์นตอบกลับจึ่งคืนมาพร้อมคำยินยอม
 
วันพรุ่งอากาศแจ่มกระจ่าง ท้องทุ่งหน้ากำแพงเมืองถูกจัดให้เป็นลานประลองยุทธ์ หมู่ทหารนายกองทั้งสองฝ่ายยืนประจันอยู่คนละด้าน พระมหาอุปราชทรงอาชาสีดำทมิฬเช่นเดียวกับอาภรณ์นุ่งห่ม ถือทวนด้ามทองดูสง่าสมเลือดขัตติยราช ฝ่ายผู้ถูกท้าทรงม้าขาวพิสุทธิ์พร้อมด้วยเครื่องนุ่งห่มขาวกระจ่างตาดุจกัน ปิดหน้าด้วยผ้าขาวตั้งแต่นาสิกจนถึงโอษฐ์ อาวุธประจำกายเป็นทวนสีเงิน วงล้อมของลานสัประยุทธ์ถูกตีเส้นไว้เป็นขอบเขตกำหนด
 
เมื่อสัญญาณเภรีดังขึ้น สองขัตติยะจึงควบม้าพุ่งเข้าหา ต่างแลกทวนเข้าสอดส่าย อาวุธปะทะแลกเลือดกันแลกัน แต่หามีผู้ใดจะเป็นผู้กำชัยชำนะได้เด็ดขาด จนกระทั่งตะวันตรงเหนือเกล้า ม้าทรงของพระมหาอุปราชเหนื่อยล้าสุดทานทนจึงเป็นจังหวะให้บุรุษชุดขาวจ้วงแทงทวนหมายให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้ แต่ด้วยจิตใจเมตตากรุณามีมากล้นในกายจึ่งผ่อนแรงทวนตวัดเฉียดเพียงเกราะนอก แต่ก็ทำให้จังหวะหลบหลีกของพระมหาอุปราชเสียการ ม้าทรงล้มลงทันควัน พระมหาอุปราชผู้พิชิตดินแดนทั่วทศทิศสัมผัสรู้ความพ่ายแพ้เป็นคราแรก แม้วินาทีกระแทกพื้นก็หาได้อาลัยในชัยชนะไม่ ในดวงจิตมีแต่ความปิติยินดี และน้อมรับความพ่ายแพ้โดยดุษณี

แต่หารู้ไม่ว่าขัตติยะหนุ่มชุดขาวคู่ประลองมิได้ประสงค์ถึงต้องล้มเจ็บถึงเพียงนั้นเร่งลงจากหลังอาชา วางทวนคู่กายแล้วตรงเข้าหาพระมหาอุปราชหมายจะพยาบาลรักษาอาการเบื้องต้นมิให้เจ็บหนัก พยุงร่างชุดดำออกจากลำตัวม้า ปลดผ้าคลุมหน้าออกใช้เป็นเครื่องปฐมพยาบาลข้อแขนซึ่งเห็นได้ชัดว่าหักเคลื่อนโดยพลัน วินาทีสบตาของพระมหาอุปราชและบุรุษหนุ่มผู้ชนะประลองนั้น พระองค์ก็มิอาจถอดทอนสายตาเพื่อละไปจากใบหน้าเกลี้ยงเกลาแลมีน้ำจิตน้ำใจนั้นได้แม้ชั่วยามเดียว ความรักจุติเบื้องความรู้สึกล้ำลึกของพระองค์ ถึงแม้นเหล่าเสนาบดีต่างเร่งนำทหารช่วยพยุงร่างตนกลับคืนค่าย พระองค์ก็ยังหาได้หมดสิ้นความคิดถึงคนึงหานั้น อีกฝ่ายถึงแม้เป็นชายชาตรีเช่นเดียวกัน แต่ประเพณีดั้งเดิมของพระราชวงศ์ยินยอมยกย่องบุรุษเพศร่วมเรียงเคียงหมอนมิต่างสตรี

หลังจากหายเจ็บทุเลาจากการประลองยุทธ์ พระมหาอุปราชหนุ่มรูปงาม ออกพระราชโองการถอนไพร่พลบางส่วนกลับคืนมหาราชธานีตามคำสัตย์ แล้วเสด็จเข้าเฝ้าเจ้าผู้ครองอาณาจักรแห่งนี้ด้วยสีหน้าปิติ น้อมถวายเครื่องบรรณาการตามขัตติยราชประเพณีของเมืองเอก กษัตริย์ผู้ครองเมืองรู้สถานะตนดีจึ่งรีบลุกพยุงให้พระมหาอุปราชประทับในที่สูง ณ ท้องพระโรงอันประกอบด้วยเหล่าเสนาบดีอำมาตย์ทั้งสองฝ่ายต่างพากันมาชุมนุมฟังคำของพระมหาอุปราชา

“ข้านี้แพ้การอัศวายุทธ์จักขอถอนกำลังศึกตามสัตย์สาบาน พวกเจ้าอย่าลนลานเกรงภัยอันใดอีก แต่นี้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งสองจะสงบสุขนับยืนนาน”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้ว พระเจ้าค่ะ” เสนาบดีน้อยใหญ่ต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ

“แต่วันคืนไม่แน่แท้เฉกเช่นวายุนภากาศ หากพระราชบิดาข้าหมายใจจะกระทำมหาศึกยึดอาณาจักรของพวกท่านคืนวันใดวันหนึ่งนั้นย่อมอาจเกิดขึ้นได้ ข้าเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่จะทำให้ฐานะของสองนครผนึกแน่นเป็นปึกแผ่น คือโปรดมอบพระโอรสองค์โตผู้เป็นคู่กระทำอัศวยุทธ์ให้เสกสมรสกับเราเถิด”

คำร้องขอของพระมหาอุปราชเป็นดั่งสายฟ้าผ่าตรงใจกลางนครผู้ถือชัยชนะ แต่หนทางออกนี้คือความปราณีแล้วสุดแสน บุรุษหนุ่มในชุดอาภรณ์ขาวในวันสัประยุทธ์รับรู้วิถีสงบศึกในภายภาคหน้าดี ลุกขึ้นยืนท่ามกลางความอลม่าน ก้มน้อมกราบพระบาทของพระบิดาไร้หยดน้ำตาแม้เพียงนิด หักจิตใจทำเพื่อแผ่นดินสุขสงบ ไม่มีคำอวยพรหรือห้ามปรามจากผู้เป็นพระบิดา เฝ้ามองพระโอรสองค์โตคลานเข่าเข้าหาพระมหาอุปราชแล้วน้อมกราบแทบเท้าเฉกเช่นเดียวกัน

นับแต่นั้นพระมหาอุปราชจึ่งได้ถอนทัพทั้งสิ้นทั้งมวลออกจากดินแดนผู้ชนะ พร้อมด้วยชายหนุ่มผู้ที่พระองค์ต้องประสงค์ ร่วมดีดพิณ ร่วมเสพสม ร่วมรักตามแต่ใจปรารถนาทั้งสองฝ่าย จนกระทั่งถึงมหาราชธานี ตำหนักฝ่ายในของวังหน้าเป็นสถานที่พำนักของขัตติยะหนุ่มจากแดนไกล พระมหาอุปราชผู้คู่ครองเฝ้าทะนุถนอมห่วงหาไม่เว้นวัน จนกระทั่งพระองค์ได้พระราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อมา

เสนาบดีต่างอัญเชิญพระราชพิธีแต่งตั้งหญิงงามดำรงตำแหน่งพระอัครมเหสีผู้ให้กำเนิดผู้สืบสันตติวงศ์ขึ้นเป็นข้อราชการสำคัญ พระเจ้าอนันตราชมิอาจปฏิเสธคำขอนี้ได้จึงให้ดำเนินการคัดสรร ในที่สุดทรงแต่งตั้งหญิงผู้หนึ่งจากสกุลสูงเป็นแม่เมือง ชายหนุ่มผู้ที่พระองค์เสกสมรสเมื่อกาลก่อนมิได้อาวรณ์ในเรื่องนี้แลพลอยยินดีเป็นอย่างยิ่ง แม้นพระเจ้าอนันตราชหวั่นเกรงชายคนรักจะน้อยอกน้อยใจ แต่จิตใจสูงส่งของผู้สืบเชื้อสายกษัตริย์หาได้ประหวั่นไหว รู้ดีว่าตนมิอาจมอบรัชทายาทสืบพระราชวงศ์ได้ แลเข้าถึงหัวอกพระหทัยของพระเจ้าอนันตราชเป็นการดี

แต่เหตุเภทภัยใหญ่หลวงได้ก่อกำเนิดขึ้นในพระราชวังหลวงเมื่อพระอัครมเหสีล่วงรู้ถึงความลับของพระราชสวามี ความอิจฉาริษยาก่อกำเนิด พร้อมอารมณ์หึงหวง พระสนมนางในมากมาย เหตุใดถึงต้องเป็นชายผู้นั้น พระนางมิอาจเข้าใจในประพฤติดุจหยามหมิ่นเกียรติยศของตนได้ จึ่งสมคบคิดกับฤาษีพราหมณ์ผู้เฒ่าปลุกคำภีร์โบราณชุบอำนาจอำมหิตให้ฟื้นคืน
 
ด้านท้ายตำหนักชายคนรักของพระเจ้าอนันตราชมีต้นลีลาวดีพระราชทานปลูกเป็นสง่า เพราะล่วงรู้ถึงความชอบของอีกฝ่าย พระนางจึ่งดำเนินแผนการร้ายอย่างแยบยล จ้างวานนางข้าหลวงในตำหนักลึกลับนั้นให้นำเลือดสัตว์ที่ตายอย่างทรมานนำไปรดใต้โคนต้นลีลาวดีนั้นทุกวี่วันไม่เว้นว่าง
 
หามีผู้ใดสงสัยหรือสังเกตประพฤตินอกรีตนั้นไม่ จวบกระทั่งถึงกำหนดครบเก้าสิบวันตามพระคำภีร์ ฤาษีพราหมณ์กระทำพิธีอ่านโองการสาปแช่งปลุกเสกเป็นเวลาสามวันสามคืน สบวันรุ่งขึ้นบุรุษหนุ่มผู้มักออกมาชื่นชมดอกไม้พระราชทานทุกเช้าวันได้โน้มดอกขาวพิสุทธิ์กระทำดมกลิ่นและฝากรอยจุมพิตเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่เหตุคำสาปแช่งมนตราดำทำให้ต้นไม้ที่เสมือนดวงใจรักของสองขัตติยราชถูกทำให้กลายเป็นอาวุธพิฆาต กลีบดอกขาวลุกลามเป็นแดงฉานราวกับโลหิต บุรุษหนุ่มสำลักเป็นเลือดล้มลงต่อหน้านางข้าหลวงทั้งมวลพร้อมดวงใจบริสุทธิ์อันจงรักภักดีต่อกษัตริย์นักรบนักรักหลุดลอยออกจากร่างโดยทันที
 
เมื่อพระเจ้าอนันตราชทรงทราบข่าวร้าย พระหทัยแทบแหลกสลาย พระองค์ไม่มีวันล่วงรู้เลยว่าพระมเหสีของพระองค์เป็นผู้ประหัตประหารดวงใจของพระองค์เอง ไม่มีวันใดที่พระเจ้าอนันตราชจะลืมชายคนรักจวบจนกระทั่งเสด็จสวรรคต

ต้นลีลาวดีต้องคำสาปนั่นหามีผู้ใดสนใจอีก มันยังคงยืนยงคงต้น ต้านภัยฝนลมหนาวจนมหาศัตรูผู้ชิงชัยชนะพระราชวงศ์คนธรรพ์ทำการสำเร็จและค้นพบอาวุธร้ายนี้ และหมายจะใช้เพื่อการทำลายล้างตามอำนาจประสงค์แต่ดั้งเดิม”


ภัทรพจน์รู้สึกหนาวสะท้านเหมือนลมพัดผ่าน สีหน้าจริงจังของไอ้กันเป็นเครื่องหมายว่าเรื่องราวโศกนาฏกรรมยุติลงแล้ว

“นี่คือเรื่องจริงหรือ” พจน์ถามกลับ

“เป็นตำนานเล่าขานแต่ก็ไม่มีใครพิสูจน์ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง” นิธิกอดอกแน่นจ้องตอบพจน์

“กูไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”

“ไม่มีหนังสือเล่มไหนบันทึกไว้” พจน์สบตาเหยี่ยวของคู่สนทนาแล้วให้รู้สึกใจหาย

“ดอกลีลาวดีเพลิงนั่นเปลี่ยนสีและสลายต่อหน้าต่อตา”

“มึงไม่ได้ตาฝาด” ไอ้กันย้ำคำตอบ

“มีเด็กผู้หญิงม.ต้นคนหนึ่งพยายามมอบให้กูสองครั้ง แต่ครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ” พจน์บอกตามจริง ยังตกตะลึงไม่หายกับเรื่องเล่านั้น

“มึงบอกว่าคนให้อยู่ในโรงเรียนนี้” ไอ้กันกำหมัดแน่น

“กูไม่คิดว่ามันจะกล้าถึงขนาดนี้ ใคร คนไหน” คนอารมณ์ร้อนพุ่งตัวมาเขย่าต้นแขนพจน์คาดคั้น

“เดี๋ยวก่อนมึง กูคิดว่า...”

“โอ๊ย!!” ไอ้กันร้องเสียงเบามันแบฝ่ามือที่จับต้นแขนพจน์ออก ปรากฏรอยแดงเหมือนโดนของร้อน แววตาแผดจ้าสบมองพจน์เขม็ง คิ้วขมวดแน่น

“นี่มึง...” ไอ้กันครางเสียงต่ำราวกับร่ำไห้ แววตาสั่นระริกไหวคืออาการผิดแผกกว่าปกติ “มึงมอบกายส่วนหนึ่งให้...”

ไอ้นิธิพูดเพียงแค่นั้นก็ผลักดันตัวพจน์เข้าชิดมุมชั้นหนังสือ บริเวณนั้นไม่มีนักเรียนคนอื่นเลยเหลือเพียงคนทั้งสอง สีหน้าโกรธาแต่แววตาตัดพ้อของคนใช้กำลังเป็นสิ่งสับสนเกินกว่าพจน์จะล่วงรู้อารมณ์ของอีกฝ่ายได้ ไอ้นิธิเลื่อนฝ่ามือจับครองใบหน้าพจน์ให้หยุดนี่ง เขาสัมผัสความรุ่มร้อนจากฝ่ามือหนา
 
“มึงจะทำอะไร ฟังกูก่อน”

“มึงทำลายหัวใจกูแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี สิ่งที่กูเฝ้ารอคอยมาตลอดคือสิ่งนี้น่ะหรือ ถ้าอย่างนั้น กูขอของตอบแทนน้ำใจคืนบ้างเถอะ”

ไอ้กันบดริมฝีปากบางของมันประกบปากพจน์ที่ปิดแน่น พยายามขัดขืนต้านทานสุดกำลัง ความร้อนแผดเผา ณ ผิวสัมผัสชั่วขณะ พจน์ตัดสินใจซัดหมัดขวาเข้าใบหน้าแหลมเต็มแรง ร่างไอ้กันเซถอยชนชั้นหนังสือร่วงหล่นเป็นแถบ รอยเลือดสีแดงกลบตรงมุมปาก แดงฉานดุจจุมพิตสีเลือดมิต่างกัน


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2019 19:31:50 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ KoTo_Nat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เริ่ม งง ว่าใครคือพระเอก

ระหว่าง กัน ปาล์ม หรือคนที่พจน์มอบกายให้ (ลืมชื่อขอโทษด้วย)

โอ้ งงมาก เหมือนมันจะซ้อนกันสามเหตุการณ์นะตามที่อ่านมา ปมเยอะจัง

ยังไงก็รอติดตามครับ

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
ซับซ้อนซ่อนเงื่อน

ลุ้น  ลุ้น  ลุ้น


ปลื้มมาตะนะ แต่เป็น fc นุ้งปาล์ม

ไม่รู้นุ้งปาล์มจะใจสลายขนาดไหน ถ้ารู้ว่าชายพจน์มอบใจมอบกายให้พ่อมาตะไปแล้ว



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wwss2220

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ใจจะขาดมาต่อเร็วๆๆนะค่ะ.   เนื้อเรืีองเจ้มจ้นมาก. คิดถึงมาตะอะ :ling1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
สนุกขึ้นเรื่อยๆเลย  น่าติดตามเสมอ  และยังไม่รู้จะเชียร์ใครเป็นพระเอกดี  ดีทุกคน555
ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:

ออฟไลน์ padloms

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น่าติดตามขึ้นเรื่อยๆ เลย รีบมาต่อนะครับ เรื่องนี้สนุกมาก  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๑๑


ภัยซ่อนเร้น


แววตาดุร้ายดุจเหยี่ยวพิฆาตจ้องพจน์ ระวางหมายเหยื่อในกรงเล็บหวังขย้ำกลืนในบัดดล แรงหอบหายใจของเด็กหนุ่มทั้งคู่เป็นเครื่องหมายบ่งชี้อารมณ์ขีดสุด หนังสือหมวดวรรณกรรมหล่นเกลื่อนพื้นแต่ไม่มีผู้ใดสนใจเก็บคืน พจน์ตัวสั่นด้วยอารมณ์หลากหลาย

“มึงไม่ควรทำแบบนี้” เด็กหนุ่มผู้โดนรุกล้ำหอบตัวโยนเพราะความโกรธ

ไอ้กันใช้หลังมือเช็ดเลือดบริเวณริมปากอย่างไม่ใส่ใจ นัยน์ตาส่องประกายเปลี่ยนเป็นระริกรื้น ความรู้สึกหนึ่งที่พจน์รับรู้ได้คือแววตัดพ้อต่อว่า นั่นทำให้อารมณ์โมโหทุเลาเบาบางลง การข่มเหงน้ำใจโดยอีกฝ่ายไม่ยินยอมคือสิ่งที่ควรทำอย่างงั้นหรือ นิธิยื่นเหยียดหลังมือข้างไร้รอยเลือดเพื่อเช็ดคราบโลหิตตนเบื้องมุมปากของพจน์แผ่วเบา สีหน้าและดวงตาในระยะประชิดมองเห็นความขมขื่นฝืนทนชัดเจน

“ขอโทษ” แผ่วเบาดุจสายลม แต่หนักแน่นดั่งหินผา

กำแพงโกรธาอันกล้าแข็งพังทลายลงรวดเร็วเกินกว่าที่พจน์เฝ้ายืนหยัดอดทนไว้ เพียงนิ้วมือสัมผัสกายพร้อมคำพูดยอมรับผิดสะท้อนความลุแก่โทษ ทำให้ความตั้งใจของพจน์สูญสลายฉับพลัน คนร่างสูงเพ่งพินิจใบหน้านิ่งขึงเหมือนไม่ยอมให้อภัย จึงก้มลงคุกเข่าในทันใด

“ให้อภัยกูอีกสักครั้ง กูไม่ควรล่วงเกินมึงทั้งที่สาบานด้วยหัวใจแล้วว่าจะปกป้องคุ้มครองดูแลมึงด้วยชีวิต แต่กูก็ยังคิดทำร้ายจิตใจมึงอีก” ไอ้กันก้มหน้าสำนึกผิด ร่างสั่นวะวาบนั้นทำให้พจน์ต้องเอื้อมมือดึงรั้งไหล่กว้าง

“ลุกขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน อย่าทำแบบนี้” ร่างผอมฝืนแรงพจน์ยอมผ่อนปรนลุกยืนตามความประสงค์อีกครั้ง
 
“แต่เพราะมึง...” ใบหน้าฟกช้ำพร้อมรอยสดใหม่ตรงมุมปากส่ายไหว กำหมัดแน่นชกกระแทกผนังก่ออิฐของห้องสมุดจนได้เลือดอีกแผล

“หยุดเดี๋ยวนี้ ทำไมต้องทำร้ายตัวเองด้วย” พจน์ต้องดึงข้อมือซึมเลือดของไอ้คนอารมณ์ร้อนให้ถอยห่าง รีบใช้ผ้าเช็ดหน้าติดกระเป๋ากางเกงซับด้วยสีหน้าร้อนรน ไม่นึกว่ามันจะสิ้นคิดแบบนี้

“มึงไม่จำเป็นต้องลงโทษตัวเอง กูชกมึงหมัดเดียวก็ถือว่าเอาคืนแล้วสำหรับการกระทำของมึง” พจน์พันผ้าห้ามเลือดชะลอการไหลในเบื้องต้นสำเร็จ
 
“กูให้อภัยแล้ว ให้อภัย” นัยน์ตาสั่นไหวทำให้พจน์ต้องละล่ำละลักพูดรวบรัด หวั่นเกรงอีกฝ่ายจะประทุษร้ายตัวเองอีก

“จริงนะ มึงไม่โกรธกูจริงๆนะ ไอ้พจน์” ไอ้กันยังคงทำสีหน้าเจ็บปวดแต่พจน์รู้ดีว่านั่นไม่ได้มีผลมาจากบาดแผลทางกาย

“ทำไมมึงต้องทำแบบนั้น อยู่ๆมึงก็...อารมณ์ฉุนเฉียว” รอยแดงบนฝ่ามือของมันยังคงปรากฏชัดเจนเพราะแตะสัมผัสต้นแขนพจน์ในตอนแรก ราวกับผิวหนังพจน์เป็นของร้อนสำหรับไอ้กัน

กลุ่มนักเรียนชายชั้นมัธยมต้นกำลังเดินเข้ามาตามตรอกชั้นหนังสือ และพบรุ่นพี่สองคนในสภาพไม่ปกติพร้อมมีหนังสือเกลื่อนกราดพื้น ต่างคนต่างทำสีหน้าตกใจยิ่งกว่าเห็นผีรีบก้าวถอยหนีจากไปโดยเร็ว

พจน์พันผ้าเช็ดหน้าเป็นปมไม่ให้หลุดง่าย เหล่มองนักเรียนรุ่นน้องใจหนึ่งนึกเกรงว่า ครูบรรณารักษ์คงทราบเรื่องในอีกไม่ช้าแน่

“ไปห้องพยาบาลเถอะ จะได้ทำแผล”

“แค่มึงเป็นห่วงเป็นใย กูก็หายเจ็บปวดแล้ว” กันพร่ำเพ้อเหมือนคนมีไข้ สีหน้าดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก อารมณ์รุนแรงพร้อมขโมยจูบพจน์เหมือนเป็นภาพลวงตาและเลือนหายจากใจโดยเร็ว

“เพียงในใจส่วนหนึ่งในล้านของมึงมีกูอยู่บ้าง ห่วงใยกูอย่างที่มึงทำนี้ ไอ้กันก็พอใจแล้ว พอใจที่สุดแล้ว เพราะกูจะไม่มีวันเปลี่ยนใจไปรักใครได้อีกนอกจากมึงคนเดียว ไม่ว่ามึงจะรักใครไปแล้วก็ตาม”

ความรู้สึกอัดแน่นกลัดอกนี้คือสิ่งใด บนโลกนี้ยังมีคนที่ทุ่มเทความรักเหมือนเช่นคนตรงหน้าอยู่อีกน่ะหรือ วินาทีนี้พจน์ไม่อยากเห็นหยดน้ำตาลูกผู้ชายที่กำลังเอ่อท้นของไอ้กันแม้แต่เล็กน้อย มันไม่ควรต้องมาเสียน้ำตาให้คนอย่างเขา คนที่ได้มอบกายและใจตัวเองให้กับเจ้ามาตะไปแล้ว และตนคิดว่าคงไม่อาจแบ่งปันเสี้ยวใจนั้นให้ใครได้อีก
 
ถึงแม้รู้จักกันเพียงไม่นาน แต่ไอ้กันไม่ได้ดูเป็นคนเลวอย่างที่ตนคิดในตอนแรก อีกทั้งยังพยายามบอกเตือนพจน์ว่ามีอันตรายกำลังมาสู่ เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตางดงามสีน้ำตาลจึงดึงคนตัวสูงเข้าสู่อ้อมกอดโดยทันที หวังปลอบประโลมให้คลายจากทุกความเจ็บปวดที่ได้รับจากพจน์ ไม่รู้ว่าตนทำอะไรให้มันรู้สึกแบบนั้นมากขนาดไหน แต่นับจากนี้เขาไม่อยากเห็นสีหน้าเจ็บลึกอย่างเมื่อครู่อีกแล้ว มันเหมือนพจน์รู้สึกเจ็บปวดไปด้วย

“มึงห้ามร้องไห้นะเว้ย” พจน์รีบดักคอไว้ก่อน แต่ใจหนึ่งหวังว่าคนเข้มแข็งอย่างมันคงไม่เสียน้ำตาให้ใครโดยง่าย

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำคือคำตอบสำหรับพจน์ แขนล่ำโอบกระชับร่างพจน์อย่างกล้าๆกลัวๆจนในที่สุดก็กอดแนบสนิทอย่างไม่กังวล และดูเหมือนผิวกายพจน์จะไม่เป็นของร้อนสำหรับมันอีก

“มึงทำให้กูเห็นเส้นทางชีวิตกูชัดเจนขึ้นนับจากนี้” น้ำเสียงหนักแน่นไม่สั่นเครือพูดพร้อมความมั่นคงในใจ

พจน์ไม่รู้ว่าจะเข้าใจคำพูดของไอ้กันมากเท่าที่มันคิดหรือเปล่า แต่ก็พยักหน้ากับไหล่หนา

“ดีแล้ว”

นิธิพยักหน้ารับคำพร้อมรอยยิ้ม จังหวะที่พจน์กำลังถอนกอด เพื่อจะได้พาไอ้คนอารมณ์ร้อนไปทำแผลห้องพยาบาล บุคคลที่พจน์ไม่คาดคิดว่าจะตามพจน์มาอีกคนยืนนิ่งอยู่ตรงมุมชั้นหนังสือ สายตาว่างเปล่าและสีหน้านิ่งเฉยจนเกือบไร้ความรู้สึกยากเกินคาดเดาสะท้อนสู่ดวงตาพจน์ จนทำให้ตนเองต้องผลักไอ้กันออกโดยเร็ว

“ไอ้ปาล์ม!!”

เจ้าของชื่อยืนนิ่งงันไม่ไหวติงเหมือนรูปปั้นแกะสลัก มีเพียงการกะพริบตาเท่านั้นที่พจน์รู้ว่าอีกคนรับรู้เหตุการณ์ตรงหน้าอยู่

“กูมาตามมึง ไอ้น้ำฟื้นแล้ว คิดว่ามึงคงจะอยากรู้” เสียงแหบต่ำแต่ดูห่างเหินชอบกล

นิธิขยับชิดตัวพจน์โดยไม่พูดอะไรเหมือนกัน ความเงียบเป็นสิ่งที่พจน์สมควรได้รับอยู่ในขณะนี้

“แต่ถ้ามึงยัง...คุยธุระอยู่ ค่อยตามมาแล้วกัน” พูดจบเปรมณัฐจึงก้าวถอยหลังพร้อมถอนสายตาที่ตรึงพจน์ให้ยืนนิ่งออกเดินจากไปไม่เหลียวกับมามองอีก

“มึงชอบมันสินะ” เป็นคำถามของไอ้คนตัวสูงข้างกาย

ความรู้สึกเหมือนเล่นซ่อนหาแล้วถูกจับได้คืออารมณ์ ณ ขณะนี้ ตาสีน้ำตาลยังคงจับจ้องแผ่นหลังของปาล์มจนลับประตู

“เคยชอบ” พจน์ไม่อยากโกหกคนคนนี้ให้ต้องเจ็บปวดอีก ในเมื่อมันรู้อย่างนี้แล้วคงจะได้เลิกชอบพจน์ และหนีหายจากชีวิตเขาไปอีกคนหนึ่ง

“มึงควรจะปฏิเสธนะ” ไอ้กันไม่มีท่าทีประหลาดใจหรือเสียใจกับคำตอบของพจน์แม้แต่น้อย “อีกอย่างถ้ามึงไม่ชอบมันแล้วจริง ก็อย่าทำหน้าเหมือนกลัวมันเสียใจแบบนั้น”

“กู...”

พจน์อยากปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นอย่างที่มันกล่าวหา แต่เบื้องลึกในใจกู้ก้องร้องถามว่า ไอ้ปาล์มในตอนนี้จะรู้สึกอย่างไร อดกังวัลความคิดของมันไม่ได้

“คนเราจะรักใครหลายๆคนในคราวเดียวกันไม่ได้หรอก” สีหน้านิ่งขรึมประกอบคำพูดของไอ้นิธิเสมือนตำหนิความคิดพจน์

“คนคนเดียวเท่านั้นที่มึงต้องรัก และกูรู้ว่ากูไม่ได้อยู่ในขอบข่ายนั้น” ไอ้กันเสริมเติมต่อ “มึงไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอก กูรู้ฐานะตัวเองดี แต่ไอ้นั่นมันไม่รู้”

“อย่าได้พูดเหมือนมึงไม่สำคัญสำหรับกู มึงเพิ่งช่วยชีวิตเพื่อนกูไว้นะ จะไม่ให้กูห่วงมึงได้ยังไง” พจน์พูดจากใจจริง

“ได้โปรดอย่าให้ความหวังกู” มันขมวดคิ้วแน่น

พจน์ไม่มีคำโต้แย้งกับคนคนนี้อีก คนที่ช่วยชีวิตผู้อื่นในยามเดือดร้อนจะไร้คุณค่าในสายตาพจน์ได้อย่างไร
 
“ไปห้องพยาบาลเถอะ ไอ้น้ำฟื้นแล้ว อีกอย่างมึงจะได้ทำแผลด้วย” พจน์คว้ามือไอ้กัน หักใจทำสิ่งตรงหน้าให้ดีที่สุดก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้พจน์ได้คำอธิบายแล้วว่าสาเหตุใดทำให้เพื่อนตัวเล็กต้องล้มเจ็บ

“กูยังไม่ตัดสินใจว่าจะเชื่อเรื่องที่มึงเล่าหรือเปล่า แต่...” พจน์เม้มปากแน่น “แต่กูแน่ใจอยู่อย่างหนึ่งคือมึงคงไม่โกหกกู ใช่ไหม”

ใบหน้าเรียวผอมพยักหน้าให้คำมั่น

เสียงสัญญาณโทรศัพท์ของพจน์เตือนว่ามีคนโทรเข้า

“ครับ”

“พจน์ไปตามหาน้องนะ และขออนุญาตคุณครูเพื่อออกไปทำธุระนอกโรงเรียนด่วน พ่อกำลังขับรถไปรับ” คำพูดเร่งร้อนผิดวิสัยของภพดนัยออกคำสั่ง

“มีเรื่องอะไรหรือครับ” พจน์ไม่อยากถามคำถามนี้เลย หลังเกิดเหตุกับเพื่อนรัก

“ธนพลสูดสารพิษอันตรายเข้าไปตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ไม่รู้อาการเป็นยังไงบ้าง” เสียงปลายสายเริ่มสั่นไหว
ภาพดอกลีลาวดีเพลิงปรากฏชัดเจนในห้วงความคิดอีกครั้ง พจน์รู้สึกเจ็บปวดอย่างสุดแสน

“แผนการทำลายล้างบรรลุผลในที่สุด กูเสียใจด้วย”

เด็กหนุ่มร่างสูงกำหมัดแน่น คำพูดของนิธิเป็นแรงฉุดดึงให้น้ำตาของพจน์หลั่งรินต่อชะตากรรมของครอบครัวเทพวิมานอีกครั้ง หัวใจร้าวทรมานประหนึ่งมีมือล่องหนบีบรัด

ฉับพลันหนังสือบนชั้นวางพุ่งหล่นผ่านหน้าพจน์เฉียดเพียงแค่ปลายจมูกกระทบลงพื้น ไอ้กันก้มหยิบหนังสือเล่มเก่าหนานั้นขึ้นมา พร้อมหน้าที่เปิดค้างไว้บนพื้น
 
มนตราลีลาทมิฬ” คือหัวข้อเหนือกลอนสี่สุภาพบนหน้ากระดาษสีน้ำตาลเก่าขอบเหลือง


“แดงเฉิดฉานผลาญสิ้นดิ้นแดดับ
อุราลับลามไหม้ไฟลุกโหม
ร้อนร้อนร่อนผ่อนกายคลายประโลม
เจ็บจินต์โทมนัสวาทไม่คลาดครา


โลหิตหลั่งทั้งเก้าทวารจุด
ฤทธิรุทธอำมหิตพิษแทรกหา
ดวงใจน้อยลอยสู่คู่นภา
จำจากลากายสุขทุกขภัย


.....เทวาชุบร่างกระจ่างฟ้า
.....สับประยุทธดุจแขไข
.....เพ็ญเช่นเดือนเลื่อนลับไป
.....ฉุดใจวิญญ์กลับรับคืนตน”

“ผู้ประพันธ์ กฤษณากาลี” กันข่มใจอ่านจนจบและฉีกกระดาษหน้านั้นเก็บเข้ากระเป๋าโดยเร็ว

กลอนปริศนาแทบไม่ได้เข้าหัวพจน์เลยแม้แต่น้อย ในความคิดเหลือเพียงภาพอาพลและรอยยิ้มมีลักยิ้มมุมแก้มของชายหนุ่มที่พจน์ภาวนาไม่ให้มีอันตรายใดๆมาย่ำกราย


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2019 19:34:32 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ค้าง  จะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวพจน์และคนรอบข้างอีกนะ  รอติดตามเสมอนะคะ

พจน์อาจไม่หลายใจ  แต่เราหลายใจไปแล้ว คิดถึงมาตะ  เห็นใจกัน   สงสารปาล์ม 555
ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3

ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
ตอนแรกอ่านแล้วก็แบบ "แนวกู ๆ บรรยายแบบนี้ใช่เลย" พออ่านจนถึงตอนล่าสุดถึงกับอุทานว่า "ขุ่นพระ นี่มันขุมทรัพย์นิยายชั้นยอด" เราถามคนเขียนได้ไหมว่า เรียนเอกวรรณกรรมใช่หรือไม่ ? หรือแค่สนใจในเรื่องนี้ เพราะการบรรยาย พรรณา อุปมา อุปมัย ดีมากอะ ยิ่งโคลงกลอน โอ้แม่เจ้า ฉันยังสามารถนิยายโคลงกรในยุค 2015 ปลื้มปริ่มน้ำตาไหลเลย

ปมน่าติดตาม เนื้อเรื่องน่าสนใจ แต่ฟันธงกับตัวเองเลยว่า มาตะ พระเอกแน่นอน ความรู้สึกชัดมากว่ามาตะคือพระเอกของพ่อนายเอกเนื้อหอม เพื่อนรุมชอบขนาดนี้ยังไม่รู้สึกตัว

แต่ว่านะกันคงจะโกหกเนอะพจน์จ๋า หลักฐานเห็นคาตาขนาดนั้น หุ่ย

ปล. อ่านโคลงเปรียบเทียบบทอัศจรรย์ของมาตะและพจน์แล้วอารมณ์เหมือนอ่านโคลงกลอนของสุนทรภู่ เปรียบเทียบชัดเจนแจ่มแจงมาก ฮ่า ๆ

ออฟไลน์ padloms

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
:pig4:
:pig2:

ตอนแรกอ่านแล้วก็แบบ "แนวกู ๆ บรรยายแบบนี้ใช่เลย" พออ่านจนถึงตอนล่าสุดถึงกับอุทานว่า "ขุ่นพระ นี่มันขุมทรัพย์นิยายชั้นยอด" เราถามคนเขียนได้ไหมว่า เรียนเอกวรรณกรรมใช่หรือไม่ ? หรือแค่สนใจในเรื่องนี้ เพราะการบรรยาย พรรณา อุปมา อุปมัย ดีมากอะ ยิ่งโคลงกลอน โอ้แม่เจ้า ฉันยังสามารถนิยายโคลงกรในยุค 2015 ปลื้มปริ่มน้ำตาไหลเลย

ปมน่าติดตาม เนื้อเรื่องน่าสนใจ แต่ฟันธงกับตัวเองเลยว่า มาตะ พระเอกแน่นอน ความรู้สึกชัดมากว่ามาตะคือพระเอกของพ่อนายเอกเนื้อหอม เพื่อนรุมชอบขนาดนี้ยังไม่รู้สึกตัว

แต่ว่านะกันคงจะโกหกเนอะพจน์จ๋า หลักฐานเห็นคาตาขนาดนั้น หุ่ย

ปล. อ่านโคลงเปรียบเทียบบทอัศจรรย์ของมาตะและพจน์แล้วอารมณ์เหมือนอ่านโคลงกลอนของสุนทรภู่ เปรียบเทียบชัดเจนแจ่มแจงมาก ฮ่า ๆ
ผมเรียนจบวิทยาศาสตร์ครับ 555 แต่ชอบแต่งกลอนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เลยเอาความชอบมาผนวกกับจินตนาการ ขอบคุณที่ชอบเรื่องนี้ครับ นี่ไงเจอ #ทีมมาตะ อีกคนแล้ว คอยติดตามต่อไปนะครับ


อยากรู้ต่อ...    :katai4:
รอติดตามครับ  :katai5:

ค้าง  จะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวพจน์และคนรอบข้างอีกนะ  รอติดตามเสมอนะคะ

พจน์อาจไม่หลายใจ  แต่เราหลายใจไปแล้ว คิดถึงมาตะ  เห็นใจกัน   สงสารปาล์ม 555
ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
โห เป็นคนหลายใจนะครับเนี่ย  :mew1:

น่าติดตามขึ้นเรื่อยๆ เลย รีบมาต่อนะครับ เรื่องนี้สนุกมาก  :pig4: :pig4: :pig4:
อย่าลืมเป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยน้า

สนุกขึ้นเรื่อยๆเลย  น่าติดตามเสมอ  และยังไม่รู้จะเชียร์ใครเป็นพระเอกดี  ดีทุกคน555
ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
เจอคนหลายใจอีกคนแล้ว จะอยู่ทีมไหนดีน้า #ทีมมาตะ #ทีมปาล์ม #ทีมกัน

ใจจะขาดมาต่อเร็วๆๆนะค่ะ.   เนื้อเรืีองเจ้มจ้นมาก. คิดถึงมาตะอะ :ling1: :katai2-1:
นี่ไง #ทีมมาตะ อีกคน จะเจ้มจ้นกว่านี้อีกครับ รอติดตาม

ซับซ้อนซ่อนเงื่อน

ลุ้น  ลุ้น  ลุ้น


ปลื้มมาตะนะ แต่เป็น fc นุ้งปาล์ม

ไม่รู้นุ้งปาล์มจะใจสลายขนาดไหน ถ้ารู้ว่าชายพจน์มอบใจมอบกายให้พ่อมาตะไปแล้ว
บอกให้ทำใจกันไว้ก่อนนะครับ #ทีมปาล์ม แต่ไม่รู้อาจจะมีพลิกล็อก 555

เริ่ม งง ว่าใครคือพระเอก

ระหว่าง กัน ปาล์ม หรือคนที่พจน์มอบกายให้ (ลืมชื่อขอโทษด้วย)

โอ้ งงมาก เหมือนมันจะซ้อนกันสามเหตุการณ์นะตามที่อ่านมา ปมเยอะจัง

ยังไงก็รอติดตามครับ
ชื่อ มาตะ ครับ โห มาตะของเราน้อยใจแย่เลยเนอะ กระซิกๆ  :o12:

:serius2: น้องน้ำของพี่ จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างหนอ มาต่อเร็วๆนะคะ
ไม่อยากทำร้ายน้องน้ำเลย แต่มันจำเป็นจริงๆนะ ฮือๆ

ตื่นเต้นน่าติดตามขึ้นเรื่อยๆเลย
ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
ฝากเอาใจช่วยพจน์ด้วยนะครับ

ซับซ้อนเหลือเกิน   :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
มีประมาณแสนแปดล้านปมครับ 5555 แต่ไม่งงหรือสับสนใช่ไหมครับ

ภัยเริ่มมาแล้ววว หนูพจน์จะทำยังไงเนี่ย
เอาใจช่วยหนูพจน์ด้วยน้า

:m31:มาต่อร็วๆนะค่ะ
คร้าบบ รอติดตามด้วยน้า

รอตอนต่อไป  :pig4:
ตอนต่อไปจะไม่นานเกินรอครับ  :katai4:

ตอนเริ่มแรกรู้สึกว่าอ่านยาก รายละเอียดยิบย่อย บรรยายเยอะ

แต่พอเริ่มคุ้นชิน  บอกเลย....


สนุกมว๊ากกกกก......       :impress3:



สงสารนุ้งปาล์มอะ ถ้ารู้เรื่อง ... แล้วจะเป็นเยี่ยงไร    :ling3:


ปลื้มมาตะนะ แต่เป็น fc นุ้งปาล์ม    :กอด1:


รอตอนต่อไปจ้า
อาจจะอ่านยากนิดนึงครับ แต่แต่งด้วยใจนะครับ ลองดูๆ  :katai2-1:

ช่างลึกลับซับซ้อนเสียจริง บทอัศจรรย์นี่บรรยายไปซะเห็นภาพเลย นึกถึงตอนเรียนวรรณคดีไทยสมัยม.ปลาย ยังแปลความไม่ออกเหมือนเดิม
ผมนี่ต้องกลับไปหาหนังสือตอน ม.ปลาย มาอ่านเหมือนกันครับ 555

:jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:
:m25: :m25: :m25: :m25: :m25:

:haun4:เลือดพุ่งสุดๆๆ ค่ะ เป็นกำลังใขให้นะค่ะ
เอาทิชชูซับไหมครับ ผมมีตุนไว้เยอะ อิอิ

:jul1: :jul1: :jul1:
สนุกมาก ปมเยอะดี ติดตามค่ะ
มีอีกหลายปมครับ หรือบางปมคุณอาจคลี่คลายในใจแล้วบ้างไม่รู้ ฝากติดตามต่อด้วยน้า :pighaun:

ไฟราคะสมชื่อตอน  :haun4:  :jul1:
จินตนาการได้เท่านี้แหละครับ แหะๆ ประสบการณ์ผมน้อย 5555

ทำไมร้อนแรงกันเยี่ยงนี้
เอาพัดลมไหมครับ 555

เป็นบทมหัศจรรย์ ที่ชวนเรียกเลือดมาก

ตกลงแล้งพจน์ เป็นอะไร?
พจน์ เป็น..... รอติดตามครับ

นั่น...เป็นการเสริมพลังอย่างงั้นเหรอเนี่ย
อุ๊บส์...

สนุกมากค่ะ
เรื่องราวน่าติดตาม
ภาษาสวย
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว
ดีใจครับ ที่คุณอ่านแล้วสนุก ติดตามน้าๆ

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยย  :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:
ถึงกับเป็นลมเลยหรือครับ ถ้าเจอฉากเรียกเลือดกว่าเตรียมยาดมไว้ด้วยน้า

:haun4:   :haun4:
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ :L2:
รอนะครับๆ

:pighaun: :m25: เร่าร้อนมาก
แอร๊ยยยยย กำลังสนุกเลย มาอีกน๊าา
มาตะคงดีใจที่ทำให้คุณรู้สึกเร่าร้อนไปด้วย 555

:m25: :m25: :m25:
ตายอย่างสงบ
อย่าเพิ่งตายสิครับ ลุกมาเอาใจช่วยพจน์ก่อนๆ 55

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]

กลุ่มนักข่าวทั้งไทยและต่างประเทศเนืองแน่นอยู่หน้าประตูลิฟต์ชั้นที่ ๗ ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขึงป้ายห้ามบุคคลภายนอกเข้าสู่เขตห้องพักผู้ป่วยฉุกเฉิน ภพดนัย ดาว พจน์ และกัน ไม่ใช่เพียงกลุ่มเดียวที่เฝ้ามองความโกลาหลของกองทัพสื่อมวลชน แต่ยังมีประชาชนจำนวนมากยืนจับกลุ่มสนทนาและวิพากษ์วิจารณ์ ผู้เป็นบิดาต้องแสดงตัวว่าเป็นญาติของธนพลจึงฝ่าฝูงชนเข้าไปได้ ไม่สนใจแม้แต่การยื่นไมค์สัมภาษณ์ของนักข่าวหลากสถานี

“ในฐานะพี่ชายของผู้ประสบเหตุ คุณคิดว่าการลอบทำร้ายครั้งนี้เกี่ยวข้องกับคำแถลงการณ์น้ำท่วมโลกหรือเปล่าคะ” เสียงแหลมสูงถามแทรก ภพดนัยทำสีหน้าเจ็บปวดปิดปากนิ่งพยายามดันฝ่ากองทัพสื่อมวลชนโดยมีเจ้าหน้าที่คอยผลักดันอีกแรงหนึ่ง

“สาเหตุเกิดจากวัตถุมีพิษบรรจุกล่องไปรษณีย์จริงหรือเปล่าครับ”

“ศาสตราจารย์วิชัยกล่าวความรู้สึกว่าอย่างไรบ้างคะกับเหตุการณ์ครั้งนี้”

“ไม่ทราบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบเบาะแสได้ร่องรอยคนร้ายหรือยังครับ”

ความเงียบคือคำตอบของภพดนัย ทันทีเมื่อถึงเขตรั้วกั้นห้ามบุคคลภายนอกเข้า นักข่าวจึงถูกตรึงแน่นขนัดอยู่ ณ จุดนั้นพร้อมเสียงคำถามมากมายฟังไม่ได้ศัพท์ ภพดนัยก้าวเท้ารวดเร็วสู่ห้องพักฟื้นที่มีเจ้าหน้าที่พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ส่วนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้า พร้อมศาสตราจารย์วิชัยที่มีสีหน้าอิดโรย ชาญณรงค์ยืนนิ่งเงียบ และบุคคลที่ยืนร้องไห้อยู่นั้นคือ สุนิสา แฟนสาวของอาธนพลนั่นเอง

“คุณพ่อ น้องเป็นยังไงบ้างครับ” ภพดนัยเร่งถามผู้เป็นบิดา

พจน์เห็นหัวหน้าแพทย์อาวุโสผู้หนึ่งก้มลงมองเอกสารบนแผ่นคลิปบอร์ดก่อนจะเป็นผู้ชี้แจง

“เราเข้าไปในห้องกันเถอะครับ”

ทันทีที่ทุกคนก้าวสู่ภายใน บรรยากาศเศร้าสลดผสมผสานความหนาวเย็นกำจายทั่วบริเวณ กลุ่มพยาบาลจัดแจงวุ่นวายอยู่ใกล้เตียงผู้ป่วย ภาพอุปกรณ์ทางการแพทย์มากมายดั่งเครื่องพันธนาการยื้อชีวิตของอาธนพลทำให้ทุกคนรับรู้ได้ในทันทีว่า อาการของผู้เป็นน้องชายคุณพ่อรุนแรงพอสมควร เสียงร่ำไห้ของพี่สุนิสาทำให้น้ำตาของพจน์เอ่อคลอ แต่ดาวนั้นไม่อาจหักห้ามไว้ได้อีกแล้ว ทันทีเมื่อพจน์ตามหาน้องสาวเจอและแจ้งข่าวร้ายแก่เธอ นั่นดูเหมือนเด็กสาวยังคงมีความเข้มแข็งอย่างมากไม่เสียน้ำตาแม้เพียงนิด แต่บัดนี้เมื่อภาพคนเจ็บนอนหายใจรวยรินต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์มากมายต่างนานา อีกทั้งสีหน้าซีดเผือดรวมทั้งผิวกายราวกับไร้เลือดหมุนเวียน ทำให้เกราะความเข้มแข็งของดาวพังทลายลงต่อหน้าต่อตา สุนิสาคว้าตัวดาวเข้าสู่อ้อมกอดแล้วร่ำไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาของน้องสาวทำให้พจน์รู้สึกเข้มแข็งขึ้นอย่างประหลาด

“การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ” หัวหน้าแพทย์หนึ่งในสี่กล่าวสีหน้าเครียด

“แต่อาการตอบสนองทางร่างกายไม่ดีขึ้น รวมถึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ” แพทย์ชายวัยกลางคนกล่าว

“เราใช้เครื่องฟอกไตเข้าช่วยเพราะพบภาวะการทำงานของไตล้มเหลว”

“รวมถึงปอดที่พบสารพิษจำนวนมาก ซึ่งได้รับการผ่าตัดเพื่อนำสารพิษออกไปได้บ้างแล้ว”

“มันคือสารพิษชนิดไหนครับ” ภพดนัยถามเสียงสั่น

“ทางเรายังไม่อาจระบุแน่ชัดได้นะครับ เพราะจากการตรวจพบครั้งแรกมีร่องรอยสารพิษปนเปื้อนอยู่ในกล่องพัสดุไปรษณีย์ซึ่งตอนนี้กำลังตรวจสอบกันอย่างถี่ถ้วนอยู่”

“สิ่งที่เป็นเรื่องน่ากังวลคือสมองส่วนหน้าและระบบประสาทส่วนกลางซึ่งดูเหมือนจะได้รับผลกระทบทำให้ผู้ป่วยไม่ได้สติและไม่สามารถขยับเขยื้อนตอบสนองร่างกายได้” แพทย์หญิงวัยกลางคนหนึ่งเดียวเป็นผู้สรุปจบอาการ

“เราต้องรอเวลาให้คนไข้ได้พักฟื้นและมีอาการตอบสนองต่อยามากกว่านี้ครับ จึงสามารถสรุปสถานการณ์ได้มากขึ้นครับ ศาสตราจารย์” หัวหน้าแพทย์หนวดเคราขาวกล่าวกับคุณปู่ที่ยังมีสีหน้านิ่งเฉยแต่ดวงตาอ่อนแรง
 
“ทางโรงพยาบาลจะให้มีพยาบาลสองคนคอยเฝ้าอยู่ในห้องเผื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น”

ทุกคนพยักหน้ารับแต่ดวงตาจับจ้องเพียงร่างซีดขาวในชุดไข้นั้นไม่วางตา เบื้องหลังเปลือกตาปิดสนิทนั้นจะรับรู้หรือไม่ว่าความทุกข์ระทมของผู้อยู่โดยรอบเจ็บปวดขนาดไหน จากนั้นกลุ่มแพทย์ผู้รักษาจึงทยอยจากไปเหลือเพียงพยาบาลสาววัยกลางคนสองคนคอยเช็คน้ำเกลือ และสังเกตอาการอยู่ใกล้เคียง สุนิสาค่อยๆขยับตัวเข้าใกล้เตียงคนไข้แล้วสัมผัสมือของอาธนพลซึ่งไร้ความรู้สึกนั้นแผ่วเบา

“พล พลให้สัญญากับสาแล้วนี่นา ว่าจะไม่มีวันทิ้งสาไว้คนเดียว”

คำปรารภดุจน้อยใจสร้างแรงสะเทือนอารมณ์โศกศัลย์แก่ทุกผู้คนในห้องนั้นเป็นที่ยิ่ง พจน์ยืนมองภาพเบื้องหน้าพร้อมอารมณ์หลากหลาย แต่ความรู้สึกเศร้าเสียใจถูกทดแทนด้วยความกล้าแข็งบางอย่างที่เขาไม่อาจบอกได้ บางอย่างในตัวเขารู้สึกฮึกเหิมเสมือนกำลังก้าวเผชิญสู่ศึกสงครามอย่างไรอย่างนั้น

ศาสตราจารย์วิชัยสัมผัสหลังมือของลูกชายคนเล็กที่หายใจรวยรินด้วยสีหน้านิ่ง คิ้วขมวดแน่น ภายใต้แว่นตากรอบกลมหนาทอประกายล้อแสงไฟ

“แม่ของแกฝากพ่อไว้ก่อนจมสู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก ให้ดูแลแกไม่ให้เดือดเนื้อร้อนใจ” คุณปู่กล่าวคำย้อนอดีต “แต่พ่อไม่ได้ทำตามคำสัญญานั้นเลยแม้แต่น้อย พ่อผิดเองที่ปล่อยให้ทุกอย่างผิดพลาดมาถึงขนาดนี้ สิ่งที่แกได้รับควรจะเป็นพ่อต่างหาก”

“คุณพ่อ...” ภพดนัยแตะข้อศอกศาสตราจารย์วิชัยเหมือนให้กำลังใจท่าน ชาญณรงค์ยืนนิ่งอยู่เบื้องหลังผู้เป็นอาจารย์

คุณย่าของเขาเสียชีวิตพร้อมกับอุบัติเหตุเครื่องบินตกในคราวที่คุณปู่ได้พบมหาเทพและรับพันธะสัญญาจากเทพผู้นั้นเพื่อเตือนประชาชนพลเมืองโลกทุกผู้คนตามคำสัตย์ที่ให้ไว้ว่า แผ่นดินมหาพิภพทั้งมวลใต้พื้นมหาสมุทรแปซิฟิกจะโผล่พ้นก่อเกิดน้ำท่วมโลกและแผ่นดินไหว หญิงคนรักของท่านมิได้ถูกช่วยชีวิตกลับมาด้วย จากคำแถลงการณ์นั้นตามที่สถานีข่าวทุกช่องตีแผ่รายละเอียด มหาเทพมีอำนาจช่วยเหลือคนคนเดียวเท่านั้นให้รอดพ้นจากความตายและคุณปู่คือหนึ่งเดียวในบรรดาผู้โดยสารทั้งหมด

“เหตุการณ์นี้ต้องได้รับคำอธิบาย อันตรายทั้งมวลที่เกิดขึ้นจะต้องมีคำตอบ พ่อให้สัญญา” ศาสตราจารย์วิชัยวางฝ่ามือซีดขาวของอาธนพลลงกลับคืนเตียง ท่านหลับตาลงชั่วครู่

“พ่อฝากแกดูน้องด้วย พ่อดนัย”
 
“คุณพ่อจะไปไหนหรือครับ” สีหน้าร้อนรนของภพดนัยบอกความรู้สึกทั้งมวล

“ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก รีบโทรหาพ่อหรือพ่อณรงค์โดยเร็ว” ชาญณรงค์ส่งความรู้สึกบางอย่างมอบให้ภพดนัยเมื่อดวงตาของคนทั้งคู่สบกัน จากนั้นศาสตราจารย์วิชัยและชาญณรงค์จึงเดินออกจากห้องไป

พจน์ก้าวถอยห่างจากเตียงคนไข้เหลียวมองระเบียงห้องพักผู้ป่วยผ่านกระจกโปร่งใส ท้องฟ้ายามค่ำกำลังมาเยือน แสงสีพลุประทัดสว่างวาบเหนือท้องฟ้าภายใต้ดวงจันทร์เต็มดวงของเดือนสิบสอง เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้พจน์มึนงงจนลืมเสียสนิทว่าวันนี้เป็นวันลอยกระทง ท่ามกลางความสุขล้นของทุกคน ครอบครัวของเขากำลังเผชิญภัยบางอย่างที่ไม่สามารถระบุได้เต็มปากคำ มีคนกำลังปองร้ายครอบครัวพจน์อย่างแน่แท้ไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งคุณพ่อ พจน์ และอาพล ต่างได้รับกล่องปริศนา และมั่นใจว่าในกล่องเหล่านั้นมีดอกลีลาวดีเพลิง หรือจุมพิตสีเลือดบรรจุอยู่ พลังอันตรายเหนือธรรมชาติยากต่อการพิสูจน์ถึงการก่อเกิดของอาวุธปริศนานี้ทำให้พจน์ไม่อาจมองเห็นทางออกของปัญหานี้ได้

ถ้าเรื่องราวตำนานเมื่อกาลก่อนที่ไอ้กันเล่าเป็นความจริง เหตุใดอาวุธร้ายแรงนั้นถึงถูกนำใช้เพื่อเล่นงานครอบครัวของพจน์ได้ ผู้ประสงค์ร้ายนี้คือใคร สุนิสายังคงร่ำไห้โดยมีดาวเป็นผู้ปลอบโยน ภพดนัยยืนนิ่งเหมือนไม่รู้กระทำการใดต่อจากนี้

นิธิผสานนิ้วอุ่นวาบรวมกับมือพจน์นั่นทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งขัดขืน แต่สายตาดุตรึงให้พจน์หยุดอยู่นิ่ง เมื่อไอ้กันถอนมือกลับ พจน์รับรู้ถึงเศษกระดาษภายใต้ฝ่ามือซ้ายของตน พร้อมคลี่กระดาษมีรอยฉีกออกจากหนังสือต้นฉบับ เป็นกลอนสี่สุภาพจำนวนสามบท ภายใต้หัวเรื่อง มนตราลีลาทมิฬ

“ตอนมึงล้มลงหมดสติในห้องน้ำเมื่อวันแรกเจอ ตอนนั้นกูคิดว่าเพราะโคลงสี่สุภาพต้องห้ามนั่น แต่วันนี้เมื่อกูสัมผัสตัวมึง ทำให้กูรู้อะไรชัดเจนขึ้น” ใบหน้าเรียวแหลมจ้องพจน์

“ไม่มีสิ่งใดบนพิภพนี้ที่จะช่วยให้อาของมึงฟื้นคืนกลับมาได้” นิธิบอกเล่าเหมือนคุยถึงสภาพอากาศประจำวัน

“มึงหมายความว่ายังไง”
 
“สิ่งที่มึงกำลังเผชิญอยู่เป็นภัยอันตรายใหญ่หลวง กูบอกมึงได้เท่านี้”

“กูจะช่วยอาพลได้ยังไง”

“กระดาษในมือคือคำตอบของคำถามที่มึงถาม” ไอ้กันพยักหน้าใส่กระดาษสีเก่าเหลืองนั่น “กลอนสี่สุภาพสามบทในหนังสือวรรคทองวรรณปราชญ์ซึ่งไม่ได้หล่นลงโดยวิถีธรรมชาติ เป็นเครื่องยืนยันแน่ชัด”

พจน์อ่านทวนอีกรอบหนึ่งในบทสุดท้ายเหมือนมีคำหายไปสี่คำของแต่ละบาท

 
.....เทวาชุบร่างกระจ่างฟ้า
.....สัประยุทธ์ดุจแขไข
.....เพ็ญเช่นเดือนเลื่อนลับไป
.....ฉุดใจวิญญ์กลับรับคืนตน


“กลอนพวกนี้เกี่ยวอะไรกับการช่วยชีวิตอาพล”

“ถ้ากูคาดไม่ผิด ถ้อยคำที่หายไปคือสิ่งที่สามารถช่วยอาของมึงให้หายจากการตกอยู่ใต้คำสาปของลีลาวดีเพลิง” ไอ้กันพูด

“อาการของอามึงไม่ได้เป็นเพราะโรคปัจจุบันเหมือนหมอว่า แต่เป็นอำนาจอำมหิตของจุมพิตสีเลือด เหมือนที่เพื่อนของมึงโดนแต่ถูกช่วยไว้ได้ทันการณ์”

“แล้วสิ่งสิ่งนั้นคืออะไร” พจน์ถามกลับร้อนรน “โปรดบอกกูนะ ไอ้กัน บอกกู แล้วกูจะทำตามทุกสิ่งที่มึงขอ”

“กูช่วยมึงไม่ได้ เพียงมองแค่ครั้งเดียวกูก็รู้ว่าคำที่หายไปคืออะไร แต่เพราะมีพันธะสัญญาบางอย่างผนึกแน่นไม่ให้กูพูดคำคำนั้น และอีกอย่างกูไม่อาจนำกลับมาให้มึงได้ บนโลกนี้มีเพียงแค่มึงคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้” สีหน้าเจ็บปวดประกอบคำพูดของไอ้คนตัวสูง

“โปรดบอกกู” พจน์อ้อนวอนเสียงเบา

“มีมึงคนเดียวเท่านั้นที่รู้วิธี” ไอ้กันส่ายหน้า “กูไม่รู้ว่ามึงทำได้กี่ครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้มึงต้องพยายามควบคุมสติตนเองให้ได้ สติและความรักจะชักนำมึงสู่สิ่งที่กูบอก”

พจน์ก้มลงดูกลอนบทสุดท้ายแต่ในหัวยังมีแต่ความว่างเปล่า ความคิดหลายสิ่งสับสนจนตนไม่อาจนึกออกว่าคำสูญหายเหล่านั้นคืออะไร

“ไอ้พจน์ มึงมองตากู” ไอ้กันสั่ง คนอื่นๆในห้องเสมือนไม่ได้ยินการพูดคุยของเด็กหนุ่มทั้งคู่ ต่างยืนเฝ้ามองคนเจ็บด้วยสีหน้าว่างเปล่า “มึงต้องหัดควบคุมพลังนี้ ตั้งสติให้ดี และนึกถึงสิ่งที่มึงปรารถนา”

คำสั่งของไอ้กันหมายถึงความสามารถใด มันกำลังพูดถึงพลังอะไรที่พจน์สามารถทำได้อย่างนั้นหรือ

“งั้นลองหลับตา” ไอ้กันพูด “นึกถึงคนที่มึงปรารถนาจะพบมากที่สุดบนโลกนี้ คนคนเดียวที่มึงอยากเจอ คนคนเดียวที่มึงมอบสิ่งสำคัญให้แก่มัน”

คำพูดของไอ้กันเริ่มจางหายเหมือนมันถอยห่างและอยู่ไกลแสนไกล คนที่พจน์อยากเจอ และมอบสิ่งสำคัญให้ไว้....มาตะ

ทันทีที่พจน์ลืมตา บรรยากาศเย็นสบายกระทบสู่ใบหน้า เสียงดนตรีจำพวกเครื่องสีดังแว่วผ่านสายลม ท้องฟ้าเกลื่อนดาวส่องสว่างอยู่เคียงข้างกับจันทราเต็มดวง พจน์กำลังนั่งพับเพียบอยู่ในท่าหมอบกราบอยู่บนพื้นพรมสีแดง บุคคลข้างเคียงแต่งกายในชุดสีขาวเหมือนตน นุ่งห่มท่อนล่างคล้ายโจงกระเบนแต่ปล่อยชายลงข้างหนึ่งพร้อมผ้าคล้องไหล่ตกแต่งด้วยเครื่องประดับสีเงินแซมอัญมณี เกล้ามวยผมอยู่กลางกระหม่อม เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพจน์ข้ามพิภพมาอีกครั้งในคราบของมหาดเล็กฝ่ายภูษามาลา ทั้งด้านหน้าด้านหลังมีเด็กหนุ่มวัยเดียวกับพจน์พร้อมอาภรณ์เครื่องประดับเช่นตนนั่งหมอบกราบอยู่นับสิบคน ท่ามกลางเสียงบรรเลงของวงมโหรี มีเสียงพลุประทัดดังแทรกมาเป็นระยะๆ

เบื้องหน้าเป็นศาลาไม้ทรงจตุรมุขลงรักปิดทอง ช่อฟ้า ใบระกา บาลี หางหงส์ส่องสะท้อนสีทองภายใต้แสงจันทร์ แนวผ้าขาวความสูงขนาดสามเมตรขึงตึงโดยรอบ นับตั้งแต่ศาลาทรงจตุรมุขเป็นเสมือนกำแพงแนวยาวกั้นทัศนียภาพเบื้องหลังจรดประตูเมืองสูงใหญ่ทรงมณฑปปลายแหลมขนาดสามประตู มีชวาลาให้แสงสว่างสลับสับหว่างเหนือโคนเสากำแพงผ้า ข้าราชสำนักฝ่ายชายก้มหมอบกราบบนพื้นพรมแดงด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านเป็นสตรีไว้มวยผมสูง พร้อมผ้าคาดอกสีขาว นุ่งผ้าทอยกลายสีเงิน พร้อมเครื่องประดับทองก้มพนมมือหมอบกราบ มีพานทองบรรจุสิ่งประดิษฐ์ลักษณะคล้ายโคมผสมผสานกับกระทง ทุกคนนิ่งเงียบไม่มีใครพูดจาสนทนากัน
 
รอบศาลาทรงจตุรมุขขึงม่านสีแดงรวบชายไว้โคนเสาสลักลายปิดทอง แสงสว่างจากอัจกลับเหนือเพดานส่องให้เห็นโต๊ะหมู่บูชาจำนวนสามชุด ปรากฏเทวรูปยืนองค์ประทับอยู่เหนือแต่ละโต๊ะ มีรูปลักษณ์กิริยาแตกต่างกัน เห็นไม่ชัดว่าเป็นเทวรูปองค์ไหน ชายชราแต่งกายชุดขาวไว้หนวดเครายาวถึงอก เขียนสีหยดน้ำแดงกึ่งกลางหน้าผากจำนวนหนึ่งกำลังอ่านโองการเป็นภาษาที่พจน์ไม่เคยได้ยินมาก่อน น้ำเสียงดังกังวานทำให้ขนแขนพจน์ตั้งชันโดยไม่รู้ตัว กึ่งกลางศาลาเบื้องหน้าโต๊ะบูชาทั้งสามมีตั่งสลักลายลงสีทองตั้งอยู่ถัดมา
 
แผ่นหลังกว้างแน่นของบุรุษในชุดอาภรณ์ขาวเลื่อมระยับเกล็ดสีทองประทับนั่งอยู่ ผ้าคล้องไหล่ขาวตัดกับสร้อยสังวาลย์ทองคำ อัญมณีมีค่าบ่งสถานะสูงส่งของผู้สวมใส่ กล้ามเนื้อแผ่นหลังและกล้ามแขนนูนชัดกำยำ ทรงผมรวบเป็นมวยอยู่ใต้เครื่องครอบศีรษะทองสลักลาย สวมต่างหูทรงกรวยแหลม ไม่อาจเห็นใบหน้าชัดเพราะหันหลังมาทางพจน์นั่งหมอบกราบอยู่ สตรีข้าหลวงก้มกราบหน้าผากจรดพื้น บางส่วนโบกพัดวี บ้างชูพานเหนือหัวพร้อมขวดคนโททองบรรจุน้ำ แลเครื่องราชูปโภคแวดล้อม มหาดเล็กชุดขาวเช่นเดียวกับพจน์ก้มศีรษะแนบพื้นถัดมา

“ก้มหน้าลงบัดเดี๋ยวนี้ หาไม่ข้าจะลากเจ้าไปตัดคอเสียบประจาน ฐานกระทำการจ้องพระพักตร์องค์มหาอุปราช” เสียงเข้มออกคำสั่ง ทำให้พจน์หันมองคนพูดโดยเร็ว

เด็กหนุ่มในอาภรณ์ขาวเฉกเช่นพจน์ พร้อมเครื่องประดับทอง กระชับด้ามดาบทองพร้อมชักออกใบหน้าเครียดขมึง คิ้วขมวดแน่น สีเขียนหยดน้ำขาวกลางหน้าผากสะท้อนชัดท่ามกลางราตรี ริมฝีปากบางสีชมพู จมูกคมสัน นัยน์ตาขีดขอบดำส่งให้แววระริกรื้นเริ่มสั่นไหว จนเจ้าของร่างต้องทรุดกายคุกเข่าลง ละด้ามจับอาวุธดาบทองใช้มือหนาประคองใบหน้าพจน์ให้เชิดขึ้นเพื่อพินิจให้ชัดเจน
 
“ภัทรพจน์”

“มาตะ”

“เจ้าหายตนไปแห่งหนใดฤา ดวงใจของมาตะ” คำพูดของเจ้าคนตัวใหญ่สั่นเครือชัดเจน พจน์อับจนคำพูด เป็นตนเองที่ทิ้งเจ้ามาตะไปโดยไม่ทันได้บอกกล่าว แววตาสนองคำพูดบ่งชัดว่าคนคนนี้เจ็บปวดเหลือประมาณ ณ ช่วงเวลาที่ผ่านมา

“มาตะ เจ้าจักทำให้พระราชพิธีเสียการ” เด็กหนุ่มที่พจน์จำได้ว่าชื่อ โกสินทร์ ผิวกายเข้มกระซิบกับมาตะ

“หยุดเจรจาก่อนเถิด เราจำต้องนำอาวุธคู่กายเจ้าเข้าประกอบเครื่องศาสตราวุธถวายต่อทวยเทพโดยพลัน” พจน์สังเกตเห็นว่าดาบทองคู่กายของมาตะแตกต่างจากของเจ้าโกสินทร์ที่เป็นฝักสีเงินธรรมดา

มหาดเล็กฝ่ายภูษาโดยรอบพจน์เริ่มหันมาสนใจกลุ่มของมาตะและปรากฏเสียงกระซิบกระซาบแผ่ขยายเป็นวงกว้าง รวมถึงหมู่นางข้าหลวงผู้อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย

“เร่งฝีเท้าเถิด มาตะ พระมหาอุปราชทรงรอคอยพระแสงดาบคู่กายเจ้าอยู่” เด็กหนุ่มนามว่า เวฬุ ร่างอวบกล่าว เหลือบมองพจน์ด้วยแววตาไม่อยากขัดขวางแต่เพราะภาระมอบหมายจำต้องเอ่ย

สีหน้าเจ็บปวดของมาตะแสดงอารมณ์เบื้องลึก มันละมือจากใบหน้าพจน์

“โปรดอยู่คอย ณ ที่นี้เถิดหนาเจ้า อกข้าจะมอดไหม้เพราะความคนึงหา เหตุเพราะกิจหน้าที่จำต้องละเจ้าไว้โดยเดียว อย่าหลบลี้หนีหน้าข้าอีกเลย ใจมาตะจะแตกดับในบัดเดี๋ยวนี้แล้ว”



100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2019 19:35:48 โดย LoveBlueSky2203 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
คำเดียว ค้างมาก เอาตรง ๆ นะ เราไม่ได้อยากรู้เลยว่าโลกปัจจุบบันของพจน์จะเป็นเช่นไร แต่อยากรู้แค่ว่าพจน์กับมาตะจะได้ครองคู่กันไหม อารมณ์แบบเหมือนมาตะเป็นเพียงตัวประกอบง่ะ น้องไม่พอใจ !

ละคือแบบฉันอยากให้มีแต่เหตุการณ์ในอดีต สงสารพ่อมาตะคนดีเสียจริง เดี๋ยว ๆ พจน์นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ห่วย

โห เรียนวิทยาศาสตร์ ก้มกราบคาราวะสิบจอก ฮ่า ๆ มาลงตอนใหม่บ่อย ๆ นะฮะคนเขียน คิดถึงเรื่องนี้มากมายก่ายกอง

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
***สุขอ +เป็ด ให้ทุกreplyเลยนะจ๊ะ***


สารภาพตามตรงว่า

1. พึ่งมาอ่านล่ะ อ่านรวดเลย11ตอน
2. อ่านไปขนลุกไป

ไม่เชิงว่าหลอนนะ แต่มันแบบ ขลังๆอ่ะ เหมือนว่านิยายเรื่องนี้มันมีอะไรๆ

โวหารดี ถ้อยคำไพเราะเสนาะหู ไม่ใช่คำสมัยนิยมวัยรุ่นแต่ก็ไม่ใช่ประเภทโบราณที่อ่านแล้วงง

ที่สำคัญคือ บทบรรยาย/พรรณนาละเอียดมากกกกกกกกกกกกกกกกก

ยิ่งกว่าดูละครย้อนยุคในทีวี

ความรู้สึกมันยิ่งกว่านั้นจริงๆค่ะ

ตะลึงหนักไปอีกพอเห็นคนเขียนบอกว่าเรียนวิทยาศาสตร์ ซึ่งมันเป็นอะไรที่คนละแนวเลย

คือถึงจะบอกว่าชอบแต่งกลอนก็เถอะ แต่เเต่งนิยายด้วยภาษาระดับนี้ในยุค4Gมันถือว่าไม่ธรรมดาแล้วนา

(ใช้เวลาแต่งนานมั้ยคะ? แบบว่าด้านการสรรหาคำมาใช้น่ะค่ะ)

ยิ่งแต่ละประโยคที่พ่อหนุ่มมาตะเอื้อยเอ่ยนี่แบบ โอยยยยย อิฉันยอมค่ะ สุนี่ยอมใจเลย (อนาคตถ้าสุพัฒนาฝีมือจนถึงขั้นนี้ได้ก็พอใจแล้วงือ)

ตกลงพ่อมาตะนี่เป็นพระเอกรึเปล่าคะ?

แล้วกันนี่เป็นใครกันแน่? ดูแล้วคล้ายว่าจะไม่ใช่คนนะ ถึงเป็นคนเลเวลก็คงห่างจากคนปกติอยู่โข

ที่ปักใจรักและเทิดทูนพจน์ขนาดนี้นี่แปลว่าก่อนหน้านี้มันต้องมีอะไรดิ? แล้วมันคืออะไรกันล่ะ? เมื่อไรนายพจน์จะรู้ถึงอดีตและอนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกลนี้สักทีน้อ?

นายปาล์มนี่เราอ่านแล้วก็แอบคิดเล็กๆนะว่าเขามีแอบส่วนเอี่ยวกับเหตุการณ์นี้รึเปล่า?

ปาล์มพูดว่าพจน์คือดวงอาทิตย์ โถ่ถัง นายพจน์ก็ดันเข้าใจผิดไปไกล น้ำตานองหมอน  สุดท้ายไปเจอพ่อมาตะปลอบทั้งกายทั้งใจเลยเชียว

ถ้าในอนาคตอันใกล้นายปาล์มเกิดหลุดว่าชอบพจน์นี่พจน์คงช็อคพอควรมั้งนะ

คุณพ่อกับคุณผู้ช่วยมีอะไรๆกับจริงๆด้วย

ตอนล่าสุดก็ตัดจบยังงี้เลยโถ ค้างแบบไม่มีแอบ พรุ่งนี้สุมีสอบตั้ง5วิชาด้วยแน่ะ แย่ๆ

ถึงจะพูดอย่างงั้นแต่ก็จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ




ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
ขอบคุณฮะ  สุดยอดเลย

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
เจ้มจ้น

รอบทที่ 12    :katai4:

ออฟไลน์ someone0243

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
มาแสดงตัวค่ะ ยังไม่ได้อ่านเต็มๆ แค่อ่านผ่านๆก่อน แต่มันอดมาเม้นไม่ได้ค่ะ ตอนเห็นชื่อเรื่องนี่ไม่ได้มีความคาดหวังอะไรเลยค่ะ ถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะด้วยสัญลักษณ์ รูปแบบการตกแต่งชื่อกระทู้ หรือกระทั่งตัวชื่อเรื่องเองบอกตรงๆว่ากลืนไปกับเรื่องอืนๆมากค่ะ (มีช่วงก่อนหน้านี้มีนิยายชื่อพีคๆค่อนข้างเยอะค่ะ) แต่พอกดเข้ามาสแกนผ่านๆเจอโคลงสี่สุภาพในเรื่องนี่ต้องหยุดมาสำรวจเรื่องเลยค่ะ โคลงนี่โปรประหนึ่งกำลังอ่านวรรณคดี ภาษาสำนวนก็สวย โครงเรื่องก็น่าสนใจดีค่ะ ก่อนจะเจอเม้นว่าคุณนักเขียนเรียนคณะวิทย์นี่ยังคิดๆอยู่เลยว่าต้องจบพวกอักษรไรพวกนี้มาแน่ๆ 5555

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
กรี๊ดประโยคสุดท้ายมากๆค่ะ  มาตะรักพจน์มากๆเลย แต่พจน์ก็ไปๆมาๆ  สงสารมาตะมากๆค่ะ
นักเขียนแต่งเก่งมากๆ นักวิทยาศาสตร์เก่งหลายด้านจริงๆค่ะ o13
ลุ้นตอนต่อไปมากๆค่ะ   ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :กอด1:

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
ห๊ะ? ค้างเว่อร์ มาต่อด่วนเลยคนเขียน
คนอ่านจะลงแดงตาย  :a5: :z3:

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๑๒


เล่ห์รักกลกลอน



คำสวดโองการจากเหล่าพราหมณ์พฤฒาจารย์สอดผสานดังขับขานสยบเสียงร่ำร้องของทุกสรรพชีวิตให้หยุดยั้งในบัดดล พีธิกรรมดำเนินอย่างเงียบสงัดโดยไร้คำสนทนาพาที พจน์ก้มหมอบกราบอยู่บริเวณด้านนอกศาลาปะรำพิธีเป็นเวลานานจนปวดเหน็บขาช่วงล่าง หากไม่เกรงภัยขุนทหารหน้าตาโหดถมึงทึงกระทำประหัตประหารกุดศีรษะตนอย่างเจ้ามาตะประกาศเตือนแล้วละก็ จะลุกคลานหนีออกจากที่แห่งนี้โดยด่วน ทุกคนล้วนหมอบก้มยังมีสติหรือหลับใหลไปแล้วไม่อาจบอกได้
 
“ก้มกราบกรานสามหนแล้วคลานตามข้ามาเถิด”

ใบหน้าเข้มคิ้วหนาอย่างคนมีเชื้อสายแขกของเจ้าโกสินทร์กระซิบกระซาบ พจน์รีบทำตามเมื่อเห็นทางออกของปัญหาที่เผชิญอยู่ ครั้นกราบหนสามพยายามจ้องมองภายในศาลาทรงจตุรมุขไม่แลเห็นเงาร่างของเจ้ามาตะแม้แต่น้อย

“มาตะสั่งความให้พาท่านไปสู่ที่พักให้ผ่อนกายสบายก่อน แล้วจักตามไปไม่ช้าที”

เมื่อเห็นแววตาชะเง้อแลหาอีกฝ่ายจึ่งแจ้งแถลงไข

เด็กหนุ่มร่างใหญ่คลานเข่ายืดตัวตรงองอาจสมชายชาตินักรบมุ่งสู่ทางออกของประตูกำแพงผ้าขาว พจน์ทำตามแต่ติดขัดด้วยท่าทางไม่มั่นคงเหมือนโกสินทร์ อีกทั้งชุดพะรุงพะรังนี้เป็นเครื่องกีดขวางสำหรับดำเนินเป็นอย่างยิ่งทำให้เจ้าคนอยู่ด้านหน้าหัวเราะขำขันเสียงเบา

“เจ้าทำประหนึ่งมิเคยประพฤติอาการเยี่ยงนี้เลยกระนั้น” โกสินทร์เลิกคิ้วสูงประกอบคำถาม

“ไม่เคยน่ะสิ อย่าหัวเราะได้ไหมเล่า”

“หากมิเกรงเจ้ามาตะหึงหวงแล้วล่ะก็ ข้าจักประคองกอดพยุงเจ้าเป็นแน่แท้ แต่เพราะสหายข้าเป็นบุรุษผู้มีลักษณะนิสัยชอบหวงของ แลรักของที่ห่วงดุจดวงใจดั่งว่าแล้ว จึ่งทำให้ข้านี้มิอาจทำอย่างใจนึกได้ อดรนทนเอาเถิด เพียงพ้นกำแพงเขตพิธินี้ก็เดินเหินได้มั่นคงดังเดิม”

พจน์รีบก้มหน้างุดแล้วชันเข่าคลานตามคนตัวสูงโดยเร็ว ความรู้สึกเหมือนโดนจับได้ว่าตนมีใจผูกสมัครรักใคร่กับมาตะอย่างไรอย่างนั้น ทำให้พจน์ยิ่งก้มหน้าคางชิดอกยิ่งกว่าเคย

“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะห้าวดังชัดเมื่อบัดนี้เด็กหนุ่มทั้งคู่เคลื่อนกายมาสู่ประตูทางออกแล้ว “มิน่าเล่า เจ้ามาตะถึงถวิลหาหนักหนา เพราะอาการดั่งน่าแกล้งน่าหยอกเฉกเช่นนี้เอง”

“พูดอะไรวะ ไม่เห็นเข้าใจเลย” พจน์กระซิบรอดไรฟัน

“บัดนี้ลุกยืนได้แล้ว มา ข้าจักช่วย”

มือเข้มตะคองไหล่พจน์ให้ทรงกายยืดตรง

ทหารร่างบึกบึนนุ่งผ้าหยักรั้งสีแดงสวมชุดเกราะทอง ทั้งแขน ขา รวมถึงศีรษะ ล้วนสลักลายนูนเป็นรูปสิงห์ มือซ้ายถือโล่ทองสลักลายเป็นหน้าพยัคฆ์ มือขวากำทวนห้อยพู่ขาวกางกั้นทางออกอยู่คนละฝั่ง

อาการปรับกิริยารวดเร็วจากนั่งเป็นยืนกอรปกับตะคริวลุกลามอยู่เท้าซ้ายทำให้การทรงตัวของพจน์ไม่สมดุลอย่างที่คิด ทำให้เซซบเข้าหาอกคนผู้ช่วยพยุงทันที แต่ร่างหนาดุจเสาปักหลักมั่นคงรองรับไว้อยู่ อุบัติเหตุนำสู่ใกล้ชิดของคนทั้งสองทำให้โกสินทร์ยืนนิ่งไม่อาจพูดจาต่อดั่งนิสัยช่างเจรจาได้

“ขอโทษที เท้ามันชาอ่ะ ขอบใจนะ”

พจน์ผละออกจากอ้อมอกคนผิวเข้ม เขย่งปลายเท้าก้าวผ่านทหารเวรยามซึ่งยกทวนกางกั้นออกโดยพลัน ภายนอกเขตกางกั้นพระราชพิธียังมีทหารไพร่ชั้นเลวก้มหมอบกราบอยู่โดยรอบ ฉนวนทางเดินเป็นดินแห้งโชคดีที่พจน์ส่วมรองเท้าหนังสานเป็นลายรัดข้อเท้าไว้อีกชั้น หันกลับไปมองผู้เป็นตัวแทนของมาตะ ก็พบสีหน้าเคร่งเครียดของโกสินทร์ยืนมองพจน์อยู่เช่นกัน ก่อนจะเดินตามมา เจ้าโกสินทร์เดินผ่านพจน์รวดเร็วดุจสายลม

“แล้วนายจะพา...”

พจน์เกาท้ายทอยด้วยสีหน้างุนงง เมื่อเจ้านั่นไม่แม้จะเหลียวฟังคำพจน์เช่นเหมือนก่อน ทำให้ต้องเร่งสาวเท้าตามติด

แนวทหารเวรยามชุดเกราะทองกางกั้นทวนเป็นกำแพงยาวขนาบอีกชั้น เบื้องหน้าคือประตูเมืองขนาดใหญ่จำนวนสามบานฉาบทาสีแดงตัดกับสีขาวของขอบประตู ยอดมณฑปทั้งสามพุงสูงเสียดฟ้าจนต้องแหงนหน้ามองคอตั้ง ประตูบานกลางปิดแน่นสนิท เปิดเพียงประตูขนาบข้างซึ่งเล็กกว่าเท่านั้นให้ผู้คนเดินเข้าออก

ถนนดินขนาดกว้างประมาณพาหนะขับสวนกันได้ทอดผ่านหน้าประตูจรดตลอดแนวกำแพงเมืองสูงจนลับสายตา รูปปั้นสิงห์สลักลายวิจิตรบรรจงขนาดใหญ่มหึมาตั้งขนาบประตูเมืองเป็นทวารบาลเสมือนผู้คุ้มครองป้องกันภัย ดวงตาสีดำสนิทสะท้อนแสงคบไฟดุจมีชีวิตชีวา ด้านหลังใบเสมาเหนือกำแพงมีทหารชุดเกราะทองเดินเวรยามสวนกันไปมา ระหว่างช่องว่างของใบเสมามีโคมกระดาษสีขาวภายในจุดเทียนให้ความสว่างประดับประดาเหนือเชิงเทินตลอดความยาว รวมถึงริมถนนล้วนมีเสาประดับด้วยโคมกระดาษแก้วหลากสีส่องสว่างเป็นแนวยาวเช่นกัน

ผู้คนที่เดินขวักไขว่ล้วนแต่งกายคล้ายคลึงกัน ถ้าเป็นชายจะนุ่งผ้าหยักรั้งเปลือยอก บ้างคล้องผ้าคล้องไหล่ มุ่นมวยผม แต่หากเป็นสตรีจะนุ่งผ้าถุง คาดอกด้วยผ้าแถบ เกล้าผมเป็นมวยสูง ใส่ผ้าคล้องคอ ประดับด้วยกำไลข้อมือ ข้อเท้า หรือต่างหู ทำจากเงินหรือทองตามฐานะของแต่ละคน ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส่ทักทายพจน์เมื่อเดินผ่าน

“ตามข้ามาทางนี้” โกสินทร์บอก

พจน์มัวแต่สนใจสิ่งรอบข้างจนลืมว่ากำลังจะไปที่แห่งหนใด ทางเดินนั้นเป็นถนนเรียบกำแพงเมืองด้านซ้ายมือ เมื่อพ้นแนวทหารเกราะทองที่ยืนกางกั้นอาณาเขตพระราชพิธีอยู่นั้น หมู่เรือนผนังไม้มุงหลังคาด้วยจากจึงผุดปรากฏขึ้นแน่นขนัดอยู่สองข้างถนน ผู้คนสนทนาพาทีทักทายดูรื่นเริง เด็กเล็กๆล้วนถือโคมกระทงวิ่งเล่นสนุกสนาน หน้าเสาเรือนประดับประดาด้วยโคมไฟเฉกเช่นกัน เด็กกลุ่มหนึ่งกำลังจุดพลุประทัดให้แสงและสีพิศดาร พร้อมเสียงประกอบดังผสาน สร้างเสียงหัวเราะแก่ผู้เล่นเป็นอย่างดี

โกสินทร์เดินนำพจน์แต่ทิ้งระยะห่างไว้ไม่ให้คลาดกัน ผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ ชมการละเล่นริมถนน บ้างเป็นการแสดงรำดาบ บ้างเป็นการแสดงปีนเสาน้ำมัน คราใดเมื่อคนปีนลื่นตกลงก้นกระทบพื้นเสียงเฮก็ดังระงมผสานกันโดยมิได้นัดหมาย แต่เสียงสวดของหมู่พราหมณ์ยังคงดังแว่วผ่านสายลมมาเป็นระยะๆ
 
“เลี้ยวตรงนี้” โกสินทร์จำต้องคว้าข้อมือพจน์ไม่ให้ไหลลามไปตามฝูงชน พาเข้าสู่ตรอกซอกซอยแห่งหนึ่ง

บ้านเรือนยกพื้นไม่สูงมากนักประดับโคมหลากสีไว้หน้าเรือนเป็นเครื่องนำทางแก่ผู้คน พจน์เดาว่าที่นี่คงมีงานเทศกาลรื่นเริงอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นแน่

ร้านรวงค้าขายอาหารพื้นถิ่น ขนมแปลกตาที่พจน์ไม่เคยได้เห็นในสมัยปัจจุบันแล้ววางเกลื่อนบนแคร่ไม้ไผ่ริมทางดินขรุขระ เด็กชายหญิงต่างรุมล้อมส่งเสียงอยากได้ๆ ร้อนถึงพ่อแม่ต้องมาห้ามปรามบ้างจำต้องควักเงินจ่ายเพื่อยุติอาการร้องไห้ โกสินทร์พาพจน์เข้าสู่โรงเหล้าที่บุรุษจำนวนมากต่างร่ำสุรายาเมาส่งกลิ่นแอลกอฮอล์ชั้นดีอยู่บนแคร่ไม้ ในลานกว้างเปิดโล่งติดกับเรือนไม้ไผ่แห่งหนึ่ง ลูกค้าใบหน้าแดงกร่ำ บ้างสนทนา บ้างร้องรำทำเพลง ประกอบจากดนตรีเคาะมือทำเอง หญิงร่างใหญ่ใบหน้าขีดเขียนขอบตาและคิ้วโค้งโก่งผัดหน้าขาววอก ที่คาดว่าคงเป็นเจ้าของร้านร้องตะโกนก้อง

“เพลาๆหน่อยโว๊ย พวกเอ็ง บัดเดี๋ยวทหารหลวงจักมาจับพวกมึงเข้าตะรางเสียหมด”

“เหตุใดข้าต้องเบาเสียงด้วยล่ะ แม่แดง หลวงท่านอุตส่าห์กำหนดราตรีนี้เป็นวันพระราชพิธีจองเปรียงลดชุดลอยโคมเพื่อถวายแก่ทวยเทพ แลงดเก็บภาษีจังกอบเป็นเพลาสามเดือนดั่งนี้ ชาวเราจำต้องฉลองเป็นกุศุลผลบุญต่อเทพเจ้าทั้งสามมิใช่ ฤา ฮ่าๆ” ชายหน้าแดงก่ำตอบร่างโอนเอน

“เหตุเพราะพระราชพิธีจองเปรียงในครานี้ ตรงกับเพลาน้ำหลาก พืชผลผลาหาร ภักษาหาร มังสาหารล้วนบริบูรณ์พูลสุก พระเจ้าอยู่หัวจึ่งพระราชทานเบี้ยหวัดเงินปีแก่ราษฎรโดยถ้วนหน้ามิแยกฐานะจนรวย เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้ว” นางแดงพนมมือเหนือเกล้า

“แต่มิใช่ให้พวกเอ็งๆเอามาลงในไหเหล้าจนหมดนะเว้ย เอาไปให้ลูกเด็กเล็กแดงพวกเอ็งได้มีข้าวตกถึงท้องด้วย”

เสียงหัวเราะดังเฮกลบคำเตือนของหญิงเจ้าร้านโดยสิ้น นางแดงเบือนหน้าหนีจากลูกค้าเหมือนไม่สบใจกลับมาเตรียมกับแกล้มกับปลาประกอบสุรายาเมาต่อ มีข้าทาสเป็นแรงช่วยอีกจำนวนหนึ่ง

“แม่ป้าจ๊ะ”

“มีกระไรรึพ่อหนุ่ม” หญิงร่างใหญ่ถามกลับรวดเร็วตามประสาคนค้าขาย

“ข้าจักขอเช่าเรือนพักสักห้องหับหนึ่งเพียงสามชั่วยามน่ะจ๊ะ” โกสินทร์ยิ้มกว้าง
 
“อุ๊ยตาย อกแม่จะแตก นึกว่าชายชาตรีรูปงามที่ไหน ไฉนเลยข้าจักจำพ่อโกสินทร์ มหาดเล็กวังหน้ามิได้เล่า” นางแดงจีบปากจีบคอตอบ ทำกิริยาอายสะเทิ้นราวกับสาววัยกำดัดถูกสับพยอก พจน์อมยิ้มนึกขันแอบหลบอยู่หลังเจ้าคนตัวใหญ่

“แลราตรีนี้หญิงงามผู้มีโชคนั้นคือสตรีจากแหล่งใด ฤา” ผ้าแถบสำหรับรัดทรวงอกใหญ่มหึมานั้นแทบจะแบกรับน้ำหนักไม่ไหวเสมือนจะหลุดได้ทันทีเมื่อมีคนสัมผัส

“มิได้จ๊ะ เป็นพ่อมาตะ บุตรชายสุดรักของแม่ต่างหากเล่า หาใช่ตัวข้าดอก”

“เทพยดาเป็นพยาน” นางอุทานประหนึ่งไม่อยากเชื่อถือในสิ่งที่ได้ยิน เอามือทาบอกใหญ่ “เป็นจริงกระนั้นรึ”

“จริงขอรับ”

“ทุกทิวาราตรีข้าจักได้ยินเรื่องประหลาดสักเรื่องหนึ่ง มินึกว่าค่ำนี้จักเป็นเรื่องที่พ่อคุณกล่าว”

หญิงร่างอ้วนหันไปกำชับนางทาสให้ทำอาหารสนองคำขอของคอสุราต่อ แล้วย้ายร่างเทอะทะมุ่งตรงสู่เรือนพักเบื้องหลัง คะเนจากสายตาน่าจะมีไม่ต่ำกว่าสิบห้อง นางเลือกห้องตรงกลางหยิบกุญแจแล้วไขแม่กุญแจที่คล้องโซ่ไว้ออก

“หากเป็นพ่อโกสินทร์ ฤา พ่อเวฬุ ข้าจักมิตกอกตกใจขนาดนี้ แต่พวกเจ้าเจริญวัยเติบกล้าถึงเพียงนี้แล้ว เอาเถิด แล้วพ่อตัวดีที่ริอาจลองรสกามาอยู่หนใด ฤา พ่อ”

“ประกอบกิจอยู่ ณ โรงพิธีขอรับ บัดเดียวจักตามมา” โกสินทร์อธิบาย

“ดีล่ะ คืนนี้ฤกษ์ดีนัก จำเราจักนำสุราชั้นเลิศจากเมืองมิตรประเทศมามอบเป็นเครื่องประกอบยินดีแก่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของข้าเสียที เจ้าว่าดี ฤา ไม่” นางโบกมือสวมแหวนทองประดับอยู่เกือบห้านิ้ว รวมถึงต่างหู  กำไลข้อมือ และข้อเท้าด้วย

“ดีขอรับ” โกสินทร์รับสมอ้าง

“เอ๊ะ แล้วผู้ใดทำลับลมคมในอยู่ด้านหลังเจ้ากันรึ” นางแดงชะแง้หน้าแล้วสบตาพจน์ “อุ๊ยตาย งามราวกับนางห้ามนางใน”

หญิงร่างใหญ่ยื่นมืออวบอูมดึงพจน์เข้าใกล้เพื่อพินิจพิจารณา

“แล้วเหตุใดถึงต้องตบแต่งกายเป็นชายเช่นนี้กระนั้นรึ ชะแม่” พจน์ไม่แน่ใจว่าแปลถ้อยคำโบราณนั้นถูกต้องหรือเปล่าเลยหันหน้าขอความช่วยเหลือจากเจ้าโกสินทร์ “ว่าไง พ่อโกสินทร์”

“คือดั่งนี้ขอรับ เพื่อมิให้เป็นที่ต้องตาของผู้ใด เจ้ามาตะเลยออกอุบายลวงพราง ไม่ให้ใครผิดสังเกตน่ะขอรับ”

“แหม ปัญญาฉลาดเฉลียวดีแท้ ถึงจักขึ้นชื่อว่ามาตะบุตรรักของข้า” นางแดงหัวเราะขบขันเหมือนยกดื่มสุรายาดองประมาณสามไห “เอาล่ะ เชิญๆ”

โกสินทร์ดันร่างพจน์ถอยห่างเข้าประตูห้องยิ้มส่งท้ายจนประตูปิดงับบังนางเจ้าของเรือนพักลับสายตา  ภายในห้องฝาหนังปิดทึบตกแต่งเรียบง่ายมีเพียงเตียงนอนแลฟูกหมอน ผ้าห่มอีกหนึ่งผืน พร้อมม่านมุ้งรวบไว้เหนือเตียงเท่านั้น กลางห้องมีตั่งไม้หนึ่งตัวตะเกียงไฟถูกจุดวางไว้อยู่บนนั้น ตรงกันข้ามมีประตูอีกบาน พจน์ผลักออกสู่ชานเรือนกว้างยื่นออกไปในผืนน้ำขนาดใหญ่ พอประมาณความกว้างจากการกะระยะด้วยสายตาน่าจะเทียบเท่าแม่น้ำเจ้าพระยา แสงไฟวับแวมจากฝั่งตรงข้ามคงมาจากหมู่เรือนริมแม่น้ำเช่นเดียวกัน

“พระราชพิธีจักเสร็จสิ้นอีกไม่กี่เพลานี้แล้ว อดใจรอหน่อยเถิด” โกสินทร์พูดขึ้น

บ่าวทาสหญิงสองคนยกคนโทใส่สุราเข้ามา สายน้ำไหลเย็นสะท้อนสู่บรรยากาศ พจน์หันซ้ายแลขวาพบเรือนพักริมน้ำปลูกสร้างติดกันสุดลูกหูลูกตา

“ขอบใจนะ” พจน์เดินกลับเข้าห้องยิ้มกว้างให้คนตัวสูงกว่า “นายคงพาสาวมาที่นี่บ่อยล่ะสิ เจ้าของร้านถึงได้ทักแบบนั้น”

พจน์ขยิบตาและยกยิ้มยั่วล้อ

“เอ่อ...ข้า ข้า...มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด”

“เฮ้ยอย่าปฏิเสธเลย ผู้ชายวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่านก็เป็นอย่างนี้ทุกคนแหละ” เด็กหนุ่มตาสวยตบไหล่เจ้าโกสินทร์ให้กำลังใจ

“ข้า...”

เสียงประตูเปิดผลัวะพร้อมร่างขาวกระจ่างของเจ้ามาตะถลันเข้ามา แรงหอบหายใจพิเคราะห์ว่าคงออกแรงวิ่งมาอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อดวงตาห่วงหากวาดมองเห็นพจน์ก็บังเกิดประกายเหมือนเจอของสำคัญ พุ่งเข้ากอดคนร่างบางไว้ในอ้อมแขนล่ำ อาการหุนหันพลันแล่นทำให้พจน์ต้องเหลียวมองอีกคนที่อยู่ในห้อง แต่เจ้าโกสินทร์เหมือนรู้การณ์ดีจึงถอยออกไปรออยู่หน้าห้องโดยเร็ว มันเวียนจูบลำคอพจน์ สูดกลิ่นหอมนวลจากพวงแก้ม และจุมพิตดูดดื่มชดเชยความทรมานที่ผ่านมา
 

“จากลาไปชอกช้ำระกำอก
พี่วิตกโศกเศร้าเมามัวหมอง
นวลน้องรักหักทรวงดวงละออง
ปล่อยพี่ครองจิตภักดิ์ปักหัวใจ”


คำบริภาษเป็นกลอนของมาตะทำเอาความรู้สึกผิดของพจน์พุ่งล้นสุดระงับ

“มาตะ นายอย่าเสียใจไปเลย คือ เราไม่ได้....”

ยังไม่ทันที่พจน์จะพร่ำพูดจบประโยค เจ้าคนผู้คร่ำครวญเป็นบทกลอนจึ่งประกบปากหยุดยั้งคำแก้ต่าง มิหนำซ้ำยังขยับร่างคนในอ้อมอกทอดตัวลงบนฟูกนอน


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2019 19:39:16 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ในที่สุดก็มาต่อแล้ววว

แหม่ พ่อมาตะจ๊ะ มาเป็นกลอนเชียวนะพ่อ

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
โอยยยยยย รออีกครึ่งจ้าาาาา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด