[แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

สำรวจความต้องการให้มีการพิมพ์รวมเล่มนิยาย >>>>ข้ามพิภพ<<<< หรือไม่

ต้องการ
27 (67.5%)
ไม่ต้องการ
0 (0%)
ไม่แน่ใจ
13 (32.5%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 40

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]  (อ่าน 285328 ครั้ง)

ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
เราชอบเรื่องนี้นะ แต่บางครั้งคำพูดโบราณมันดูโครงกลอนเกิน จนเราอ่านแล้วมัดขัด ๆ อะ ในตอนเกี้ยวกันโอเคงดงาม แต่ตอนพูดคุยหรือแม้แต่วิวาทกันมันดูอย่างไรก็ไม่ดูสิ เพราะอย่างแรกตอนต้นการพูดจาไม่ค่อยเหมือนโคลงกลอนมากนัก แต่พักหลัง ๆ มันมาแบบโคลงกลอนเกือบหมด ซึ่งเรียกได้ว่าพูดกันโดยภาษากลอน เรามองว่ามันค่อยข้างดาดไปนิด มันดูธรรมดาไปเลย แบบมาตะพูดคล้ายโคลงกลอนในบทที่วิวาทเยอะมาก หรือแม้แต่ก่อนเกี้ยวพจน์ คือมันแบบ โอ่ย พูดธรรมดา โบราณ ดั่งเช่นเจอพจน์ครั้งแรกเถอะ

รอมาต่อนะคนเขียน สงสารมาตะ แต่รู้สึกว่ากฤษณาดูมาหาเรื่องวิวาทมาตะโง่ไปนิด แต่พอเจอพจน์กับเจ้าชูงูดินได้แม้เพียงความคิด และพจน์โง่จังเลย เป็นเรานะ "อยากนั่งใช่ไหม เชิญนั่งจนตายไปเลย"

ตอนล่าสุด เราเข้าใจพจน์นะ เฮ้อ แต่บางเรื่องนี่พจน์ควรทำใจยอมรับเถอะ การสูญเสียอะไรทำนองนี้ และดูอ่อนแอจังเลย เฮ้อ

นิธิเรากำลังสงสัยว่าอาจเป็นมาตะภพก่อน หรือใครสักคนที่อยู่ภพก่อน

ความรู้สึกเรา เราคิดว่ามาตะนี่แหละพระเอก มันสะกิดใจมากเลยนะว่าใช่ ส่วนนิธิอารมณ์เหมือนพระรองเกาหลีอะไรเถือกนี้

โอ่ย ๆ เรื่องนี้มีอะไรลุ้นเยอะดี

ออฟไลน์ pui_noizๆ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เอาล่ะ พี่ท่าน ดังคำที่พี่ตอบน้องมานั้นน้องแจ้งแก่ใจดีว่า ถ้าเป็นบทที่พจน์พูดก็จักเป็นคำสมัยปัจจุบันไปพูดในอดีต แต่ที่น้องหมายคือ การบรรยายความในอดีตที่ไม่ใช่ส่วนของพจน์พูดนั้น บางครามันยังเป็นลูกผสมของปัจจุบันกับคำสมัยก่อน น้องเองก็คร้านจะหาให้ พี่ท่านโปรดพินิจเองเถิด...
ส่วนในบทนี้ซึ่งเป็นภาคปัจจุบัน มีบางคำที่ยังขัดๆ กัน ไม่แน่ช้ดว่าเป็นการที่ยังต้องการมีกลิ่นอายแห่งอดีตมาเจอในปัจจุบัน หรือเป็นการหลุดจากโทนออกไป หรือ แท้จริงเป็นการเอาภาษาเขียนไปใส่ในบทพูดแทน เลยทำให้บางคราฟังดูแปล่งๆ ชอบกล ดูไม่ใช่คำที่จะพูดแต่เหมาะเป็นคำเขียนเสียมากกว่า เช่น

“เช่นเดียวกับเมื่อครั้งมึงถามว่ากูคือใคร กูขอปฏิเสธ”
....เหมือนครั้งที่มึงถาม...

และทันใดนั้นอกของอาธนพลก็ยกขึ้นสูงรวดเร็วเหมือนมีมือล่องหนฉุดรั้ง บัดเดี๋ยวก็ฟุบลงกลับคืนฉับพลัน
...แล้วก็ฟุบ...

หากมึงไม่สามารถฝืนทนไหว จงร้องบอกกูทันที
...ถ้ามึงทนไม่ไหวให้รีบร้องบอกกูทันทีเลยนะ อย่าฝืน...

“มึงโปรดไว้วางใจ น้ำตามึงนี้ทำกูเจ็บรวดร้าว
...ขอให้มึงไว้ใจกูนะ เพราะน้ำตามึงมันทำให้กูเจ็บ...

“ไม่มีประโยชน์อันใดจักเชื่อถือในคำโป้ปดของทาสปีศาจอย่างเจ้าอีก” ไอ้กันย้อนคำ “ในมิช้าเราต่างจักได้รู้เช่นเห็นกันว่า ข้านำทวนอัศวาราตรีกาลมาผิดเล่ม ฤา ไม่”
...มิมีประโยชน์อันใด...

เป็นต้น พี่ท่านโปรดอย่าได้เคือง น้องแค่นำเสนอด้วยสมองอันน้อยนิดของน้อง เพราะน้องก็ไม่รู้ว่ส นิธินั้น นางจะมาสายไหน จะพูดเป็นทางการด้วยภาษาเขียนแต่ภาษาพูดแบบปกตินางก็ใช้ หรือจะอยากซั่มทั้งคำปัจจุบันกับคำในอดีต หรือนางจะมาแนวลิเก น้องก็ไม่รู้จริงๆ จุดนี้

แต่ต้องยอมรับว่าสนุกและฟินเฟอร์
ตกลงนิธิหรือกัน นางคงคือกฤษณะ สินะ แต่นางต้องสาปอันใด หรือให้สัตย์สาบานอะไร จึ่งไม่ตายแล้วต้องคอยมาดูแลพจน์
นอกจากนี้ น้องยังชอบการโต้ตอบกันด้วยสำบัดสำนวนต่างๆ ที่เป็นคำคล้องจองหรือมีสำผัสกัน อ่านแล้วจะรู้สึกว่าได้ย้อนไปยังสมัยก่อนจริงๆ ที่เค้าจะมีสัมผัสรับส่งกันในการสนทนาพาที
น้องขอขอบคุณอีกนะฮะ
















ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๑๖


อนันตวัชรมรกต



คำกรีดร้องสุดสะเทือนยิ่งกว่าเสียงครวญคร่ำใดจะเสมอเหมือนแผดก้องจนพจน์กับไอ้กันต้องยกมือปิดหู ร่างดำทะมึนกางแขนลอยแน่นิ่งอยู่ในอากาศเหนือกายอาธนพล ควันดำมากประมาณยังคงหลั่งไหลละทิ้งเจ้าของไว้โดยเดียว ทวนอัศวาราตรีกาลสว่างวาบปักบนอกซ้ายสุดปลายคม พจน์ไม่นึกว่ากำลังและความแม่นยำในการขว้างอาวุธทวนเทวาจะรวดเร็วตรงเป้าหมายราวกับจับวางขนาดนี้ ใจหนึ่งรู้สึกโล่งอก แต่อีกใจก็ให้รู้สึกเวทนาสงสาร เมื่อตอนนี้ดวงตาพิโรธโกรธแค้นสั่นระริกไหวจ้องมองเด็กทั้งคู่
 
“อย่าได้รู้สึกสงสารเด็ดขาด เมื่อมึงซัดอาวุธใส่ใครแล้ว อย่าให้มันได้เห็นแววตาอ่อนแอของมึง”
 
“กู...อืม เข้าใจละ” พจน์รับคำขยับจะเข้าพยุงร่างธนพลให้ห่างจากปีศาจตนนั้น พอดีเตียงนอนรวมถึงคนต้องคำสาปกลับเลือนหายจากที่แห่งนั้นจนลับตา

“ปลอดภัยแล้ว อามึงพ้นอันตรายใดๆจากอำนาจมนตราลีลาทมิฬทั้งสิ้น”
 
แสงอัคคีซึ่งลุกท่วมตั้งแต่ปลายยอดสูงสุดของต้นลีลาวดีเพลิงจรดโคนรากแสดงถึงจุดจบของอาวุธร้าย  และหมายถึงชีวิตของอาพลได้หลุดจากบ่วงปีศาจ ปรากฏเป็นประจักษ์พยานแก่สายตา นำพาความโล่งอกมาสู่ใจพจน์

ลมพายุยังคงพัดโหมให้เพลิงไฟลุกโชติช่วงยิ่งทวี เช่นเดียวกับควันดำซึ่งละทิ้งกายทมิฬมากขึ้นทุกขณะ จนในที่สุดพลังอำนาจอันชักนำให้ล่องลอยได้ก็หมดสิ้นลง ล่วงหล่นทรุดลงแทบพื้นหญ้าสีเขียวสด มือสีดำทั้งสองข้างพยายามพยุงรูปกายซึ่งกำลังจะแตกดับให้หยัดยืน อีกทั้งฝืนดึงอาวุธทวนเทวาอย่างอับจนหนทาง เรี่ยวแรงอุดมพลังงานมหาศาลบัดนี้เหลือเพียงพยุงลมหายใจให้พรั่งพรู่อีกไม่กี่มากน้อย ทวนสีเงินค้ำร่างดำไว้ในท่าคุกเข่าด้ามทวนปักลงพื้นดินใต้ผืนหญ้า เสียงกรีดร้องเจ็บปวดเหลือเพียงลมครวญอันรวยริน ไอ้กันขยับฝีเท้าเดินตรงเข้าหาปีศาจตนนั้น
 
เด็กหนุ่มร่างสูงก้มมองด้วยสีหน้านิ่งเฉยเพียงครู่ แล้วจึงกางนิ้วมือเหนือปีศาจลีลาทมิฬ
 
“บัดเดี๋ยวก่อน” เค้นคำเจรจาสุดยากแค้นแสนเข็ญห้ามปรามกระท่อนกระแท่น แววตาพรั่นพรึงสบมองพจน์แต่ผู้เดียว

“ประตูสู่อเวจีเปิดรอเจ้าอยู่พร้อมสรรพ เหตุเพราะฉุดคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์มานักต่อนัก” ไอ้กันพูดเสียงนิ่ง “ไฉนเลยมารีรอรั้งชีวิตทรมานเพื่อเอ่ยอ้างคำใดอีก”

ปีศาจทมิฬหลับแววตาเจ็บปวดลง ร่างกายสั่นสะท้านทนทรมาน เบื้องปลายนิ้วมือซึ่งควันดำผุดออกจากกายนั้นเริ่มปรากฏผิวซีดขาวลุกลามเผยเนื้อหนังอันแท้จริงทีละน้อย จนในที่สุดความดำมืดจึงหลุดเลือนหายพร้อมลมอากาศกลายเป็นบุรุษหนุ่มผิวกายขาว ทรงอาภรณ์ดุจใยสำลีพิสุทธิ์ ประดับเครื่องทองแพรวพรรณตระการตา และวินาทีที่พจน์เผลอมองดวงหน้าหล่อเหลาก็ทำให้เขาต้องก้าวถอยชะงักงัน

ร่างกำยำซึ่งคุกเข่ามีด้ามทวนค้ำอกไว้ไม่ให้ล้มนั้นดูล่ำสั่นสูงใหญ่ แต่ใบหน้าพริ้มเพรา รวมถึงดวงตาสีน้ำตาล เพียงมองปราดเดียวก็ดูราวกับพจน์กำลังจ้องตัวเองผ่านกระจกเงาอย่างไรอย่างนั้น
 
“เป็นไปไม่ได้” รีบส่ายหน้าปฏิเสธความคิดทั้งหลาย

ดวงตาหรี่เล็กลงเหมือนใกล้สิ้นสติกำลัง รวมถึงรอยโลหิตแดงไหลหลั่งจากมุมปาก เป็นสิ่งเดียวที่แสดงว่าคนผู้นี้มีชีวิต แล้วทำไมถึงได้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับพจน์ขนาดนี้ แม้จะดูออกว่ามีอายุแก่กว่าตนก็ตาม

ไอ้กันยืนนิ่งเงียบเมื่อเห็นคราบความจริงเปิดเผย อำนาจทมิฬซึ่งปกคลุมร่างแท้จริงละทิ้งมนุษย์คนหนึ่งไว้อยู่ต่อเบื้องหน้า หนำซ้ำยังดูเหมือนพจน์ราวกับฝาแฝด เมื่อไม่มีคำตอบหรือคำอธิบายจากเพื่อนข้างกาย พจน์จึงทรุดเข่าลงก้มมองพินิจให้ละเอียดถี่ถ้วน ตัวสั่นลั่นกราวราวเหน็บหนาว

“คุณ...ทำไมถึง...” พจน์ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองโดยสิ้นเชิง เมื่อพิจารณาในระยะประชิดก็ให้รู้สึกใจหายวาบ แววตาเจ็บปวดเหลือคณา ฝ่ามือไร้เรี่ยวแรงปล่อยทิ้งลงละพื้น

“ในที่สุดเราก็ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการ” ซ้ำน้ำเสียงยังคล้ายคลึงพจน์แต่ทุ้มกว่าเล็กน้อย “อึก ขอบน้ำใจเจ้ามาก เพลานับแสนสหัสวรรษซึ่งข้าตกอยู่ภายใต้อำนาจมนตราลีลาทมิฬ บัดนี้จบสิ้นแล้วด้วยน้ำมือเจ้า”

“คุณโดนคำสาปเหมือนกันอย่างนั้นหรือ” พจน์อึกอักถามระคนเห็นใจ

“เมื่อเนิ่นนานนั้นวิญญาณข้าถูกพลังลี้ลับ สะกดกักขังไว้เพื่อเสริมสำแดงอาวุธชั่วร้ายทำลายชีวิต เราระทมใจนัก แต่จักทำอันใดต้านทานฝืนมนตราดำนั้นมิได้ ทำเพียงเฝ้าดูผู้คนร้องขอชีวิตผ่านร่างอำนาจซึ่งใช้ครอบงำ” บุรุษหน้าเหมือนพจน์สำลักเลือดพร้อมกลั้วหัวเราะเท่าที่พลังแรงกายจะพึงมี “แลบัดนี้เราปีตินัก ด้วยเหตุเพราะพลังเหนือพลังทั้งปวงได้อุบัติขึ้นแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยคุณได้ยังไง คุณเจ็บหรือเปล่า” พจน์เลื่อนมือสั่นเทาสัมผัสทวนเทวาที่ตอนนี้เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง สีหน้าหม่นหมองสะท้อนสู่กันและกัน

“หาได้ไม่ ร่างที่เจ้าเห็นนี้เป็นแต่ดวงวิญญาณเท่านั้น แลจักดับสลายคืนสู่วิถีธรรมชาติ” ชายชุดขาวหายใจรวยริน “ข้าเฝ้ารอเพลานี้มานานแสนนาน เพลาซึ่งอำนาจทมิฬทั้งปวงจะต้องดับสูญ แลนี่คือจุดเริ่มต้นแห่งความพินาศ”

บุรุษผู้นั้นเงยหน้าจ้องแสงจันทร์สว่างจ้า

“อำนาจอันเจ้าครองจักต้องสั่นคลอน แลถูกท้าทายยิ่งกว่ายุคสมัยใด องค์จอมมาร” เอ่ยอ้างกับใครสักคนที่ไม่อยู่ในที่นั้น “หากแต่เสียใจเพียงอย่างเดียวคือมิอาจเห็นวันที่เจ้าสิ้นอำนาจทั้งมวลได้ ผู้ครอบครองสิ่งล้ำค่าสูงสุดปรากฏตัวพร้อมอุบัติการณ์แห่งพลังสถิตพร้อมสมบูรณ์อยู่เบื้องหน้าเรานี้ จงระวังให้จงดีเถิด สิ่งอกุศลกรรมอันใดซึ่งเจ้าก่อไว้จักหวนตามทันในมิช้า”

“คุณเป็นใคร ทำไมถึงโดนคำสาปร้ายนี้ และอีกอย่างทำไมหน้าตาของเราทั้งคู่ถึง...”

“ข้า...” โลหิตพรวยพุ่งจากริมฝีปากบางเปรอะเปื้อนผ้าคล้องไหล่เป็นจุดด่างพร้อย

“คุณครับ ทำใจดีๆไว้ ไอ้กัน ช่วยเค้าที ทำอะไรก็ได้”

นิธิยังคงยืนมองเหตุการณ์เบื้องหน้านิ่งเฉย เมื่อพบสบคำร้องขอความช่วยเหลือ ความว่างเปล่าของดวงตานั้นคือคำตอบทั้งหมด

“ไม่มีประโยชน์ เราช่วยเขาไม่ได้”
 
“ทำไมล่ะ มึงมีพลังนี่นา มึงเสกพลังต้านทานมนตราทมิฬได้ แล้วทำไมถึงช่วยเขาไม่ได้”

“เขามีชีวิตเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว เราทำได้เพียงแค่ปลดปล่อยวิญญาณนี้จากอำนาจมืดเท่านั้น และมึงก็ทำสำเร็จแล้ว”

“อึก ได้โปรดรับเอาไว้”

บุรุษหนุ่มฝาแฝดพจน์ใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายปลดเปลื้องเครื่องประดับหน้าผาก ลักษณะคล้ายหยดน้ำสีทองสลักลายขนาดเล็ก พร้อมหยิบยื่นผ่านมือสั่นเทามาทางพจน์ ตรงกึ่งกลางเครื่องประดับนั้นมีรอยลึกคล้ายคลึงว่าก่อนหน้ามีบางสิ่งประดับอยู่แต่ตอนนี้หายสิ้น

“อะไรหรือครับ”

“ความลับซึ่งเราซ่อนงำไว้นานแสนนาน บัดนี้ขอมอบแก่เจ้า”

พจน์ยังมีท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่รู้จะรับดีหรือไม่ ใจหนึ่งอยากช่วยให้คำร้องขอสุดท้ายของร่างเจ็บปวดเป็นจริง แต่ทุกเหตุการณ์ที่พจน์เผชิญก่อนหน้าล้วนเหนือธรรมชาติและพร้อมด้วยภัยอันตรายซ่อนเร้น

“ได้โปรด...” แผ่วเบาจนเกือบไม่ได้ยิน

“ความลับ...อะไรหรือครับ”

“รับเอาไว้”

แววตาอ้อนว้อนซึ่งพจน์คงทำเสมอเวลาร้องขอให้คุณพ่อทำตามคำสะท้อนสู่ดวงตาสีเดียวกัน ผสมกับวงหน้าและเสียงครวญท่วมท้นใกล้สิ้นชีวา ทำให้พจน์ตัดสินใจหยิบเจ้าเครื่องประดับหน้าผากนั้นมาถือไว้ และในวินาทีนั้นเองเหมือนกับทัศนียภาพโดยรอบหมุนวนรวดเร็วจนไม่อาจเห็นภาพได้ชัด

กันฉุดพจน์ให้ลุกยืน บุรุษหน้าคล้ายพจน์ค่อยขยับยืนเช่นกัน ทวนอัศวาราตรีกาลล่องหนลับหาย รอยเลือดเบื้องมุมปากแลเปรอะเปื้อนผืนผ้าขาวจืดจาง เช่นเดียวกับรอยแผลเหนืออกซ้าย ความเจ็บปวดละจากรูปหน้าหล่อเหลานั้น สภาพแวดล้อมหมุนเหวี่ยงหยุดเคลื่อนไหว และนำพาต้นลีลาวดีเพลิงในสภาพก่อนอัคคีไหม้กลับคืนมา แต่ไม่สูงใหญ่เท่าเดิม พร้อมปรากฏแสงอรุณรุ่งสาดกระทบเหนือยอดกิ่งไม้โดยรอบบริเวณ

กึ่งกลางหน้าผากมนประดับอัญมณีมรกตสีเขียวขนาดเล็กเหมือนหยดน้ำภายใต้กรอบทองสลักลาย  คล้ายคลึงสิ่งที่อยู่ในมือพจน์เพียงแต่ไม่มีมณีมรกตประดับอยู่ สายตาแน่วแน่มองเลยผ่านเด็กหนุ่มทั้งสองก่อนจะหันหลังกลับเพ่งพินิจต้นลีลาวดีเพลิง

“ทูลกระหม่อมวัชรโกมล พระเจ้าข้า”

ชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกับฝาแฝดพจน์คุกเข่าถวายบังคมอยู่ด้านหลังเด็กทั้งคู่ ทำให้พจน์และไอ้กันตกใจไม่ใช่น้อย เหลียวมองใบหน้าเกลี้ยงเกลานั้นเป็นเชิงถาม แต่ดูเหมือนชายผู้แต่งตัวด้วยภูษาสีน้ำเงินมิได้เอ่ยอ้างกับตน ไอ้กันดึงรั้งเอวพจน์ให้ขยับถอยหลบ มันส่ายหน้าเป็นเชิงไม่ให้พูดสิ่งใด

“อันใด ฤา วายุ” พระเจ้าวัชรโกมลละสายพระเนตร หันพระพักตร์กลับมาพร้อมทรงพระสรวล

“พระเจ้าอยู่หัวอนันตราชเสด็จมาหาทูลกระหม่อม พระเจ้าค่ะ” วายุผู้มีดวงหน้าเครียดทูลถวาย

“เหตุใดจึ่งทำหน้าเยี่ยงนั้นเล่า ใครเขาจักนึกว่าเจ้าปวดมวนท้องก็เป็นได้  ฤา เป็นเช่นนั้น” พระองค์เจ้าวัชรโกมลยกพระขนงพร้อมแย้มโอษฐ์ ทรงเสด็จก้าวพระบาทยื่นข้อพระหัตถ์เข้าประคองข้าคนสนิทให้ลุกยืน

“หามิได้ ทูลกระหม่อม” วายุคลายสีหน้าตึงจึ่งเห็นแววตาน่ารักพริ้มเพรา งดงามมิต่างจากนายตัว “ข้าฝ่าพระบาทเพียงแต่ปริวิตกกาลอันภายหน้าเท่านั้น”

“อย่าได้สร้างรอยบึ้งให้ตึงสถิตอยู่บนใบหน้าเลย ข้านี้พลอยอดสูตามมิได้”

“เป็นโทษานุโทษของข้าฝ่าพระบาทแล้ว โปรดลงอาชญาเถิด ต่อแต่นี้วายุจักมิแสดงใบหน้าสลดให้ทูลกระหม่อมได้ทอดพระเนตรอีก” วายุเตรียมทรุดกายก้มลงกราบก็พอดีถูกแขนผู้เป็นเจ้านายรั้งไว้

“เจ้าอย่าได้ทำเหมือนเราเป็นยักษ์มารดั่งนี้ เห็นใครทำผิดเล็กน้อยก็จักได้ลงโทษไปเสียหมด หากข้าจักลงโทษเจ้าก็เพราะเป็นต้นเหตุให้ข้าเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวล่าช้านั่นเทียว” ทรงพระสรวลขำขัน พร้อมเสด็จผ่านพจน์และไอ้กันรวดเร็วราวกับเด็กหนุ่มทั้งคู่ไม่มีตัวตน
 
“โธ่ ทูลกระหม่อม” เจ้าวายุเดินติดตามเฝ้าทูลขออภัยโทษไม่ขาดปาก

พระที่นั่งไม้ทรงยอดมนฑปทอดวางอยู่เบื้องทิศทางเสด็จของพระเจ้าวัชรโกมล เสียงหัวเราะคล้ายกับพจน์ดังแว่วอยู่เบื้องหน้าข้ารับใช้ พจน์ตัดสินใจเดินตาม ไอ้กันไม่มีท่าทีห้ามปราม เพียงแต่ประชิดติดพจน์ไม่ถอยห่าง เหมือนตอนนี้พจน์ย้อนเวลากับมาสู่เหตุการณ์บางอย่างของผู้ถูกคำสาปมนตราลีลาทมิฬร่างนั้น แต่เหตุผลใดที่เขาจำเป็นต้องรู้นั้นอยู่นอกเหนือสติปัญญา รวมถึงความลับที่เจ้าของนาม วัชรโกมล เอ่ยอ้าง ก็ยากเกินคาดเดาล่วงหน้าได้

วายุร่างน้อยรีบผลักพระทวารขององค์พระที่นั่งเข้าสู่ภายในที่ประทับ ฉากกั้นสลักลายตั้งอยู่หลังทวารบาล แสงสว่างมาจากอัจกลับติดอยู่เหนือเสาลงรักปิดทอง ข้าราชบริพารล้วนเป็นชายเสียสิ้นก้มหมอบกราบหน้าแนบพื้นอยู่ริมผนัง เบื้องหน้าเป็นพระแท่นบัลลังก์สีทอง มีตั่งพระที่นั่งตั้งเรียงไว้เช่นที่ประชุมเสนาบดี ถัดจากบัลลังก์มีทวนสีเงินวางปรากฏเป็นสง่าแก่ผู้พบเห็น แลบุคคลที่นั่งประทับอยู่พระแท่นบัลลังก์สีทองนั้น ทำเอาพจน์ซึ่งกำลังสังเกตสถาปัตยกรรมอันวิจิตรอยู่ต้องหยุดสายตาให้สะกดอยู่แต่คนผู้นั้นโดยเดียว จนหลุดคำเรียกขานโดยไม่รู้ตัว

มาตะ


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-07-2019 19:11:53 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4

ออฟไลน์ Min*Jee

  • เอวรี่ติงจิงกะเบล
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-5
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด นี่พจน์กับมาตะผูกใจรักกันมาตั้งแต่อดีตชาติแล้วสินะคะ  :impress2:
ขอให้ชาตินี้สมหวังเถอะะะะะะะ

ปล. วรรคนี้ "ผู้ครอบครองสิ่งล้ำค่าสูงสุดปรากฏตัวพร้อมอุบัติการณ์แห่งพลังสถิตพร้อมสมบูรณ์อยู่เบื้องหน้าเรานี้"
STAR WARS เพลงลอยมาเลยค่ะ :m20:

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
ครึ่งแรกของตอนนี้เงิบมาก

เงิบแรก มีคนหน้าตาเหมือนพจน์

เงิบสอง คนหน้าตาเหมือนพจน์เกี่ยวข้องกับมาตะ หรือคนหน้าคล้ายมาตะ

โอ้ ตอนนี้สตั๊นซ์แรงมาก  :a5: หรือมาตะอายุยาวนานแล้ว หรือมาตะคือรุ่นลูก ? หรือมาตะมีความลับอะไรซ่อนอยู่

แต่ขอมโนว่าคนหน้าเหมือนพจน์อาจเป็นเมียเก่ามาตะได้นะ ฮ่า ๆ

แต่ฉันเบื่อพจน์จังเลย ช่วยเขาหน่อยสิ คนตาย ช่วยอะไร อีโง่ !

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ค้างงงงง :katai1: :katai1: :katai1:

คือลึกลับซับซ้อนมากๆ  เลยต้องกลับไปอ่านตอนเรื่องเล่าอีกรอบ

พระเจ้าวัชรโกมลหน้าคล้ายพจน์  แต่พระเจ้าอยู่หัวอนันตราชหน้าคล้ายมาตะ
มาตะนี่เป็นน้องของพระเจ้าอยู่หัวอนันตราชใช่ไหมค่ะ

อยากอ่านต่อแล้ว  ลุ้นมากๆค่ะว่าใครเป็นใคร   เกี่ยวข้องกันยังไง   ความลับอะไรค่ะ :katai1:
สนุกมากๆค่ะ  ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:


ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
เดี๋ยวนะ นี่มาตะเป็นพระเจ้าแผ่นดินมาก่อนหรอเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]


น้ำเสียงตะโกนก้องดุจกระซิบแผ่วเบา ทำเอาพจน์เข้าใจโดยดีว่า ไม่มีใครนั้นที่นี้จะได้ยินหรือได้เห็นเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะเหตุการณ์ยังดำเนินต่อไปไม่มีผู้ใดสนใจตนแม้แต่เล็กน้อย รู้สึกหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นมาตะในเครื่องทรงแบบกษัตริย์ สวมมงกุฎยอดแหลม รวมถึงประดับเครื่องทอง คล้องสังวาลซ้ายขวา ห้อยทับทรวงฝังอัญมณี ฉลองภูษาดำทอยกดิ้นทองสะท้อนแสงเลื่อมระยับ พระนลาฏประดับอัญมณีสีดำกรอบทอง ดวงพระเนตรขีดขอบเข้มขับให้เด่นเป็นสง่า รวมถึงพระมัสสุเหนือพระโอษฐ์ ซึ่งทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาตะคนที่พจน์ข้ามพิภพไปเจอ รู้สึกว่าคนคนนี้อาจแค่เหมือน แต่ไม่ใช่มาตะตัวจริง เช่นเดียวกับฝาแฝดของพจน์ที่กำลังทรุดกายก้มกราบแนบฉลองพระบาทเชิงงอน

“น้องท่านนี้อย่างไร กระทำกิริยาอาการประหนึ่งพี่นั้นเป็นแต่เพียงนายแลเจ้าเป็นบ่าว ก้มกราบเสมอมิเคยผูกสัมพันธ์กันฉันนั้น ก็แหละพี่ราชาภิเษกน้องท่านร่วมวงศ์เดียวกันแล้วดั่งนี้ อาการห่างเหินพี่นั้นยังจักควรทำอยู่หรือ” คำทักทายเหมือนตำหนิแต่ดวงพระเนตรยกแย้มเช่นเดียวกับพระโอษฐ์

“หามิได้ กิริยาน้อมกราบแทบพระบาทนี้เป็นขัตติยประเพณีแห่งราชสำนักชั้นสูงพึ่งกระทำต่อเจ้าเหนือหัวเจ้าชีวิต ผู้ปกปักคุ้มภัยแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ให้สุขสงบร่มเย็นมาแต่ครั้งบรรพกาล หนึ่งเพราะพระองค์ประดุจดั่งสมมติเทพอวตารจุติยังโลกมนุษย์ หนึ่งเพราะทรงพระอำนาจแผ่พระอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทศทิศมากกว่ามหากษัตริย์พระองค์ใดในพิภพ หนึ่งเพราะทรงคุณานับประการมากล้นจนผู้คนสรรเสริญยิ่งเทียบเทียมจักรพรรดิราช สามประการนี้ประกอบเป็นกิริยาน้อมก้มกราบพระบาทเพียงหนนั้นจึ่งน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำที่จักกระทำคารวะสำนึกในบุญญาธิการ” วัชรโกมลเงยหน้าสบพระพักตร์พระเจ้าอนันตราชยังมิลดพนมหัตถ์ “เกล้ากระหม่อมเป็นแต่เพียงฝุ่นผงธุลีใต้เบื้องพระบาท ไฉนเลยจักมิก้มกราบให้สมกับพระบารมีของพระองค์เล่า”

สิ้นคำอรรถาธิบายของวัชรโกมล พระเจ้าอนันตราชจึ่งทรงพระสรวลดังลั่น ตบพระชานุสุดแสนโสมนัส

 “วาจาน้องเจ้าต้องใจเรานัก แต่เหตุผลทั้งสามล้วนเป็นสิ่งซึ่งผู้คนต่างกล่าวยกย่องด้วยตา หามีใครสัมผัสแลรับรู้สิ่งในใจข้าไม่ ว่าตัวเราเป็นแต่เพียงมนุษย์ธรรมดาสามัญผิดแผกเพียงอย่างเดียวคือเลือดในกายมีส่วนเสี้ยวของเผ่าพันธุ์คนธรรพ์เท่านั้นหนึ่ง เดชานุภาพอันแผ่ครอบคลุมลุ่มแม่น้ำอนัตตาจรดลุ่มแม่น้ำนพนทีนั้นสร้างรอยแผลในใจข้าไม่เสื่อมครายเพราะสูญเสียขุนทหารชาญณรงค์ฝีมือกล้ามากมายทั้งสองฝ่าย พระราชอาณาเขตของอาณาจักรอนันตาทมิฬนี้ล้วนแลกมาด้วยเลือดแลความเจ็บปวดในใจหนึ่ง แหละอีกหนึ่งการเทียบชั้นถึงขั้นกษัตริย์จักรพรรดิราชนั้นยังมิควรกล่าว แก้ว ๗ ประการคู่บารมีอันสมกับพระนามนั้น เรามีแต่เพียง จักรแก้วอย่างหนึ่ง ช้างแก้วอย่างสอง ม้าแก้วอย่างสาม แก้วดวงอย่างสี่ ขุนคลังแก้วอย่างห้า ลูกแก้วอย่างหก แลขาดสิ่งประการสุดท้ายอันคือ นางแก้ว”

“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้โปรดอย่าตรัสเช่นนั้น พระเจ้าค่ะ” วัชรโกมลร้องท้วง

“นี่แหละคือความเป็นจริงในใจข้า แลมีเพียงเจ้าโดยเดียวเท่านั้นที่หยั่งรู้ถึงยิ่งกว่าใครอื่น โดยเฉพาะยิ่งอย่างสุดท้าย”

“มาตรแม้นพระอัครมเหสีทรงสดับรับยินจักทรงโทมนัสคลายความภักดี จักมิเป็นผลดีต่อการแผ่นดิน”

“ข้าหาสนใจไม่ หากขนบประเพณีแต่กาลก่อนเปลี่ยนจากนางแก้วเป็นนายแก้วนั่นแล้วไซร้ พี่นี้จึ่งเทียบเท่าเสมอพระจักรพรรดิราชตามคำคนกล่าวสรรเสริญ” พระพักตร์เครียดขมึงสะท้อนห้วงคิดคำนึง

“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท” พระเจ้าวัชรโกมลร้องตัดพ้อเสียงแผ่ว

“เอาเถิด พี่มาหาเจ้ามิใช่เพื่อทุ้มเถียงว่าพี่จะเทียบชั้นกษัตราธิราช ฤา ไม่ แต่เพราะความคนึงหาท่วมท้นต่างหาก หวังให้เจ้าช่วยเป็นเครื่องปลอบความในอกให้คลายลงสักเพลาเถิดหนา” ตรัสพลางตวัดพระกรพยุงกายคู่เคียงพิศวาสขึ้นประทับนั่งบนบัลลงก์ทองเสมอกัน วัชรโกมลผ่อนกายตามแรงพระหัตถ์
 
ความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นในความคิดพจน์ หากถอดเสื้อผ้าเครื่องประดับ รวมถึงหนวดเครานั้นออก ลักษณะท่าทีและคำหวานโอ้โลม ล้วนเหมือนมาตะราวกับคนเดียวกัน

“มีเหตุเภทภัยอันใด ระคายใต้เบื้องพระยุคลบาท ฤา พระเจ้าค่ะ” ตรัสถามตามลักษณะวิสัยเอาพระทัยใส่

“ความเมืองล้วนสงบ แต่ความอยากพบหน้าน้องท่านทำข้านอนไม่หลับทั้งค่ำคืน” ป้อนคำหวานพร้อมกระชับบั้นพระองค์เข้าหาตัว
 
“ตรัสราวกับข้าฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นสาเหตุดั่งนั้น จักด้วยการกระทำใดได้ล่วงล้ำทั้งวาจาแลกิริยาอันมิสมควรให้ระคายพระอุระแล้ว จงลงโทษานุโทษข้าฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่าให้น้อยหน้านักโทษอุกฤษฎ์พึงจะได้รับโดยพลัน” ตรัสพลางถอยกายห่าง

“น้องท่านอย่าเพ่อด่วนปลงใจ ว่าความอันเป็นเหตุให้พี่นี้กระวนกระวานกระสับกระสายหาข่มตาหลับลงไม่เป็นเพราะกิริยาล่วงเกินของน้องท่าน ก็แหละหากเป็นเพราะดั่งนั้นจริง พี่คงมิบรรทมหลับแต่คงหน้าชื่นตาบานในอรุณรุ่งโดยแท้” ลูบโลมพระเกศาของพระเจ้าวัชรโกมลแผ่วเบาเหมือนปลุกปลอบ ใบหน้าคล้ายพจน์ปรากฏสีแดงอยู่ข้างแก้ม เมื่อเห็นท่าทีขวยเขินทำให้พระเจ้าอนันตราชจูบซับพระฉวีนวลนอกผ้าคล้องไหล่เป็นการใหญ่

“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดระงับอาการนี้ก่อนเถิด ข้าพระองค์อับจนปัญญาเหลือล้ำว่าเหตุกวนพระราชหฤทัยนั้นคือการใด ทรงพระกรุณาแถลงไขความระคายให้ข้าฝ่าพระบาททรงทราบ หากกำลังสติปัญญาของข้าฝ่าพระบาทสามารถแบ่งเบาความหนักอึ้งนั้นได้จักเหมือนยกศิลาในใจกระหม่อมออกดุจกัน”

“น้องเรามาสู่พี่นี้ดั่งนายแก้วหนึ่งในเจ็ดของคู่บารมีพระจักรพรรดิราชโดยแท้ การใดหนักอกพี่ก็ได้น้องท่านช่วยชี้ช่องทางสว่าง แก้กลจนสำเร็จลุล่วงมานักต่อนัก หนำซ้ำมีกำลังปัญญายิ่งกว่าเสนาบดีในที่ประชุมขุนนางเสียอีก หากมิเกิดอัศวายุทธครานั้น หัวอกพี่บัดนี้คงสุมไปด้วยไฟหามีผู้ใดจักเป็นน้ำเย็นช่วยชโลมให้คลายทุกข์ได้ จักด้วยเพราะกุศลผลบุญแต่ชาติปางก่อนหรือไฉนมิอาจรู้ พี่ถึงพลาดพลั้งเสียทีน้องท่านจนพ่ายแพ้แลได้พบน้ำใจอันบริสุทธิ์ของคู่สัประยุทธ์จนซาบซ่านซึ้งใจไม่มีวันลืม”

“ไยใต้ฝ่าพระบาทมารำลึกถึงวันเก่าเอาในเพลาอันมีปัญหาคิดมิตกดั่งนี้เล่า การณ์เมื่อล่วงล้วนเกิดขึ้นด้วยใจของกระหม่อม มิหวังจักให้ราชอาณาจักรทั้งสองต้องเสียเลือดเนื้อโลมหลั่งจนท่วมทุ่งหน้าเมืองจึงขันอาสาเอาตัวเป็นเดิมพันศึก มิได้คิดจักฝากน้ำใจให้ใครอื่นรับรู้ แต่ทุกอย่างถูกลิขิตไว้แล้วว่า ใจของกระหม่อมในวินาทีที่แลเห็นใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรุดกายล้มโดยมีอาชาทับจนขยับมิได้เป็นสัญญาณเสมือนใจหยุดเต้น ฉับพลันก็ระรัวเร็วมิอาจเห็นพระองค์เจ็บปวดผุดขึ้นในห้วงความคิด นั่นแลคือความจริงโดยแท้”

พระเจ้าวัชรโกมลพนมพระกรยกขื้นเหนือเศียรสู่ทางทิศซึ่งทวนอัศวาราตรีกาลอาวุธคู่การสัประยุทธ์เมื่อคราก่อนตั้งเป็นศรีสง่าอยู่เบื้องหลัง พระเจ้าอนันตราชสดับวาจาแลทอดพระเนตรอาการรู้คุณทวนเช่นนั้น จึ่งประทับพระโอษฐ์แนบลงเหนือพระอุณาโลมของคนในอ้อมพระกร

“พี่นี้ตรองมิผิดที่ขอตัวเจ้ามาเป็นคู่ใจ ฟ้าดินจงเป็นพยาน หากเกิดชาติภพหน้าฉันใดมิได้ครองคู่กับน้องท่านแล้วไซร้ ขอจงสู่นิพพานเสียสิ้น อย่าให้ดิ้นรนทนทรมานครองตัวเป็นคนอยู่อีก”

“คำตายนี้มิเป็นมงคลแก่การเริ่มต้นอรุณเสียเลย ข้าฝ่าพระบาทขอรับเอาไว้กับตัว โปรดพระกรุณาประทานให้กระหม่อมโดยพลัน หากมิประทานก็จักขอลักขโมยมาไว้กับตัวเสียเอง” สีหน้าปริวิตกทำให้พระเจ้าอนันตราชอดเอ็นดูพระเจ้าวัชรโกมลมิได้

“จงลืมคำอันหาเป็นมงคลธรรมนั้นเสีย เพลานี้พี่อยากตักตวงกลิ่นนวลให้สมกับการสะกดอารมณ์ข่มตามาทั้งราตรีเสียก่อน” มิพักจักรอคำตอบกลับก็ประทับพระโอษฐ์เหนือริมโอษฐ์สีชมพูรวดเร็ว พจน์เห็นภาพนั้นจนหน้าเห่อร้อนรีบมองไอ้กันที่ยืนนิ่งมองการกระทำนั้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า อยากจะเอามือปิดตาไอ้คนข้างกายเหลือเกิน เพราะเหมือนกับพจน์กำลังดูตัวเองจูบกับมาตะอย่างไรอย่างนั้น

“รสหวานปานดอกลีลาวดีนี้มีจากรสปากของน้องท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น” ถอยพระโอษฐ์พร้อมพระเนตรหวานสบพระพักตร์คนในอ้อมหัตถ์ประคองไว้ “ไฉนเลยพราหมณ์ทั่วพิภพอ้างว่ากลิ่นรสนี้ช่วยลดความกำหนัดกามารมณ์ได้ แต่เหตุใดข้าเพียงผู้เดียวจึ่งเห็นต่าง”

“ก็แหละเป็นรสมิพึ่งประสงค์แก่ผู้ใดแล้ว เกล้ากระหม่อมจักไม่ยอมเป็นเครื่องทรมานให้ใต้ฝ่าพระบาทสัมผัสรสพิศดารอันมิเหมือนผู้ใดนี้อีก” พระพักตร์สีชาดต้องกลหลบหนี

“เหตุเพราะข้าเห็นต่าง มิใช่ว่ารังเกียจเดียดฉันท์รสนี้เหมือนปุถุชนคนอื่น แต่พี่เอาตัวเทียบประหนึ่งตนเป็นพราหมณ์ผู้ทรงศีลยามเมื่อสูดดมกลิ่นสลับจูบรับรสจากกลีบดอกขาวคราวระงับกิเลสตัณหาคราใด ก็หาได้ลดไฟราคะในอกลดหลั่นลงดั่งพราหมณ์ผู้อื่นไม่ ซ้ำจักยิ่งเหิมโหมเป็นทวีคูณยิ่งอเนกอนันต์ฉันนั้น เช่นดั่งตัวพี่ยามจูบรับรสหวานลีลาวดีจากปากวัชรโกมลท่านคราหนึ่ง ก็ตรึงอุราก่อลมวายุพัดพาไฟให้ลุกโชนมิหยุดหย่อน ต่อเมื่อได้รับรสคราแรก ก็ยิ่งอยากสัมผัสอีกมิรู้หน่าย แต่หากหยุดเสพรสอันเสมอข้าวปลาอาหารเทพชั้นดี  จึ่งเป็นที่ทรมานกายแลใจกระนั้น แลน้องท่านประสงค์จักเห็นพี่นี้หม่นหมองซูบผอมตรอมตรมแล้วไซร้ ก็จงเบือนพระพักตร์หนีเสียอย่าให้พี่ได้รับอาหารทิพย์ดั่งว่าเลย”

วัชรโกมลตรึกตรองตามคำนั้นหลุดปากตกใจสุดกำลัง

“ข้าฝ่าพระบาทมิประสงค์จักเห็นพระองค์ทนทรมานเป็นเด็ดขาด”

“ก็แหละหนทางแก้อดอยากของพี่นั้นคือกลิ่นรสอันมาจากปากน้องท่าน แลบัดนี้น้องท่านให้คำสัตย์แล้วว่าจะมิยอมให้พี่ได้รับรสนั้นอีก จักมีวิธีอื่นใดนอกจากพี่นี้แหละยอมตรอมตรมขมใจนั่นถูกแล้ว”

“เกล้ากระหม่อม....”

“แลยังมีต้นลีลาวดีซึ่งพี่ประทานปลูกไว้หลังตำหนักน้องท่านอยู่หนึ่งนั้น ยินว่าน้องท่านเฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูรดน้ำพรวนดินมิได้ขาด จึ่งยืนต้นผงาดผลิใบออกดอกสวยสดดังคำลือนั้นยังจะถูกต้องอยู่หรือ” ความรู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดผ่าลงกลางอุระของพระองค์วัชรโกมลจนเจ็บลึก ใบหน้าแดงเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันควัน พระหัตถ์กำแน่นสั่นสะท้าน

“น้องท่านเอาใจใส่เสมือนใช้ใจดูแลดั่งนี้ กลิ่นแลรสของดอกลีลาวดีนั้นคงมิต่างจากริมฝีปากน้องท่านเป็นแน่แท้” รอยแย้มพระสรวลปรากฏอยู่บนพระพักตร์ของพระเจ้าอนันตราชแตกต่างจากคนในอ้อมพระกร

“เมื่อน้องท่านปฏิเสธมิให้พี่ได้รับรสพิศดารนั้นอีก ก็ขอจักลองดมดอมจากต้นในความดูแลของน้องท่านสักคราหนึ่ง”

“มิได้ พระเจ้าค่ะ” รีบตรัสขัดพระราชดำริโดยพลัน เสียงสั่นเครือนั้นพระเจ้าอนันตราชพลันนึกไปทางคนรักคงคิดว่าตนจักไม่มีวันยอมจูบตอบอีก จึ่งจักแกล้งให้ถอนคำพูด ยินยอมน้อมกายให้พระองค์จุมพิตโดยมิพักต้องขอเอง

“กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ แลน้องท่านเองสืบเชื้อสายมาจากบรรพกษัตริย์เฉกเช่นนั้น จักคืนคำสัตย์ว่าห้ามตัวพี่รับรสจากปากน้องนั้น ยังจักสมควรอยู่หรือ” ตรัสหยอกล้อตามวิสัยปกติ  แต่บัดนี้สติปัญญาของวัชรโกมลมิได้สนใจท่าทีสัพยอก หลงแต่คิดเกรงสิ่งที่จักเกิดขึ้นหากดวงใจของพระองค์ประสงค์จักรับรสจากต้นลีลาวดีด้านท้ายตำหนักดังคำกล่าวนั้น

“เอ่อ กิจอันกวนพระหทัยเมื่อแรกตรัสนั้นคือสิ่งใด ฤา พระเจ้าค่ะ” วัชรโกมลเปลี่ยนเรื่องทันควัน

“หาสำคัญไม่แล้ว เพราะบัดนี้ปัญหาเรื่องรสหวานลีลาวดีนี้ต่างหากเป็นกิจอันกวนใจเรายิ่งนัก”

พระเสโทเกาะพราวรอบพระพักตร์แชล่มแช่มช้อยเช่นเดียวกับพระอัสสุชลคลออยู่สองพระเนตรสีน้ำตาล พระหัตถ์ทั้งสองสั่นจนพจน์สังเกตเห็น
 
“จริงดั่งคำพระราชปรารภ หากผู้ใดสืบสายโลหิตมาแต่กษัตริย์สมมติเทพแล้วไซร้ กล่าวคำอันใดย่อมมิอาจถอนคำคืน ดุจเดียวกับเมื่อกลืนสุธารสหวานปานเลิศรสจักคายทิ้งก็เสียของดั่งนั้น”

“ใช่ ฤา ไม่ เช่นนั้นเราจักขอเชยชมกลิ่นดอกแลจักฝากรอยประทับกลีบลีลาวดีนั้นแทนเจ้าก็คงได้รับความสุขสมดุจเดียวกับริมฝีปากเจ้าปานกัน” ตรัสพลางขยับพระวรกายหมายจักทำการตามพระราชดำริ แต่สายพระเนตรยังเหลือบแลดวงหน้าเครียดไม่วางตา หมายให้ได้ยินคำยอมจากปากคนรูปงาม

“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระเจ้าข้า” เสียงทุ้มต่ำหลุดออกมาจากปากทหารราชองครักษ์รูปงามผู้หนึ่งซึ่งก้มหมอบกราบห่างไปมิใกล้นัก เพียงคนผู้นั้นถวายบังคมแล้วเผยใบหน้าก็ทำให้พจน์ไม่อยากเชื่อสายตา

“ไอ้กัน”

เจ้าของชื่อตัวจริงยืนนิ่งอยู่ข้างพจน์ แต่คนหน้าเหมือนนิธิราวกับฝาแฝดไว้หนวดเคราดูอายุแก่กว่าขยับกายเข้ามาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้าอนันตราช

“อันใด ฤา กาวี”

“หมายกำหนดการเสด็จออกท้องพระโรงเพลาเช้า บัดนี้ใกล้เข้ามาแล้ว หากใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท...”

พระเจ้าอนันตราชยกพระหัตถ์ห้ามปรามโดยพลัน แล้วพยักพระพักตร์หมายให้คนหน้าเหมือนไอ้กันถอยหลบ
 
“เพลาประชุมเช้านั้นอีกเนิ่นนานครัน แต่เพลาการรับรสหวานจากดอกลีลาวดีนั้นยังมิอิ่มใจเรา”

“หาจำต้องเป็นพระราชภาระแก่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทไม่ ข้าฝ่าพระบาทนี้จักเป็นธุระนำพาดอกลีลาวดีนั้นมาทูลถวายแก่พระองค์เอง” ตรัสคำหนึ่งซึ่งหาได้ต้องพระทัยพระเจ้าอยู่หัวอนันตราชไม่ จึ่งแสร้งตีสีหน้าพิโรธ

“การอันเราละริมฝีปากน้องท่านหมายจักหาสิ่งทดแทนอื่นนั้นมาปลอบใจตัว แต่น้องเรากลับสำแดงตัวเป็นธุระนำมานั้นเหมือนห้ามเสือไม่ให้ลิ้มรสเนื้อสมันแต่นายพรานจักเป็นผู้แล่เฉือนแลโยนให้ จักเหลือรสหวานสดอันใดจากการมิได้ฉกชิมด้วยริมฝีปากตน”

สีหน้าอับจนคำเหมือนเป็นชัยชนะของวาทะเกี้ยวพาของพระเจ้าอนันตราชสำแดงดั่งนั้นแล้ว กำลังจักขยับพระวรกายเข้าสวมกอดปลอบตามวิสัยปกติยามเมื่อสิ้นคำโต้ตอบ แต่พระเจ้าวัชรโกมลรีบทรุดกายลงจากพระที่นั่งบัลลังก์ทอง ก้มพระเกศาแนบพื้น พระหัตถ์ทั้งสองสัมผัสฉลองพระบาทแผ่วเบา

“หากข้าฝ่าพระบาทมิได้เป็นธุระนำของซึ่งอยู่ในอำนาจพระราชสำนักของเกล้ากระหม่อมมาทูลถวายตามขนบธรรมเนียมประเพณีของข้าราชสำนักแล้วไซร้ ก็เหมือนข้าฝ่าพระบาทฝืนกฎมนเทียรบาล กระทำการให้ระคายเบื้องพระยุคลบาล ต้องอาชญามิพ้นแน่"

แววพระเนตรฉงนสนเท่ห์เหลือล้ำผุดอยู่บนพระพักตร์ซึ่งคล้ายกับมาตะ พระขนงขมวดมุ่น เรื่องหยอกเย้าอันตามประสาคู่ครองซึ่งพระองค์ก่อ บัดนี้ส่งให้อีกฝ่ายดำริเป็นจริงจังดั่งนั้นจึ่งให้รู้สึกผิดมหันต์ในพระหทัย

“วัชรโกมลเอย พี่นี้...”

“ขอเพลาเพียงสักครู่หนึ่งเถิด ข้าฝ่าพระบาทนี้จักนำมาถวายมิช้าที” ดวงพระพักตร์ซึ่งก้มชิดพื้นอยู่นั้นทำให้พระเจ้าอนันตราชมิอาจเห็นว่า คำซึ่งคู่ครองกล่าวนั้นเป็นจริง ฤา หยอกล้อ จึ่งอ้ำอึ้งอึดอัด

“ทูลกระหม่อมวัชรโกมล!!!” วายุข้าคนสนิทอุทานเสียงดังลั่น

“จงเงียบคำเจ้าบัดเดี๋ยวนี้ หามีมรรยาทไม่ อยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจักกล่าวคำใดขัดขึ้นรวดเร็วดั่งนี้สมควรอยู่ ฤา วายุ” วัชรโกมลหันพระพักตร์ติติงข้ารับใช้รวดเร็วมีพิรุธ แต่พระเจ้าอนันตราชนั้นดั่งน้ำท่วมพระโอษฐ์ คำซึ่งตนตรัสลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โตจนกระเทือนถึงบุคคลอื่นเสียแล้ว

ระหว่างบรรยากาศอันน่าอึดอัด พระเจ้าวัชรโกมลเร่งถวายทูลลารวดเร็ว มิทันฟังพระดำรัสทัดทานอันใด เสด็จพระราชดำเนินออกพระทวารตรงไปยังต้นลีลาวดีซึ่งอยู่ด้านท้ายตำหนัก วายุรีบติดตามมาด้วยสีหน้าซีดเผือด พจน์ตัดสินใจตามไปด้วยสังหรณ์ใจบางอย่าง ไอ้กันยังคงปิดปากเงียบเช่นเคย

แสงอรุณรุ่งบัดนี้เฉิดฉายยิ่งกว่าเมื่อแรกเจอ ต้องกระทบกิ่งใบและดอกขาวของลีลาวดีเพลิง หากมองเพียงภายนอก ต้นลีลาวดีทมิฬล้วนเหมือนกับต้นไม้ทั่วไปเป็นปกติ แต่พจน์รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้คืออาวุธร้ายที่เกือบทำลายชีวิตอาพล และตอนนี้ตนรู้แล้วว่าทำไมพระเจ้าวัชรโกมลถึงห้ามปรามพระเจ้าอนันตราชไม่ได้ดอมดมดอกมีพิษนี้ ความสงสัยอีกอย่างหนึ่งคือ แล้วทำไมพระองค์ไม่บอกเรื่องอาวุธร้ายนี้ให้ทรงทราบ หรือว่าวัชรโกมลไม่รู้ถึงอันตราย แต่สีหน้าพรั่นพรึงนั้นยากเหลือเกินว่าพระองค์ไม่ล่วงรู้

“ทูลกระหม่อม พระเจ้าข้า ได้โปรดอย่าสัมผัสดอกปีศาจนั่นเป็นเด็ดขาด” วายุที่บัดนี้ร่ำไห้น้ำตานองหน้า เสียงสั่นเครือร้องห้ามปรามนายตัว “พระองค์รู้แน่แก่พระหทัยแล้วว่า กลอันพระอัครมเหสีหมายใจจักฉุดคร่าชีวิตของพระองค์ยืนยงคงต้นอยู่เบื้องหน้า โปรดตรัสให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททราบเภทภัยนี้เถิด”

“วายุเอย” สีหน้านิ่งมิได้อาลัยหรือหวั่นเกรงอันใดสถิตอยู่บนใบหน้าคล้ายพจน์ “คำเจ้านั้นต้องใจเรานักคราเมื่อแรกรู้ภัยอำมหิต แต่บัดนี้ข้ามองเห็นบางสิ่งซึ่งเป็นอันตรายใหญ่หลวงยิ่งกว่าชีวิตเรา นั่นคือ มหาชีวิตของพระเจ้าอยู่หัว มนตราปีศาจถูกปลุกขึ้น ณ ใจกลางมหาอาณาจักร รุกล้ำราวกับคลื่นน้ำถาโถมกัดเซาะฝั่ง เจ้ายังมองมิเห็นอีกหรือ มหาอาณาจักรซึ่งร่มเย็นนับแต่ก่อตั้งบัดนี้ถูกอำนาจมืดจากทิศตะวันออกแฝงเร้นคุกคาม สิ่งอันทำให้พระเจ้าอยู่หัวปริวิตกจนมิอาจบรรทมหลับคงมิพ้นข่าวภัยมืดนี้”

“การอันใดซึ่งอยู่ในพระหทัยนั้นโปรดระงับยับยั้งเสียเถิด หาไม่วายุจักเร่งไปทูลถวายพระเจ้าอยู่หัวบัดเดี๋ยวนี้” วายุร่างน้อยทรุดกายเหมือนสิ้นเรี่ยวแรง

“เราดำริตริตรองจงดีแล้ว จำเราจักยอมทอดกายแลชีวิตเป็นหลักฐานสำคัญ อันพิสูจน์ว่าภัยอันตรายดำมืดนั้นมาสู่อาณาจักรอนันตาทมิฬแล้ว”

“ทูลกระหม่อม!!!” บัดนี้หัวใจของวายุเหมือนกับดิ้นแดดับในทันใด เอื้อมมือมาฉุดรั้งข้อพระบาทของนายตัวห้ามปราม

“ข้าหาได้อับจนตามกลลวงของพระอัครมเหสี แลอาลัยในชีวิตตัวไม่ แต่จักสละกายไว้เป็นเครื่องสัญลักษณ์ภัยคุกคามจากจอมปีศาจ ปล่อยเราเถิดวายุ วิถีทางนี้เราเลือกโดยใจบริสุทธิ์แล้ว” วายุส่ายหน้านองน้ำตา พระเจ้าวัชรโกมลผินพระพักตร์สู่เบื้องทิศซึ่งพระเจ้าอนันตราชประทับอยู่ในพระที่นั่งปราสาท คุกพระชานุพร้อมพนมหัตถ์เหนือเกศา

ข้าพระองค์สิ้นบุญที่จักคอยถวายการรับใช้ใต้ฝ่าพระบาทแต่เพียงเท่านี้ หากภพภูมิหน้ามีจริงดั่งคำกล่าว ขอให้เราสองได้สบพบเจอกันอีกครา มาตรแม้นมีมหานทีสีทันดรมาขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า จงทลายลงเช่นผุยผง ขอจงนำเรามาสู่ครองคู่ทุกชาติภพไป

“ข้าฝ่าพระบาทนี้ยอมตายแทน อย่าได้สละพระองค์เองเลย” เสียงกรีดร้องร่ำไห้ดั่งแทรกอากาศนิ่งสนิท

“อย่าขัดขวางเราเลย วายุ เทพยดานี้จงเป็นพยาน” วัชรโกมลมองแสงอรุณเหนือท้องฟ้าใสกระจ่าง ยกพระหัตถ์ทำอาศิรวาท


“หากมิมีผู้ใดในพิภพ
จักสยบมารร้ายให้สูญสิ้น
ขอสละกายม้วยด้วยชีวิน
ถมลงดินฝังไว้ใคร่สาบาน


เกิดภพหน้าฉันใดใจพิสุทธิ์
เป็นมนุษย์เดินดงคงสืบสาน
ไกลสุดหล้า ‘ข้ามพิภพ’ รบรอนราญ
ครอง ‘ดวงมาลย์’ นพมณียอดตรีคูณ”


ตรัสจบจึ่งเอื้อมพระหัตถ์โน้มเหนี่ยวกิ่งลีลาวดีเพลิงให้ลงต่ำ หมายใจดอกสีขาวปลายยอดนั้นแล้วหลับพระเนตร เสียงห้ามปรามของวายุเหมือนดังสะท้อนอยู่ไกลแสนไกล เลื่อนพระนาสิกจรดปลายกลีบขาวสูดกลิ่นหอมนั้นคราหนึ่ง แล้วจุมพิตแนบไว้บนดอกปีศาจนั้น ฉับพลันกลีบสีขาวราวปุยนุ่นก็แปรเปลี่ยนเป็นแดงดั่งโลหิต ความรู้สึกร้อนราวกับเพลิงเผาผุดขึ้นในกาย พระเจ้าวัชรโกมลล้มลงแนบพื้นหญ้า พระโลหิตสีแดงชาดสาดกระเซ็นออกจากพระโอษฐ์ วายุกรีดร้องราวกับโลกล่มสลายอยู่ตรงหน้า

ในวินาทีใกล้แตกดับ พระเจ้าวัชรโกมลจึ่งเอื้อมพระหัตถ์สั่นเทาปลดมณีมรกตออกจากพระนลาฏก่อนจะฝังกลบไว้ใต้โคนต้นลีลาวดี สีดวงพระเนตรน้ำตาลเข้มเขม้นมองพจน์ชั่วขณะ พระอัสสุชลสีเลือดหลั่งรินพร้อมกับสิ้นพระชนม์ในทันใด

พจน์มองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยสีหน้าว่างเปล่าจนไอ้กันสัมผัสแขนถึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่ตนฝัน

“อัญมณีที่มึงเห็นและถูกฝังไว้ใต้ต้นลีลาวดีเพลิง รู้จักกันในนามว่า ‘อนันตวัชรมรกต’ เป็นสิ่งล้ำค่าหนึ่งในเก้าซึ่งทุกเผ่าพันธุ์...”

“เรื่องที่มึงเล่าคือความจริง ตำนานซึ่งไม่เคยถูกบันทึกไว้” พจน์มองดูวายุค่อยพยุงร่างพระเจ้าวัชรโกมลไว้แนบอก “และทำไมกูจะไม่รู้จักอัญมณีนั่น เพราะกูฝันเห็นสิ่งนั้นในอดีตชาติของกูนับครั้งไม่ถ้วน”


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-07-2019 19:15:13 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart

ออฟไลน์ runtothemoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นตอนที่บรรยายได้ดีเลยค่ะรับรู้ถึงอารมณ์ของตัวละครเลย สรุปแล้วพระเจ้าวัชรคืออดีตชาตินั่นเอง(ใช่มั้ย555555) แรงอธิฐานยึดมั่นมาก ซึ้งแทนเลยแอบน้ำตาคลอนิดๆตอนพระเจ้าวัชรขอสละตัวเองแทนไม่บอกให้องค์ท่านรู้ความจริง รักเขามากใช่มั้ยยT_______T แต่แหมมมม่องค์ท่านชาตินี้หยอดเก่งจริงๆแถมมือไวปากไวหอมนั่นจูบนี่เขาตลอดไม่แพ้มาตะเลยจริงๆ แล้วที่น้องพจน์บอกว่าทำไมจะไม่รู้จักเพราะฝันถึงตลอด แสดงว่ารู้อยู่ใช่มั้ยแต่ไม่ได้ติดใจสงสัยคิดว่าฝัน? อยากให้น้องกลับไปเจอมาตะไวๆ ให้มาตะช่วยปลอบขวัญ(?) เลิกหมั่นไส้มาตะแปบบบบบบ

ออฟไลน์ Min*Jee

  • เอวรี่ติงจิงกะเบล
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-5
หืมมมมมมมมม เป็นอย่างนี้นี่เอง รักกันมาหลายภพหลายชาติ คงพรากจากกันมาหลายชาติเหมือนกัน
ชาตินี้ขอให้สมหวังแบบไม่พรากจากกันอีกเลยนะ
อ่านตอนนี้แล้วคิดว่าพจน์ต้องจำอะไรได้เยอะขึ้นแหละ อาจจะเป็นตัวเองในอดีตชาติ
รอตอนต่อไปเนาะ คิดถึงมาตะแล้วววว

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

อดีตชาติสินะคะ อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
โรแมนติกมาก รักกันมาหลายภพหลายชาติเลยใช่ไหมค่ะ

แล้วมาตะกับพจน์จะสมหวังอยู่เคียงคู่กันตลอดไปไหม ยิ่งอยู่ต่างภพกันอีก
สงสารทั้งคู่  ลุ้นตอนต่อไปมากๆค่ะ

ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
รู้สึกว่าเวลาอ่านต้องแปลไทยเป็นไทยอีกที พจน์ก็รู้ถึงอดีตชาติของตัวเองแล้วสินะ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๑๗ 


เพลิงสิเน่หา



ภาพวาระสุดท้ายของพระเจ้าวัชรโกมลในอ้อมกอดวายุสลายกลับกลายเป็นควันขาวเฉกเช่นทัศนียภาพรุ่งอรุณโดยรอบดุจหมอกยามเช้าจนรางเลือนปรากฏเป็นห้องพักคนไข้สู่สายตา อุปกรณ์ทางการแพทย์ล้มระเนระนาดเสียหายรวมถึงเศษกระจกประตูระเบียงกระจายเกลื่อนกลาด อาธนพลนอนอยู่บนเตียงคนไข้ และวินาทีที่พจน์มองเห็นโลกปัจจุบันชัดเจน อาพลก็ลืมตาขึ้นเช่นเดียวกับร่างกายที่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว นั่นเป็นสัญญาณว่าทุกอย่างที่พจน์ฝ่าฟันภัยอันตรายประสบผลสำเร็จ

“คนไข้ฟื้นแล้วค่ะ”

พยาบาลสาววัยกลางคนกรีดร้อง เรียกสติให้ภพดนัยและดาราตื่นจากนิทราโดยเร็ว ทุกคนต่างเข้าช่วยพยุงคนเจ็บ พยาบาลอีกคนช่วยถอดเครื่องช่วยหายใจ สีหน้าตื่นเต้นระคนตกใจปรากฏแก่คนทั้งสี่เมื่อเห็นความพินาศย่อยยับจากมนตราลีลาทมิฬ ตอนนี้กระแสไฟฟ้ากลับมาทำงานอีกครั้งเผยให้เห็นความเสียหายของแรงระเบิดจากอำนาจมืด แต่อาการฟื้นคืนจากคำสาปร้ายของอาพลกลับดึงความสนใจของภพดนัยและดาราไปเสียสิ้น

“อาพล อาพล ฟื้นแล้ว” เด็กสาวร่ำไห้อีกครั้งเช่นเดียวกับผู้เป็นบิดา ธนพลขยับพิงหมอนรองหลังเหลียวดูความพินาศของห้องพักรวมถึงสีหน้าโล่งอกของทุกคน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า

“ผม...เป็นอะไรหรือครับ พี่ดนัย”
 
“นายเจ็บตรงไหนหรือเปล่า รีบบอกพี่” ภพดนัยลูบคลำเนื้อตัวน้องชายเพียงคนเดียวน้ำตาคลอ
 
“ดิฉันจะรีบไปตามหมอค่ะ รอสักครู่นะคะ” พยาบาลหนึ่งในสองกระวีกระวาดหุนหันทำตามคำ ส่วนอีกคนช่วยวัดชีพจรคนไข้โดยด่วน สีหน้าซีดขาวก่อนหน้าปรากฏเลือดฝาดอีกครั้งดูสับสนกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า และทันทีที่ดวงตาเข้มผสานมองพจน์ ชายหนุ่มผู้เป็นอาก็พร่ำพูดคำบางอย่างที่ทำให้พจน์ยิ้มกว้างตอบกลับ

“ไม่เจ็บครับ แต่ดูเหมือนผมฝันว่าได้ไปผจญภัยกับหลานชายในที่ห่างไกลแสนไกลแห่งหนึ่ง ใช่ไหม พจน์”

“อย่าพูดล้อเล่นตอนนี้สิ พวกเราทุกคนเป็นห่วงแกนะ อยู่ๆก็เป็นแบบนี้” ภพดนัยสะอื้นไห้

สักพักหนึ่งกลุ่มคณะแพทย์ผู้รักษาต่างเร่งฝีเท้ากันเข้ามาตรวจอาการของอาพล และพบความเป็นปกติทุกอย่าง อวัยวะภายในซึ่งบอบช้ำจากอิทธิฤทธิ์ของจุมพิตสีเลือดคืนกลับดั่งถูกถอนพิษออก สร้างความสับสนงุนงงแก่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างยิ่ง ในระหว่างนั้นพี่สุนิสาวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ทันทีที่เห็นชายคนรักหัวเราะพร้อมแจกลักยิ้มให้แก่สีหน้างุนงงของหมอและพยาบาลอยู่ เธอก็โผเข้ากอดธนพลอย่างไม่อาจหักห้ามการกระทำและความรู้สึกได้

พจน์ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลายหนึ่งในนั้นคือ ความโล่งอกและดีใจ

“ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว งั้นกูขอไปทำธุระบางอย่าง” ไอ้กันแตะไหล่พจน์กระซิบบอก

“มึงรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าตำนานลีลาวดีเพลิงคือเสี้ยวหนึ่งในอดีตชาติของกู” พจน์จับแขนคนตัวสูงรั้งไว้

“กูขอให้คำสัตย์ หากกูรู้แม้เพียงนิดว่าเรื่องราวนั้นเกี่ยวข้องกับมึง กูคงจะบอกความจริงโดยไม่มีข้อแม้ เพราะอำนาจย้อนอดีตชาติถูกนิรมิตขึ้นจากผู้ร่วมชะตาและเหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นผู้กำหนด และนั่นคือครั้งแรกที่กูได้เห็นและจดจำได้ว่า กูเองเป็นผู้....”

อาการอ้ำอึ้งทำให้พจน์ฉุกสงสัย สีหน้าเจ็บปวดลึกล้ำเหมือนครั้งเมื่อมันขโมยจูบพจน์สะท้อนกลับ

“นั่นคืออดีตชาติของกูจริงๆสินะ” หยาดเลือดหลั่งไหลจากดวงตาสีน้ำตาลของพระเจ้าวัชรโกมลแจ่มชัดในใจ นิธิพยักหน้ายอมรับในความคิดของพจน์ บางอย่างในกายยืนยันคำตอบนี้โดยไม่ต้องอาศัยท่าทีของไอ้กันย้ำซ้ำสอง

“กูฝันเห็น อนันตวัชรมรกต มาตลอดตั้งแต่จำความได้” เครื่องประดับหน้าผากทรงหยดน้ำสีทองว่างเปล่ายังคงอยู่ในมือพจน์  “แต่ไม่นึกว่านั่นเป็นเสี้ยววาระสุดท้ายในอดีตชาติของกู กูรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในตัว กูได้ยินเสียงปริศนา สามารถข้ามพิภพ หรือแม้กระทั่งระลึกชาติได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันทำให้กูอยากหลับตาลบความจำกลับไปในวันที่กูไม่ต้องเจอกับเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้”

“มึงห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้หรอก เพราะมึงเป็นคนสำคัญที่สุดในโลกใบนี้อย่างที่กูเคยบอก มีบางอย่างที่กูต้องไปตรวจสอบให้แน่ชัด ระหว่างนี้จะมีคนดูแลคุ้มกันมึง นั่นทำให้กูเบาใจส่วนหนึ่ง” ไอ้กันพูดรวดเดียว

“หากมีอันตรายสิ่งใดเกิดขึ้นอีก จงหลับตาและนึกถึงกู แล้วกูจะกลับมาคุ้มครองป้องกันมึงจนลมหายใจสุดท้าย จำเอาไว้”

ท่าทีกระสับกระส่ายร้อนรนของไอ้กันเหมือนเกิดเหตุไม่ชอบมาพากลบางอย่าง ส่วนหนึ่งในใจพจน์ไม่อยากให้มันต้องไปเผชิญอันตรายใดๆอีก รวมถึงมีคำถามมากมายในห้วงความคิดที่ต้องการคำตอบจากคนตรงหน้า

จอมมาร คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุอันตรายทั้งหมดใช่ไหม”

ไอ้กันเม้มปากแน่น พจน์กำหมัดจนเส้นเลือดขึ้นหลังฝ่ามือทั้งสอง

“กูไม่อยากเชื่อเลยว่าจะต้องพูดคำนี้ มันอยู่ที่ไหน

“มึงยังไม่พร้อมที่จะเผชิญกับจอมปีศาจ พลังที่มึงครอบครองยังต้องอาศัยการฝึกควบคุม”

“ถ้างั้นมึงต้องช่วยฝึกกู มึง...มีพลังนั่น มึงรู้ว่าจะต้องทำยังไง”

“กูรับปาก แต่ตอนนี้อยู่กับครอบครัวมึงก่อน กูต้องไปแล้วจริงๆ หลับตาและนึกถึงกู เข้าใจนะ” เมื่อพจน์พยักหน้าไอ้กันก็ถอดสายตาผละเดินออกจากห้องพักคนไข้ทันที

“เดี๋ยวๆ ไอ้...”

หลังเสียงปิดประตูศาสตราจารย์วิชัยและชาญณรงค์จึงเปิดเข้ามารวดเร็วราวลมพัด คุณปู่เหลียวมองลูกชายคนเล็กที่เพิ่งฟื้นคืนด้วยสีหน้าโล่งอก แต่แววตาวิตกกังวลกลับเป็นสิ่งที่สัมผัสรับรู้ได้ทันทีเมื่อท่านสบมองพจน์

“แกปลอดภัยดีนะ ตาพจน์”

เป็นคำถามที่สร้างความงุนงงในใจหลานชายเช่นเดียวกับภพดนัย ดารา และคณะแพทย์พยาบาล

“ค...ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบ สายตาหลังแว่นทรงกลมเพ่งพินิจเนื้อตัวพจน์รวดเร็วก่อนจะคลายสีหน้าเครียด จากนั้นท่านจึงสำรวจอาการของธนพล ไม่ได้พูดอะไรเมื่อเห็นความเป็นปกติทุกอย่าง แต่มีคำแสดงเจตจำนงหนึ่งที่ทำให้ภพดนัยต้องถามกลับรวดเร็วดังออกมาจากปากของผู้เป็นศาสตราจารย์

“เราต้องไปที่อยุธยาโดยเร็วที่สุด”

“ทำไมหรือครับ”

สีหน้าครุ่นคิดของชายสูงอายุเหลือบมองพจน์ครั้งหนึ่งก่อนจะส่ายหน้าเชื่องช้า

“ผมอยากลองตรวจเช็คอาการภายในของผู้ป่วยให้แน่ใจอีกครั้งนะครับ ก่อนที่เราจะวางใจให้ออกจากโรงพยาบาลได้” หัวหน้าแพทย์อาวุโสกล่าวนอบน้อมกับคุณปู่ “อาจจะสักวันหรือสองวัน เหตุลมพัดรุนแรงสร้างความเสียหายแก่อาคารและเครื่องมือแพทย์จนไฟฟ้าดับเกือบหนึ่งชั่วโมง ทำให้ทางโรงพยาบาลต้องขอแจ้งให้อนุญาตย้ายคนไข้ไปรักษาโรงพยาบาลในเครือที่ใกล้ที่สุดโดยด่วน ท่านคงเห็นชอบนะครับ”

นานนับนาทีก่อนศาสตราจารย์วิชัยจะพยักหน้า

“ผมเป็นอะไรหรือครับคุณพ่อ แล้วผมก็ฝันว่า...”

“คำตอบทั้งหมดอยู่ที่เมืองเก่าอยุธยาแห่งเดียวเท่านั้น เอาเป็นว่าทำตามที่หมอบอกแล้วกัน” ศาสตราจารย์ตัดสินใจเด็ดขาด มีอะไรอยู่ที่อยุธยาอย่างนั้นหรือ แล้วกิจหลังจากท่านผละจากเมื่อช่วงหัวค่ำนั้นคือสิ่งใด รวมถึงสีหน้าเครียดเมื่อสบตาพจน์ เขาได้แต่ภาวนาว่าเหตุการณ์อันตรายเหนือธรรมชาติคงไม่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเขาอีก ในเมื่อปีศาจมนตราทมิฬได้ถูกปราบจนสิ้นแล้ว
 
ท่ามกลางความคาดหวังอันเรืองรองของพจน์นั้นมีแววตาสีฟ้าปรากฏแสงสะท้อนชั่ววินาทีเดียวก่อนจะลับเลือนหายจนไม่มีใครในที่นั้นสังเกตเห็น

***************************************

พจน์เขียนใบลาเรียนฝากให้ปาล์มทันทีเมื่อถึงวันรุ่งขึ้น เหตุการณ์สะเทือนใจที่เกิดกับครอบครัวพจน์เป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ รายละเอียดตีแผ่เชื่อมโยงเกี่ยวกับเหตุการณ์น้ำท่วมโลกซึ่งคุณปู่เป็นผู้ประกาศอย่างน่าประหลาดใจ สีหน้านิ่งเฉยของเปรมณัฐคือใบหน้าเดียวกับที่มันแสดงให้พจน์เห็นในห้องสมุดระหว่างกำลังพูดคุยกับไอ้กัน พจน์ไม่รู้จะอธิบายเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดกับไอ้น้ำ และอาพลให้คนตรงหน้ารู้ได้อย่างไร จึงทำได้แค่ทักทายและฝากจดหมายลาสองฉบับรวมของดาวด้วยไว้กับมือหนา
 
“ไอ้น้ำเป็นไงบ้างวะ”

“มันก็ลาเรียนเหมือนมึง คงต้องพักอีกสักวันสองวัน” ปาล์มใช้สายตาเค้นบางอย่างจากปากพจน์ “แล้วอามึงล่ะ”

“ฟื้นแล้วว่ะ แต่กูยังอดห่วงไม่ได้ ก็เลยลา ถ้างั้นกูไปก่อนนะเว้ย” มันแต่งตัวอยู่ในชุดนักเรียนเรียบร้อยแล้ว เหลียวมองประตูรั้วผ่านเข้าไปในบ้าน ก่อนจะกลับมามองพจน์ด้วยสายตาคาดคั้นเหมือนเดิม คิ้วขมวดมุ่น

“มึงกับไอ้เด็กใหม่...”

“ไม่มีอะไรนะเว้ย” พจน์หลุดปฏิเสธรีบร้อน สีหน้าตึงบอกว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อ

“พี่พจน์คะ” ดาวเปิดกระจกรถเรียกพี่ชาย

“กูต้องไปแล้วว่ะ”
 
พจน์จากมาพร้อมดวงตาคาดหวังบางอย่างของไอ้ปาล์มติดอยู่ในห้วงสมองตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล

ผลการตรวจร่างกายของอาธนพลพบว่าปกติดีถึงดีมาก จนแม้แต่แพทย์ผู้รักษาก็ไม่อาจชี้แจงให้ศาสตราจารย์วิชัยและครอบครัวเข้าใจทะลุปรุโปร่งได้ คุณปู่ไม่ได้ซักถามอะไรมากนัก ภพดนัยพร่ำคำขอบคุณ พร้อมบอกว่าเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างกลับเป็นปกติก็ย่อมเป็นสัญญาณที่ดีแล้วไม่ใช่หรือ

พจน์ก็อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่ในห้วงความคิดสัมผัสถึงบรรยากาศเย็นยะเยือกเหมือนมีกลุ่มหมอกดำทมิฬก่อตัวอยู่ไกลแสนไกล
 
ตลอดทั้งวันเด็กหนุ่มตาคมนั่งเฝ้ามองอาพลนอนหลับอยู่บนเตียงเพราะฤทธิ์ยานอนหลับ คำพูดคุยก่อนหน้าอาพลจะหลับทำให้พจน์รู้ว่า ความฝันซึ่งอาพลประสบระหว่างต้องคำสาปมนตราลีลาทมิฬล้วนยืนยันในสิ่งที่พจน์ได้เจอ เขาผละจากห้องคนไข้ทิ้งพี่สุนิสา คุณพ่อและน้องสาวไว้คอยเฝ้า อ้างว่าต้องการสูดอากาศ จึงเดินไปทางชั้นดาดฟ้า ทันทีเมื่อผลักประตูลมพัดหนาวเย็นยะเยือกสาดใส่พจน์ กลุ่มเมฆดำทะมึนตั้งเค้าอยู่ทางทิศตะวันตกบดบังแสงสุดท้ายของวัน

ไอ้กันหายตัวไปเลย มีคำถามมากมายวิ่งวนเหมือนสายน้ำรินไหลหาทางออกไม่ได้ รวมถึงคุณปู่และชาญณรงค์ด้วย คำประสงค์ของท่านที่ต้องการไปอยุธยาแน่วแน่ยังติดใจพจน์อยู่

“มึงมีอะไรจะพูดกับกู”

เสียงคุ้นเคยดังอยู่หน้าประตูชั้นดาดฟ้า ตรงจุดที่พจน์เฝ้ามองบรรยากาศมืดสลัวนั้นถูกบดบังด้วยบันไดหนีไฟ และทันทีเมื่อพจน์พยายามมองตามคนพูดเด็กหนุ่มร่างสูงผิวขาว หน้าตี๋ ไอ้ปาล์ม เปรมณัฐ

“มึงชอบไอ้พจน์ ใช่ไหม” อีกเสียงที่พจน์จำได้ดีคือไอ้พีท พีธนะ เด็กหนุ่มสองคนยังอยู่ในชุดนักเรียนปล่อยชายเสื้อ คลุมทับด้วยเสื้อกันหนาวหนังสีดำ

“....”

“ไม่ตอบ แปลว่าใช่สินะ” สีหน้ายิ้มแย้มอวดฟันขาวทุกครั้งเมื่อเจอพจน์ บัดนี้มีแต่แววสีเครียดเท่านั้นขยับไหวมองหน้าไอ้ปาล์มไม่วางตา

“มึงจะอยากรู้ไปทำไม” ดวงตาเล็กเสพิจารณายอดตึกชั้นใกล้เคียง

“เพราะกูจะจีบมัน และถ้ามึงไม่ใช่อย่างที่กูคิด ก็เลิกเป็นหมาห่วงกระดูกสิวะ”
 
“เหอะ หมาเลยหรือวะ” รอยยิ้มซึ่งนานครั้งจะเห็นปรากฏแต่ไม่ใช่เพราะยินดี แววตาของไอ้ปาล์มบอกว่ามันไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง ไม่แปลกใจในคำพูดของไอ้พีท พจน์รู้มาสักพักแล้วว่าท่าทีเอาอกเอาใจผิดปกตินั้น แสดงออกว่ามันคงจีบพจน์แน่นอน ระหว่างที่เด็กหนุ่มตาสีน้ำตาลกำลังตัดสินใจเผยตัวเพื่อยุติการสนทนาลับหลังตน สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ไอ้ปาล์มผู้ไม่เคยมีชื่อเสียเรื่องชกต่อยกับใคร อีกทั้งด้วยนิสัยนิ่งเงียบ รวมกับฐานะกรรมการสภานักเรียน ภาพที่เห็นจึงอยู่เหนือความคิดของพจน์ ไอ้ตี๋หล่อเงื้อง่าหมัดซัดเข้ากรามขวาของไอ้พีท จนหน้าสีแทนเปลี่ยนเป็นแดงทันควัน

“ไอ้เชี่ย มึงจะลองดีกับกูใช่ไหม” คำตวาดของไอ้พีทดังลั่น เช็ดเลือดมุมปากแล้วกำหมัดใหญ่จะชกกลับ แต่ไอ้ปาล์มรับแรงมือไว้ได้ ใช้เท้าขวาถีบเข้าที่ท้องของอีกฝ่ายแล้วเตะซ้ำเข้าชายโครงเสียงดังปึก

“มึงอย่าเที่ยวไปว่าใครเป็นหมาอีก เพราะกูไม่รับประกันว่า มันจะสั่งสอนมึงเหมือนแค่กูทำ” สีหน้านิ่งแต่สายตาเชือดเฉือนแสดงให้เห็นว่าเปรมณัฐโมโหสุดขีด

ไอ้พีทได้ฟังคำดูถูกนั้นเหมือนโดนเหยียบขยี้หัวใจ ใช้หน้าแข้งตวัดใส่ขาไอ้ปาล์ม จนมันล้มลงหงายหลัง ลุกขึ้นนั่งคร่อมเด็กหนุ่มหน้าตี๋แล้วซัดหมัดคืน พจน์เห็นเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย รีบจะเข้าไปดึงรั้ง

“เออ กูชอบมัน ชอบมันมานานแล้วด้วย” เปรมณัฐเสยกำปั้นใต้คางเด็กหนุ่มนักบาสจนอีกฝ่ายผงะหงายหลัง พร้อมปรากฏสีหน้าเจ็บปวดสุดทรมานเมื่อได้ยินคำสารภาพนั้น “ไอ้พจน์ คือ ดวงอาทิตย์ของกู

พจน์รู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นสาดใส่ตัวชาวาบ ทุกสรรพเสียงเงียบงันหลังจากคำพูดของเปรมณัฐ สติของพจน์เหมือนหลุดลอย หัวอกข้างซ้ายเต้นถี่เร็วจนรู้สึกเจ็บ ไม่ใช่เพราะปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายแต่เป็นความรู้สึกในใจนั้นต่างหาก น้ำตาร้อนเอ่อท้นขอบริมจนภาพพร่าเลือน เมฆหมอกสีขาวจากท้องฟ้าพัดผ่านลงสู่ที่แห่งนั้นจนสลัวลาง นำพจน์ข้ามพิภพมาสู่ห้องนอนเรือนไม้อันคุ้นชิน เตียงสี่เสาล้อมรอบด้วยม่านขาวขนาบข้างด้วยศาสตราวุธดาบติดผนัง และมาตะผู้ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนตั่งขีดเขียนบางอย่างลงบนกระดานชนวนตวัดสายตาปีติยินดีเมื่อแรกเห็นพจน์ ผลุดลุกถลาคว้าตัวกอดไว้ในอ้อมแขนแกร่ง

“ภัทรพจน์น้องท่าน” ดวงหน้ารูปงามดุจเดียวกับพระเจ้าอนันตราชคลอเคลียพจน์ พินิจมองคนรักสุดถวิหา “ไยน้องท่านจึ่งร่ำไห้สะอื้น ใครผู้ใดขัดขืนทำอันตรายต้องเนื้อนวลกระนั้น ฤา จงเร่งแจ้งข้ามาเถิด”

“มาตะ เราเจ็บเหลือเกิน” พจน์ปล่อยเสียงครวญสุดทรมานกับความจริงที่เพิ่งได้สดับยินก่อนข้ามพิภพ

กูชอบมัน ชอบมันมานานแล้ว ไอ้พจน์ คือ ดวงอาทิตย์ของกู



50%....TBC โปรดติดตามตอนต่อไป

ปล. ขอโทษด้วยที่อัพตอนล่าสุดช้าไป(ไม่)หน่อย  :katai4: ช่วงนี้หน้าที่การงานรุมเร้าครับ แต่ยังไงก็จะหาเวลามาแต่งให้ผู้อ่านติดตามผลงานต่อไปเรื่อยๆ อย่างเพิ่งทิ้งกันไปไหนน้าาาาา ต้องขอโทษอีกครั้งครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-07-2019 19:18:10 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ในที่สุดพจน์ก็รู้ความในใจของปาล์มจนได้...
ไงต่อล่ะเนี่ย? อย่าเปลี่ยนใจจากมาตะเชียวนาน้องท่าน
ไม่ว่าจะมีกี่คนเข้ามา เราก็เชียร์มาตะและภัทรพจน์ได้ดองได้ครองคู่กันเสมอนะ
ตกลงกันเป็นใครกันแน่? จนถึงตอนนี้ก็ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
สงสารพจน์อีกแล้ว เพิ่งโล่งอกเรื่องคุณอา  แล้วก็มาเจอเรื่องความรักต่ออีก  คงจะสับสนมากๆเลย
ยิ่งแอบชอบปาล์มมาก่อนจะมาเจอมาตะอีก  มาตะก็เหมือนเป็นคนที่อยู่ในความฝัน 
จะข้ามพิภพมาหามาตะเมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ไปๆมาๆตลอด
กับคนอื่นพจน์คงไม่รู้สึกอะไรเพราะไม่ได้ชอบ  แต่กับมาตะและปาล์มนี่สิ  จะเลือกรักและอยู่กับคนที่อยู่ในภพไหนดี
ลุ้นมากๆว่าพจน์จะจัดการเรื่องหัวใจยังไง
สนุก ลุ้นมากๆค่ะ ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
แวะมากอดน้องพจน์  :mew1:

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]


ไม่จริง ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่

แต่คำพูดของปาล์มดังแจ่มชัดแม้กระทั่งเด็กหนุ่มเดินทางข้ามพิภพมาแล้วก็ตาม วินาทีนี้พจน์อยากจะมีความสามารถควบคุมพลังเพื่อข้ามพิภพกลับคืนโลกปัจจุบันโดยด่วน เพราะคำถามค้างคาแน่นในอก ทำเอาเขาอึดอันผสมทนทรมานอยากได้ยินคำยืนยันสุดพรรณา
 
‘กูมีคนที่ชอบอยู่แล้วว่ะ’

‘ใครวะ’

‘คนที่กูชอบ เค้าเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์’

 
เป็น...เขา อย่างนั้นหรือ ดวงอาทิตย์ของเปรมณัฐ พจน์รีบส่ายหน้ากับอกหนาของมาตะ ฉุกใจให้คนถูกสัมผัสฉงนสนเท่ห์ผสานอนาทรร้อนใจ

“ทวนอัศวาราตรีกาลอันน้องท่านนำสู้แก้กลมนตราคำสาป คืนกลับสู่มือพี่ชายเราโดยมิระคายต้องคม กิจช่วยชีวีคงสมประสงค์น้องท่านดีทุกประการฉะนี้ ฤา มีเหตุอันมิควรบังเกิดขึ้นอีกกระนั้น”

“ไม่ ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่...” ปลายนิ้วโป้งหนาเกลี่ยเช็ดหยาดน้ำจากดวงตาสีน้ำตาล พร้อมจูบซับให้เหือดหายด้วยริมฝีปากร้อนของมาตะ

“ก่อนลาจากเมื่อราตรีมัชฌิมยาม น้องท่านก็หลั่งน้ำตาลงคราหนึ่ง ด้วยเหตุเพราะเราสองต้องพลัดพราก จึ่งมีแต่ความอาลัยแลสร้างแรงสะเทือนเสมือนหอกดาบพุ่งสู่อกตัวจนมิรู้จักหาสิ่งใดมาเยียวยารักษาได้ แต่ต่อเมื่อน้องท่านหวนคืนสู่อ้อมอกข้าในเพลานี้ กลับร่ำไห้มิต่างจากครานั้น จักด้วยเหตุผลกลใดนั้นสุดรู้ แต่อกข้าอันมิได้รับยาดีอันใดมารักษา เมื่อประสบกับน้ำตาอันเป็นเหมือนอาวุธคมสร้างรอยแผลแก่อกซ้ำอีกหน จึ่งทรมานสุดจะกล่าว วานน้องท่านเอ็นดูข้าเก็บอาวุธอันทรมานทิ่มแทงหัวอกของมาตะนี้ให้พ้นจากดวงใจสักคราหนึ่งเถิด จักเป็นคุณอย่างสูง”

จิตใจอันรุ่มร้อนดั่งเพลิงสุม อยากได้ยินคำยืนยันอันหนักแน่นของไอ้ปาล์มอีกครั้งให้แน่แก่ใจ จนไม่อาจยืนทรงกายอยู่บนพิภพนี้ได้นั้น เพียงประสบยินน้ำคำเฉกวารีเย็นโลมหลั่งดับฟืนเชื้อไฟดั่งนั้น ทำให้สติปัญญาของพจน์สงบนิ่งอย่างประหลาด ทอดสายตาแลมองมาตะด้วยแววมั่นคง เนื้อตัวสั่นเทิ้มระริกไหวกลับคืนปกติดังเก่า
 
“มาตะ”

“อันใด ฤา น้องท่าน”

“ทำไมนายถึงชอบเรา ทั้งที่เราพบกันนับครั้งได้”

พจน์ผละจากอ้อมแขนแกร่ง ทรุดกายอันไร้เรี่ยวแรงลงบนตั่งไม้แกะสลัก หัวใจเจ็บปวดเพราะคำสารภาพของไอ้ปาล์มเริ่มทุเลาเบาบางลง

มาตะขยับกายล่ำสันเปลือยท่อนบน นุ่งห่มเพียงผ้าทอยกลายสีดำนั่งลงเคียงข้างพจน์ ประดับตกแต่งด้วยเข็มขัดทอง กำไลข้อมือ และกำไลรัดต้นแขน กึ่งกลางหน้าผากขีดสีดำรูปหยดน้ำ ลักษณะการแต่งกายในครั้งนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับพระเจ้าอนันตราชมิผิดตัว ทำให้ภาพวาระสุดท้ายในอดีตชาติของพจน์หวนกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง
 
“ข้ามีเรื่องเล่าหนึ่ง จักขอให้น้องท่านช่วยละสิ่งกวนใจไว้สักครู่เพื่อสดับยิน” มาตะกุมมือพจน์ไว้ไม่ห่างตัว สีหน้านิ่งเฉยนั้นไม่ได้อ้อนวอนหรือร้องขอ วินาทีนี้พจน์อยากได้ยินเหตุผลของคนคนหนึ่งที่พูดมาตลอดว่ารักพจน์ทั้งที่เจอกันไม่กี่ครั้ง เพราะกับอีกคนที่รู้จักพบหน้าค่าตากันมาตั้งแต่พจน์จำความได้ ยาวนานนับสิบปี ปิดบังความในใจไว้กับตัวเพื่อที่จะให้พจน์ได้มายินกับตัวเองในวันนี้ มันไม่ยุติธรรมเลยกับหัวใจของเขา ทำไม ทำไม

“อืม”

“มีทารกชายผู้หนึ่งถือกำเนิดในตระกูลขุนนางยศศักดิ์สูง ผู้เป็นบิดามีวิสัยซื่อตรง ซื่อสัตย์ ยึดถือความถูกต้องเป็นมงคลประจำตัว มิต่างจากผู้เป็นมารดาที่เฝ้าถวายงาน ถวายชีวิตเพื่อผืนแผ่นดินยิ่งชีพตัว การมีลูกน้อยสมคะเนเป็นชายดั่งปรารถนาจึ่งสุดแสนยินดียิ่งมิต่างจากครั้นเมื่อได้บุตรโทน ด้วยเหตุเพราะเลยวัยอันจักหวังตั้งครรภ์ในอุทรมาหลายปีแล้วหนึ่ง อีกเพราะมีบุตรแลธิดาพร้อมสรรพแก่การสืบตระกูลหนึ่ง ดั่งนี้จึ่งมิวาดฝันจักได้เชยชมกุมารอันมีลักษณะพิเศษบางอย่าง เพลาคืนหนึ่งก่อนจักล่วงรู้ถึงบุตรจุติลงครรภ์นั้น ผู้เป็นภรรยานิมิตเห็นเทวดารูปองค์งดงามยิ่งล้ำนำไพลินนิลสีมามอบให้ ครั้นตื่นจากฝันจึ่งเล่าให้ผู้สามีฟัง หลังตริตรองด้วยสติปัญญาแล้วเห็นเป็นนิมิตอัศจรรย์ แต่มิได้นำพาผูกใจ

จนกระทั่งคลอดบุตร พร้อมลักษณะผิดประหลาดต่างจากทารกทั่วไป คือ ยามเมื่อนางข้ารับใช้นำน้ำชำระกายซึ่งลอยแต่งกลิ่นด้วยดอกลีลาวดีมาชำระล้าง ก็บังเกิดร้องไห้จ้าเหมือนมีมือล่องหนมาบีบเค้นเช่นนั้นทุกคราไป ผู้เป็นบิดาเห็นเกินสติกำลังตัวจักไขถอน จึ่งชวนพากันไปสู่สำนักเทวาลัยอัปสรเทพ อันเป็นที่พำนักอาศัยของพราหมณ์ทรงศีลบำเพ็ญเพียรผู้หนึ่ง เป็นที่นับถือแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน เมื่อแจ้งความฝันแลเหตุแห่งทุกข์นั้นให้ผู้ทรงเพียรทราบจบ พราหมณ์ผู้เฒ่าจึ่งนิ่งงันมิได้กล่าวความใด จนขุนนางผู้บิดาพนมมือซักเตือน ท่านจึ่งคืนสติ เหลียวแลทารกในอ้อมอกมารดาพลางกล่าวว่า ลักษณะทารกเพศชายผู้นี้มีสง่าราศรีผิดปุถุชนธรรมดาสามัญหนึ่ง ทั้งมีวิสัยประหลาดคือยามเมื่อสัมผัสกลิ่น ฤา แลเห็นดอกลีลาวดี ก็จักร่ำไห้ส่งเสียงร้องเป็นที่ตะขิดตะขวงใจหนึ่ง”

เมื่อได้ฟังมาถึงตรงนี้จิตใจอันว้าวุ่นสับสนของพจน์กลับกระตุกเตือนในทันใด

“อุปนิสัยผิดแผกแปลกมนุษย์ทั่วไปนี้ติดตัวมาแต่แรกเกิด เราพิจารณาด้วยสติปัญญาอันบำเพ็ญเพียรมาช้านานแล้ว แลเห็นเหตุทั้งปวง แต่จักเฉลยไขได้เพียงน้อยเท่านั้น ผู้บิดาได้ยินดังนั้นก็พลันยินดี รีบซักว่า จักมีวิธีสบช่องหาหนทางแก้ไขนิสัยประหลาดนั้นได้ ฤา ไม่ พระอาจารย์ เหตุเพราะนครอันร่มเย็นของเราล้วนมีบุปผาชาติชนิดนี้คือ ลีลาวดี ปลูกอยู่ทั่วทุกสารทิศ จักผินหน้าทอดกายเดินไปหนใดก็ประจักษ์ฉะนี้ จักมิให้ลูกน้อยของข้าพระคุณพบเจอนั้นคงต้องจำขังไว้เป็นภาระทรมานแน่แท้ อนึ่งยามเมื่อได้ร่ำไห้คราใดก็ยากจักปลอบให้คลายลงโดยง่ายต่างจากเมื่อแรกต้น ภาพบุตรอ้าปากร้องรำพันหลั่งน้ำตานั้นทรมานใจข้าพระคุณ แลเมียผู้ให้กำเนิดเป็นทวีคูณ จึ่งประสงค์เรียนถามหาวิธีแก้ไขความทุกข์นี้ พราหมณ์ผู้ทรงญาณหลับตาลงชั่วขณะ ตรึกตรองด้วยปรีชาญาณ พลางกล่าวว่า หามีอำนาจ ฤา สรรพวิชาตำราใดจักไขถอนนิสัยอันติดตัวจากทารกน้อยนี้ได้ เหตุเพราะนิมิตอันนางเมียเห็นก่อนล่วงรู้ครรภ์ เป็นดั่งศุภนิมิตแลศุภฤกษ์ จึ่งเกินกำลังจักกล่าวเอ่ยเป็นวาจาแถลงไข มีเพียงถ้อยความเดียวเท่านั้นที่สามารถแจ้งบิดามารดาผู้ให้กำเนิดคือ

เพลาใดสบนัยน์ตาสีสมัน
ความกลัวพลันเลือนหายกลายสุขี
นิมิตฝันฤาจริงแท้ในราตรี
บุรุษมีจักษุดั่งต้องมนตร์

ลักษณะวิสัยนี้จักอยู่ติดตัวบุตรของเจ้ามิเนิ่นนาน เมื่อใดที่บุตรชายเจ้ารู้ความแลนิมิตเห็นบุรุษผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลดั่งผิวเนื้อสมันเป็นคราแรก เมื่อนั้นความกลัวอันเกิดจากการสัมผัสกลิ่นแลรูปของดอกลีลาวดีจักพลันเลือนหายชั่วกาลนาน จงคลายความปริวิตกเสีย หากมันเจริญวัยเติบใหญ่ขึ้นจงส่งมาร่ำเรียนสรรพวิชาจากข้าอย่าช้าที”

“เป็นนายอย่างนั้นหรือ มาตะ เรื่องที่เล่า คือ...” พจน์แทบจะลืมความเจ็บปวดจากคำสารภาพของไอ้ปาล์มเสียสิ้น ตอนนี้เหลือเพียงความคิดเดียว บุรุษผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาล เป็น...

“คือ...เจ้า ผู้ที่ข้าฝันเห็นตั้งแต่จดจำความได้” มาตะประคองใบหน้าพจน์เข้าหาตัว พินิจมองดวงตาพจน์ราวกับไม่เคยเห็นชัดเจนเท่านี้มาก่อน

“คำสงสัยที่น้องท่านซักว่า เหตุใดข้าจึ่งรักแลภักดีน้องท่านเสมอชีวิตตัวเอง ก็แหละพบเจอเพียงนับครั้งได้ในฝ่ามือเดียวนั้น หาตรงกับความจริงไม่ ข้าสบเจอน้องท่านมานับครั้งไม่ถ้วน จักหาว่าข้านี้พบเจอใครแต่เพียงนับครั้งก็ยอมปลงใจโดยดีนั้นยังจักถูกต้องอยู่หรือ ภัทรพจน์เอย ข้าตกหลุมรักน้องท่านในนิมิตฝันมาเนิ่นนานครัน ก่อนบุพเพสันนิวาสจักชักนำเราสองมาสบพบเจอกันจริงแท้เสียอีก คำยืนยันว่าข้ารักท่านสุดดวงใจนี้ประกอบคำอรรธถาธิบายทั้งหมดยังจักเป็นเสาหลักให้น้องท่านได้ยึดมั่นถือครองหนักแน่นอยู่ ฤา”

“นายฝันเห็นเราตั้งแต่จำความได้ งั้นหรือ” เหมือนมีบางอย่างอัดแน่นตื้นตันจนหัวใจแทบหยุดเต้น

บุรุษมีจักษุดั่งต้องมนตร์ คือ น้องท่านมาแต่แรก แลเป็นผลให้ข้าคลายหวาดจากดอกลีลาวดี”

“ทำไมนายไม่บอกละ ว่านายเคยเจอเรามาก่อน เจอมานานแล้ว...” พจน์รู้สึกเหมือนคำพูดติดอยู่ลำคอ “แต่เราไม่...” จะว่าไม่เคยก็ไม่ถูกเสียทีเดียวนัก เพราะในห้วงฝันวาระสุดท้ายในอดีตชาติมักมีชายหนุ่มหน้าตาละม้ายคล้ายมาตะแทรกเข้ามาเป็นระยะ

“เราเคยฝันเห็นนาย มาตะ”

คำตอบของพจน์เสมือนเป็นยาดีชะโลมหัวใจมาตะจากรอยน้ำตาของคนรักได้เป็นอย่างดี เด็กหนุ่มตัวหนาโอบกอดพจน์ไว้ในอ้อมอก

“ความสงสัยใดกัดกินทรมานใจน้องท่านอยู่คงผ่อนคลายลงยิ่งกว่าเมื่อแรก” ถอนกอดแล้วจูบซับหน้าผากมน “โปรดจงคลายขมวดปมคิ้วแลประทับนั่งให้สบายกายเถิด ปัญหาหนักอกใดถ่วงใจน้องท่าน มาตะนี้จักผ่อนหนักให้เป็นเบาเอง เมื่อความจริงเป็นดั่งนี้ แลน้องท่านเป็นคุณแก่ข้าเหลือล้ำเกินจักกล่าวเป็นถ้อยคำสรรเสริญ อาการแคลงใจในความภักดีที่มาตะมีแต่น้องท่านคงแจ้งกระจ่างโดยตลอด น้องท่านเอย บัดนี้เราสองก็เหมือนคนสองคนที่ใช้หัวอกร่วมเดียวกันก็ว่าได้ เกี่ยวดองทั้งกายแลใจ ซ้ำความอันข้ายกมากล่าวนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ความสัตย์จริงโดยแท้ เหมือนดั่งว่าเอาความสวามิภักดิ์มาแผ่ออกตรงหน้าให้เห็นทุกซอกมุมก็ว่าได้ดั่งนี้แล้ว ความปริวิตกในใจน้องท่านยังจักงำไว้เป็นหนามยอกอกอีกกระนั้นหรือ”

“ขอบใจนะ มาตะ ขอบคุณมากที่ช่วยทำให้เราสบายใจขึ้น” พจน์ส่ายหน้า กอบกุมมือหนาแน่น ทั้งน้ำตา “นายทำให้เราแน่ใจในที่สุดว่าเราควรทำยังไงต่อไป”

เมื่อเห็นแววยินดีปรีดาจากดวงตาสีน้ำตาลทำให้มาตะพยักหน้ายอมรับ

“นายเชื่อเรื่องอดีตชาติไหม มาตะ”

คำถามของพจน์ทำให้เด็กหนุ่มตัวหนานิ่งงันชั่วขณะก่อนจะลอบส่งยิ้มให้พจน์

“อดีตชาติเป็นชีวิตเมื่อล่วงผ่าน แลหลุดขาดจากการรับรู้ในชาตินี้เสียสิ้น เสมือนมิมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก แต่หากจักสรุปเอาความแต่ข้างเดียวว่าหลุดขาดจากกันโดยเด็ดขาดก็มิอาจกล่าวได้เต็มปาก ข้านี้เชื่ออย่างหนึ่งว่า จิตใจความผูกพันใดเมื่อเกิดขึ้นในชาติที่แล้วจักไม่ลบเลือนหายไปจากความทรงจำของจิตแม้ก้าวล่วงผ่านมากี่ชาติภพ เช่นเดียวกับเมื่อแรกสบเจอน้องท่านในนิมิตฝัน จิตใจข้าว้าวุ่นบอกว่าเคยคุ้นเหมือนรู้จักน้องท่านมาเนิ่นนาน ยิ่งเมื่อได้เห็นตัวตน สัมผัสแลแตะต้องเนื้อนวล ก็ยิ่งยืนยันความเชื่อว่าอดีตชาตินั้นมีจริง จิตใจเบื้องลึกข้าบอกเช่นนั้น แลน้องท่านรู้สึกเช่นเดียวกับข้า ฤา ไม่”

พจน์พยักหน้า ตัดสินใจจะเล่าเหตุการณ์ที่ตนย้อนเวลาไปอยู่ในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตเมื่ออดีตชาติให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เพื่อยืนยันว่าการข้ามพิภพของพจน์ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยเหตุบังเอิญ แต่เป็นเพราะ...ความรัก

เสียงเคาะประตูห้องดังถี่รัวอึงคะนึง ฉุดความสนใจของเด็กหนุ่มทั้งสองจากเรื่องสนทนา
 
“คุณพระนายเจ้าข้า มีแขกมาขอพบเจ้าค่ะ”

บ่าวทาสหญิงร้องแจ้ง

“ผู้ใด ฤา”

“กฤษณา ผู้น้องสาวนายกองกฤษณะเอง” เสียงหญิงสาวอีกผู้หนึ่งเป็นคนตอบ “เชิญพี่ท่านออกมาพบปะสนทนากันสักประเดี๋ยวเถิด น้องนี้มีข้าวของจากในพระราชวังหลวงนำมาฝากพี่ท่านอยู่หลายสำรับ แลมีเรื่องพูดคุยตามประสาผู้ที่มิเคยได้พบหน้ากันนานครัน”
 
รอยยิ้มเหือดหายจากใบหน้ารูปงาม เหลียวมองพจน์ด้วยสีหน้าเครียด ระหว่างชั่วนาทีนั้นมาตะจึ่งตัดสินใจประคองข้อมือพจน์ให้ลุกยืนตามตัว

“นายกองกฤษณะ คนที่นายมีเรื่องด้วยใช่ไหม” พจน์ครุ่นคิดถามกลับ

“ใช่แล้ว น้องท่าน แลสตรีผู้มาเยือนคือ น้องสาวของนายกองมีชื่อผู้นั้น” มาตะกระชับมือพจน์แน่นราวกับกลัวคนรักจักหายไปต่อหน้าต่อตาอีก “หากเป็นจริงดั่งข้าตรึกตรอง กิจอันชะแม่กฤษณา นางข้าหลวงฝ่ายในจากพระบรมมหาราชวังจักมีเหตุมาเหยียบชานเรือนนี้คงมิพ้นเรื่องน้องท่านเป็นแน่ อย่างไรวันนี้ข้าขอวานตัวน้องท่านเป็นเครื่องพิสูจน์น้ำใจของสตรีผู้นี้สักครั้ง ว่านางจักยินดีในความรักของมาตะที่มีต่อน้องท่านอยู่ ฤา ไม่ อีกทั้งเป็นเครื่องชำระคำครหาทั่วทั้งพระนครที่ว่ากล่าวข้าแลน้องนางผู้นี้อีกคำรบหนึ่ง ภัทรพจน์ท่านยินดีจักช่วยข้านี้ ฤา ไม่”

นายกองกฤษณะผู้นั้นได้ยินว่ามีน้องสาวแลมีเหตุทะเลาะวิวาทกับมาตะก็เพราะเรื่องนี้เป็นชนวน ถ้าตนจะมีประโยชน์ช่วยให้มาตะพ้นข้อครหาได้ก็ยินดี

“ได้สิ”

นั่นทำให้มาตะก้มลงฉกชิมกระพุ้งแก้มนวลเสริมเรี่ยวแรงกำลังสติปัญญา ก่อนจักถอดสลักประตูเปิดออก แสงสนธยาอาบไล้พื้นเรือนของมาตะจรดหอนั่งกลางหมู่เรือนรายล้อม ข้าทาสก้มหมอบกราบอยู่โดยรอบ แลปรากฏหญิงงามผู้หนึ่งนั่งพับเพียบอยู่บนตั่งผินดวงหน้ามาทางประตูห้องของมาตะ เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้พบเห็นอย่างมาก นอกจากความงดงามและรูปลักษณ์ทรวดทรงชะแล้มแช่มช้อยแล้ว ดวงตาคมยังส่องประกายกล้า และวินาทีที่พจน์เผลอสบตาสตรีผู้นั้นก็ให้รู้สึกเหมือนภายในดวงตาสีดำสนิท ปรากฏประกายเพลิงไฟประทุขึ้นอยู่ชั่วขณะ

“มาตะ พี่ท่าน” คำหวานพร้อมรอยยิ้มปรับเปลี่ยนทันทีเมื่อละสายตาจากพจน์ นางเยื้องกายลงจากที่นั่งแช่มช้าก่อนจักพนมมือไหว้เสมอทรวงอก “คำอันผู้คนเล่าลือโจษขานเห็นจะเป็นจริงดั่งว่า เหตุเพราะมีบุรุษเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลปรากฏกายขึ้นในที่สุด”


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-07-2019 19:18:57 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
ชะนี นางมารร้ายมาอีกแล้ว :katai1:

ออฟไลน์ runtothemoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขัดใจจริง คนเค้ากำลังสวีทกันฮือออออ ออดอ้อนงอแง(?)อยู่กันสองคนยังไม่ทันได้คุยรู้เรื่องดี ดันมีเรื่องตล๊อดดดด น้องพจน์อย่าไปยอมนะ จิกไว้ววววว ถ้านางนั่นแกล้งมาหนูซัดกลับเลยลูก สู้เขาาาาาา มาตะดูแลลูกเราด้วยไม่งั้นเจอดีแน่ๆ/เก๊กหน้าขรึม นี่พอจะเดาออกว่านางกฤษณาเป็นใครชาติที่แล้ว ฮึ!

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
มาตะกับพจน์หวานกันตลอด :o8:  แต่ก็มีอุปสรรคมาเรื่อยๆเลยคู่นี้  แค่ข้ามภพไปมาก็เหนื่อยแทนพจน์แล้ว :ling1:

ดีใจนักเขียนมาแต่งต่อแล้ว  รอติดตามตอนต่อไปเสมอนะคะ
สนุกมากๆ  ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :3123:

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ยังไม่ทันจะคุยกันให้รู้เรื่องเลยน้อ...
แหม่ แต่คำพูดคำจานายมาตะนี่มันน่าหมั่นไส้จริงๆนะคะ555555
แม่นางกฤษณานี่มองจากเชิงแล้วคงจะมาร้าย
แต่ก็ไม่แน่ หญิงไทยใจงามเนอะ อาจจะร้ายแค่แว๊บเดียวก็ได้(มั้งนะ)
พจน์ตัดสินใจแล้วสินะ ว่าแต่...ตัดสินใจว่ายังไงล่ะจ๊ะน่ะ? เล่นอุบอิบไม่ยอมบอกงี้เราก็ลุ้นสิจ๊ะนาย
ยังไงก็ชอบตอนอยู่กับมาตะที่สุดแล้วน้อ อดีตชาติก็ออกจากผูกพันกัน

ปล.ก็ยังคงสงสัยจนถึงบัดนี้อยู่ว่ากันเป็นใคร55

ออฟไลน์ nokkkey

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุดแล้วแฮ่

เป็นเรื่องที่สนุกมากเลยค่า ปมเยอะมากกกก

ยังไม่ค่อยชินกับสำนวนการอธิบายคำพูดแบบนี้เท่าไหร่๕๕๕๕ แต่ก็จะติดตามต่อไปนะคะ

ลุ้นปาล์มมากเลยค่ะ อยากให้นายแฮปปี้ TT_TT

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด