[แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

สำรวจความต้องการให้มีการพิมพ์รวมเล่มนิยาย >>>>ข้ามพิภพ<<<< หรือไม่

ต้องการ
27 (67.5%)
ไม่ต้องการ
0 (0%)
ไม่แน่ใจ
13 (32.5%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 40

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]  (อ่าน 284692 ครั้ง)

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]


ริมฝีปากแดงฉานจักว่าร้อนดั่งเพลิงกาฬก็อาจเปรียบเทียบเคียง ด้วยรุมเร้าผิวกายพจน์จนรุ่มร้อนทุกขุมขน กระสับกระส่ายเวียนวนเพราะรอยจูบของมาตะกลุ้มรุมชิวหา จนกำลังกายาอันเป็นเรี่ยวแรงยืนหยัดแทบอ่อนระทวย ฝ่ามือเรียวใช้พละกำลังเท่าที่เหลือบรรจงค้ำประคองออกแรงผลักอกล่ำให้ขยับถอย เพียงแตะสัมผัสผิวกายเปลือยของเจ้าหนุ่มล่ำสัน ก็สั่นสะท้านซ่าบซ่านเป็นจังหวะละถอนชั่วขณะ ได้ช่องให้พจน์พลอยสูดอากาศเข้าสู่กายโดยพลัน มิพักให้รอช้า มาตะฉวยขยับใบหน้ารูปงามสาละวนเพียรมอบจุมพิตสู่พจน์ไม่ออมแรง

“ดะ...เดี๋ยว”

ลมหายใจสำลักพุ่งเข้าออกละล่ำละลักทักท้วงห้าม แต่มาตะทำประหนึ่งสรรพเสียงบนพิภพนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงความตั้งใจมั่นของตน มุ่งหวังจักระบายห้วงคิดคำนึงให้หายบรรเทากู่ดังก้อง พจน์ยกฝ่ามือยับยั้งรอยปากมาตะมิดชิด ก่อนทุกอย่างจะถลำลึกเกินควบคุม หากเกิดจุมพิตซ้ำอีกหน สติอันเลือนรางตอนนี้คงไม่อาจยุดยื้อการกระทำใดได้อีก
 
ครั้นแววตาวอนสะท้อนสู่การมองเห็น จึ่งทำให้เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลระงับเปลือกตาปิดลง เขาจะหลวมตัวหลงกลหลงแววอ้อนเฉพาะตนนั้นมิได้ ไม่ใช่เพราะอยากปฏิเสธ แต่มีบางสิ่งรบกวนใจยากจักมีอารมณ์ร่วม ประกอบกับบาดแผลจากคำโกหกของทุกคนรอบตัวพจน์เป็นรอยฉกรรจ์ฝังลึก

“ประพฤติน้องท่านนี้แจ้งเหตุ แลประสงค์ให้มาตะต้องทุกข์ทรมานปานเจียนสิ้นชีวาวายกระนั้น ฤา” มาตะตัดพ้อต่อว่าหน้าสลด

“จึ่งยกมือยุดห้ามรอยปาก อันเสมอกล่องดวงใจเพื่อปูนบำเหน็จสู่น้องท่าน เปรียบเป็นเครื่องเยียวยาความทุกข์มากล้นให้ลดทอนลงยิ่งกว่ายาดีเป็นไฉน แหละมาต้องกิริยาผลักไสเฉกคนเจ็บนอนซมใกล้เจียนตายมาถูกหมอยาปฏิเสธการรักษา จึ่งให้รู้สึกเวทนาในอกตัว มาตะนี้ครองตนนับว่ากล้าหาญอดทนเสมอขุนศึกในแนวรบหน้า ไม่ประหวั่นเกรงภัยอริราชศัตรูเมื่อแรกปะทะ หากยามใดได้ออกศึกตอบแทนคุณผืนแผ่นดินก็จักอาสาอยู่กองรบแรกต้นเสมอเป็นกิจประจำใจ หาได้ร่นระย่อท้อถอยแม้เพียงนิด แต่ยามนี้จิตใจกล้าหาญอันยกเทียบเมื่ออดีตกาล เพียงประสบเห็นกิริยาผลักไสของน้องท่านแจ้งว่ารังเกียจตัวฉะนี้ ความกล้าหาญในสมรภูมิรบใดจักนำมาปลอบใจในขณะนี้หามีไม่ ซ้ำท่าทีห่างเหินเมินหน้าหนีเป็นยิ่งกว่าอริราชศัตรูคู่อาฆาตจักอาจหาญสู้ต่อกร ความคิดแจ้งกลใดในเพลงดาบ ฤา จักนำมาใช้ต่อยุทธกับอาการเหมือนดั่งเดียดฉันท์ตัว จนมาตะหวาดกลัวมิอาจครองสติปลอบขวัญให้หยืดหยัดได้แล้ว วานน้องท่านเป็นคุณ ยกดาบทองคู่กายข้านี้ประหัตประหารมาตะเสีย อย่าให้เป็นที่ระคายตาของน้องท่านอีกเลย”

คำน้อยอกน้อยใจของมาตะลุกลามเกินกว่าเจตนาพจน์เมื่อแรกกระทำ เพียงเห็นสีหน้าเศร้าเคล้าโศกสลดก็ให้รู้สึกผิดมากประมาณ

“ไม่ใช่จะผลักไสนาย แต่....”

“เมื่อแรกเห็นเงาน้องท่านขยับสู่แสงอัจกลับงามจับตา ประดุจเมฆาคลายแสงเดือนต้องพื้นโลก ปลอบให้เหล่าสรรพสัตว์คลายโศกชื่นปีติว่าวันคืนแน่แท้ยังคงอยู่เฉกจันทราคู่สุริยา อดที่สกุณาน้อยต่ำต้อยจักยินดีแลนอนตาหลับได้ในทิวาราตรี จวบกระทั่งจันทรานั้นมาหยุดฉายแสงริบหรี่ลงแลกลืนหายลับสู่ห้วงเวหา กระทำประหนึ่งมิสนแววตาของสกุณาน้อยอันคอยเฝ้าแหนเฝ้ารอ เหตุแสงเดือนเป็นดั่งผ้าห่มอันอบอุ่นแก่ตัว มาบัดนี้ถูกทอดทิ้งไว้ท่ามกลางความเหน็บหนาวในราตรีฉะนี้ เปรียบท่าทีเช่นกิริยาน้องท่านมิต่างกัน หากสกุณาน้อยประสงค์ไออุ่นจากจันทราปลอบขวัญตัวในยามรัตติกาลให้ผ่านพ้นความเหน็บสะท้านไปสู่วันใหม่ให้ได้ฉันใด มาตะนี้ก็ประสงค์ไอร้อนจากผิวกายน้องท่านปลอบใจให้ผ่านราตรีนี้ไปได้ฉันนั้น ก็แหละไอร้อนอันเป็นของหวงแหนแก่ตัวน้องท่าน มิประสงค์จักทำคุณแก่คนต่ำต้อยเช่นมาตะแล้ว จงดับชีวานกน้อยผู้นี้อย่าให้ดำรงตนทนทรมานสืบไปเมื่อหน้าเลย”

วาจาเปรียบเทียบอ้อนวอนทำเอาพจน์วุ่นใจ ไฟร้อนในกายยังไม่ทันดับลง หนำซ้ำยังถูกพัดกระพือจากถ้อยคำน้อยในอกตัวของมาตะอีกจนไม่รู้จะตัดสินใจเอ่ยคำใดโต้ตอบ จึ่งเงียบนิ่งเสีย

ฝ่ายมาตะเห็นท่าทีคนรักนิ่งเฉย ดำริไปข้างว่าไม่สนใจคำรำพันตัว จึ่งบังเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจเหลือประมาณ ย่อกายทรุดลงบนตั่งประหนึ่งไร้เรี่ยวแรงพยุงร่าง ปรับสีหน้าให้โศกสลดยิ่งกว่าก่อนบรรเลงซออู้

คำหวาน นี้ เป็นเพลงบทแรกซึ่งข้าเรียนรู้แลบรรเลงได้จนจบ แม้นครูท่านเวียนสอนเพลงอื่นก็หาได้สีต้องใจครูผู้พร่ำสอนเท่าเพลงนี้ไม่ จึ่งเป็นเครื่องปลอบใจข้า ยามสหายศิษย์ร่วมสำนักประชันคันสีได้เชี่ยวชาญในท้วงทำนองบทที่ยากกว่านี้หลายเท่า แลเมื่ออีกฝ่ายโอ่อวดในฝีมืออันเหนือกว่าคราใด มาตะก็ได้เพลงคำหวานเป็นเครื่องประโลมใจว่า อย่างน้อยหนึ่งนั้นเกิดมาในชาตินี้มีฝีมือด้านดนตรีอาจเอื้อมถึงบทบรรเลงคำหวานก็มิเสียชาติเกิด จึ่งมุ่งมั่นหมั่นฝึกซ้อมให้เจนจัดมิให้ขาดตกจนเป็นที่ระคายหูแก่ครูผู้อาจารย์ ความมักน้อยในความสามารถเชิงสังคีตศิลป์นี้ ประดุจความสามารถในรักอันมีแก่น้องท่าน เพราะคราใดเมื่อน้องท่านมิได้อยู่เคียงข้าง ก็อาศัยความมักน้อยปลอบใจตัวว่า ได้เพียงรักแลได้รับรักตอบถึงแม้นอยู่ไกลห่างเพียงไหนก็สุขล้นยิ่งแล้ว จักหวังให้มากกว่านี้ก็เกินกำลังสติปัญญาความสามารถตัวจะทำได้”

“มาตะ...”

“ทั้งที่รู้ว่าเพลาพบเจอกันนั้นยากเย็นแสนเข็ญ แต่มาตะก็ยังดื้อดึงหวังสูงยิ่งกว่านั้น ตะกรุมบุ่มบ่ามทำบัดสีมูมมามตามแต่ใจตัว ให้น้องท่านมัวหมองจนถึงต้องออกแรงผลักไส แต่โปรดอภัยเถิดหนาเจ้า เหตุด้วยทุกห้วงขณะจิตยามไร้น้องท่านเคียงข้างกาย มิว่าเพลาข้าจักฝึกซ้อมศิลปศาสตร์เพลงดาบ แลหรือฝึกซ้อมสังคีตศาสตร์เพลงซอ ก็หามีเพลาใดสักเพียงลมหายใจหนึ่งที่ไอ้มาตะคนนี้จักมิหวนคิดคะนึงถึงน้องท่าน สักชั่วยามหนึ่งก็ไม่มี” พอสิ้นถ้อยวาจาของมาตะพลันน้ำตาพจน์ก็ท่วมอกเอ่อคลอขอบริมซ้ำอีกหน
 
“จักยามตื่น ฤา ยามนอน ใบหน้าน้องท่านวนเวียนอยู่ในห้วงคำนึงฝันทุกลมหายใจเข้าออก แลราตรีนี้มาสบเห็นพบตัวโดยมิได้ตั้งตน จึ่งมิอาจระงับความคิดถึง โลดแล่นคุมสติมิได้ ผลุนผลันกระทำการหยาบโลนเกินหักห้าม ด้วยเพราะหะแรกเห็น ดวงใจคิดถึงปริ่มจนล้นทะลัก และมาประจักษ์น้องท่านพลันมิอาจยั้งคิดไว้ได้ ความผิดใดเป็นโทษหนักเบาจงลงแก่มาตะเถิด”

ทำไมพจน์จะไม่รู้ว่าความคิดถึงมันทรมานขนาดไหน แต่ไม่อาจสรรหาคำใดมาเอ่ยอ้างกลับได้
 
“โปรดอย่าตำหนิว่าละทิ้งเลยเจ้า เหตุด้วยราตรีนี้น้องท่านคงมิอาจทนปะหน้าสนทนา เพราะความวู่วามล่วงเกินของมาตะ อภัยเถิดขอลา จักมิทนฝืนยิ้มชื่นอุราปั้นความรู้สึกมาทดแทนสุดจะพยายามแล้ว”

กล่าวจบมาตะผุดลุกขึ้นหมายใจสู่ประตูพระที่นั่งลายเทพพนมโดยมิได้หันมามองพจน์อีก ถ้อยความทั้งสิ้นล้วนเหมือนยอดหนามทิ่มแทงดวงใจพจน์ เพราะทุกสิ่งศัพท์ล้วนเป็นความจริง พจน์เองก็รู้สึกหน่วงอกไม่ต่างกัน จะต่างก็เพียงแค่มาตะจะรู้หรือเปล่า ว่าความเจ็บปวดจากสิ่งที่พจน์เผชิญถึงแม้จะสับสนแค่ไหนก็ไม่เท่ากับความเจ็บปวดจากการเข้าใจผิดที่อีกฝ่ายกำลังละจากไปโดยไม่ฟังคำอธิบายแบบนี้

“นายจะเป็นคนเดียวใช่ไหมที่ไม่โกหกเรา มาตะ”

แผ่นหลังกว้างหยุดนิ่งชั่วขณะ ไม่อาจเห็นสีหน้าหรือแววตา มาตะยังคงยืนนิ่งไม่เอ่ยคำใด

“ความในใจหรือคำพูดทั้งในปัจจุบัน หรืออนาคตข้างหน้า นายจะไม่มีวันโกหกเราใช่ไหม ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น เราเชื่อใจนายได้ใช่ไหม มาตะ” เสียงพจน์สั่นเครือสุดหักห้าม

“หากการควักดวงใจของตัวเป็นเครื่องพิสูจน์ความสัตย์ซื่อสุจริตต่อน้องท่านได้แล้วไซร้ ข้าจักขอกรีดอกเพื่อแสดงความบริสุทธิ์แลจริงใจทั้งมวลในทันใด ข้ามาตะนี้หรือที่จักกล้าผิดคำมุสากับยอดดวงใจแลดวงวิญญาณ อันเหมือนดั่งครึ่งชีวิตอีกเสี้ยวหนึ่งของตัวเองได้กระนั้น” ว่าพลางก็ปลดฝักดาบทิ้งลงยังพื้น พจน์เห็นท่าทีเงื้อง่าดาบทองประสงค์จักทำตามคำพูดแล้วให้รู้สึกหัวใจถูกบีบรัด ถลันตัวคว้าแขนยื้อยุดข้อมือขวานั้นไว้มิให้กระทำการใดก็ตามที่อีกฝ่ายประสงค์

“อย่าทำแบบนี้ มาตะ เราเชื่อแล้ว เราเชื่อนายแล้ว”

น้ำตาซึ่งเอ่อคลออยู่สบช่องทะลักล้นสุดห้ามปราม ความรู้สึกผิดก่อเกิดเป็นหอกซัดทำลายตัวเอง จนพจน์ต้องออกแรงสุดกำลังบีบข้อมือให้อีกฝ่ายละทิ้งอาวุธนั้นเสีย ด้วยเรี่ยวแรงผิดแผกกว่าปกติส่งผลให้มาตะจำต้องปล่อยดาบทองลงพื้นแล้วโผเข้าสวมกอดร่างอรชรไว้แนบหว่างอกหนา พลางลูบโลมเนื้อตัวปลอบประโลมคนคู่ใจให้คลายร่ำไห้ พจน์สะอึกสะอื้นหวาดกลัวสิ่งใดที่อาจเกิดขึ้นหากตนไม่อาจปลดอาวุธในมือมาตะได้ คิดแล้วก็ยิ่งตอกย้ำความผิดตัวเองซึ่งเป็นต้นเหตุทั้งมวลอันเป็นเครื่องทรมานให้มาตะจำต้องทำร้ายตัวเองเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ
 
“ยอดดวงใจของมาตะ โปรดอย่าร่ำไห้เลยเถิดเจ้า ข้านี้ล่วงรู้น้ำใจของน้องท่านโดยตลอดแล้ว กิริยาก่อนหน้าก่อเกิดขึ้นด้วยเพราะความมืดบอดของข้าเอง แลบัดนี้มาต้องน้ำตาแลน้ำใจน้องท่านชำระล้างโดยสะอาดแล้ว อาการวู่วามใดสิ่งสู่สติตัวก็ปราศจากเสียสิ้นในบัดดล”

“ขอโทษ มาตะ ขอโทษที่ทำร้ายจิตใจนาย ขอโทษที่ไม่เชื่อใจนาย ทั้งที่นายจริงใจกับเรามาตลอด มีแต่เราที่ทำร้ายนายทั้งด้วยกิริยา และคำพูดต่างๆนานา” คำพูดกระท่อนกระแท่นผสานเสียงสะอึกสะอื้นร่ำร้อง

“คำลาอันข้ากล่าวเพราะความน้อยอกมาสิงสู่ว่าจักละทิ้งน้องท่านไว้โดยเดียวมีหรือที่มาตะคนซื่อผู้นี้จักกระทำลง เอ่ยขึ้นก็ด้วยไร้ความยั้งคิดเป็นที่ตั้งและเจ็บเองฉะนี้ หนำซ้ำมาเห็นรอยน้ำตาน้องท่านเป็นผลเซ่นคำคะนองปากเกินสติตัวจักแก้ไข เห็นเป็นโทษทัณฑ์แลพ่วงพิสูจน์น้ำใจตัวจึ่งวู่วามหมายจะปลิดชีวิตยืนยันคำ แหละภายหลังมาตรึกตรองโดยสติจึ่งเห็นความสิ่งหนึ่ง วานน้องท่านช่วยตอบเถิดหนา หว่างกลางความเป็นตายเมื่อครู่ มาตะผู้นี้ประจักษ์สิ่งใด”

พจน์เงยหน้าสบตาเจ้าหนุ่มรูปงาม มาตะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยรอยโศกให้เลือนหาย ภายในหัวไม่มีสิ่งใดนอกจากดวงหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

“ข้าแลเห็นครึ่งหนึ่งชีวิตของตัวยืนทรงกายอยู่เบื้องหน้าในเพลาชั่วแล่นนั้น” จูบซับหน้าผาก พร้อมกุมมือพจน์ไว้ในอ้อมหัตถ์ “หากมาตะผู้นี้ปลิดชีพควักดวงใจตัวพิสูจน์ความจริงใจแล้วไซร้ มีหรือที่อีกครึ่งชีวีนั้นจักมิเจ็บเจียนตายเสมอพร้อมด้วยกัน เห็นดั่งนั้นจึ่งมิอาจกระทำให้น้องท่านเจ็บประหนึ่งถูกควักดวงใจได้ นั่นแลคือสิ่งซึ่งมาตะผู้นี้ประจักษ์แจ้ง”

คำพูดมาตะส่งผลให้หัวใจพจน์เต้นเร็วและแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งชุ่มชื่นยินดีดุจดั่งฝนพร่างพร่มลงกลางใจกังขารกแล้งให้ฉ่ำเย็น แลเสมือนยาดีกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้เดือดพล่านสูงสุด พร้อมปลุกไฟภายในให้ลุกโชนยิ่งกว่าถูกจุมพิตเมื่อแรกต้น

“นายทำให้เรารู้สึก....” พจน์ไม่เคยปั่นป่วนร้อนกายเท่านี้มาก่อน ไม่ใช่เพราะพิษไข้ แต่เพียงมาตะสัมผัสผิวกายพจน์ ณ จุดใดก็ให้รู้สึกสั่นเทิ้มสะท้านทั่วร่าง จึ่งรีบก้มหน้าทันทีไม่อาจขยับเขยื้อนไปทิศทางใดได้

“น้องท่าน เป็นกระไร มิสบายกระนั้นฤา” มาตะพิจารณาอาการพจน์ผิดแผกต่างจากปกติ แลเล็งเห็นอารมณ์กลับคืนสงบดีด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้วจึ่งหยอกถาม
 
“มาตะ อื้ม...” พจน์ผละถอยห่างรวดเร็วเมื่อถูกแตะท่อนแขน แล้วปลุกบางสิ่งที่ไม่ควรตื่นขึ้นเพียงแค่สัมผัส “มีบางอย่างไม่ปกติ เอ่อ ถ้านายจะออกไปรอข้างนอก...”

“ข้าตกปากรับคำน้องท่านแล้วว่าจักมิปล่อยให้อยู่โดยเดียวเป็นเด็ดขาดในราตรีนี้ หากน้องท่านยังสงสัยในความซื่อตรงของมาตะ โปรด...” มาตะรวบรัดข้อมือพจน์ไว้ และสิ่งไม่คาดคิดจึ่งเกิดขึ้น พจน์ไม่อาจทานทนคำร่ำร้องในกายได้ เพียงมาตะสัมผัสสัดส่วนใด ไฟในกายก่อเกิดยิ่งเป็นทวี จุดซ่อนเร้นก็ขึงขังปวดร้าวอัดแน่นทุกครั้งจนไม่อาจระงับกิริยาน่าอายไว้ได้ ตวัดแขนโน้มเหนี่ยวลำคอหนาขยับเข้าใกล้แล้วประกบริมฝีปากระงับความต้องการ ความเร่าร้อนถูกสะกดลงเพียงครู่เมื่อถูกสัมผัส แต่กลับลุกโชนยิ่งกว่าเดิม จนปลุกความรู้สึกซึ่งถูกความยับยั้งชั่งใจของมาตะปิดกั้นไว้ให้พังทลายลง

“ภัทรพจน์ น้องท่าน หาก...อื้ม” ครั้นเห็นกิริยาผิดวิสัยปกติของคนรัก พยายามร้องท้วงสติ แต่พจน์เหมือนถูกถ้อยคำจริงใจของมาตะครอบงำ เลื่อนจากริมฝีปากประทับจูบลงลำคอเรื่อยลงมาถึงกล้ามอก พร้อมกระชากผ้าคล้องไหล่ออกรวดเร็วอย่างขัดใจ

“นายต้องช่วยเรา อ้า...มาตะ คำพูดนายทำเราร้อนไปหมดเลย” พจน์หอบหายใจ แล้วปิดปากมาตะด้วยปากตน ลิ้นร้อนหยอกล้อกันพัลวัน

“น้องท่าน โปรดแจ้ง...” มาตะอาศัยจังหวะสูดอากาศหายใจสำลักห้าม

“อย่าพูด” พจน์ละจากยอดอกปิดปากมาตะอีกครั้ง จนปลุกห้วงอารมณ์ของอีกฝ่ายให้ลุกโชนจนไม่อาจฝืนทน เจ้าหนุ่มกล้ามหนาจึงผลักพจน์ทอดกายลงยี่ภู่บนตั่งไม้ เหลือบแลดวงหน้าแดงของพจน์ด้วยหัวใจเต้นระทึกไหว

“ทำให้เราหายร้อนที มาตะ เราต้องการนาย ต้องการ...”

เพลิงราคะถูกปลุกขึ้นแล้วและร่างกายพจน์ก็ชวนให้ใหลหลงยิ่งกว่าธรรมดาเป็นทวีคูณ เพียงแตะสัมผัส ณ จุดใด เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลก็ร้องครวญคำหวานสุดหักห้าม ยิ่งมาตะมอบริมฝีปากร้อนสัมผัสยอดอกแข็งขืน เจ้าตัวก็ยกลอยตามการเคลื่อนไหวสร้างขวัญกำลังใจแก่มาตะยิ่งนัก แม้นบรรยากาศภายนอกเย็นสบายแต่ห้องหับซึ่งเด็กหนุ่มทั้งคู่นอนเอนกายอยู่กลับเร่าร้อนราวไฟสุม

“น้องท่านต้องการสิ่งใด โปรดแจ้งมาตะคนเขลาให้รู้ด้วยเถิด” เห็นสีหน้าทรมานสุดทานทน จนมาตะอดหยอกเย้ามิได้ ทำทีจักละกายถอยหนี ก็ถูกมือเรียวไขว่คว้าดึงรั้งไว้ไม่ไกลห่าง

“มาตะ เราต้องการนาย นาย...คนเดียว ครึ่ง...ครึ่งชีวิตของพจน์” พจน์สำลักความเสียวกระสันผสานคำพูด เกร็งตั้งแต่ส่วนกลางลำตัวถึงหน้าท้อง “มอบให้เราคนเดียวนะ นะ นะ มาตะ นะ นะ”

สีหน้าออดอ้อนร้องขอผสมถ้อยคำแผ่วเบามีหรือที่จะมิทำลายเกราะกำแพงใจของคนเบื้องบน วงแขนนูนกระชับโอบช้อนกายพจน์ให้ประทับนั่งบนหน้าขา ภูษานุ่งห่มเลื่อนแหวกออกเผยเรียวขาขาวของแต่ละฝ่าย ยิ่งสัมผัสเสียดสีกันต่อกันยิ่งทำให้สติของพจน์แทบจะหลุดเลือนออกจากร่าง เร่งเปลื้องเครื่องทรงด้วยมือสั่นเทา แรงหอบหายใจผสานกันเป็นจังหวะสอดคล้อง มาตะยกสะโพกพจน์ให้อีกฝ่ายอยู่ในตำแหน่งเหมาะสม ชกฉิมยอดอกชมพูกระตุ้นเสียงครวญ เบิกช่องทางหวานด้วยนิ้วมือครั้งใดก็เรียกเสียงครวญจากภัทรพจน์ทบทวี อารมณ์แลรักผนึกด้วยแรงกำดัดวัยหนุ่มรุ่นมิอาจทนฝืนอัดอั้นก็สอดส่ายของสำคัญเชื่อมผสานคนทั้งคู่ประดุจใจดวงเดียว

อัศจรรย์ผืนดินถิ่นรกแล้ง
แตกระแหงริ้วรอยเพราะขาดฝน
สิ้นไร้ป่าพฤกษาระทมทน
เพียงหยาดชลหนึ่งน้อยพลอยเปรมปรีดิ์

พลันเพลิงกาฬรุกรามตามยอดหญ้า
พร้อมลมพาพัดโหมโรมรุกหนี
ต้นสู่ต้นยืนตายวายชีวี
ขุดรากลึกเผาปฐพีร้อนในทรวง

แผ่นดินไหม้แสบซ่านพาลร้อนรุ่ม
ดั่งไฟสุมทิ่มแทรกแยกสุดสรวง
อกแม่พระธรณีปริ่มแดดวง
ดุจทะลวงดาบคมจมดวงมาลย์

เบื้องพิภพบาดาลสำราญสุข
รับรู้ทุกข์เวทนาน่าสงสาร
ผาดผุดน้ำฉ่ำชื่นรื่นกลางลาน
ทะลักล้นวาบหวานเช่นตาลทราย

พจน์เผลอตัวกรีดร้องจนต้องยกมือปิดปากในทันใด เมื่อวินาทีแห่งความสุขสมของแต่ละฝ่ายถึงฝั่งฝัน หยาดเหงื่อเกาะพราวราวน้ำค้างทั่วผิวหนังเปล่าเปลือย ผ้าคล้องไหล่แลผ้านุ่งต่างสีเลื่อนหลุดยับย่นแลช่วยซับหยดเหงื่ออันเร่าร้อนเป็นการดี มาตะประคองพจน์ทอดกายลงบนยี่ภู่ หอบหายใจแรงราวกับวิ่งออกกำลังกายมา เลื่อนนิ้วเกลี่ยเส้นผมให้พ้นจากดวงหน้าหวาน

“ในพิภพนี้จะมีสิ่งใดหวานเสมอสิริโฉม ฤา ผิวกายเปล่งปลั่ง แลรสรักจากน้องท่านไม่ ภัทรพจน์เอย มาตะคนซื่อยอมมอบกายแลใจบริสุทธิ์ฝากไว้แก่ตัวท่านแล้วเพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ความสัตย์ซื่อซ้ำในครานี้ ข้าเพียงขอสดับยินคำหนึ่งซึ่งน้องท่านยังมิกล่าวฝากไว้ให้ชื่นจิต”

“อะ..อะไรเหรอ” พจน์หอบตัวโยน หัวใจแทบจะทะลักล้นออกมานอกอก

“คำหวานหนึ่งเดียวที่มิอาจเปรียบความหวานซึ่งได้รับจากบทบรรเลงเพลง คือ น้องท่านรักมาตะผู้นี้ ฤา ไม่”

พจน์แทบไม่ต้องใช้ความคิดใด เพราะหัวใจเต้นโครมครามของตัวแทบจะร้องกู่ก้องยืนยันคำตอบอยู่แล้ว

“รักสิ รัก...และภักดีต่อนายคนเดียวเท่านั้น มาตะ"


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-04-2016 11:15:25 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ Fenfen2537

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ขอเม้น เพราะสะพรึง "คำหวาน" มาตะมากๆ ถ้าโดนจีบแบบนั้นคง :a5: :a5: :a5:
แต่บทกลอน เข้าพระเข้านาง หื่นจรุงง คนเขียนแต่งเก่งงงง นึกถึงกลอนขุนแผนอึบสาว 555

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

โอ้ยยยยยยยยยยยยย งื้ออออออออออ! คือเขินมาก มันหวานมาก เลี่ยนมาก และเร่าร้อนมากพอกัน นอนๆอ่านไปก็ขนลุกซู่ หน้านี่ร้อนเลยค่ะ ต้องกรีดร้องอัดหมอนเพราะกลัวแม่ด่าว่าเสียงดัง(ฮา)

 :o8: :o8: :o8:

ออฟไลน์ zoochi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
นี่อ่านไปด้วยหน้านิ่งๆ แต่ใจนี่เต้นแรงมากกกกกกก อะไรมันจะ...ฮึ่ม!...ฮึ่มม!!!!

วารีดำเนิน 5555 :haun4: :haun4:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
เย้ พจน์บอกรักได้เต็มปากแล้ว

ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ช่างกล้าเรียกตัวเองว่า "มาตะคนซื่อ" ไอ้เจ้าเล่ห์!
 :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ runtothemoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หวานมากกกกกกกกกก :katai2-1:

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๒๑



สุริยะพจน์

   

กลิ่นหอมหวนคลับคล้ายดอกลีลาวดีตลบอบอวลทั่วทุกอณูอากาศ ผสานลมหายใจรุ่มร้อนอันผ่อนเปลื้องจากเรือนกายของสองหนุ่ม ก่อเกิดเป็นรสสุคนธ์หวานชื่นดุจกลิ่นรสทิพย์จากสรวงสวรรค์ จนมาตะอดที่จักยับยั้งใจจรดปลายจมูกสูดสัมผัสรสหวานจากผิวกายขาวของภัทรพจน์ไว้ประดับนาสิกมิได้ พจน์เห็นกิริยาเจ้าหนุ่มล่ำสันมีอาการสั่นวะวาบมิต่างจากตนแลกระทำดอมดมกลิ่นกายตัวกระนั้น อดสะเทิ้นอายแลปลื้มปริ่มใจคับอก เพียงมาตะสูดเนื้อนวล ณ จุดใดก็สำแดงสีหน้าสุขล้นยิ่งกว่าเก่า สมรภูมิรักเพิ่งผ่านพ้นแต่กำลังกายพจน์เหมือนกล้าแข็งขึ้นทบทวี ผิดประหลาดจนน่าพิศวง เรี่ยวแรงอันควรอ่อนล้าหลังร่วมกามกิจมีหรือที่จักแช่มชื่นทรงพลังขนาดนี้ ซ้ำยังไม่รู้สึกเจ็บปวดช่องทางเบื้องหลังมากเท่าครั้งแรก เมื่อมาตะขยับถอยออกด้วยดวงหน้าอาวรณ์ ร่างกายพจน์ก็ตอบสนองบีบรัดเสมือนมิอยากให้ขยับห่าง ความเจ็บไม่มีหนำซ้ำยังมากเรี่ยวแรงเช่นนี้ สะท้อนความทรงจำเมื่อแรกร่วมรักกับมาตะ ครั้งนั้นพจน์นิมิตเห็นบุรุษผู้หนึ่งร่างกายกำยำมีใบหน้ามิต่างจากตน เอ่ยคำหนึ่งซึ่งตรึงจิตอยู่ในห้วงความคิด
 
ข้าทรงพลังยิ่งกว่าทวีคูณ นายข้า

มีบางอย่างกำลังเกิดขึ้นในร่างกายพจน์ เขารับรู้ได้ หากจะบอกว่าแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม กระฉับกระเฉงพร้อมทั้งสดชื่นทุกครั้งที่....เอ่อ ได้ทำเรื่องอย่างว่าก็คงไม่ผิดนัก

ครั้นคำพูดของมาตะสะท้อนน้ำใจซื่อตรงต่อพจน์ จนจุดความกระสันในวัยหนุ่มให้ลุกโชนได้นั้นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเสียงลึกลับในหัวจากบุรุษชุดขาวเป็นแน่ มาตรว่าพจน์จะปฏิเสธว่าเบื้องลึกในใจหาได้ยินยอมพร้อมประพฤติกิริยาน่าอายชักชวนให้มาตะกระทำการร่วมกันก็พูดไม่ได้เต็มปาก ด้วยส่วนเสี้ยวหนึ่งของหัวใจยอมทอดกายแลชีวิตให้คนเบื้องบนนี้ ไม่ว่าเจ้านั่นจะร้องขอสิ่งใดก็ตาม เขารู้ใจตัวเองแน่วแน่แล้วในวินาทีฉุกละหุกยื้อยุดอาวุธอยู่นั้น พจน์เห็นภาพเหตุการณ์ภายภาคหน้า หากไม่มีมาตะ ชีวิตตนจะดำรงอยู่ได้อย่างไร และนั่นทำให้เขาค้นพบคำตอบที่เจ้ามาตะถาม ความรักเอยความรัก....มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

“กิริยาน้องท่านชวนลุ่มหลงยิ่งนัก” มาตะวาดรอยยิ้มกว้างข่มใจระงับฤทธิ์รัก “ประเดี๋ยวแย้มสรวล ประเดี๋ยวก็หายใจสะท้าน จนมาตะอดที่จักยินดีคิดเข้าข้างตัวมิได้ว่า การอันลงมือทุ่มเทปฏิบัติปลอบขวัญด้วยกำลังแรงกายแลใจนี้ต้องใจน้องท่านมากน้อยเพียงไร จึ่งผลิผลให้น้องท่านสำแดงอาการประหนึ่งเย้ายวนแลเหมือนประสงค์จักให้มาตะผู้นี้ปรนนิบัติรับใช้ท่านอีกคราหนึ่งกระนั้น”

พจน์สังเกตคำพูดและท่าทีแนบชิดของเจ้ามาตะก็ล่วงรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังขุดหลุมให้ตัวหลงตกไปในเล่ห์กลเป็นแน่จึ่งแสร้งทำสีหน้าอ่อนแรงแลไม่ทันคำ พลางว่า

“ขอโทษที่ทำให้นายต้องทำแบบนี้ เป็นความผิดของเราเองที่จู่ๆก็ชักนำให้นายทำในสิ่งไม่ปรารถนา ช่างน่าอาย การปลอบขวัญที่นายว่านั้นถือว่าเป็นบุญคุณอย่างที่สุด ตอนนั้นจิตใจเราอ่อนล้ามาก หากจะให้นายฝืนใจมาปลอบขวัญซ้ำทั้งที่เราตั้งมั่นในใจแล้วว่าจะรักและภักดี  คือซื่อตรงต่อจิตใจนาย จะมาบังคับกะเกณฑ์ฝืนใจก็ดูไม่ให้เกียรติคำพูดมากนัก” พจน์ผินหน้ามองแสงเดือนลอดผ่านหน้าต่างตกกระทบพื้นห้องตีสีหน้านิ่งเฉย

ชั่วครู่เงียบงันถูกทำลายด้วยเสียงหัวเราะห้าวของมาตะ ดุจคำพูดพจน์เป็นเรื่องตลกขบขันสุดกลั้น จนเจ้าตัวต้องหยัดกายขึ้นนั่งเสมอกัน มองท่วงทีหัวเราะจนตัวโก่งด้วยแววตาฉงน

“นายหัวเราะเรื่องอะไร”

“ต้นสายปลายเหตุอันปลุกเสียงหัวเราะจากปากมาตะนี้นั้นล้วนมาจากตัวข้าเองเสียสิ้น คำน้องท่านกล่าวหาได้เป็นเหตุระคายหูไม่ แต่มานึกตรึกตรองเอากับตัวเองซ้ำหนหนึ่งจึ่งคิดเปรียบได้ว่า ยามเมื่อนกน้อยถูกนำมาเลี้ยงในกรงเมื่อแรกต้นจะหาได้ยินยอมพร้อมใจเสมออาศัยอยู่ในป่าดงไม่ จึงสำแดงอาการหวาดระแวงซ้ำดิ้นรนถอยหนีจากมือนายผู้ครอบครอง ด้วยสัณชาตญาณสัตว์ปีกผู้ดำรงวิถีอิสระไม่เคยต้องน้ำมือมนุษย์ก็สร้างรอยแผลกระหน่ำจิกตีป้องกันตัวพัลวัน ครั้นนานวันเข้าเจ้าของเวียนให้ข้าวปลาอาหารพร้อมด้วยน้ำสะอาดอย่างดีเป็นกิจวัตรเคยตัว อาการดิ้นรนหวาดกลัวก็จืดจาง ซ้ำถูกมือหนาเวียนลูบปลอบอยู่หลายครั้งหลายหนก็เคยมือ ยอมอ่อนโอนแลประพฤติคุ้นชินเป็นปกติเช่นอยู่ในดงป่าฉันใด คำน้องท่านนี้ก็ประหนึ่งถูกถ้อยความสำบัดสำนวนของข้าเวียนลูบปลอบอยู่หลายหน จนเคยชินกับคำโอ้โลมโดยทะลุปรุโปร่งฉันนั้น แลมาประสบคำน้องท่านโต้ตะกี้ จึ่งรู้ว่านกน้อยในอ้อมหัตถ์บัดนี้เคยชินกับมืออุ่นแลประพฤติตัวเป็นปกติไม่ต่างจากเผ่าพงศ์วงศ์เดียวกันแล้ว จึงเอ่ยคำแฝงกลเป็นท่าทีชั้นเชิงซับซ้อน ก็ให้อดหวัวขำขันมิได้”

พจน์สะดุ้งเหมือนเล่นซ่อนหาแล้วถูกจับได้ แต่จิตใจตั้งมั่นอยากเอาคืนไม่ให้มาตะทำความประสงค์มีมากล้น จึ่งยังคงตีสีหน้าอ่อนแรงแลฉงนอยู่

“ทำไมนายถึงคิดว่าเราคุ้นเคยกับสำนวนนายล่ะ มาตะ ทักษะคารมนายมีชั้นเชิงเหมือนคำครู แต่คำพูดเราทุกสิ่งล้วนพูดมาจากใจทั้งสิ้นเหมือนวาจาศิษย์ผู้ต่ำตอย จะมีเคลือบแฝงเล่ห์กล ถึงขั้นยกเปรียบเทียบเคียงนั้นทำไม่ได้ นกแม้จะเคยคุ้นกับมือมนุษย์ก็จริง แต่จิตใจอิสระก็ยังคงมีอยู่ มีหรือที่จะหลงกลในอาหารข้าวปลา สักวันก็คงแสดงท่าทีของสัตว์ปีกที่ต้องการเป็นอิสระในที่สุด”

คราวนี้เจ้ามาตะหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม จนพจน์เกรงว่าจะมีใครภายนอกอาจได้ยินเสียงจึ่งรีบค่อมตะครุบปิดปากเจ้านั่นให้เงียบลง กลับกลายเป็นท่วงท่าหวาดเสียวสำหรับคนทั้งคู่ คำหัวเราะเมื่อแรกเริ่มดังขันมาต้องเนื้อนวลของภัทรพจน์เผื่อแผ่ผิวกายเนียนขึ้นคล่อมหน้าตักเปล่าเปลือยของตนซ้ำ เหมือนพญาเสือโคร่งพินิจเห็นเนื้อสมันเดินเยื้องย่างข้ามเขตมาสู่อาณาจักรตน ก็สงบปากคำเสียในทันใด ด้วยเกรงเหยื่ออันโอชะจักเตลิดไปไกล พจน์แลเห็นมาตะเงียบเสียงรวดเร็วดั่งนั้นจึงผละฝ่ามือออก และรับรู้ในทันทีว่าได้ล่วงล้ำเข้าสู่เขตอันตรายด้วยเพราะไม่ระวัง คิดจะขยับกายถอยหนีก็พลาดพลั้งเสียรู้ ด้วยคู่แขนล่ำโอบสะโพกไว้แน่นหนา ยิ่งขยับก็ยิ่งรัดรึงแน่นขนัดประหนึ่งงูรัดเหยื่อ

“มาตะปล่อยเราก่อน” ขยับขืนส่งเสียงประท้วงแผ่วเบา

“ก็แหละบัดนี้น้องท่านมีฝีปากกล้าเฉียบแหลมเปรียบเหมือนมีคมอาวุธคู่กายอย่างหนึ่งได้แล้วดั่งนี้ จงรู้ใช้มาปกป้องตัวสักคราจักเป็นไร ผิว์วาจาน้องท่านมีคุณถึงขนาดเอาชนะคำของมาตะแล้วไซร้ จำเราจักยอมปล่อยให้รอดจากเงื้อมมือ แลครั้งใดคำเจรจาน้องท่านพ่ายแพ้ จุมพิตนั่นแลจักเป็นรางวัลของมาตะ” กระซิบกกหูจนลมหายใจร้อนส่งผลให้ผิวหน้าเห่อแดง ทำทีขัดขืนจากอ้อมกอดทั้งที่รู้ว่าไร้ผล แต่พจน์อับจนหนทางด้วยไม่รู้จะปะทะแลชนะคารมคนสัดทัดเล่ห์นี้ได้อย่างไร

“ภัทรพจน์เอย บัดนี้มาตะเหมือนคนยากถูกทอดทิ้งอยู่ท่ามกลางผืนดินรกแล้งแตกระแหง ผินหน้าแลมองไปทิศทางใดก็ประสบแต่ไม้ผลยืนต้นตาย สิ้นชีวาวายกระทั่งสรรพสัตว์ เพลาวันหนึ่งบังเกิดมีน้ำผุดขึ้นมาจากเบื้องบาดาลช่วยประทังชีวิตตัวให้ยืดยาวไปสักระยะหนึ่ง จึ่งวาดฝันวาดหวังเพิ่มพูนกำลังใจว่าหนทางเบื้องหน้านั้นคงจักมีแหล่งธารใหญ่รอคอยอยู่เป็นแน่ ครั้นมาประจักษ์ว่าแท้จริงแล้วน้ำซึ่งผุดขึ้นมาในคราแรกก่อเกิดจากความเมตตาของดวงสุริยะเบื้องบนยอมผ่อนปรนให้หยาดฝนพร่างพรมไว้ก่อนหน้า ก็แหละความเมตตานั้นจักมีใครกำหนดเกิดขึ้นก็หาไม่ หยาดลงเหมือนเม็ดฝนฉ่ำชื่นใจ แลไฉนจึ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว วานดวงสุริยะเบื้องหน้ามาตะนี้ช่วยแจ้งแถลงไขด้วยเถิดเจ้า”

ในใจพจน์หวั่นพะวงพ่ายแพ้แต่ทิฐิมานะสูงกว่า ครั้นหรือจะยอมปฏิเสธชิงชัยในสนามประลองวาจาก็เหมือนลายอมทรุดกายตั้งแต่ยังไม่ได้เดินทาง แต่ใจหนึ่งอยากเอาชนะคนมากคำให้ลิ้มรสเสียท่าสักครั้ง เหมือนไม่เห็นหนทางอื่นจึ่งทำใจดีสู้เสือเจรจาความกลับ

“ในเมื่อผืนดินแห้งแล้งมีหยาดฝนหล่นลงเป็นแหล่งน้ำเพียงหนึ่ง ก็มากคุณมากค่านับอนันต์ต่อสัตว์โลกแล้ว จะมาหวังสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้เบื้องหน้านั้นควรอยู่หรือ” พจน์เชิดหน้าตอบอย่างมั่นใจ พอกล่าวจบมาตะก็ชกชิมรสหวานจากปากพจน์ทันที

“ทำไมนายถึง....” พจน์ร้องประท้วงทันทีเมื่อมาตะถอนจูบออก

“น้องท่านเปรียบดั่งดวงพระอาทิตย์ แลเมื่อเป็นเช่นนั้นโปรดจงยกอกของน้องท่านเข้าเทียบองค์สุริยะเสมอกันแล้วจึ่งตอบแก่สัตว์โลกผู้ต่ำต้อยด้อยค่า แหละเมื่อความเป็นจริงทุกสรรพสิ่งดำรงอยู่ได้ก็ด้วยความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลสามัคคีกัน จึ่งก่อเกิดเป็นพิภพโลกาดำเนินต่อกันมานับอสงไขย แลเมื่อมาตะเป็นแต่เพียงมนุษย์ท่ามกลางผืนดินแห้ง แหละมีแหล่งน้ำเกิดขึ้นด้วยหยาดฝนครั้งหนึ่งแล้ว ตามวิถีธรรมชาติเป็นวัฏจักรกาลเวลา จำต้องล่วงผ่านสู่วสัตฤดูเป็นแม่นมั่น เมื่อความจริงของโลกเป็นดั่งนี้ หยาดวสันต์มีหรือที่จักตกเพียงหนึ่งครั้งในรอบปี เมื่อเกิดแล้วก็จักตกให้ฉ่ำชื่นฤดีปลุกพรรณพฤกษาให้งอกงามตามวีถีธรรมชาติดำรงสืบต่อไปไม่มีสิ้นสุดเป็นเช่นนี้กาลนาน น้องท่านเห็นจริงตามข้า ฤา ไม่ จุมพิตอันเป็นรางวัลของมาตะจึ่งได้มาเพราะเหตุนี้เป็นปฐม”

พจน์คิดตามก็เห็นจริงดังว่าเผลอตัวพยักหน้าอย่างลืมตัว ครั้นมาเห็นแววตาคมเข้มเขม้นมองอยู่ก็แก้เก้อด้วยการผลักอกหนาพลางขยับจากท่วงท่าอันตรายสู่ปกติ เห็นอับจนปัญญาจักตอบโต้ได้ก็นึกรู้ว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่แล้ว จึ่งนั่งนิ่งเสีย

“ไยน้องท่านมามีอาการดุจน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉะนี้ โบราณท่านว่าการรบยังมิสิ้นสุดอย่าพึงนับศพทหาร โอกาสแก้ตัวนั้นยังมีอยู่ วาจานั้นหากจักยกว่าเป็นศาสตร์หนึ่งเทียบเคียงศิลปศาสตร์ก็อาจกล่าวได้ ด้วยทั้งมีคุณแลโทษ ด้วยเหตุนั้นจึ่งก่อกำเนิดอัครราชทูตเจริญสัมพันธไมตรีเป็นตำแหน่งสำคัญ โดยอาศัยคำพูดเป็นดั่งหอกดาบเช่นนี้ ทั้งเป็นเครื่องสื่อสารถ้อยความสู่กันแลกัน ผสานเป็นโวหารคำกลอนไพเราะเสนาะโสต ดั่งท่านว่า ถ้อยทีถ้อยอาศัย ลิ้นของมาตะนี้จักกล่าวคำใดก็คิดโดยละเอียดถี่ถ้วน ครั้นมาปะน้องท่านเหมือนดั่งทารกอมมือฝึกหัดพูดมีเชิงชั้นคราแรกฉะนี้จึ่งคะนองปากไม่ออมแรง อภัยเถิดโปรดละสีหน้าเศร้าจักเป็นคุณอย่างสูง” ฝ่ายมาตะลอบเห็นท่าทีคนรักสำนึกรู้พ่ายแพ้เช่นนั้นจึ่งปลอบโยนด้วยน้ำคำ ฉวยมือไว้แนบอก “ประสงค์แท้จริงหวังหยอกเย้าตามประสาอารมณ์ดี โปรดผ่อนสีหน้าบึ้งลงนั่นเถิดหนา ใจมาตะจักได้คลายวิตกลง”

พจน์เห็นคำปลอบมาตะพ่วงท่าทีอ่อนน้อมก็รู้สึกต้องอารมณ์แต่เก็บงำเสีย พลางว่า

“แล้วจะตัดสินยังไงว่าเราแพ้นายหรือยังไม่แพ้”

“อย่างสุดท้ายนี่แล้วจักเป็นคะแนนตัดสินทักษะวาจา วานน้องท่านใคร่ครวญให้จงดีเถิด ดวงอาทิตย์เฉิดฉันพันขอบฟ้า ใจเมตตามากล้นพ้นเวหน มาโปรดสัตว์ฉายแสงทุกตัวคน ตะวันรอนอาบฝนใจอุ่นกาย น้องท่านรู้ ฤา ไม่ กลอนบทนี้หมายถึงอะไร”

รอยยิ้มกว้างผสานใบหน้ารูปงามเฝ้ารอคำตอบจากพจน์ เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลลองทบทวนกลอนสี่สุภาพนั้นอีกครั้งก็ให้รู้สึกเห่อร้อนขึ้นหน้าทันควัน พลางส่ายไหวปฏิเสธกลบเกลื่อน

“เรายอมแพ้ ไม่เล่นแล้ว นายจะทำอะไรก็ตามใจเถอะ แต่จะให้เราพูดคำตอบนั้นไม่มีทาง” พจน์เขยิบถอยห่างได้นิดเดียวก็ถูกมือหนาคว้าเอวดึงรั้งเข้าหาตัว มาตะจูบลาดไหล่เปล่าเปลือยเป็นรางวัลปลอบความร้อนในกายที่ระอุขึ้นมาอีกครั้ง

“เชิญตอบเถิดหนาเจ้า หากน้องท่านตอบถูกต้องในครานี้ ความพ่ายแพ้นั่นแล้วจักมาสู่มาตะ แลน้องท่านจักรอดพ้นมิต้องเจ็บตัวซ้ำอีกหน”

สีหน้าเศร้าแต่แววตาระยิบระยับขยิ่มใจ ล่อหลอกชักจูงพจน์ให้จนมุมทุกหนทาง เขาส่ายหน้า หวังให้บางสิ่งในกายส่งกำลังแรงกล้าหาญมาเช่นเมื่อถูกปลุกด้วยคำพูดของมาตะ แต่บัดนี้มีแต่ความสงบเยือกเย็นและความกระดากอายกัดกินหน้า เมื่อจวนตัวพจน์จึ่งก้มลงคางชิดอก ฝามือหยาบลูบโลมเนื้อนวลกระตุ้นคำตอบ

“ไม่...”

มาตะกระพริบตาเป็นจังหวะเชื่องช้าปั้นหน้าแกล้งสงสัยจนน่าหมั่นไส้

“มาตะรู้ว่าน้องท่านเฉลียวฉลาดเชี่ยวชาญทักษะโวหารโคลงกลอนเป็นเอก กลอนสี่สุภาพธรรมดาเช่นนี้มีหรือที่จักมิรู้ความนัยซ่อนอยู่ ทว่าแท้จริงแล้วน้องท่านเจตนาประสงค์ให้ข้าเป็นพนักงานปรนนิบัติบำเรอซ้ำมาแต่แรกแล้วหากแต่แสร้งทำทีเอ่ยอ้างเพราะเขินอาย พอสบช่องก็ต้อนมาตะให้ต้องกลยังจักถูก ฤา ไม่”

“ไม่ใช่สักหน่อย นายต่างหากที่ซ้อนกลเรา คนไม่ดี” พจน์ได้โอกาสดีทุบตีไปที่แผงอกนูน แต่หาเจ็บสะเทือนไม่ มาตะหลุดยิ้มพึงใจจนไม่อาจบังคับฝืนกลั้น

“น้องท่านโปรดเพลามือแต่พองาม มาตะรู้แล้วว่าฝีปากฝึกหัดนี้ยังอ่อนทักษะมากนัก แต่ความน่ารักน่าชังต่างหากนี้เล่าที่ทลายฝีปากกล้าของข้าให้เชื่องราวกับช้างถูกควาญสับขอ มาตะนี้ต่างหากที่พ่ายแพ้น้องท่านตั้งแต่ยังมิได้เอ่ยความสิ่งใดโปรดจงรับรู้ไว้ด้วยเถิด ดวงสุริยะของข้า ดวง-ใจ-มา-ตะ

เพียงคำตอบนั้นหลุดออกมาจากผู้ตั้งคำถาม พจน์ก็ไร้แรงขัดขืนใดๆอีก พยักหน้ายินยอมให้ใบหน้าเว้าวอนได้ริมรสจากยอดอกหวานชื่นใจอีกครั้งจนสุดกลั้นเสียงครวญไว้ได้


****************************************

บุรุษร่างกำยำทรงเครื่องประดับแพรวพรรณด้วยทองคำเหลืองอร่าม บังเกิดเสียงกระทบเป็นจังหวะก้าวย่าง นุ่งห่มภูษาสีทองงามจับตา แลผ่อนฝีเท้าลงเมื่อดำเนินมาถึงตำหนักพระที่ทรงดนตรี สบเห็นแสงอัจกลับทอลอดมาตามบานหน้าต่างซึ่งเปิดรับลม จึ่งรู้ว่ามีคนที่ตามหาอยู่ในนั้น ด้วยเสียงซออู้ดังก้องสะท้อนไปถึงฝ่ายใน อดใจที่จะมาร่วมประชันฝีมือมิได้ ครั้นมาถึงปลายขั้นบันไดสดับยินเสียงสนทนาพาทีก่อความนึกคิดสงสัย จึงหุนหันผลักบานพระทวารเข้าไปในทันใด


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:16:08 โดย LoveBlueSky2203 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
ตายแน่ๆล่ะคราวนี้  คงไม่มีการตัดหัวกันหรอกนะ  เป็นนิยายในรอบปีเลยที่น่าสนใจและน่าติดตามมาก นานๆทีจะมีนิยายแนวที่ชอบมา ขออย่างเดียวโปรดแต่งให้จบอย่าหนีกายไปไหน  เพราะนิยายที่ถูกใจจริงๆแบบเรื่องนี้หาอ่านยากมาก  และนานๆทีจะมีสักเรื่อง  และอีกอย่างนิยายที่ชอบมากคนแต่งมักจะแต่งไม่จบและหนีหายไปเลย เช่น  ดวงใจรามสรู  รองไปอ่านดูเผื่อจะชอบกัน  ดวงใจหมาป่า  เรื่องนี้เหมือนหลายปีมาแล้ว  มันหายไปพร้อมกันคนแต่ง  เสียดายมาก  ส่วนเรื่องนี้คงไม่ทำให้ผิดหวังนะครับ  แต่เรื่องนี้มีบ้างจุดที่ทำให้คนอ่านงง  คือภาษาคำพูด  มันดูสวยงามแต่บ้างครั้งมันทำให้งงและตีความไม่แตกบ้าง

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]


ฝ่ายมาตะมีทักษะหูไวกว่าคนทั้งปวง ด้วยฝึกฝนศิลปศาสตร์เพลงดาบโดยอาศัยการปิดตาเพื่อสดับการเคลื่อนไหวของศัตรูจนช่ำชอง หว่างการเล้าโลมปลุกอารมณ์คนรักให้เคลิบเคลิ้มด้วยรอยจูบตน บังเกิดแว่วยินฝีเท้าดังมาแต่ซุ้มประตูกำแพงแก้ว พร้อมด้วยเสียงสังวาลย์สายกระทบเข็มขัดเป็นจังหวะชัดเจนใกล้เข้ามาสู่สำนักพระที่ทรงดนตรีฉะนั้น เห็นมิพ้นผู้มียศศักดิ์สูงเป็นแน่แท้ ด้วยเหตุสำนักดนตรีแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานฝ่ายวังหน้า ผู้เข้านอกออกใน ฤา สามารถเหยียบย่างสู่เขตหวงห้ามในเพลาดึกสงัดได้นอกกว่าทหารมหาดเล็กรับใช้ใกล้ชิดแล้วมิเห็นตัวคนอื่นอีก คะเนดั่งนั้นจึ่งละจูบจากลำคอระหง

“น้องท่านอย่าหาว่ามาตะนี้ชั่วช้า กระทำรัดเฟ้นต้อนอารมณ์เราสองจนใกล้ถึงจุดพิศวาสแล้วมารั้งรอหยุดยั้งฉะนี้ เหมือนหนึ่งอ้อยกำลังเข้าปากช้างแต่นายควาญก็ละออกเสีย อารมณ์น้องท่านนี้แล่นโลดถึงเพียงไหนโปรดระงับไว้ชั่วครู่หนึ่งเถิด” มาตะกล่าวด้วยหน้าสำนึกผิด อารมณ์พจน์เมื่อแรกต้นนอกกว่ารุ่มร้อนราวไฟสุมเป็นไม่มี แลมาเห็นกิริยาผละจากรวดเร็วดั่งถูกพิษร้อนก็ให้ฉงน อารมณ์เพลิงเย็นลงตามลำดับ ขยับนั่งเคียงคู่จนเห็นแววตระหนก

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า”

“เพลานี้จักมีสิ่งใดมาฉุดรั้งให้มาตะหยุดกระทำการปรนนิบัติดูแลน้องท่านให้ถึงขนาดนั้นเป็นไม่มี นอกเสียจากว่าห่างออกไปภายนอกนี้ประมาณสองร้อยวา มีคนดำเนินล่วงเข้ามาเขตสำนักดนตรีแห่งที่เราทอดกายอยู่ ก่อเป็นอุปสรรคขวากหนามให้มาตะจำต้องละรอยปาก แลวิตกอยู่เพียงสิ่งเดียวว่าเพลานี้ อารมณ์น้องท่านเป็นปรกติดีหรือไม่ หากการละจากก่อเป็นโทสะครุ่นแค้นขึ้นในใจแล้ว มาตะก็จักระงับโดยปรนนิบัติน้องท่านต่อ แลมิพะวักพะวงการอันคนนอกมาเห็นแต่อย่างใด”

พจน์ได้ยินเช่นนั้นก็สะดุ้งเพราะประสาทการรับรู้ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากความเงียบ ทว่าจะคิดเป็นเล่ห์กระเท่อย่างหนึ่งของเจ้ามาตะก็สบเห็นท่าทีเครียดเป็นจริงเป็นจังจึงอดหวาดเกรงไม่ได้

“ถ้ามีคนกำลังมาจริง นายจะมาสนทำไมกับอารมณ์ของเราล่ะ” พจน์คว้าผ้าสีขาวของตัวซึ่งเลื่อนหลุดออกจากกายท่อนล่างมาบรรจงนุ่มห่มมือสั่น มาตะเห็นท่าทีเงอะงะประสาซื่อมิรู้จักตลบภูษาพันกายอย่างไรก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เอ็นดูเอื้อมผูกให้สำเร็จโดยเร็วพลางว่า

“ก็แหละน้องท่านคือยอดชีวิตยอดดวงใจของมาตะดั่งนี้ จะหยุดยั้ง ฤา ปลุกโอ้โลมตามแต่อารมณ์ตัวเป็นที่ตั้งนั้นเหมาะควรอยู่หรือ น้องท่านรักข้าแลเรารักกันแลกันดุจคนๆเดียวกันแล้ว หากมิห่วงอารมณ์ของคนในอ้อมอกอ้อมใจก็ถือว่าชั่วช้ายิ่งนัก” พจน์ถูกมาตะแต่งตัวกลับคืนได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ ก่อนเจ้าตัวจะหันไปจัดการเครื่องนุ่งห่มของตนเอง

“แล้วจะทำยังไงดี เป็นเพื่อนนายสองคนที่เคยเจอ หรือว่าใครอื่น ถ้าเกิดเห็นเราอยู่ร่วมห้องด้วยคงสงสัยแน่” พจน์เหลียวมองโดยรอบนอกจากเครื่องดนตรีนานาชนิดซึ่งส่วนใหญ่มีขนาดเล็กตั้งวางห่างสลับกันอยู่แวดล้อมแล้วไม่มีสิ่งอื่นที่จะเป็นแหล่งกำบังกายได้เลย
 
“ด้วยรูปโฉมรัญจวนใจของน้องท่าน งดงามราวรูปสลักเทพ ณ สรวงสวรรค์ ใครพบเห็นยังมิทันเจรจาความก็ต้องใจคนผู้นั้นได้ไม่ยาก หากจักเป็นดาบก็เหมือนดาบสองคม คมหนึ่งนั้นเป็นที่ชื่นตาชื่นใจแก่มาตะ ทว่าอีกคมหนึ่งนั้นก็เหมือนทิ่มแทงมาตะเช่นกัน ดั่งนี้เชิญน้องท่านหลบอยู่เบื้องหลังฉากลับแลสลักลายพรรณพฤกษาเบื้องหลังตั่งนี้ก่อนเถิด หากถึงเวลาเหมาะควรแล้วจักเชิญมาทำความรู้จัก”

บัดนี้เสียงฝีเท้าคนย่ำลงเชิงบันไดยินชัดเจนแน่แท้ พจน์อยากจะโต้คำเรื่องรูปหน้าอันเป็นเหตุให้เจ้ามาตะต้องขับไสไปหลบซ่อนหลังฉากกั้น ก็สะดุ้งทำตามโดยเร็ว เขาหล่อเถอะ ไม่ใช่สวยสักหน่อย ใบหน้าแบบนี้ในโลกปัจจุบันผู้หญิงชอบนัก ไม่งั้นพจน์จะได้ของขวัญจากรุ่นน้องสาวๆไม่ซ้ำกันทุกสัปดาห์เหรอ พอค้อนควักให้เจ้ามาตะแล้วจึงรีบปลีกตัวหลบอยู่หลังฉากลับแลทันที เป็นจังหวะที่บุคคลที่สามผลักประตูพรวดพราดเข้ามา

ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับมาตะและพจน์ถลันเข้าสู่ภายใน ใบหน้ารูปงามมิต่างจากมาตะ คิ้วเข้มหนาเหมือนมีคนเอาสีดำมาป้ายไว้ได้รูปทรงรับกับดวงตาสองชั้นกว้าง จมูกโด่งสูง ริมฝีปากบาง คางเรียวยาว กึ่งกลางหน้าผากมนฝังหยดน้ำสีทองบรรจุอัญมณีสีเขียว รูปลักษณ์สง่าโอ่อ่าผ่าเผย ลำตัวล่ำสันบึกบึนเสมอมาตะ ทั้งกล้ามอก กล้ามท้อง แขนหรือขา ปรากฏรอยชัดเจนเหมือนคนออกกำลังกายมาอย่างดี ตกแต่งภูษาสีทองทั้งผ้านุ่งแลอาภรณ์คล้องไหล่ ขับผิวขาวให้กระจ่างเด่นชัด สังวาลย์สายห้อยสลับผลัดซ้ายขวา สวมกำไลทองต้องตารัดกล้ามแขนราวกับจะปริแตก พร้อมด้วยข้อมือและข้อเท้า แต่ที่ต่างจากมาตะชัดเจนคือห้อยต่างหูรูปกรวยทั้งสองข้าง สวมมงกุฏครอบศีรษะวิจิตรตะการตา วาดรอยยิ้มกว้างทันทีเมื่อเห็นมาตะนั่งอยู่

“มาตะ น้องเรา” เสียงทุ้มกว้างทักอีกฝ่าย มาตะฟุบกายลงพื้นยังมิทันจะก้มกราบตามความตั้งใจก็ถูกคนผู้มาใหม่ดึงรั้งไว้ด้วยกำลัง “เหตุไฉนมากระทำการก้มกราบเราเหมือนคนมิเคยรู้จักกันฉะนั้น”

มาตะทำหน้านิ่งยามปกติวิสัย ย่อกายลงบนตั่งตามแรงบังคับ เจ้าคนชุดทองก็นั่งเคียงเสมอกันแล้วตบไหล่ดูสนิทชิดเชื้อ มาตะกระพุ่มมือเคารพ แล้วว่า

“ด้วยใต้ฝ่าพระบาทเป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ดำรงศักดิ์ถึงขั้นพระมหาอุปราชา ขัตติยประเพณีสืบแต่โบราณมา บัญญัติให้ข้าฝ่าพระบาทควรน้อมกราบอย่าช้าที”

เจ้าของตำแหน่งอุปราชทรงพระสรวลเสียงดัง ตรัสว่า

“คำน้องเราวันนี้ผิดแผกจากปกติเมื่อพบปะนัก เราสองคนต่างเติบกล้าจำเริญวัยมาด้วยกัน นับถือเป็นพี่เป็นน้องดุจร่วมอุทร จะมีวันใดที่มาตะน้องเรากล่าวถึงเชื้อสาย แลหรือตำแหน่งแห่งที่ทำราชการอยู่นั้นมิเคยพบ แลมาสบคำราชาศัพท์อันมีแต่คนอื่นเป็นผู้กล่าว บังเกิดขึ้นจากปากน้องเราซ้ำ จึ่งอดสงสัยมิได้ ราตรีนี้เกิดสิ่งใดขึ้นจึ่งชักนำให้มาตะน้องร่วมวงศ์เรา มาทำประหนึ่งต่ำศักดิ์กว่าเราเช่นนี้ ฤา”

“หามิได้” มาตะสวนคำกลับรวดเร็ว “เอ่อ...หากแต่ทุกสิ่งล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น แลมาพบพระองค์...” มหาอุปราชหนุ่มส่งเสียงกระแอมแสร้งตีหน้าพิโรธ “แลมาพบพี่ท่านปัจจุบันทันด่วนกระนั้นเผลอตัว เจียมตนสำนึกถึงฐานะรากเหง้าแท้จริงจำเดิม คำใดกล่าวมิต้องใจพี่ท่าน วานละทิ้งเสีย”

“อายุเราห่างกันเพียงสองขวบปีนับเราเป็นพี่นั่นถูกแล้ว คราวใดน้องเรากล่าวคำ พระองค์ หรือ ใต้ฝ่าพระบาท ซ้ำอีกหนในภายภาคหน้า ความน้อยใจนั่นแล้วจักเป็นเครื่องทำร้ายพี่ ก่อนแม่เจ้าพาน้องท่านมาร่วมเล่นด้วยกันเมื่อครั้งยังเยาว์ จะมีคำไหนซึ่งมาตะน้องเราเรียกขานนอกจาก สุริยะ แล้วเป็นไม่มี ครั้นพระราชเทวีบังเกิดได้ยินด้วยวิสัยสตรีศักดิ์สูงยึดขนบประเพณีกฎมนเทียรแต่โบราณเป็นที่ตั้ง คือ ห้ามมิให้ออกพระนามแพร่งพราย จึ่งบังคับเจ้าให้เรียก พี่ แทน บัดนั้นจึ่งกลายเป็นเรียกพี่ทุกครั้งไป”

มาตะกลายสภาพเป็นคนนิ่งเงียบไร้คำ เมื่อเทียบกับอีกฝ่ายที่พูดฉะฉานราวกับไม่เคยเจรจามาก่อน

“สุริยะ นี่แล้วเป็นนามแต่กำเนิดอันได้รับพระราชทานมาแต่พระเจ้าอยู่หัว ครั้นต่อมาสถาปนาเลื่อนยศเป็นพระมหาอุปราชเจ้าวังหน้า จึ่งปรากฏนามในพระสุพรรณบัฏใหม่ว่า อาทิตยาธร แต่ครั้งใดใครเอ่ยเรียกนามเดิม สุริยะ พี่กลับรู้สึกยินดีทุกคราไป ก็แหละด้วยนามนี้อีกเช่นกัน อันพระอาจารย์โกสินธพครูเราเป็นผู้คิดตั้ง พระเจ้าอยู่หัวเห็นพ้องจึ่งพระราชทานมาสถิตเป็นชื่อเรา ครั้นวันก่อนความอยากรู้มากมีพอกพูนมาหลายขวบปี พี่วอนเซ้าซี้ครูเราให้อรรถาธิบายเบื้องลึกความนัยหมายชื่อ เฝ้าเวียนพัดวีปรนนิบัติเอาเป็นธุระอยู่นานหลายเพลา พราหมณ์ผู้เฒ่าจึ่งยอมใจอ่อน อธิบายความทั้งสิ้นทั้งปวงให้คลายสงสัย

 ‘วันประสูติของใต้ฝ่าพระบาทเป็นเพลาสุริยะกลด บังเกิดรัศมีเป็นวงล้อมเลี้ยวลดรอบดวงพระอาทิตย์เป็นที่อัศจรรย์แก่อาณาประชาราษฎร์ เนื่องเพราะพระราชเทวีเจ็บพระครรภ์มาแต่ยามย่ำรุ่งแต่ยังมิบังเกิดพระสูติการเป็นที่ปริวิตกแก่พระญาติพระวงศ์โดยถ้วนหน้า อาตมันเห็นเป็นนิมิตประหลาดแลสดับยินทหารรับใช้มาแจ้งการว่า พระเจ้าอยู่หัวให้เรียกหา จึ่งดำเนินสู่พระราชวังหลวงมิช้าที หว่างทางฉนวนกับตำหนักพระประสูติการนั้น อาตมันเห็นสมันตัวหนึ่งร่างกายล่ำสันมีเขาเกี่ยวกระหวัดงดงามสูงชะรูด นัยน์ตาอันควรเป็นสีดำกลับเป็นสีเดียวกับผิวตัว ย่างเยื้องและเล็มยอดหญ้าอ่อนอยู่ในอุทยานนั้น มิได้ตระหนกตกใจแก่ผู้คนซึ่งพากันเฝ้ามองแม้แต่น้อย แลมิอาจล่วงรู้ว่าเหตุผลกลใดสัตว์ชนิดนี้จึ่งเล็ดลอดเข้ามาถึงพระราชฐานฝ่ายในได้ เสียงเจ็บท้องของพระราชเทวียังคงดังแว่วมาจากพระที่นั่ง พลันสมันตัวนั้นบังเกิดเงี่ยหูฟัง ก่อนจักแหงนหน้าจ้องดวงอาทิตย์ทรงกลดพร้อมหลุดอ้าปากร้องเป็นคำว่า “พจน์” ชัดเจนไปถึงห้องประสูติกาล บังเกิดให้ทารกในพระครรภ์ถือกำเนิดเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่คนทุกผู้ ท่ามกล่างความยินดีของพนักงานนางกำนัล สมันตัวนั้นก็เลือนหายลี้ลับราวกับมิเคยมีอยู่ อาตมันเล่าถวายพระเจ้าอยู่หัว เห็นเป็นนิมิตอัศจรรย์ จึ่งถวายพระนามว่า สุริยะ ตามดวงพระอาทิตย์ทรงกลดในวันมงคลนั้น แต่ปริศนาคำอันสมันตัวนั้นกล่าวว่า พจน์ ยากเกินกว่าอาตมันจักทูลถวาย เหตุการณ์นี้นี่เล่าจึ่งเป็นที่มาของพระนามของพระองค์’

พี่ติดใจเงื่อนงำสมันร้องเป็นถ้อยวาจาภาษามนุษย์มาแต่นั้น แลเพลาค่ำนี้บังเกิดหวนขุดเรื่องเดิมขึ้นมาอีก นั่งตรึกตรองอยู่หลายชั่วยามมิเห็นหนทางสว่าง พอดีเสียงซอคำหวานดังสะท้านถึงตำหนักฝ่ายใน รู้ว่าเป็นฝีมือมาตะน้องเราแน่แท้จึ่งเร่งมาหา ด้วยหวังอยากปะหน้าและเฉลียวคิดได้ว่าน้องเราไวปัญญาเจนจัดเลิศล้ำเป็นทุนเดิม ปริศนานิมิตในวันกำเนิดพี่นี้ น้องเราอาจไขออกก็เป็นได้จึ่งเร่งฝีเท้ามาหา”

มาตะได้ฟังความโดยตลอดก็เอะใจ หน้าซึ่งนิ่งขรึมอยู่แล้วก็ตึงเครียดขึ้นทันควัน ฝ่ายพระมหาอุปราชเห็นคนข้างเคียงนิ่งเงียบตรึกตรองอยู่นาน ทั้งขมวดคิ้วมุ่นเป็นที่วิตกว่าจักนำเรื่องยากมาทำลายอารมณ์คนผู้น้องเสียแล้วจึ่งออกปากร้องห้ามทันที

“การอันพี่ไหว้วานปรึกษาเมื่อครู่ ถือเสียว่าเป็นความเล่าสู่กันแลกันยามปกติเถิด ก็แหละครูท่านบำเพ็ญพรตถือศีลมายาวนานยังมิอาจไขถอนได้แล้ว ฆราวาสเช่นเราสองอันเป็นปุถุชนธรรมดาไฉนเลยจักอาจเอื้อมแก้กลได้ จงผ่อนปรนปล่อยวางเสียเถิด มาตะ น้องเรา แลอีกเหตุหนึ่งที่พี่ด่วนเร่งมาหาก็ด้วยมีใจอยากประชันซอให้ถึงขนาดดอก วานน้องท่านหยิบซออู้คู่กายพี่มาบรรเลงลบความข้องในหูให้เลือนหายเสียเถิด”
 
มาตะดำริตามคำร้องของอุปราชชั่วครู่ อดหวั่นเกรงสิ่งที่บังเกิดขึ้นในใจมิได้ ความในอกอัดอั้นฉันใดก็ปรากฏสู่ใบหน้าทั้งสิ้น แลถูกมหาอุปราชชักชวนเลี่ยงไปซ้อมดนตรีจึ่งถอนใจทำตามเสียมิได้ ขณะเจ้าหนุ่มทั้งคู่ขยับขันสีเป็นท่วงทำนองสอดคล้องเสนาะโสต สุริยะผู้พี่จึ่งกล่าวความสลับกันไปมิให้ขาดการสนทนา

“ก็แหละวันนี้เราเข้าเฝ้าเสด็จแม่ที่ตำหนักฝ่ายใน ณ พระราชวังหลวง หลังเสร็จกิจออกว่าราชการของพระเจ้าอยู่หัวแล้ว สุขภาพแม่เราเป็นปรกติดี แต่สีหน้าหนักอกเป็นพิรุธชัดแจ้งอยู่เต็มตา พี่จึ่งออกปากถามความในใต้เบื้องพระพักตร์ พระนางจึ่งดำรัสตรัสว่า
 
‘เพลานี้จักว่าสุขกายเทียบชั้นถึงขั้นบริบูรณ์นั้นมีอยู่ แต่ความสุขในใจเทียบชั้นถึงขั้นขัดสน พระมหาอุปราชราชบุตรเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน มีราชกิจมากล้นนั้นรู้อยู่ นานครั้งจึ่งเข้าพระที่มาปะหน้ากันหนหนึ่งนั้นคะเนว่าหนึ่งครั้งในปักษ์ แลหนท้ายซึ่งเห็นเราว่ามีสุขก็ล่วงผ่านมาเกือบสิบห้าทิวาราตรีดั่งนี้ ก็แหละการห้ามราชรถพระอาทิตย์มิให้เสด็จพ้นจากขอบฟ้านั้นยากฉันใด หว่างกลางเพลาล่วงจักมิบังเกิดเหตุอันก่อความให้ไม่สบายใจขึ้นก็ยากเย็นฉันนั้น พอสดับยินคำกล่าวเหมือนมีเหตุทุกข์ร้อนก่อขึ้นในอกมารดาผู้ให้กำเนิดเช่นนั้น ตริแล้วจึ่งพยักหน้าขับให้ข้าหลวงที่ปฏิบัติพัดวีอยู่แวดล้อมล่นถอยออกไปก่อน ครั้นปรากฏอยู่สองต่อสองแล้ว จึ่งเอ่ยปากทูลถามพระราชมารดาซ้ำอีกหน พระราชเทวีเห็นเหตุสบช่องที่จะเปลื้องทุกข์ออกจากอกได้จึ่งมิพักออมแรง ระบายความทั้งสิ้นทั้งปวงสู่ราชบุตรในทันใด การอันเป็นเหตุให้แม่นี้หนักอกบังเกิดขึ้นสองประการ หนึ่งคือความคิดถึงอันเกิดแก่ผู้ที่ได้ชื่อว่าครองฐานะสตรีแลแม่ ก็แหละมหาอุปราชราชบุตรถึงนานครั้งจักมาให้สบเห็นหน้าให้คลายระลึกถึง แต่ก็ยังเสด็จมาหาเป็นกิจวัตรเสมอต้น ความอยากพบหน้ามีมากล้นเช่นไร ก็ลดทอนลงได้เมื่อแลเห็น แต่ตัวเรานี้คงสร้างทัณฑกรรมหนักมาแต่ชาติปางก่อนหรือไร จึ่งเป็นที่น่ากลัวแลหรือเป็นที่รังเกียจจนราชบุตรอีกคนมิอยากมาให้เห็นแลพบหน้า แม้แต่เพียงเงากายก็ไม่เคยพบนับได้ครบไตรมาศนี่แล้ว’”

“ข้า...” มาตะเอ่ยคำหนึ่งคัดค้าน แต่ถูกสุริยะมหาอุปราชกระแอมขัดคอให้เงียบความเสียก่อน

“น้องเราอย่าเพ่อด่วนแก้ความ โปรดฟังจบให้สิ้นถ้อยกระบวนก่อนเถิด”
 
“พระราชมารดารำพันพลางกันแสงพลางจนพระอุปราชจำต้องซักความตื้นลึกซ้ำว่า ไยพระมารดาจึ่งตรัสเช่นนั้น พระเมตตาท่วมท้นจนข้าราชบริพารแวดล้อมต่างสรรเสริญทราบซึ้งทั่วทุกตัวคน อีกทั้งพระสิริโฉมนั้นเล่าก็งดงามมิมีผู้ใดเปรียบ ด้วยเหตุทั้งสิ้นนี้จึ่งมิควรที่พระมารดาจักมาวิตกว่าเป็นต้นเหตุ พระราชเทวีได้ยินราชบุตรยกเหตุมาล้างคำตนบังเกิดความชื่นใจขึ้นมากประมาณ แต่จะหักลบความเศร้าอันเกิดจากความคิดถึงนั้นให้เลือนหายมิได้หมด จึงรำพึงว่า เช่นนั้นจักด้วยเราเป็นมารดาแต่ในนามกระมัง พระราชบุตรบุญธรรมผู้นั้นจึ่งมิเห็นความคิดถึงตามประสาแม่ จึ่งได้ทอดทิ้งให้เราทนทรมานอยู่เช่นนี้ พระมหาอุปราชหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็อดพระสรวลมิได้ พระราชเทวีเห็นกิริยาราชบุตรอุปราชผิดไปจากคะเน ก็กันแสงซ้ำตรัสว่า ดูเอ๋ย กระทั่งบุตรจากอุทรตัวยังประพฤติเห็นเป็นเรื่องขบขัน วันใดเจ้ารู้สึกคิดถึงเจียนสิ้นชีวาวายกับตัวนั่นแล้ว มหาอุปราชบุตรเราจึ่งประจักษ์รู้แจ้งเห็นจริง
 
อาทิตยาธรอุปราชตรัสตอบว่า ไยเสด็จแม่จึ่งมากล่าวร้ายด้วยข้า ความผิดทั้งหมดล้วนเกิดจากอนุชาเราต่างหาก แลบัดนี้ข้าพระองค์กลายเป็นคนผู้นั้นแลเหมือนได้รับโทษทัณฑ์แทนมิต่างกัน เอาเถิดจักว่าเป็นความผิดของกระหม่อมก็ย่อมถูก ด้วยลูกเป็นเหตุให้พระราชบุตรบุญธรรมฝึกปรือในกิจการงานมหาดเล็กให้เชี่ยวชาญทักษะราชการรอบด้าน ตำแหน่งยศศักดิ์ใดในการครองฐานะราชบุตรบุญธรรมจึ่งวางละเสีย เข้าสวมกอดฐานะมหาดเล็กมาจักได้ครบสามเดือนได้แล้วดั่งนี้ จึ่งมิอาจนำตัวมาทูลถวายพระแม่ท่านได้ พระราชเทวีได้ยินดั่งนั้นเหมือนเมฆหมอกบังตาเลือนหาย แลมาแจ้งว่าบุตรตัวอีกคนมามีอันเป็นมหาดเล็กเช่นนั้นจึ่งเบาใจคลายโศก แลว่า พระมหาอุปราชราชบุตรไฉนเลยถึงลดศักดิ์อนุชาร่วมวงศ์โดยมิได้กราบทูลแม่ ฤา พระเจ้าอยู่หัว จนก่อเป็นความหนักอกเช่นนี้ เฝ้าแต่คิดไปข้างว่าบุตรอันตัวนำมาชุบเลี้ยงรังเกียจตนจนไม่อาจพาตัวมาเข้าเฝ้า เป็นเหตุให้ผิดใจกลัดอก เหมาะควรอยู่หรือ สุริยะราชบุตรแย้มโอษฐ์ตรัสว่า การทั้งนี้ล้วนเป็นความประสงค์ของอนุชาเราทั้งสิ้นจะมีการบังคับกะเกณฑ์ก็หาไม่ ด้วยต้องการละฐานะราชบุตรบุญธรรมไว้บนที่สูง ประพฤติตนเหมือนเช่นราษฎรสามัญแต่ดั้งเดิม ทั้งต้องการเรียนรู้ราชการงานเมืองให้ครบทุกกรมกองเช่นนี้ ลูกจึ่งอดที่จักยินดีแลพร้อมสนับสนุนมิได้ พระราชเทวีได้ยินความทั้งสิ้นทั้งปวงค่อยคลายใจ ตรัสว่า เช่นนั้นพระอุปราชราชบุตรโปรดแจ้งลูกเราอีกคนว่า บัดนี้แม่ในตำหนักหลวงเรียกหา อยากพบปะหน้าสักคราให้คลายความคิดถึง โปรดละตำแหน่งมหาดเล็ก นำตนมาสู่อ้อมอกอ้อมกอดให้สตรีผู้นี้ยลโฉม ซักถามสารทุกข์สุขดิบสักเพลาหนึ่งจักเป็นคุณอย่างสูง
 
พระมหาอุปราชก็รับคำ แลว่ายังมีประการสองในอันเป็นข้อให้พระมารดาหนักอกนั้นจักเป็นเรื่องใด ฤา พระราชเทวีสดับยินคำถามเมื่อแรกหน้าชื่นตาบานก็กลับปริวิตกซ้ำอีก ตรัสว่า มีความหนึ่งบังเกิดขึ้นมาร้อนหูเราเป็นข้อใหญ่ ซ้ำเจ้าตัวยังวอนว่ามิให้เอ่ยนามแพร่งพรายแก่ผู้ใด ด้วยความอันนำมาสู่เรานั้นทุกข์ยิ่งกว่าเมื่อข้อแรก เหตุเพราะมีข่าวลือว่า อนุชาบุญธรรมของเจ้าถูกต้องกลเสน่ห์ พระอุปราชหลุดคำ ‘ต้องกลเสน่ห์’ ซ้ำสุดจะเชื่อ ด้วยไม่คิดว่าจักได้ยินคำนี้มาก่อนล่วงหน้า แล้วว่า พระมารดาเอาสิ่งใดมายืนยันคำกล่าวนี้จนพาลให้เชื่อถือ พระราชเทวีตรัสว่า ผู้ที่กล่าวได้เห็นมากับตาตนเอง ซ้ำยังถูกอนุชาเจ้าเมินเฉยห่างเหินไม่เหมือนเก่า มีทีท่าลุ่มหลงเมามัวแต่กับผู้อื่นจนผิดจากปกติวิสัย สุริยะอุปราชซักต่อว่า รูปการณ์เพียงแต่เท่านั้นยังมิอาจปลงใจเชื่อได้ว่าถูกต้องกล จงละการณ์นี้ไว้เป็นธุระลูก สบช่องจักหาลู่ทางเลียบเคียง วานพระมารดายกทุกข์นี้เป็นกิจหน้าที่ของลูกเอง แลเมื่อได้ความใดคืบหน้าจักนำคำมาสนองโดยเร็ว พระราชเทวีแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า เห็นพระมหาอุปราชราชบุตรรับคำหนักแน่นเช่นนี้ค่อยเบาใจ เกรงก็แต่คนผู้มาทูลนั้นจักเศร้าเสียใจหนักจนทุกข์ยิ่งกว่าแม่ ด้วยหมายตาหมายใจนางผู้นั้นไว้แล้วว่าจักได้ไว้เป็นคู่ครองเสกสมรสกับอนุชาเจ้าในภายภาคหน้า’


เรื่องราวตื้นลึกเป็นมาดั่งนี้ เจ้าจักแก้ต่างชำระความเช่นไร มาตะ น้องพี่” อาทิตยาธรอุปราชตรัสจบพร้อมเชิญคำถามสู่คนข้างเคียง

กล่าวถึงพจน์ซุ่มหลบอยู่หลังฉากลับแลได้ยินคำเจรจาทุกอย่างชัดเจนเหมือนหนึ่งนั่งอยู่เคียงข้าง ลำดับเทียบเคียงเรื่องราวมาแต่ท่าทางกระทำคารวการของมาตะจนไปสู่ฐานะสูงศักดิ์ของผู้มาถึง แลลักษณะความสัมพันธ์ทั้งคู่บ่งว่าสนิทชิดเชื้อทางวาจาและกาย ในชั้นแรกได้ฟังที่มาของพระนามของอุปราชผู้นี้ก็นึกฉุกใจขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกว่าปริศนาคำพูดของสมันตัวนั้นแสดงให้เห็นความใด ต่อมาพระอุปราชสุริยะกล่าวถึงถ้อยความครั้งเมื่อได้เข้าเฝ้าพระมารดา ก็บังเกิดเค้าความสงสัยผุดขึ้นในใจซ้ำอีกหนว่า บุคคลที่สามอันถูกกล่าวถึงคือผู้ใด แม้ในใจปรากฏชื่อหนึ่งขึ้นมาก็หักลงเสียโดยอ้างว่าคงเป็นไปไม่ได้ แต่ในท้ายที่สุดเรื่องราวคำกล่าวหาที่ว่าถูกต้องกลเสน่ห์โดยมีผู้นำความมากราบทูลนั้นคลับคล้ายเหมือนพจน์ปรากฏอยู่ในเหตุการณ์นั้นแต่เป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว จนมาในยินคำท้ายซึ่งถูกโยนกลับให้มาตะจึ่งพบว่า บุคคลซึ่งเป็นถึงพระราชบุตรบุญธรรม และถูกหมายมั่นไว้แล้วว่าจะแต่งงานกับหญิงสาวในอนาคตข้างหน้า คือ มาตะ นั่นเอง
 
เมื่อความจริงปรากฏชัดแจ้ง ความรู้สึกอย่างหนึ่งผุดขึ้นในใจพจน์

นายจะเป็นคนเดียวใช่ไหมที่ไม่โกหกเรา มาตะ

พลังแรงกายซึ่งเคยกล้าแข็งก่อนหน้าแทบเหือดหายในบัดดลนำพาให้พจน์โซซัดซวนเซเอนชนกลองชาตรีจนไม้ตีล่วงหล่นกระทบพื้นบังเกิดเสียงดังขึ้นในทันใด

“ผู้ใดอยู่ตรงนั้น จงเร่งออกมาอย่าช้าที”

พระมหาอุปราชสุริยะผุดลุกตวาดถาม พจน์หยัดกายยืนทรงให้ตั้งตรง ไม่อยากทำให้มาตะเดือนร้อนแต่ก็พลาดเผลอซุ่มซ่ามก่อเหตุขึ้นจนได้ เมื่อไร้หนทางหลบเลี่ยงจึ่งจำต้องก้าวเท้าออกมาจากหลังฉากกั้น ครั้นใบหน้าต้องแสงอัจกลับปรากฏสู่ดวงเนตรของพระมหาอุปราชาหนุ่ม ยังมิทันที่พจน์หรือมาตะจะเอ่ยคำใด หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ก็ตรัสถามโดยพลัน

“นะ...นามของเจ้า ชื่อเสียงเรียงนามของเจ้า โปรดแจ้งข้าบัดเดี๋ยวนี้”

พจน์พยายามหลบสายตาของมาตะ เพราะเมื่อสบดวงตาคมนั้นครั้งใด พจน์ก็รู้สึกเจ็บช้ำทรมานเหลือล้ำ ไม่อาจดำรงกายยืนอยู่ให้ผู้ใดเห็นตัวได้ อีกทั้งเจ้านั่นก็นิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใดปกป้องอย่างเช่นที่เคยออกปาก เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกล่าวตอบคำ

“พจน์...ภัทรพจน์”

เพียงพจน์บอกชื่อ พระมหาอุปราชก็ทำสีหน้าประหนึ่งสุดเหลือเชื่อ หลุดคำแผ่วเบาที่มีแต่องค์เองเท่านั้นได้ยิน

“สุริยะ...พจน์”


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-12-2016 11:09:21 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
มาตะโกหกพจน์ระวังพจน์จะไม่ยอมกลับไปหาอีก
หวังว่าจะไม่เกิดรักหลายเศร้าแย่งชิงพจน์กันนะ :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

เอาแล้ว แล่วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กลายเป็นว่ามีตัวพระเพิ่มมาอีกหนึ่งซะอย่างงั้น
มาตะนี่เป็นราชบุตรบุญธรรมด้วย ว้าววววว
ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันคงต้องบอกว่า หล่อล่ำบ้านรวย(เมียสวยม๊ากๆ) สินะคะ

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
แล้วพจน์จะอธิบายว่าตัวเองเป็นใครยังไงกันเนี่ย ตัวละครโผล่มาอีกหนึ่งแล้ว ท่าจะชอบพจน์แน่ มาตะจะทำยังไง รออ่านตอนหน้า รีบมาต่อไวๆ นะคะ

ออฟไลน์ Robinhood.ha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เป็นนิยายที่ทรงคุณค่าทางภาษาเรื่องหนึ่ง ภาษาสวยงาม เนื้อเรื่องดี เก็บทุกรายละเอียด บ่งบอกถึงความตั้งใจของคนเขียนมากๆ (ถ้าได้หนังสือเรื่องนี้ไว้ในครอบครอง คงจะดีไม่น้อยเลย )ให้กำลังใจคนเขียน... :mc4:

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
ภาษาสวยใกค่ะ!
ชอบๆ
สู้ๆนะคะเป็นกำลังใจให้กับผลงานดีๆเรื่องนี้ค่ะ^^

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
มาติดตามให้กำลังใจ ชอบมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ปุกปิกกุกกิกไปตามสไต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกดีแต่งงนิดๆเพราะไม่เก่งกลอน

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๒๒



มหาราชภัย
   


“ช้าก่อน มหาบุรุษ”
   
กระแสเสียงเฒ่าชราร้องเตือนดังกังวานจนฉุดความสนใจของบุรุษเพศทั้งสามให้หันเหสายตาไปยังบริเวณประตู ณ จุดนั้นปรากฏตัวเป็นร่างชายชราผู้หนึ่ง ผมเผ้าขาวโพลนตลอดทั้งศีรษะ มุ่นเป็นมวยไว้กลางกระหม่อม เช่นเดียวกับหนวดเคราสีเงินยาวถึงกลางอก นุ่งโจงกระเบนห่มผ้าขาวผ่องคล้องคอด้วยลูกประคำสีดำหนึ่งเส้น ไม่มีเครื่องประดับอื่นใดนอกจากนี้ กึ่งกลางหน้าผากวาดสีแดงสดเป็นหยดน้ำ ประกายตาวาวภายใต้คิ้วขาวผ่อง ริ้วรอยยับย่นบนผิวหน้าสีทรายสำแดงถึงความสูงวัย สรีระแม้จะหย่อนยานตามอายุ แต่ยังคงอุดมด้วยกล้ามเนื้อ รูปทรงสูงใหญ่ผิดต่างคนวัยเดียวกัน คือดูกระฉับกระเฉงแคล่วคล่อง  ท่าทีเดินเหินไม่จำเป็นต้องใช้ไม้ค้ำยัน  ดูทรงภูมิความรู้ ทั้งน่าเกรงขาม อดที่จักพนมมือทำคารวการโดนพลัน

“พระอาจารย์”

“ครูท่าน”

มาตะและพระมหาอุปราชสุริยะฟุบกายลงกับพื้นกระทำเคารพนบน้อม

“ลุกขึ้นเถิดมิต้องมากพิธี”

กล่าวพลางก็ดำเนินเชื่องช้ามายังที่ชุมนุม ฝ่ายมาตะและอุปราชสุริยะยินคำพระอาจารย์ตนออกปากผิดวิสัยเช่นนั้นจึ่งดื้อแพ่งคงอิริยาบถไว้ ส่วนพจน์เมื่อแรกคิดว่าไม่อาจยืนทรงกายอยู่บนพิภพนี้ได้ก็รู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างกำลังพาตัวตนกลับคืนสู่โลกปัจจุบัน พลันมาถูกคำร้องท้วงห้ามของพราหมณ์ผู้เฒ่ากู่ร้องเหมือนหนึ่งประกาศิตคำศักดิ์สิทธิ์ อำนาจชักนำจึ่งเสื่อมคลายลง ลองหลับตาหวนนึกถึงบ้านทรงไทยเทพวิมานก็มืดสนิทไร้สิ่งใดในความคิด

“มหาบุรุษท่าน จักหวนคืนกลับด้วยดวงตามืดบอดแลร้าวรานใจเช่นนั้นมิควรก่อน โปรดยืนทรงกายประทับอยู่เบื้องพิภพนี้สักเพลาหนึ่งเถิด”

ฝ่ายอุปราชสบเห็นนัยนาของพระอาจารย์จ้องเจรจาความกับคนอีกผู้หนึ่งที่มิใช่ตนก็พลันตะขิดตะขวงใจ ด้วยบุคคลปริศนามีลักษณะคลับคล้ายคลับคลามหาดเล็กฝ่ายภูษา แอบหลบอยู่หลังฝากั้นนั้นมิเคยพบ แลมาประสบกับตัวแลตาในราตรีเป็นคราแรก พร้อมกับมีคำตอบบางอย่างผุดขึ้นในพระหทัยของพระองค์เป็นที่สะกิดพิศวง ด้วยนามของเจ้าหนุ่มดวงหน้าแฉล้ม ปลุกปริศนาค้างคาให้ตื่นขึ้น

มาตะเหลียวมองภัทรพจน์คนรัก เห็นรอยน้ำตาเปิดเผยเป็นที่เสียดแทงอกตัวเหลือแสน แลมาพบที่มาปริศนาชื่อพระมหาอุปราชเป็นกลทิ่มแทงอก หัวใจมืดบอดมิอาจเห็นทางออกก็อ้ำอึ้งสุดกล่าวคำ ซ้ำมาถูกท่าทีเมินเฉยจากคู่ปฏิพัทธ์ เดาว่าคงเกิดโทสะด้วยงำความตื้นลึกในฐานะตัวไว้ จักกระทำเข้าลูบโลมปลอบโยนเช่นเคยอยู่สองต่อสองก็เกรงจะเป็นที่ครหาตกมาสู่ภัทรพจน์ จึ่งนั่งเก็บคำแลอาการไว้แน่นอก

พจน์เห็นความเจรจามุ่งมาสู่ตัวเช่นนั้นเหมือนถูกจี้ใจด้วยเหล็กร้อน น้ำตาอัดอั้นตันอยู่ก็ปริ่มจะรินไหล แผลใดจะเจ็บเท่าแผลอันเกิดจากผู้ที่เคยไว้ใจลั่นสัตย์สาบานว่าจะไม่มีวันทำร้ายตนด้วยคำโกหกนั้นเป็นไม่มี

“มหาบุรุษท่าน อย่าเพ่อด่วนปลงใจในความอันเพิ่งสดับยิน ก็แหละมาตะผู้ศิษย์อาตมันนี้ จำเดิมเป็นแต่เพียงปุถุชนสามัญธรรมดามาแต่กำเนิด หากแต่ภายหลังทำคุณถึงขนาดด้วยฝีมือเหนือชั้นแก่ข้าทหารทุกผู้ในอาณาจักร จึ่งเป็นที่ต้องตาต้องใจพระเจ้าอยู่หัว ประสงค์นำตัวมาชุบเลี้ยงเป็นพระราชบุตรบุญธรรม แหละการทั้งนี้จักลบล้างกิริยาแลวิสัยติดพื้นสามัญของศิษย์อาตมันก็หาไม่ ความประพฤติเรียบร้อยเสมอราษฎรไพร่ฟ้ามีมากเพียงไรก็ยังคงอยู่เพียงนั้น ตำแหน่งยศศักดิ์อันพึงได้รับเมื่อหนหลังจักมีผลให้เปลี่ยนอุปนิสัยแต่เดิมนั้นมิอาจทำได้ มหาบุรุษเอย หากจักเปรียบศิษย์อาตมันนี้ ก็เหมือนอาชาหนุ่มในไพรพนา ต่อมาออกทักษะปกป้องกษัตริย์สิงหราชเป็นคุณยิ่งชีวิต จึ่งถูกชุบขึ้นมาเป็นบุตรร่วมวงศ์ฉันใด มาตะศิษย์อาตมันก็ยังคงเป็นอาชาตัวเดิมที่อยู่ในป่าดงพงไพรฉันนั้น ตำแหน่งแห่งที่ถูกอวยยศเหมือนเป็นรูปทรัพย์มิอาจแตะต้องได้ ประหนึ่งนามรูปธรรมมีแต่เพียงชื่อ ตัวตนแท้จริงนั้นหรือต่างหากเล่าที่ยังยึดถือเจตนารมณ์ ไม่หลงมัวเมาในอารมณ์ทรัพย์ยศถา ประพฤติตามแต่ฐานาเดิมเป็นกิจ แม้กระทั่งลดตัวมาทำราชการต่ำศักดิ์กว่า แลมิถือสาในเพื่อนพ้องน้องพี่ คลุกคลีเหมือนหนึ่งมิมีฐานะพระราชบุตรบุญธรรมค้ำชีวิตอยู่นี้ ท่านจงตรองเถิดว่า ศิษย์เอกของอาตมันนี้ มีความผิดถึงขั้นมิอาจให้อภัยได้เลยนั้นจักควรอยู่หรือ”

คำพราหมณ์เฒ่าเอ่ยอ้างสอดคล้องเห็นจริง ทั้งท่าทีน่าเกรงขามของผู้ทรงศีล ผสานมากคุณวุฒิแลวัยวุฒิ ทำให้พจน์ค้อมศีรษะพนมมือรับคำ ใจเมื่อได้ยินหะแรกกรุ่นไปด้วยเจ็บช้ำ ซ้ำมาฟังจบสิ้นความก็ทุเลาลง ตรองดูแล้วมิอาจต่อความได้ก็นิ่งเงียบเสีย

“ด้วยการทั้งสิ้นนี้เป็นความผิดของอาตมันเอง คราวเมื่อมาตะนำเรื่องท่านมาปรึกษา จักด้วยสติปัญญาเสื่อมถอย หรือมิอาจเข้าใจวิสัยชีวิตปุถุชนเมื่อรุ่นกำดัด จึ่งพลั้งเผลอคิดเอาแต่ความด่วนได้อยากพิสูจน์น้ำใสใจจริงของท่าน จึ่งออกปากท้วงมาตะว่า อย่าเพ่อเผยฐานะตัวให้ท่านล่วงรู้ จนกว่าจักสบช่องเห็นว่าท่านรักศิษย์เราจริงมิได้คะนึงถึงลาภยศสรรเสริญนั่นแล้ว จึ่งแจ้งการ กรรมหนักใดอันเสี้ยมสอนให้ศิษย์เอกกระทำเหมือนหมิ่นน้ำใจ มหาบุรุษท่าน โปรดจงมาลงเอาที่อาตมันเถิด ด้วยบังเกิดความคิดผิดกมลสันดาน ก่อการเป็นเหตุให้ต้องระทมหม่นหมอง เพียงเพราะอยากพิสูจน์ในสิ่งซึ่งเหนือพรหมณ์จักมิมีอำนาจเอื้อมถึง”

วงหน้าและแววสำนึกผิดนั้นฉายชัดเป็นเหมือนกระจกสะท้อนภาพในใจทั้งหมด แต่พจน์ไม่รู้ว่าสิ่งไหนในตอนนี้ ใครพูดความจริง หรือใครโกหก ยากจักปลงใจเชื่อ หากเป็นความจริงดังคำพราหมณ์เฒ่าว่า มาตะก็ไม่ผิด แต่คำโกหกจะหาได้เจ็บช้ำเท่ากว่าการได้ยินว่า ชายคู่รักกำลังถูกมารดาหมายใจให้ได้ครองคู่กับหญิงสาวอื่นในเบื้องหน้านั้นยังคงกัดกินอกอยู่ ยากที่จะมองสบตามาตะได้สนิทใจ

“ความจริงใจทั้งมวลจากปากอาตมัน ฤา จักเทียบกับความจริงในใจของมาตะศิษย์รักนั้น มิอาจยกเทียบได้เช่นไร การยกเขาพระสุเมรุด้วยกำลังมือเปล่าก็มิอาจทำได้เช่นนั้น”

บัดนี้อาจารย์พราหมณ์ผู้เฒ่ายืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าพจน์โดยที่มาตะแลพระมหาอุปราชคุกเข่าพนมมืออยู่เคียงข้าง พจน์ฟังคำซ้ำลองชั่งน้ำหนักประโยคแก้ต่างจากอาจารย์ของมาตะแล้ว ความโกรธเต็มร้อยก็ลดลงเหลือประมาณกึ่งหนึ่ง ขยับจะทรุดกายลงทำความเคารพน้อมกราบก็ถูกพราหมณ์โกสินธพเอื้อมมือมาดึงรั้งไว้

“ดูก่อน มหาบุรุษ บัดนี้หัวใจมัวหมองคงปลดเปลื้องทุกข์ลงไม่มากก็น้อยแล้ว อาตมันยังมิได้เผยตัวตามฐานะ นามสมณะอันผู้คนต่างเรียกขานคือ โกสินธพมหาพราหมณ์ราชครู แหละมาเห็นกิริยานอบน้อมของท่านจึ่งฉุกคิดในเบื้องลึกได้ว่า ไฉนเลยตนซึ่งเป็นแต่เพียงสังขารหนึ่งล่วงผ่านใกล้ถึงฝั่งแล้ว มายืนอรรถาธิบายโดยยึดอายุและสมณเพศว่าอยู่เหนือคนทั้งปวง ยังมิเร่งควรกระทำการคารวะมหาบุรุษท่าน ให้สมกับที่ตั้งตารอคอยมาตราบชั่วชีวิตจะหาไม่นี่แล้ว โปรดเชิญท่านยืนประทับให้เป็นสง่า แลรอรับการบูชาจากอาตมันมิให้เสียชาติเกิดสักคราเถิด”

กล่าวเสร็จก็ทรุดกายลงรวดเร็ว พระมหาอุปราชเห็นกิริยาทั้งคำพูดสรรเสริญคนแปลกหน้าของอาจารย์ตัวผิดแผกนับแต่แรกต้นแล้ว มาต้องท่าทีประหนึ่งนำของสูงมาแลกของต่ำดั่งนั้น ก็ผุดลุกเร่งพยุงกายพราหมณ์ผู้ทรงศีลให้ยืนเป็นที่เคารพดังเดิม ด้วยอารมณ์โทสะขึ้นหน้าเดือดดาลเห็นการมิควร จึ่งตวาดเสียงดังว่า

“ไยมหาดเล็กต่ำศักดิ์เบื้องหน้านี้ควรหรือที่จะปั้นตัวเป็นเสาหลักให้พราหมณ์ผู้เฒ่าก้มกราบเหมือนมิรู้จักบาปบุญคุณโทษ แล้วมิหนำยังลอยหน้าลอยตามิรู้สำนึกห้ามปราม ตัวอายุต่ำกว่าควรหรือจักให้ผู้สืบทอดศาสนา ดำรงฐานาวรรณสูงก้มกราบ หัวจักหลุดจากบ่ายังมิรู้ตัว”

หะแรกพจน์ยังมิทันฉุกใจว่าพราหมณ์มากวุฒิจักคิดก้มกราบจริง เห็นสิ้นคำแลกระทำแน่ดังนั้นตื่นตะลึงขยับจะยื้อยุด แต่ถูกมหาอุปราชหนุ่มรั้งไว้ได้ทันก่อนก็โล่งใจ ด้วยมิควรเลยที่ผู้ใหญ่จะมากราบผู้น้อยเช่นนั้น หนำซ้ำมาต้องคำตวาดชี้ความผิดตนเป็นที่อึงคะนึงก็ฮึดสู้ ละจริตนอบน้อมสวนกลับทันทีมิได้ว่า

“เป็นความผิดจริงตามที่นายว่า หากพราหมณ์ผู้นี้ก้มกราบเราซึ่งอายุน้อยกว่า แต่เราเห็นแล้วกำลังจะเข้าไปพยุงห้าม นายก็เข้ามาช่วยก่อน หาว่าเรายืนนิ่งไม่ทำอะไร คิดให้ดีก่อนสิว่า เรานี้แต่เด็กถูกอบรมบ่มนิสัยมาอย่างดีว่าเป็นผู้น้อยควรเคารพผู้ใหญ่ และนายมาด่าเราเหมือนไร้การอบรมแบบนี้ มันใช่เรื่องไหม”

พระมหาอุปราชรูปงามโดนโต้คำฉะฉานสุดประหลาดหลากใจทั้งหงุดหงิด ด้วยไม่คิดว่าข้ารับใช้ใต้เบื้องบรมโพธิสมภารจักกล้าหาญหมิ่นหยาม ย่ามใจมาเถียงกลับตัวอันดำรงฐานะเจ้าชีวิตเช่นเจ้าหนุ่มร่างอรชรงามวิไลสะดุดนัยน์ตาตรงหน้านี้มิเคยพบ แลมาประสบคำย้อนว่าเป็นความผิดของพระองค์ซ้ำเล่าก็คะนองปาก แย้มพระสรวลต้องประสงค์ให้เจ้าภัทรพจน์เลอโฉมลิ้มรสความพ่ายแพ้สยบยอมให้สมใจตัวจึ่งโต้กลับว่า

“แรกเห็นมิรู้ว่าคนผู้นี้มีลมปากกล้าห้าวหาญชาญชัย ด้วยแอบหลบฟังคำคนอยู่เบื้องหลังฉากลับแลเป็นที่น่าอดสู แลบัดนี้มาเห็นอาจารย์เราหนำซ้ำยังมิยอบกายเคารพ กลับคบคิดว่าตนอยู่สูงกว่าผู้ทรงศีล ยืนผงาดประหนึ่งเทพยาดามหาบุรุษมิปาน อีกทั้งยังรนรานหาที่ตายโดยมิพักต้องโทษทัณฑ์ คือโต้เถียงคำเราอันเป็นเจ้าชีวิตเฉกเช่นนี้ โทษหนักเบาใดกองอยู่ตรงหน้า มาตะเจ้าจงแจ้งให้มันได้รับรู้อย่าช้าที” พระมหาอุปราชดำรัสด้วยเลือดขึ้นพระพักตร์ มาตะคุกเข่าฟังอยู่มิได้นิ่งเฉยร้อนรนสุดอัดอั้น พอสบช่องได้ทำการจึ่งตอบคำรวดเร็ว

“ไหนเลยพี่ท่านถึงมาใส่ใจในสิ่งที่มิควรวิตก ด้วยภัทรพจน์ผู้นี้กินตำแหน่งแต่เพียงมหาดเล็กฝ่ายภูษา ต่ำศักดินากว่าพระองค์หลายพันเท่าทวี เสมือนหนึ่งข้ารับใช้กระทำผิดเพียงผุยผงใต้ฝ่าพระบาท จักระคายถึงเบื้ององค์ก็มิได้แล้ว โปรดอย่าเก็บมาคิดให้หมองใจ การมิควรใดบังเกิด ก็ด้วยไม่รู้ยศถาของพระองค์เป็นที่ตั้ง ด้วยพนักงานผู้นี้ยังมิเจนขนบประเพณีจึ่งเจรจามิออมปาก วานพี่ท่านระงับโทสะให้ลดลง แลอภัยเสียเถิด”

พระหทัยหนึ่งนั้นมิได้พิโรธเท่าที่ดำริ ครั้นมาเห็นท่าทีจองหองโอหังของเจ้าหน้าสวยสะอางเหมือนมิรู้ฐานะตนโต้เถียงคำมิตกฟากจึ่งอยากคาดโทษให้หลาบจำเป็นข้อใหญ่ พอถูกวาจามาตะอนุชาลูบปลอบเป็นน้ำเย็นชะโลมใจก็คลายเลือดร้อนลงกึ่งหนึ่ง ทว่าท่าทีของภัทรพจน์มิได้รู้สำนึกสะทกสะท้านเช่นคำน้องตนว่า กลับเชิ่ดหน้างามพริ้งเพราท้าท้ายอยู่เช่นเดิม ความคิดเมื่อแรกเริ่มก็กำเริบซ้ำอีกหน

“หากเป็นแต่ฝุ่นผงก็อาจสามารถระคายดวงตาเราได้มิต่างกัน อาชญาหนักเบาเช่นไรหากมิลงแก่มันผู้นี้ เราหรือจักควรดำรงตำแหน่งมหาอุปราชสืบไปเมื่อหน้าได้ คนที่ควรจักยำเกรงก็ไม่ไว้หน้า จักพึงเย้ยหยันได้ว่า ถูกถอนเขี้ยวราชสีห์แล้วยังมิจัดการเหยื่อให้ตายฆ่าปากเล่า คนอื่นรับรู้จักเอาไปนินทาลับหลังเราได้ว่าไร้ความกล้าความสามารถจักปกครองบ้านเมืองให้สงบสุขร่มเย็น”

ในชั้นแรกพจน์เพียงแค่อยากให้อุปราชสุริยะรู้สึกนึกว่า ไม่ควรตัดสินคนแต่เพียงภายนอก จึ่งฮึกเหิมอาจหาญต่อคำ พอประสบเห็นเรื่องราวเอ็ดอึงบานปลายลุกลามไปถึงมาตะ เห็นสีหน้าเจ้านั่นปริวิตกสุดอัดอั้น ใจหนึ่งก็แค้นอยู่แต่อีกใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงสงบคำแลความตั้งใจลงเสีย

“ราชองครักษ์!!” พระมหาอุปราชหนุ่มร้องตะโกนดังก้อง
 
“ดูก่อน มหาบพิตร” พราหมณ์โกสินธพขัดคำขึ้น “การณ์ทั้งปวงนี้ล้วนเกิดขึ้นมาจากการกระทำของอาตมันทั้งสิ้น จักมีใครบังคับก็หาไม่ หากมหาบพิตรพิจารณาตามคำของอาตมันมาแต่ต้นแล้วจักเห็นความจริงทั้งปวง ด้วยการอันอาตมันกระทำน้อมลงกราบนั้นเกิดขึ้นด้วยเหตุใด แล ฤา ชะรอยหว่างนั้น มหาบพิตรมิได้ฟังคำทั้งสิ้น ด้วยใจหนึ่งคะนึงคิดแต่ข้อคำตอบอันผุดขึ้นในใจ จึ่งเลือนเลอะหย่อนสติมิทันคำ อาตมันจักแจงแถลงการณ์ทั้งปวงซ้ำอีกหนหนึ่ง”
 
อารมณ์ร้อนของพระมหาอุปราชเพียงยินวาจาพระอาจารย์ตัวตักเตือนเช่นนั้นเหมือนไฟถูกดับลงด้วยน้ำ ทรุดกายลงกระพุ่มหัตถ์อ้อมแอ้มรับสำนึกผิดว่า

“หว่างนั้นใจของศิษย์สับสนจริงดั่งว่า ด้วยผุดคำตอบหนึ่งขึ้นมาก่อนหน้าพระอาจารย์ปรากฏตัว เป็นที่กังขาแลพิศวงยิ่งนัก จึงมิอาจลำดับความเป็นมาในถ้อยความได้ว่า เหตุใดพระอาจารย์จึ่งละวรรณะสูง กระทำสิ่งที่มิควรเช่นนี้ได้”

“นั่นแล้วเป็นสิ่งที่มิควรเกิดขึ้น ในฐานะที่พระองค์จักเป็นผู้สืบราชสมบัติต่อไปเบื้องหน้า ก็แหละหลักทศพิธราชธรรมกล่าวไว้ว่าเช่นไร อาตมันจักทวนซ้ำย้ำอีกหน หนึ่ง ทานัง คือการให้ สอง สีลัง คือการประพฤติดีงามทั้งกายวาจาใจ สาม ปริจาคัง คือบริจาค สี่ อาชชวัง คือความซื่อตรง ห้า มัททวัง คือความอ่อนโยน หก ตปัง คือความเพียร เจ็ด อักโกธัง คือความไม่โกรธ แปด อวิหิงสา คือความไม่เบียดเบียน เก้า ขันติ คือความอดทน สิบ อวิโรธนัง คือความเที่ยงธรรม ทั้งสิบประการล้วนประกอบเป็นราชธรรมจริยาวัตรประจำตนของผู้ปกครองบ้านเมือง มหาบพิตรละทิ้งข้อใดบ้างในเหตุการณ์เมื่อครู่นี้โปรดแจ้งต่อหน้าคนทั้งปวง”

พระมหาอุปราชถูกอาจารย์ตนสอบความรู้เช่นนั้น เห็นผิดอยู่หลายกระทงมิอาจเอ่ยออกเป็นคำอันเป็นเครื่องขายหน้าต่อเจ้าหนุ่มมากสิริโฉมคู่ปรับของตนได้ ก็ก้มลงกราบแนบเท้าพราหมณ์ผู้เฒ่าเป็นทีลุกะโทษแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น

“เราจักละการนี้ไว้เป็นข้อให้มหาบพิตรตรึกตรองยึดมั่นให้จงหนัก และด้วยโทษานุโทษซึ่งพระองค์ขาดหลักทศพิธราชธรรมนี้เป็นข้ออันมิควรเกิด แต่อยู่ต่อหน้าเราแล้วย่อมมีความผิดมิควรละเป็นที่อับอายแก่ข้ารับใช้ จักลงทัณฑ์มหาบพิตรเป็นธุระนำข่าวร้าย เข้ากราบบังคับทูลพระเจ้าอยู่หัวในทันทีแต่ราตรีนี้”

ครั้นมาตะแลพระมหาอุปราชยินความอันเป็นข่าวร้าย อารมณ์มิควรใดสิ่งสู่อยู่กับตัวก็ละเสียโดยพลัน ขยับเข้าหาน้อมรับคำสั่งการ

“มีเหตุเภทภัยใดเกิดขึ้น ฤา พระอาจารย์” มาตะซักด้วยสีหน้าเครียดมิต่างจากมหาอุปราชสุริยะ พราหมณ์ผู้เฒ่าผินหน้าเสมองพจน์ซึ่งคุกเข่าอยู่ก่อนทอดถอนหายใจ พระมหาอุปราชมองตามก่อนส่งยิ้มขยิบตายั่วโกรธไปให้ มาตะเห็นท่าทีนั้นโดยตลอดก็ขมวดคิ้วมุ่น

“บัดนี้เสียงกรีดร้องของนางผีร้ายตนหนึ่ง ด้วยต้องพลานุภาพศักดิ์สิทธิ์ดังกึกก้องไปถึงหุบผาทมิฬเสียสิ้นแล้ว ดวงตามัจจุราชเพ่งเล็งมายังมหาอาณาจักรของชาวเราในที่สุด”

สิ้นคำของพระอาจารย์ มาตะและพระมหาอุปราชต่างหน้านิ่วตระหนก
 
“เพลานี้ราชภัยดำมืดคืบคลานเหยียบย่างมาถึงขอบขัณฑสีมาเบื้องทิศตะวันออกแล้ว พระมหาอุปราชจงเร่งเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว นำคำเราแจ้งเหตุ เรียกประชุมขุนนางเสนาบดีอย่าช้าที”


50%...TBC โปรดติตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:16:53 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ Robinhood.ha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ภัทรพจน์จะเป็นใคร นะ มีความสำคัญ...อะไร ยังไง ตื่นเต้นๆ รอ 100 % :call:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
พจน์อาจเป็นคนสำคัญที่มีส่วนช่วยเมืองของมาตะไว้ได้
แต่ขออย่าให้มาตะต้องไปตบแต่งกับใครหรือแม้แต่พจน์เอง
ก็ขออย่าให้ได้มีคำทำนายว่าต้องแต่งกับพี่ชายมาตะเลย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ ผ้าขนหนูสีฟ้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบมากกกกก ถึงแม้ว่าจะอ่านยากไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็ชอบนะ ชอบที่เรื่องมันลึกลับดี มีอะไรให้น่าติดตาม

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]


ในชั้นแรกพระมหาอุปราชทรงสดับข่าวร้ายนึกข้างไปว่า คงมีเหตุมิบังควรเกิดขึ้นแต่เพียงไม่สำคัญ  ครั้นมาฟังคำสาธยายสำทับว่าข้องเกี่ยวกับราชภัยทมิฬก็พระวรกายสั่น เหมือนหนึ่งปลาถูกจับเปลี่ยนแหล่งที่อยู่จากน้ำอุ่นมาเป็นน้ำเย็น พระราชดำริอันหลักแหลมประจำพระองค์ก็มาถูกเมฆหมอกดำทมิฬปกคลุมไร้หนทางแก้ อ้ำอึ้งมึนงงอยู่ชั่วขณะ จนมหาพราหมณ์จำต้องเตือนซ้ำ

“มหาอุปราชจงครองสติให้มั่น แลประพฤติตามคำของอาตมันโดยพลัน”

“ขอรับ พระคุณเจ้า” อุปราชอาทิตยาธรพนมมือกราบลา คืนสติรวดเร็วด้วยเลือดขัตติยะ แล้วผุดลุกขึ้นฉับไว เสมองทางเจ้าหนุ่มมากสิริโฉมชั่วครู่ หักใจเอาธุระบ้านเมืองเป็นที่ตั้งมาก่อนความร้อนในใจตัว หุนหันไม่รอช้าจากไปทำการทันที

ในห้องทรงดนตรีบัดนี้เหลือคนเพียงสาม เมื่อสำเหนียกเสียงใจความแจ้งจากปากผู้ทรงศีลเป็นเหตุใหญ่หลวงฉะนั้น พจน์อดวิตกหนักใจด้วยไม่ได้ เฝ้านึกคิดแต่เพียงว่า ดูหรือจักคือตนเองที่เป็นต้นสายปลายเหตุของราชภัยนี้ ก็ด้วยเนื้อความอันพราหมณ์ผู้เฒ่ากล่าวแจกแจง นึกเพียงครู่ก็ล่วงรู้ว่า ผีร้ายที่ส่งเสียงร้องปลุกมหาภัยมาสู่บ้านเมืองนี้ เป็นนารีพิฆาตตนนั้นซึ่งคิดปองร้ายพจน์ไม่ผิดตัว ภัทรพจน์เฝ้าคิดวนเวียนกล่าวโทษตัวเองซ้ำอยู่เช่นนั้น จนถูกวาจาพราหมณ์โกสินธพกล่าวทักท้วง

“การอันมหาบุรุษท่านดำริอยู่ในใจนั้นมิควรก่อน ทุกสิ่งสรรพมีเกิดมีดับเป็นสังสารวัฏหมุนเวียนอยู่เช่นนี้มิรู้จบสิ้น ก็แหละมหาราชภัยนี้ช้าเร็วจำต้องเกิดขึ้นมิมีผู้ใดยับยั้งได้ บัดนี้ทั่วทั้งมหาพิภพประสบเคราะห์กรรมทุกข์เข็ญไปทุกหย่อมหญ้า ด้วยแสงเพลิงพิโรธของมารร้ายแผ่กระจายทั่วทศทิศ ทุกเผ่าพันธุ์ต่างผจญชะตากรรมเดียวกัน หะนี้ภัยนั้นเหยียบย่างมาถึงชานเรือนของชาวเราแล้ว มิอาจยกเว้นด้วยประการทั้งปวง ความสามัคคีแลความสวามิภักดิ์จงรักต่อผืนแผ่นดินแลบุญญาธิการขององค์พระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นจักช่วยให้ชาวเราเผชิญกับความทุกข์ยากแสนเข็ญนี้ได้”

พจน์ส่ายหน้าพนมมือตอบ มองอย่างไรก็เพราะเขาเป็นตัวการจุดชนวนให้เกิดทั้งสิ้น
 
“ตามที่พราหมณ์ว่าผมไม่มีความผิดเลยนั้น คงไม่อาจลบล้างสิ่งที่กระทำล่วงผ่านมาแล้วได้ เพราะการปรากฏตัวของผมนี่แล้ว เป็นต้นตอของภัยร้ายซึ่งพวกท่านกำลังต้องเผชิญ”

มาตะเองตะลึงตะไลในข่าวร้ายสุดคาดคิด ซ้ำมาตรองดูตามถ้อยวาจาของอาจารย์ตนก็ฉุกคิดได้ว่า เหตุอันทำให้ดวงตาปีศาจฉายแสงมายังอาณาจักรอันร่มเย็นนี้ เพราะคำกรีดร้องของผีร้ายตนหนึ่งเป็นตัวการ ซึ่งในเพลาสนธยาวันนั้น ท่ามกลางลมโหมโบกพัดราวกับโกรธเกรี้ยวโกรธา ในที่ชุมนุมหอนั่งมีตน คนรัก แลมาลีผู้พี่ อีกทั้งกฤษณาเป็นสักขีพยาน หว่างความมืดมัวอนธการก่อนภัทรพจน์ยอดดวงใจจักเลือนหายกระทันหัน บังเกิดเสียงปริศนากรีดร้องสุดเจ็บปวดดังก้องสะท้อนทั่วอาณาบริเวณ เพียงชั่วครู่ตื่นตระหนกแลสับสนอลหม่าน พระอาจารย์โกสินธพจึ่งปรากฏกายขึ้นให้เห็นทันตาเหมือนเช่นราตรีนี้เป็นที่อัศจรรย์  ท่านบริกรรมคาถาสาดใส่ในที่ชุมนุมบนเรือนได้ทันท่วงที ศัพท์เสียงเจ็บปวดเงียบงันโดยพลันเช่นเดียวกับลมวายุลึกลับ กฤษณาสลบไสลเพราะแรงร้องไห้ มีมาลีพี่ท่านเป็นผู้ปฐมพยาบาล บ่าวไพร่สาละวนเก็บข้าวของที่ถูกลมพายุพัดเกลื่อนกลาด ครูท่านสั่งความหนึ่งเป็นข้อตะขิดตะขวงใจว่า “มาตะเจ้า นับแต่นี้จงทอดกายดูแลคนรักให้จงหนัก ด้วยเภทภัยอันตรายกล้ำกรายมาสู่ภัทรพจน์ผู้นี้เป็นแน่แท้แล้ว พวกมันได้กลิ่นแลระแคะระคายแล้วว่า มหาบุรุษในตำนานปรากฏกายขึ้นในที่สุด”

มีหรือมาตะจักมิรู้ว่า คนรักของตัวมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากปุถุชนสามัญ ทั้งด้วยการจากไปอย่างลึกลับ แลหรือมาปรากฏตัวให้เห็นอีกครั้งเป็นข้อประหลาดใจ มิมีใครในพิภพนี้จักทำได้ พลังอำนาจใดแฝงอยู่ในกายรูปงามจนเป็นเหตุให้เหล่าปีศาจร้ายจ้องหมายปองนั้นสุดล่วงรู้ แต่ดวงหน้างดงามมาทำประหนึ่งวิตกกังวลว่าตนเป็นต้นเหตุของเภทภัยทั้งหมดนั้น มาตะมิอาจทนเห็นได้ ซ้ำจะเข้าไปเวียนปลอบตามวิสัยตัวก็สำนึกได้ว่าตนกระทำปิดบังฐานะเป็นรอยแผลในใจคนคู่พิศวาส ท่าทีอึกอักจักขยับเอื้อมลูบโลมแต่ใคร่ครวญถี่ถ้วนเกรงอีกฝ่ายจะลำบากใจ ประเดี๋ยวยื่นมือออกไปประเดี๋ยวก็ชักกลับเป็นที่น่าเวทนาปรากฏสู่ตาผู้ทรงศีลในที่นั้น

“มาตะเอย ไฉนเลยยังมิติดตามพระมหาอุปราชผู้เชษฐา จงแจ้งข่าวด้วยวาจาเราซ้ำ แลหว่างกลางชุมนุมขุนนางเสนาบดีนั้นจงฝากคำเรากราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า การทั้งนี้ยังมิพักต้องตระเตรียมพยุหพลเสนาเรือนหมื่นแสน ด้วยประสงค์แต่เพียงกองทะลวงฟันมากน้อยมิกี่หยิบมือ เร่งขับม้าเร็วลาดตระเวนลอบสังเกตดูเหตุการณ์มิชอบมาพากล ณ เทวาลัยร้าง อันตั้งอยู่ตรงข้ามประตูช่องเขาสุวรรณคีรี ซึ่งเป็นประตูหน้าด่านปราการศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวด้านทิศตะวันออก มหาเทวาลัยแห่งนั้นถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนานหลายชั่วอายุคน ต่อมามีพราหมณ์ลัทธิหนึ่งอพยพมาอาศัยบำเพ็ญเพียรได้เกือบครบเดือนแล้ว จงเล็ดรอดสืบดูความเป็นไปของนักพรตเหล่านั้น ด้วยมีบางสิ่งมิชอบมาพากล เพราะที่แห่งนั้นมิเคยประสบว่ามีพราหมณ์ใดอาศัยอยู่เกินกว่าเจ็ดทิวาก็หาไม่ แลราตรีนี้ระหว่างอาตมันบำเพ็ญเพียรอยู่ ปรากฏเห็นกลุ่มเงามืดปกคลุมเทวาลัยร้างแห่งนั้นเป็นที่ผิดสังเกต อาจมีเล่ห์กระเท่หลุมพลางใดแฝงเร้นอยู่ แหละการทั้งนี้มิควรแพร่งพรายให้กรมการเมือง เจ้าเมืองพระยามหานคร แลหรือเจ้าเมืองประเทศราชทราบโดยเด็ดขาด จงงำไว้แต่เพียงภายในราชสำนักเพื่อมิให้เกิดความแตกตื่นระส่ำระส่ายทุกหย่อมหญ้า แลอาตมันจักตามสมทบหลังเสร็จกิจ ณ ที่นี้แล้ว”

“แต่ศิษย์...” มาตะอ้ำอึงห่วงพะวงสีหน้าเครียดของพจน์แล้ว ไม่อาจสะกดใจละจากไปด้วยจิตสงบได้  อีกทั้งตนยังออกปากไว้เป็นคำหนักแน่นแล้วว่า จะไม่ทอดทิ้งยอดรักไว้เพียงคนเดียวในราตรี

“เพลานี้หากเจ้าฝืนดันทุรังดื้อแพ่งประสงค์จักทำการในใจเป็นทุนเดิม เห็นทีคงพบการแตกหักเป็นแน่แท้ สมมติยามเมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยวควรหรือที่จักเอาเรือไปขวางกลางลำก็จะหักสะบั้นพังลงในทันใด ควรจักรอให้สายธารนั้นสงบนิ่งเหมาะควรแก่การพายล่วงก่อนจึ่งออกเรือ ก็แหละสินธุจักไหลเชี่ยวทุกมื้อยามก็หาไม่ สบช่องเห็นลู่ทางจึ่งควรออกพาย แต่การทั้งนี้ต้องอาศัยน้ำอดน้ำทนรอให้สายวารีทุเลาลงก่อน เจ้าว่าดี ฤา ไม่ มาตะ”

พระอาจารย์พราหมณ์กล่าวเป็นกลเปรียบเห็นชัด มาตะยกใจเข้าเทียบก็มิเห็นหนทางอื่น พยายามสบตามองภัทรพจน์ แต่พจน์ก็เสตาดูสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ตัวมาตะ เหลือบทางหางตาเห็นเจ้าหนุ่มล่ำสันยังคงคุกเข่ามั่นคงอยู่แต่สีหน้าเครียดขมึงจนพจน์อดใจอ่อนมิได้ แต่ไฟแค้นสุมอกยังมีอีกครึ่งหนึ่งในตัว หักใจด้วยทิฐิมานะมิอยากให้มาตะเสียการต้องมาพะวงกับตัว จึ่งออกปากว่า

“ไปเถอะ เราอยู่ได้”

สะบัดหน้าเจรจาทิศทางอื่นเหมือนพูดกับลมฟ้า มาตะได้ยินคำเสนาะโสตหมายถึงตัวแน่แล้วใจหนึ่งยินดีที่คนรักยอมเจรจาด้วย แต่อีกใจก็เศร้าสลดด้วยเป็นตัวการทำให้คนรักต้องเจ็บช้ำ ซ้ำท่าทีเมินเฉยนั้นยังคงเป็นปราการหนักแน่นอยู่จึ่งไม่อาจเข้าประชิดตัวตามใจหวัง ได้แต่ปลอบว่าเพียงเท่านี้ก็เหมือนดั่งใจแห้งแล้งมาได้หยดน้ำประทังชีพแล้วอดปลื้มปิติมิได้ ละการหนักอกเก็บไว้หวนนำราชการบ้านเมืองมาเคียงคู่ แล้วจึ่งก้มกราบแทบเท้าพระอาจารย์ตน เอ่ยปากฝากคนรักกับผู้ทรงศีลก่อนลา

“ครูท่านเปรียบดั่งบิดาผู้พร่ำสอนสรรพวิชาทั้งสิ้นทั้งปวงสู่ข้า นับมากคุณอนันต์จักตอบแทนคืนได้ในชาติภพนี้ ทั้งมากด้วยจิตเมตตาพรั่งพร้อมบริบูรณ์เป็นที่สรรเสริญ ความเมตตาท่านนั้นเคยหลั่งลงเหนือตัวมาตะมากเท่าใด โปรดเมตตาภัทรพจน์คู่ใจมิให้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันด้วยเถิด หากจักเทียบแล้วคนผู้นี้ประดุจครึ่งชีวีของศิษย์ ความเจ็บปวดในกายของอีกคนมากเท่าใดมีหรือที่ศิษย์จักมิเคยรับรู้ แลคำฝากครั้งนี้นอกกว่าฝากเมตตาแล้ว เหมือนฝากดวงใจแลชีวิตไว้ในความดูแลของพระอาจารย์ก็เช่นเดียวกัน” มาตะก้มหน้าฝากฝังใต้เบื้องบาทพระอาจารย์
 
โกสินธพมหาพราหมณ์เห็นศิษย์เอกตัวเอ่ยปากฝากความเป็นนัยเจ็บช้ำเช่นนั้นอดที่จะระงับความอาดูรไว้มิได้ แต่หักลงเสียด้วยเป็นผู้ละกิเลสทั้งปวง พยักหน้ารับคำให้วางใจ

“มาตะเอย ควรหรือมาทำกิริยาอ่อนแอแลโศกสลดต่อหน้าคนรักเจ้าเฉกเช่นนี้ ครั้งหนึ่งอาตมันเคยพร่ำสอนว่าเช่นไรจำได้ ฤา ไม่”
 
ในตอนแรกพจน์ยินความฝากฝังตัวไว้ก็ให้รู้สึกสะเทือนใจสุดกลั้น อยากจะปลดความแค้นใจทิ้งละแล้วโผเข้าโอบกอดมาตะพร้อมคำอภัย แต่ถูกสายตามีความนัยของพราหมณ์ผู้เฒ่าสะท้อนคัดค้านห้ามปรามอยู่จึ่งยั้งไว้
 
มาตะส่ายหน้าด้วยตอนนี้ตื้อตันในอกไปหมด ห่วงแสนห่วงคนรักสุดแสน ห่วงการบ้านเมืองก็พอกัน
 
“ก็แหละเจ้านี่เองมิใช่หรือ พะเน้าพะนอถามอาตมันเมื่อแรกรุ่นหนุ่มว่า สตรีผู้ใดในพิภพคือคู่ครองของมาตะ ด้วยเพราะเจ้ามิเคยปะผู้ใดแล้วรู้สึกวาบหวิวใจอย่างเช่นต้องชะตากัน อาตมันกล่าวสอนว่า ความรักใดก่อเกิดขึ้นจักรู้สึกวาบหวิวแต่เพียงนั้นเป็นมิได้ ด้วยการครองคู่กันแลกันนั้น คนทั้งสองต้องเคยร่วมทำบุญกุศลมาแต่ชาติปางก่อนฉันใด ชาติภพนี้จึ่งรู้สึกเหมือนผลบุญหลั่งโลมรินไหลทั่วกายทันควันเมื่อสบเห็นฉันนั้น เพราะการครองคู่นอกกว่าความสุขแล้วยังมากทุกข์อนันต์ ซ้ำยังฉุดให้ใจกล้าเป็นอ่อนแอโดยง่าย หากเจ้ารู้สึกสุขแลทุกข์ประหนึ่งมีน้ำเย็นเป็นผลบุญโลมหลั่งตามคำอาตมันกล่าวแล้วไซร้ นั่นแล้วคือคู่ครองเจ้า”

“ขอรับ เป็นจริงเช่นนั้น” มาตะรับคำสอนหน้าสลด

“แหละตอนนี้เจ้าค้นพบแล้วหรือยังว่า การแสวงรักครองคู่กันนอกกว่าความรู้สึกเมื่อแรกเกิดแล้ว มีทุกข์แลสุขสอดผสานอยู่ทั้งสิ้น เช่นนั้นจงเร่งเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวพร้อมอาสาอุทิศตัวเป็นกองทะลวงฟันตามคำอาตมันแนะ เพื่อขจัดความอ่อนแอออกจากกายเป็นเครื่องพิสูจน์คำสอนเรา”

พอพจน์มาได้ยินคำแนะนำของพราหมณ์โกสินธพบอกเป็นช่องให้มาตะอาสาไปสอดแนมภยันตรายเช่นนั้นไฟแค้นมีมากอยู่ก็ลดละโดยพลัน ถลันเกาะชายผ้าคล้องไหล่สีขาวของอาจารย์พราหมณ์ไว้เป็นหลักชัยแล้วว่า

“ขออย่าได้ส่งมาตะไปทำการนี้เลยครับ ผม...ผมขออาสาไปเอง”

มาตะเห็นกิริยาท่าทีเป็นห่วงเป็นใยของภัทรพจน์ บังเกิดซาบซึ้งตรึงใจสุดแสน พราหมณ์โกสินธพขยิบตาให้เจ้าหนุ่มแล้วแสร้งตวาดเสียงดัง

“ดูหรือมาตะ ยังชักช้าเอ้อระเหยรั้งรอการใดอยู่ เร่งปฏิบัติตามคำเราอย่าช้าที”
 
เสร็จแล้วก็ผลักไสมาตะให้ห่างตัว มาตะเห็นอาจารย์ตนต้องประสงค์ให้ทำจริงดังคำ แต่อัดอั้นตันอกอดห่วงภัทรพจน์ไม่ได้ก็อิดเอื้อนละล้าละลังอยู่

“บัดนี้คำเรามิเหลือความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ฤา”

พจน์ไม่แจ้งอุบายระหว่างศิษย์อาจารย์ก็ออกปากห้ามซ้ำ มาตะทอดสายตาอนาทรเห็นควรปฏิบัติตามคำของอาจารย์แน่แท้ จึ่งข่มใจผละจากด้วยอาลัยอาวรณ์

คำร้องเรียกนามมาตะไล่หลังจนเจ้าตัวลับหายในเงามืดเบื้องประตู นอกจากตนจะเป็นต้นตอของมหาราชภัยแล้วยังเป็นเหตุให้มาตะถูกขับไสสู่อันตรายดำมืดซ้ำ ในใจอัดอั้ดสับสนตีกันจนกลั่นเป็นหยดน้ำตารินไหลมิรู้สึกตัว

“ผมขออาสาร่วมสืบเรื่องราวด้วย พราหมณ์ อนุญาตให้ผมไปร่วมกับมาตะด้วยเถอะ” พจน์กระพุ่มมือวอนทั้งน้ำตา

“การณ์ทั้งนี้มิอาจล่วงรู้ถึงเหตุภายภาคหน้าได้ อันตรายใดสิงสู่อยู่ในเทวาลัยร้างเกินความสามารถอาตมันจะหยั่งถึง อีกทั้งมาตะหรือจักยอมให้ท่านร่วมเดินทาง ศิษย์เอกของอาตมันคงมิเห็นชอบเป็นแน่” พจน์กัดริมฝีปากแน่นบ่งสำแดงอาการดื้อดึง “ดูก่อน มหาบุรุษ บัดนี้เราต่างอยู่สองต่อสองแล้ว อุปสรรคอันประกอบด้วยความไม่รู้ของศิษย์อาตมันได้ขัดขวางการทำคารวการมาหนหนึ่ง ควรหรือที่อาตมันจักลืมหลง โปรดยืนประทับองค์ให้เป็นสง่า ละกิริยาร่ำไห้เสียเถิด”

กล่าวสิ้นแล้วทรุดกายลงหมายจักน้อมกราบให้สมคะเน พจน์เห็นกิริยาเดิมมิบังควรเกิดซ้ำ ก็ถลันเข้าพยุง ยื้อยุดกันครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มเลิศสิริโฉมสังเกตเห็นรอยน้ำไหลรินจากดวงตาฝ้าฟาง คิดไปข้างว่าพราหมณ์เฒ่าคงได้รับความเจ็บจากการดึงรั้งของตนก็ผละมือออกทันควัน เป็นจังหวะให้โกสินธพมหาพราหมณ์ประนบมือก้มเคารพบูชาศีรษะจรดพื้นตามประสงค์ แน่นิ่งอยู่พักหนึ่ง แล้วว่าเป็นกลอนดังก้องจนพจน์ขนลุกชัน

“ประนมหัตถ์มนัสน้อมเศียรกราน
ทั้งพรหมานแซ่ซ้องเป็นสุขี
ตราบชีวิตเหลือเพียงผงธุลี
ขอบูชาเพชรมณีมิ่งมงคล”

“พราหมณ์ลุกขึ้นเถิด ท่านจะทำให้ผมอายุสั้น อย่าทำแบบนี้เลย” สำนึกรู้ถูกผิดกัดกินใจพจน์จนไม่อาจยืนนิ่งให้สมคะเนนักบวชพราหมณ์ได้ก็เอื้อมพยุงซ้ำ หยดน้ำตายังคงปรากฏให้เห็นชัดเจน นักพรตทรงศีลทำตามสมใจตัวแล้วจึ่งเงยหน้าขึ้นลุกยืนตามเดิม

“ผมทำให้พราหมณ์เจ็บใช่ไหม ขอโทษๆ เจ็บตรงไหนมากหรือเปล่า” พจน์ก้มสำรวจหารอยมือตน

“หามิได้ มหาบุรุษ เหตุอันก่อให้อาตมันเกิดหลั่งน้ำตาในครานี้เกิดขึ้นสองประการ หนึ่งคือปีติยินดีสุดจะกล่าว เพราะการปรากฏตัวของท่านเป็นเหมือนดั่งแสงสว่างผุดขึ้นกลางหมอกมัวดำมืด จุดไฟให้เห็นเส้นทางเบื้องหน้าต่อไปได้ชัดเจนขึ้น สองคือโศกสลดเสียดายในตนเองที่มิอาจมีอายุขัยยืนยาวจนเห็นวันที่หมอกมัวดำมืดสูญสลายไปสิ้น”

“พราหมณ์ทำไมพูดไม่เป็นมงคลแบบนี้” พจน์ตกใจไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะกล่าวแช่งตัวเอง

“ทุกสิ่งล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น มหาบุรุษเอย อาตมันมีชีวิตอยู่มายืนยาวนัก สบเห็นทุกสรรพสิ่งมามากเกินพอ แต่มีสิ่งหนึ่งที่อาตมันไม่เคยทำสำเร็จ คือการพิชิตความโฉดชั่วให้สิ้นไปจากโลกา อุปมากลุ่มเมฆาปกคลุมทั่วพื้นพิภพฉันใด แสงสว่างจากดวงสุริยะหรือจะอาจเอื้อมฉายแสงฉันนั้น แหละการณ์ทั้งนี้เกิดก่อนที่จักมี โคลงทำนาย กระจัดกระจายทั่วทั้งมหาพิภพ ครั้นบังเกิดข่าวลือ กลอนปัจฉิมวาจา แพร่สะพัดซ้ำเป็นหลักชัยยึดถือแน่นหนัก ดุจประจักษ์หยาดน้ำเบื้องบนมาหยดลงกลางผืนดินแห้งแล้ง ความหวังก็พลันจุติในเบื้องใจอาตมันนับแต่นั้น ด้วยรอคอยสิ่งที่เหมือนมิมีตัวตนอยู่เช้าค่ำ เนิ่นนานจนลืมหลงวันเวลา แต่เพลานี้ความหวังลมๆแล้งๆนั้นปรากฏเป็นจริงอยู่เบื้องหน้านี่แล้ว จักมิให้อาตมันก้มลงกราบกรานเป็นคุณสักคราหนึ่ง แลยื้อยุดรอยน้ำตามิให้รินไหลนั้นทำมิได้”

ครั้นมารับรู้ความเบื้องลึกในใจของผู้ทรงศีลจนก่อเป็นการกระทำแลอาการหลั่งน้ำตาเช่นนั้น พจน์ก็รู้สึกอึดอัดบอกไม่ถูก ดูราวกับมีหินผาหนักอึ้งถมทับอยู่บนไหล่ทั้งสองข้าง ความหวังซึ่งพราหมณ์เฒ่ากล่าวนั้นหรือคือตัวพจน์ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองมีบางอย่างผิดต่างจากคนปกติธรรมดา แต่ตอนนี้จะมีอำนาจเสกพลังเช่นที่ไอ้กันเคยทำได้นั้นไม่ปรากฏให้เห็น นอกกว่าความสามารถข้ามพิภพแล้ว ทุกสิ่งสิ้นล้วนไม่มี

“ผม...ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนที่พราหมณ์คาดหวังไว้ พลังอำนาจใดที่จะทำลายความชั่วร้ายได้ ตอนนี้ผมแทบไม่รู้สึกหรือทำได้เป็นชิ้นเป็นอัน เกรงว่าโคลงพยากรณ์คงกล่าวถึงคนอื่น”

“เป็นท่าน มิผิดตัวแน่แท้แล้ว หากแต่เพลานี้ทุกสิ่งเพิ่งเริ่มต้น อย่าเพ่อด่วนสรุปความสามารถลึกลับอันท่านพึงมี ทุกสิ่งล้วนอาศัยเพลาแลการฝึกฝนฝึกปรือ อาตมันนี่แลจักเป็นผู้ชี้แนะท่านในการนี้เอง” โกสินธพมหาพราหมณ์อาสารับคำมั่น พจน์ไม่มีข้อโต้แย้งอื่นจักอ้างมาลบล้างได้ก็ทรุดกายกระทำความเคารพ

“เช่นนั้นเพลานี้ มหาบุรุษท่าน จงเดินทางข้ามพิภพกลับคืนถิ่นเดิมก่อนเถิด”

พจน์พยักหน้ารับ คะนึงถึงเวลาแล้วคงใกล้อรุณรุ่งในอีกไม่ช้า เวลาบนพิภพนี้ใกล้จบลง จึงกราบลามหาพราหมณ์ซ้ำอีกหน พลางว่า

“ตอนนี้ผมห่วงก็แต่มาตะ ซึ่งพราหมณ์ใช้ให้อาสาไปสืบราชการ เกรงว่า...”

“อย่าได้ปริวิตกการณ์อันยังมามิถึง แลศิษย์เอกของอาตมันผู้นี้เลื่องลือทักษะในอาวุธเป็นที่กล่าวขาน ฝีมือเจนจัดช่ำชองคงเอาตัวรอดได้มิยาก ทั้งยังเป็นการเสริมเกียรติยศตนหากทำการสำเร็จ สิ่งใดก่อกวนใจจงละไว้เสีย” มหาพราหมณ์เปล่งวาจา “แต่สิ่งอันน่าปริวิตกยิ่งกว่านั้นอยู่บนพิภพซึ่งท่านจากมา มหาบุรุษ จงกลับไปแจ้งผู้คนทั้งปวงว่า เพลาแท้จริงนั้น เหลือหลงไม่มากแล้ว มหาภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่กำลังคลืบคลานใกล้เข้ามาเช่นเดียวกับอำนาจชั่วร้าย จงเตือนแลปกป้องชีวิตอันมีค่าเหล่านั้น เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นความผิดของทุกลมหายใจบนพิภพนี้ทั้งสิ้น นอกจากจะมิอาจยับยั้งความชั่วร้ายไว้ได้ หนำซ้ำยังลุกลามเป็นภัยในเบื้องพิภพของท่านอีก บัดนี้ทั้งสองพิภพกำลังเผชิญมหาราชภัยใหญ่หลวงมิต่างกัน แลท่านเท่านั้นจักยุดห้ามการมิควรนั้นให้คืนดังเดิม”

สิ้นคำของพราหมณ์โกสินธพ พจน์ก็ถูกเมฆหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมรอบตัว บดบังห้องทรงดนตรีแลผู้ทรงศีลค่อยๆลับจากดวงตา นำพาตัวเขากลับคืนมายังห้องนอนบนเรือนไทยเทพวิมานในทันใด


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2016 09:51:35 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ NuTonKaw

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
 o13 o13รอติดตามอย่างจดจ่อ :katai4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด