[แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

สำรวจความต้องการให้มีการพิมพ์รวมเล่มนิยาย >>>>ข้ามพิภพ<<<< หรือไม่

ต้องการ
27 (67.5%)
ไม่ต้องการ
0 (0%)
ไม่แน่ใจ
13 (32.5%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 40

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]  (อ่าน 284933 ครั้ง)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
อาจารย์แกล้งทำให้พจน์สงสารมาตะ
รอวันมาตะปรับความเข้าใจกับพจน์

 :pig4:  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Robinhood.ha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 o13 น่าติดตามเสมอ :pig4:

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๒๓


รักต้องห้าม

   

หมอกสีขาวหนาวเย็นลับเลือนหาย สิ่งของเครื่องใช้ภายในห้องนอนแจ่มชัดเต็มตา ก่อนพจน์จะข้ามพิภพไปหามาตะ จำได้ว่ายืนสนทนาอยู่กับนิธิหน้าประตูรั้ว เจ้านั่นคงพาร่างพจน์กลับคืนยังเตียงนอนอย่างไม่ต้องสงสัย เด็กหนุ่มยังไม่ทันเจรจาร่ำลาพราหมณ์ราชครูก็ข้ามพิภพกลับมาฉับไว แม้นในใจส่วนหนึ่งอดเป็นห่วงมาตะไม่ได้ แต่อีกใจก็โกรธเคืองเมื่อโดนคำลวง หากแต่ด้วยถ้อยอธิบายของอาจารย์มาตะ ทำให้ความเข้าใจผิดอันก่อเกิดขึ้นบรรเทาลงส่วนหนึ่งก็ตาม ทว่ายามนึกย้อนถึงความจริงซ่อนปิดบังไว้ครั้งใด ก็เสียดเจ็บในอกเสมอครั้งนั้น เรื่องปกปิดฐานะถึงพระราชบุตรบุญธรรมนั้นอาจยกเว้นไม่คิดแค้นได้ แต่รูปความแม่นางกฤษณาอันเป็นผู้พระราชเทวีหมายตาไว้เป็นคู่รักแก่ตัว มาตะมีหรือจะไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ซ้ำยังมาประกาศต่อหน้านางว่า พจน์เป็นคนที่ตนหมายสมัครใจหลงรักเช่นนั้นด้วยแล้ว หากล่วงรู้มาก่อนหน้า จะไม่มีวันให้มาตะประกาศเด็ดขาด และมีหรือถ้าพจน์ดื้อดึงหยุดห้ามคำเจตจำนง ผีร้ายนารีพิฆาตจะปรากฏตัวคิดแค้นเข้ามาทำร้าย จนอำนาจลึกลับสร้างรอยแผลแก่ภูติผีปีศาจตนนั้นก่อเป็นเสียงสัญญาณให้ความชั่วร้ายเพ่งเล็งราชภัยมายังมหาอาณาจักร

พันธสัญญาระหว่างพจน์และอาจารย์พราหมณ์นั้นไม่เห็นหนทางอื่นนอกกว่าถ่ายทอดคำทั้งสิ้นสู่คุณปู่ ท่านเป็นผู้เดียวที่สามารถประกาศย้ำเตือนถึงหายนะภัยซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น พราหมณ์ผู้ทรงศีลย้ำคำหนักหนาว่า เวลาแท้จริงใกล้สิ้นสุด นั่นทำให้พจน์ตระหนักได้ว่า ผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดคงไม่พ้น จอมมาร ลึกลับผู้นั้น ตอนนี้ภัยร้ายคุกคามทั้งสองภพด้วยฝีมือของจอมปีศาจแน่แท้ พจน์จำต้องเร่งเตือนคุณปู่ ครั้นนึกหวนถึงภัยร้ายครั้งใดก็ปรากฏเห็นภาพวาระสุดท้ายของพระเจ้าวัชรโกมลชัดเจนเหมือนอยู่เบื้องหน้า พจน์หยิบกรอบพระนลาฏหยดน้ำสีทองว่างเปล่าออกมาจากลิ้นชักหัวเตียง นึกได้ว่ามีสร้อยทองของคุณแม่อยู่เส้นหนึ่ง ควานหากล่องกำมะหยี่อยู่ชั่วครู่ ได้แล้วจึงนำมาร้อยผ่านลายฉลุวิจิตรบรรจงแล้วคล้องใส่คอตน เป็นสัญลักษณ์เตือนสติให้พจน์สำนึกรู้อยู่ทุกขณะลมหายใจว่า ความชั่วร้ายมืดทมิฬนี้คือต้นสายปลายเหตุของความเจ็บปวดรวดร้าวทั้งมวล

เมื่อคิดถี่ถ้วนโดยตลอดแล้วไม่อาจระงับข่มใจฝืนทนนั่งอยู่ได้ ก็เอื้อมคว้านาฬิกาปลุกข้างเตียงนอนมาดู อีกสิบห้านาทีจะสี่นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลากำหนดนัดหมายเพื่อเดินทางไปอยุธยาแต่เช้ามืดตามความประสงค์ของคุณปู่ ด้วยไม่ต้องการเจอปราการกองทัพนักข่าวขวางทางหรือติดตาม จวนได้เวลานัดหมายแล้ว พจน์ร้อนใจอยากแจ้งเตือนท่านจึงหุนหันพรวดพลาดถอดสลักประตูออก พลันได้ยินเสียงสนทนาเล็ดรอดมาจากภายนอก แทรกมาตามร่องรอยแง้มค้างไว้ เขม้นแลไปยังหอนั่งซึ่งเปิดไฟสว่างจ้า มีภพดนัยกำลังนั่งจัดเตรียมสัมภาระอยู่ และบุคคลที่ร้องทักคุณพ่อของพจน์ก็คือ ชาญณรงค์ นั่นเอง
 
ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเชื้อสายจีนพินิจมองภพดนัยด้วยรอยยิ้มกว้าง

“คุณชาญณรงค์จัดเตรียมข้าวของเรียบร้อยแล้วหรือครับ” ภพดนัยขยับแว่นตาถามพร้อมยิ้มกว้างตอบกลับเช่นกัน

“ครับ”

“นี่ยังเหลือเวลาอีกหลายนาที ผมเกรงว่าอาจจะออกเดินทางช้ากว่ากำหนดด้วยซ้ำ เช้าขนาดนี้ ดาวกับพจน์คงยังไม่พร้อมแน่ๆ ผมว่าสักตีห้าก็น่าจะปลอดภัยนะครับ” ชายหนุ่มใบหน้าสวยชวนคุย

“ครับ” ชาญณรงค์แต่งกายรัดกุมเตรียมสำหรับเดินทาง หิ้วกระเป๋าเป้ใบใหญ่ไว้บนไหล่กว้าง ก่อนวางลงข้างกองข้าวของมากมายของภพดนัย

“คุณภพดนัยเอาอะไรไปบ้างหรือครับ ผมเห็น...” ชายหนุ่มหน้าตี๋ยิ้มเขิน เกาหลังคออึกอัก

“อ๋อ อย่าแซวสิครับ” ภพดนัยหัวเราะ “ไปเที่ยวตั้งสองวันหนึ่งคืนแบบนี้ ผมก็ต้องเตรียมให้พร้อม ไม่อยากไปหาเอาดาบหน้า จะหวังพึ่งน้ำบ่อหน้าอย่างเดียวก็กลัวจะผิดพลาด ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า อุปกรณ์ปฐมพยาบาล อาหารแห้ง ขนมนมเนย แล้วก็ของว่างระหว่างเดินทางครับ ที่ขาดไม่ได้เลยก็อุปกรณ์กางเต็นท์ อุปกรณ์สนาม”

“เอ๋ ผมไม่ทราบว่าอาจารย์ท่านจะนอนกลางเต็นท์ด้วย”

“เอาเผื่อไว้น่ะครับ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินหรือใครอยากซึบซับบรรยากาศชายทุ่ง ทำนองนี้แหละครับ” ภพดนัยจัดกล่องยาใส่กระเป๋าใบโตเป็นระเบียบเรียบร้อย

“คุณภพดนัยนี่สมกับเป็นพ่อบ้านพ่อเรือนจริงๆนะครับ ตระเตรียมข้าวของไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย” ชาญณรงค์ทรุดนั่งลงบนยกพื้นใกล้กับภพดนัยที่ยังคงแจกยิ้มเรี่ยราด

“พูดขนาดนั้น ผมก็เขินกันพอดี ไม่ยักรู้ว่าคุณชาญณรงค์ชอบเห็นคนอื่นหน้าแดงแบบนี้”

“เปล่าครับ ผมแค่ชมจากน้ำใสใจจริง” ชาญณรงค์ทำหน้าตาตื่น ยกมือปฏิเสธพัลวัน

“ผมล้อเล่นน่ะครับ อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังเลย” ภพดนัยจับมือที่โบกอยู่นั้นให้หยุดเคลื่อนไหว เป็นจังหวะชาญณรงค์ไม่ทันระวังสะบัดฝ่ามือหนาโดนมือเรียวบางข้างขวาเต็มแรง ส่งผลให้ภพดนัยร้องเจ็บโอดโอย

“ขอโทษครับ เจ็บมากหรือเปล่า” ชาญณรงค์ตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม ซ้ำหน้าซึ่งซีดอยู่แล้วก็ซีดเผือดกว่าปกติ รีบคว้ามือภพดนัยลูบคลำหารอยเจ็บชุลมุน
 
ฝ่ายภพดนัยนั้นไม่ได้เจ็บมากนัก แต่ด้วยอาการตื่นตกใจไม่คาดคิดว่าจะโดนมือของอีกฝ่ายกระทบเหนือคาดไว้เช่นนั้น ทั้งตกใจและตระหนกก็ร้องลั่นเป็นเหตุให้ชาญณรงค์รีบคว้ามือไปถนอมไว้

“มียาแก้ฟกช้ำในกระเป๋าบ้างหรือเปล่าครับ ผมเห็นรอยแดงบนหลังมือแล้ว คิดว่าอาจห้อเลือดขึ้นได้”
 
“เอ่อ...” ภพดนัยเห็นชายหนุ่มตัวการมีท่าทีเป็นห่วงเป็นใยเกินกว่าอาการเช่นนั้น ก็ลูบหลังมือปลอบ “ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง ทิ้งไว้สักพักก็คงหายเป็นปกติ ตอนนี้ผมห่วงก็แต่คุณนั่นแหละ หน้าซีดเหมือนกับคนขาดเลือด แถมเหงื่อกาฬก็ไหลท่วมหน้า เห็นจะเป็นคุณมากกว่าที่ต้องปฐมพยาบาล จริงหรือเปล่าครับ”

ภพดนัยหยิบผ้าเช็ดหน้าติดกระเป๋ากางเกงไว้เสมอ ขยับตัวแนบชิดยื่นเหยียดซับเหงื่อรอบใบหน้าของอีกฝ่าย ครั้นชาญณรงค์มาถูกท่าทีเอาใจใส่ของภพดนัยเกินคาดเดาเช่นนั้น ก็เป็นฝ่ายนิ่งเงียบสงบคำตามวิสัยเดิมโดยเร็ว ดวงตาหลังแว่นสำรวจมองภพดนัยอย่างใกล้ชิด คอเสื้อเชิ้ตซึ่งติดกระดุมไม่หมดเผยให้เห็นผิวกายขาวนวลสะท้อนวับแวบเป็นที่ล่อตา จนชาญณรงค์จำต้องระงับความรู้สึกในกายให้ดับลง ทั้งที่อีกฝ่ายมีเจตนาดีแต่ก็ผุดความคิดเดิมซ้ำอีก หักเท่าไหร่ก็มิอาจลงได้สมคะเน จึงคว้ามือเรียวไว้ให้หยุดซับเหงื่อบนหน้าตน

ภพดนัยเห็นผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชัยถลึงตามองกลับเช่นนั้น คิดข้างว่าได้กระทำการล่วงเกินใกล้ชิดจนก้าวก่ายข้ามเขตส่วนบุคคลไว้นั้นก็ได้สติ ขยับถอยคืนดังเดิม ในใจนั้นเป็นห่วงที่อีกฝ่ายมัวพะวังเรื่องตนเจ็บมือจนมามีอันต้องเหงื่อไหลไคลย้อยจนอาจเป็นธุระต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เช่นนั้น ลืมหลงว่า คนทั้งสองไม่ได้สนิทสนมเป็นเพื่อนกันถึงขนาดแตะเนื้อต้องตัวกันได้ก็ก้มหน้านิ่ง ไม่อาจเอ่ยคำขอโทษที่จะระบุความผิดตัวได้ เหลือบดูทางสายตาเห็นคุณชาญณรงค์ยังนั่งนิ่งตีสีหน้าขรึมเหมือนโกรธจัดก็รู้สึกอึดอัด จนต้องพูดคำหนึ่งขึ้นเพื่อทำลายความเงียบซึ่งก่อตัวกั้นขวางบุคคลทั้งคู่

“ผมขอโทษด้วยที่อยู่ๆก็กระทำล่วงเกินคุณโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต เห็นคุณเหงื่อไหลเกรงจะต้องกลับไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ไม่สมควร จึงละลาบละล้วงแตะต้องสัมผัสใบหน้าคุณโดยถือวิสาสะ”

เมฆละอองหมอกจืดจางซึ่งปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณถูกลมแผ่วเบาพัดมาต้องหอนั่งพร้อมความเงียบ บรรยากาศหนาวเย็นผิดฤดูกาลเช่นนี้ ถึงจะเป็นคนเหงื่อออกง่ายมาสัมผัสสภาพอากาศเย็นยะเยือก มีหรือที่เหงื่อจะเกาะพราวราวน้ำค้างกลางเวหา ถ้าไม่ด้วยเพราะชาญณรงค์ตื่นเต้นใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว คงไม่มีเหตุให้ภพดนัยต้องมาเอื้อมเช็ดให้กับมือ
 
“สิ่งใดเป็นการขัดข้องหมองใจ ไม่สมควร คุณชาญณรงค์บอกผมได้เสมอ และครั้งต่อไปผมจะได้ระมัดระวังไม่กระทำอีก ถ้าตอนนี้คุณไม่มีอะไรจะพูดกับผม ขอให้ได้ยินคำตอบรับก็ยังดี แล้วผมจะหลบหน้าไปเดี๋ยวนี้”

ภพดนัยไม่เคยรู้สึกอึดอัดใจเท่านี้มาก่อน ซ้ำพาลให้น้ำตาจะรินไหล ด้วยผู้ช่วยคุณพ่อท่านนี้ เมื่อสนทนากันครั้งไหนมักพูดจาเป็นหลักการ หน้าชื่นตาบานเสมอ จึงทำให้ภพดนัยสามารถปรึกษาอย่างสนิทสนม หรือสอบถามในสิ่งไม่รู้ได้ รอยยิ้มนั่นแล้วผุดผาดเสมอเป็นที่ชื่นตาชื่นใจ ครั้งใดบิดามามีอาการเคร่งเครียด ภพดนัยจะคอยสอบถามเอาความกับคนผู้นี้เสมอ ด้วยทั้งเป็นห่วงเป็นใย แต่จะมีครั้งไหนผู้ช่วยคุณพ่อคนนี้มามีอาการเหมือนหนึ่งเป็นอีกคนที่ไม่เคยรู้จักมักจี่นั้นไม่เคยพบ เมื่อไม่อาจฝืนทนนั่งอยู่ที่แห่งนั้นได้ ภพดนัยระงับสีหน้าผลุดลุกยืนขึ้น แต่มามีมือหนาของคนเบื้องหน้าไขว่คว้าฉุดรั้งไว้ น้ำตาน้อยอกน้อยใจก็พลันไหลโดยไม่รู้ตัว

ชาญณรงค์เห็นท่าทีลูกนายตัวแสดงว่าเสียใจเช่นนั้น วิสัยเดิมเป็นคนมีมารยาท รู้จักกาลเทศะ รู้ขอบเขตของเจ้าบ้านเจ้าเรือนและคนอาศัย อีกทั้งไม่ใช่เพื่อนสนิทกันมาแต่เล็กแต่น้อย จึงมีช่องว่างระหว่างคนทั้งคู่มากกว่าปกติ ทั้งในฐานะนายและผู้อาศัย แต่เช้ามืดวันนี้ ดูเหมือนช่องว่างเหล่านั้นคับแคบร่นระยะลงกว่าเดิมมาก พอมาเห็นน้ำตาเคล้าแสงไฟเช่นนั้น หัวใจเดิมเต้นเป็นจังหวะปกติ ก็รัวเร็วผิดท่วงทำนอง

ภพดนัยสะอึกสะอื้นเพราะความผิดตนเป็นเหตุทั้งสิ้น พยายามไม่แสดงท่าทีขายหน้าปิดเสียงห้ามบังเล็ดรอดออกจากปากจนเป็นภาพเวทนาสงสาร พอมาคิดตรองว่า เหตุนำพาให้ตัวเองมานั่งอยู่ตรงนี้ เนื่องด้วยไม่อาจทัดทานบิดาเดินทางไปอยุธยาจนอาจกระเทือนสุภาพท่านได้อีก ก็ก่อเป็นความอัดอั้นซ้ำกว่าเดิม ทุกสิ่งอย่างเป็นเพราะตนไม่สามารถจะช่วยแก้ไขปัญหาหนักอกของท่านได้แม้แต่น้อย ตัวเองเป็นบุตรชายคนโต ไม่เพียงจะไม่ดูแลบิดาหรือช่วยเหลือบิดาในทางที่ควรได้แล้ว ยังสร้างความขัดข้องหมองใจให้คนผู้ติดตามท่านอีก ตัวเขาเองสมควรแล้วที่จะได้ชื่อว่า เป็นลูกอกตัญญู สมกับคำของเพื่อนคนหนึ่งว่ากล่าวให้เมื่อไม่นานมานี้

“ปล่อยผมเถอะครับ คุณชาญณรงค์ ผมลืมของไว้ที่ห้อง อึก...คุณชาญณรงค์นั่งคอยคุณพ่ออีกสักประเดี๋ยวท่านก็คงออกมา ผมขอตัวก่อน” ภพดนัยฝืนบิดข้อมือให้หลุดจากการกอบกุมไว้ แต่ท่าทีไม่ยอมผ่อนปรนให้โดยง่ายทำให้ภพดนัยต้องมองช้อนอ้อนวอน

“คุณอย่าเพิ่งไปเลยครับ คนที่สมควรหนีหน้าคือผมต่างหาก ผมนี่แหละ นอกจากจะไม่สามารถช่วยศาสตราจารย์ให้สมความปรารถนาแล้ว ยังมามีโทษทำให้ลูกของท่านต้องเจ็บช้ำน้ำใจอีก  หากคุณภพดนัยลาจากโดยไม่รับรู้ความในใจผมแล้ว มีหวังผมคงครองตัวเป็นคนอยู่ไม่ได้อีก” สีหน้าดื้อดึงฉุดรั้งชายหนุ่มหน้าหวานไว้

“ผมต่างหากที่ทำไม่ดีกับคุณ ทำไม่ดีกับคุณพ่อ ทั้งที่รู้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับครอบครัว แต่ผมก็ยังไม่สามารถหาหลักฐาน หรือพยานมายืนยันได้ว่า อุบัติเหตุซึ่งเกิดกับตาพลเป็นผลมาจากสิ่งใด ทั้งที่ตัวเองเป็นลูกชายคนโต ควรจะเป็นคนที่สามารถปกป้องอันตรายจากทุกสิ่งได้ แต่ทุกอย่างกลับมืดมน มาตอนนี้ผมยังทำเกินเลยกับคุณเหมือนคนไร้ความสามารถไร้สติ ไม่สมควรเลยที่ผมจะนั่งให้คุณทนมองหน้าอยู่ได้ ขอเถอะครับ ปล่อยผมเถอะ”

เสียงพูดคุยของคนทั้งคู่ไม่ได้ดังเกินกว่าเสียงกระซิบแต่พจน์ที่อยู่ในห้องฝั่งตรงข้ามได้ยินและได้เห็นท่าทีนั้นชัดเจน ใจหนึ่งอยากออกมาปลอบใจคุณพ่อ เพราะเห็นได้ชัดว่าท่านกำลังโทษตัวเองอยู่ ใจหนึ่งก็บังเกิดความรู้สึกเห็นใจชาญณรงค์ ทำไมพจน์จะไม่รู้ว่า คนคนนั้นรู้สึกบางอย่างกับพ่อของพจน์ เพราะในเช้ามืดวันหนึ่งพจน์ได้ยินเสียงดังมาจากห้องของผู้ช่วยคุณปู่ที่เป็นสัญญาณว่า บุคคลคนนี้ไม่ได้รู้สึกกับพ่อของพจน์ในฐานะบุตรของเจ้านายตัวเองแต่เพียงเท่านั้น

ชาญณรงค์ตัดสินใจโอบคว้าตัวของภพดนัยเข้าหาตนแล้วกดใบหน้าเปื้อนน้ำตาให้ซบกับไหล่กว้างทันที จนภพดนัยไม่ทันได้คิดหรือขัดขืนได้ มือข้างหนึ่งลูบหลังปลอบ อีกด้านก็กอบกุมไว้แน่น ภพดนัยนั้นถูกอารมณ์รู้สึกผิดกัดกินใจมายาวนาน พอหวดกระตุ้นถูกจุดเสมือนมีคนมาทุบทำนบกั้นน้ำออกก็ไหลทะลักท่วมท้นทันใด ภาพความโดดเดี่ยวท่ามกล่างฝูงชนมากมายที่รุมล้อมศาสตราจารย์วิชัยในวันแถลงการณ์น้ำท่วมโลกฉายชัด ท่านเหมือนถูกทิ้งไว้ผู้เดียว ไม่มีใครสักคนเข้าใจ และคนที่เข้าใจท่านมากที่สุดตอนนี้กลับจมอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก เพราะอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อสิบปีก่อน คุณแม่ครับ ผมจะช่วยคุณพ่ออย่างไรดี หากคุณแม่อยู่ทุกอย่างคงไม่เลวร้ายเช่นทุกวันนี้ รอยยิ้มสักครั้งหนึ่งจากคุณพ่อไม่เคยปรากฏเลยนับแต่คุณแม่จากไป
 
“ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่าสักวันสิ่งที่ศาสตราจารย์พูดจะต้องมีใครสักคนเข้าใจท่าน และเห็นพ้องเช่นเดียวกับความคิดท่าน และตอนนี้ผมก็เห็นว่าคนคนนั้นไม่เพียงแต่เชื่อหรือเข้าใจเท่านั้น แต่ยังห่วงใย ดูแลทุกข์สุข คอยทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ไม่ว่าจะพยายามเสนอข่าวน้ำท่วมโลกให้มากที่สุดสวนกระแสกับความต้องการของมวลชน เป็นคุณไม่ใช่หรือ คุณภพดนัย แล้วอย่างนี้คุณจะมาบอกว่าเป็นคนไม่มีความสามารถ ไม่สมควรเป็นลูกชายคนโตได้ยังไง ในเมื่อทุกสิ่งที่คุณทำก็พิสูจน์ทุกอย่างทั้งหมดแล้ว”

ชาญณรงค์พูดเป็นประโยคยาวที่สุดเท่าที่พจน์เคยได้ยินเลยทีเดียว และนั่นส่งผลให้คุณพ่อของพจน์ค่อยๆหยุดสะอึกสะอื้นแหงนมองคนปลุกปลอบตัวทั้งโอบกอดไว้ด้วยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงสำนึกรู้ได้ว่าตัวเองแสดงกิริยาน่าอายให้คนตรงหน้าได้เห็นเสียแล้ว ก้มหน้าลงพร้อมกล่าวขอบคุณ เช็ดน้ำตาให้แห้งโดยเร็วแล้วผละถอยออกจากอ้อมกอดอุ่น

“ขอบคุณที่เตือนสติครับ” ภพดนัยรู้สึกว่าทุกข์ในอกลดทอนลงมากเมื่อได้ระบายทุกสิ่งผ่านน้ำตา พอได้สติครบถ้วนก็รู้สึกขัดเขินเกินกว่าจะนั่งอยู่เคียงกับอีกคนได้ เมื่อลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว เป็นตัวเขาเองสร้างบรรยากาศตรึงเครียดไม่สมควร อีกทั้งเผลอแสดงด้านอ่อนแอให้อีกฝ่ายได้เห็นเป็นเรื่องน่าอดสูใจ ฝ่ายชาญณรงค์เห็นรอยหมองลบเลือนออกจากหน้าภพดนัยแล้ว แต่ทีท่าเหมือนเผลอหลุดกิริยานั้นทำให้ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรต่อเป็นที่น่าเอ็นดู

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณภพดนัย คุณทำให้ผมมีกำลังใจจะช่วยศาสตราจารย์มากยิ่งขึ้น” ชาญณรงค์กล่าวจากใจจริง

“ครับ เอ่อ ถ้าอย่างนั้นคุณนั่งคอยอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมขอตัวลงไปตามส้มให้ยกอาหารเช้าขึ้นมา” ภพดนัยปรับอาการคืนดังเก่าเหมือนไม่มีอะไรเกิด

“ผมมีบางสิ่งจะพูดกับคุณครับ กรุณานั่งลงก่อน ผมยังไม่หิวสักเท่าไหร่” ชาญณรงค์จะเอื้อมมือไปไขว่คว้าเช่นเดิมแต่ก็รั้งกลับคืน

“อะ...อะไรหรือครับ” ภพดนัยก้มหน้ามองพื้นเรือนถาม

“ผมบอกว่ามีความในใจจะแจ้ง ไม่ทราบ...คุณยังจำได้หรือเปล่า”

รอยยิ้มกว้างผสานใบหน้าสุขสำราญเป็นสิ่งที่ภพดนัยสบเห็นได้ทันทีเมื่อเงยหน้าขึ้น

“ครับ แต่...”

“ผมอยากบอกคุณภพดนัยว่า...ผม....”

“คุณพ่อ!...”


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:18:08 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ zizits

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
มาอ่านรวดเดียวถึงตอนนี้เลย ชอบมากค่ะ แต่บางทีแอบแปลยากไปหน่อย5555 รอค่า

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]


พจน์ถลันพรวดผ่านผลักบานประตูห้องนอนแทบไม่ทันการณ์ ซ้ำร้องเรียกบิดาตนดังลั่น ภพดนัยสะดุ้งสุดตัวเพราะคำร้องคุ้นหู ผิดต่างจากชาญณรงค์กลับปิดปากเงียบแล้วทำหน้าเรียบเฉยตามเดิม เมื่อเห็นว่าคนร้องเรียกเป็นบุตรชายตนอาการผวาตื่นตกใจก็ลดลง
 
“มีอะไรหรือเปล่า พจน์ เรียกหาพ่อเสียงดังเลย”

“คือ...ผมมีเรื่องจะบอกคุณพ่อน่ะครับ พอดีผมชวนเพื่อนที่โรงเรียนไปอยุธยากับเราด้วย แต่บังเอิญเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อตอนตื่น เห็นคุณพ่ออยู่หอนั่งพอดีเลยดีใจไปหน่อยน่ะครับ” พจน์บอกกล่าวความจริงผสานด้วยคำแก้ตัว เหลือบเห็นชาญณรงค์นิ่งเฉยต่างจากอยู่สองต่อสองกับภพดนัยโดยสิ้นเชิง
 
ไม่ใช่เพราะพจน์กลัวคำพูดของชาญณรงค์ แต่เป็นเพราะในใจลึกๆแล้วเขาอยากพิสูจน์ให้แน่แก่ใจแล้วว่า บุคคลนี้ดีพอสำหรับครอบครัวเทพวิมาน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าความรักมันสวยงามเหมือนดอกไม้สีสดสวย เพียงแลเห็นหรือดอมดมก็ชื่นตาชื่นใจ แต่เคลือบผสานไว้ด้วยหนามแหลมคอยเกี่ยวปักทุกครั้งคราวไม่ระมัดระวัง พจน์ไม่อยากเห็นพ่อของตนต้องเจอดอกไม้แฝงหนามแหลมคมแบบนั้น หากเป็นเพราะคนทั้งคู่เป็นชายด้วยกันพจน์จึงคิดข้ออ้างอื่นมาขัดขวาง ตนขอปฏิเสธ เพราะความรักไม่ใช่มีหนทางเพียงแค่สายเดียว อีกทั้งเขาเองก็ไม่ได้ปฏิบัติไปในลู่ทางที่คนส่วนใหญ่เลือกเช่นกัน เหตุผลนี้จึงตกไป แต่มีบางสิ่งตะขิดตะขวงใจจนไม่อาจพูดคุยหรือเชื่อใจคนคนนี้ได้สนิทเหมือนเช่นดาว หรือทุกคนในบ้าน และคำตอบนั้นพจน์ก็ไม่อาจรู้ว่าอยู่ที่ไหน

“ลูกได้บอกหรือเปล่าว่าเราจะออกเดินทางตอนเช้ามืด นี่ก็ใกล้ถึงเวลาแล้วด้วย” ภพดนัยผุดลุกขึ้นเดินเข้าหาลูกชายคนเดียวพลางลูบโลมศีรษะ สายตาฉ่ำน้ำเช่นเดียวกับปากวาวสวย

“บอกครับ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าพวกมัน...เอ่อ พวกนั้นจะ...”

ยังไม่ทันพูดจบประโยค สายตาพจน์ก็เหลือบแลเห็นเงากลุ่มคนพร้อมเสียงพูดคุยดังขึ้นมาทางซุ้มบันไดหน้าเรือน และยังไม่ทันได้ประมวลความคิดว่าแขกผู้มาเยือนนั้นเป็นใคร แสงไฟสาดกระทบใบหน้าของชลนธี ซึ่งเดินนำขบวนเข้ามาด้วยท่าทีวางกล้ามใหญ่โต ตามมาด้วยไอ้โบท ไอ้กี ไอ้ต่อ ซึ่งทั้งสามคนนี้นัดใส่เสื้อลายดอกไม้แต่คนละสี เหมือนกำลังจะไปเล่นเทศกาลสงกรานต์ ส่วนไอ้รัก ไอ้เพียว ไอ้เอก ต่างสวมแว่นกันแดดสีดำโดยพร้อมเพียงกัน ถามจริงมองเห็นหรือเปล่า และมนุษย์ปกติธรรมดากลุ่มสุดท้ายก็ตามมา คือ ไอ้นาย และ....ปาล์ม ซึ่งแต่งตัวได้เหมือนคนที่สุด

“คุณพ่อพจน์ สวัสดีครับ” ทุกคนยกมือไหว้ทักทายเป็นเสียงเดียวกัน

ภพดนัยยิ้มกว้างเช่นเคย กวักมือเรียกทุกคนมานั่งรวมตัวกัน ณ หอนั่ง พวกมันแต่ละคนมีสัมภาระเป็นกระเป๋าเป้คนละใบ

“มานั่งพักกันก่อน เดี๋ยวพ่อจะหาอะไรมาให้ทาน”

“เอาของอร่อยๆนะครับ ผมไม่ได้ชิมอาหารที่บ้านคุณพ่อมาตั้งนานแล้ว คิดถึงแย่” น้องน้ำจีบปากจีบคอออดอ้อนพ่อของพจน์ ราวกับเป็นลูกคนเล็กอีกคนก็ไม่ปาน พลางเกาะแข้งเกาะขาบิดาตนพัลวัน

“ให้มันน้อยๆ ไอ้เตี้ยน้ำ” ไอ้กีโบกหัวน้องน้ำหยอกล้อจนเจ้าตัวหน้าคะมำ “ไม่ต้องหาอะไรให้มันทานหรอกครับคุณพ่อ ตัวเล็กแบบนี้กินไปก็ไม่โตขึ้นหรอก”

น้องน้ำเปลี่ยนจากหน้าชื่นตาบานเป็นหน้าบอกบุญไม่รับหันค้อนไอ้กีและทุกคนที่หัวเราะขำโดยพร้อมกัน มันแลบลิ้นส่งสายตาคาดโทษไว้เรียงตัวรวมทั้งพจน์ด้วย พอหันมาทางภพดนัยก็ปั้นหน้าระรื่นยิ้มแย้มกว้างกว่าเดิม เจ้านี่มันร้ายนัก พจน์คิดในใจ

“ถึงตอนนี้ยังไม่โต กินเยอะๆเดี๋ยวก็โตเองแหละเนอะ พ่อว่า” ภพดนัยสัพยอกเล่นด้วย ก่อนจะแนะนำชาญณรงค์ที่นั่งเป็นเทวรูปให้เพื่อนพจน์รู้จัก ทุกคนยกมือไหว้ตามมารยาท เสร็จแล้วภพดนัยและชาญณรงค์จึงขอตัวลงไปที่โรงครัวเพื่อหาของกินมาขุนน้องน้ำและไอ้พวกตัวโตทั้งหลาย

“มึงเอารถอะไรมาวะ ไอ้กี” พจน์กระซิบถาม ถ้าอยู่ในบ้านพ่อเขาสั่งไว้ห้ามพูดหยาบคาย

“รถตู้บ้านกูไง ไอ้ห่า มึงได้อ่านข้อความหรือเปล่าเนี่ย” คุณกีสาดคำหยาบแผ่วเบาใส่พจน์ทันที โชคดีที่พ่อพจน์ไม่อยู่ ไม่งั้นอดกินอาหารเช้าแน่พวกมึง

“เออ อ่านสิวะ คนมันลืมกันได้นี่หว่า งั้นเดี๋ยวกูลงไปช่วยพ่อยกอาหารขึ้นมาดีกว่า รออยู่บนนี้ก่อนแล้วกัน” พจน์เตรียมลุกขึ้น น้องน้ำฉีกยิ้มกว้าง นั่งรอกินกระดิกปลายเท้าเสมือนเป็นลูกชายเจ้าของบ้านเลยนะ พจน์กะจะโบกหัวเกรียนๆนั่นสักหน่อยแต่ไอ้น้ำก็หลบหลีกได้ทัน

“กูไปด้วย”

ให้ทายว่าเป็นคำพูดใคร ถ้าไม่ใช่ผู้เป็นสุภาพบุรุษที่สุดในกลุ่ม คนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของพจน์ นับแต่มันขึ้นมาบนเรือนไทยเทพวิมานพจน์พยายามพูดคุยหยอกล้อ หรือโฟกัสสายตาไปยังจุดอื่นที่ไม่ใช่ตัวของเปรมณัฐ ไอ้ตี๋หล่อผลุดลุกขึ้นโดยไม่ทันฟังคำตอบของพจน์ พวกเรายืนสบตากันอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้จนกระทั่งคุณโบทพูดขัดขึ้นว่า

“มึงจะจ้องให้ท้องกันเลยหรือไง เร็วดิ กูหิว”

“เออๆ เร่งจังวะ” พจน์ผละสายตาออกก่อน แล้วเดินจ้ำพรวดทะลุทางหลังเรือน ผ่านประตูกั้นเรือนชั้นนอกเข้าเรือนชั้นใน แล้วเดินลัดเลาะตามทางคุ้นชินเพื่อหาประตูออกสู่ระเบียงด้านหลัง เสียงฝีเท้าตามติดอยู่ไม่ห่าง พจน์ไม่รู้ว่าระหว่างเส้นทางเดินสู่โรงครัวกับเส้นทางปัญหาภายในใจอย่างไหนยาวไกลกว่ากัน เพราะยิ่งพจน์เร่งฝีเท้ามากเท่าไหร่ ดูเหมือนไม่ถึงชานเรือนด้านหลังเสียที จนเผลอใจร้อนก้าวสะดุดเท้าตัวเองเพราะอาการเร่งรีบไม่อยากอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดเช่นนี้

ทันทีเมื่อกำลังหน้าคะมำคว่ำใส่พื้นเรือนไทย เปรมณัฐก็พุ่งตัวมาโอบเอวคว้าหมับราวกับมันล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เมื่อฝ่ามือยาวของไอ้ปาล์มแตะสัมผัสเสื้อสีขาวบางสำหรับสวมใส่นอนของพจน์ เด็กหนุ่มผู้พยายามหนีก็สะดุ้งเฮือกไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะโถมพุ่งว่องไว ฉับพลันจึงบังเกิดความรู้สึกใจเต้นระทึกตกประหม่า อาจด้วยออกแรงจ้ำเดินรีบร้อน หรือเพราะโอกาสใกล้ชิดแนบกายระหว่างคนทั้งสองกันแน่ พจน์ภาวนาขณะหลับตาให้เป็นอย่างแรก

“มึง...เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ไอ้พจน์” เสียงทุ้มที่พจน์เกือบลืมไปแล้วกระซิบแผ่วใกล้กกหู พจน์ขนลุกตั้งชันทันที พร้อมเปิดตามองใบหน้าใกล้นิดเดียวของปาล์มระยะห่างไม่ถึงครึ่งไม้บรรทัด ร่องรอยชกต่อยกับพีธนะยังคงปรากฏแต่เลือนรางลงแล้ว พจน์ไม่เคยเห็นรูปหน้ามันชัดเจนเท่านี้ อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนพจน์ไม่ได้สังเกตจริงจัง ดวงตาชั้นเดียว คิ้วเข้ม จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากสีส้มนั้น ทำให้พจน์ถึงกับต้องกลั้นลมหายใจ

“เอ่อ ไม่อ่ะ” อ้อมแอ้มผลักอกปาล์มออกห่างจากตัว แล้วหันหลังให้เพื่อนที่เคยสนิท
 
“มึง...ยังโกรธกูอยู่หรือวะ” พึมพำแต่ชัดเจน

“เปล่า”

“แต่...มึงทำตัวแปลกๆ ไม่เหมือนเดิม”

“ก่อนจะว่าคนอื่น มึงมองดูตัวเองหรือยัง คนที่แปลกไปเป็นมึงต่างหาก” พจน์ขยับตัวเผชิญหน้าสวนกลับทันควัน “มึงเปลี่ยนไป ทำไมกูจะไม่รู้ ถ้าเป็นเพราะว่ากูได้ยินความในใจของมึง แล้วทำให้คนอย่างมึงไม่พอใจก็บอกกูดีๆ กูจะได้ลบมันออกจากสมอง ไม่ใช่ให้มึงมาเปลี่ยนท่าทีแบบนี้”

“กูไม่ได้ชอบมึง”

พจน์ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดประโยคนี้ซ้ำสอง ใจซึ่งตระเตรียมไว้สำหรับสู้รบตบมือกับไอ้คนหัวดื้อเมื่อถูกคำพูดเดิมหวดซัดโดยไม่คาดคิด ก็นิ่งอึ้งดั่งน้ำท่วมปาก

“กูทำตัวเป็นปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่มึง...ต่างหากที่ไม่เหมือนเดิม ไอ้พจน์” แววตาตัดพ้อนั้นชัดเจนจนพจน์ต้องเสหลบมองอ่างดอกบัวใต้โคนเสาเรือน “เรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ใช่ไหม เพราะตอนนี้ท่าทีของมึงเหมือนไม่อยากได้กูเป็นเพื่อนเคียงข้างมึงอีกแล้ว”

พจน์ไม่เข้าใจคำพูดของไอ้ปาล์มแม้แต่น้อย ว่ามันมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ อย่างไหนคือความสัมพันธ์ที่มันต้องการ ในเมื่อท่าทีเย็นชาเมินเฉย พจน์กลับรู้สึกได้ทุกครั้งนับแต่เผลอยินคำสารภาพที่มันยืนยันหนักแน่นว่า โกหก

“กูสับสนว่ะ” พจน์รู้สึกเวียนหัวจนเซพิงเสาเรือนหน้าห้องพระ
 
“กูขอโทษ หากทำให้มึงรู้สึกแบบนั้น แต่ได้โปรดอย่าโกรธกู เวลาที่มึงไม่สบายใจหรือเครียดหาทางแก้ไม่ออก กูยังสามารถเป็นคนคนนั้นที่มึงกอดให้คลายความกังวลได้อยู่หรือเปล่าวะ”

ทั้งน้ำเสียงทั้งท่าทีหรือคำพูดทั้งหมดล้วนเป็นปกติเช่นมันเคยกระทำ แต่ตอนนี้พจน์กลับรู้สึกว่าทุกสิ่งเป็นความจริงจอมปลอมทั้งสิ้นโดยไอ้ปาล์มพยายามสร้างขึ้นมาให้เหมือนเดิม ในใจพจน์ไม่เคยรู้สึกเจ็บเท่านี้มาก่อนทั้งที่รู้ใจตัวเองแล้วว่าตนรักใครกันแน่ แต่โซ่ตรวนซึ่งอยู่เบื้องหน้านี้กลับพันธนาการฉุดพจน์ไว้เหมือนคนเห็นแก่ตัว เหมือนคนจับปลาสองมือ ไม่อาจปล่อยสิ่งมีค่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปได้ จึงยื้อไว้จนสุดความสามารถ เจ็บ....ไม่ใช่ว่าพจน์รู้สึกรักปาล์มเทียบเท่ามาตะ แต่เป็นความสัมพันธ์คลุมเครือนั้นต่างหาก มันผนึกแน่นจนไม่อาจระบุความรู้สึกที่แท้จริงได้ หากเจ้านั่นเลือกเส้นทางนี้ พจน์ก็ไม่เห็นหนทางอื่นนอกจากความเจ็บปวด ไม่ใช่เกิดกับใจพจน์เท่านั้น แต่มันต่างหากที่เจ็บกว่าพจน์หลายเท่านัก

“กูยังเป็นคนคนนั้นอยู่หรือเปล่า” เปรมณัฐเอื้อมคว้าข้อมือพจน์กอบกุมไว้ พจน์ไม่อยากทำแบบนี้เลย รู้ว่ามีทางเลือกอื่น และมีวิธีทำให้ไอ้ปาล์มไม่ต้องหลอกตัวเองต่อไปแบบนี้ แต่ในเมื่อมันเลือกว่า ไม่ได้รักพจน์ ความเจ็บปวดนั้นจะคงอยู่กับเปรมณัฐตลอดกาล
 
“อืม”

ภัทรพจน์พยักหน้า ยินยอมกับความต้องการแน่วแน่ของมัน รอยยิ้มกว้างดูก็รู้ว่าแสร้งทำเผยชัดบนใบหน้าตี๋หล่อ

“ก็แค่นี้แหละ กูจะได้แน่ใจว่ามึงไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างที่กูคิด”

พูดจบมันก็โอบคว้าตัวพจน์กกกอดไว้ แล้วลูบหลังปลอบเช่นเคยทำ

“กูขอโทษที่หลบหน้าเมินเฉยมึง กูเองก็มีส่วนผิด แต่ตอนนี้กูรู้แล้วว่าเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ และมึงไม่ได้เปลี่ยนไปเหมือนที่กูคิด เรามาดีกันนะ” เปรมณัฐยื่นนิ้วก้อยมาให้พจน์เหมือนเด็กๆง้อขอคืนดี พจน์มองกิริยาน่าเอ็นดูแล้วนึกขำหลุดยิ้ม

“เร็วดิ”

ในใจจริงๆของมึงรู้สึกอย่างไรกันแน่ ปาล์ม พจน์อยากมีความสามารถอ่านใจคนได้เหลือเกิน เขาฝืนยิ้มกว้างราวกับไม่มีเรื่องข้องใจเกิดขึ้นระหว่างกันมาก่อน แล้วเกี่ยวนิ้วก้อยคืนกลับ หักใจละความสัมพันธ์นี้ทิ้งไว้ ถ้านี่คือบทสรุปที่ไอ้ปาล์มต้องการ พจน์จะมีสามารถใดไปฝืนขัดขวางได้

“อ้าว พี่ปาล์ม มาอยู่นี่เอง แพรวเดินตามหาซะทั่วเลย” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งผุดรอดมาจากหมอกสีขาวซึ่งปกคลุมเรือนไทย เธอเป็นคนเดียวกับที่ไปหาไอ้ปาล์มหน้าห้องสภานักเรียนเมื่อเย็นวาน และบอกว่ามีนัดดูหนังกับเลขาฯสภาหน้าตี๋หลังเลิกเรียน

“พะ...แพรว มาได้ยังไง”

สีหน้าหม่นหมองผุดขึ้นชั่วแล่น ก่อนเปรมณัฐจะใช้ความสามารถขั้นเทพปกปิดได้รวดเร็ว

“พี่ปาล์มจะทิ้งแพรวไปเที่ยวอยุธยาแบบนี้ได้ยังไงกัน ถ้าแพรวไม่หลอกถามพี่โบท แพรวจะรู้ไหมว่าพี่ปาล์มโกหกแพรว” วงหน้าสวยใสสมวัยมามีอันลดคุณค่าลงเมื่อถูกรอยบึ้งเข้าครอบครอง พจน์พยายามบิดนิ้วก้อยออกจากนิ้วของเด็กหนุ่มหน้าตี๋ แต่เจ้านั่นก็ใช้ตัวหนาบังมือไว้ไม่ให้หญิงสาวผู้มาเยือนเห็น

“เบาเสียงหน่อยแพรว” คำพูดสุภาพนิ่งขรึมตอบโต้อีกฝ่าย “แล้วพี่ก็ไม่ได้โกหกเรา”

“นี่ยังไม่เรียกว่า โกหก อีกหรือคะ พี่ปาล์ม” เด็กสาวชื่อแพรวตวาดแว้ด

“พี่บอกแล้วไงว่าให้พูดเสียงเบา นี่แพรวกำลังรบกวนสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอยู่นะ” เปรมณัฐห้ามปรามใจเย็น พจน์ไม่นึกว่าเจ้านี่นอกจากเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึกแล้ว ยังปากว่าตาขยิบ ยึดข้อนิ้วก้อยของพจน์ไว้แน่น ฝืนบิดอยู่นานก็ไม่หลุดสักที

“ก็ได้ค่ะ ถ้าพี่ปาล์มบอกแพรวดีๆ ไม่ใช่บอกว่าจะไปหาญาติที่ต่างจังหวัด แพรวก็คงไม่ต้องโมโหขนาดนี้” แพรวลดเสียงเบาลง เมื่อเจอวาจาน้ำเย็นเข้าลูบ

“ดีแล้ว งั้นแพรวมายังไง ให้พี่เรียกแท็กซี่ไปส่งที่บ้านไหม”

พจน์ลอบเห็นสีหน้าสงบพลันบึ้งตึงทันควัน เขาไม่เคยเจอสาวเอาใจยากเท่าคนคนนี้มาก่อน

“แพรว-จะ-ไป-อยุธยากับพี่ปาล์มค่ะ”

เปรมณัฐนิ่งเงียบทันที พจน์ไม่เห็นสีหน้าเจ้าตัว เดาว่ามันคงทำหน้านิ่งเหมือนเดิม

“เราเป็นแฟนกันนะคะ!”

หญิงสาวขึ้นเสียงอีกครั้ง พจน์สะดุ้งไม่ใช่เพราะถ้อยคำประกาศความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง แต่เป็นเพราะเสียงหวีดแหลมนั่นต่างหากจนต้องใช้นิ้วข้างเดียวอุดหู

ปาล์มเหลียวหลังมองพจน์หน้าละห้อย

“กู...ขอเอาคนไปเพิ่ม...ได้ไหมวะ”

แพรวเหลือบมองตามสายตาเปรมณัฐก็สะดุดเข้ากับพจน์ หญิงสาวทำหน้าตื่น แล้วยิ้มแก้ขวยเหมือนขอลุแก่โทษ

“ก็แล้วแต่มึงดิ และที่สำคัญปล่อยนิ้วกูด้วย” ประโยคท้ายพจน์กระซิบกระซาบใส่หูเปรมณัฐ เจ้าตัวคลายนิ้วก้อยออกทันทีประหนึ่งลืมตัว

พจน์ไม่อยากนึกเลยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับปาล์มและพ่วงน้องแพรวคนสวยมาด้วยนี้จะเป็นอย่างไร ใจหนึ่งอดเป็นห่วงไม่ได้ หากพจน์จะลองปลงใจเชื่อว่า ความ รัก ที่มันเลือกนี้ดีสำหรับทุกคนแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะ ต้องห้าม อีก


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
______________________________

น้ำนิ่งไหลลึก : หงิมๆไม่ค่อยพูด
ปากว่าตาขยิบ : พูดว่าไม่ดีแต่กลับสนับสนุนหรือทำสิ่งที่ตนว่าไม่ดีนั้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2016 14:13:59 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
อีรุงตุงนังดีแท้ๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
มาอ่านรวดเดียวถึงตอนนี้เลย ชอบมากค่ะ แต่บางทีแอบแปลยากไปหน่อย5555 รอค่า
โห....นับถือมากครับ อ่านตั้งแต่แรกจนถึงตอนล่าสุด นับถือๆ อาจจะอ่านยากนิดนึงครับ แต่ค่อยๆอ่านไม่ต้องเร่งรีบครับ เดี๋ยวจะพลาดข้อมูลสำคัญไป แล้วจะหาว่าไม่เตือนนะครับ อิอิ

o13 น่าติดตามเสมอ :pig4:
ขอบคุณครับที่ติดตาม ยังไงก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนน้า มาอ่านเป็นกำลังใจให้คนเขียนบ่อยๆนะครับ

อาจารย์แกล้งทำให้พจน์สงสารมาตะ
รอวันมาตะปรับความเข้าใจกับพจน์

 :pig4:  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
มาตะของเราปิดบังความลับไว้แบบนี้จะง้อพจน์ยังไง รอติดตามครับ สปอยว่า ถึงพริกถึงขิงแน่นอน

o13 o13รอติดตามอย่างจดจ่อ :katai4:
ตอนล่าสุดเพิ่งลงครับ มาอ่านกันเยอะๆน้า คอมเมนต์เพียงหนึ่งก็เพิ่มกำลังใจให้คนเขียนได้ล้านเท่าเลยครับ

:mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
  :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:

ชอบมากกกกก ถึงแม้ว่าจะอ่านยากไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็ชอบนะ ชอบที่เรื่องมันลึกลับดี มีอะไรให้น่าติดตาม
ขอบคุณครับ อ่านยากแต่ค่อยๆอ่านนะครับ เดี๋ยวก็คงจะคุ้นเคยเอง รอติดตามนะครับๆ

:hao4:
เอ๋? เป็นอะไรครับ 555

พจน์อาจเป็นคนสำคัญที่มีส่วนช่วยเมืองของมาตะไว้ได้
แต่ขออย่าให้มาตะต้องไปตบแต่งกับใครหรือแม้แต่พจน์เอง
ก็ขออย่าให้ได้มีคำทำนายว่าต้องแต่งกับพี่ชายมาตะเลย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
อืมม...พจน์ก็คือ...นั่นแหละครับ มาถูกทางแล้ว ส่วนมาตะจะไปแต่งงานกับใครหรือพจน์จะแต่งกับพี่ชายมาตะหรือเปล่านี่ ต้องรอติดตามครับ บอกได้คำเดียวว่า ปวดใจ

ภัทรพจน์จะเป็นใคร นะ มีความสำคัญ...อะไร ยังไง ตื่นเต้นๆ รอ 100 % :call:
พจน์ก็เป็นนายเอกของเรื่องนี้ไงครับ 5555 ล้อเล่น เรื่องราวเริ่มเปิดเผยที่ละน้อย คุณคงเดาได้ว่า พจน์ข้ามพิภพมาเพื่ออะไร แล้วจะเกิดเหตุการณ์อะไรต่อนับจากนี้ลองคาดเดาเล่นๆไว้ เดี๋ยวผมมาเฉลยว่า จะตรงกับใจคุณหรือเปล่า โอเคนะ

:mew5:
อ้าว...ไม่สบายหรือเปล่าครับเนี่ย หน้าคล้ำหน้าม่วงเลย

สนุกดีแต่งงนิดๆเพราะไม่เก่งกลอน
ขอบคุณครับ ภาษาในโคลงกลอนบางคำอาจไม่เห็นในชีวิตประจำวัน ลองเปิดพจนานุกรมดูความหมายก็จะเพิ่มอรรถรสในการอ่านมากขึ้นครับ ลองดูๆน้า

มาติดตามให้กำลังใจ ชอบมาก
คอมเมนต์สั้นๆแค่นี้ ก็เป็นกำลังใจผมได้มากเลยครับ อย่าลืมติดตามเรื่องราวต่อนะครับ

ภาษาสวยใกค่ะ!
ชอบๆ
สู้ๆนะคะเป็นกำลังใจให้กับผลงานดีๆเรื่องนี้ค่ะ^^
ภาษาไทยเป็นภาษาที่สวยงามที่สุดในโลกนะผมว่า ขอบคุณที่คุณชอบ เรามาอนุรักษ์ภาษาไทยโดยการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องกันนะครับ

เป็นนิยายที่ทรงคุณค่าทางภาษาเรื่องหนึ่ง ภาษาสวยงาม เนื้อเรื่องดี เก็บทุกรายละเอียด บ่งบอกถึงความตั้งใจของคนเขียนมากๆ (ถ้าได้หนังสือเรื่องนี้ไว้ในครอบครอง คงจะดีไม่น้อยเลย )ให้กำลังใจคนเขียน... :mc4:
ขอบคุณที่คุณชอบครับ เรื่องนี้วางโครงเรื่องมาประมาณหลายปีเลยครับกว่าจะแล้วเสร็จ เรื่องราวยังดำเนินมาไม่ถึงหนึ่งในสามเลยครับ หวังว่าคุณจะชอบและรอติดตามต่อไป ส่วนจะรวมเล่มหนังสือนั้นคงต้องรอกระแสก่อนครับ แล้วอีกอย่างนิยายก็ยังไม่ใกล้คำว่า จบบริบูรณ์ เสียด้วย น่าจะรอ....กันต่อไป คอยเป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะครับๆ

แล้วพจน์จะอธิบายว่าตัวเองเป็นใครยังไงกันเนี่ย ตัวละครโผล่มาอีกหนึ่งแล้ว ท่าจะชอบพจน์แน่ มาตะจะทำยังไง รออ่านตอนหน้า รีบมาต่อไวๆ นะคะ
คุณคงรู้แล้วว่าพจน์แก้ตัวในฉากนี้ยังไง แล้วตัวละครใหม่มีทีท่ายังไงกับพจน์ แต่ขอบอกว่า อย่าหลงเทใจจากมาตะให้พระมหาอุปราชแล้วกันครับ รอติดตามน้า


เอาแล้ว แล่วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กลายเป็นว่ามีตัวพระเพิ่มมาอีกหนึ่งซะอย่างงั้น
มาตะนี่เป็นราชบุตรบุญธรรมด้วย ว้าววววว
ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันคงต้องบอกว่า หล่อล่ำบ้านรวย(เมียสวยม๊ากๆ) สินะคะ
ขอซื้อลิขสิทธิ์คำนี้นะครับ หล่อล่ำบ้านรวยเมียสวยม๊ากๆ ตรงกับคาแรกเตอร์มาตะจริงๆ 555 ตัวละครใหม่นี้ จะมาสร้างอุปสรรคให้ความรักมาตะพจน์หรือว่ายังไง ขอจงโปรดติดตามเป็นกำลังใจด้วยนะครับ

มาตะโกหกพจน์ระวังพจน์จะไม่ยอมกลับไปหาอีก
หวังว่าจะไม่เกิดรักหลายเศร้าแย่งชิงพจน์กันนะ :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
อืม รักหลายเศร้านี่ดูจากเรื่องราวแล้วเห็นจะไม่พ้นแน่ครับ แต่ว่าพจน์กับมาตะจะฝ่าฟันอุปสรรคไปได้หรือไม่ รวมถึงพจน์จะกลับไปหามาตะอีกหรือเปล่านั้น รอติดตามครับ

ตายแน่ๆล่ะคราวนี้  คงไม่มีการตัดหัวกันหรอกนะ  เป็นนิยายในรอบปีเลยที่น่าสนใจและน่าติดตามมาก นานๆทีจะมีนิยายแนวที่ชอบมา ขออย่างเดียวโปรดแต่งให้จบอย่าหนีกายไปไหน  เพราะนิยายที่ถูกใจจริงๆแบบเรื่องนี้หาอ่านยากมาก  และนานๆทีจะมีสักเรื่อง  และอีกอย่างนิยายที่ชอบมากคนแต่งมักจะแต่งไม่จบและหนีหายไปเลย เช่น  ดวงใจรามสรู  รองไปอ่านดูเผื่อจะชอบกัน  ดวงใจหมาป่า  เรื่องนี้เหมือนหลายปีมาแล้ว  มันหายไปพร้อมกันคนแต่ง  เสียดายมาก  ส่วนเรื่องนี้คงไม่ทำให้ผิดหวังนะครับ  แต่เรื่องนี้มีบ้างจุดที่ทำให้คนอ่านงง  คือภาษาคำพูด  มันดูสวยงามแต่บ้างครั้งมันทำให้งงและตีความไม่แตกบ้าง
ชอบมากครับคอมเมนต์ยาวๆแบบนี้ ขอบคุณที่คุณชอบ ขอสัญญาว่าจะไม่หนีหายไปไหนแน่นอน นอกจากช่วงติดภาระหน้าที่การงาน ก็จะไม่ได้อัพตอนบ่อยอย่างที่ใจนึกไว้ แต่ก็ไม่หายไปง่ายๆแน่ ผมวางโครงเรื่องทั้งหมดจบแล้ว เหลือแต่เขียนให้จบเท่านั้น ผมต่างหากที่จะกลัวคุณเบื่อหรือหนีหายทิ้งผมไปซะก่อน ด้วยคะเนแล้ว นิยายเรื่องนี้คงมีมากตอนแน่ๆกว่าจะถึงบทสรุป ผมได้ลองตามไปอ่านนิยายที่คุณแนะนำแล้วถูกจริตกับผมสมกับคำคุณจริงๆ ยังไงก็ขอบใจมากๆนะครับ เรื่องภาษาที่บางครั้งหลายคนอ่านแปลความไม่ออก ผมมีแนวคิดว่า หากตอนต่อไป มีคำที่คิดว่าผู้อ่านจะไม่ทราบความหมายแน่ๆจะด้วยเป็นลักษณะคำเก่า หรือไม่อาจพบเห็นได้ในปัจจุบัน หรือมีความหมายขยายความน่าสนใจแล้ว ผมจะเขียนเป็นเชิงอรรถเขียนไว้ส่วนล่างของแต่ละตอนแล้วกันนะครับ

o13 o13 o13 o13 o13 o13
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณครับ

:-[ :-[ :-[
เขินอะไรหรือครับ อิอิ

หวานมากกกกกกกกกก :katai2-1:
หวานขนาดไหนครับ ลองบรรยายความรู้สึกหน่อย อิอิ

ช่างกล้าเรียกตัวเองว่า "มาตะคนซื่อ" ไอ้เจ้าเล่ห์!
 :hao6: :hao6:
555 ถ้ามาตะมาเห็นคอมเมนต์นี้ เจ้าตัวจะว่ายังไงละเนี่ย พี่ท่านคงแก้ตัวกันยาวหลายบรรทัดแน่ครับ

เย้ พจน์บอกรักได้เต็มปากแล้ว
ดีใจแทนมาตะด้วย เย้ๆๆๆ

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
:hao6:

นี่อ่านไปด้วยหน้านิ่งๆ แต่ใจนี่เต้นแรงมากกกกกกก อะไรมันจะ...ฮึ่ม!...ฮึ่มม!!!!

วารีดำเนิน 5555 :haun4: :haun4:
ดีใจที่ทำให้คุณ วารีดำเนิน ครับ 5555 ล้อเล่น ขอบคุณที่ทำให้คุณรู้สึกอินไปกับตัวละคร ขอบคุณมากครับ


โอ้ยยยยยยยยยยยยย งื้ออออออออออ! คือเขินมาก มันหวานมาก เลี่ยนมาก และเร่าร้อนมากพอกัน นอนๆอ่านไปก็ขนลุกซู่ หน้านี่ร้อนเลยค่ะ ต้องกรีดร้องอัดหมอนเพราะกลัวแม่ด่าว่าเสียงดัง(ฮา)

 :o8: :o8: :o8:
ขอโทษครับ เกือบทำให้คุณโดนแม่ว่าเสียแล้ว คราวหน้าลองเปลี่ยนจากหมอนเป็นเปิดเพลงกลบสิครับ จะได้ร้องดังๆได้ เย้ๆ

ขอเม้น เพราะสะพรึง "คำหวาน" มาตะมากๆ ถ้าโดนจีบแบบนั้นคง :a5: :a5: :a5:
แต่บทกลอน เข้าพระเข้านาง หื่นจรุงง คนเขียนแต่งเก่งงงง นึกถึงกลอนขุนแผนอึบสาว 555
เป็นตอนที่ผมฟังเพลง คำหวาน ประมาณร้อยรอบได้ กว่าจะเขียนตอนนี้จบ แต่ที่ว่าเหมือนกลอนขุนแผนอึบสาวนี่ ทำให้ผมเห็นภาพตามจริงๆครับ แฮ่ๆ

คิดถึง
ผมก็คิดถึงคุณครับ มาติดตามชีวิตมาตะพจน์กันต่อน้า

กรีดร้อง 50% :ling1: :heaven
ใจเย็นๆครับ 555

กอดคนแต่ง อิ่มเอิบมาก ยิ่งอ่านยิ่งมีความสุข  :กอด1:
แต่พอเห็น 50% แล้ว ไม่กอดคนแต่งแล้ว ใจร้าย ค้างงง :katai1:
ไม่ใจร้ายหรอกครับ แค่อยากให้คนอ่านทุรนทุรายก็แค่นั้น หลบแปบ 5555

พอเลื่อนมาถึง TBC 50% แบบ  อ่ะ......อะไรอ่ะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ     อ้างปากค้างกันเลยทีเดียว
พักเบรค หายใจหายคอกันหน่อยครับ ไม่ได้แกล้งน้า เดี๋ยวคุณจะหัวใจวายต่างหาก นี่ผมเป็นห่วงคุณหรอก อิอิ

:ling1:ค้าง  ลุ้น รอ ไร้ท  :katai4:
สนุก ชอบ ลึกลับ สมชื่อ ข้ามพิภพ  :katai2-1:
ไร้ท เขียนเก่งมาก คนอ่านตีความกันจ้าละหวั่น  :mew1:
อรรถรสทางภาษา ยอดเยี่ยม หรือไร้ท ก็ข้ามพิภพ มาเช่นกัน  :katai1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ผมไม่ได้ข้ามพิภพมาหรอกครับ แต่ผมข้ามสะพานลอยมาทำงานทุกวัน 5555 ขอบคุณที่คุณชอบ อย่าลืมติดตามนะครับ

o13
แค่สติ๊กเกอร์อันเดียวก็เป็นกำลังใจในการเขียนบทต่อไปได้มากเลยครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-05-2016 17:31:00 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ iNcamisang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านแล้ววางไม่ลงจริงๆ จะตามอ่านต่อไปปปปปปป  :mew1:

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ runtothemoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ในที่สุดได้อ่านตอนใหม่แล้วเย่ จุดพลุลลล  คิดถึงน้องพจน์มากกกกกกกกกก ตอนนี้ขอแนะนำให้พจน์ปลงกับปาล์มซะเถอะไหนๆเค้าก็ยืนยันแบบนั้น=_=;; มาวางแผนเอาคืนมาตะคนซื่อ(หรอ?)กันดีกว่า55555555555สมควรจะงอนนานๆไปเลยพจน์ถูกเสมอ มาตะทำอะไรก็น่าโมโหในสายตาเรา555555555 แอบกังวลเรื่องคุณผู้ช่วยว่าจะจริงใจกับคุณพ่อรึเปล่า มาดีมาร้ายหรืออะไร;__; กลัวจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่คุณก็รู้ว่าใคร(?) แฝงตัวมาในครอบครัวพจน์ ระวังๆตัวนะลูกกกกกพี่เป็นห่วงมาก อินเหลือเกิน :hao5: :hao5: :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NuTonKaw

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ปาล์มถูกโหวดออก  :ling1: เฮ้อออ่านแล้วเห็นปมพันกันยุ่งเลย

พจน์สู้ๆ ค่อยๆตามแก้กันไปทีละนิดๆ :mew1:

ออฟไลน์ zizits

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ภาษาสวยจริงๆ และปมก็เยอะมาก กลัวตอนท้ายจะเก็บปมไม่หมดจัง สู้ๆนะคนเขียน ทำงานหนักเลย

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
สวัสดีครับคนแต่ง  ผมไม่เบื่อนิยายเรื่องนี้แน่นอน  ยิ่งอ่านยิ่งสนุกนะ  ยิ่งอ่านมันยิ่งมีปมขึ้นเรื่อย  ทำให้ระแวงไปหมด  กลัวพจน์จะเพี่ยงพร่ำ  ขนาดรู้ว่ามาตะมีคู่มั่นยังทำให้อ่อนแย่เลยอ่ะ  ส่วนเรื่องคุณพ่อนี้ก็อ่านแล้วอึดอัดใจไแด้วยเลยกะความรักครั้งนี้  แต่กลัวว่ามันจะไม่ใช่ความจริงนะสิ  ถ้าเป็นตัวร้ายคงรู้สึกแย่  อีกอย่างกลัวใจพจน์ด้วย  แต่คนแต่งคงไม่โหดกับคนอ่านขนาดนั้นใช่ไหมครับ  จะรอต่อไป  คนแต่งก็สู้ๆนะครับผม 

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๒๔



เพื่อนรักทาสภักดี

   

แสงรุ่งอรุณฉายฉานเหนือริมขอบฟ้ามาได้สักระยะแล้ว ขณะพจน์กำลังนั่งงัวเงียสะลึมสะลืออยู่ในรถตู้ซึ่งกำลังออกเดินทางสู่เมืองเก่าอยุธยา เด็กหนุ่มเหลือบแลภาพทุ่งนาเขียวขจีถูกปกคลุมด้วยละอองหมอกสีขาวดูราวกับปุยเมฆแล้วรู้สึกสดชื่นแจ่มใส สองข้างทางเป็นผืนเกษตรกรรมกว้างใหญ่แทรกด้วยไม้ยืนต้นขนาดมหึมา ริมทางซ่อนซากเจดีย์ปรักหักพักผุดแซมอยู่หลังดงไม้เป็นระยะ บรรยากาศสลัวรางสะท้อนประกายแดดอ่อนทอแสงทองระยิบระยับ ปลุกสติกลับคืนทดแทนความง่วงงุนเพื่อชื่นชมทัศนียภาพตามธรรมชาติซึ่งไม่อาจหาดูได้แล้วในเมืองหลวง

หลังจากทุกคนรับประทานอาหารเช้าที่เช้ากว่าปกติแล้ว จึงตระเตรียมขนสำภาระขึ้นรถยนต์สองคัน และรถตู้อีกหนึ่ง โดยมีป้าแจ่ม ลุงชม และพี่ส้มอาสาอยู่คอยเฝ้าเรือน ทั้งนี้พี่ส้มแสดงอาการอยากมาด้วยแต่ก็ไม่อาจค้านสายตาดุของป้าแจ่มได้จึงจำยอม โบกมือลาเด็กทั้งสองด้วยสายตาน่าสงสาร พจน์คิดว่าควรจะซื้อของมาฝากพี่ส้มเป็นรางวัลปลอบใจ ระหว่างพจน์ยืนรวบรวมความกล้าเมื่อเห็นศาสตราจารย์วิชัยนิ่งขรึมมองพวกลูกลิงช่วยขนของขึ้นรถอยู่นั้น เพียงเด็กหนุ่มนัยน์ตาสวยอ้าปากจะเอ่ยเรื่องเหตุหายนะภัยรวมถึงคำเตือนของพราหมณ์โกสินธพ ก็ถูกคุณปู่เอ่ยปากห้าม ราวกับล่วงรู้ในสิ่งที่พจน์ตั้งใจจะพูด

“ไม่มีประโยชน์ที่คนเราจะทำในสิ่งซึ่งหมดศรัทธาต่อไปแล้ว ตาพจน์ สักวันหนึ่งแกจะเข้าใจในสิ่งที่ปู่พูด”

นั่นทำให้พจน์ไม่กล้าเอ่ยคำใดอีก

ตอนนี้ภยันตราย เริ่มคุกคามครอบครัวพจน์ และอาจรวมถึงทุกชีวิตบนโลก ทำไมพจน์จะไม่รู้ว่า ความเจ็บปวดจากการเห็นคนที่ตนรักทุกข์ทรมานเป็นอย่างไร ในเมื่ออาธนพลพึ่งรอดพ้นเงื้อมมือจอมปีศาจมาได้อย่างหวุดหวิด นับจากนี้เขาไม่คิดว่าโลกใบนี้จะมีวันสงบสุขอีก ภัยซ่อนเร้นคุกคามทั้งสองพิภพจริงดังคำพราหมณ์เฒ่า และคำหนึ่งบอกว่า พจน์เป็นคนเดียวที่จะหยุดความสูญเสียนี้ได้นั้น เพียงแค่ตนคิดจะพูดให้คุณปู่เปลี่ยนใจกลับมาประกาศเตือนภัยยังไม่อาจทำได้เลย แล้วพจน์จะเชื่อได้ว่า คนคนนั้น คือตนได้อย่างไร

“คิดอะไรอยู่วะ น้องพจน์ หน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่น่ารักเลยนะ”

พจน์สะดุ้งเหล่คนนั่งเคียงอยู่ขวามือใกล้หน้าต่าง ใบหน้ายิ้มล้อเลียน หล่อเหลาแนวเกาหลี อวดฟันเรียงสวย ยักคิ้วใส่พจน์ คือ ภามภพ ไอ้ประธานนักเรียนกระล่อน คราวก่อนเคยหลอกหอมแก้มพจน์ กำลังเหล่มองเขาพร้อมคำถามกวนให้โดนเหยียบเท้า

“เรื่องของกูดิ มึงจำเป็นต้องอยากรู้ขนาดนั้น”

พจน์ไม่อยากแลมองหน้าไอ้ภามเลยเบนสายตาสังเกตทัศนียภาพอีกด้าน และคนที่นั่งขนาบพจน์อยู่อีกข้างก็เป็นเด็กหนุ่มตัวสูงผิวแทน แขนล่ำ ยิ้มอวดฟันขาวของมันมาให้พจน์แทบจะในทันทีที่สบตา พีธนะยื่นขวดน้ำเปล่าให้พจน์ เขาส่ายหน้าแอบถอนหายใจ เลือกมองเส้นทางผ่านกระจกด้านหน้ารถซึ่งมีพี่คนขับรถตู้ของบ้านไอ้กีเป็นสารถี ฮำเพลงเสียงเบาอารมณ์ดีผิดต่างจากอารมณ์พจนอย่างยิ่ง เก้าอี้ข้างคนขับเป็นเด็กหนุ่มร่างผอมสูงในชุดเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนส์นั่งเคียงคู่ไม่พูดไม่จา เมื่อพจน์จับตามองดูเหมือนมันจะรู้สึกตัว หันหลังสบตายกคิ้วเป็นเชิงถาม  พจน์ส่ายหน้าให้ไอ้กัน นิธิ แล้วถอนหายใจอีกรอบ
 
ตอนนี้เพื่อนทุกคนในกลุ่มของพจน์คงสงสัยไม่แพ้ตัวเขาเองว่า แขกไม่ได้รับเชิญอีกสามคนนี้ มีที่มาที่ไปยังไง แล้วรู้ได้อย่างไรว่าพจน์กำลังเดินทางไปอยุธยา พวกมันทั้งสามเลยหอบหิ้วกระเป๋ามาดักรออยู่หน้าประตูรั้วก่อนออกเดินทางไม่กี่นาที ผู้ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุดก็คือ ไอ้ภาม ร้อยวันพันปีมันไม่เคยมาบ้านพจน์มาก่อน แล้วรู้จักที่อยู่บ้านเขาได้อย่างไร คำถามนี้ไร้คำตอบจากปากคนทั้งสาม เมื่อพวกมันสบมองกันด้วยท่าทีเหมือนโกรธแค้นมานับสิบชาติ โดยเฉพาะไอ้กันเกือบถูกไอ้กี ไอ้ต่อ ไอ้โบท พุ่งตัวเข้าใส่โดยไม่ยั้งคิด โชคดีมีพวกที่เหลือคอยดึงรั้ง โดยมีสายตาของคุณปู่ คุณพ่อ เป็นตำรวจห้ามปรามอยู่

นิธิบอกว่า ขอติดรถไปทำธุระที่เมืองเก่าอยุธยา แต่สีแววตาบ่งแสดงว่ามีอะไรมากกว่านั้น พจน์แทบไม่ได้พูดคุยกับมันแม้แต่คำเดียว ทั้งโกรธเรื่องโกหก ทั้งผิดหวังเรื่องไม่ยอมคายความจริงที่ปิดบังไว้ พจน์ไม่มีสิ่งใดสนทนาด้วยจึงเลี่ยงจะพูดคุย
 
สำหรับพีธนะ หลังจากวันที่มันชกต่อยกับไอ้ปาล์มพจน์ก็ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาอีกจนกระทั่งวันนี้ รอยแผลฟกช้ำดีขึ้นมาก แต่แววเจ็บปวดพจน์รู้สึกได้ มันยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เบี้องลึกในใจพจน์รู้ดีว่า สายตามองไอ้ปาล์มเคลือบแฝงไว้ด้วยความเกลียดชังทุกครั้ง เปรมณัฐไม่ได้พูดคำใดอีกเช่นกัน มันมองไอ้พีทเพียงครั้งเดียวแล้วพาน้องแพรวแฟนสาวไปนั่งรถยนต์ของภพดนัย

บรรยากาศอึมครึมเหมือนเช่นทัศนียภาพแวดล้อมถูกหมอกปกคลุมเกิดขึ้นภายในรถจนแทบหายใจไม่ออก ตอนแรกพจน์เลือกนั่งรถยนต์ของอาธนพล พร้อมศาสตราจารย์วิชัย พี่สุนิสา และชาญณรงค์ แต่ถูกภาพภพ และพีธนะดึงรั้งแขนให้ขึ้นไปนั่งบนรถตู้ ไอ้พีทเห็นประธานนักเรียนแตะสัมผัสเนื้อตัวพจน์ก็เดือดดาลนั่งประกบเขาอีกข้างไม่ห่างตัว นั่นคือเหตุการณ์ทั้งหมดที่ทำให้พจน์จำยอมต้องมานั่งอยู่กลางภูเขาสูงทั้งสองลูกแบบนี้
 
รถยนต์สีดำสองคันแล่นอยู่เบื้องหน้ารถตู้สีขาว หากมองจากสายตาของบุคคลภายนอกนับว่า ขบวนท่องเที่ยวครั้งนี้น่าสนุกเพราะประกอบด้วยทุกคนในครอบครัวและเพื่อนสนิท แต่แท้จริงแล้วภายในทุกคนรู้สึกอย่างเดียวกันว่า มีแต่ความอึดอัด สับสน
 
“อึดอัดหรือเปล่า พจน์ ผมเห็นนายสีหน้าไม่ค่อยดี ให้เปิดหน้าต่างไหม” พีทก้มลงถามเสียงเบา

“เปิดกระจกก็หนาวตายกันพอดี มึงเอาอะไรคิดวะ”

เสียงไอ้ต่อซึ่งนั่งถัดเบาะด้านหลังร้องดังลั่น น้องน้ำซึ่งนั่งข้างมันทำหน้าเหมือนมีของเหม็นเน่ามาจ่ออยู่ใต้จมูกนับตั้งแต่รถออกจากบ้านเทพวิมานแล้ว ชลนธีส่งเสียงเชอะดังลั่นจนทุกคนได้ยินกันทั่ว พจน์หลุดยิ้มชั่วอึดใจ ไอ้น้ำมันยืนกรานจะนั่งข้างพจน์ แต่ถูกยักษ์สองตัวนั่งแทนที่แบบนั้น อารมณ์ขุ่นมัวจึงปรากฏอย่างที่เห็น

ตลอดเส้นทางแทบไม่มีคำพูดสนทนาสนุกสนานเฮฮากันระหว่างคนในรถผิดวิสัยของคนกำลังไปเที่ยว พวกไอ้เอก ไอ้เพรียว และไอ้รัก พยายามบอกให้พี่คนขับรถเปิดเพลงเป็นจังหวะคึกคักเพื่อเพิ่มบรรยากาศ แต่เมื่อเปิดไปได้ครึ่งเพลง นอกจากพวกมันสามคนร้องแหกปากเคาะอุปกรณ์เป็นเครื่องให้จังหวะแล้ว คนอื่นๆนั่งนิ่งสีหน้าเครียดกันทั้งนั้น บ้างก็ปิดเปลือกตาราวกับหลับเช่น ไอ้นาย เป็นต้น ความพยายามของพวกมันสามคนจึงมีอันต้องจบลงอย่างน่าอนาถ

“น้องพจน์ กูมีลูกอมติดมาวะ เอาไหม ลองทีเดียวหายง่วงแน่มึง” ภามทำทีล้วงกระเป๋ากางเกง ควักลูกอมรสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดยี่ห้อหนึ่งออกมา พจน์กำลังคิดว่าระหว่างแกล้งทำเป็นเนียนหลับ หรือลองลูกอมอย่างไหนจะช่วยให้ยักษ์สองตนหยุดพูดดีกว่ากัน  ไอ้น้ำเหวี่ยงพุ่งตัวเอื้อมแขนมาหยิบลูกอมในมือไอ้ภามนับสิบลูกไปอย่างรวดเร็ว

“กูขอนะ กำลังอยาก...อยู่พอดี พวกมึงเอาเปล่าวะ” น้องน้ำยักคิ้วใส่ประธานนักเรียนหน้าหล่อ แล้วแลบลิ้นใส่อย่างไม่เกรงกลัวสถานะของอีกฝ่าย พร้อมโยนลูกอมรสเปรี้ยวให้ไอ้พวกทีเหลือที่ทำสีหน้านับถือในความกล้าเกินตัวของน้องน้ำ ไอ้ต่อกับไอ้กีแอบชูนิ้วโป้งให้ชลนธีลับหลังประธานฯ พร้อมรอยยิ้มสะใจ

“พวกมึงอยากกินก็บอกดีๆดิวะ กูมีอีกเป็นถุงเบ่อเริ่ม อะ เอาไป” ภามภพแงะกระเป๋าสะพายแล้วโยนถุงบรรจุลูกอมรสเดิมใส่หน้าตักไอ้น้ำทำหน้าเหวอชั่วครู่

“ขอบใจว่ะ กูขอนะ มึงเสนอเองนะเว้ย เดี๋ยวจะหาว่ากูแอบหลอกกินของมึง” มันพูดไม่ชัดเพราะกำลังอมลูกอมที่ขโมยมาอยู่เต็มปาก แต่สีหน้ามั่นใจแสดงความท้าทายประธานนักเรียนอย่างเห็นได้ชัด

“เออสิวะ มึงอยากกินเท่าไหร่กินเลย กูไม่หวงของขนาดนั้น” ภามภพยิ้มแย้มอัธยาศัยดี พจน์รู้จักมันมานานเจ้านี่มีนิสัยไม่เคยหวงของ ใครจะขอยืมหรือขออะไรถ้ามันมี มันก็จะให้ แต่ไอ้ภามกับกลุ่มของพจน์แทบไม่เคยได้พูดคุยเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้ ส่วนใหญ่เจอกันในที่ประชุมสภาฯ วันนี้จึงเหมือนเป็นการเปิดตัวมันสู่สาธารณชนโดยแท้

สีหน้าประหลาดใจปรากฏสู่เพื่อนทุกคนของพจน์ พวกมันคงไม่คิดว่า ประธานนักเรียนสุดโต่ง คนนี้จะมีน้ำใจผิดต่างจากที่คาดไว้

“มึงก็ดูเป็นคนดีเหมือนกันนี่หว่า ไอ้ภาม” กีรติพูดเสียงนิ่ง

“เอ้า แล้วตอนแรกพวกมึงคิดว่ากูเป็นคนเลวว่างั้นสิ” ภามภพหัวเราะขบขัน

“มึงอย่าเพิ่งด่วนสรุป แค่มันเอาลูกอมมาล่อก็หลงเชื่อแบบนี้ มันใช้ได้ที่ไหน” น้องน้ำปฏิเสธเสียงดังลั่นทั้งที่ลูกอมของคนที่มันพูดถึงยังอยู่เต็มปาก มีหวังฟันผุแน่ น้องน้ำเอ๊ย
 
“มีมารยาทหน่อยสิวะ น้องน้ำ ผู้ใหญ่ไม่เคยสอนหรือไงว่า เวลาพูดให้เคี้ยวอาหารให้หมดก่อน” โบทแซวแกล้ง ชลนธีทำหน้าคว่ำหันหลังให้คนพูดทันที ทุกคนหัวเราะโดยพร้อมเพรียงกัน เป็นภาระของคุณปารมีแล้วล่ะครับต้องทำหน้าที่ง้อ

“กูก็มีหมากฝรั่งวะ พวกมึงจะเอาป่ะวะ”

พีธนะหยิบกล่องสีเขียวขึ้นมา ไอ้ต่อ ไอ้กี เหล่มองสีหน้าคมเข้มชั่วอึดใจ ก่อนจะคว้ามาแจกจ่ายให้ทุกคนเช่นเดิม

“ไม่ยักรู้ว่ามึงก็เป็นคนมีน้ำใจเหมือนกันนะ ไอ้พีท แตกต่างกับตอนเล่นบาสสุดๆ เห็นรุ่นน้องกูบอกว่ามึงฝึกมันทั้งโหดทั้งหนัก” ไอ้เอกซักถาม

“นั่นมันในสนาม ก็ต้องเข้มงวดกันหน่อย ส่วนนอกสนามกูก็เป็นของกูแบบนี้แหละ พวกมึงไม่ต้องเกรงใจนะเว้ย กูเป็นคนง่ายๆ เรียกใช้กูได้เสมอ”

พจน์สังเกตเห็นนายปารมี นายกีรติ และนายวีระภพ สามตัวพ่อของกลุ่มพยักหน้าเบาๆโดยพร้อมเพรียงกัน เป็นอันว่าการเปิดตัวของภามภพและพีธนะต่อกลุ่มเพื่อนของเขาสอบผ่านไปได้ด้วยดี แต่ที่ไม่ดีก็คือ พจน์ นี่แหละ ทั้งที่รู้ว่าพีทมีเจตนาอะไรถึงมาทำตีสนิทกับพจน์ ทำให้ตนไม่อาจพูดคุยอย่างที่ควรจะทำได้ แต่สำหรับภามนี่สิ ไม่รู้ว่ามันมาไม้ไหน อยู่ๆก็ติดสอยห้อยตามครอบครัวพจน์มาเฉย ทั้งที่ก่อนหน้ามันแทบจะไม่มีเวลามาวุ่นวายกับพจน์เลยนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งประธานนักเรียน

บุคคลคนเดียวที่นั่งนิ่งอยู่ข้างคนขับมองจุดหมายเบื้องหน้าแน่วแน่ ไม่สนใจความเคลื่อนไหวภายในรถแม้แต่น้อยนั้น ดูเพิกเฉยกับทุกสิ่งจนพจน์ไม่แน่ใจว่า สิ่งที่มันทำทั้งหมด เพื่อปกป้องพจน์อย่างที่มันเคยลั่นวาจาเพียงแค่นั้นหรือ เจ้านั่นถูกเพื่อนของพจน์ทุกคนลงมติแล้วว่าไม่ผ่านการทดสอบ คือ ทุกคนไม่ยอมรับในตัวมัน นั่นหมายความว่า พจน์ไม่ควรจะเสวนาติดต่อพูดคุยกับไอ้กันเด็ดขาด แต่ลึกๆแล้วพจน์รู้สึกสงสารนิธิอย่างประหลาด ทั้งด้วยแววตาดุแฝงรอยโศก เหมือนมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลกใบนี้ พจน์ไม่รู้เรื่องครอบครัวของมันเลย ว่าพ่อแม่ของมันเป็นอย่างไร นั่นทำให้พจน์ไม่อาจตัดใจตัดอีกฝ่ายออกจากชีวิตไปได้โดยง่ายอย่างที่เคยออกปากไว้

ในไม่ช้ารถจึงแล่นมาถึงจุดหมายปลายทาง หลังจากขับผ่านสะพานข้ามแม่น้ำล้อมรอบเกาะอยุธยาแล้ว ย่านชุมชนและบ้านเรือนจึงปรากฏให้เห็นทั้งสองฟากฝั่งถนน ความเจริญได้รุกล้ำเข้ามามากมาย มีอาคารหลายชั้นถูกสร้างขึ้นบดบังเจดีย์ปรักหักพังจากสายตา พจน์เหลียวมองโบราณสถานเหล่านั้นผ่านม่านหมอกสีขาวซึ่งปกคลุมราวกับควันไฟ แทรกซึมอยู่ในทุกอณูอากาศ นับวันหมอกปริศนานอกจากจะปกคลุมแน่นหนาขึ้นทั่วภูมิภาคของประเทศ และทุกทวีปของโลกแล้ว ยังสามารถคงสถานะอยู่เช่นนั้นจนเกือบเที่ยงวันจึงสลายหายไป เป็นปรากฏการณ์น่าพิศวงอย่างประหลาด
 
ซากเจดีย์มีให้เห็นตลอดเส้นทาง สร้างความตื่นตามิใช่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่พจน์มาเยือนสถานที่แห่งนี้ ภาพจินตนาการถึงความรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยาเมื่อในอดีตแจ่มชัดขึ้นมาในใจ เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจถ้อยคำชวนคุยของพีธนะหรือภามภพ เอาแต่เงยหน้ามองภาพวิถีชีวิตของชาวอยุธยา สลับกับกดถ่ายภาพผ่านโทรศัพท์มือถือ ผู้คนตื่นแต่เช้า มีรถสัญจรไม่ขาดสาย ริมถนนมีพระภิกษุสงฆ์เดินแถวบิณฑบาตเป็นสายยาวเหยียด นับว่าเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง

พี่คนขับรถขับมาถึงเขตอุทยานประวัติศาสตร์ฯ เสียค่าเข้าชมบริเวณป้อมข้างประตู แล้วแล่นเข้าจอดยังลานรถอันกว้างขวาง พจน์ก้มมองนาฬิกาข้อมือ เป็นเวลาแปดโมงพอดี เขาถอดเสื้อกันหนาวหนังสีน้ำตาลออก ร้องปลุกไอ้นาย มันเริ่มตื่นด้วยดวงตาสะลึมสะลือ

หลังจากนั้นจึงบอกให้พีธนะเปิดประตู ก่อนทุกคนจะทยอยลงจากรถเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าซึ่งไม่อาจหาได้ในกรุงเทพมหานคร ธนพลและภพดนัยจอดรถยนต์อยู่ใกล้เคียงกัน ทันทีที่ทุกคนลงมาจากรถแล้ว ศาสตราจารย์วิชัยจึงเดินนำไปข้างหน้า พจน์พยายามวิ่งตาม

“คุณปู่มองหาอะไรอยู่หรือครับ” พจน์ถามพลางมองรอบบริเวณสลัวลางเพราะหมอกมัวขาว แกล้งทำเป็นไม่สนใจเสียงร้องเรียกของไอ้พีทและไอ้ภาม น้องน้ำใช้ความตัวเล็กของมันเล็ดรอดมาเกาะแขนเกาะขาพจน์ได้ทันท่วงที

รูปปั้นปฐมบรมกษัตริย์ราชวงศ์อู่ทอง ผู้ก่อตั้งกรุงศรีอยุธยายืนผงาดผุดเด่นอยู่บนแท่นสูง แวดล้อมด้วยกลุ่มหมอกสีขาวราวกับมีชีวิต พจน์ยกมือไหว้ตามคุณปู่และทุกคนก็ทำแบบเดียวกัน ศาสตราจารย์วิชัยหยุดพินิจรูปปั้นอนุสาวรีย์อยู่ชั่วครู่ เริ่มมีนักท่องเที่ยวทยอยมาเดินชมหนาตามากขึ้น พวกเพื่อนของพจน์ใช้กล้องถ่ายรูปประจำตัวถ่ายเก็บบรรยากาศโดยรอบ

“ไม่มีอะไร เดินเที่ยวเล่นกันตามอัธยาศัยแล้วกัน พ่อดนัยช่วยดูเด็กๆด้วย พ่อกับชาญณรงค์จะเดินไปทางนั้น” ศาสตราจารย์วิชัยฝากคำสั่งสู่บุตรชายคนโต แล้วผละจากสู่ทิศทางซึ่งท่านชี้ เป็นกลุ่มเจดีย์ใหญ่สามองค์ของวัดพระศรีสรรเพชญ์
 
“ฝากดูคุณพ่อด้วยนะครับ คุณชาญณรงค์” ภพดนัยขมวดคิ้วให้ผู้ช่วยหนุ่ม ชาญณรงค์ยิ้มกว้างพยักหน้าตอบกลับ

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ คุณภพดนัย ผมจะดูท่านเอง วางใจได้”

“ผมขอไปด้วยครับ” พจน์อยากหาโอกาสแจ้งภัยให้คุณปู่ทราบ แต่ดูเหมือนท่านไม่ได้ยินคำขอของหลานชาย เดินหายเข้าไปในกลุ่มหมอกสีขาวเสียแล้ว

“เราไปไหว้พระในวิหารมงคลบพิตรกันก่อนไหม ตามโปรแกรมเที่ยวที่เขียนไว้น่าจะเริ่มจากไหว้พระทำบุญจากจุดนี้ก่อนนะ” ภพดนัยลูบไหล่ปลอบพจน์ ดาวหยิบเอกสารนำเที่ยวของบริษัททัวร์เพื่อนของคุณพ่อออกมาแจกให้ทุกคน

“ไปกันเถอะครับ” ธนพลโอบเอวสุนิสาแฟนสาวซึ่งแต่งตัวงดงามประหนึ่งหลุดมาจากหนังสือแฟชั่น สวมหมวกปีกกว้างราวกับดารา เดินนำสู่ทิศทางของวิหารมงคลบพิตร พวกเพื่อนๆของพจน์จ้องมองพี่สุนิสาไม่วางตา จนตนต้องกระแอมเสียงเบา พวกมันจึงหลุดออกมาจากภวังค์ ทำเป็นชี้มือชี้ไม้ถ่ายรูปกลบเกลื่อน คุณชายเปรมณัฐสวมแว่นเรย์แบน มีน้องแพรวเกาะแขนเหมือนคนตาบอดหลงทาง ยืนมองกลุ่มเพื่อนอยู่ห่างๆ เบื้องหลังแว่นกันแดดนั้นพจน์ไม่รู้ว่ามันมองสิ่งใดแต่ก็ทำให้พจน์ต้องหลบพินิจดูสิ่งอื่น

ระหว่างภพดนัยกำลังกวาดต้อนเด็กวัยรุนทั้งสิบสี่คนให้ขยับเดินตามธนพลและสุนิสา ก็มีเสียงหนึ่งร้องทักมาจากเบื้องหลัง

“นายนี่มันน่าผิดหวังจริงๆเลยนะ ดนัย”

น้ำเสียงทุ้มเอ่ยปากทัก ทุกคนหันกลับไปมองตามคำร้อง ปรากฏเป็นชายหนุ่มรูปลักษณ์สูงสง่า ดูภูมิฐาน แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงบ่งแสดงเป็นคนมีฐานะ พลางถอดแว่นกันแดดออก เผยให้เห็นใบหน้าเข้ม หล่อคมราวกับพระเอกละคร แต่รอยยิ้มเสแสร้งแกล้งทำฉายชัด ดวงตาสีดำส่องประกายกล้า คล้องคอด้วยกล้องถ่ายรูปยี่ห้อดัง ภพดนัยขยับแว่นสายตาเหลียวสังเกต แล้วก็อ้าปากค้างชั่วประเดี๋ยวก่อนจะละล่ำละลักเอ่ยทักเสียงเบา

“ธนชัย!”

“ตกใจงั้นหรือที่เห็นเรา” หนุ่มวัยกลางคนคะเนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับภพดนัยย้อนคำ
 
“นายไม่น่าจะรู้นี่ว่าเรามาอยุธยา” ภพดนัยเดินเข้าหาอีกฝ่าย พ่อของพจน์สูงเพียงแค่ปลายคางของคนชื่อธนชัยเท่านั้น เพื่อนพจน์ต่างสงบคำมองดูแขกผู้มาเยือนโดยพร้อมเพรียงกัน

“เป็นนักข่าวก็ต้องมีหูตาว่องไวเสมอ นายลืมไปแล้วงั้นหรือ” ธนชัยเอื้อมมือสอดเข้ากระเป๋ากางเกงดูอารมณ์ดีเมื่อเห็นภพดนัยหน้าขึ้นสี

“คุณพ่อท่านไม่มีทางให้นายสัมภาษณ์หรอก กลับไปเถอะ เราอยากใช้เวลาส่วนตัวกับครอบครัว”

“นายนี่มันเป็นลูกอกตัญญูจริงๆเลยนะ” คำพูดประโยคเดิมส่งผลให้ภพดนัยหน้าซีดเผือดรวดเร็ว ถ้อยคำที่คิดไว้ว่าจะตอบโต้อีกฝ่ายก็จุกอยู่บริเวณลำคอ อัดอั้นจนพาลให้รู้สึกน้ำตาก่ออยู่ริมขอบ

“ถ้านายช่วยเราให้ได้ข่าวน้ำท่วมโลกจากปากของศาสตราจารย์วิชัย เราจะคิดเรื่องที่นายเคยขอร้อง” ธนชัยเขม้นมองสีหน้าโศกของภพดนัยด้วยดวงตาแข็งกร้าว

“มะ...ไม่ จำเป็น” ภพดนัยปฏิเสธเสียงสั่น พจน์เห็นทีท่าไม่ดีเหมือนบิดาของตนกำลังถูกอีกฝ่ายข่มขู่ทำร้ายจิตใจจึงเข้าประชิดข้างกายแล้วจับมือภพดนัยไว้แน่น ยืนจ้องนักข่าวธนชัยด้วยสีหน้าท้าทาย

“นี่ลูกชายสินะ” ชายหนุ่มตัวสูงแสยะยิ้มเสแสร้ง “ลูกชายที่อยู่ๆก็เกิดมาโดยที่ไม่มี....”

ยังไม่ทันธนชัยจะกล่าวจบประโยค ภพดนัยก็ซัดหมัดขวาเข้าใส่มุมปากของอีกฝ่ายเต็มแรงจนนักข่าวตัวสูงเซถลา ปรากฏรอยเลือดซึมเหนือริมฝีปาก

“ถึงเราจะเคยเป็นเพื่อนรักกัน แต่นายไม่มีสิทธิ์จะพูดแบบนั้นต่อหน้าเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยสักนิด”

พจน์ไม่เคยเห็นบิดาของตนโมโหโกรธเกรี้ยวเท่านี้มาก่อน แล้วประโยคที่ชายหนุ่มเจ้าของส่วนสูงกว่าร้อยเก้าสิบเมตรเผลอกล่าวออกมานั้น หมายความว่าอย่างไร


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป

_____________________________

ภยันตราย : สิ่งที่อาจทำให้ตายหรือบาดเจ็บได้
สุดโต่ง : ไกลมาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:18:57 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
มีป่มมาให้ปวดหัวอีกแหละ  รู้สึกอุปสรรคนายเอกเราจะเยอะขึ้นนะ  อืมตัวจุดฉนวนรึเปล่าเนี้ย  นายเอกเราไม่ใช่ลูกแท้ๆงั้นหรอ แล้วทำไมพ่อนายเอกต้องกลัวเพื่อนด้วยล่ะ  หรือเคยมีความหลังกันนะ  สู้ๆคนแต่ง

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]


เด็กนักเรียนสะพายกระเป๋าทัศนศึกษาเดินเรียงแถวอย่างระเบียบเรียบร้อย ส่งเสียงจ้อกแจ้กเกรียวกราว กว่าพจน์และทุกคนจะเบียดแทรกกลุ่มนักเรียนตัวน้อยเข้ากราบนมัสการพระมงคลบพิตรได้ ทำเอาเหนื่อยพอสมควร
 
“พระมงคลบพิตรเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่สูงเกือบจรดเพดานวิหาร ผิวพระพุทธรูปสวยงามเปล่งปลั่งด้วยศิลปกรรมอันงดงาม ฉาบด้วยสีทอง วิหารหลังนี้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ จึงยังคงดูสวยงามแตกต่างจากโบราณสถานส่วนอื่นที่ชำรุดทรุดโทรม พระพุทธรูปองค์นี้สร้างด้วยสัมฤทธิ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นค่ะ”

ดาราอธิบายข้อมูลซึ่งปรากฏอยู่ในแผ่นพับโปรแกรมนำเที่ยว พจน์ฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง เพราะใจส่วนหนึ่งนึกห่วงภพดนัยผู้บิดาไม่ได้ ท่าทีที่พยายามทำตัวให้เป็นปกติแต่แววตาหลังกรอบแว่นสำแดงชัดแจ้งว่าครุ่นคิดปัญหาหนักอกอยู่ หลังจากท่านจัดการชกหมัดใส่หน้าอดีตเพื่อนรักตัวสูงแล้ว ก็คว้าไหล่พจน์เดินนำออกมาจากที่เกิดเหตุโดยเร็ว ไม่หันกลับไปมองสักนิดว่านักข่าวชายคนนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไง
 
“เอาละ งั้นเราไปต่อที่วัดพระศรีสรรเพชญกันเถอะ” ภพดนัยแจ้งบอกกล่าว

“พ่อมึงไม่เป็นอะไรแน่นะ กูเห็นตาแดงๆ” ชลนธีเขย่งเท้ากระซิบอุบอิบใส่หูพจน์ ทำหน้าทำตาโตผิดปกติ

“อือ”
 
“น้องพจน์ กูอยากถ่ายรูปคู่กับมึงหน้าวิหารว่ะ ไอ้น้ำถ่ายให้กูที” ภามภพยัดเยียดโทรศัพท์ใส่มือน้องน้ำแกมบังคับ แล้วโอบไหล่พจน์ทันทีด้วยกลัวเด็กหนุ่มจะหนีเช่นก่อนหน้า ไอ้น้ำทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ถ่ายรูปให้โดยแทบไม่ได้นับให้สัญญาณถ่ายภาพ เขาอยากจะหัวเราะแต่ก็กลั้นขำไว้ รู้สึกตัวอีกทีภพดนัยก็เดินเลยไปทางแนวกำแพงแก้วแล้ว พจน์พุ่งตัวตาม
 
ภาพขององค์พระมหาเจดีย์ใหญ่สามองค์เรียงกันอยู่ตรงหน้า ซากปรักหักพังของโบราณสถานวางกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดอย่างเป็นระเบียบ นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติหลั่งไหลชื่นชมสถาปัตยกรรมเมื่ออดีตจำนวนมาก ภพดนัยและดาราเดินนำอยู่เบื้องหน้าไม่ห่างนัก กลุ่มเพื่อนของพจน์เกาะกลุ่มติดหน้าตามหลัง ภามภพและพีธนะพยายามประกบพจน์แจเป็นเงาตามตัว  โดยมีน้องน้ำเป็นปราการสำคัญ เขาต้องขอบใจมันที่ทำให้เจ้ายักษ์สองตนไม่สามารถประชิดตัวพจน์ได้มากกว่านี้ ส่วนบุคคลรั้งท้ายขบวนนั้นเป็นนิธิ มันเดินเตร่ล้าหลังเหมือนไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับพวกเขา พจน์เหลียวมองผ่านคู่รักปาล์มแพรวด้วยสายตาเย็นชา จึงเห็นว่าเจ้านั่นสาวเท้าจนมาถึงพจน์ในที่สุด

“ไอ้พจน์ กูขอแยกตรงนี้” ไอ้กันส่งสายตาดุประจำตัวพร้อมบอก

พจน์หยุดเดิน ไอ้ต่อ ไอ้โบท ไอ้กี รีบเฮละโลยกพวกมาขวางช่องว่างระหว่างพจน์กับนิธิโดยเร็ว ส่วนคุณเอกชัย คุณพงศกร คุณนรินทร์ และคุณจงรักษ์ แปรขบวนโอบกระชับพื้นที่ล้อมไว้

“ถ้ามึงคิดจะ...”

“กูมาบอกมึงแค่นี้แหละ”

กันชำแรกแทรกตัวผ่านกำแพงมนุษย์ ชิงสั่งลาก่อนไอ้กีจะกล่าวจบประโยคทำให้คุณชายกีรติหน้าเหวอเป็นชั่วครู่ ดวงตาดุอ้อยอิ่งมองพจน์อยู่ขณะหนึ่ง ไม่สนสายตาเป็นเดือดเป็นแค้นของหมู่เพื่อนพจน์แม้แต่น้อย ไอ้คนลึกลับฝ่าดงแข้งแล้วเสร็จก็หันหลังก้าวเดินผละจาก

“เดี๋ยว” ทั้งที่พจน์โกรธแสนโกรธในตัวคนคนนี้ และลั่นวาจาแล้วว่าจะไม่สนทนาต่อกันอีก แต่เพราะแววตาและความรู้สึกเป็นห่วงก่อเกิดท่วมท้นจนทำลายกำแพงตั้งใจลงราบคาบ

นิธิยืนนิ่งเมื่อถูกร้องท้วง ขยับหันหน้าเรียบเฉยกลับมา

“มึงจะไปไหน”

“กูต้องไปทำธุระ...แถวนี้ ขอบใจที่ให้ติดรถมาด้วย”

“ไอ้พจน์ ปล่อยมันไปเถอะ กูว่าเรารีบเดินต่อดีกว่า” วีระภพพูดดังกว่าปกติ

“แล้วมึงจะกลับมาไหม” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องอยากรู้ถึงขนาดนั้น

นิธิยกยิ้มมุมปากชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยคำหนึ่งที่ทำให้ไอ้พีทถึงกับหน้าตึงขึ้นมาทันที

“ถ้ามึงพูดมาคำเดียวว่าไม่อยากให้กูไป กูจะอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน”

พจน์รู้สึกผิดเหลือเกินที่กล่าวผลักไสมันเมื่อคืน และตอนนี้คำพูดของพจน์คงกลายเป็นอาวุธทำร้ายจิตใจคนคนนี้อยู่
 
“ถ้ามึงเสร็จธุระแล้ว จะไปนอนที่ไหนวะ” พจน์พยายามลืมความเจ็บปวดจากคำโกหกของไอ้กัน “คือ...ถ้ามึงไม่มีที่นอนคืนนี้ กลับมาหากูแล้วกัน”
   
เด็กหนุ่มร่างผอมสูงยกยิ้มอีกครั้งแล้วพยักหน้าเข้าใจ ลัดเลาะกลืนหายลับกลับฝูงชนนักท่องเที่ยว

“มึงน่าจะปล่อยมันไป ทำไมยังชวนกลับมานอนด้วยอีกวะ” พอนิธิคล้อยหลัง ไอ้โบทก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง

“เอาน่า มึงก็เห็นว่ามันมาตัวคนเดียว แล้วอีกอย่างมันก็เป็นเพื่อนร่วมห้องเราด้วย อะไรที่ช่วยเหลือกันได้ก็น่าจะช่วย” บ่ายเบี่ยงหน้ายิ้ม

“แต่มันเคยทำร้ายมึงนะ” น้องน้ำตะโกนเท้าความ ตีโพยตีพายเป็นเดือดเป็นแค้นจนดวงตาโตยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกจนพจน์หลุดขำ “ไม่ตลกนะเว้ยไอ้พจน์”

“ไปเถอะ พ่อกูรออยู่นั่น” พจน์คิดว่าตัดสินใจถูกต้องแล้ว ความรู้สึกเบี้องลึกบอกว่า ไอ้กันคงมีเหตุผลของมันที่ไม่สามารถพูดความจริงทั้งหมด

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าพจน์” ภพดนัยซัก เมื่อเห็นน้องน้ำบ่นเป็นหมีกินผึ้ง
 
“เปล่าครับ พอดีเพื่อนคนหนึ่ง กัน น่ะครับ จะขอตัวไปทำธุระแถวนี้ เดี๋ยวตอนเย็นจะตามไปสบทบที่พักค้างแรม” พจน์อธิบาย “แล้วคุณปู่อยู่แถวนี้หรือเปล่าครับ เห็นท่านบอกว่ามาบริเวณนี้”

“นั่นน่ะสิ เอ...นั่นไง คุณพ่อครับ คุณพ่อ” ภพดนัยโบกมือเป็นสัญญาณให้ศาสตราจารย์วิชัยและชาญณรงค์ที่ด้อมๆมองๆอยู่บริเวณเจดีย์สามองค์ เมื่อคนทั้งคู่เห็นกลุ่มสมาชิกครอบครัวก็ผละเดินมาหาหน้าเคร่งเครียดกว่าปกติ

“หาอะไรอยู่หรือครับ คุณพ่อ” ธนพลถามทันทีเมื่อท่านมาถึง “เหตุผลที่คุณพ่อต้องการมาอยุธยาคือสิ่งที่ตามหาอยู่ใช่ไหมครับ คำตอบของคำถามที่ว่าทำไมผมถึงเจ็บป่วยสาหัสแบบนั้น”

ศาสตราจารย์วิชัยเหลียวมองลูกชายคนเล็กด้วยใบหน้าบึ้งตึง ชาญณรงค์ยืนสงบอยู่ด้านหลัง

“พูดอะไรแบบนั้นคะ พล เรื่องก็ผ่านไปแล้วถือว่าฟาดเคราะห์ไปเถอะ” พี่สุนิสาร้องท้วง

“ไม่มีอะไรอย่างที่แกคิด” คุณปู่ตัดจบความสงสัยทั้งมวล

“ขอโทษนะครับ ศาสตราจารย์วิชัย กระผมธนชัย อมรวิวัฒน์ นักข่าวจากสำนักข่าว...”

“อ้าว พ่อชัย นี่เอง” ชายหนุ่มตัวสูงชะงักงันยังไม่ทันกล่าวแนะนำตัวจบก็ถูกคุณปู่ทักกลับรวดเร็ว ภพดนัยขยับยืนเคียงข้างศาสตราจารย์ “ไม่เจอกันเสียนานเลยนะ สบายดีหรือ”

“คะ...ครับ ผมสบายดี เอ่อ ผมอยากจะสัมภาษณ์ท่านเรื่องน้ำ...”

“ไม่เห็นมาเยี่ยมลุงตั้งนาน นึกว่าได้ดิบได้ดีจนลืมคนบ้านเทพวิมานเสียแล้ว ตำแหน่งหน้าที่การงานคงเจริญก้าวหน้ากว่าแต่ก่อนแล้วนะ พ่อดนัยไม่เคยพูดถึงเราเลย เมื่อก่อนเข้านอกออกในบ้านลุงบ่อยจนนึกว่ามีลูกชายสามคนเสียอีก ไม่นึกว่าจะได้เจออีกทีที่นี่นะ” ศาสตราจารย์วิชัยตบไหล่ธนชัยทักทาย “แล้วอยู่ๆทำไมถึงหายไปแบบนั้นละ ฮืม แม่แจ่มถามหาไม่เว้นวันช่วงสองสามเดือนแรก เธอว่าอดคิดถึงหน้าพ่อชัยไม่ได้ ขนมทองหยิบทองหยอดของโปรดของพ่อชัยก็ขายไม่ออกเลย เห็นขนมชนิดนี้ทีไรก็พาลน้ำตาจะไหลเพราะใจก็หวนนึกเห็นพ่อชัยอยู่ร่ำไป”

“เหรอครับ ผมฝากขอโทษป้าแจ่มด้วย” ใบหน้ามั่นใจของธนชัยปรับเป็นซีดสลดทันที

“ผิดใจอะไรกับพ่อดนัยหรือเปล่า หลายปีมานี้ไม่เห็นหน้าค่าตาเลย เคยเป็นเพื่อนรักกันมาตลอดนี่นา”

“ไม่มีอะไรครับคุณพ่อ” ภพดนัยผลีผลามปฏิเสธทันที

“หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกันเถิด คนเราเกิดมามีอายุไขเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้” ศาสตราจารย์วิชัยชี้แนะราวกับไม่ได้ยินเสียงอุทธรณ์ของบุตรชายคนโต “วันหนึ่งอาจจากกันอย่างปัจจุบันทันด่วน ไม่ทันได้ร่ำลา แล้วจะมานั่งเสียใจในภายหลังก็ไม่อาจยื้อเวลาหวนกลับมาได้อีก”

“ผม...”

“มาเที่ยวอยุธยาเหมือนกันสินะ พอดีลุงก็มาพักผ่อนเหมือนกัน พักที่ไหนล่ะ พ่อ มาค้างด้วยกันสิคืนนี้ เห็นพ่อดนัยได้ทุนจากบริษัททัวร์มาให้สำรวจเส้นทางท่องเที่ยว เรื่องเงินทองๆนี่ไม่ต้องลำบากเลยสักแดงเดียว” คุณปู่หัวเราะเสียงแห้ง

“เรื่องน้ำท่วมโลก”

“ไม่เหมาะกระมังที่จะพูดเรื่องนี้ท่ามกลางนักท่องเที่ยวมากหลาย” คุณปู่ตอบแบ่งรับแบ่งสู้  “อารมณ์สนุกเมื่อได้ชื่นชมโบราณสถานคงจะลดทอนลงมากหากลุงเอ่ยเรื่องนั้น ไปเถอะ ไปเดินเป็นเพื่อนลุง อยากได้ช่างกล้องถ่ายภาพอยู่เหมือนกัน”

“แต่คุณพ่อครับ” คำทักท้วงของภพดนัยเสมือนกลายเป็นสายลมพัดผ่าน เมื่อความตั้งใจของผู้เป็นบิดากล่าวเป็นคำชัดเจนแล้ว ก็ไม่อาจมีใครฝืนขัดได้ สีหน้าไม่เต็มใจบ่งแสดงชัดว่าไม่อยากให้นักข่าวธนชัยร่วมเดินทางด้วยปรากฏเป็นคิ้วขมวดมุ่น

สักพักหนึ่งท้องฟ้าแจ่มใสปรากฏเมฆหนาเคลื่อนเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ กลุ่มเมฆดำทะมึนมาพร้อมลมพายุซึ่งในตอนแรกพัดแต่เพียงเบาบาง แต่บัดนี้เริ่มโหมแรงมากขึ้นทุกขณะ ภพดนัยเห็นสภาพอากาศแปรปรวนรวดเร็วถึงเพียงนั้นจึงร้องบอกทุกคนให้หาที่หลบฝนและแรงลมพายุ หวั่นเกรงกิ่งไม้จะแตกหักเป็นอันตรายได้ นักท่องเที่ยวทุกคนต่างทยอยเดินออกมารวมตัวกันยังลานหน้าวิหารมงคลบพิตร อาศัยโบสถ์และอาคารโดยรอบเป็นแหล่งกำบังแรงลม และคาดว่าอีกไม่กี่นาทีนี้หยาดฝนคงกระหน่ำลงมาในไม่ช้า

กลุ่มของพจน์เข้าหลบในวิหารพระมงคลบพิตรเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวคนอื่น เหลียวมองสภาพอากาศมืดทึบขมุกขมัวฝนฟ้าคะนองลมโหมกรรโชกแรงแล้วนึกหวั่นใจเป็นห่วงไอ้กันไม่ได้ ตอนนี้มันจะไปหลบอยู่ที่ไหน รวมทั้งเจ้านั่นอีกคน...มาตะ

****************************************

ซากโบราณสถานนอกเกาะเมืองอยุธยาแห่งหนึ่งปรากฏเหลือเพียงเสาก่ออิฐถือปูนของสิ่งที่เคยเป็นพระอุโบสถ แลปรากฏเจดีย์ทรงระฆังคว่ำย่อมุมไม้สิบสองเป็นฉากเบื้องหน้า บริเวณโดยรอบรายล้อมด้วยกลุ่มโพธิ์ยืนต้นขนาดใหญ่หลายสิบเป็นฉากเบื้องหลัง ณ ลานศิลาหน้าเศษซากประตูวิหาร บังเกิดกลุ่มหมอกเงาดำล่วงหล่นจากท้องฟ้าดำมืด มีลมพัดโหมรุนแรง กลุ่มเงานั้นก่อตัวเป็นรูปร่างมนุษย์สูงใหญ่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำปกปิดใบหน้าแลร่างกาย เสียงฟ้าร้องคำรนคำรามราวกับเจ็บปวดดังสะท้อนก้อง เช่นเดียวกับแสงฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นจังหวะสอดคล้องกัน ลมวายุรุนแรงนั้นหาได้ทำอันตรายแก่ผืนผ้าดำนั้นไม่ ราวกับรอบกายของคนผู้นั้นมีอำนาจลึกลับปกป้องอยู่ สภาพอากาศมืดมัวราวกับราตรีกาลมิปาน ลมหายใจพรั่งพรูจากร่างใต้ผ้าคลุมเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับรอคอยบางสิ่งที่จะไม่มีวันมาถึง

ฉับพลันบังเกิดแสงอสุนีบาตผ่าลงเบื้องหน้าร่างผ้าคลุมดำนั้น สิ้นรังสีวาบกลับกลายเป็นปีศาจร่างกายสีเขียวทุกสัดส่วน นุ่งห่มภัตราภรณ์สีกาฬ ประดับตกแต่งด้วยอัญมณีนิล ดวงตาเหลืองส่องประกายวาบ เขี้ยวสีขาวโค้งงอผุดจากมุมปากทั้งสอง ริมฝีปากฉาบสีดำมะเมื่อม พร้อมขีดขอบรอบดวงตาขับให้น่าเกรงขาม เล็บมือสีดำยาวขยับพนมก้มลงกราบแนบพื้นศิลา ต่อหน้าร่างใต้ผ้าคลุม

“ถวายความเคารพ องค์จอมมาร” สุรเสียงฮึกเหิมกล่าวคารวการ

“ดียิ่ง ทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของข้า” ถ้อยคำน่าขนลุกดำรัสตอบ พลางเอื้อมมือซีดขาวไว้เล็บยาวสีดำสนิทลูบโลมศีรษะไว้ผมมุ่นมวย
เงามืดโถมทับสู่ทุกบริเวณโดยรอบ

“ข้าฟื้นคืนชีพขึ้นอีกคราในร่างนี้” จอมมารเจราจาด้วยเสียงแผ่วแต่ทรงพลัง มันรับรู้ถึงโทสะที่พุ่งสูงขึ้นและจะไม่มีวันสิ้นสุด

“ข้าพระองค์ยินดียิ่ง วิถีอมตะซึ่งท่านครอง จักมิมีผู้ใดอาจเอื้อมทำสำเร็จ” ปีศาจผิวกายเขียวเงยหน้าอยู่ในท่าชันเข่าตอบ

“ดูก่อน อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายของข้า” จอมปีศาจท้วงแย้ง “หากเป็นเมื่อกาลโพ้นข้าจักมิหลงเหลือความสงสัยในถ้อยความของเจ้าแม้เพียงนิด ทว่าแต่...เพลานี้ มีบางสิ่งก่อเกิดเป็นเสี้ยนหนามทิ่มแทงใจข้าเหลือประมาณ อำนาจสูงสุดที่ข้าเฝ้าตามหากลับกลายมาอยู่ในมือมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งสามารถสกัดเส้นทางวิถีอมตะของข้าให้สั้นลงทุกขณะจิต”

“มันผู้ใดอาจหาญจงแจ้งนามแก่ข้าพระองค์บัดเดี๋ยวนี้ แลความตายจักเป็นสิ่งสุดท้ายที่มันพบเห็น” อัครมหาเสนาบดีปีศาจลั่นสัตย์วาจา กำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน

“บัดนี้มิอาจระบุตัวตนได้แน่ชัด แลนั่นจึ่งเป็นเหตุให้เราสองต่างมายืนคอยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ นั่นก็เพราะว่าคำตอบของคำถามของเจ้านั้นจักมีผู้นำมาให้ในมิช้า”

“นอกกว่าข้าพระองค์ แลสหายผู้มาก่อนล่วงแล้ว ยังจักมีผู้ใดรับใช้องค์จอมมารอีกกระนั้น”

“เจ้าจะเห็นด้วยตาตนเองในอีกมิกี่เพลานี้”

ลมวายุโหมพัดรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ฟ้าก็ร้องพร้อมแสงเบื้องบนฉายวับแวมสลับกัน แหละเบื้องหลังเจดีย์ทรุดโทรมนั้น ปรากฏเงาคนผู้หนึ่งขยับไหว พร้อมก้าวฝีเท้าออกมาสู่ลานหน้าโบสถ์ในทันที ร่างนั้นทรุดกายลงถัดจากอัครเสนาบดีปีศาจ ก้มลงกราบหน้าผากแนบพื้นแล้วเงยขึ้น แสงฟ้าแลบต้องใบหน้าผอมเรียวแหลม ดวงตาคมดุดุจเหยี่ยวเพ่งมองนัยนาสีแดงภายใต้เงาผ้าคลุม

จอมปีศาจกรีดเสียงหัวเราะสุดพรรณนาเปรมปรีดิ์ ดุจสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นมหรสพต้องตาต้องใจสุดจะกล่าว เด็กหนุ่มในชุดกางเกงยีนส์สวมเสื้อยืดสีดำชันเข่า แล้วก้มหน้าพูด

“องค์จอมมาร”

มันหัวเราะในลำคออีกครั้งอย่างพึงใจ

“ดี...ดียิ่ง กาวี ทาสผู้ภักดีของข้า นามของ ‘มัน’ ผู้นั้น นามของผู้ที่ครอบครองสิ่งล้ำค่าสูงสุด จงบอกข้ามาบัดเดี๋ยวนี้ แลข้าจะทำลายเกราะมนตราทั้งหมดที่คุ้มกัน แหละช่วงชิงสิ่งซึ่งมันเป็นของของข้ามานับแต่แรก
....ผืนพสุธามหาอาณาจักรอโยธยา จักเป็นหลุมฝังศพไร้วิญญาณของพวกมันทุกตัวคน ความพินาศย่อยยับสิ้นวงศ์ตระกูลนี้จะเตือนมหาเทพได้ว่า ทรงดำริผิดพลาดแล้วที่กล้าท้าทายอำนาจที่ข้ามี”



100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป

______________________________

สัมฤทธิ์ : โลหะเจือ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยทองแดงกับดีบุก
เงาตามตัว : ไปด้วยกันเสมอ
ฝ่าดงแข้ง : ฝ่ากลุ่มชายที่จะทำร้าย
บ่นเป็นหมีกินผึ้ง : บ่นพึมพำไม่หยุด
อสุนีบาต : ฟ้าผ่า
มหรสพ : การแสดงให้ชมเพื่อความบันเทิง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-12-2016 09:36:12 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ NuTonKaw

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
มีแต่คำถามลอยอยู่เต็มไปหมด :katai5:

ออฟไลน์ magarons

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +68/-6
ปาดน้ำตา สนุกมากจนน้ำตาไหล
ชอบมาตะจังแต่ตอนล่าสุดมาตะออกมาแต่ชื่อ จอมมารยังมีบทมากกว่าเลย อ่านเรื่องนี้ไปก็ทวนหลายๆรอบ ยิ่งกาย์พ กลอง โครงทั้งหลายที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเรามา ก็ต้องขุดรากถอนโคนมารื้อเพื่ออ่านเรื่องนี้

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๒๕


มาตะวันพันชะตา


   
“ผมขอเข้าไปนะครับ”

พจน์เคาะประตู ได้ยินเสียงภพดนัยตอบรับคำอนุญาตมาจากภายใน
 
เด็กหนุ่มหลีกหนีเกมส์หมุนขวดตอบคำถามสัปดนจากห้องพักกลุ่มเพื่อนโดยอาศัยข้ออ้างมาพบบิดาเป็นข้อใหญ่ใจความ ไอ้โบทเห็นว่าบิดาตนดูเครียดจริงดังว่า จึงยอมปล่อยตัวพจน์มาอย่างเสียไม่ได้
 
ตอนนี้พวกเขาเข้าพักรีสอร์ทเรือนไทยติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งหนึ่งด้านในเกาะเมืองอยุธยา ซึ่งภพดนัยเป็นผู้ติดต่อจองห้องพักไว้ก่อนหน้าแล้ว หลังพายุโหมกรรโชกแรงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดโดยง่าย พ่อของพจน์จึงเสนอว่าควรย้ายมาหลบฝนยังที่พักก่อน ศาสตาจารย์วิชัยเห็นด้วย และท่านยังชวนนักข่าวธนชัยเข้าพักพร้อมพวกเราโดยไม่สนคำทัดทานของบุตรชายคนโตเลยแม้แต่น้อย นั่นคงเป็นสาเหตุหลักที่หลังจากรับประทานอาหารเย็น ณ ห้องอาหารของรีสอร์ทแล้ว ภพดนัยจึงปลีกตัวกลับมายังห้องของตนโดยเร็ว

“มีอะไรหรือเปล่า พจน์”

ภพดนัยผลัดเสื้อผ้าเดิมเป็นชุดเตรียมนอน ผุดลุกจากเก้าอี้ริมหน้าต่าง  บรรยากาศภายนอกมืดมัวเคล้าพายุฝนยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง
 
“คุณพ่อสบายดีนะครับ”

“สบายดีสิ เป็นอะไรน่ะเรา” ภพดนัยขยับแว่นปั้นรอยยิ้ม
 
“ถ้านักข่าวคนนั้น เอ่อ คุณธนชัย เพื่อนคุณพ่อนะครับ ถ้าเขาทำให้คุณพ่อไม่สบายใจ เราก็ทำเป็นไม่สนใจเขาดีกว่าไหมครับ” ผุดความคิดชั่วแล่นรีบเสนอโดยเร็ว

“มัน...ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก พจน์ ความจริง...” ชายหนุ่มถอนใจ “คือพ่อรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับ...คืนนั้น”

“คืนนั้น?” หย่อนตัวลงบนฟูกเตียงเคียงข้างบิดาหน้าสะสวย

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร”  รีบสะบัดมือปฏิเสธพัลวันจนก่อพิรุธ พจน์ไม่อยากเซ้าซี้ให้ท่านลำบากใจจึงเลือกสงบคำ ความเงียบเกิดอยู่ชั่วครู่

‘ทำไมคุณพ่อถึงต้องชกนักข่าวคนนั้นด้วยครับ เขาพูดบางอย่างเกี่ยวกับตัวผมใช่ไหม’

คำถามผุดหวางกลางใจแต่ไม่อาจหลุดซักไซ้ได้เมื่อเห็นรอยโศกจากดวงหน้าหวานสะดุดตา หยดน้ำระริกไหวเบื้องหลังแว่นของภพดนัยไม่อาจอำพรางได้อีกเมื่อสบมองบุตรชาย
 
“พ่อรักลูกนะ พจน์”
 
ประเดี๋ยวหนึ่งภพดนัยจึงคว้าตัวพจน์กอดกระหวัด เขาก็รักบิดาเช่นเดียวกัน ราวกับห้วงเวลาได้หยุดเดินขณะหนึ่ง นานแล้วที่พจน์ไม่ได้รู้สึกอบอุ่นด้วยอ้อมอกบิดา ทำให้ปัญหาค้างคาถาโถมเข้ามาในช่วงชีวิตนับตั้งแต่ตน ข้ามพิภพ ได้ดูกลายเป็นเศษผงเข้าตาไม่กี่ละออง
 
“งั้นผมขอนอนด้วยนะครับ” คืนนี้คงต้องปล่อยให้ไอ้น้ำนอนกับไอ้ภามและไอ้พีทไปคนเดียวเสียแล้ว

“ฮืม แล้วเพื่อนลูกล่ะ พจน์ ไปนอนกับเพื่อนเถอะ พ่อโอเค” ภพดนัยยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม

“ไม่ครับ คืนนี้ผมอยากอยู่กับคุณพ่อ” เด็กหนุ่มยืนกรานหนักแน่น

“เอางั้นก็ได้ พ่อเริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน บรรยากาศกำลังเย็นสบายเลย” ภพดนัยตกปากรับคำ จัดแจงจัดที่ทางให้บุตรชาย ก่อนจะปิดไฟล้มตัวลงนอน พจน์ขยับกุมมือเรียวไว้แน่น ฟังเสียงลมหายใจของคนข้างกายเป็นจังหวะสม่ำเสมอแล้วผล่อยหลับตามโดยไม่รู้ตัว

เสียงนกเค้าแลเสียงน้ำไหลรินผ่านก้อนหินลำธารดังชัดเจนอยู่รอบอาณาบริเวณ พจน์ลืมตาเหลียวมองรุกขชาติคล้ายต้นตะเคียนผุดขึ้นก่อเป็นดงป่าสูงชะรูดใบรกครึ้ม บดบังท้องฟ้าแลแสงเดือนจนหายลับ ไม่ใกล้ไม่ไกลมีกองไฟก่อด้วยฟืนกองหนึ่งถูกจุดอยู่กลางลานโล่ง ม้าจำนวนสิบตัวถูกล่ามไว้กับโคนต้นไม้ ร่างกายของชายหนุ่มจำนวนแปดคนนอนหลับใหลอยู่บนใบไม้หญ้าแห้งปูทับด้วยผ้าอีกชั้นหนึ่ง กระจัดกระจายรายล้อมรอบกองเพลิง พจน์ขยับเท้าเดินเข้าหาเชื่องช้า เกิดนึกสงสัยว่าบัดนี้ตนข้ามพิภพมาอยู่ที่ไหน และกลุ่มคนเหล่านั้นมีใครที่รู้จักบ้าง

ระหว่างย่องเยื้องก้าวย่างอยู่นั้น ปรากฏมีมือปริศนาฉุดคว้าเอวแล้วปิดปากพจน์ไม่ให้ส่งเสียง เขาดิ้นรนสุดแรงกำลังเท่าที่มี แต่บุคคลลึกลับเบื้องหลังสังเกตเห็นมัดกล้ามแขนใหญ่กว่าอุดมพละกำลังไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน มันลากพจน์ถอยหลังกลับคืนทางแนวพุ่มไม้ เสียงลำธารเริ่มชัดเจนมากขึ้นทุกขณะ

ในใจพจน์ไม่ได้ตระหนกเท่าใดนัก พะวงแต่ว่าเจ้าคนคนนี้อาจเป็นโจรผู้ร้ายหมายปองประสงค์ทรัพย์หรือชีวิตของกลุ่มคนรอบกองไฟ ซึ่งหนึ่งในนั้นคงมีมาตะนอนรวมอยู่ด้วยเป็นแน่ ระหว่างร่นถอยบังเอิญเจ้าคนตัวการเผลอไม่ระวังเกิดสะดุดก้อนหินเป็นจังหวะให้พจน์ใช้ข้อศอกสวนกลับใส่ลำตัวหนา เป็นช่องให้มือทั้งสองเผลอหลุดปล่อยทันที พจน์สะบัดตัวหุนหันประจันหน้ากำหมัดแน่นพร้อมสวนกลับ เจ้าโจรนุ่งห่มผ้าสีกรัก ไม่มีผ้าคล้องไหล่ ปิดพันใบหน้าด้วยผ้าสีเดียวกันเหลือเพียงดวงตาเข้ม เปลือยอกหนาอวดหุ่นได้รูปทรงพร้อมเหงื่อกาฬเกาะพราว เจ้านั่นหายใจหอบ กำดาบซึ่งห่อด้วยผ้าอีกชั้นไว้แน่น

“อย่าเข้ามานะเว้ย ไม่งั้นกูชกกลับไม่ออมมือแน่” ตั้งท่าพร้อมเตะต่อย ทั้งร้องขู่

ชั่วขณะความเงียบงันเข้าแทรก พจน์ลอบสังเกตเห็นเรือนกายผิวขาวรูปลักษณ์เคยคุ้น อีกทั้งส่วนสูงล้ำกว่าตัวไม่มาก เขม้นมองแววตาเข้มผสานลมหายใจถี่ระรัวจับจ้องโจ่งแจ้ง จึ่งทำให้พจน์ล่วงรู้ฐานะของเจ้าโจรตรงหน้านี้ไม่ผิดจากหยั่งคะเน คิดได้ดังนั้นก็รีบหุนหันผละหนี หมายใจกลับสู่ลานก่อกองฟืน  ยังไม่ทันก้าวเดินเกินกว่าสามครั้ง ชายผู้ปิดบังใบหน้าก็เอื้อมคว้าข้อมือดึงรั้งไว้
 
“เมื่อน้องท่านแจ้งแก่ใจแล้วว่าข้านี้คือผู้ใด ทั้งมามีอาการประหนึ่งมิอยากชายตาแลเช่นนั้น มาตะมีหรือจักทนฝืนยับยั้งชั่งใจห้ามมิให้เอื้อมมืออันต่ำช้าแตะสัมผัส อภัยเสียเถิด หากน้องท่านรังเกียจเดียดฉันท์ ด้วยใจหนึ่งอยากสบเห็นหน้าให้เต็มตา มิได้ประสงค์จักสร้างราคีเป็นรอยมัวหมอง โปรดอย่าเพ่อด่วนจากไปเลยเจ้า ก็แหละน้ำมือของไอ้มาตะผู้นี้หากเป็นเครื่องทรมานน้องท่านแล้ว ขอจงใช้น้ำใจพระแม่คงคา ชำระล้างเสียก่อนเถิด”

เพียงได้ยินสำเนียงคำต้นก็แน่แก่ใจว่า เจ้าของใบหน้าเบื้องหลังใต้ผ้าพันศีรษะนั้นคือผู้ใด มาตะปลดผ้าคล้องไหล่ออก เผยให้เห็นสีหน้าซูบลงทุกข์ตรมสุดจะกล่าว ทั้งคิ้วขมวดมุ่นชนกัน ทั้งแววตาเจ็บปวดรวดร้าวชัดแจ้ง พจน์เห็นเช่นนั้นจึงเลือกแลมองสิ่งอื่น จ้องสายน้ำแตกฟองกระทบโขดหินต้องแสงจันทร์เกิดประกายขาวชัดเจน มาตะค่อยผละปล่อยข้อมือพจน์เมื่อแน่แก่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ถอยหนีจาก

“ภัทรพจน์เอย มาตะนี้มิอาจขอให้ท่านอภัยในความผิดปิดบังความ อันก่อเป็นเหล็กหนามเสียดแทงใจท่านหนึ่ง แหละมิอาจปล่อยให้น้องท่านละจากไปโดยมิได้สนทนากันต่อกันอีกหนึ่ง ทั้งสองเหตุนี้ก่อเป็นการกระทำฉุดรั้งแตะต้องตัวให้มัวหมอง ความผิดก่อนหน้าแลหรือความผิดในปัจจุบันนี้ หากก่อสุมในอกท่านเกิดเป็นเพลิงพิโรธมากขึ้นฉันใด เบื้องในอกข้าก็ราวกับมีหนามยอกอกผุดทิ่มมากเท่าขนาดเพลิงฉันนั้น”

เจ้าหนุ่มกล่าวพลางก็ถอยห่างพจน์พลาง แสงเดือนฉายกระทบสัดส่วนล่ำสันเป็นมันวาวเพราะหยาดเหงื่อ มาตะไม่ได้แต่งตัวโอ่อ่าเช่นเคย อีกทั้งยังไร้เครื่องประดับมากราคา มีแต่เพียงผ้าสองผืนปกปิดกายาเท่านั้น กึ่งกลางหน้าผากไร้รอยเขียนสี ทำให้ดูเหมือนชาวบ้านชาวเมืองธรรมดาที่พจน์เคยเห็นแถวโรงสุราของนางแดง
 
ภัทรพจน์มัวแต่ลอบสังเกตลักษณะของมาตะจึงนิ่งเงียบไม่เอ่ยความใด เป็นเหตุให้อีกฝ่ายปริวิตกหนัก ตีขลุมลงข้างว่าชังตัวเหลือประมาณ ความมุมานะว่าจักนำคนรักมาสู่ความเข้าอกเข้าใจด้วยสติปัญญาตนนั้นก็ลดทอนลงตามลำดับ
 
“บัดนี้แม้แต่คำทักเพียงหนึ่งก็มิอาจเอ่ยเป็นคุณแก่มาตะผู้นี้แล้วกระนั้น ฤา น้องท่าน”

มาตะกำดาบพันผ้าไว้แน่น ข่มใจไม่อยากกระทำการด้านร้ายหักหาญน้ำใจให้ยินดีกับคำตัว ความคิดข่มเหงเพื่อให้ยอมความกำเนิดขึ้นชั่วครู่หนึ่ง แต่ถูกมาตะหักลงได้ หากตนทำการดื้อดึงมอบน้ำใจสู่ภัทรพจน์ระหว่างอีกฝ่ายมิสมยอมเฉกนั้น รังแต่จะเพิ่มรอยแผลมากกว่าเป็นผลดี ครุ่นคิดแล้วจนใจมิเห็นหนทางอื่นนอกจากอาศัยสำแดงความสวามิภักดิ์ด้านดีออกตีแผ่พิสูจน์ จึ่งยอบกายคุกเข่าตรงหน้าคนรัก

พจน์มัวแต่ตั้งข้อสังเกตรูปพรรณสัณฐานของมาตะพ่วงระลึกถึงคำสั่งของอาจารย์พราหมณ์แล้วก็ตระหนกขึ้นในใจ แน่แล้วว่ามาตะคงถูกส่งมาให้สืบข่าวราชภัยมืดจึงเข้าใจสภาพแวดล้อมป่าทึบและเหตุการณ์ตรงหน้าโดยตลอด ระหว่างนั้นมาตะคุกเข่าอยู่ไม่ล่วงรู้ท่าทีอีกฝ่าย พจน์กำลังเอ่ยวาจาห้ามปรามก็ถูกมาตะชิงพูดเสียก่อน

“ความผิดติดตัวมาตะนี้เป็นข้อฉกรรจ์สาหัสนัก ข้าประจักษ์ด้วยสติปัญญาเห็นว่า มิอาจกระทำสิ่งใดลบล้างรอยนี้ได้ นอกกว่าความอภัยอันอยู่ในกำมือน้องท่านเพียงเท่านั้น หากตราบาปนี้เกินกว่าน้องท่านจะยกทอนโดยมิคิดแค้นฝังใจแล้ว มิเห็นหนทางอื่น คือยินยอมพลีกายให้กระทำประทุษกรรมลงทัณฑ์ตามแต่ประสงค์เถิด หากความผิดมาตะถึงขั้นอุกฤษฏ์โทษ จงพิพากษาทุบตีให้ถึงขนาดอย่าได้ออมแรง” มาตะยืดอกตัวตั้งตรงแน่วแน่ ดวงตาจดจ้องใบหน้าภัทรพจน์ไม่ให้หลุดเลือน

“นายลุกขึ้นก่อน” พจน์เห็นท่าทีผสมถ้อยความแล้วอดใจอ่อนไม่ได้ แต่ยังหักล้างข้อแค้นในใจมิได้หมดก็เจรจายับยั้ง เสียงสายน้ำกระทบโขดหินดังซาบซ่าน ผสานเป็นท่วงทำนองของธรรมชาติดังแว่ว
 
“คำอภัยนั่นแล้วจึ่งสามารถปลดมหันตโทษ แลฉุดมาตะให้ยืนได้ดังเดิม น้องท่านกรุณาลงอาญาชำระความให้จงหนัก มาตะคนชั่วนี้สมควรเจ็บให้เท่ากับที่น้องท่านเจ็บทั้งกายแลใจเสมอกัน” มาตะยังคงยืนกรานหนักแน่นคงเดิม

“นายเคยบอกว่าจะไม่มีวันโกหกเรา พระราชบุตรบุญธรรม” พจน์ถอนหายใจ
 
“ได้โปรดอย่าเรียกด้วยฐานะนั้นเลยเจ้า ตรงเบื้องหน้านี้หามีพระราชบุตรใดนอกกว่ามาตะของท่านคนนี้เพียงผู้เดียว”
 
“เรื่องฐานะตำแหน่งพระราชบุตรนั้นเราเชื่อถือตามคำของอาจารย์พราหมณ์ แต่มีคำถามข้อหนึ่ง นายรู้มาก่อนหรือเปล่าว่า พระราชเทวีต้องการให้นายแต่งงานกับกฤษณา” ตัดสินใจถามทั้งกลัวคำตอบของอีกฝ่าย

มาตะหน้านิ่วหม่นหมองสบมองแต่ดวงหน้าภัทรพจน์แน่นิ่งอยู่เป็นครู่ แล้วว่า

“บุรุษเมื่อเติบใหญ่ถึงวัยรุ่นสะคราญเหมาะควรทั้งวัยวุฒิแลคุณวุฒิประกอบพร้อมสมบูรณ์แล้วนั้น มิพ้นผู้บิดามารดาจักประสงค์หมายตาหาคู่ครองคู่ชีวิตมาประดับเคียงข้างตามอุดมคติ ก็แหละมาตะเจริญวัยนับได้สิบเจ็ดขวบปี นับว่าครองตัวตามขนบประเพณีวิถีมนุษย์เทียบชั้นอยู่ในเกณฑ์ดั่งว่า ทั้งที่ตัวมิอยากประพฤติตามกฏประเพณีสืบทอด ก็มิอาจขัดความประสงค์ของผู้มีคุณยิ่งชีวิตตัวได้”

เพียงได้ยินน้ำใสใจจริงของมาตะแต่เท่านี้ คำประสงค์เหมือนผุดแทรกอยู่ในถ้อยความ บังเกิดเศร้าผิดหวังหน่วงอกทั้งที่คิดมาล่วงว่าจะรับมืออย่างไร อดกลั้นหลับตาระงับข่มใจมิให้แสดงอาการอื่นนอกกว่าความสงบนิ่ง

“เข้าใจแล้ว นายลุกขึ้นเถอะ” เอื้อนเอ่ยคำเสียงเบาบาง กำลังจะก้าวย่างผ่านมาตะตรงสู่ฝั่งริมลำธาร ก็ถูกฉวยมือไว้แน่น

“น้องท่านอย่าเพ่อด่วนสรุปความ คำเบื้องต้นทั้งนี้คือสิ่งที่ควรเป็นสำหรับวิถีบุรุษชาติเชื้ออาชาไนยทุกผู้ทุกนาม หากจะมีผิดต่างก็เฉพาะวิสัยตัวคนเป็นผู้ลิขิต น้องท่านยังจำความอย่างหนึ่งอันมาตะกล่าวก่อนหน้าได้ ฤา ไม่”

พจน์จ้องสายน้ำสาดละอองเย็นกระทบถึงเท้าแล้วส่ายหน้า ในหัวมีแต่ความผิดหวังซ้ำดังวนเวียน แต่ยกข้อที่ว่า คนเราเกิดมาจะไม่เคยทำความผิดเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ พจน์เองก็เคยทำผิดพลาดมาบ้าง จึงพยายามมองข้ามข้อผิดหวังในตัวมาตะผ่านสายน้ำลำธารให้ช่วยพัดพาความทุกข์ในอกหลุดลอย

“ข้าฝันเห็นนัยน์ตาแลดวงหน้าน้องท่านมาตั้งแต่รู้ความ ทั้งยามตื่น ฤา ยามนอน น้องท่านเฝ้าวนเวียนอยู่ในห้วงคะนึงคิดทุกลมหายใจ จนมาตะยอมตกอยู่หลุมความรักมานับแต่นั้น อุทิศชีวิตและดวงใจเสมือนหนึ่งยกให้คนในความฝันเสียสิ้นแล้ว โดยมิอาจรู้ได้ว่า วันใดฝันนั้นจะเป็นความจริง ก็แหละบัดนี้ตัวตนน้องท่านกรุณาปรากฏอยู่เบื้องหน้าสมความปรารถนา สมมติดั่งมาตะพบอัญมณีมีค่าประมาณราคามิได้ครองอยู่ในกำมือ ต่อมามีผู้บอกว่า มีแก้วอีกอย่างเหมาะควรกว่าหมายให้มาตะเลือกถือไว้อีกสิ่งนั้น น้องท่านจงตรองเถิดว่า หว่างมณีมิอาจเปรียบราคาในกำมือที่เฝ้าฝันมาแต่จำความ แลแก้วอย่างหนึ่งอันพึงได้ยินในภายหลัง มาตะย่อมปลงใจเลือกสิ่งใด”

พจน์คิดตามก็ได้แต่นิ่งเงียบ มาตะสบช่องเห็นเป็นโอกาสจึงรีบสำทับว่า

“อีกประการหนึ่ง น้องท่านซักว่า ล่วงรู้พระประสงค์ในพระราชหฤทัยของพระราชเทวีมาก่อน ฤา ไม่ มาตะขอตอบว่าไม่ แต่ท่าทีแลถ้อยอัธยาศัยชักนำ แหละมักนัดแนะชะแม่กฤษณาชาววังมาพบปะหว่างเข้าเฝ้าทุกครั้งเป็นข้อตะขิดตะขวงใจ ครั้นบังเกิดขึ้นบ่อยครั้งจึ่งระแคะความนัยอันพระราชเทวีหมายใจอยู่ แต่พระนางมิได้ออกโอษฐ์ตรัสโดยซื่อ มาตะจึ่งมิอาจคิดได้ว่า เบื้องลึกในพระราชหฤทัยโดยแท้แล้วประสงค์สิ่งใด สำมะหามาตะนี้เป็นแต่ปุถุชนสามัญธรรมดา มิได้มีอิทธิฤทธิ์อ่านใจผู้ใดออก อาศัยสติปัญญาตัวกำกับกิริยามิให้สนิทสนมเกินกว่าพี่น้องสนทนา รักษาระยะห่างขอบเขตสุภาพใกล้ชิด ทั้งอยู่ต่อหน้าแลลับหลังคนทั้งปวง ใจบริสุทธิ์นั่นแล้วเป็นเครื่องพิสูจน์สัจจะความสามิภักดิ์สัตย์จริง แล้วมิหนำมาทราบในภายหลังจากพระมหาอุปราชซ้ำว่า พระนางเธอฯประสงค์สิ่งใดจึ่งคลายใจแลยันความบริสุทธิ์ว่า ตัวประพฤติมิได้เกินเลยจนผู้คนเอาไปติฉินนินทา อีกทั้งเป็นแต่ความประสงค์ของพระนางเจ้าท่านนั้น แต่หาได้เป็นความประสงค์ของมาตะไม่ คำตอบของมาตะนี้ต้องใจน้องท่านเพียงไร ฤา ก่อเกิดเป็นโทสะขุ่นแค้นขึ้นอีก วอนจงแจ้งเถิด ด้วยคำทั้งสิ้นคือความสัตย์จริงโดยแท้”

พจน์ลำดับเนื้อความแล้วบังเกิดเอนเอียงเข้าใจ แลคลายทุกข์ลงส่วนหนึ่ง หากจะว่ามาตะโกหกไม่ล่วงรู้มาก่อนก็พูดไม่ได้เต็มปาก แต่จะว่าไม่รู้เลยก็ไม่ใช่

มาตะยังคงคุกเข่ารอคำตอบของพจน์แน่วแน่ เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบแลใบหน้ารูปงามเพียงครู่ แต่ปากแข็งไม่ได้เอ่ยคำใด ย่อกายนั่งลงบนโขดหินหย่อนเท้าละลงสายน้ำฉ่ำชื่น รู้สึกใจเย็นขึ้นกว่าเมื่อแรกต้น เจ้าหนุ่มตัวหนาชันเข่าประชิดเบื้องหลังคนสุดสวาสดิ์ วางอาวุธแล้วโอบแขนรัดแน่นไว้ จุมพิตลาดไหล่ขาวเนียนต้องตาด้วยไม่อาจระงับความต้องการไว้ได้ ก็เวียนจูบหลังคอตักตวงพะเน้าพะนอสำนึกผิด


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป

______________________________

ชะตา : สิ่งที่กำหนดไว้ว่าจะบังเกิดขึ้นแก่บุคคล
คงคา : ลำน้ำใหญ่ซึ่งเป็นที่รวมของลำธารทั้งปวง
อุกฤษฏ์โทษ : โทษใหญ่ยิ่ง
มหันตโทษ : โทษหนัก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:20:14 โดย LoveBlueSky2203 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
จะได้อยู่คู่กันง่ายๆคงไม่มีทางยิ่งมีเรื่องฐานันดรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว
มาตะจะขัดขืนได้จริงๆเหรอ ถ้าวันหนึ่งมีรับสั่งให้แต่งงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่พจน์
 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
อืมดูท่าจะดราม่าหนักนะ  สู้ๆแล้วกัน  ความรักก็มักทีอุปสรรคแบบนี้แหละ  ถ้าไม่เข้าใจกันแล้วก็มีแต่แตกหัก ปมเรื่องพ่อนายเอกกะนักข่าวนั้นก็ยังเหมือนเดิม  ไหนจะผู้ช่วยคนนนั้นอีก คนแต่งอย่าสมองตันก่อนแล่วกัน  จากที่อ่านมา  ปมมีนเยอะๆ  แถมยังไม่ชัดเจนสักอัน  ลืมไปว่าเรื่องนี้หลายตอนนี้นะ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]



ฝ่ายพจน์ครั้นถูกมาตะจูบแนบเนื้อนวลเช่นนั้นบังเกิดสั่นวะวาบหวาบสุดทานทน มาตะเห็นกิริยาคนรักยินยอมให้ตนเล้าโลมก็คลายวิตก ความขุ่นแค้นในใจคงทุเลาลงมากแล้วจึงมิพักออมแรงโอ้โลมปฏิโลม เฉกเช่นยามอยู่สองต่อสอง

“หากน้องท่านคลายโกรธมาตะแล้วจงแสดงอาการอย่างหนึ่ง คือผินหน้าแลยื่นนวลแก้มให้มาตะสูดกลิ่นหอมราวดอกลีลาวดีด้วยเถิด”
 
ความผิดหวังแลโกรธแค้นลดลงคลายความขัดข้องหมองใจเสียสิ้นดังว่า แต่หากจะยอมคืนดีโดยง่าย ต่อไปภายภาคหน้าเกิดเหตุมิคาดคิดขึ้นซ้ำอีก มาตะคงใช้กลวิธีเดิมคือ อาศัยทักษะวาจาผสานกิริยาน่าสงสารเป็นหนทางออกเอาตัวรอดอีก พจน์อยากแก้แค้นกลับก็นั่งนิ่งอยู่มิได้หันไปตามคำ

“ไยท่าทีน้องท่านทำประหนึ่งความคิดด้านดียินยอมคลายแค้น แต่ความคิดด้านร้ายยังคงทำลายมาตะอยู่ หวังจะให้พิเคราะห์ตีความเป็นด้านใดนั้น เกินสติกำลังตัวจักทำได้ วอนน้องท่านเจรจาสักหนึ่งถ้อยความเถิด ว่าบัดนี้ยินดีด้วยรสสัมผัสขอโทษ ฤา ยังมิโปรดการให้อภัย มาตะผู้โง่เขลาเบาปัญญาใจ จักอาจเอื้อมคาดเดานั้นทำมิได้”

มาตะกอดกระหวัดพจน์ไว้แนบกาย สัมผัสมือถือแขนไว้มั่น หัวใจเต้นระทึกนั้นเด็กหนุ่มนัยน์ตาคมสัมผัสรู้แต่ไม่ได้ขัดขืน
 
“เราขอคำมั่นอย่างหนึ่ง นายจะให้ได้หรือเปล่า” พจน์เหล่ตามองคนเบื้องหลัง มาตะรีบพยักหน้าโดยไวจนพจน์นึกขันในใจ
 
“หากครั้งไหน เราจับได้ว่านายโกหกเราอีก เราจะ...” พจน์ยกยิ้มมุมปาก “ถีบนายให้ตกน้ำ”

สิ้นคำพูด มิรู้ว่ามาตะมัวแต่งุนงงในถ้อยความหรืออย่างไรจึงเผลอตัวไม่ได้ตั้งสติ จึ่งถูกภัทรพจน์ยอดดวงใจออกแรงผลักด้วยสองมือพร้อมด้วยเท้าอีกหนึ่งข้างยันถอยหลังตามเรี่ยวแรงมหาศาลผิดปกติ หล่นลงสู่ธารน้ำฉ่ำเย็นในทันที
 
สายน้ำซ่านกระเซ็นสัมผัสผิวกายพจน์เพียงเล็กน้อย แต่เจ้ามาตะเปียกโชกตั้งแต่ศีรษะมุ่นผมจรดปลายเท้า โผล่พรวดสำลักน้ำตาแดงเป็นที่ขบขัน ทำให้พจน์นึกย้อนไปถึงวันแรกพบ เจ้านั่นก็เปียกม่อล่อกม่อแล่ก เพราะน้ำเช่นกัน พยายามกลั้นขำลอยหน้าลอยตาเหมือนมิได้ทำสิ่งใดผิด มาตะตั้งสติได้ทั้งที่รู้ว่าโดนแกล้งก็อดแสร้งนิ่วหน้าเศร้าเหมือนหนึ่งมิรู้ความ ว่ายทวนสายน้ำตามเกาะโขดหินเบื้องเท้าของภัทรพจน์พร้อมวางหน้าสลด พลางว่า

“ความผิดของมาตะนี้หากลบล้างด้วยสายวารีได้แล้วไซร้ ขอยอมตกสักกี่ครั้งเท่าใดก็ไม่หวั่นเกรง หากสิ่งนั้นเป็นเครื่องเซ่นพิสูจน์ความจริงใจแลล้างความผิดได้ก็จักยอมทน”

“เข้าใจแบบนี้ก็ดีละ งั้นนายแช่น้ำอยู่ตรงนี้สักประมาณชั่วโมงเป็นไง” พจน์ปั้นหน้านิ่งขรึม ผุดลุกยืนปัดฝุ่นออกจากผ้านุ่งสีเดียวกับมาตะ เพิ่งสังเกตเห็นว่าตัวเองก็ไม่มีเครื่องประดับอื่นใด คลับคล้ายชาวเมืองสามัญเป็นปกติเช่นกัน

หว่างพจน์กำลังก้าวถอยห่างจากริมลำธาร มาตะเห็นสบโอกาสจะแกล้งคืนก็ทะลึ่งพรวดคว้าเอวคอดไว้ได้ แล้วเอนกายหงายหลังลงกระแทกผืนน้ำ ความเย็นสัมผัสผิวกายพจน์ทุกรูขมขน เมื่อเสียรู้มาตะเช่นนั้นจึ่งออกแรงผลักอีกฝ่ายให้ห่างตัว กลั้นหายใจโผล่ขึ้นเบื้องบนเพื่อสัมผัสอากาศ หอบหายใจถี่ ใช้ฝ่ามือลูบสายน้ำออกจากใบหน้า แลเห็นดวงตาสีเข้มเขม้นมองมาจากอีกด้านไม่ห่างนัก มาตะแหวกว่ายเข้ามาใกล้พจน์มากขึ้นทุกขณะ เมื่อเห็นสถานการณ์พลิกผันเช่นนั้นก็เกิดหวั่นใจขึ้นมาทันที ด้วยสีหน้านิ่งเฉยแลขยิบตาคมพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็นผุดพรายอยู่บนใบหน้ามาตะต้องกระทบแสงจันทร์ชัดเจน บัดนี้ผ้าคล้องไหล่ของพจน์หลุดหายจากตัวไปตอนไหนไม่รู้ จึ่งหันหลังว่ายทวนกระแสน้ำสู่ริมธารโดยเร็ว แต่ดูเหมือนพละกำลังระหว่างพจน์กับมาตะจะต่างกันมาโข เพราะยังไม่ทันที่พจน์จะโผถึงฝั่ง เจ้านั่นก็โถมแนบแผ่นหลังพจน์ได้รวดเร็วเหลือประมาณ ลำแขนใหญ่เกี่ยวรัดเฟ้นลำตัวพจน์ไว้ใต้น้ำจนเสียวสะดุ้ง เหลียวมองเจ้าหนุ่มรูปงามที่เข้ามาประชิดติดพันรวดเร็ว

“นะ...นายจะทำอะไร” ถลึงตาข่ม

“ทำตามหัวใจเรียกร้องร่ำหา ด้วยกายาน้องท่านเป็นที่ล่อตาล่อใจใต้แสงจันทร์ มิอาจหันแลหนีไปทิศทางใดนอกจากคนตรงเบื้องหน้านี้” มาตะคร่ำครวญพรรณนา หยดน้ำเกาะพราวทั่วใบหน้า ผมเรียบลู่ด้วยเปียกชื้น เช่นเดียวกับคิ้วดกหนาและหนวดรำไร ริมฝีปากขยับโผเข้าใกล้ทุกขณะ ลมหายใจร้อนพรั่งพรูต่างกับสายน้ำเย็นฉ่ำ ถึงแม้นพจน์จะเคยเห็นมาตะในระยะใกล้ชิดมาก่อน แต่ก็ไม่เคยเห็นในรูปลักษณ์เช่นนี้ พยายามดิ้นรนถอยหนี สายน้ำก็เหมือนเป็นใจด้วยมาตะโอบกระชับซัดให้ห่างจากริมฝั่งออกมา
 
“พวกเพื่อนนายกำลังนอนหลับอยู่ตรงกองฟืนใช่ไหม ระ...เราไปตรงนั้นเถอะ เริ่มหนาวแล้ว” ไม่เห็นหนทางอื่นนอกจากหาข้ออ้างมาหยุดห้ามสิ่งใดที่มาตะประสงค์

“น้องท่านรู้ ฤา ไม่ ใจข้าเต้นระทึกหวั่นไหวราวกับจะแตกดับ ณ บัดนี้ แม้นสายน้ำจักเย็นชื่นใจเช่นไรก็มิอาจระงับดวงใจให้สงบได้ มีแต่จะรุ่มร้อนเกินทานทน” พูดจบก็ตะโบมฉกชิมรสหวานจากพวงแก้ม

เมื่อจนมุมพจน์จึงใช้สองมือใต้น้ำดันอกไว้ แต่ระยะห่างเริ่มลดลงทุกลมหายใจเข้าออก

“เรายังไม่หายโกรธนายเรื่องที่โกหกเลยนะ ละ...แล้วนายก็กำลังทำให้เราโกรธอีก” พจน์หลบริมฝีปากร้อนแสร้งตีหน้าบึ้ง

“หากน้องท่านยังมิคลายโกรธจริงดังว่า ก็โปรดลงโทษานุโทษให้สมประสงค์ คือโปรดขยับทรวดทรงเข้าหา ยั่วเย้าให้อุรารุ่มร้อนทนทรมานเสียเถิด” มาตะหลับตาระงับความต้องการท่วมท้น

“ไม่ใช่ นายต้องปล่อยเราก่อน” พจน์รู้สึกหน้าร้อนเพราะรอยสัมผัส

“น้องท่านเป็นดั่งเครื่องทรมานมาตะโดยแท้ นี่แลคือโทษทัณฑ์ที่ข้าสมควรได้รับ มองเห็นเรือนร่างอรชรอยู่ในอ้อมอกอ้อมแขน แต่มิอาจเอื้อมชนะใจเชื้อเชิญมาครอบครองได้ ความทรมานใดจะเหมือนเพลานี้หามีไม่แล้ว น้องท่านจงดำรงความตั้งมั่นในใจให้แน่วแน่ไว้เถิด ผลกรรมอันมาตะก่อไว้บังเกิดตามทันบัดเดี๋ยวนี้แล้ว”

สีหน้าอดกลั้นจะจูบจุมพิตแต่พจน์หลบหลีก หรือยื้อแย่งแตะสัมผัสสัดส่วนใดพจน์ก็ปัดป้องออกทุกครั้ง กลับกลายเป็นความทุกข์ทรมานปรากฏแก่ดวงหน้ามาตะโดยตลอด ความตั้งใจแก้แค้นกลับคืน มาถูกแววเจ็บปวดอดกลั้นทำลายลงทีละน้อย ใจหนึ่งนึกสงสาร แต่อีกใจก็ยึดมั่นแน่วแน่ ครั้นพจน์ถูกสัมผัสกายเช่นนั้นเหมือนปลุกอารมณ์ให้ลุกโชนมิต่างกัน หลับตาพยายามระงับใจ พอลืมตาก็ถูกสีหน้ามาตะกระตุ้นเตือนซ้ำอีกหน

“ก่อนอาสาจากมาทำราชการลับ พระอาจารย์ท่านกล่าวคำหนึ่งเป็นที่ติดตรึงฝังใจในห้วงความคิด” มาตะข่มอารมณ์เอ่ยปากเท้าความ “ด้วยจิตสำนึกขณะนั้นประหวั่นห่วงหาน้องเจ้าเสมอภัยบ้านเมืองเป็นเครื่องระคายตาสู่ครูท่าน จึ่งฝากความหนึ่งไว้เป็นเครื่องปลอบประโลมมาตะมิให้หวั่นไหวโดยว่า

'มาตะเอย นับแต่เจ้ารู้ความจวบกระทั่งร่ำเรียนสรรพวิชาจวนหมดสิ้นกระบวนตำราพิชัยยุทธ์นี้แล้ว คำหนึ่งอาตมันมิเคยกล่าวชื่นชมยกย่องให้ได้ยิน ด้วยจักเป็นกิเลสหล่อเลี้ยงเสี้ยมให้หยิ่งพยองเกินความสามารถตน จักก่อเป็นภัยมากกว่าเป็นผลดี แต่วันนี้อาตมันเห็นจำต้องละความตั้งใจเดิมไว้ แลขอกล่าวชื่นชมยินดีว่า จักหามีศิษย์ในสำนักผู้ใดเชี่ยวชาญการรณรงค์ยิ่งไปกว่าเจ้านั้นเป็นไม่มี หะนี้มหาอาณาจักรต้องราชภัยใหญ่หลวง แลการไปสืบข่าวทั้งนี้จำต้องอาศัยฝีไม้ลายมือเป็นที่ยิ่ง แหละยามอุบากอง เป็นศุภฤกษ์ดั่งนี้ หากบังเกิดสิ่งรบกวนก่อขึ้นในใจ ราชการงานเมืองจึ่งอาจมีหวังพังพินาศได้ อาตมันจำต้องเล่าความอย่างหนึ่งฝากไว้เป็นเครื่องเตือนสติ
 
แหละเรื่องราวนี้มิเคยมีผู้ใดล่วงรู้ แม้กระทั่งบิดามารดรผู้ให้กำเนิด ราวสิบเจ็ดปีก่อน ในราตรีวันเพ็ญเดือนเก้าเพลาใกล้รุ่งอรุณ อาตมันได้ทราบข่าวว่า นางเมียผู้กินตำแหน่งภรรยาของเสนาบดีจตุสดมภ์ผู้หนึ่งบังเกิดเจ็บครรภ์แก่ใกล้คลอด แลสองผัวเมียคู่นี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ใจบุญสุนทาน กอรปกับ ทำกรรมดีมาทั้งชีวิต แลบัดนี้เสียงครวญเจ็บท้องดังแว่วมาถึงสำนักของอาตมันเป็นที่ผิดประหลาด แม้นอยู่ห่างเป็นระยะโยชน์ ระหว่างอาตมันลืมตาขึ้นจ้องแสงเดือนเหนือยอดมหาปราสาท บังเกิดความปลื้มปีติท่วมท้นในใจ ครั้นเสียงร้องของทารกดังลั่นเป็นหนแรก ราวกับมีถ้อยคำจากท้องฟ้าไหล่หลั่งลงผ่านศีรษะกระทั่งผุดออกมาจากปากอาตมันเป็นกลอนว่า


ทารกหนึ่งพึงกำเนิดเกิดย่ำรุ่ง
แสงสูรย์พุ่งเพริศพริ้งมิ่งเวหา
อรุณวาบเหนือภพกลบเมฆา
มาตะวันพันชะตา_ _ _

แหละกลอนนี้จักเกิดเป็นปกติก็หาไม่ หลั่งลงมาจากฟากฟ้านภาไกล เป็นนิมิตอัศจรรย์ใจเหลือประมาณ เจ้าตรองให้จงดีเถิดว่า ความนัยหมายชื่อในบทกลอนนี้นอกจากเป็นที่มานามเจ้าแล้ว ยังจักหมายถึงสิ่งใด’

เหตุการณ์วันนั้นเป็นนิมิตถือกำเนิดของมาตะ แลเป็นที่มานามของข้า พอสิ้นคำของอาจารย์ น้องท่านจงยกใจเข้าเทียบอกมาตะในเพลานั้นเถิดว่าจักรู้สึกเช่นไร”

“มาตะ... ชื่อของนายมาจากกลอนนี้สินะ” พจน์หลงลืมกิริยาผลักห้าม ปล่อยช่องว่างระหว่างเนื้อได้แนบเนื้อ

“คำสามพยางค์สุดท้ายนั้นทำลายความมัวหมองในใจให้สดใสบริสุทธิ์อีกครา ก่อเกิดเป็นความมั่นใจอย่างหนึ่ง คือไม่ว่าจักมีอุปสรรคขวากหนามใดก่อเกิดขึ้นระหว่างข้าแลน้องท่าน เราสองจักผูกพันกันยิ่งกว่าชีวิต มาตะวันพันชะตา_ _ _ ”

“วาจางาม” พจน์เผลอต่อกลอนจนจบความแล้วให้รู้สึกขนลุก ไม่ใช่เพราะความหนาวเย็นจากสายน้ำลำธาร แต่เป็นความจริงที่ว่า
 
“ถูกแล้ว มาตะวันพันชะตาวาจางาม” มาตะเลื่อนใบหน้าเข้าหาพร้อมลดเสียง “เป็นความหมายชื่อของน้องท่านมิใช่ ฤา ภัทรพจน์

เด็กหนุ่มเจ้าของนามวาจางามพยักหน้าเห็นชอบ มาตะจรดปากเหนือหน้าผากภัทรพจน์ พลางว่า

“ข้าขอโทษ ดวงใจของมาตะ ขอโทษที่ทำท่านเจ็บ ขอโทษ”

พจน์รู้สึกอุ่นวาบ ณ อกเบื้องซ้ายสุดจะบรรยาย ความตั้งใจแน่วแน่ถูกทำลายลงด้วยกลอนที่มาชื่อของมาตะ ไม่อาจทนฟังคำขอโทษได้ก็เงยหน้าหลับตาประกบแนบด้วยริมฝีปากฉ่ำ เพราะใจตัวเองบัดนี้ก็ร่ำร้องต้องการความผูกพันจากมาตะเหลือประมาณ

ดอกบัวงามชูช่อกอใต้น้ำ
ผุดก้านล้ำเหนือคลื่นตื่นหลีกหนี
ด้วยมัจฉาคอยตอดลอบลักมี
ขย้ำก้านกัดตีฝังรอยคม

เจ็บจำทนฝืนชูให้พ้นโศก
ดอกงามโยกส่ายไหวคล้ายสุขสม
จากเจ็บปวดสุขล้ำระรื่นรมย์
ก้านระทมดอกตูมก็ผลิบาน

มัสยาใจกล้าผวากอด
ตวัดสอดเสียดสีเกล็ดวาบหวาน
ประทุมมาลย์กลีบสั่นลั่นร่วงลาน
ทั้งโคนใบดอกก้านรากแทรกตม

น้ำยอดรักเกิดในกลางใจดอก
สำลักออกรสหวานปนฝาดขม
เจ้ามัจฉะผุดอ้ากล้าลิ้มชม
บัวโน้มก้มหยดหวานปานดวงใจ

****************************************

เบื้องหลังพุ่มไม้ปรากฏแววตาคู่หนึ่งจับจ้องเรือนร่างเปล่าเปลือยของเด็กหนุ่มทั้งคู่สะท้อนแสงเดือนขาวสว่างตัดกับสายน้ำในลำธารชัดเจนถนัดตา ปลุกอารมณ์ก่อราคะเกิดมิต่างจากบุรุษในผืนน้ำ ดวงใจเต้นครึกโครมเฉกเช่นฝ่ามือที่กำแน่นระงับความต้องการ กล้ามเนื้อนูนแน่นเกร็งรัดจนถึงหน้าท้อง เมื่อมิอาจฝืนทนได้ก็ลูบโลมขยับจังหวะตามท่วงท่าของเด็กหนุ่มทั้งสอง จวบกระทั่งถึงจุดหมายเดียวกันทั้งสามโดยพร้อมเพรียง


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป

เพจนิยายข้ามพิภพ ฝากกดเข้าไปติดตามด้วยครับ ถ้าหากมีข่าวสารแจ้งให้ทราบ หรืออัพนิยายตอนใหม่ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จะได้รู้ฉับไวมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเอาไว้เป็นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือติชม งานเขียนในอีกช่องทางหนึ่ง ด้วยครับ

______________________________

โอ้โลมปฏิโลม : แสดงความรัก
ม่อล่อกม่อแล่ก : เปียกและเปื้อนเปรอะไม่น่าดู
ยามอุบากอง : ฤกษ์เวลาออกเดินทางอย่างหนึ่ง
กอรปกับ : ใช้แสดงว่ามีนอกเหนือไปอีก
โยชน์ : หน่วยวัดความยาวของไทยแต่โบราณ เท่ากับ ๔๐๐ เส้น
แสงสูรย์ : แสงของดวงอาทิตย์
มัสยา : ปลา
ประทุมมาลย์ : บัว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2016 10:20:52 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5

ออฟไลน์ iiizo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตัวพี่ใช่ ฤๅ ไม่  o22 :a5:  อ่านรวดเดียวเลยค่า สำนวนดีมาก ภาษาก็ดี สนุกมากกกกกก :hao7: :katai2-1:
มาต่อไวๆนะคะ รอติดตาม :impress2: :pig4: o13 :z3:

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
ผมว่าคนที่หลงรักพจน์แน่ๆเลย  ที่มาเห็นเนี้ย

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๒๖


ตรีทินกรศศิธรทวิดวง


   
ภัทรพจน์นอนหอบแผ่อยู่ริมลำธาร มีสายลมพัดผ่านเป็นระยะ เนื้อตัวแลภูษานุ่งห่มเริ่มแห้งเหือด ถัดเคียงข้างเป็นเจ้าหนุ่มมาตะนอนเท้าแขนผินหน้าลอบยิ้มอยู่ในที ขณะพินิจมองยอดชีวีหลับตาพริ้มอยู่
 
“จักมีครั้งใดที่ข้าสุขสำราญเสมอรสรักครานี้ก็หาไม่” มาตะผุดลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ อกหนากระเพื่อมขึ้นลง หน้าท้องเป็นลอนขยับเกร็งดูสุขสมดังว่า พจน์ขมวดคิ้วก่อนจะลืมตาจ้องดวงจันทราเหนือนภากาศ

“หมายความว่าครั้งก่อนนายไม่มีความสุขงั้นสิ” กอดอกแน่นหน้าแดงอารมณ์ขุ่นมัว

“หามิได้ ก็แหละนับแต่หนแรกแลถึงครั้งนี้น้องท่านเสียตัวให้มาตะนับเป็นหนสาม”  ได้ยินคำ เสียตัว ก็พลันตีอกชกกายมาตะด้วยขัดใจ “น้องท่านโปรดเพลามือด้วยเถิด แลสดับให้สิ้นความก่อน เราสองต่างร่วมที่เป็นผัวเมียจริงแท้ดั่งนี้ ล้วนมีรสแตกต่างเสมือนข้าวปลาอาหารมีหลากชนิด ประกอบด้วยเปรี้ยวหวานมันเค็มเช่นไร กามรสอันได้แต่น้องท่านก็หลากรสเช่นเดียวกันฉันนั้น”
 
เจ้ามาตะยกเรื่องอย่างว่ามาพูดด้วยหน้านิ่งเฉย ต่างกลับพจน์ที่ต้องยกแขนปิดบังดวงตา อายแสนอายสายน้ำทั้งอายแสงเดือนก็พอกัน

“เสื้อผ้าเราแห้งแล้ว ไปจากที่ตรงนี้เถอะ” เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องเพราะเมื่อแลมองสายน้ำ ฤา โขดหินครั้งใดก็ปรากฏภาพตัวเองแลมาตะไร้อาภรณ์เปล่าเปลือยผุดว่ายแนบชิดก่อเกิดเป็นท่วงท่าต่างๆนานาจนมิอาจฝืนทนจับจ้องได้ ความอายมีมากกว่าความกล้าก็ชักชวนอีกฝ่ายละจากที่

มาตะยกยิ้มปล่อยเสียงหัวเราะห้าว แลว่า

“กระไรน้องท่าน มามีอาการขวยเขินประหนึ่งมิเคยถูกมาตะปรนนิบัติเช่นนั้น” โอบแขนกอดรัดเฟ้นด้วยไออุ่น พจน์พยายามขืนแต่ก็ทำได้แค่ความคิด “ผิวกายเราสองปฏิสัมพันธ์รู้จักกันแลกันมากกว่าหนหนึ่งแล้วดั่งนี้ น้องท่านควรจักละกิริยาน่าเอ็นดูไร้เดียงสาลงเสียเถิด ด้วยท่าทีนี้บันดาลก่อเกิดให้มาตะจำต้องข่มใจหักห้ามมิให้ฝืนกระทำล่วงปลอบซ้ำ”

“บ้าไปแล้ว เราไม่ได้ยั่วยวนนายสักหน่อย หยุดความคิดแบบนั้นเดี๋ยวนี้” พจน์ชี้นิ้วใส่หน้า มาตะก็อ้าปากงับใช้ชิวหาหยอกเย้าจนเด็กหนุ่มตัวบางกว่าต้องรีบดึงกลับคืน “นายมันหื่นจริงๆเลย”

“เพลานี้เป็นหน้าที่เวรยามลาดตระเวนของข้า อย่าพะวงว่าจักมีคนอื่นมาเห็นเลยน้องท่าน อีกหลายชั่วยามกว่าจักผลัดเปลี่ยนเวรเฝ้า มีเพลาอีกมากที่มาตะจักขอความเมตตาน้องท่านโปรดช่วยเอ็นดู แลลงโทษในฐานกระทำปิดบังความท่านไว้ แหละการลงโทษเพิ่งผ่านพ้นเพียงหนเดียวเช่นนี้ อารมณ์โกรธของน้องท่านคลายลงสิ้นแล้ว ฤา มาตะยินดีให้ท่านประทุษกรรมซ้ำอีกหนเถิด ใจขุ่นแค้นจักได้คลายลงจนกลับกลายเป็นปรกติดังเดิม”

วาจาซ่อนความนัยซับซ้อนมีหรือพจน์จะไม่เข้าใจเจตนา แต่เพียงยินคำที่มาชื่อของมาตะความกังขาโกรธแค้นก็เหมือนมลายสิ้น จักเหลือหลงความโกรธนั้นก็คงเป็นนิสัยเอาแต่ได้นี้ต่างหาก คิดแผนการได้อย่างหนึ่งผุดขึ้นในใจแล้วก็วาดรอยยิ้มกว้าง

มาตะเห็นคนรักเปลี่ยนสีหน้าเขินแดงเป็นยินดีด้วยคำตัวก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อุปมาน้ำตาลใกล้มด  เมื่อมดแลเห็นหยาดน้ำตาลหยดคล่อมหน้าตักตนเช่นนั้น ย่อมห้ามใจมิได้ มดจึงตวัดลิ้นดูดลิ้มชิมรส ทั้งจรดจมูกสูดกลิ่นน้ำตาลหวานซ้ำจนพอใจ

ฝ่ายพจน์เห็นมาตะเคลิบเคลิ้มระเริงใจในกิริยาตนสมคะเนดังนั้น โอบแขนคล้องลำคอหนาขยับรั้งใกล้เข้าหาตัวตามสมคิด ขยับสะโพกเสียดสีผ้านุ่งหุ่มจนเลิกขึ้นเผยให้เห็นผิวขาวนวลใต้ร่มผ้าเป็นที่ล่อตาล่อใจ มาตะส่งเสียงครวญขึ้นครั้งหนึ่ง พจน์ก็กดสะโพกย่อกายลงบนหน้าขาซ้ำ ก่อเป็นท่วงท่าล่อแหลมแลปลุกอารมณ์เร่าร้อนให้ลุกโชนติดกับดักในทันที ระหว่างเคล้าเคลียฉกชิมยอดอกภัทรพจน์เสริมเรี่ยวแรงอยู่นั้น พจน์ก็อาศัยความว่องไว ถอดผ้าคล้องไหล่ประจำกายตัวปิดตามาตะรวดเร็วด้วยเงื่อนตาย ครั้นมาตะถูกคนรักใช้ผ้าปิดตาเหมือนนัยนาบอดสนิทมองไม่เห็น  ภาพรัญจวนใจเบื้องหน้าราวกับถูกลักพาจากคลองจักษุ อารมณ์เต็มขั้นก็ถูกถอนออกปัจจุบันทันด่วน เสียงหัวเราะหวานดังอยู่ใกล้เคียง แต่มาตะไม่อาจแลเห็นได้ พยายามแก้ปมเชือกเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ

พจน์ยืนกอดอกมองดูผลงานตัวสำเร็จสมความคิดก็ส่งเสียงหัวเราะลำพองในชัยชนะ

“ดูสิ คนปากว่ามือถึงอย่างนาย พอมองไม่เห็นแล้วจะทำอย่างไรต่อ” เด็กหนุ่มขยับถอยเมื่อมาตะลุกยืนเซเอื้อมคว้ามาทางตน กระโดดย่องแย่งหลบหลีกพัลวัน

“เอ็นดูเถิดเจ้า วานน้องท่านปลดเครื่องบังสิริโฉมท่านนี้ออกเสียเถิด มาตะคนซื่อมิทันเล่ห์กลมีหรือจะกระทำปลดเองได้”

“เราไม่ใจอ่อนยอมทำตามแน่ นายโดนปิดตาเสียบ้างก็คงดี จะได้ลดท่าทีหื่นกระหายให้คลายลง” พจน์สวนความกลับกลั้นหัวเราะตัวงอ ก้าวถอยหลบมือเอื้อมไขว่คว้าของคนถูกปิดตา เมื่อสังเกตเห็นมาตะอาศัยเสียงฝีเท้าคะเนว่าตัวอยู่ทิศทางใดก็ย่องเบาขึ้น ปิดปากกลั้นเสียงขันไม่ให้เล็ดรอด ขยับถอยสู่ทางแนวพุ่มไม้ห่างลำธาร ส่วนมาตะอยากร่วมเล่นกับยอดรักให้สมใจอีกฝ่าย ผูกเงื่อนตายเช่นนี้มีหรือตัวจักมิอาจปลดออกได้ แสร้งประหนึ่งไร้หนทางก็ยอมทำตามการละเล่น
 
ภัทรพจน์ก้าวถอยพลางปิดกลั้นเสียงหัวเราะพลางจนถึงเนินดินกระทั่งแผ่นหลังเปลือยเปล่าชนเข้ากับผิวเนื้อของคนผู้หนึ่งก็สะดุ้งใจ หันเหลียวกลับมองคนที่ตัวชนโดยพลัน

“สุริยะ เอ่อ...มหาอุปราช”

พจน์เผลอออกพระนามเดิม พอได้สติก็เรียกขานตำแหน่งศักดิ์สูง ด้วยไม่คาดคิดว่าบุคคลเบื้องหลังตนจะเป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เพราะลักษณะฉลองพระองค์มิผิดต่างจากสีผ้าของพจน์ อีกทั้งยังไร้เครื่องประดับทองคำอันประกอบเป็นพระเกียรติยศเมื่อแรกเจอ แต่มิอาจกลบรัศมีของเลือดขัตติยะให้มัวหมองได้ ด้วยมองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่า คนตรงหน้านี้มีเชื้อสายแตกต่างสามัญชนทั่วไป พระหัตถ์ซ้ายกำพระแสงทวนปลายสีเงินกระจ่าง พระพักตร์พิศวงก่อเกิดให้พระขนงขมวดมุ่น พระนลาฎไร้เครื่องประดับเฉกเดียวกัน ทำให้พจน์ต้องขยับถอยห่างเพื่อเตรียมทำความเคารพ แต่บังเกิดฉุกคิดได้ว่า พระองค์เคยกล่าวคำผิดใจฝากไว้ต่อกันแลกัน อีกทั้งฝังลึกยังมิคลายลงก็ยืนจดจ้องอยู่

“ออกนามเราซ้ำอีกหน”

“อะ...อะไรนะ” พจน์สลัดความคิดผิดใจ แล้วส่ายหน้ารวดเร็ว

“ออกนามเราอีกครา ‘สุริยะ’ พจน์” พระมหาอุปราชหนุ่มย้ำพระดำริแผ่วเบา

“ทำไมเราต้องเรียกชื่อท่านด้วย ก็ในเมื่อท่านสืบเชื้อสายกษัตริย์ กฎมนเทียรบาลบัญญัติว่า...”

“ช่างเถิดกฎมนเทียรบาล นับแต่นี้ครั้งใดเจ้าจงเรียกขาน ออกนามตามเราสั่ง” สุริยะอุปราชคลายพระพักตร์อ่อนโยน ทอดพระเนตรเห็นท่อนบนเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปิดบังก่อเป็นเครื่องกระตุ้นให้พระหทัยเต้นผิดจังหวะ ก็หยิบยื่นผ้าคล้องไหล่ประจำพระองค์แล้วพันให้ พจน์เห็นอุปราชสุริยะมีท่าทีอ่อนลงกว่าเมื่อครั้งก่อน ความผิดฝังใจก็ลดทอนลง
 
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่ตรงนี้”

“เอ่อ คือ...”

“พี่ท่าน” มาตะแก้มัดผ้าพันตาออกแล้วเร่งเดินมาสบทบ สีหน้านิ่งเฉยปรากฏตามวิสัยเดิม

“มาตะน้องเรา คนผู้นี้ไยถึงติดตามหมู่เรามาได้ ด้วยหะแรกออกเดินทางมีด้วยกันมีเพียงเก้า แหละมหาดเล็กลึกลับผู้นี้บังเกิดโผล่ขึ้นในเขตพักแรมเราช่างน่าพิศวง” อุปราชสุริยะปั้นพระพักตร์กลับเป็นน่าเกรงขามตามเดิม ราวกับคำเจรจาก่อนหน้าเหมือนมิได้หลุดออกจากพระโอษฐ์  พจน์เห็นท่าทีแปรเปลี่ยนเป็นคนละคนของพระมหาอุปราชก็เกิดฉงน

“ด้วยพี่ท่านดำรงยศถึงเจ้าวังหน้า คือผู้ที่จักสืบราชสมบัติไอศูรย์สวรรค์ ราชการลับครานี้นอกกว่าจำต้องปลอมองค์เป็นราษฎรสามัญแล้วหนึ่ง แลมีข้าราชบริพารติดตามเพียงหยิบมืออีกหนึ่ง เกรงจักมีผู้รับใช้ไม่สมประสงค์ จึ่งจำต้องปลอมปนมหาดเล็กผู้น้อยคอยถวายงานให้สุขสำราญมิให้ขาดตกยิ่งกว่าในพระราชวังหลวง เป็นเหตุให้ข้าจำต้องลักลวงพนักงานผู้นี้ติดสอยห้อยตามมาด้วย”
 
มาตะกล่าวยืดยาวเป็นเรื่องราวหนักแน่นอยู่ พระมหาอุปราชสุริยะในชุดปลอมองค์เป็นชาวบ้านพยักพระพักตร์พอพระทัยกับคำทูลถวาย แลมิได้ซักความเพิ่มเติมอีก แล้วตรัสกับพจน์ว่า

“กิจอันเราเดินทางไปนี้มีอันตรายใดแฝงอยู่มิอาจรู้ ก็แหละเจ้าเป็นแต่เพียงมหาดเล็กฝ่ายภูษา เรียนรู้แต่การงานปรนนิบัติพัดวี มีหรือที่จักช่ำชองสรรพอาวุธประจำกาย มาตรว่ามีเภทภัยอันตรายใดคุกคามคณะ ก็จงอย่าดำรงตัวเป็นภาระให้ผู้อื่นประหวั่นพะวักพะวงดูแล จงนำหอกซัดเล่มนี้ปลิดชีพตัวเสียในทีเมื่อมีโอกาส”

อาทิตยาธรอุปราชหยิบหอกซัดด้ามสั้นเหน็บบั้นพระองค์ แล้วโยนใส่ภัทรพจน์หมายพระทัยให้อีกฝ่ายคว้ารับ แต่เด็กหนุ่มมากสิริโฉมกลับยืนชะงักตื่นตะลึงในคำ พระแสงอาวุธจึ่งตกกระทบพื้นเบื้องปลายเท้า ในชั้นแรกพจน์ตรึกตรองข้างว่า ความโกรธระหว่างกันคงคลายลง แต่กิริยาบริภาษเหมือนขับไล่ไสส่งให้ตนฆ่าตัวตายทันทีหากมีภัยร้ายมากล้ำกรายเพื่อไม่เป็นภาระคนอื่น ก่อความอัดอั้นผสมสับสนปนเปท่วมท้น ด้วยทีท่าอ่อนโยนก่อนหน้ากลับกลายเป็นเย็นชาชังน้ำหน้านั้นไม่คาดคิด

“พี่ท่านอย่าด่วนตัดสินความสามารถคนผู้นี้ หากเสี้ยมสอนฝึกปรืออาวุธให้คล่องมือมิกี่เพลา ก็เห็นจักช่ำชองเชี่ยวชาญพอตัว มาตะขอเป็นธุระในการนี้อย่าได้ปริวิตก” มาตะเห็นการแตกหักกำเนิดขึ้นซ้ำก็ขัดขวางโดยวาจาอ่อน

พระมหาอุปราชหนุ่มเงยพระพักตร์สูงทอดพระเนตรสีหน้าแดงโกรธจัดของมหาดเล็กงามวิไลแล้ว พระพักตร์ก็บึ้งตึงกริ้วยิ่งขึ้นไปอีก พระแสงทวนประจำพระองค์ถูกกำแน่นยิ่งกว่าเก่า นิ่งมองเจ้าหนุ่มทรงเสน่ห์ไม่วางตา ส่วนภัทรพจน์ไม่รู้ว่าความรู้สึกทับถมก่อเกิดขึ้นในใจนี้เรียกว่าสิ่งใด การกระทำของผู้ดำรงยศสูงจึงเหมือนตบหัวแล้วลูบหลัง ทำประหนึ่งตนเป็นของเล่น ยั่วเย้าเอาตามแต่อารมณ์ปรารถนา หากตนเป็นภาระแลอาจเป็นตัวถ่วงสำหรับการนี้ ก็ไม่ขอยืนทนให้เป็นที่อับอายต่อไป หันมองหน้ามาตะ เขาไม่ควรข้ามพิภพมาในช่วงเวลานี้เลย รังแต่จะสร้างภาระเป็นที่ลำบากใจแก่มาตะ แล้วหากเกิดภัยร้ายคุกคามจริงดังว่า ตนคงจะดำรงตนเป็นภาระไม่พ้นแน่
 
มาตะลอบเห็นสีหน้าท่าทางคนรักแล้วให้รู้สึกเจ็บปวด ด้วยคำของพระอุปราชเป็นเหมือนปลายทวนประจำพระองค์ทิ่มเกาะกินใจคนคู่พิสมัย เสมือนหนึ่งผู้ไร้ความสามารถไม่ควรติดตามพระองค์เช่นนั้น จักเข้าลูบปลอบก็มิอาจทำต่อหน้าพระพักตร์ได้ อ้ำอึ้งอัดอั้นตันอกมิต่างกัน

พจน์ลองเพ่งหลับตาพยายามนึกถึงโลกที่จากมาแต่ไร้ผล จะทำอย่างไรดี เขาไม่อยากอยู่ที่แห่งนี้แล้ว ช่วยนำพจน์ข้ามพิภพกลับไปเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด

“หากเช่นนั้น ต่อแต่นี้น้องเราจงเป็นธุระกวดขันฝึกปรือเท่าที่มันจักทนสามารถรับวิชาได้ แลหอกซัดเล่มนั้นจงเก็บไว้กับตัวมัน สอนให้มันเรียนรู้วิถีอาวุธ อย่าให้เป็นภาระในการณ์ภายหน้าเป็นเด็ดขาด” สุริยะอุปราชยอมผ่อนปรนโดยง่าย มาตะเห็นเช่นนั้นก็ตื้นตันทรุดตัวพนมไหว้

“พี่ท่านสมแล้วที่จักขึ้นครองราชสมบัติเป็นมหากษัตริยาธิราชเจ้า พระเมตตาการุณย์ท่วมท้นเผื่อแผ่แก่อาณาประชาราษฏร์โดยมิเลือกชั้นวรรณะเช่นนี้ มาตะอดที่จักขอกระทำก้มกราบสนองพระเดชพระคุณตราบชีวิตจะหาไม่” มาตะกำลังจะทำตามความคิดตัวก็ถูกสุริยะผู้เชษฐาตรู่เข้าประคอง

“นอกจากเจ้าจักมิสนคำพี่อันเคยกล่าว ยังมาดื้อแพ่งทำกิริยาอันเราเคยห้ามซ้ำดั่งนี้ ไม่เหมาะควร ทั้งเราสองมีฐานะพี่น้องร่วมวงศ์เช่นนี้ด้วย หากพี่มิเมตตามหาดเล็กผู้นี้ เห็นที่น้องเราคงตีหน้าบึ้งไม่คลายเป็นแน่”

อุปราชหนุ่มสัพยอก มาตะก็ยิ้มรับคำ พยักหน้าเป็นสัญญาณให้พจน์กล่าวคำขอบคุณ แต่มีหรือพจน์จะยอมทำตามคำร้องของมาตะ เห็นได้ชัดว่าพระมหาอุปราชองค์นี้ไม่เพียงแต่มีพระหทัยเหี้ยม แข็งกร้าวน่ากลัว ยามขึ้นปกครองบ้านเมืองราษฎรคงเดือนร้อนทุกหย่อมหญ้า ก็เพียงแต่พจน์ยังเดือดดาลดูถูกดูแคลนหมิ่นหยามความสามารถเช่นนี้แล้ว ต่อไปเบื้องหน้าหากมีใครทุกข์ร้อนมาขอความช่วยเหลือ นายสุริยะผู้นี้คงยื่นดาบให้ประหัตประหารตัวตายเสียกระมัง คิดได้เช่นนั้นก็ยืนค้ำเสมอองค์

“หะนี้หมดเวรยามเจ้าเฝ้าแล้ว พี่จึ่งมาขอผลัดเปลี่ยน น้องเราจงกลับไปนอนพักเอาแรงเสียก่อนเถิด เราขี่ม้าเร่งเดินทางผ่านคืนวันหลายชั่วยามมิได้หยุดพัก นี่เป็นหนแรกที่ค้างแรม จงอาศัยหลับนอนเสียอย่าได้เป็นห่วง” สุริยะอุปราชตรัสสั่ง “แลมหาดเล็กผู้นี้จงปล่อยไว้กับพี่ก่อน ด้วยมีกิจสั่งความให้กระทำอย่างหนึ่ง ตามหน้าที่รับใช้”

มาตะรั้งรอมิอาจทำตามได้ก็นิ่งเฉยอยู่ พจน์เห็นความลำบากใจเกิดขึ้นเต็มหน้ามาตะแล้วรู้สึกสงสารและเข้าใจ จึ่งออกปากว่า

“นายไปเถอะ มาตะ เดี๋ยวเราตามไป”

กิริยาอาวรณ์รีรอมิอาจละทิ้งภัทรพจน์ไว้หนสองได้นั้นพจน์เห็นอยู่เต็มตา จึ่งส่ายหน้าแล้วพยักเพยิดให้จากไปเสีย ด้วยไม่อยากให้มาตะต้องมาเดือดร้อนเพราะตนเป็นเหตุ ครั้นถูกวาจาของสุริยะผู้พี่สั่งซ้ำ มาตะหักใจข่มอารมณ์ถอยห่าง หายลับทางแนวไม้อันเป็นทิศทางสู่ลานกองฟืน

เมื่ออยู่สองต่อสองแล้ว สุริยะอุปราชจึ่งก้มลงเอื้อมพระหัตถ์หยิบหอกซัดประจำพระองค์ขึ้นมาถือไว้ สายพระเนตรจับจ้องแต่อาวุธขนาดสั้นนั้นแน่วแน่ แล้วตรัสว่า

“หอกซัดเล่มนี้ เป็นอาวุธชนิดแรกยามข้าเริ่มฝึกศิลปศาสตร์สรรพอาวุธ แลของชิ้นนี้ยังเป็นศาสตราวุธอันได้รับพระราชทานมาจากพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงธรรม ถึงแม้นอายุอานามขณะนั้นจะเพียงครบเจ็ดชันษา ข้าก็ยังจดจำพระกระแสรับสั่งได้ชัดเจน ทรงตรัสว่า

‘พระราชบุตรจงฟังคำเราให้มั่น แลยึดถือเป็นหลักชัยจงดี ยามเมื่อรบทัพจับศึก ราชศัตรูฝ่าดงบุกชุลมุนตลบเข้าประชิดกายโดยมิอาจทันระวัง อาวุธเล่มเล็กอันถูกมองข้ามนี้แล จักเป็นผู้ชุบชีวิตของเจ้าในยามคับขัน จงหยิบมันจ้วงแทงปลิดชีพศัตรูในจังหวะแนบชิดอย่าให้มันผู้นั้นได้ล่วงรู้ถึงชะตากรรมเป็นเด็ดขาด ยามใดเจ้ามิได้จับทวน ฤา ดาบ จงฝึกปรือใช้อาวุธนี้ให้เชี่ยวชาญประหนึ่งเพื่อนกายสหายรัก มิว่ายามตื่น ฤา ยามนอน จงนำมันติดตัวไว้มิให้ห่างกายเป็นเด็ดขาด จงมอบใจฝากไว้กับหอกซัดเล่มนี้ประดุจเป็นตัวเจ้าอีกคนหนึ่ง แลเมื่อใดเจ้ารู้สึกว่าอยากปกป้องอันตรายมิให้มากล้ำกรายคนที่เจ้ารักแล้ว จงมอบอาวุธชนิดนี้ให้แก่คนผู้นั้น เสมือนเจ้าคอยปกปักรักษาอยู่ทุกชั่วยาม’

พระราชดำรัสในครานั้นฝังตรึงในห้วงความจำ จวบกระทั่งราตรีนี้ เจ้าโปรดตอบข้ามาคำหนึ่งเถิด ภัทรพจน์ มหาดเล็ก ว่าเจ้ามิอยากรับหอกซัดอันข้ามอบให้นี้เลยกระนั้น ฤา แม้แต่จักเอื้อมหยิบหรือชายตาแลแต่เพียงนิดก็เจ็บปวดรวดร้าวประหนึ่งรังเกียจเดียดฉันท์  ฤา เพราะคำมุสาอันข้ากล่าวฝากพร้อม เป็นเหตุให้ท่านเมินเฉยเย็นชา จงโปรดตอบมาสักคำหนึ่งเถิดเจ้า”


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป


______________________________

ทินกร : ดวงอาทิตย์
ศศิธร : ดวงจันทร์
น้ำตาลใกล้มด : ยามใกล้ชิดกัน ย่อมห้ามใจไม่ให้รักกันได้ยาก
ปากว่ามือถึง : ไม่เพียงแต่เกี้ยว ยังแตะเนื้อต้องตัวด้วย
ไอศูรย์ : สมบัติของพระราชา
หอกซัด : หอกด้ามสั้น ใช้พุ่งหรือซัดไป
บั้นพระองค์ : เอว
บริภาษ : ว่าผู้อื่นทำผิดและใช้ถ้อยคำรุนแรง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:21:32 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

อีรุงตุงนังดีแท้ๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ความสัมพันธ์พจน์ปาล์มนี่ยอมรับว่าซับซ้อนอีรุงตุงนังดีแท้ๆอย่างคุณว่านั่นแหละครับ สุดท้ายแล้วปาล์มจะแก้ปมความสัมพันธ์นี้ยังไงต้องติดตามเอาใจช่วย แถมมีน้องนีเข้ามาเกี่ยวพันอีก แค่คิดก็เหนื่อยแทนละ เฮ้อออออ

อ่านแล้ววางไม่ลงจริงๆ จะตามอ่านต่อไปปปปปปป  :mew1:
ขอบคุณครับที่ทำให้คุณมีอาการแบบนั้นได้ แต่ผมว่าวางก่อนก็ดีนะครับ เมื่อยแย่เลย 555

:เฮ้อ:
โห ถอนหายใจแรงขนาดนี้ วิ่งมาเหนื่อย หรือว่า อ่านนิยายของผมแล้วเหนื่อยกันแน่นะ ติ๊กต๊อกๆ หรือว่านิยายเราเป็นตัวการหว่า ฮ่าๆ

ในที่สุดได้อ่านตอนใหม่แล้วเย่ จุดพลุลลล  คิดถึงน้องพจน์มากกกกกกกกกก ตอนนี้ขอแนะนำให้พจน์ปลงกับปาล์มซะเถอะไหนๆเค้าก็ยืนยันแบบนั้น=_=;; มาวางแผนเอาคืนมาตะคนซื่อ(หรอ?)กันดีกว่า55555555555สมควรจะงอนนานๆไปเลยพจน์ถูกเสมอ มาตะทำอะไรก็น่าโมโหในสายตาเรา555555555 แอบกังวลเรื่องคุณผู้ช่วยว่าจะจริงใจกับคุณพ่อรึเปล่า มาดีมาร้ายหรืออะไร;__; กลัวจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่คุณก็รู้ว่าใคร(?) แฝงตัวมาในครอบครัวพจน์ ระวังๆตัวนะลูกกกกกพี่เป็นห่วงมาก อินเหลือเกิน :hao5: :hao5: :hao5:
ดูเหมือนแฟนคลับปาล์มจะทยอยตีจากไปทีละคนสองคน ไม่นะ ได้โปรดอย่าทิ้งพี่ปาล์มของเราเลย เป็นตัวละครที่น่าสงสารอีกตัวเช่นกัน นายต้องมีเหตุที่ทำแบบนี้แน่นอน (อะไรเป็นคนแต่งก็น่าจะรู้เหตุผลดิ ยังมาถามอีก : ปาล์มพูด 555) ส่วนของการวางแผนเอาคืนมาตะนั้น ไม่รู้ว่าพจน์จะใจแข็งได้นานแค่ไหน ถึงตอนล่าสุดนี่คุณคงรู้ว่า พจน์งอนนานได้ถึงสิบนาทีหรือเปล่ายังไม่รู้เลย (ลืมเอานาฬิกาข้ามพิภพไปด้วย) แต่ก็หวังว่าคุณจะพอใจกับพ่อแง่แม่งอน (สั้นๆ) บวกเอาคืนเล็กๆ (ใครเอาคืนใครกันแน่ ฮ่าๆ)นะครับ สำหรับด้านคุณผู้ช่วยกับพ่อของพจน์ หวังว่าคุณจะเดาทางถูกนะครับ แต่...ก็อาจจะไม่ถูก หรือ เปล่า เอาไว้รอเฉลยๆ

ปาล์มถูกโหวดออก  :ling1: เฮ้อออ่านแล้วเห็นปมพันกันยุ่งเลย

พจน์สู้ๆ ค่อยๆตามแก้กันไปทีละนิดๆ :mew1:
ปาล์ม นายเป็นจุดอ่อนของทีม ถูกใครๆก็โหวตออก (น่าสงสารแทน) (ก็คุณเขียนให้ผมเป็นแบบนี้เอง ยังกล้ามาสงสารผมอีกซะงั้น : ปาล์มพูด) น้องพจน์ของเราก็ไม่รู้จะจัดการยังไงดี เอาเป็นเวลาฉากสรุปปาล์มพจน์จะมาถึงแน่นอนครับ รอชม

ภาษาสวยจริงๆ และปมก็เยอะมาก กลัวตอนท้ายจะเก็บปมไม่หมดจัง สู้ๆนะคนเขียน ทำงานหนักเลย
ขอบคุณที่คุณชอบครับ เอ...พอคุณท้วงขึ้นมาเรื่องเก็บปมไม่หมด ผมก็ชักจะกลัวๆขึ้นมาซะแล้ว ต้องรีบไปจดปมต่างไว้ก่อนกันลืม แต่หวังว่าพอถึงบทสรุป ทุกอย่างจะคลี่คลายไม่มีสิ่งใดค้างคาแน่นอนครับ ให้สัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือสำรองเลยเอ้า ฮ่าๆ

สวัสดีครับคนแต่ง  ผมไม่เบื่อนิยายเรื่องนี้แน่นอน  ยิ่งอ่านยิ่งสนุกนะ  ยิ่งอ่านมันยิ่งมีปมขึ้นเรื่อย  ทำให้ระแวงไปหมด  กลัวพจน์จะเพี่ยงพร่ำ  ขนาดรู้ว่ามาตะมีคู่มั่นยังทำให้อ่อนแย่เลยอ่ะ  ส่วนเรื่องคุณพ่อนี้ก็อ่านแล้วอึดอัดใจไแด้วยเลยกะความรักครั้งนี้  แต่กลัวว่ามันจะไม่ใช่ความจริงนะสิ  ถ้าเป็นตัวร้ายคงรู้สึกแย่  อีกอย่างกลัวใจพจน์ด้วย  แต่คนแต่งคงไม่โหดกับคนอ่านขนาดนั้นใช่ไหมครับ  จะรอต่อไป  คนแต่งก็สู้ๆนะครับผม
งั้นก็ฝากติดตามกันต่อไปเรื่อยๆนะครับ เป็นกำลังใจให้ผมได้ดีมากเลย อย่าระแวงเลยครับ อ่านสบายๆ ฮ่าๆ ส่วนเรื่องพ่อพจน์นี่เป็นอีกคู่ที่ควรติดตามครับ ใจพจน์เป็นยังไง จะมั่นคงแค่ไหน หรือจะเอนเอียงปันไปให้ใครหรือเปล่านี่ไม่รับปากครับ เพราะบางทีสิ่งที่แน่นอนอาจไม่แน่นอนอย่างที่คิด อิอิ

มีป่มมาให้ปวดหัวอีกแหละ  รู้สึกอุปสรรคนายเอกเราจะเยอะขึ้นนะ  อืมตัวจุดฉนวนรึเปล่าเนี้ย  นายเอกเราไม่ใช่ลูกแท้ๆงั้นหรอ แล้วทำไมพ่อนายเอกต้องกลัวเพื่อนด้วยล่ะ  หรือเคยมีความหลังกันนะ  สู้ๆคนแต่ง
อย่าถึงขั้นเก็บมาคิดให้ปวดหัวเลยครับ ปมแต่ละปมมีเหตุมีผลทีทำให้นิยายเรื่องนี้ดำเนินต่อไปอย่างมีอะไรรองรับอยู่ ยังไงก็อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ ยังมีปมอีกเยอะคอยคุณอยู่ แต่ละปมก็จะคลี่คลายเมื่อถึงจุดๆหนึ่งเอง หวังว่าพจน์จะไม่ใช่เป็นอย่างที่คุณคิดนะครับ พ่อพจน์กับอดีตเพื่อนรัก ต้องมีซัมติงแน่ๆ บอกใบ้ไว้เลยครับ

:hao4:
  :really2:

มีแต่คำถามลอยอยู่เต็มไปหมด :katai5:
ถามมาสักข้อสิครับ เผื่อผมจะตอบให้คุณคลายสงสัยได้บ้าง อิอิ

ปาดน้ำตา สนุกมากจนน้ำตาไหล
ชอบมาตะจังแต่ตอนล่าสุดมาตะออกมาแต่ชื่อ จอมมารยังมีบทมากกว่าเลย อ่านเรื่องนี้ไปก็ทวนหลายๆรอบ ยิ่งกาย์พ กลอง โครงทั้งหลายที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเรามา ก็ต้องขุดรากถอนโคนมารื้อเพื่ออ่านเรื่องนี้
ถึงขั้นปาดน้ำตา นี่ไม่ได้ประชดใช่ไหมครับ ล้อเล่นๆ ดีใจที่ทำคุณน้ำตาไหลได้ คิดถึงมาตะ ตอนล่าสุดนี่มาตะก็โผล่มาให้หายคิดถึงแล้วครับ เรื่องโคลงกลอนนี่ไม่ยากอย่างที่คิดครับ เพราะมีฉันทลักษณ์กำหนดไว้ชัดเจน แต่คำที่นำมาเรียบเรียงเป็นกลอนนี่แหละครับยาก กว่าจะหาคำหรือความหมายที่เราต้องการได้ แถบบางทีอ่านไปอ่านมาแปลความไม่ได้อีก ช่วงหลังๆผมเลยทำเป็นเชิงอรรถอธิบายความหมายไว้ตอนท้ายของแต่ละตอน หวังว่าจะช่วยให้คุณอ่านได้ง่ายขึ้นนะครับ

จะได้อยู่คู่กันง่ายๆคงไม่มีทางยิ่งมีเรื่องฐานันดรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว
มาตะจะขัดขืนได้จริงๆเหรอ ถ้าวันหนึ่งมีรับสั่งให้แต่งงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่พจน์
 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
รักแท้หากไม่มีอุปสรรค ก็ไม่เรียกว่ารักแท้ที่แท้จริงหรอกครับ ว่าไหม เอ ถ้าวันหนึ่งมาตะถูกจับแต่งงานตามอย่างที่คุณว่ามาจริงๆ และคนนั้นก็ไม่ใช่พจน์ซะด้วย อืมมม ดราม่านั้นจงบังเกิดสิครับ แหม ถามได้ อิอิ

อืมดูท่าจะดราม่าหนักนะ  สู้ๆแล้วกัน  ความรักก็มักทีอุปสรรคแบบนี้แหละ  ถ้าไม่เข้าใจกันแล้วก็มีแต่แตกหัก ปมเรื่องพ่อนายเอกกะนักข่าวนั้นก็ยังเหมือนเดิม  ไหนจะผู้ช่วยคนนนั้นอีก คนแต่งอย่าสมองตันก่อนแล่วกัน  จากที่อ่านมา  ปมมีนเยอะๆ  แถมยังไม่ชัดเจนสักอัน  ลืมไปว่าเรื่องนี้หลายตอนนี้นะ
ก็คงจะไม่ดรามายาวไปตลอดทั้งเรื่องที่เหลือหรอกครับ รอติดตามต่อไป ปมพ่อนายเอกกับเพื่อนนักข่าว อีกเช่นกัน จงรอติดตาม พอคุณพูดย้ำเรื่องเก็บปมไม่หมดและสมองตันขึ้นมา ผมก็สะดุ้งซ้ำสองเหมือนกัน เอ หรือว่าเราต้องไปหาเครื่องดื่มบำรุงสมองมาดื่มบ้างละ เกิดเผลอคิดอะไรไม่ออก คนอ่านรุมแย่แน่เรา แน่นอนว่าหลายตอนครับ แลขอสปอยว่านิยายเรื่องนี้วางโครงเรื่องไว้ทั้งหมด ๓ ภาคจบครับ เป็นไงล่ะครับ ยาวนานแน่นอน กลัวอย่างเดียว กลัวคุณจะเบื่อไปซะก่อน ฮือๆอย่าทิ้งกันไปน้า

:mew6:
เย้

มือที่สามแน่ๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ครับ แต่จะเป็นใครนี่สิ ยังไม่เฉลยง่ายๆหรอก อิอิ

ตัวพี่หรือ?  :hao4:
เอ๋ ใช่หรือเปล่าน้า ติ๊กต๊อกๆ #หลับแปบ ฮ่าๆ

ตัวพี่ใช่ ฤๅ ไม่  o22 :a5:  อ่านรวดเดียวเลยค่า สำนวนดีมาก ภาษาก็ดี สนุกมากกกกกก :hao7: :katai2-1:
มาต่อไวๆนะคะ รอติดตาม :impress2: :pig4: o13 :z3:
ขอบคุณที่คุณชอบ และสามารถมากๆที่อ่านรวดเดียวถึงตอนล่าสุด ยกนิ้วให้เลย ใช่ตัวพี่ ฤา เปล่านี้ ไม่เฉลยแล้วกันให้เดากันเอาเอง

ผมว่าคนที่หลงรักพจน์แน่ๆเลย  ที่มาเห็นเนี้ย
คนที่หลงรักพจน์เนี่ย ใช่คุณหรือเปล่าครับ ล้อเล่นๆ ฮ่าๆ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2016 15:47:41 โดย LoveBlueSky2203 »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด