[แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

สำรวจความต้องการให้มีการพิมพ์รวมเล่มนิยาย >>>>ข้ามพิภพ<<<< หรือไม่

ต้องการ
27 (67.5%)
ไม่ต้องการ
0 (0%)
ไม่แน่ใจ
13 (32.5%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 40

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]  (อ่าน 284872 ครั้ง)

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
คนพี่ชัว (แอบเติมไม้เอกได้ไหม)
ของน้องนะพ่อคุณ :katai1:

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]


ท่ามกลางความสบสนมึนงงอยู่นั้น ดูเหมือนสมองของพจน์จะประมวลผลถ้อยคำของพระมหาอุปราชผิดไปจากเมื่อแรกยินหรืออย่างไร จึงทบทวนความนั้นซ้ำอีกหน ก็พลันรู้สึกสะดุ้ง กำลังจะอ้าปากถามก็มาถูกเสียงเอ็ดตะโลอื้ออึงดังโหวกๆมาแต่ชายป่าด้านทิศกองฟืนตั้งอยู่ สุริยะอุปราชหนุ่มละกิริยาสลดเป็นเข้มแข็งรวดเร็ว สะบัดพระแสงทวนในท่วงท่าเตรียมพร้อม พลางตรัสว่า

“คงมีเหตุมิบังควรเกิดขึ้นเป็นแน่ จำเราจะตรวจดู เจ้าคอยอยู่ ณ  ที่แห่งนี้อย่าเขยื้อนไปที่ใด”

“ไม่ เราจะไปด้วย” พจน์ยืนกราน พระมหาอุปราชสีพระพักตร์ขึงขังแล้วยัดเยียดหอกซัดใส่มือ

“เอาไว้ป้องกันตน หากเกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าต้องร้องให้ข้าได้ยิน อย่าทำอัตวินิบาตกรรมดั่งคำข้ามุสากล่าวอ้างมาก่อนหน้าเป็นเด็ดขาด” สุริยะหนุ่มสั่งความหนักแน่น ทั้งที่ในหัวพจน์ผุดคำถามมากมายแต่ก็พยักหน้ารับ รู้สึกเป็นห่วงมาตะจนไม่สามารถยืนฟังต่อได้ เร่งฝีเท้านำสู่เสียงชุลมุนนั้น

รอบกองเพลิงปรากฏเงาคนแลม้าขยับกีบเท้าล้อมอยู่รอบคนทั้งแปด มาตะตั้งท่าถือดาบในอิริยาบถพร้อมรบ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ พจน์และอุปราชสุริยะแฝงเร้นอยู่แนวนอกวงล้อมของกลุ่มคนผู้มาใหม่ แต่ละคนนุ่งห่มผ้าผืนดำ ท่อนบนเปลือยอก ปิดพันใบหน้าเหลือเพียงดวงตา นั่งอยู่หลังอาชา คะเนด้วยสายตาคงราวๆประมาณยี่สิบคน อาวุธดาบแลทวนครบมือส่องประกายต้องแสงอัคคีเจิดจ้า

“จงวางศาสตราวุธทั้งหมดลงกับพื้น บัดเดี๋ยวนี้”

เสียงฮึกเหิมของชายหนุ่มออกคำสั่งดังลั่น พจน์ขยับพุ่งจะเข้าหามาตะแต่ถูกอุปราชสุริยะดึงรั้งแขนไว้ อาศัยแนวต้นไม้เป็นที่กำบังหลบภัยซ่อนเร้น

“ปล่อย!” พจน์ขืนตัวหมายใจเข้าช่วย

“รอก่อน หากเจ้าถลันเข้าสู่วงล้อม หนทางออกนั้นจักมีอยู่หรือ ฤา เจ้ามีแผนการตีฝ่ากระนั้น” อุปราชหนุ่มแย้งยกถ้อยความจริงมาอ้าง พจน์ส่ายหน้า รู้แต่ว่าตนต้องเข้าไปช่วยมาตะให้ได้

“ข้าทั้งหมดกระทำผิดอันใด ฤา จึ่งเป็นเหตุให้พวกเจ้ามากลุ้มรุมล้อม เสมือนหนึ่งโจรชั้นต่ำจักวางกลลอบเข้าปล้นฉะนี้”

ถ้อยความส่อเสียดโอหังนั้นพจน์จดจำสำเนียงแลสุ้มเสียงได้ และเมื่อแสงไฟสาดกระทบใบหน้าคล้ายไอ้กันจึ่งเห็นเป็นนายกองกฤษณะ นุ่งหุ่มคล้องผ้าราคาพื้น ถือทวนประจำตัวยืนตั้งมั่นพร้อมรบไม่ขลาดกลัว ฮึดสู้ท้าทายฉายชัด เช่นเดียวกับโกสินทร์แลเวฬุ สหายคนสนิทของมาตะ ต่างกระชับอาวุธเคียงข้างถัดมา เบื้องหลังเป็นบุรุษอีกจำนวนสี่คนที่พจน์ไม่รู้จักสอดส่ายอาวุธระแวดระวัง ด้วยลักษณะรูปร่างใหญ่โตล่ำสันของคนทั้งแปด ทำให้ผู้ปิดล้อมขยับบังเหียน ม้าเคลื่อนไหววนเวียนไม่อาจเข้าประชิดได้สมคะเน

“อ้ายถ่อยฝีปากกล้าเยี่ยงนี้น่ะรึ สามหาวอวดดีมากล่าวคำปรามาสว่ากูเป็นโจรชั้นต่ำ พวกมึงทั้งนั้นต่างหากมิผิดตัว คือโจรชั่วอันชาวเมืองเลื่องลือสื่อถึงกรมการเมือง” เจ้าคนชุดดำปิดบังใบหน้าตัวสูงสันทัดคนเดิมเย้ยซ้ำ “ด้วยท่าทีหลบๆซ่อนๆ มีลับลมคมใน แลมิเคยคุ้นสำหรับถิ่นที่นี้ จำกูต้องนำตัวพวกมึงทั้งหมดไปสอบความให้จงได้ จงวางอาวุธแหละยอมถูกพันธนาการแต่โดยดี หาไม่แล้วความตายจักเป็นสิ่งที่พวกมึงเห็นเป็นครั้งสุดท้าย”

“ก็แหละตัวกูนี้ เกิดมาหาใช่ด้อยฝีมือถึงขั้นยอมยืนฝืนนิ่งให้ใครอื่นมาดูถูกตัวได้ โดยไม่ฝากรอยแผลเป็นเครื่องเตือนสติแลฝีปากกล้าของมัน” กฤษณะตวัดทวนหมุนวนข่ม มิได้ระย่อเกรงกลัวแม้แต่นิด “จงเร่งควบม้าเข้ามาอย่าช้าที แลรอยแผลชั้นดีจักตราตรึงฝังกายมึงจวบกระทั่งวันตาย”

“ช้าก่อน กฤษณะพี่ท่าน”

มาตะเห็นสถานการณ์ลุกลามบานปลายจนอาจก่อเกิดเป็นการตะลุมบอนเช่นนั้นไม่เหมาะสม อีกทั้งลักษณะคำพูดของกลุ่มคนชุดดำสังเกตดูคล้ายเจ้าหน้าที่พนักงานกรมการเมืองอย่างหนึ่ง แลคงมิพ้นทหารหลวงเป็นแน่แท้ หากก่อการวิวาทนอกจากจำต้องฆ่าฟันคนดีซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่แล้ว ยังอาจสร้างเรื่องราวลุกลามบานปลายใหญ่โต การมาสืบราชการลับคงมิลับอีกต่อไป เห็นเช่นนั้นจึ่งออกตัวยุติความ

“หากเดามิผิด พวกท่านเหล่านี้คงดำรงยศถึงทหารหลวง คอยลาดตระเวนตรวจตราราชภัยเป็นแม่นมั่น หากข้ากล่าวผิดพลาด ฤา มิถูกต้องจงทักท้วงด้วยเถิด ด้วยลักษณะอาชารูปร่างใหญ่โตผิดขนาดอันราษฎรสามัญจักมีไว้ครอบครองหนึ่ง พร้อมด้วยเครื่องม้าอันผูกประดับด้วยลายวิจิตรเป็นต้น ขลุม จงกล หรือ ตาบ หนึ่ง” มาตะสืบเท้าเข้าหาแจกแจงถี่ถ้วนโดยละเอียด พิจารณารูปพรรณสัณฐานม้าอันถูกปิดบังไว้ด้วยไม่ระมัดระวัง แลประกอบขึ้นเป็นที่ผิดสังเกตก็มองเห็นทะลุปลุโปล่งโดยสิ้น อาศัยความทั้งนี้เป็นข้อใหญ่ใจความสำคัญในคำเจรจา
 
“แลทั้งวาจาพูดคุยเป็นหลักการน่านับถืออีกหนึ่ง พร้อมด้วยอาวุธยุทธภัณฑ์อันประกอบด้วยดั้ง โล่ เขน ธนู ดาบ แลทวน ล้วนตระการตาเงาวับ ราวกับจับดูแลมาอย่างดี ทั้งลวดลายสีสันวิจิตรบรรจง บ่งยศศักดินากว่าชั้นไพร่ ทั้งคมกริบสะท้อนแสงไฟเป็นสัญญาณบอกความนัยแห่งวรรณนักรบหนึ่ง สี่ประการนี้ทำให้ข้าอาจสรุปความได้ว่า นอกจากพวกท่านทั้งหมดจักเป็นยอดขุนพลรับใช้แผ่นดินแล้ว คงกินยศศักดิ์สูงสง่า สังกัดกองพยุหสิงหราลาดตระเวนเขตขันธ์เป็นแน่แท้” มาตะอาศัยทักษะไวปัญญาแก้ไขไกล่เกลี่ย

“เหตุใดเจ้ามาทำท่าทีอ่อนน้อมอ่อนแอเฉกนี้ มาตะ พวกมันเห็นจักตริเอาได้ว่า อ้ายไพร่ตรงหน้านอกจากไร้ฝีมือแล้วหามีสิ่งใดจะคมเท่าฝีปากของมันก็เท่านั้น จงสงบคำแลปล่อยเป็นธุระเราจัดการเอง” กฤษณะเห็นมาตะทำประหนึ่งเสือติดบ่วงแล้วมาสำแดงกิริยาอ่อนน้อมแก่นายพรานหวังให้นายพรานเมตตานั้นทนไม่ได้จึ่งตวาดดังลั่นซ้ำว่า “หากเป็นทหารหลวง หรือโจรป่าชั้นเลว ก็จงเข้ามาอย่าช้าที ทวนของข้านี้อยากลิ้มโลหิตฝากรอยแผลแก่มันผู้กล้าหาญสุดทานทนแล้ว”

“วิสัยมุทะลุประจำกายท่าน มิอาจนำมาใช้ในสภาวะการณ์เช่นนี้ได้ ก็แหละข้าชี้ช่องแล้วว่า คนเหล่านี้เป็นถึงทหารรับสนองคุณแผ่นดิน ย่อมถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาสวามิภักดิ์จงรักต่อองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แลอาณาประชาราษฎร์มิให้ได้ยากลำบาก คติประจำใจยึดมั่นเป็นหลักชัยเช่นนี้ เราเป็นแต่เพียงประชาชนใต้ร่มบรมโพธิสมภาร กอรปกับทำความดีมาทั้งชีวิต มีหรือทหารประจำพระองค์จักมิยึดถือเหตุแลผล ปฏิบัติกับเราด้วยเมตตาธรรม ก็แหละพวกท่านประสงค์จักสอบความเรานั้นย่อมสามารถ ก็หมู่ข้าทั้งนี้จำเดิมเป็นพ่อค้าวาณิช เที่ยวร่อนเร่สืบหาของอย่างดีไปค้าขายแล้ว ยังดำรงชีพด้วยการรับจ้างนำทางตามแต่ผู้เรียกหา หากชาวเมืองนี้จักมิเคยคุ้นหน้าย่อมถูกต้อง ด้วยพวกพ้องเหล่าข้าอพยพระเหระหนย้ายที่ทางทำกินอยู่เสมอ จากเมืองหนึ่งสู่อีกเมืองฉะนี้ จนก่อเป็นข้างระแวงว่าเป็นโจรผู้ร้ายนั้นไม่ควรก่อน ความสุจริตใจแลอาชีพเป็นมาดั่งนี้ หมู่ท่านผู้ครองสติแลบรรดาศักดิ์วรรณะสูงโปรดตรองจงดีเถิด ว่าพวกข้าเป็นอันตรายจนถึงขั้นก่อภัยนั้นยังจะถูกอยู่หรือ”

กฤษณะมีทีท่าไม่ยอมลงโดยง่าย ครั้นจะกระทำตามใจมุ่งหมายเดิม พวกที่มาด้วยก็ไม่เป็นใจด้วยตน หากมุทะลุบุ่มบ่ามประจันบานแต่เพียงผู้เดียว คงเสียมากกว่าได้จึ่งอดกลั้นข่มใจยืนนิ่งหน้าถมึงทึงอยู่

“เจ้าคนผู้นี้พูดจาเป็นหลักการน่าเชื่อถือ แต่จักให้เราปล่อยวาง ไม่สอบความนั้นทำไม่ได้ นอกจากพวกเจ้าในที่แห่งนี้แล้ว ยังจักมีใครอื่นอีก ฤา ไม่”

มาตะถูกถามเช่นนั้น บังเกิดห่วงคนรักขึ้นมาในทันใดก็อ้ำอึ้งอยู่ อีกทั้งจักดึงพระมหาอุปราชมาสู่ที่เป็นตายเสมอกันด้วยนั้นไม่อาจทำได้ เหลือบแลมองโกสินทร์และเวฬุ ต่างส่ายหน้าตอบเป็นนัยอยู่ เช่นเดียวกับกฤษณะนายกอง จึ่งว่า

“นอกกว่าเราในที่แห่งนี้ ท่านแลเห็นเงาคนอื่น ฤา หาไม่ หากจักสอบความ ณ บัดนี้ หมู่ข้ายินยอม จงเร่งกระทำเถิดอย่าได้ยากเสียเพลาเลย” มาตะอาศัยความใจเย็นลูบเข้าปลอบ

เจ้าคนชุดดำบนหลังม้าเหวี่ยงตัวลงมาพร้อมธนูในกำมือ เดินดุ่มๆเข้าประจันหน้ากับมาตะ ระดับส่วนสูงคะเนใกล้เคียงกัน มาตะลดอาวุธแต่มิได้เปิดช่องให้โดยง่าย หากเกิดสิ่งไม่คาดคิดก็สามารถป้องปัดได้ทันท่วงที

“เราถูกชะตาเจ้านัก ทั้งฝีปากเฉียบคมแลไหวพริบชาญฉลาด แต่หะนี้ตกขาดไปบางสิ่ง ก็แหละหากสายตาข้ามิได้เลอะเลือนแล้วไซร้ อาชาซึ่งผูกรั้งตามโคนไม้ข้านับได้สิบ ฤา เจ้าจักบอกว่าอีกสองตัวมีไว้สำรองก็มิอาจแก้ได้ ด้วยสัมภาระหามีมากถึงขั้นนั้นสามารถนำติดตัวไม่ลำบาก จงเอ่ยปากบอกเราบัดเดี๋ยวนี้ ใครอีกที่เจ้าปกปิดไว้”

ดวงตาคมเบื้องใต้ผ้าคลุมสีดำเขม้นรอความจริง
 
“หากข้าจักกล่าวว่าเป็นม้าสำรองจริง ก็ถูกท่านดักไว้เสียแล้ว เมื่อความเที่ยงแท้เป็นเช่นนั้นหากถูกท่านแปรเจตนาเป็นเท็จแล้ว ไหนเลยข้าจักอาจเอ่ยความเดิมได้อีก ก็แหละในเมื่อท่านปลงใจว่าหมู่ข้าผิดมาตั้งแต่หนต้น ความจริงใดจักสามารถมาลบล้างผิดอันฝังใจท่านนั้นคงไม่มี” มาตะยืนนิ่งสุขุมไม่ให้มีพิรุธจับได้ “เชิญท่านสรุปโทษแลลงอาชญาเสียเถิด อย่าได้ประวิงเวลาอันมีค่าอยู่เลย หากแม้นตัวตายแล้ว ทว่าความซื่อสัตย์ประจำตัวจะตายไปพร้อมด้วยชีพนั้นเป็นไปมิได้”

ฝ่ายเจ้าหนุ่มชุดดำเห็นมาตะสำแดงทีท่าสุจริตใจ อีกทั้งแววตาขรึมเป็นหลักฐานมั่นคงอยู่ก็หลากใจสนเท่ห์ เจ้าคนชุดดำอีกคนแต่งกายมิดชิดสวมเสื้อปกปิดหน้าอกเหวี่ยงตัวก้าวลงจากหลังม้าเดินมาเคียงคู่ เพียงเอ่ยคำหนึ่งก็รู้ว่าเป็นเสียงสตรีเพศ

“น้องเราอย่าเพ่อด่วนตัดสินความคนเหล่านี้ หลักฐานยืนยันถูกผิดนอกจากคำลือของชาวบ้านชาวเมืองแล้วมิเห็นสิ่งใดเป็นที่ยึดถือ หากเรากุมตัวส่งกรมการเมืองพิพากษาไต่สวน ก็รังแต่จะหวนสร้างความร้าวฉานแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน เพราะท้ายสุดก็คงถูกปล่อยตัวหามีความผิดมิได้ หน้าที่เราคือพิทักษ์ดูแลความสงบสุขของอาณาประชาราษฎร์ ประเดี๋ยวนี้พี่แลเห็นว่าเจ้ากลับอาละวาดสร้างความเดือดร้อนเสียมากกว่า”

มาตะสดับสำเนียงเสียงหวาน สำรวจทรวดทรงเป็นสตรีแน่แท้ก็ให้คลายใจ เพราะดวงตาระริกไหวของเจ้าหนุ่มชุดดำเริ่มสั่นคลอน หน้าอกนูนแน่นกระเพื่อมขึ้นลงราวกับตื่นเต้น ความมั่นใจก่อนหน้ามาถูกสตรีเคียงข้างเขย่ายื้อดึงรั้งไว้ สบเห็นเป็นช่องทางเอาตัวรอดได้แล้วจึ่งว่า
 
“หากเพื่อความสบายใจของท่าน ข้ายินยอมติดตามสู่สำนักสอบสวนความโดยละมุนละม่อม แต่จักให้ยากถึงย่อมนำพาขบวนทั้งหมดนั้นไม่ควรก่อน รังแต่จะเป็นภาระเคลื่อนย้ายจงคุมตัวไว้แต่ที่นี้ แลหากสิ้นคดีจงอโหสิปล่อยคนของเราไปอย่าได้ถือโทษโกรธกันอีก”

เจ้าหนุ่มชุดดำสบตามาตะแน่วแน่ พลางกำมือรอบคันธนูแน่น มิได้เอ่ยความใดตอบกลับ เอาแต่ยืนจดจ้องเช่นเดียวสตรีชุดดำข้างกาย ทหารม้าต่างคุมเชิงรอคำตอบอยู่รายล้อม

“ท่านจักเดินทางไปที่ใด” เจ้าหนุ่มชุดดำซัก

“ผ่านนครเขตขันธ์ลูกหลวงนี้แล้ว ข้ามุ่งหมายเลียบเคียงหยุดค้าแลเปลี่ยนม้า ณ มัธวะอาชา ครั้นแล้วจึงบ่ายหน้าสู่ทวาระบุรี ออกช่องเขาสุวรรณคีรี สู่นครไพรพนาวรรณ แล้ววกกลับมาเส้นทางเดิม” มาตะเผยแผนการโดยซื่อแต่งำเรื่องสืบราชการลับไว้

เจ้าหนุ่มนิ่งฟังชั่วครู่แล้วจึงปลดผ้าคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นใบหน้างดงามราวกับอิสตรี ด้วยคิ้วโค้งดวงตารีเรียวใส พร้อมริมฝีปากแดงจับใจสวยสด หากมิเคยได้ยินยศสำเนียงเสียงห้าวคงเดาได้ไม่ยากว่าเป็นหญิงเลิศผู้เลอโฉมเป็นแน่ กึ่งกลางหน้าผากเขียนสีขาวเป็นหยดน้ำ เช่นเดียวกับหญิงสาวใกล้เคียงก็ปลดผ้าคลุมศีรษะออกเช่นกัน นางงามแฉล้มเช่นเดียวกับเจ้าหนุ่มหน้าสวย คลับคล้ายคลับคลาราวกับพี่น้องร่วมอุทร

“นามของข้าคือ บุหลัน แลสตรีผู้นี้คือ สิตางศุ์ ผู้พี่” เจ้าหนุ่มหน้าสะคราญนาม บุหลัน บอกชื่อตัวและแนะนำคนข้างเคียง พลางทอดถอนใจ ดวงตาจับจ้องมาตะไม่กะพริบไหว “เจ้าจงให้สัตย์สัญญากับข้าอย่างหนึ่ง ด้วยเส้นทางอันเจ้าเลือกนั้นเป็นทิศทางประกอบด้วยอันตรายคอยอยู่ ก็แหละเบื้องหลังช่องเขาประตูด่านสุวรรณคีรีนั้น บัดนี้ร่ำลือถึงเงามืดปกคลุมเป็นสัญญาณแห่งความตาย เหตุใดถึงขนาดต้องนำตัวไปสู่ที่วอดวาย ด้วยพ่อค้าแม่ขายอื่นหะนี้มีแต่หลีกเลี่ยงเส้นสายทางมรณะเป็นลำดับต้น”

ในชั้นแรกมาตะประหวั่นว่าความลับจักถูกแพร่งพราย แต่ถ้อยความแลสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยฉายชัดเช่นนั้น มองครั้งเดียวก็นึกรู้ว่าอีกฝ่ายคิดตรองเช่นไร จึ่งตอบให้คลายใจว่า

“พ่อค้าเช่นเราจักมีหนทางเลือกได้มากมายนักนั้นเป็นไม่มี ด้วยไม้จันทน์ หอมซึ่งอยู่นอกเขตประตูด่าน อันปลูกขึ้นเป็นดงอุดมสมบูรณ์บัดนี้ราคาค้าขายเหยียบหลายร้อยชั่ง๑๐ เป็นที่ล่อตาล่อใจแก่พ่อค้าทุกผู้ แลบัดนี้ไม้หายากนั้นขาดตลาด ราคาจึ่งพุ่งผาดสูงลิ่วด้วยไม่มีผู้ใดอาจหาญเข้าไปจริงดังท่านว่า แต่จักเกิดหวั่นกลัวแก่ใจหมู่ข้านั้นเป็นไม่มี ด้วยฝีไม้ลายมือป้องกันตนพอมีประดับเป็นเกราะคุ้มภัยอย่างหนึ่งแล้ว อันตรายใดแฝงอยู่ก็มิอาจลดทอนวิสัยพ่อค้าลงได้”

“เห็นจะมิต้องฝ่าฟันนำชีวิตไปเสี่ยงถึงขั้นเอาวิญญาณมาวางไว้บนเส้นด้ายกระมัง กำไรอันมากมีไหนเลยจะเทียบได้กับชีวีของคนคนหนึ่ง” สิตางศุ์กล่าวห้ามด้วยหน้าเศร้า “เรามองท่านเพียงปราดเดียวก็เห็นว่าเป็นคนซื่อ แลจะมีคำโกหกเคลือบแฝงอยู่หรือไม่พระพรหมเท่านั้นที่จะเป็นผู้บอกได้ ความจริงใจของท่านสำแดงผ่านแววตาคม พร้อมถ้อยคำสมเป็นหลักฐานมั่นคงแล้วว่า เกิดจากความเข้าใจผิด แลด่วนปลงใจเชื่อในสิ่งที่ไม่เห็นด้วยตา เราขอปล่อยท่านบัดเดี๋ยวนี้”

มาตะรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก กฤษณะเห็นคำพูดมาตะมีคุณเช่นนั้น คำพูดหยาบช้าเกิดขึ้นในใจแต่เดิมก็มีอันลบหาย
 
“ช้าก่อน” เจ้าบุหลันคนงามท้วงห้ามหน้าเฉย “เราขอคำสัตย์จากท่านอย่างหนึ่งนั้น ยังจำได้ ฤา ไม่”

มาตะเหลียวมองคนผู้นั้นทั้งที่ใจยินดีกำลังจะหลุดพ้นจากสถานการณ์เดือดร้อนนี้ แต่ท่าทีสีหน้าของอีกฝ่ายประหนึ่งมิประสงค์ให้สถานการณ์สิ้นสุด

“เรื่องใด ฤา”

“จักไม่เอยนามของท่านให้ข้าได้รับรู้เชียวหรือ” บุหลันกดริมฝีปากแน่น

“นามข้าคือ มาตะ”

“มาตะ ท่านจงสัญญากับข้าอย่างหนึ่ง หากข้าปล่อยท่านไปแล้ว ไม่ว่าหนทางเบื้องหน้าจักเป็นเช่นไร มีอันตรายอย่างหนึ่งอย่างใดแฝงเร้นอยู่ จง...” มาตะเห็นรอยน้ำตาคลออยู่รอบนัยนาสวย “จงเอาชีวิตรอดกลับมา ขับอาชาเข้าไปในเมืองเขตขันธ์ สอบหานายกองบุหลันมีชื่อ นำใบหน้าของท่านมาให้ข้าได้เห็นว่า ข้าปล่อยท่านไปเพื่อต่อชีวิต มิใช่ปล่อยท่านเพื่อไปตาย จักทำได้ ฤา ไม่ มาตะ”

“ข้าให้คำสัญญา...”

ยังไม่ทันมาตะจะกล่าวจบ เจ้าหนุ่มบุหลันนายกองทหารลาดตระเวนก็โผตัวยื่นริมฝีปากสวยเข้าประกบปากมาตะรวดเร็วจนอีกฝ่ายไม่ทันระวัง ก่อเกิดเสียงร้องพิศวงตกใจจากผู้คนรายรอบด้วยไม่คิดจะได้เห็นกิริยาจุมพิต ปรากฏชัดเจนด้วยแสงเพลิงต้องประชิดใบหน้าของเจ้าหนุ่มทั้งคู่ฉายชัดมาสู่ดวงตาภัทรพจน์เสมอกัน


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป

______________________________

บังเหียน : เครื่องบังคับม้าให้ไปในทิศทางที่ต้องการ ทำด้วยเหล็กหรือไม้ใส่ผ่าปากม้า ที่ปลายมีห่วง ๒ ข้างสำหรับผูกสายบังเหียนโยงไว้ให้ผู้ขี่ถือ
ขลุม : เชือกถักเป็นเครื่องสวมหัวม้า สำหรับล่ามหรือจูง
จงกล : ก้านของพู่ที่ประดับหัวม้าติดอยู่กับขลุมทั้ง ๒ ข้าง
ตาบ : เครื่องประดับหน้าผากม้า มีลักษณะเป็นแผ่น
ดั้ง : สิ่งที่ใช้ป้องกันตัว ทำด้วยหนังดิบทารักดำ มีลายยันตร์ทอง หรือเป็นเหล็กด้านหลังทารักสีแดง รูปกลมหรือสี่เหลี่ยมยาว
เขน : สิ่งที่ใช้ป้องกันตัวชนิดเหลี่ยมทำด้วยไม้ทารักดำเขียนลายทองหน้าราหู ด้านหลังทารักสีแดง ใช้บนพื้นดิน ชนิดกลมทำด้วยหนังดิบและหวาย ใช้บนหลังม้า
บุหลัน : ดวงจันทร์
สิตางศุ์ : ดวงจันทร์
ไม้จันทน์ : เนื้อไม้ของต้นจันทน์หอม จันทน์ขาว เป็นต้น
๑๐ ชั่ง : มาตราเงินตรา ๑ ชั่งมีค่าเท่ากับ ๘๐ บาท

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

ใช่คุณ  แน่ๆ
ที่บอกว่า 'คุณ' เนี่ย หมายถึงคุณ หรือว่าผม หรือว่าใครครับ เอาให้แน่ๆ 555 ครึ่งหลัง บทที่ ๒๖ มาแล้วนะครับ เป็นไงบ้าง รู้หรือยังว่า เป็น 'คุณ' หรือ 'ใคร' อิอิ

คนพี่ชัว (แอบเติมไม้เอกได้ไหม)
ของน้องนะพ่อคุณ :katai1:
โห อย่าเติมไม้เอกเลยครับ ถ้าพระมหาอุปราชสุริยะมาเห็นเข้าจะเสียใจเอาน้า อิอิ ถึงจะเป็นของน้องแต่ดูเหมือนพี่ท่านจะไม่รู้หรือว่าอย่างไรจึงพูดเหมือนฝากตัวฝากใจแบบนั้น ดูเหมือนจะได้กลิ่นดราม่าโชยมาอีกละ แหะๆ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-12-2016 10:05:45 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
เย้ๆๆๆมาแล้วววว รอทุกวันเลยย
มาตะคนซื่อ? โดนเล่นซะแล้ววมาตะตัวละครเพิ่มอีกแล้ว จะจำหมดไหมนิ ภัทรมีคู่แข่งดร่าม่ามากไหม :ling3: สู้ค่ะคนเขียนรอตอนต่อไปจ้าา

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
มาตะคนซื่อ........เก็บเสน่ห์ไว้ก็ดีนะ :katai5:

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ zizits

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
จะหักมุมอะไรอีก อย่ามีดราม่ามือที่สามเลยจะได้ไหม มือที่สามหลายทางจริงๆ  :ling3:

ออฟไลน์ runtothemoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น้องพจน์กับมาตะนี่ยังไง ทำไมหนุ่มๆ(?)สาวๆชอบมารุม5555555555555 บอกได้เลยว่ามาตะตายแน่ จะไม่มีการใจอ่อนให้อภัย! พจน์ห้ามใจอ่อนเหมือนรอบก่อนนะ นี่มันต่อหน้าต่อตาชัดๆแหม่ทีศัตรูถือดาบมาฟาดยังหลบได้ แล้วทำไมถึงหลบจูบหนุ่มน้อยนายกองไม่ได้ล่ะ โมโหๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :ling1: :ling1: :ling1: :m16: :katai1: :angry2: :m31:

ออฟไลน์ magarons

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +68/-6
ตบสุริยะพร้อมบุหลันเลย มีสิทธิอะไรมาแตะต้องพระนายเรื่องนี้ แง่ง!!

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๒๗


น้ำตาสายโลหิต



หยดน้ำค้างหลั่งลงเกาะตามใบตะเคียนอุปมาฝนพร่างพรมจากท้องฟ้า ลัดเลาะยอดไหลลามลงอาบโคน นัยนาน้ำตาลสวยสะพรั่งสั่นระริกไหว เจ้าหนุ่มภัทรพจน์มิได้รับรู้ถึงหยดน้ำค้างกระทบร่องแก้มจวบกระทั่งพระมหาอุปราชสุริยะทรงใช้พระดัชนีลูบเกลี่ยนุ่มนวลจึ่งสำนึกตัว ราวกับสติหลุดลอยชั่วขณะ ด้วยภาพเหตุการณ์เบื้องหน้ามองเห็นชัดเต็มตาดุจเกิดห่างเพียงลมหายใจรดกัน

นายกองบุหลันถอนริมฝีปากออก นัยน์ตาคมล้อมด้วยแพขนตางอนมองช้อนมาตะด้วยหน้าละห้อย ขยับถอยห่างเล็กน้อย มิได้สนคำกระซิบกระซาบรายล้อมตัว

“ข้าขอฝากรอยจูบนี้ติดตัวท่านไว้ ด้วยหนึ่งเพียงสบตาแลเห็นกิริยาวาจาแล้วอดที่ใจข้าจักทะเยอทะยานวาบหวานมิได้ แลอีกหนึ่งการกระทำนี้ล้วนแฝงถ้อยคำมากมายอันผุดพรายเป็นความยืดยาว คือ ทั้งฝากตัว ฝากรัก ฝากใจไว้กับท่านนับจากนี้” กล่าวพลางก็ยืดอกมั่นคงในเจตนา
 
“ช่างน่าอดสูนัก ตัวเป็นชายแต่หวั่นไหวนิยมชมชอบในชายด้วยกันยังมิพอ กลับกระทำกิริยาเลวทรามประหนึ่งคนลามกมูมมามมักมากในกามล่วงเกินมาตะท่าน โดยมิอายผีสางเทวดาน่าบัดสี ความผิดใดก่อปัดไมตรีจงลงแก่ข้าบุหลันเถิด แต่หากท่านหมายประสงค์ปฏิเสธน้ำใจด้อยค่า ด้วยมิได้พึงรักใฝ่ปรารถนาสมัครสมานในอาการทอดตัวไปหา เป็นกิริยาหน้าอายต่อสายตาสหายท่านแลคนทั้งปวงแล้ว จงออกปากมาคำหนึ่งเถิดว่า มิอาจรับรักรับน้ำใจ แลทั้งนี้จงอย่าหวั่นเกรงว่า ข้าทหารใต้บังคับบัญชาผู้ติดตามจะบังเกิดความขุ่นแค้นเมื่อเห็นนายตัวถูกปฏิเสธ ในใจท่านรู้สึกเช่นไรจงแจ้งกล่าวให้บุหลันได้ยินสักคำหนึ่งเถิด”

ฝ่ายมาตะมาสำนึกตัวจะขยับถอยก็สายเสียแล้ว ครั้นถูกวาจาของนายกองมากโฉมรำพันความรู้สึกล้ำลึกก็พลันน้ำท่วมปาก

“บุหลันน้องเรา ไยกล่าวคำเป็นดั่งหินผาถาโถมใส่วาณิชผู้นี้เล่า ก็แหละเจ้ามิอาจระงับใจแลอาการให้มั่นคงจนเผลอไผลก้าวล่วงจาบจ้วง คำเดียวเท่านั้นอันควรกล่าว คือ ขออภัย” สิตางศุ์ชี้ช่องเตือนสติ
 
กฤษณะ โกสินทร์ แลเวฬุต่างตะลึงตะไลอ้ำอึ้งในการกระทำเกินคาดคิด มิอาจพูดช่วยเพื่อนเกลอได้ก็คอยฟังความจากเจ้าหนุ่มรูปงามอยู่ ครั้นเห็นตรึกตรองเงียบงันคือรางวัลแทนคำตอบจากมาตะ เจ้าบุหลันจึ่งคืนสติ ราวกับถ้อยคำบอกปัดผุดผลิบนใบหน้าหล่อเหลาชัดแจ้ง

“ขออภัยที่ล่วงเกินมาตะท่าน ข้ารู้คำปฏิเสธผ่านนัยเนตรนั่นแล้ว อย่าได้เอ่ยคำใดอีก บุหลันเห็นทีมิอาจยืนเป็นเครื่องทรมานสายตาท่านต่อไปได้ ขอตัวลา” เจ้าหนุ่มบุหลันผลุนผลันหมายใจสู่อาชาประจำตน ครั้นมาตะเห็นน้ำตาก่อเกิดขึ้นเพราะตัวเป็นต้นเหตุก็รีบไขว่คว้าแขนนายกองมีชื่อไว้ ไม่ทันระวังว่ากิริยาอาการทั้งนี้จะเป็นดั่งอาวุธยอกแสยงหัวใจภัทรพจน์ จนพระมหาอุปราชหนุ่มผู้อยู่เคียงข้างลอบสังเกตเห็นความกำสรดปรากฏแน่ชัด พระหทัยมั่นคงก็สั่นไหวร้าวรานเสมอกัน
 
“นายกองบุหลันท่านมิควรตัดสินความโดยอาศัยแต่เพียงม่านตาคน มาตะเป็นชายสมชายคลุกคลีอยู่แต่บุรุษด้วยกันคือเพื่อนตายสหายรัก ครั้งใดเพื่อนตัวมามีอาการเศร้าสลดรันทด ความจริงในใจแลคำพูดทั้งนั้นคือสิ่งปลอบโยน  ก็แหละท่านพินิจดูแล้ววัยวุฒิเราสองคงต่างเดือนกันมิกี่มากน้อย หากนับเข้าร่วมสมาคมกัลยาณมิตรก็คงนับได้เช่นนี้แล้ว อาการท่านมอบจูบฝากฝังไว้กับมาตะ ในสายตาข้ามิเห็นเป็นอื่นนอกจากน้องฝากตัวกับพี่ชาย ก็แหละเมื่อท่านประสงค์จักหมายกระทำฝากตัวไว้เฉกนั้น จะมีอาการหลบลี้หนีหน้ามิควรก่อน น้ำใจท่านนอกกว่าผู้น้องมอบให้ผู้พี่แล้ว มาตะมิเห็นเป็นอย่างอื่นได้อีกจึ่งขอรับไว้”
 
มาตะยิ้มแย้มแก้ความนัยของนายกองบุหลันเปลี่ยนจากคนพิศวาสฝากความกันเป็นน้องฝากตัวกับพี่เช่นนั้น บุหลันนายกองชั้นแรกก็ผุดเคืองขึ้นมา ครั้นเห็นเจตนาเคลือบแฝงพยายามแก้หน้าตัวมิให้ตกเป็นเครื่องอับอายแก่คนใต้บังคับบัญชาก่อเป็นคำนินทาลับหลังก็นิ่งฟังความอยู่
 
“แลหากข้าดั้นด้นค้าขายกลับมาหนทางเดิมซ้ำอีก จะเพิกเฉยมินำตัวไปให้น้องเราเห็นหน้านั้นทำมิได้ ก็แหละบัดนี้เราต่างเป็นพี่น้องฝากฝังตัวกันไว้แล้ว หยดน้ำตาโศกศัลย์อันกลั่นจากดวงตาบุหลันน้องท่านควรละทิ้งเสียเถิด เมื่อพี่มาแลเห็นน้องร่ำไห้ระทมมีหรือจะนิ่งดูดาย มีแต่จะตรมตรอมวุ่นวายมิต่างกัน”

เมื่อสองศรีพี่น้องร่วมอุทร สดับยินคำเจ้าหนุ่มวาณิชรูปงามเอ่ยวอนเปลี่ยนเรื่องราวเหมือนพลิกฝ่ามือจากหน้าเป็นหลังเช่นนั้น อีกทั้งมิถือสาหาความกล่าวโทษ ยังเชื้อเชิญนับญาติเข้าร่วมเป็นสหายก็ประหลาดใจเป็นที่ยิ่ง บังเกิดซาบซึ้งตรึงใจก่อเป็นความรู้สึกสำนึกบุญคุณ ในการแนะหนุนมิให้ถูกตกเป็นข้อติฉินครหา ซ้ำยังสีหน้ายินดีแก้ต่างจากผิดเป็นถูก จากดำเป็นขาวเช่นนั้น บุหลันมิเห็นหนทางอื่นจึ่งพยักหน้า ใช้หลังมือเช็ดรอยน้ำตาน้อยเนื้อต่ำใจ แต่มิได้เอ่ยความใดกลับ

“กิริยาบุหลันน้องเราล่วงล้ำก้ำเกินมาตะท่านโดยพลการ ด้วยวิสัยเดิมเป็นคนมุทะลุมักวู่วามกระทำตามใจตัวเป็นทุนเดิมมิทันได้ฉุกคิด ด้วยเราคู่พี่น้องกำพร้าบิดามารดรมาแต่ยังจำความมิได้ อาศัยเลี้ยงดูโดยพราหมณ์ผู้ทรงศีลแห่งเทวาลัยหลวงเมืองเขตขันธ์ คำสอนใดขาดตกเป็นกิริยาขุดด้วยปาก ถากด้วยตา แลหมิ่นหยามหยาบช้า ก็ด้วยเป็นความผิดของข้าเองหาโทษใครอื่น อาการก้าวร้าวเป็นข้อหมางสองเปลาะนี้ ขอมาตะท่านโปรดจงเอ็นดูเถิด” สิตางศุ์กระแอมแล้วแกล้งเห็นสมด้วยคำเจ้าหนุ่มมาตะ
 
“เจตนาฝากตัวเป็นน้องแลพี่อันคำท่านยกกล่าว คือความจริงแน่แท้มิเป็นอื่นดั่งนี้ แลท่านรับน้ำใจนั่นแล้ว ความยินดีจึ่งกลั่นเป็นน้ำตาไหลหลั่งลงมาดอก สิตางศุ์รองนายกองลาดตระเวนผู้พี่ จำจะฝากน้ำใจผูกสมัครร่วมนับเครือญาติกับท่านอีกผู้หนึ่ง แลท่านยังจะยินดีเกื้อกูล ฤา ไม่”
 
มาตะก็พยักหน้ารับ แลว่า

“ข้าเกิดมามีพี่น้องร่วมสายโลหิตเพียงสาม อาศัยตามฐานะพอกินอยู่ เพียรใฝ่รู้การขายจนได้เป็นนายพ่อค้าวาณิช จะมีครั้งใดที่ผู้มีบรรดาศักดิ์เทียบชั้นถึงขั้นทหารหลวงลดตัวมาผูกสมัครเป็นพี่น้องนั้นไม่เคยพบ แลมาประสบวันนี้นับว่าเป็นบุญตัวยิ่งแล้ว คำปฏิเสธนั้นหรือจะหลุดออกจากปากมาตะได้ มีแต่คำยินดีพรั่งพร้อมคือของตอบแทนน้ำใจท่านทั้งสองดุจกัน”

“เช่นนั้นนับแต่นี้เราสามคนถือเป็นพี่น้องกันมิใช่ใครอื่น มีทุกข์ร้อนใดจงแจ้งเราอย่าช้าที แหละทั้งนี้ความเข้าใจผิดใดก่อเกิดในหมู่ท่านจงคลายเสีย ถือว่าเป็นน้องอย่าหาความสืบไปเลย แหละพวกข้าทั้งนี้กระทำคุกคามยามหลับนอนของท่าน ซ้ำกล่าวโทษเป็นข้อฉกรรจ์ แลกล่าวคำจนก่อเป็นความจุกใจฝากไว้น่าละอาย สิ่งแทนทดไม่มีอื่นนอกจากความรู้แลประสบการณ์นักเดินทางก่อนเข้ารับราชการ เมื่อท่านเข้าสู่เขตเมืองมัทธวะอาชาแลผลัดเปลี่ยนม้าพาหนะแล้ว จงเลียบกำแพงเมืองด้านติดแม่น้ำคีรีนคราจนสุดป้อมปืนด้านทิศนั้น แลจงสังเกตกระท่อมเรือนแพมุงจากหลังหนึ่งปลูกไว้ใกล้ต้นไทรอายุหลายพันปีเป็นที่สังเกต นำชื่อเราแลของสิ่งนี้มอบให้เฒ่าชราเจ้าเรือน” สิตางศุ์ปลดสร้อยเงินจากลำคอห้อยเหรียญเงินสลักรูปม้ายืนบนเรือ “บอกว่า สิตางศุ์และบุหลันคู่ฝาแฝดฝากคำมาคารวการ แลขอความเมตตามอบของขลังชนิดเดียวกันนี้ให้ไว้แก่พวกท่านด้วยเป็นเครื่องประดับคุ้มกันภัย”

“เช่นนั้นท่านจะมีสิ่งใดคุ้มครองเล่าหากมอบให้เราเป็นเครื่องนำทาง” มาตะซักแลรับไว้

สิตางศุ์แย้มยิ้มร้องว่า

“บุหลันน้องเรายังมีอีกหนึ่ง แลสิ่งนี้จึ่งเหมือนเป็นเครื่องรับประกันว่าท่านจะนำกลับมาคืนให้เรา อีกทั้งกิตติศัพท์เหรียญ เภตราวลาหก นี้เลื่องลือว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าสิ่งใดในลุ่มแม่น้ำนพนที มิทราบท่านยังจักเคยได้ยินมาบ้าง ฤา ไม่”

“ข้าได้ยินมาเช่นนั้น” โกสินทร์ครุ่นคิดแล้วเห็นชอบด้วย

“เช่นนั้นจงเข้าไปตามหาเถิด ในเมื่อจุดหมายปลายทางหมู่ท่านนับว่าอันตรายพอดู แหละฝีมือชาญณรงค์เพียงใดจักต่อกรภัยมืดได้นอกจาก นวรัตน์ แล้ว คงเป็นสิ่งนี้เท่านั้น อีกประการหนึ่ง เฒ่าชราเจ้าเรือนมีชื่อ เมื่อรุ่นหนุ่มเคยท่องเที่ยวค้นคว้าตำรารักษาคนลือเลื่องทั่วสารทิศ กอรปกับเคยร่อนเร่เยียวยาชนอนาถามานักต่อนักในแถบชายแดนเบื้องทิศตะวันออก จงสอบถามลักษณะชัยภูมิแลผืนป่าไม้จันทร์หอมอันท่านหมายใจนั้นเถิดว่า จักมีเส้นทางใดใช้หลบเลี่ยงหรือมีที่พักหลบซ่อนหลบภัยหากถึงคราวคับขัน สิ่งเหล่านี้แลคือของตอบแทนความเข้าใจผิดกันต่อกัน”

สิตางศุ์เหยียบโกลน แล้วโหนตัวคล่อมนั่งอานหลังอาชา บุหลันคนงามก็ทำตามดุจกันด้วยหน้าสร้อยเศร้า ดวงตาคมจับจ้องมาตะไม่ลดละ

“ขอบน้ำใจท่านเป็นที่ยิ่ง บุญคุณครั้งนี้หมู่พวกข้าคงมิอาจทดแทนได้หมด” มาตะสำนึกบุญคุณ
 
สิตางศุ์พยักหน้าเป็นที่เข้าใจแล้วส่งอาณัติสัญญาณถอยล่ากองทหารกลับ ควบม้ามุ่งสู่ทิศทางตรงกันข้าม บุหลันดึงบังเหียนอ้อยอิ่งอยู่รั้งท้าย ชะเง้อชะแง้สายตาฝากไว้กับมาตะแล้วจึ่งหักใจติดตามกองทหารลาดตะเวนจวบจนลับหายกับเงามืด

พจน์มารู้สำนึกตัวอีกหนก็เมื่อเห็นสีพระพักตร์ของพระมหาอุปราชตื่นตระหนกยิ่ง สายพระเนตรนั้นสั่นไหวเช่นเดียวกับพระองคุลีที่ขยับเอื้อมเข้าหาใบหน้างาม

“เหตุใดน้ำตาเจ้าถึง...”

เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังแว่วจากเบื้องหลังพร้อมไต้ไฟ ฉับพลันปรากฏเป็นมาตะ กฤษณะ โกสินทร์ แลเวฬุ ทันทีเมื่อคนทั้งสี่สบเห็นพจน์ก็บังเกิดหน้าถอดสีอย่างเดียวกันกับพระมหาอุปราชา  จิตใจพจน์บอบช้ำแสนหม่นหมอง จนไม่อาจมองสบตาผู้ใดได้ก็ยืนนิ่งระงับความอาดูรอยู่

“น้ำตาสายโลหิต” เวฬุหนุ่มร่างอวบหลุดคำหนึ่งขึ้นมาพร้อมหน้าซีดเซียว “มะ มาตะ เจ้าจงเร่งหาใบสาบเสือมาโดยด่วน”

ฝ่ายมาตะเมื่อแลเห็นโฉมหน้ายอดรักก็พลันตะลึงตะลานทรมานหัวใจปริ่มจะขาด สติอันคอยอยู่กำกับตัวก็ขาดสะบั้นลงในทันใด จวบกระทั่งเพื่อนกายสหายสนิทร้องสั่งดังลั่นจึ่งคืนสติ ละล้าละลังแล้วหุนหันพรวดพราดจากไปทำการในทันที
 
หัวใจพจน์บีบกลั่นสั่นไหวรุนแรงผิดวิถีครรลอง ทั้งอึดอัดทรมานชอกช้ำสาหัสทุกสัดส่วน ภาพจุมพิตระหว่างมาตะกับบุหลันสลักลงกลางใจ วนเวียนฉายซ้ำจนมิอาจลบล้างหักลง แหละเมื่อนึกปลงครั้งใด รอยจูบติดตาก็ย้อนหลงหวนกลับ น้ำตาลี้ลับพลันไหลหลั่งสุดหักห้าม เวฬุถลันเข้าหาฉีกเศษผ้าออกจากภูษาคล้องไหล่สีน้ำเงินหม่นแล้วซับน้ำตาพจน์ด้วยมือสั่นระริก

“ขอบใจนะ เวฬุ” พจน์บอกเสียงสั่น บัดนี้เจ้าหนุ่มเวฬุไม่อาจระงับความทุขเวทนาไว้ได้ก็ปลดน้ำตาหลั่งรินเช่นกัน
 
“เจ้าโปรดจงหยุดร่ำไห้เถิดหนา ภัทรพจน์” เวฬุห้ามปรามเสียงสั่นดุจเดียวกัน

“อืม ไม่รู้สิ มันไหลไม่ยอมหยุดเลย ว่าแต่ ทำไมรู้สึกเหมือนเวียนหัวแบบนี้” พจน์เซถอยหมดเรี่ยวแรงแนบหลังลงกับต้นไม้ นายกองกฤษณะ และโกสินทร์ต่างพุ่งเข้าประคมประหงมพยุงตัวไว้ให้ยืนหยัด

“เจ้าจงครองสติให้มั่น ภัทรพจน์” กฤษณะตวาดเสียงดัง แต่พจน์เหมือนได้ยินจากสถานที่ไกลแสนไกล “เป็นเจ้ามิใช่หรือที่กล้าหาญเข้มแข็งสามารถปลดทวนจากมือข้าได้ ก็แหละอย่างนั้นการห้ามมิให้น้ำตารินไหลจักยากเย็นแสนเข็ญได้เช่นไรเล่า ระงับอาการโศกบัดเดี๋ยวนี้เถิด”

สายตาพจน์เริ่มพร่าเลือน มองเห็นแต่มาตะจุมพิตแนบปากกับนายกองบุหลันแจ่มชัดบาดตา

“ภัทรพจน์!” โกสินทร์ร้องเรียก

“เจ้าจงเร่งช่วยมาตะตามหาใบสาบเสืออีกคนเถิด โกสินทร์ ก่อนภัทรพจน์ผู้นี้จะเสียเลือดไปมากทบทวี” เวฬุออกคำสั่งสั่นเครือ พจน์เห็นทุกคนวุ่นวายผิดปกติ พระมหาอุปราชสุริยะยืนนิ่งกำพระแสงทวนจ้องมองพจน์ด้วยวงพักตร์ตระหนก กัดพระทนต์แน่นจนแนวพระกรามนูนชัด พจน์รู้สึกอ่อนระโหย แต่ทำไมเวฬุถึงพูดว่าพจน์เสียเลือด ในเมื่อตนมิได้บาดเจ็บที่ตรงไหน เพียงแค่ร้องไห้ไม่หยุดก็เท่านั้น

พลันสายตาเหลือบแลผ้าซับหยดน้ำตาตนในมือเวฬุ ก่อเกิดเป็นรอยเลือดแผ่กระจายทั่วผืนก็บังเกิดพรั่นพรึงท่วมอก แต่ความเสียใจมีมากกว่า น้ำตาจึงกลั่นเป็นเลือดตกออกมาซ้ำอีก

“เจ้าโปรดหยุดคะนึงคิดถึงสิ่งมิบังควรก่อน รังแต่จะลดทอนกำลังเลือดในกายมากเท่านั้น” เวฬุเปลี่ยนผ้าซับแล้วซับอีก น้ำตาสายโลหิตไหลอาบแก้มพจน์ปรากฏเป็นที่น่าสงสารแก่คนทุกผู้

“ทะ ทำไมเราถึงร้องไห้เป็นเลือดได้” พจน์พยายามไม่นึกถึงภาพสะเทือนใจแต่ช่างยากลำบากเหลือล้ำ

น้ำตาสายโลหิตนี้ จักบังเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นได้รับความสะเทือนใจแลอารมณ์อย่างหาที่สุดมิได้ หยดน้ำอันควรใสราวจันทราจึ่งกลั่นเป็นหยดธาราโลหิตดั่งนี้ แหละในประวัติศาสตร์จดจารจารึกไว้ว่ามีเพียงผู้เดียวซึ่งเคยปรากฏอาการดั่งว่า คือ...” เวฬุเบิกตาโพลงจ้องมองพจน์ไม่ลดละ “เพลานี้เจ้าจงระงับความเจ็บทั้งปวงเถิด มิเช่นนั้นคนที่เจ็บกว่าคงมิใช่เจ้า”

“มองหน้าข้า อย่าได้ปริวิตกสิ่งอันก่อกวนใจเถิดหนา พวกข้าต่างคอยพยาบาลท่านมิห่างไปไหน” กฤษณะกระชับตัวพจน์ไว้แนบแน่น

“มา...ตะ”

นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่พจน์กล่าวก่อนทุกอย่างจะดับวูบมืดมนอนธการราวกับนิรันดร


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป

______________________________

ยอกแสยง : เจ็บร้าวทรมานใจ
เภตรา : เรือ
วลาหก : ม้า
นวรัตน์ : แก้ว ๙ อย่าง
โกลน : ห่วงที่ห้อยมาจากอานม้า ๒ ข้าง สำหรับสอดเท้ายันเวลาขึ้นหรือขี่
พระองคุลี : นิ้วมือ

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

เย้ๆๆๆมาแล้วววว รอทุกวันเลยย
มาตะคนซื่อ? โดนเล่นซะแล้ววมาตะตัวละครเพิ่มอีกแล้ว จะจำหมดไหมนิ ภัทรมีคู่แข่งดร่าม่ามากไหม :ling3: สู้ค่ะคนเขียนรอตอนต่อไปจ้าา
ดีใจที่คุณมารอทุกวันแบบนี้ บทที่ ๒๗ มาแล้วเป็นไงบ้างครับ สมกับการรอคอยหรือเปล่าเอ่ย? กลายเป็นว่าตอนนี้ มาตะมีคำต่อท้ายชื่อว่า คนซื่อ ไปซะแล้ว 555 เป็นไงบ้างครับสำหรับตัวละครใหม่ถูกใจ?คุณบ้างหรือเปล่า ตัวละครที่จะเพิ่มมานั้นยังมีอีกเยอะครับ หวังว่าคุณจะจำได้หมดนะ ดราม่าไหม บอกได้คำเดียวว่า มากกกกก ขอบคุณที่เป็นกำลังใจครับ

มาตะคนซื่อ........เก็บเสน่ห์ไว้ก็ดีนะ :katai5:
เป็นอีกคนที่อยู่ในทีม มาตะคนซื่อ อิอิ ความมีเสน่ห์ของมาตะนอกจากรูปลักษณ์แล้วยังอุปนิสัยดี วาจางาม แบบนี้ ใครเห็นใครก็รักครับหรือว่า คุณไม่รักพ่อหนุ่มคนนี้เหรอ

:mew4:
อย่าเศร้าไปเลยครับ โอ๋ๆ

จะหักมุมอะไรอีก อย่ามีดราม่ามือที่สามเลยจะได้ไหม มือที่สามหลายทางจริงๆ  :ling3:
ไม่ทันแล้วครับ ดราม่ามือที่สามมาเต็มมากในตอนล่าสุดนี้ ผมไม่อาจทำความปรารถนาคุณให้เป็นจริงได้ ยังไงก็ทนดราม่ากันต่อไปนะครับ ไหนๆก็ติดตามมาจนถึงขนาดนี้แล้ว อิอิ

น้องพจน์กับมาตะนี่ยังไง ทำไมหนุ่มๆ(?)สาวๆชอบมารุม5555555555555 บอกได้เลยว่ามาตะตายแน่ จะไม่มีการใจอ่อนให้อภัย! พจน์ห้ามใจอ่อนเหมือนรอบก่อนนะ นี่มันต่อหน้าต่อตาชัดๆแหม่ทีศัตรูถือดาบมาฟาดยังหลบได้ แล้วทำไมถึงหลบจูบหนุ่มน้อยนายกองไม่ได้ล่ะ โมโหๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :ling1: :ling1: :ling1: :m16: :katai1: :angry2: :m31:
พจน์กับมาตะนี่ถือได้ว่าเสน่ห์แรงพอตัวเลยครับ ใครเห็นใครก็รัก แถบตอนล่าสุดยังเกิดดราม่าตามมาอีก เอ็นดูทั้งมาตะ ทั้งพจน์เลยทีเดียว โห ถึงขนาดประกาศสนับสนุนห้ามใจอ่อนกันเลยหรือครับ พจน์มาเห็นจะว่ายังไงน้า 555 จะไม่ขอแก้ตัวแทนมาตะละกันครับ แต่ถ้าเป็นคุณกำลังคุยๆกันอยู่ แล้วทันทีทันใดคู่สนทนาก็พุ่งหน้าประกบจูบปากคุณ คุูณจะหลบทันไหมน้อ อิอิ

ตบสุริยะพร้อมบุหลันเลย มีสิทธิอะไรมาแตะต้องพระนายเรื่องนี้ แง่ง!!
โห คนนี้มาสายโหดเลยครับ เยี่ยมมาก แต่อย่าเพิ่งถึงขั้นลงมือลงไม้กันเลยครับ พูดคุยไกล่เกลี่ยกันดีกว่าไหม อิอิ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:22:31 โดย LoveBlueSky2203 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
 :o12: :o12: พจน์ :monkeysad: ถึงขั้นน้ำตากลายเป็นสายเลือดโอ๊ยยยนี้น่าสงสารที่สุด อยากจะต่อยพ่อมาตะคนซื่อแทนพจน์เหลือเกินนนนน :ling1: :serius2: ขอแบบเต็มตอนได้ไหมค่ะคนเขียน :mew2: :mew1: ค้างงงงง

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
น้ำตาเป็นสายเลือด ค้าง ต่อด่วนๆ  :pig4:

ออฟไลน์ narakarr

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านตอนนี้สงสารพจน์มาก คือพออ่านแล้วฉากนี้มันทำเราเหมือนดดนบีบหัวใจไปด้วยเลย
 :mew6: :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
อื้อหือ พ่อคนซื่อ พ่อเทพบุตร พจน์มาทีไรเป็นเรื่องตลอด  :katai1:

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]


สรรพเสียงผู้คนกู่ร้องป้องตะโกนดังสะท้านสารทิศ ผสานด้วยฤทธิ์ระเบิดกัมปนาทก่อกำเนิดเป็นถ้อยวาจาหวีดแหลมระงม พจน์ฝืนใช้เรี่ยวแรงกำลังกายขยับลืมตา มองเห็นท้องฟ้ายามสนธยาปรากฏเป็นสีส้มเหลือบแดงสลับเหลืองอยู่เบื้องหน้า กลองรบถูกตีลั่นดังสนั่นแจ้งเตือนภัย ต้นไม้ขนาดใหญ่ผุดขึ้นอยู่รายรอบ ลีลาวดีต้นหนึ่งปลูกอยู่กลางลานศิลา ดอกสีขาวเหลือบเหลืองเกาะกลุ่มเป็นพวงช่อบานสะพรั่ง บ้างร่วงหล่นประปรายกระทบพื้น สายลมโบกกลิ่นอ่อนโยนกำจายรอบลานเวียง มหาปราสาทราชวังตั้งเรียงอยู่แนวเชิงชั้นเขาลดหลั่นจากล่างสู่ยอดสูงสุด ยอดปรางค์ปราสาทสีทองสะท้อนแสงพระอาทิตย์ยามเย็นส่องประกายเจิดจ้า ความกาหลชุลมุนวุ่นวายฉายฉานตามผู้คน บ้างเดินโซซัดโซเซ บ้างวิ่งหนีหน้าตาตื่น สลับกับกรีดร้องร่ำไห้ พจน์เหลียวมองลานศิลาขาวอันกว้างขวางเบื้องหน้ามหาปราสาทองค์หนึ่งของแนวชะง่อนผา ผู้คนวิ่งวนขวักไขว่ บ้างเป็นหญิงหรือชาย บ้างสวมเกราะทองรูปมนุษย์มีปีก บ้างถือธนูหรือดาบ บ้างมีสีหน้าหวาดกลัว บ้างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
 
พจน์ขยับตัวผ่านความอลม่านก้าวผ่านเข้าหาแนวกำแพงแก้ว กวาดสายตามองจากชะง่อนหน้าผาภูเขาลงสู่เบื้องล่าง กลุ่มควันไฟแลเพลิงอัคคีลุกลามปรากฏให้เห็นทั่วทุกหย่อมหญ้า เสียงตูมระเบิดดังกึกก้อง พร้อมก้อนหินขนาดมหึมาถูกเหวี่ยงจากเบื้องล่างพุ่งเข้าใส่พลับพลาปราสาทหลังหนึ่งพังพินาศย่อยยับกับตา พจน์ยกแขนก้มหลบ บัดนี้ตนอยู่ที่ไหน ยังมิทันเสาะวิเคราะห์หาต้นสายปลายเหตุก็เหลือบแลเห็นบุรุษผู้หนึ่งเร่งฝีเท้าก้าวลงมาจากเชิงบันไดมหาปราสาทยอดสีทองเบื้องหลัง พระเศียรทรงมงกุฎตระการตา ประดับกายด้วยเครื่องทองแพรวพรรณอย่างกษัตริย์ สวมเกราะทองสลักลายรูปคนมีปีก ทรงฉลองพระองค์ภูษาหยักรั้งสีทอง พระอูรุสักลายคล้ายขนนกสีเขียวลามมาถึงพระชานุ พระพักตร์เครียดขมึงไว้พระมัสสุน่าเกรงขาม หัตถ์ขวากำธนูทองคำคันมโหฬารไว้แน่น มีทหารติดตามนับสิบ

“มาตะ!”

ใบหน้านี้พจน์จำได้แม่นยำ ทำไมบุรุษผู้นี้จึ่งมีลักษณะเหมือนมาตะราวกับคนคนเดียว
 
“ใต้ฝ่าละอองพระบาท!” เสียงหนึ่งร้องเรียกดังก้อง และเมื่อพจน์เหลียวมองก็ถึงกับขนลุกชันอย่างหาสาเหตุมิได้ ด้วยเพราะเจ้าของถ้อยคำนั้นมีใบหน้าอย่างเดียวกับพจน์เช่นกัน

บุคคลหน้าเหมือนพจน์เร่งรีบลงมาทันคนผู้คล้ายมาตะ แต่งกายลักษณะเดียวกัน ต่างก็ตรงที่กึ่งกลางหน้าผากปรากฏหยดน้ำสีทองฝังอัญมณีสีดำไว้ ดวงตาสีน้ำตาลเอ่อคลอด้วยหยดน้ำ

รพีกานต์ น้องท่าน” เจ้าคนหน้าคล้ายคลึงมาตะตรัสเรียก วงพระพักตร์แกร่งลดทอนอารมณ์เป็นอาวรณ์ทันควัน

พัชรพรรดิพ่ออยู่หัว ตริตรองดีแล้ว ฤา” พระเจ้ารพีกานต์พนมหัตถ์กราบบังคมทูล “มิควรนำองค์เองเข้าสู่สมรภูมิศึกในเพลาหน้าสิ่วหน้าขวานเฉกยามนี้ หากพลาดพลั้งเสียทีมีหรือที่ข้าฝ่าพระบาทจักดำรงตนอยู่ได้”

เสียงปืนใหญ่แลเสียงเภรีกำกับกองทัพเข้าตีดังระงมทั่วทศทิศ พระเจ้าพัชรพรรดิทอดสายพระเนตรมองรพีกานต์พร้อมส่ายพระพักตร์

“หามีหนทางอื่นใดจักปลุกขวัญแลกำลังใจข้าทหารให้ฮึกหาญเท่าการเราปรากฏตัวท่ามกลางหว่างปะทะประจัญบานอีกแล้ว น้องท่าน”

“แผนการศึกครานี้คือหากกองทหารรักษาแนวกำแพงพระนครเบื้องล่างมิอาจทานกำลังข้าศึกได้ให้ถอนร่นกลับสู่เขตกำแพงชั้นสองของมหาบรรพต แลบัดนี้กำลังพลกองหน้าเพลี่ยงพล้ำเสียทีแลถอยกลับมาตามยุทธวิธีดั่งนี้แล้ว มหากำแพงศักดิ์สิทธิ์ทวิปราการสูงราวโยชน์จักทำหน้าที่ป้องกันไพรีดั่งเคยผ่าน แลบัดนี้ใต้ฝ่าพระบาทจักนำองค์สู่สมรภูมิตะลุมบอนมิสมเหตุ หากเกิดอาเพศมิบังควร ขุนทหารชาญณรงค์ แลเหล่าเสนามหาอำมาตย์จักมีขวัญแลกำลังใจต่อกรข้าศึกได้อีกกระนั้น” รพีกานต์เป็นเจ้าอรรถาธิบายเป็นลำดับขั้นตอน พยายามแย้งด้วยความจริงสุจริต

“ยุทธวิธีแต่โบราณกาลนั้นล้วนประสบผลสำเร็จจริงดั่งน้องเรากล่าว เมื่อข้าศึกล่วงเข้ามาแลเล็งเห็นมหากำแพงสูงเทียบฟ้าจึ่งระย่อใจถอนกลับคืนในที่สุด แต่มหาปัจจามิตรเบื้องล่างนี้คือเผ่าพันธุ์คนธรรพ์ ผู้ช่ำชองเล่ห์กลแลมีทักษะการดนตรีเป็นเอก พวกมันเหล่านั้นนอกจากใช้เครื่องดนตรีฆ่าฟันชาวเราล้มตายได้แล้ว อำนาจอันแฝงอยู่ในเส้นสายลายเสียงยังมีเดชานุภาพทำลายสิ่งกีดขวางนานับประการมิเว้นมหากำแพงของเมืองเรา เช่นนั้นรพีกานต์น้องพี่ อย่าหยุดห้ามรั้งพี่ไว้อยู่ตำหนักหลวงนี้เลย ผู้คนล้มตายลงมากประมาณเกินกว่าพี่จะทานทนได้แล้ว ตัวเป็นกษัตริย์แต่มิอาจต้านทานข้าศึกให้พ่ายแพ้กลับไปได้แล้วยังจะมาหลบซ่อนอยู่ในพระราชวังหลวงอีกทำไม่ได้ น้องเราจงเข้าใจพี่เถิด”

“เหตุเภทภัยทั้งหมดนี้เกิดจากตัวข้าฝ่าพระบาทโดยแท้ หากพระองค์มินำตัวข้าฝ่าพระบาทมาชุบเลี้ยงไว้ในมหาอาณาจักร มีหรือหมู่คนธรรพ์เหล่านั้นจักอ้างยกเหตุมาต่อตีบ้านเมืองของพระองค์ได้” พระเจ้ารพีกานต์ผู้เลิศโฉมส่ายพระพักตร์ตำหนิองค์เอง ครั้นเห็นพระอัสสุชลไหลลงจากนัยเนตร พระเจ้าอยู่หัวพัชรพรรดิราชจึ่งทรุดกายเอื้อมหัตถ์พยุงรั้งไว้ด้วยพระหทัยทรมานมิต่างกัน

“เราเป็นถึงจักพรรดิราชแห่งกินนร ราชกิจหลักคือปกครองเหล่ากินนรแลกินรี ทุกตัวตนให้สงบสุขร่มเย็น ก็แหละน้องท่านมีเชื้อสายสิทธิศักดิ์กินนรมิต่างกันเฉกนี้ อีกทั้งใจเราสองต่างปฏิพัทธิ์ผูกพันล้ำลึก หากพี่มิสถาปนายกรพีกานต์น้องท่านขึ้นร่วมวงศ์ตามขัตติยะประเพณีแล้วไซร้ ความผิดฝังใจคงกัดกินภายในกายมิให้ดำรงสุขอยู่ได้”

พระเจ้าพัชรพรรดิทรงจดพระนาสิกสูดกลิ่นหอมดอกลีลาวดีข้างพระปรางนวล แล้วประทับพระโอษฐ์ลงบนอัญมณีสีนิลกึ่งกลางพระนลาฏของรพีกานต์

“โปรดอย่าโทษตัวเองเลยเถิดเจ้า อนึ่งทุกพงศ์เผ่าล้วนมีเกิดมีดับ แลเพลานี้มัจจุราชเดินทางมาเคาะประตูหน้าปราสาทของเราแล้ว นอกจากฝีมือแลความกล้าหาญมิมีสิ่งอื่นใดจะนำไปใช้ได้อีก จงทำใจให้สบายเถิด แลพี่นี้จักนำตัวมาให้น้องท่านยลหลังสิ้นศึกสงคราม”

“หากการปลิดชีพตัวเองสามารถหยุดห้ามมหาสงครามได้ ข้าฝ่าพระบาทจักขอกระทำบัดเดี๋ยวนี้ ด้วยมิควรเลยที่จักต้องนำพระราชวงศ์แลเศวตรฉัตรมาเสี่ยงล่มสลายเพราะ ไพลินนิลสี เพียงชิ้นเดียว” รพีกานต์สะอื้นไห้ปลดอัญมณีสีนิลจากหน้าผากออกมาถือไว้ในพระหัตถ์ “ในเมื่อข้าฝ่าพระบาทมิอาจยื้อห้ามพระประสงค์ไว้ได้ก็ขอสละสิ่งนี้มอบไว้เป็นเกราะคุ้มกันภัยให้พระองค์ โปรดจงรับไว้ด้วยเถิด”

พระพัชรพรรดิราชเจ้า มหากษัตริย์แห่งเผ่าพันธุ์กินนรแย้มพระโอษฐ์ แลตรัสสุขุมว่า

“การอันพี่ลงมือลงแรงประกาศสงครามครานี้มิใช่เพื่อหวังเก็บสิ่งล้ำค่าไว้ประดับมหาราชวงศ์ แต่เป็นตัวน้องท่านต่างหากเล่า รพีกานต์ น้องท่านเสมือนดวงใจแลดวงวิญญาณอีกกึ่งหนึ่งของพี่ หากจะมีค่าก็มีค่ายิ่งกว่าสิ่งที่อยู่ในมือน้องท่านหลายเท่าพันทวีนัก ความรักนั่นแล้วเป็นสิ่งล้ำค่าสูงสุดในสายตาพี่ บัดนี้มิมีสิ่งอื่นใดจะอาจเทียบเคียงหรือคุ้มครองพี่ได้นอกจากการที่น้องท่านโปรดจงครองตัวแลรักษาตนให้ปลอดภัยอย่างที่สุด จงเก็บไว้กับตัวเถิด ยอดรัก”

รพีกานต์เป็นเจ้าก็กรรแสงซ้ำอีก พลางว่า

“เช่นนั้นขอได้โปรดให้ข้าฝ่าพระบาทตามเสด็จสู่สมรภูมิด้วยเถิด อำนาจใดแฝงอยู่ในอัญมณีนี้จักได้คุ้มเกล้าเหล่าชาวเราทั้งมวล” อ้อนวอนพระวรกายสั่นเทา

เพลงคำหวานขับขานด้วยขลุ่ยดังแว่วมาจากที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ทว่าท่วงทำนองโศกเศร้าผิดต่างจากครั้งก่อนที่พจน์เคยได้ยินเหลือประมาณ

“พี่ได้ฝากดวงใจไว้กับรพีกานต์ท่านแล้ว หากจักเข้าสู่สนามรบโดยพกใจไปกับตัวด้วยนั้นหวั่นเกรงจะรบได้ไม่เต็มกำลังฝีมือ เชื่อพี่เถิด หะนี้ทุกสิ่งอย่างใกล้สิ้นสุดแล้ว หากพี่นำกำลังทหารล้อมวังเข้าหนุนเนื่องในครานี้ กองทัพซึ่งกำลังเพลี่ยงพล้ำล่าถอยอยู่ก็จักได้แรงเสริมเสมือนพลิกหมากจากรับเป็นรุกได้เสมอกัน น้องท่านจงประทับคอยอยู่ในมหาปราสาทรอข่าวคราวแห่งชัยชำนะเถิด”

กล่อมด้วยวาจาแลเหตุผลทั้งปวงเข้าปลอบ แต่พระหทัยพระเจ้ารพีกานต์กลับหวั่นไหวกริ่งเกรงอย่างประหลาด ด้วยหน่วยสอดแนมแจ้งว่ากองกำลังข้าศึกมากประมาณอุปมาสายน้ำหลากหลั่งไหลถาโถมเข้ามาทุกทิศ เพียงกองทหารล้อมวังหยิบมือหนึ่งจะพลิกสถานการณ์เป็นเหนือกว่าดั่งคำพระราชดำรัสนั้นมืดมนอยู่

“รพีกานต์เอย พี่มิเคยเสียใจเลย นับแต่ได้แสวงรักพิทักษ์เจ้ามาร่วมเหล่ามหาราชวงศ์ น้องท่านประดุจดั่งแก้วตาดวงใจแลแสงตะวันยามเช้าสาดส่องให้ความผาสุขแก่ใจพี่แลอาณาประชาราษฎร์ทุกตัวตน เป็นดั่งมหามณียอดนวรัตน์ในตำนานที่ล้ำค่ายิ่งกว่าชีวิตพี่ โปรดให้สัจจะสัญญากับพี่คำหนึ่ง เจ้าจักทำได้ ฤา ไม่”

“สิ่งใด ฤา พระเจ้าค่ะ” ฉุดรั้งพระภูษาคล้ององค์ไว้แน่น

“จงรักษาดวงใจอันพี่ฝากไว้กับเจ้า แลหากชาติภพหน้ามีจริง เราสองคงได้พบกันอีก” ตรัสเสร็จก็ส่งสัญญาณให้ทหารราชองครักษ์เข้ายื้อยุดฉุดร่างพระเจ้ารพีกานต์ไว้แน่น รพีกานต์ก็สะดุ้งตกใจขัดขืนพัลวันร้องขอพระราชทานอนุญาตให้ปล่อยตัวเสียงสั่น พ่ออยู่หัวกินนรทอดพระเนตรคนรักแล้วจดพระโอษฐ์ลงแนบโอษฐ์สีชมพู หักใจถอยออกพร้อมแย้มพระสรวล ก่อนจะกางแขนกว้าง เนรมิตปีกสีเขียวขนาดใหญ่ผุดออกจากเบื้องพระปฤษฎางค์ ทหารล้อมวังทุกคนกางปีกออกโดยพร้อมเพรียงกัน
 
“ลาก่อน น้องพี่

จำจากลาพลัดพรากจากยอดรัก
ผูกสมัครจิตมั่นอย่าหวั่นไหว
ชาติภพหน้าพบกันผสานใจ
อย่าพรากจากกาลไกล ‘พัชรพี’”

สิ้นปัจฉิมพระราชดำรัสก็โผองค์ขึ้นท้องฟ้า ขยับปีกนำพา บ่ายหน้าสู่ควันไฟแลแสงเพลิง ณ สมรภูมิเบื้องพิภพในทันที

พระเจ้ารพีกานต์ดิ้นรนสุดกำลังแต่มิอาจต้านทานพละแรงกายของทหารราชองครักษ์ไว้ได้ ทรงร้องเรียกพระสวามีดังก้อง พระหทัยปริ่มจะขาด ด้วยรับรู้อยู่ในทีว่า กลอนปัจฉิมบทนั้นแฝงไว้ด้วยความหมายใด หากตนไม่ติดตามเสด็จ ชาตินี้คงมิอาจเห็นพระจักษุหยอกล้อ แลพระโอษฐ์ช่างเจรจานั้นอีก ก็บังเกิดเจ็บปวดทรมานสุดทานทน เรี่ยวแรงขัดขืนเมื่อแรกต้นจึงลดลงตามลำดับ  ทุกสิ่งสิ้นล้วนเป็นเพราะพระองค์เองเป็นต้นเหตุ ศึกครานี้ประสงค์เพียงสิ่งเดียวคือ ไพลินนิลสี อันตัวพระองค์ครอบครอง แลบัดนี้ก่อเป็นหายนะสู่มหาอาณาจักรซึ่งกำลังล่มสลายถึงกาลวิบัติ แหละยังชักนำให้คนรักต้องมาเสี่ยงภัยอีก ความผิดกัดกินพระหทัยมายาวนานก็ปริแตกออก สะอึกสะอื้นเศร้าระทมเหลือประมาณก่อเกิดให้พระอัสสุชลอันควรหลั่งเป็นสีใสก่อกำเนิดเกิดเป็นแดงดั่งดวงใจ สำแดงเป็นภาพพรั่นสะพรึงแลเวทนาสังเวชแก่เหล่ากินนรกินรีซึ่งอยู่ ณ ลานพระราชฐาน หยดน้ำตาสายโลหิตหลั่งลงชลธาร มิขาดสายกระทบลานศิลาขาวและดอกลีลาวดีเป็นรอยโศก
 
“ปล่อยตัวเรา” ร่ำร้องครวญหา กินราราชองครักษ์ผ่อนปรนด้วยอาดูร รพีกานต์เสียสูญฟุบแนบพื้นศิลา ตริแล้วพนมมือเรียกปีกปักษา แต่พลังกายาหามีไม่ ก็ซวนเซซวดทรุดลงไป เอื้อมหัตถ์หนึ่งกำไว้แนบอก ชกกระหน่ำด้วยเจ็บล้ำ แขนอีกข้างก็กล้ำกลืนยื่นไขว่คว้า ร้องเรียกหาพระราชสวามีด้วยเรี่ยวแรงสุดท้าย

“ทูลกระหม่อมแก้ว...”

เหล่านางกำนัลข้าราชสำนักฝ่ายในต่างเข้าพยาบาลรักษา แต่รพีกานต์เป็นเจ้าเห็นแต่เพียงดวงพระพักตร์ของพระเจ้าพัชรพรรดิยอดชีวา พระนัยนาแดงก่ำเพราะบีดรัดจนโลหิตหลั่งใกล้สิ้นสติสมประดี
 
ช่วงเพลาชุลมุนนั้นบังเกิดยินคำร้องแว่วมาแต่เบื้องทิศสมรภูมิ เป็นเสียงร้องเจ็บปวดหนึ่งครั้ง แหละพระเจ้ารพีกานต์จำพระสุรเสียงได้แม่นยำ ว่าคือยอดดวงใจของพระองค์เอง ดวงเนตรเหลียวสบมองพจน์ชั่วอึดใจหนึ่ง สติแลวิญญาณประจำพระองค์ก็หลุดลอยออกจากร่างในทันใด

พจน์ยืนนิ่งมองใบหน้าคล้ายตนมีน้ำตาสายโลหิตไหลอาบแก้มด้วยสีหน้าเจ็บปวด ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดมาย้ำเตือนก็รู้ได้เองว่า เหตุการณ์ตรงหน้านี้คืออดีตชาติหนึ่งของพจน์กับมาตะอย่างไม่ต้องสงสัย และทหารราชองครักษ์ผู้ชันเข่าโอบกอดพยุงกายพยายามยื้อชีวิตพระเจ้ารพีกานต์อย่างสุดความสามารถนั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็น พระมหาอุปราชสุริยะในชาติภพต่อมาไม่ผิดตัว


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป

______________________________

พระอูรุ : โคนขา
คนธรรพ์ : มนุษย์กึ่งเทพ ชำนาญวิชาดนตรีและขับร้อง
กินนร : อมนุษย์ในนิยาย มี ๒ ชนิด ชนิดหนึ่งท่อนบนเป็นคน ท่อนล่างเป็นนก อีกชนิดหนึ่งมีรูปร่างเหมือนคน แต่เมื่อใส่ปีกใส่หางก็บินได้
กินรี : กินนรเพศหญิง
พระปฤษฎางค์ : หลัง

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

:o12: :o12: พจน์ :monkeysad: ถึงขั้นน้ำตากลายเป็นสายเลือดโอ๊ยยยนี้น่าสงสารที่สุด อยากจะต่อยพ่อมาตะคนซื่อแทนพจน์เหลือเกินนนนน :ling1: :serius2: ขอแบบเต็มตอนได้ไหมค่ะคนเขียน :mew2: :mew1: ค้างงงงง
ครึ่งหลังมาแล้วครับเต็มตอนรวดเร็วทันใจไหมเอ่ย? อิอิ นี่รีบแต่งเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วนะครับ หวังว่าจะไม่รอนานจนเกินไป พจน์ร้องไห้เป็นสายเลือดได้นี่ผู้เขียนก็แทบเลือดตากระเด็นเหมือนกัน สงสารจับใจ อย่าเพิ่งโกรธมาตะเลยครับ คอยรอดูว่ามาตะจะง้อคืนดีพจน์ยังไงดีกว่าเนอะๆ

:mew6:
:hao5:

น้ำตาเป็นสายเลือด ค้าง ต่อด่วนๆ  :pig4:
มาแล้วครับ หวังว่าคุณจะไม่รอนานนะ

อ่านตอนนี้สงสารพจน์มาก คือพออ่านแล้วฉากนี้มันทำเราเหมือนดดนบีบหัวใจไปด้วยเลย
 :mew6: :mew6: :mew6:
จริงครับ ไม่อยากเขียนให้เป็นแบบนี้เลยแต่จำเป็น พอเขียนบทนี้เสร็จผู้เขียนเศร้าทำอะไรไม่ได้ตั้งหลายชั่วโมง เอาแต่นั่งฟังเพลงคำหวานวนไปวนมาแล้วก็ร้องไห้อีก หวังว่าครึ่งหลังคุณจะชอบนะครับ

อื้อหือ พ่อคนซื่อ พ่อเทพบุตร พจน์มาทีไรเป็นเรื่องตลอด  :katai1:
เอาใจช่วยใครดีครับระหว่าง พ่อเทพบุตร กับ พ่อน้ำตาสายเลือด มีเรื่องทีผู้เขียนก็ทรมานแทนตัวละครจริงๆ เอาใจช่วยทั้งสองคนเลยนะผมว่า

มาเม้นให้กำลังใจกันเยอะๆน้าครับ ถูกใจไม่ถูกใจยังไงติชมกันได้เลย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-02-2019 11:28:31 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
รอไม่นาน แต่อ่านแล้วยังค้างอยู่ดี มันยังไม่ได้ต่อตอนที่แล้วไง แค่ได้ความชาติก่อนมาอีกนิด  :ling3:

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
เพิ่มปมมาอีกแล้วนะครับคนแต่ง  รู้สึกสองคนนี้ผูกพันธ์มากี่ชาติภพเนี้ย  รู้สึกว่าพจน์ของเราจะเป็นตัวทำให้มาตะในแต่ละชาติต้องจบชีวิตนะ  แทนที่จะเป็นตัวทำให้มีคุณ  แต่เป็นโทษซะนี้  ล่าสุดก็น้ำตาเป็นสายเลือด โอ้ย  ใจจะขาดตาม  แต่เพลงเพราะมากแต่เศร้าสุดๆ  แทนที่จะหวานเหมือนชื่อเพลง  แฟนนิยายคนนี้ก็ยังติดตามเสมอนะครับ  ว่างตอนไหนก็เข้ามาอ่าน  คนแต่งชอบทิ้งปมไว่ท้ายตอนตลอดเลยอ่ะ  มันคาใจมากเลยขอบอก

ออฟไลน์ iNcamisang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อดีตชาติเศร้าสุดจะบรรยาย TT

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
มาตะ ช่างน่าขัดใจจริงๆ  :hao5: :hao5:
ความจริงแล้ว เห็นมาตะโดนฉกจูบ ยังไม่เจ็บเท่าเห็นมาตะรั้งอีกฝ่ายไว้ เมื่ออีกฝ่ายเหมือนจะร้องไห้
ทิ้งให้อีกฝ่ายร้องไห้ก็ได้ มีประโยชน์อะไร ถ้าปลอบอีกฝ่าย แล้วคนรักของตัวเองกลับเป็นฝ่ายเสียน้ำตา

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๒๘


ไพลินนิลสี พัชรพีนิลกาฬ



“ค้อมเศียรสูงก้มกราบบรมเทพ
อัญเชิญเสพสิ่งทิพย์มิ่งสวรรค์
ประทานพรเยียวยารักษาพลัน
ชุบชีวันวิญญาณ์พากลับคืน”

สรรพเสียงคลับคล้ายคำกลอนอย่างหนึ่งอย่างใดสวดดังอึงอล พจน์ได้ยินแว่วสลับกับคำร้องของบิดา

“พจน์ ลูกเป็นไข้ ดื่มน้ำกินยาก่อน” เด็กหนุ่มเห็นใบหน้าภพดนัยสลัวรางขยับพยุงตน พร้อมป้อนยาและน้ำให้ ฉับพลันก็เลือนหายทดแทนด้วยกลุ่มหมอกสีขาว เสียงประกาศโองการดังชัดเจนอีกครั้ง

“พนมหัตถ์เหนือเกล้ามหาราช
องค์เทวาสเจ้าชีวิตลิขิตฝืน
มานพน้อยบุตรท่านถูกกินกลืน
ด้วยขัดขืนทุกข์โศกวิโยคภัย

จรดผากกระแทกพื้นองค์สุดสรวง
ทวิดวงนัยนาดุจแขไข
เพรียกวิญญาณขานนพภพผูกใจ
จุติในสรรพางค์ฤดีกาย”

สิ้นคำกลอน นาสิกของพจน์สัมผัสกลิ่นหอมสมุนไพรอบอวล เริ่มเห็นภาพพร่าพรางสู่ดวงตาแจ่มชัด เบื้องบนเป็นหลังคามุงจากต้องแสงไต้ไฟ ผนังโดยรอบเป็นไม้ไผ่สานขัดแตะ และบุคคลซึ่งกุมมือพจน์ไว้เคียงเตียงนอนคือ มาตะ พจน์พยายามหยัดกายโผเผยันตัวนั่งด้วยเรี่ยวแรงอ่อนเพลีย รู้สึกปวดศีรษะแต่ทุเลาลงมาก ลำคอแห้งผากดุจผุยผง
 
“น้องท่านประสงค์สิ่งใด จงแจ้งแก่ไอ้มาตะเถิด”

คำพูดสอดรับกับนัยน์ตาโศก พจน์สะบัดโยกตัวออกกลอกหน้าหนี  ใจมาตะก็แปลบจุกเป็นทวี ภัทรพจน์ยอดชีวีมิเหลียวมอง ลองเอื้อมดึงภูษาคล้องอนงค์ เจ้าโฉมยงยกเท้าป้องจ้องตาสอง เม้มปากแน่นสุดกลั้นน้ำตานอง เห็นเพื่อนพ้องเคียงอยู่จึงอุ่นใจ โกสินทร์แลเวฬุหน้าใสชันเข่าอยู่อีกด้าน ส่วนพระมหาอุปราชสุริยะ แลนายกองกฤษณะต่างผุดลุกยืนขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าพจน์ฟื้นคืนสติ กฤษณะนายกองถลันเข้าประชิดติดเตียง

“อาการเจ้าเป็นเช่นไร โปรดแจ้งกล่าว สิ้นสติสมประดีอยู่ราวชั่วยาม จนข้าอดครั่นคร้ามกริ่งเกรงหวั่นใจมิได้” ใบหน้าดุจเดียวกับนิธิถามกลับพร้อมความห่วงหาอาทร

“โกสินทร์...ขอน้ำ”

เจ้าโกสินทร์จับจ้องภัทรพจน์ไม่วางตาอยู่ ครั้นถูกไหว้วานเป็นธุระเกินกว่าคาดคิดก็สะดุ้ง เหลียวหาคนโทแลจอกมาใส่ ขยับเอื้อมยื่นให้ภัทรพจน์ทันที เมื่อลำคอแห้งรับรสสายธารชำระล้างเสริมเรี่ยวแรงอยู่หลายจอก พละกำลังกายก็ค่อยยังชั่วกลับคืนได้ส่วนหนึ่ง ครั้นสำนึกว่าก่อนตัวจะสิ้นสติ ตนร่ำไห้จนกลั่นเป็นสายโลหิตก็ยกปลายนิ้วขึ้นแตะชิดขอบดวงตา แต่ไม่ปรากฏมีสีเลือดเหลืออยู่อีกแล้ว

“น้ำตาสายโลหิตมิเคยปรากฏว่าผู้ใดในพิภพจักประสบอาการขื่นขมเฉกนั้นมาก่อน นอกจากเมื่อห้าพันปีล่วงผ่าน ณ เชิงเขากินราบรรพตเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

น้ำเสียงชราดังพร้อมตัวผู้เฒ่าคนหนึ่ง หนวดเคราแลมุ่นมวยผมผุดสีขาวโพลน ผิวหนังคล้ำเหี่ยวแห้งตามวัย มิอาจคะเนอายุได้ พจน์ก็พนมมือไหว้ เฒ่าชราแต่งกายผ้าขาวมอซอ ดวงตาอันควรดำขลับกลับขาวซีดเช่นเดียวกับผมเครา  มือขวาถือไม้ไผ่ตาปุ่มตาป่ำด้ามขนาดเหมาะมือ โดยใช้ไม้เท้าเคาะนำทางเป็นจังหวะก้าวเดิน

“ข้านี้ดวงตามืดบอดมานับแต่เมื่อย่างสู่วัยหนุ่ม” เฒ่าชราคลำทางมาจนถึงเตียงแคร่ที่พจน์นั่งอยู่แล้วทรุดลง เหม่อมองเบื้องทิศบานประตูกระท่อม “ด้วยอยู่ๆก็บังเกิดอุปมาดั่งแสงมหาสุริยาฉายฉับพลันสู่ดวงตาเมื่อครั้งเที่ยวผจญภัย นับแต่นั้นข้าก็มิเคยเห็นสิ่งอื่นใดอีกนอกจากความมืด นามอันผู้คนเรียกขาน คือ เฒ่าวลาหก

วลาหกผู้เฒ่าหันดวงตาสีขาวโพลนมาทิศทางที่พจน์จ้องมองอยู่ก็ให้รู้สึกสะดุ้งเฮือกขยับถอยไม่รู้ตัว

“ฮะๆๆ” เฒ่าตาบอดหัวร่องอหาย แล้วว่า “กิริยาท่านประหนึ่งมิเคยเห็นคนตาบอดมาก่อน คนประเภทนี้สูญเสียการมองเห็นตราบชั่วลมหายใจ จึ่งปรากฏให้หูนั้นใช้การได้ประหนึ่งต่างตา ด้วยวัยล่วงชราอันควรจักสดับยินสิ่งใดได้ยากนั้นกลับแจ่มชัดยิ่งกว่าสมัยกำดัด เพียงท่านขยับ ฤา หายใจเพียงนิด เฒ่าผู้นี้ก็รับรู้แลเห็นท่านได้ดุจมีดวงตาสมบูรณ์มิต่างกัน”

ผู้เฒ่าตาบอดคงแก้ไขพจน์จนฟื้นคืนสติ กิริยาท่าทางน่าเคารพนับถือ ทั้งพูดจาเป็นหลักการ จึงพนมมือไหว้ซ้ำ แล้วว่า
 
“คุณกรุณาช่วยชีวิตผมไว้ใช่ไหม”

“คนผู้ช่วยชีวีท่านหาใช่ข้าไม่ แต่เป็นหมู่คนเหล่านี้ต่างหากเล่า” เฒ่าวลาหกส่ายหน้าปฏิเสธ

พจน์ส่งรอยยิ้มให้กฤษณะ โกสินทร์ เวฬุ พระมหาอุปราชสุริยะ ยกเว้นไว้คนเดียวในที่นั้น

“ขอบใจพวกนายนะ”

มาตะเห็นอาการเมินเฉยของคู่สุดสวาทแล้วข่มใจขยับถอยห่างจากเตียง พลางก้มลงบ่มหน้าสลด
 
“ใบสาบเสือยุดห้ามเลือดมิให้ไหลจากนัยน์ตาเจ้าได้ก็จริง แต่สติอันหลุดลอยออกจากร่างนั้นพวกข้าสิ้นปัญญาจักเรียกกลับคืนได้ แหละได้ยินรองนายกองทหารลาดตะเวนนาม สิตางศุ์ กล่าวเป็นคำน่าเชื่อถือหนักแน่นว่า นอกชานเมืองมัทธวะอาชา มีหมอยาเลื่องชื่อผู้หนึ่งนอกจากเก่งกล้าด้านเครื่องรางของขลังแล้วยังมีกิตติศัพท์ด้านการเยียวยารักษา ก็แหละเส้นทางระหว่างเมืองเขตขันธ์สู่มัทธวะอาชาสั้นระยะกว่าหวนกลับกรุงนพรัตนบุรีเฉกเช่นนี้ อีกทั้งหากทอดเพลาปล่อยให้ยืดนานไปไม่รักษา ก็มิอาจรู้ชาตาว่าท่านจะฟื้นสติได้เมื่อไรจึงขับม้ามาสู่แหล่งสำนักไม่รอรี” เวฬุอธิบายเรื่องราวเป็นลำดับ

“มาตรแม้นชักช้ากว่านี้เพียงนิด วิญญาณประจำร่างคงหลุดพ้นมิหวนกลับ หากแต่ข้าสงสัยอยู่ประการหนึ่งเป็นข้อสะกิดใจในคำพวกท่านเหลือประมาณ ด้วยภูมิความรู้พอมีประดับปัญญาอยู่ อนึ่งระยะทางจากชานเมืองเขตขันธ์ลูกหลวงสู่มัทธวะอาชาพระยามหานครนี้ จำมิผิดห่างกันราว ๔๐ โยชน์ ก็แหละฝีเท้าม้าชั้นดีเพียงไรก็สามารถอาจเอื้อมควบวิ่งได้ต่ำกว่า  ๒๐ โยชน์ต่อชั่วยามเท่านั้น แลหมู่ท่านทั้งนี้คะเนแล้วประหนึ่งเหาะเหินเดินอากาศ ควบม้าจากเมืองเขตขันธ์ยังมิพ้นยามต้นดีก็ถึงที่หมายแล้วดั่งนี้ มิให้ยกว่าเหาะมาก็ยากจักปลงลงได้”

“เกรงจักมิต้องให้ผู้เฒ่าต้องมาเป็นกังวัล ฤา สงสัยในการนี้ ข้าจักขอกล่าวแถลงไขข้อข้องใจ” พระมหาอุปราชสุริยะตรัสสุรเสียงชัดเจน วลาหกผู้เฒ่าตะแคงหูผินสู่ทิศอาทิตยาธรอุปราช แลตั้งใจฟัง “ก็แหละเบื้องมหาพิภพนี้ท่านยังจักได้ยินนาม จตุบทอาชา ฤา ไม่”

เพียงได้ยินเท่านั้นเฒ่าวลาหกตาบอดก็สะดุ้งเฮือกยืดกายตรง หันหน้าซ้ายขวาราวกับพยายามจะหาต้นเหตุอันก่อตระหนก ดวงตาขาวบอดเบิกโพลงซ้ำอีก

“ข้าเชี่ยวชาญตำราอัศวศาสตร์มิยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใด อีกทั้งบูชาสัตว์ชนิดนี้ประหนึ่งนายเหนือบ่าว ด้วยเมืองมัทธวะอาชาเราเป็นแหล่งกำเนิดพันธุ์ม้าชั้นดี ทั้งม้าเทศ ม้าอาชาไนย ม้าอุปการ ล้วนส่งเข้าสังกัดกองทหารหลวงและกรมพิธีการมานักต่อนัก อีกทั้งค้าขายต่างอาณาจักรนำเงินเข้าท้องพระคลังเป็นที่โจษขาน ทุกเหย้าเรือนจึ่งเคารพสัตว์ชนิดนี้ประหนึ่งผู้มีคุณ พันธุ์ม้าชนิดใดในตำรามีหรือชาวเราจักไม่รู้ แหละพันธุ์จตุบทอาชานั้น อยู่รั้งอันดับต้นของพันธุ์ม้าชั้นเลิศ ฝีเท้าเร็วปานสายลมกรด จึงเหมาะยศชนชั้นสูง สำหรับผู้สืบเชื้อสายสมมติเทพเท่านั้นที่จักควบทรงได้ ก็แหละท่านเอ่ยคำนี้ขึ้นมาบ่งชัดว่าเป็นข้อสำคัญ ฤา ในหมู่ท่านมี...”

กล่าวได้เพียงครึ่งเฒ่าวลาหกก็ทรุดกายลงพื้นประนมมือปลกๆ ยกขึ้นเหนือหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าทางทิศซึ่งพระมหาอุปราชประทับยืนอยู่ ปากก็สั่นอีกทั้งเนื้อตัวสั่นงันงกมิต่างกัน พจน์มองทางหางตาเห็นมาตะ โกสินทร์ แลเวฬุชักดาบออกจากฝักโดยพร้อมเพรียง สุริยะอุปราชเร่งยกมือห้ามปราม

“กระไรท่านผู้มีวัยสูงกว่ามาทำประหนึ่งลดทอนอายุหมู่ข้าเล่า” อุปราชหนุ่มแย้มพระโอษฐ์เข้าดึงรั้งให้วลาหกนั่งบนแคร่ตามเดิม “เราเพียงแต่เอ่ยนามพันธุ์ม้าเท่านั้น ท่านผู้เฒ่าก็คิดเห็นยืดยาวไกลนัก หมู่ข้านี้ล้วนเป็นแต่เพียงพ่อค้าวาณิชเที่ยวเร่รอนทำมาค้าขายเป็นชีวิตประจำวัน หากำไรจากการค้าประทังตัว หวังประสงค์ไม้จันทน์หอมนอกเขตแนวภูเขานพรัตนคีรีเป็นจุดหมายเดิม หว่างทางคนของข้าเกิดเจ็บป่วยด้วยอาการประหลาด แลได้ยินกิตติศัพท์ท่านมีคุณชุบคนให้ฟื้นมานักต่อนักจึ่งเร่งมาหา ก็แหละกิริยาท่านก้มกราบประหนึ่งหมายใจว่าในหมู่ข้าคนใดคนหนึ่งมีเชื้อสายสมมติเทพแล้วไซร้นั้นยังจะถูกอยู่หรือ”

วลาหกผู้เฒ่าแท้จริงในใจล่วงรู้คำตอบอยู่แล้วก็ให้รู้สึกอกหวั่นขวัญแขวน ตัวเป็นแต่เพียงสามัญชนแลทำการต้อนรับเชื้อพระวงศ์ไม่ได้เต็มกำลัง หวาดเกรงความผิดติดตัวอยู่ ซ้ำคนผู้หลั่งน้ำตาสายโลหิตมีลักษณะผิดประหลาดเหนือคนธรรมดาเป็นข้อสงสัย ครั้นมาสดับยินเสียงเจ้าหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวคำนุ่มนวลน่าเกรงขามบอกช่องเป็นนัยให้หลงลืมแลเพิกเฉยก็นิ่งฟังอยู่

“เรามาเหยียบชานเรือนท่านยามวิกาล ประสงค์ให้ท่านช่วยพยาบาลรักษาชีวิตคน แลบัดนี้คนในคณะค้าขายคืนสติดังเดิมเป็นคุณยิ่งแล้ว เวฬุ เจ้าจงนำถุงทองประมาณสิบชั่งมอบเป็นสินรางวัลในการนี้ด้วยเถิด” สุริยะอุปราชเบี่ยงบ่ายมิให้ฐานะองค์ถูกเปิดเผยโดยง่าย พยักพระพักตร์ให้เวฬุปฏิบัติตาม แลตรัสรวบรัดว่า “แลมีอีกสิ่งหนึ่งนั้น ข้าได้เป็นธุระนำของสำคัญมาฝากแก่ท่านพร้อมคำคารวการ เหตุมีคู่นายทหารพี่น้องนามสิตางศุ์และบุหลันฝากฝังมาพร้อมสร้อยเครื่องราง”

วลาหกผู้เฒ่าระงับอาการสั่น ลังเลรับสร้อยแล้วคลำด้วยนิ้วมือ ก็เห็นว่าเป็นของที่มาจากตนจริง

“คนคู่นี้นี่เล่าเป็นผู้ชี้ช่องให้หมู่ข้ามาหาคราวคับขัน ซ้ำยังบอกว่าท่านมีของขลังชนิดเดียวกัน ยินว่าศักดิ์สิทธิ์นัก หมู่ข้าจึงหวังความเมตตาอยากจักได้ไว้คุ้มภัยตนยามเดินทาง มิทราบว่าพ่อเฒ่ายังจะมีหลงเหลือบ้าง ฤา ไม่”

เมื่อสติแลปัญญาหวนกลับคืนดังเดิมแล้ว ความสงบอันเป็นวิสัยประจำกายตนจึงปรากฏดังเก่า แสร้งทำเป็นว่าหมู่คนเหล่านี้เป็นแต่เพียงพ่อค้าวาณิชธรรมดามิได้มีเชื้อสายสมมติเทพปลอมปนก็รู้สึกคลายใจ แลว่า

“การอันท่านประสงค์เครื่องรางมีชื่อคงผิดหวัง เพราะเหรียญ เภตราวลาหก ปลุกเสกขึ้นเพียงครั้งเดียวเป็นครั้งสุดท้ายมีด้วยกันทั้งหมด ๙  ชิ้น แลบัดนี้เหรียญนั้นกระจัดกระจายสู่มือต่อมือ จากบิดาสู่บุตร จากพี่สู่น้อง จากญาติสู่ญาติ นานนับยี่สิบปีแล้ว เหรียญอันท่านได้มานี้จึ่งเป็นหนึ่งในเก้าของเหรียญทั้งหมด ข้ามิเห็นเป็นอื่นได้นอกจากคู่พี่น้องสิตางศุ์บุหลันผู้นั้นหวังสละให้มันเป็นเครื่องคุ้มภัยท่านหาเป็นอื่นไม่” วลาหกผู้เฒ่าค่อยๆยื่นเครื่องรางคืนลงบนพระหัตถ์ของพระมหาอุปราชา

พจน์ตวัดมองพินิจมาตะชั่วครู่ สายตาผสานกันมิเกินลมหายใจเข้าออก พจน์ก็ละจ้องเฒ่าเจ้าเรือน รู้สึกเจ็บลึกในห้วงหัวใจอีกครั้ง

“ขอบน้ำใจท่านมากที่แจงแถลงไข บัดนี้คนของเราฟื้นกำลังแล้วเห็นจะมิรบกวนผู้เฒ่าให้ล่วงเกินมัชฌิมยาม จำจะขอลา” อุปราชหนุ่มกระชับพระแสงทวนแน่น มาตะเงยหน้าขยับจะเข้าพยุงพจน์ แต่เจ้าหนุ่มมากโฉมรีบเกาะแขนเวฬุกับโกสินทร์ที่อยู่ใกล้กว่าแล้วยืนขึ้นโดยไม่ปรายตาแลดูอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

“หาเป็นการรบกวนไม่” เฒ่าวลาหกผุดลุกยืนเช่นกัน “ท่านผู้นี้เพิ่งได้สติยังอ่อนกำลังมากนักเห็นควรนอนพักฟื้นสักชั่วยามหนึ่งก่อน ต่อรุ่งเช้าจึงค่อยออกเดินทาง หว่างนี้ข้าจัดเตรียมให้บุตรสาวหุงหาข้าวปลารับรองท่านอยู่มิให้ขาดตก ด้วยมีข้อใหญ่ใจความอย่างหนึ่งประสงค์จักมอบไว้เป็นความรู้”

“สิตางศุ์รองนายกองกำชับมาให้พวกข้าสอบถามเส้นทางเดินเหินออกนอกประตูช่องเขาสุวรรณคีรี ยินว่าท่านเคยร่อนเร่รักษาเยียวยาผู้คนในแถบนั้น ทั้งบัดนี้มีภัยอันตรายมืดทมิฬปกคลุมอยู่นอกด่าน เกรงจักไม่สะดวกในการเสาะหาไม้จันทน์มาค้าขาย” เวฬุล้วงถามโดยเร็วเมื่อนึกขึ้นได้ “หวังว่าท่านคงรู้ลู่ทางหลบหลีกหากเกิดเข้าตาร้ายไม่คาดคิด”

“ท่านทั้งหลายจงประทับนั่งลงก่อน” โกสินทร์ผ่อนแขนให้พจน์นั่งคืนดังเดิม ตอนนี้ใจตนเป็นปรกติดีแล้ว อาการเวียนหัวทุเลาลง หากนอนพักตามคำแนะของวลาหกผู้เฒ่าแล้วก็คงดีเช่นเดิม

“ดงไม้จันทน์หอมขึ้นหนาแน่นอยู่เบื้องหลังมหาเทวาลัยร้างแห่งหนึ่งตั้งอยู่ทิศตรงข้ามกับประตูช่องเขาสุวรรณคีรีห่างประมาณ ๑ โยชน์ ขั้นกลางคือป่าอาถรรพณ์อันตราย บัดนี้ขอบเขตลี้ลับนั้นเล่าลือว่า แม้แต่สรรพสัตว์ยามย่างกรายเข้าไปก็จักมิมีวันหวนคืนกลับมาเป็นข้อสงสัย หากท่านจะซอกซอนเข้าตัดไม้จันทน์หอม มีหนทางเดียวคือต้องผ่านนครไพรพนาวรรณและมหาเทวาลัยแห่งนั้น”

“เจ้าพูดประหนึ่งคิดอ่านให้เราฝ่าภัยมืดเดินดงเข้าไปตาย เหมาะควรอยู่หรือ” กฤษณะหลุดกิริยาสงบก็ฮึดฮัดตวาดอึ้งไปไม่ยั้งคิด

“ดูก่อน ท่านผู้ค้าขาย ด้วยแนวไพรพนากั้นขวางเป็นดั่งปราการชั้นแรก ซ้ำนอกเขตมหาเทวาลัยปรากฏเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ปกคลุมรกชัฎเป็นพืชน้ำนานาพรรณ ย่อมยากแก่การเดินผ่านเป็นกำแพงชั้นสอง หนทางครรลองอันข้ากล่าวจึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้น โดยย่างเข้าป่าอาถรรพณ์อย่างเงียบที่สุด โปรดอย่าโอ้เอ้เอ่ยทักในสิ่งไม่รู้แม้แต่คำเดียว จงตั้งจิตบริสุทธิ์อย่าหวั่นกลัว พ้นดงพฤกษาแล้ว จงหมายตารูปปั้นสิงหราชหน้าประตูมหาเทวาลัยเป็นหลักสำคัญ มีเป็นคู่เสมือนทวารบาลก่อนเข้าเขต ตรงฐานก่อศิลา จารึกอักขระโคลงสองบท แลบทท้ายมีข้อความหายไปหนึ่งคำของแต่ละบาท ท่านจงตรองด้วยสติปัญญาเถิดว่า คำเหล่านั้นคือสิ่งใด แล้วสิ่งนั้นจะเป็นกลไกเปิดเป็นช่องทางลับให้ท่านเล็ดลอดผ่านใต้มหาเทวาลัยไปผุด ณ ใจกลางดงไม้จันทน์หอมเป็นแน่แท้”

วลาหกผู้เฒ่ากล่าวเสริมเป็นลำดับชัดเจน

“แต่เหตุใดภัยมืดนั้นจึ่งบังเกิดสิงสู่ ณ เทวาลัยเทพจนเรามิอาจเดินผ่านได้โดยง่าย” อุปราชหนุ่มซักพระพักตร์ฉงน

“แหล่งที่แห่งนั้นเล่าลือว่า เมื่อหลายพันปีล่วงผ่านเป็นมหาสุสานฝังพระศพของมหากษัตริย์คนธรรพ์พระองค์หนึ่ง เหตุใดพระบรมศพกษัตริยาธิราชแห่งคนธรรพ์จึ่งถูกฝังอยู่นอกสุสานหลวงของมหาอาณาจักรอนันตาทมิฬนั้นสุดล่วงรู้ จวบกระทั่งเมื่อล่วงผ่านมามิถึงเดือนข่าวลือสะพัดไปทั่วว่า พระมหากษัตริย์คนธรรพ์พระองค์นั้นทรงพระนามว่า พระเจ้าอนันตราช มหากษัตริย์ลำดับเก้าแห่งพระราชวงศ์คนธรรพ์” พจน์รวบมือกำแน่นขนลุกกราว ใจเต้นระทึกสุดหักห้าม “แลเงามืดจึ่งแผ่มาปกคลุมนับแต่นั้น หากท่านล่วงรู้หนังสือตำราประวัติศาสตร์แล้วไซร้จักมิสงสัยเลยว่า เหตุใดราชภัยจึงผุดขึ้นอยู่หน้าประตูราชอาณาจักรของชาวเรา” วลาหกเบิกตาโพลงขาวสะท้อนแสงไฟ

“ข้าอับจนปัญญานัก โปรดแถลงไขเถิด” โกสินทร์เฉลียวคิดชั่วครู่ก็มิเห็นคำตอบ วลาหกผู้ตาบอดทอดใจใหญ่ แลว่า

“กษัตริย์พระองค์นี้กล่าวขานกันว่าเป็นพระองค์สุดท้ายที่ได้ครอบครอง ไพลินนิลสี หนึ่งในมหานพมณีอย่างไรเล่า”

เด็กหนุ่มผู้เคยย้อนระลึกชาติลอบสังเกตมาตะ รูปหน้าอย่างเดียวกับพระเจ้าอนันตราชกำลังตั้งใจฟังอย่างแน่วแน่ โดยไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า ถ้อยความทั้งนั้นกล่าวถึงอดีตชาติของตน


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป

______________________________

โยชน์ : หน่วยวัดความยาวของไทยแต่โบราณ ๑ โยชน์ เท่ากับ ๔๐๐ เส้น หรือ ๑๖ กิโลเมตร
ยาม : ส่วนของวัน วันหนึ่งมี ๘ ยาม ยามละ ๓ ชั่วโมง ในบาลีแบ่งกลางคืนเป็น ๓ ยาม ยามละ ๔ ชั่วโมง เรียก ปฐมยาม มัชฌิมยาม ปัจฉิมยาม

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

รอไม่นาน แต่อ่านแล้วยังค้างอยู่ดี มันยังไม่ได้ต่อตอนที่แล้วไง แค่ได้ความชาติก่อนมาอีกนิด  :ling3:
ใจเย็นๆครับ อย่างเพิ่งรีบร้อน ผมมาต่อให้สมใจแล้วครับ อาการค้างนี่ถือว่าเป็นความตั้งใจแกล้งของผู้เขียนเองแหละครับ อิอิ หวังว่าตอนล่าสุดนี่จะไม่เกิดอาการ 'ค้าง' อีกนะครับ

:mew4:
เศร้าไหมครับตอนที่ผ่านมา ผมนี่แทบเขียนต่อไม่ได้เลย  :katai1:

เพิ่มปมมาอีกแล้วนะครับคนแต่ง  รู้สึกสองคนนี้ผูกพันธ์มากี่ชาติภพเนี้ย  รู้สึกว่าพจน์ของเราจะเป็นตัวทำให้มาตะในแต่ละชาติต้องจบชีวิตนะ  แทนที่จะเป็นตัวทำให้มีคุณ  แต่เป็นโทษซะนี้  ล่าสุดก็น้ำตาเป็นสายเลือด โอ้ย  ใจจะขาดตาม  แต่เพลงเพราะมากแต่เศร้าสุดๆ  แทนที่จะหวานเหมือนชื่อเพลง  แฟนนิยายคนนี้ก็ยังติดตามเสมอนะครับ  ว่างตอนไหนก็เข้ามาอ่าน  คนแต่งชอบทิ้งปมไว่ท้ายตอนตลอดเลยอ่ะ  มันคาใจมากเลยขอบอก
ครับ เป็นปมที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้แต่จำทุกปมได้แน่ครับ จะมีปมไหนที่คลายไปแล้วก็ถือว่าหมดหน้าที่ผู้เขียน ส่วนปมไหนที่ค้างอยู่ก็ยังเป็นหน้าที่ของผู้เขียนต่อไปที่จะทยอยคลี่คลาย ถ้าถึงตอนนี้ก็สามชาติภพได้แล้วครับ คือ ภพปัจจุบันที่พจน์ข้ามพิภพไปเจอมาตะ หนึ่ง พระเจ้าอนันตราช(มาตะ)คู่กับพระเจ้าวัชรโกมล(พจน์) สอง และล่าสุดก็พระเจ้าพัชรพรรดิ(มาตะ)คู่กับพระเจ้ารพีกานต์(พจน์) สาม ครับ ให้ทายว่ามีอีกหรือเปล่า อิอิ ในอดีตชาติ พจน์จะเป็นสาเหตุให้มาตะตายหรือเปล่าเนี่ย ต้องมาคุยกันยาวครับ แต่เท่าที่เรื่องราวเล่าถึงถ้ามองจากมุมนั้นก็คงมีส่วน โดยเฉพาะภพชาติกินนร ส่วนภพชาติคนธรรพ์นั้น ต้องลองกลับไปอ่านดีๆครับ ว่าจะเป็นอย่างที่คุณกล่าวหาพจน์หรือเปล่า อิอิ เพลงคำหวานมีหลายเวอร์ชั่นมาก แล้วที่เป่าด้วยขลุยซึ่งนำมาประกอบตอนล่าสุดก็เศร้าสุดบรรยายจริงๆครับ ขอบคุณที่มี 'แฟนนิยาย' ติดตามเหนียวแน่นขนาดนี้ ทั้งติท้วงในข้อลืมหลง ทั้งชมเป็นแรงกำลังใจ ยินดีครับที่งานเขียนชิ้นนี้เหมาะใจกับคนอ่าน ขอบคุณครับ

อดีตชาติเศร้าสุดจะบรรยาย TT
เป็นตอนที่เขียนไปก็ไม่อยากให้ตัวละครต้องมาพบจุดจบแบบนี้เลย ขัดใจตัวเองสุดๆเลย ถ้าเลือกได้จะแต่งให้สมหวัง อ้าว ถ้างั้นก็คงไม่ต้องมีภพชาติมาตะพจน์ล่ะสิ แฮปปี้เอนดิ่งตั้งแต่ภพชาติกินนรแล้ว ฮ่าๆ ขำตัวเอง ดีใจที่ทำคุณเศร้า 'สุดบรรยาย' ได้นะครับ

มาตะ ช่างน่าขัดใจจริงๆ  :hao5: :hao5:
ความจริงแล้ว เห็นมาตะโดนฉกจูบ ยังไม่เจ็บเท่าเห็นมาตะรั้งอีกฝ่ายไว้ เมื่ออีกฝ่ายเหมือนจะร้องไห้
ทิ้งให้อีกฝ่ายร้องไห้ก็ได้ มีประโยชน์อะไร ถ้าปลอบอีกฝ่าย แล้วคนรักของตัวเองกลับเป็นฝ่ายเสียน้ำตา
จริงครับ เห็นด้วยกับคุณอย่างยิ่ง เรื่องจูบอาจไม่ทันตั้งตัวเพราะไม่เต็มใจ แต่ยังดึงรั้งไว้นี่ปวดใจยิ่งกว่า ถ้าเป็นพจน์ก็คงเหมือนเจ็บซ้ำสอง แต่มาตะก็ต้องมีเหตุผลแหละที่ดึงรั้งไว้ การเป็นคนหล่อ แล้วก็คนดีไปด้วยเนี่ย มันน่าเหนื่อยใจจริงๆนะครับ ฮ่าๆ หวังว่าคุณจะชอบนิยายเรื่องนี้และติดตามไปเรื่อยๆจนจบนะครับ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:23:42 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
สงสารพจน์ ภพเริ่มยอมโดนพิษลีลาวดี เพียงเพราะพ่อคนซื่อตัดพ้อ ภพถัดมา เสียน้ำตา(สายโลหิต)เพราะ พ่อคนซื่อ จะไปรบ ได้ยินเสียงร้อง ตายไหมไม่ทราบได้ พจน์สิ้นใจก่อน  :katai1:
เซ็งสุดตอนโดนจูบ แต่ดันยื้อคนจูบ  :angry2:

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
ผมลืม  ภพนั้นพจน์ตายเพราะมาตะ  จากเมียหลวง  รอต่อไปคราบ  ว่าปมนี้จะคล้ายแบบไหน  ลุ้นละทึก  คึคึ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]


พจน์ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ทั้งรู้สึกอ่อนแรงเหลือกำลัง พยายามหยุดความคิดไม่ให้หวนคำนึงถึงใจความอันวลาหกผู้เฒ่ากล่าวแจ้ง คราใดใคร่ครวญซ้ำก็ระทึกรุ่มร้อนเหมือนมีคนลอบเผาไฟในกาย พลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่นาน พิจารณาแน่แล้วมิอาจหลับลงก็ผุดลุกขึ้นนั่ง บัดนี้ทุกคนหลังได้เสพอาหารพื้นถิ่นตามฐานะผู้เฒ่าโดยมีลูกสาวเจ้าเรือนเป็นผู้ปรุงแล้วก็หลับตาเอาเรี่ยวแรง แสงไต้ไฟทอลอดผ่านซี่ไม้ไผ่ต่างผนังเรือน แว่วยินสายน้ำไหลผ่านพื้นกระดานก็สำนึกได้ว่าห้องแห่งนี้คงเป็นเรือนแพ ก้าวย่างหย่อนฝีเท้าลงน้ำหนักเบาอย่างที่สุด เวฬุนอนเคียงโกสินทร์ พระมหาอุปราชบรรทมบนแคร่ไม้มุมหนึ่ง ส่วนผู้เฒ่าวลาหกกลับไปนอนยังอีกห้องของตนพร้อมบุตรี ไม่เห็นมาตะหรือกฤษณะทอดกายอยู่บริเวณนั้นก็ให้ฉงน ผลักบานประตูออกจ้องแสงเดือนกระทบสายน้ำเป็นคลื่นชนเข้าหาฝั่ง
 
ลำน้ำคีรีนครากว้างใหญ่พอประมาณ ปรากฏเรือนแพอย่างเดียวกันนี้ปลูกถัดเป็นแนวต่อกันยาวสุดลูกหูลูกตา ความเงียบสงัดผสานเสียงน้ำกระทบฝั่งแว่วมาพร้อมถ้อยนกร้องแลลมหายใจม้าแทรกซ้อนอยู่ในอากาศ พจน์ทรุดลงบนลานไม้หน้าเรือนหย่อนเท้าลงละสายน้ำเย็นชื่นใจ ทบทวนถึงคำของเฒ่าวลาหก

‘พระบรมศพกษัตริยาธิราชแห่งคนธรรพ์....พระองค์นั้นทรงพระนามว่า พระเจ้าอนันตราช’

ราวกับความจริงในตำนานขยับเข้าใกล้พจน์ทีละน้อย
 
อีกทั้งเหตุการณ์อดีตชาติกินนรรพีกานต์หลั่งน้ำตาสายโลหิตฝังแน่นในห้วงจิต เหตุผลที่ตนถูกทำให้ระลึกชาติคงไม่ใช่เพียงเพื่อสบเห็นความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน แต่เป็นบางสิ่งที่กินนรรพีกานต์ครอบครองในวาระสุดท้าย เช่นเดียวกับพระเจ้าอนันตราชอดีตชาติของมาตะ ไพลินนิลสี ไม่น่าแปลกใจเลยหากภัยมืดจะเคลื่อนเข้าปกคลุมเทวาลัยแห่งนั้น เพราะจอมปีศาจคงหวังจะชกชิงอัญมณีสีนิลลึกลับนี้เป็นแน่
 
“เจ้าควรนอนพักเอาเรี่ยวแรง ด้วยเผชิญทุกขเวทนาน่าสงสาร เพียงแลเห็นก็เจ็บปวดใจล้ำประมาณ”

ใบหน้าอย่างเดียวกับไอ้กันไต่ถาม ฟุบกายนั่งเสมอเคียง

“เรานอนไม่หลับ”

กฤษณะหัวเราะมาคำหนึ่ง พลางว่า

“แค่เพียงเห็นหยดน้ำตาสายโลหิตของเจ้าหลั่งลงต่อหน้าต่อตาเฉกนั้น ประดุจหัวใจตัวเองหยุดเต้น  มินึกว่าใจนั้นอยู่กับกายโดยแท้ แต่ถึงคราวคับขันจึ่งล่วงรู้ว่ามิใช่ของตัวอีก” กฤษณะกระชับด้ามทวน ดวงตาดุดุจเหยี่ยวจ้องมองพจน์ไม่ลดละ

“ขอโทษที่ทำให้พวกนายต้องลำบาก” พจน์ก้มมองสายน้ำ

“ข้ากฤษณะขันอาสาทำราชการลับครานี้ มิเคยประหวั่นเกรงภัยราชศัตรูใดขวางกางกั้นอยู่เบื้องหน้าแม้เพียงนิด ถึงจักเป็นยักษ์มารปีศาจมากเล่ห์ก็หาพรั่นพรึงไม่ ด้วยใจกล้ามีประจำกายตัวมาแต่จดจำความได้ อีกทั้งทักษะฝีมือทวนมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใด หากแม้นเผชิญภัยก็จักขอเอาตัวแลกถวายผืนแผ่นดิน ครั้นหว่างทางบังเกิดพบว่าหัวใจกล้าหาญประจำตนบัดนี้ถูกลักพานับแต่ทวนอาวุธคู่กายถูกปลดจากมือโดยคนผู้หนึ่งแล้วยังมิรู้ตัว จวบกระทั่งเห็นท่านมีอาการหลั่งน้ำตาเป็นโลหิตจึ่งค้นพบความจริงนั้นในทันใด” กฤษณะพูดสีหน้านิ่งเฉย แต่ถ้อยคำซ่อนเร้นเผยความรู้สึกมากมาย “วานภัทรพจน์ท่านช่วยเอ่ยคำหนึ่งเถิดว่า กฤษณะผู้ไร้หัวใจนี้จักตามหาใจตัวได้จากที่ใด”

พจน์ชะงัก ไม่คาดคิดว่าจะถูกอีกฝ่ายจู่โจมด้วยคำแทะโลมคาดคั้นกะทันหัน สติปัญญาเพิ่งฟื้นคืนกำลังยังมิเฉียบคมเท่าเพลาปรกติก็ตื้อตันกระวนกระวายมิอาจสรรหาคำมาบ่ายเบี่ยงได้

“เรา...ไม่รู้สิ เอ่อ” หันสบตาดุก็รีบก้มลงมองตักตัวเองทันที

“เราสองเจอกันในสถานการณ์มิถูกควร ก็แหละคราวนั้นกฤษณะถูกโมหะเข้าครอบงำชั่วขณะ จึ่งก่อกิจจะลักษณะชั่วช้าโดยมิยั้งคิด ปลุกการวิวาทสร้างความเสียหายแก่ราษฎร ทั้งยังหยาบช้าเจรจาน่าอดสูระคายหู จิตใจในครานั้นนอกกว่ารุ่มร้อนผสมไฟแค้นมิสมควรแล้ว ยังหนุนเนื่องมาด้วยฤทธิ์สุรามึนเมาอีก สติอันควรมีประจำตัวนายกองทหารเกราะทองเป็นที่ตั้งจึ่งมีอันพังลงน่าอับอายปรากฏต่อสายตาท่านเป็นชนักติดหลัง กฤษณะกระทำต่ำเลวพ่วงนิสัยพาลเป็นข้อฉกาจฉกรรจ์เหลือจักกล่าวฉะนี้ แลนำตัวมาขอเป็นเครื่องรองรับผิด คำหนึ่งโปรดแจ้งให้ไอ้คนเลวอันท่านมิอาจทนมองหน้า ได้ยินสักถ้อยหนึ่งเถิดว่า จักกรุณาอภัย ฤา โกรธแค้นสืบต่อ”

สีหน้าเศร้าอกตรมขมไหม้ปรากฏเป็นรอยขุ่นมัวชัดแจ้ง พจน์ลำดับเรื่องราวเมื่อแรกเจอ ณ ลานโรงสุราของนางแดงแล้วก็ให้เวทนา เหตุการณ์ทั้งนั้นเกิดเพราะความเข้าใจผิดต่อกันเป็นเหตุหลัก มองจากคนนอกแล้วเห็นว่า มิอาจกล่าวหาฝ่ายใดผิดได้เต็มปาก หนึ่งเพราะมาตะถูกหมายตาให้เป็นคู่ครองกฤษณาอยู่แล้ว คนทุกผู้จึงมิอาจเห็นเป็นอื่น ซ้ำกฤษณะดำรงฐานะถึงพี่ชายมาทราบว่า มาตะลักลอบนัดแนะพบพจน์ ก็ก่อเกิดเป็นโทสะขึ้นสมเหตุผล ตัวการทั้งนี้หากจักกล่าวฝ่ายมาตะผิดก็คงผิดมากกว่ากฤษณะ ตัวครองตนไม่เด็ดขาด จนผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าลอบผูกสมัครรักใคร่กับกฤษณา หรือแท้จริงแล้วประสงค์ดั่งว่าก็สุดคาดคิด ตริตรองได้เช่นนั้นก็พาลเจ็บช้ำในอกซ้ำ น้ำตาก็หวนเอ่อคลออีก

“ไยภัทรพจน์ท่านมามีอาการดุจขื่นขมมิอาจอภิรมย์ด้วยคำอภัยสู่กฤษณะผู้นี้ ซ้ำบังเกิดรอยโศกทันทีเมื่อยินคำของข้า อภัยเถิดมินึกว่า ถ้อยคำกฤษณะจักเป็นดั่งคมทวนฉกผิวเนื้อท่านจนเกิดรอยแผลให้อาดูร ชะรอยรูปตัวคงอัปลักษณ์น่าชังเกินท่านฝืนทนแลมองได้จึ่งหันแต่เบื้องทิศอื่น กฤษณะผู้ได้ชื่อว่าเป็นชายชาติชาตรีอาจหาญชาญณรงค์ คงได้มาเพราะคำคนประมาณราคาเป็นแน่ เนื้อแท้แล้วเพียงเห็นรอยน้ำตาภัทรพจน์ท่านเพียงหนึ่งน้อย ก็ขลาดเขลายิ่งกว่ายักษ์มารผุดผาดอยู่เบื้องหน้าอีก อย่าร่ำไห้เลยเถิดหนาเจ้า กฤษณะจักขอนำตัวน่ารังเกียจนี้หลบลี้หนีจากครองจักษุท่านในบัดดล”

กล่าวพลางก็แกล้งผุดลุกขึ้น พจน์เห็นอีกฝ่ายดำริผิดต่างจากเจตนาตน ทั้งที่เป็นฝ่ายเอนเอียงมาปรับความเข้าใจต่อกันก่อน แต่เขากลับสร้างเป็นรอยเข้าใจผิดซ้ำอีกก็ร้องเรียกไว้
 
“เดี๋ยว กฤษณะ นายอย่าเพิ่งไป นั่งลงก่อน เราเสียใจไม่ใช่เพราะยังโกรธนาย แต่เป็นคนอื่นต่างหาก”

กฤษณะได้ยินเจ้าหนุ่มมากโฉมกล่าวคำเชื้อเชิญดึงรั้ง ซ้ำสำแดงว่าให้อภัยอยู่ในทีก็ผุดปลื้มดีใจทรุดนั่งชันเข่าพึงพิศดังเดิม

“วิสัยข้าเป็นคนเถรตรงพูดตามแต่ใจตัว คิดสิ่งใดจึ่งกล่าวสิ่งนั้นเสมอ ความสุจริตเป็นหลักธรรมประจำคติตัวเช่นนี้ หากคำหนึ่งในครานั้นจริงจนเสียดแทงระคายหูท่านจงถือเสียว่า บัดนี้กฤษณะนำตัวมาให้ท่านชำระล้างถ้อยคำนั้นเสีย แลท่านประสงค์ให้เชลยผู้นี้ทำสิ่งใดเป็นสิ่งทดแทนรอยแผลเข้าใจผิดจงแจ้งมาเถิด กฤษณะผู้รับใช้จักเร่งหามาให้มิช้าที” เจ้าหนุ่มกฤษณะเปรยประสาซื่อ ดูเชิงภัทรพจน์โอนเอียงยินดีในคำตนก็ลำพองใจเป็นที่สุด ออกปากฝากตัวเป็นอันคุ้นเคยกันแล้ว พิเคราะห์เห็นอยู่ตามลำพังก็คึกคะนองถือวิสาสะฉวยมืออีกฝ่ายมากอบกุมไว้
 
ครั้นพจน์ถูกกฤษณะกระทำกล้ำกรายรุ่มร่ามมิทันระวัง แต่ใจแรกหมายคิดสะบัด ต่อเมื่อฉุกคิดเห็นเป็นกิริยามิสมควร ก็ปล่อยปละชั่วครู่พอมิให้เป็นที่ผิดสังเกต แล้วจึ่งขืนถอย พลางว่า

“เราไม่โกรธนายแล้วล่ะ เรื่องที่ผ่านมาก็ถือให้แล้วกัน แต่มีความสงสัยอย่างหนึ่ง ไม่ทราบว่านายจะช่วยได้หรือเปล่า”

“วานภัทรพจน์ท่านสั่งความเถิด สิ่งใดกฤษณะสรรหามาแทนคุณความอารีของท่านได้ก็จักกระทำให้บัดเดี๋ยวนี้” ยิ้มแย้มผิดต่างจากสีหน้าขรึมเพลาปกติ

“ไม่ถึงกับต้องเสียเวลาหาหรอก เราอยากสอบถามความรู้นายก็เท่านั้น นายรู้จักตำนาน ไพลินนิลสี มาบ้างหรือเปล่า” พจน์ซักยังสิ่งซึ่งค้างคาใจอยู่ กฤษณะตีหน้าขรึมดังเดิม หน้าระรื่นขยิ่มก็พลันลดทอนลงดั่งขัดใจ

“ท่านถามถูกคนแล้ว กฤษณะนับเป็นขุนทหารชาญณรงค์ผู้รับใช้เบื้องบรมโพธิสมภาร นอกจากจะเจนจัดศิลปศาสตร์ด้านอาวุธเป็นเลิศแล้ว สรรพวิชาตำราหลวงก็มิเคยลืมหลง เรื่องราวอันภัทรพจน์ถามจึ่งเหมือนเป็นสิ่งง่ายดายมิยากจะนำมาให้” นายกองหนุ่มปั้นคำทะนงตัวจนพจน์เผลอยกคิ้ว “ก็แหละตำนานมณีนพรัตน์ล้วนถูกจดจารไว้เล่าสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเป็นตำราศึกษาพร่ำเรียน นอกกว่าผู้ไม่รู้ภาษาเท่านั้นจึ่งจักไม่ทราบ กฤษณะเป็นผู้ใฝ่ในการศึกษาเป็นเอก แขนงวิชาใดเหมาะควรประกอบเป็นทักษะแลเสริมส่งฐานะตนได้แล้วจะเพิกเฉยนั้นมิควรก่อน ตำนานบรรพกาลเกริ่นกล่าวว่า

เบื้องทิศามหาบูรพา
มีบรรพตมหิมาสูงใหญ่
บังเกิดผุดชะง่อนซ่อนซุกไพร
เป็นเนินไกลเสียดฟ้านภาลัย

ล้อมรอบด้วยพฤกษาพนาวรรณ
นคราเรืองสุวรรณอันสดใส
แห่งเผ่าพันธุ์กินนรอันเกรียงไกร
ก่อปราสาทเพริศในตระการตา

มหากษัตริย์กินรามหาราช
ท้าวสุธนภูวนาถชาติปักษา
ครองพิภพเฉิดฉันพันธุ์เทวา
ทศทิศราชธรรมาจรดหิมพานต์

สุธนมหาราชปราชญ์กินนร
ทรงฤทธิรอนวิสุทธิสืบสาน
กำเนิดราชบุตรสุดสะคราญ
ด้วยรูปลักษณ์นฤบาลสูงใหญ่

พระพัชรพรรดิกุมารราชบุตร
เลิศวิชากลยุทธ์ดุจจอมผไท
โฉมรูปงามลุ่มหลงเหล่านางใน
กินรินวงศ์จอมใจพร่ำเล่าลือ

ลุทิวาวันหนึ่ง พระพัชรพรรดิจึ่งประสงค์ออกล่าสัตว์ ปฏิบัติวิถีคลายพระอารมณ์ เนื่องตรอมตรมเบื่อหน่าย ออกปากชวนสหายเพื่อนสนิท นามสัปะวามิตเกลอเก่า ดำรงเผ่าราชองครักษ์พิทักษ์กินนร เที่ยวเร่รอนออกป่าพนาสัณฑ์อรัญญิก สรรพสัตว์น้อยใหญ่ดารดาษ แลเห็นปีกผงาดประจำองค์แผ่ขยาย ขยับขึ้นขยับลงร่อนกาย สูดกลิ่นดินทรายพลันชื่นใจ ครั้นโผองค์ลงเทียบเหยียบพื้น ปฐพีผืนเขตเมืองนิลสวรรค์ เสด็จย่างเยื้องยกธนูหมายเล็งพลัน กวางสมันตื่นกันเตลิดไป สัปะวามิตร่ายเวทย์ระงับจิต เพ่งพินิจญาณชาญสมร เหตุชักพาให้เหล่าสัตว์วิ่งตื่นจร เพราะเสียงวอนแว่วมาจากชลาธาร กินนรราชบุตรสุดประหลาด ทะลุปราดลอบตามน้ำเสียงใส ขยับองค์ซุกซ่อนตามหมู่ไพร เห็นชลาศัยมีกินนรลงเล่นอยู่ เขม้นดูเห็นหมู่เหล่าบุรุษนั้น มีด้วยกันห้าตนวนเวียนว่าย ตนหนึ่งพุ่งผุดขึ้นกลางตระพังอย่างว่องไว โผปีกขยับไหวกายเปล่าเปลือย ทั้งดวงหน้าแฉล้มงามพิสุทธิ์ ประดุจจันทร์ผุดผงาดกลางเวหน ดวงตาเล่าดั่งเหมือนดวงสุริยน คิ้วโก่งบนพระพักตร์ปักอุรา ปากนั่นหนาเป็นกระจับซับฉวี ผิวพรรณขาวดุจรพีเริ่มฉายแสง วาจาเสนาะโสตพุ่งทิ่มแทง เสียดศรรักปักตะแคงหว่างกลางใจ
 
พระพัชรพรรดิมิอาจซ่อนองค์ดำรงได้ จึ่งย่างเยื้องเสด็จไปปรากฏเห็น เหล่ากินนรแวดล้อมก็ร้องเป็น สัญญาณให้พระองค์นายสดับรู้ ครั้นรพีกานต์เป็นเจ้าเหลือบแลดู ก็อดสูดิ่งลงซ่อนสรงน้ำ ตวาดซ้ำวาจาน่าพิสมัย ด้วยพระหทัยตื่นตระหนก เจ้าผู้นั้นคือใคร แอบอยู่หลังไพรดูเราอยู่ น่าอับอายอัปยศอดสู ดูหรือมาแอบมองเรา พระพัชรพรรดิต้องเสน่ห์ ดุจเสียงใสลมเพพัดผ่าน ดำรัสตรัสตอบด้วยใจทรมาน วานน้องท่านโปรดแจ้งสกุลนาม รพีกานต์ตรึกตรองนิ่งข่ม พระอารมณ์สงบลงวาบหวาม เพียงพินิจดวงหน้าโจรรูปงาม พระหทัยตะลึงตามระทึกไหว ข้ารับใช้แวดล้อมเห็นพระโฉม พัชรพรรดิเหมาะสมมิกีดกั้น พยักหน้าเป็นสัญญาณหลบเลี่ยงพลัน วูบกระสันหลบออกจากที่นั้น

ครั้นรพีกานต์เห็นบ่าวมาจากหนี ความอายมากมีก่อเกิดเป็นล้นพ้น สัปะวามิตเล็งเห็นพิเคราะห์ตน ทอดตามองเวียนวนดั่งรู้การ ไยฝ่าพระบาทยังครององค์ประสงค์นิ่ง ยังมิดิ่งโผโผนกระโจนหา กินนรน้อยรูปงามยอดดวงตา คอยอยู่ท่ากลางน้ำรับพระองค์ สดับเห็นเป็นจริงดังคำว่า ก็ปลดเปลื้องชุดศาสตราลงริมฝั่ง ย่างเยื้องกายเปล่าเล่าเปลือยอุดมกำยำ ทั้งล่ำสันสะโอดสะองเจริญตา รพีกานต์สบหาก็หลบหลีก หมายเนรมิตปีกจะตีห่าง พัชรพรรดิจึ่งเอื้อมคว้ากระชับวาง สอดแนบชิดเนื้อบางเข้าหากัน เมื่อถูกกอดเช่นนั้นพลันขึ้นสี โฉมรพีพลันขวยเขินสะเทิ้นหา ซ้ำร้องเรียกหมู่พวกเหล่าเพื่อนยา ดิ้นรนสะบัดขาด้วยกำลัง แต่องค์พัชระเรี่ยวแรงกำลังแกร่ง โอบกระชับขับแรงให้เสียดสี แลตรัสว่านามน้องท่านชื่นฤดี จงแจ้งแก่พัชรพรรดิคนดีอย่าพะวง ครั้นถูกองค์กอดรัดเฟ้นเน้นเนิ่นนาน สุดอิดออดเอื้อนเอ่ยเป็นคำหวาน รพีกานต์ นามเราชื่อ ท่านแลหรือคือ พัชรพรรดิ วงศ์เทวา แล้วตอบว่ายอดดวงตาดวงใจอย่าลืมหลง จรดโอษฐ์แนบชิดสนิทองค์ สอดรัดร่วมสรงร่วมรักสมัครใจ
 
ครั้นมณีสีนิลหว่างหน้าผาก รับรู้จากกิริยาร่วมไสว ก็บังเกิดแสงสีฉับพลันทันใด ปลุกพลังก่อดวงใจผนึกงาม เพรียกขานนาม ‘พัชรพีนิลกาฬ’ มาแต่นั้น


ตำนานจรจารไว้ครบถ้วนเช่นนี้มิทราบว่าจักแจงไขข้อข้องใจแก่ภัทรพจน์ท่านมากน้อยเพียงไร  วอนเอ่ยสักคำหนึ่งเถิด” กฤษณะเล่าจบพร้อมซักต่อ

พจน์ลำดับเรื่องราวเป็นภาพในใจก่อเกิดตื้นตันแน่นในอก ไม่อาจกล่าวคำตอบถ้อยความคำถามนั้นได้ เพราะที่มาของ พัชรพีนิลกาฬ กำเนิดขึ้นมิต่างจาก อนันตวัชรมรกต เริ่มจากรักพลัดพรากด้วยความตาย

“เพลาอันควรพักเอาเรี่ยวแรงเสริมกำลังตัว มาหลงเมามัวในน้ำคำตำนานบุราณกาลโพ้น ทั้งทอดกายสนทนากันมิต่างคู่รักซักพลอดฉะนี้ จักให้ข้าข่มตาหลับพักสงบนั้นคงทำมิได้ ตัวมีอาการประหลาดก่อเป็นเหตุสร้างภาระแล้วแทนที่จักรักษาตนคืนกำลังให้ได้โดยเร็ว กลับประพฤติมิต่างกับคนไร้สติปัญญา สมควรเราจักทิ้งไว้ที่นี้มิให้เป็นภาระถ่วงการเดินทางต่อไปเบื้องหน้า” คำปรามาสปราศหัวใจตวาดหลุดจากพระโอษฐ์ของสุริยะมหาอุปราช พร้อมสีพระพักตร์เหยียดหยาม

พจน์หยัดกายยืนท้าทายพร้อมคำโต้กลับ

“นายเป็นคนแบบไหนกันแน่ คนสองบุคลิก หรือคนปากอย่างใจอย่าง ลับหลังทำอย่างหนึ่ง ต่อหน้าใครอื่นทำอีกอย่างหนึ่ง คนแบบนี้เราก็ไม่อยากจะเห็นหน้าต่อไปอีกเหมือนกัน”

เจ้าหนุ่มมากโฉมถูกคำพูดผูกพยาบาทหมิ่นเฉือนจิตใจมิอาจทนอยู่ได้ ตัดพ้อเสร็จก็หุนหันเดินหนี แม้นคำเรียกหาของกฤษณะก็มิอาจดึงรั้งไว้ จ้ำพรวดขึ้นฝั่งเห็นม้าผูกอยู่ใกล้ต้นไทร ความอัดอั้นตันใจนับแต่ได้ยินตำนาน พัชรพีนิลกาฬ ก็ทะลักล้นท่วมอก

“น้องท่าน... มาตะ ขอโท...”

เงาคนผู้เฝ้าเหล่าอาชาขยับเข้าหาพจน์ เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลจับจ้องใบหน้าอย่างเดียวกับพระเจ้าอนันตราชและพระเจ้าพัชรพรรดิ ส่ายศีรษะแล้วทรุดกายลงกอดขาแน่น ซุกใบหน้างามซบลงกับเข่า พยายามเค้นปลดปล่อยความเสียใจทั้งมวล แต่น้ำตาดุจมิหลงเหลืออยู่ในกายพจน์อีกแล้ว แห้งเหือด ว่างเปล่า

เช่นเดียวกับชะตาชีวิตของตนกับมาตะในภายภาคหน้า จุดจบคงไม่พ้นความโศกเศร้าพลัดพราก มาตะทำได้แต่ยืนมองยอดรักตัว มิกล้าแม้แต่จักทอดกายลูบโลมปลอบสัมผัส หัวใจเบื้องอกซ้ายบีบรัดเจ็บปวดรวดร้าวมิต่างกัน


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป

______________________________

ตระพัง : แอ่ง, บ่อ
รพี : ดวงอาทิตย์

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

สงสารพจน์ ภพเริ่มยอมโดนพิษลีลาวดี เพียงเพราะพ่อคนซื่อตัดพ้อ ภพถัดมา เสียน้ำตา(สายโลหิต)เพราะ พ่อคนซื่อ จะไปรบ ได้ยินเสียงร้อง ตายไหมไม่ทราบได้ พจน์สิ้นใจก่อน  :katai1:
เซ็งสุดตอนโดนจูบ แต่ดันยื้อคนจูบ  :angry2:
เป็นชีวิตที่น่าสงสารจริงๆ คิดดูถ้าเป็นเราแล้วเกิดระลึกชาติขึ้นมาได้ว่าเหตุการ์ที่ล่วงผ่านไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะเป็นยังไง บางทีเหตุผลที่ชีวิตเราเกิดมาทุกวันนี้ไม่สามารถจดจำเรื่องราวชาติที่แล้วได้ ผมว่าดีแล้วล่ะครับ ไม่งั้นคงปวดใจแบบพจน์แน่ ครับ ถ้าหายเซ็งแล้วก็มาติดตามเรื่องราวต่อกันต่อเลย

ผมลืม  ภพนั้นพจน์ตายเพราะมาตะ  จากเมียหลวง  รอต่อไปคราบ  ว่าปมนี้จะคล้ายแบบไหน  ลุ้นละทึก  คึคึ
ครับ บางทีก็เป็นความผิดของผู้เขียนเองที่เลือกจะแต่งนิยายด้วยถ้อยคำภาษาที่ยากลำบากแก่การอ่านและการตีความ และยังเป็นนิยายที่มีเนื้อหาขนาดยาวอีก จึงเป็นเหตุให้ผู้อ่านหลงลืมเรื่องราวเมื่อล่วงผ่านมาแล้วได้ง่ายๆ ไม่ผิดที่คุณลืม แต่อย่าลืมติดตามอ่านจนจบละกันครับ ไม่งั้นมีความผิดแน่ อิอิ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-12-2016 10:14:46 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ pnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กว่าจะรักกันได้ สู้ๆนะ มาตะ-พจน์  :mew4:

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
กว่าจะจบแต่ละเรื่องช่างปวดใจนัก :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
ตามอ่านอยู่แล้วคราบ  นิยายในดวงใจขนาดนี้  หานิยายดีๆแบบนี้ยากแล้วทุกวันนี้  ดูสิพจน์จะทำยังไงต่อไป  จะห้ามหัวใจตัวเองให้มาแข็งแกร่งได้รึเปล่า  ยิ่งอ่านมันยิ่งลุ้นระทึกอ่ะ

ออฟไลน์ pui_noizๆ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขอบน้ำใจพี่ท่านเหลือประมาณ น้องมิได้เข้าพบพานเพจนี้เสียหลายเพลา บทประพันธ์ของพี่ท่านยังทรงคุณค่าดุจเดิมมิเปลี่ยนแปลงตามเวลากาลแลยิ่งทวีคูณด้วยถ้อยคำอักขราประเสริฐล้ำ อันมธุรสวาจาโต้ตอบกับมวลมิตรของพี่นั้น ช่างโสตเสนาะเพราะหูเสียนี่กระไร น้องพึงได้เห็นน้ำใสใจจริงของพี่ท่านแล้วในครานี้...

..น้องมีการอันขุ่นข้องหมองใจใคร่แถลง ด้วยภัทรพจน์ร้องไห้ฟูมฟายจนเกินการจวบจนน้ำตาธารเป็นโลหิตนั้น น้องมิเห็นสม ด้วยตนมิใช่อิตถีเพศนั่นก็หนึ่ง ไฉนฤาจึ่งทำตนอ่อนแอได้เพียงนี้ ย่อมประจักษ์แจ้งแก่ใจดีว่าสวามีนั้นมิใช่ผู้ที่ไปเกี้ยวพาราสีผู้นั้นก่อนแลการจุมพิตที่บังเกิดก็หาได้เริ่มด้วยคู่ครองของตนไม่ เหตุเป็นดังไม่คาดฝันพัลวันเยี่ยงนี้มิควรมีซึ่งผลดั่งน้องนี้ได้แจ้งไป อีกทั้งตนยังเป็นคนในเบื้องปัจจุบันที่ข้ามภพย้อนกาลกัลป์กลับไปได้ ใยมิมีความแข็งแกร่งทานทนต่อเล่ห์กลอันเกิดขึ้นแลพบเห็นได้ทั่วไปในปัจจุสมัย เป็นดั่งนี้แล้วไซร้ น้องจึ่งใคร่สงสัยในตัวพจน์...

 แต่น้องก็ประจักษ์แจ้งแก่ใจว่าพี่ท่านนั้นไซร้ จักน้อมนำพาทุกคนไปสู่อดีตสมัยอันพระเจ้าระพีกานต์...

หากน้องนี้ได้ล่วงเกินสิ่งใดไป ขอพี่ท่านให้อภัยน้องด้วยเทอญ..

 


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด