[แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

สำรวจความต้องการให้มีการพิมพ์รวมเล่มนิยาย >>>>ข้ามพิภพ<<<< หรือไม่

ต้องการ
27 (67.5%)
ไม่ต้องการ
0 (0%)
ไม่แน่ใจ
13 (32.5%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 40

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]  (อ่าน 284699 ครั้ง)

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๒๙


พิรุณวิปโยค


   
รอยแผลบาดลึกฝังคมกรีดลงหัวใจพจน์มากขึ้นทุกขณะ ดุจความเจ็บปวดนั้นทวีริ้วรอยมิรู้จบสิ้น หลังปลดปล่อยความอัดอั้นจนสิ้นค้างคา หักใจนำความกล้าขึ้นลบล้าง ทุกข์ทรมานใดรอคอยอยู่เบื้องหน้าไม่อาจรู้ แต่ตอนนี้ตนเจ็บสมใจผู้กำหนดโชคชะตาเป็นที่ปรากฏแล้ว

“พจน์...ไข้ลดลงแล้ว ดื่มน้ำอีกหน่อยนะ” ภพดนัยจรดแก้วน้ำลงริมฝีปาก แล้วโผกอดบุตรชายแน่น บัดนี้เด็กหนุ่มกลับสู่โลกปัจจุบันอีกหน พยักหน้าอือออตอบรับ

“ผมสบายดีแล้วครับ คุณพ่อ” ภพดนัยใช้หลังมือวัดอุณหภูมิหน้าผากด้วยพะวง เสียงสายฝนยังคงกระหน่ำมิหยุดหย่อน ใบหน้าสวยหล่ออย่างเดียวกับพจน์ ขยับระโหยอ่อนแรงพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“พ่อนึกว่าเราจะเป็นไข้หนักจนเกือบต้องเรียกรถพยาบาลมารับตัวอยู่แล้ว” วางผ้าเช็ดตัวลงข้างอ่างน้ำพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก “อยู่ๆก็มีอาการแบบนี้ พ่อใจคอไม่ดีเลย”

“ผมโอเคแล้วครับ แล้วคุณพ่อไปไหนมาหรือครับ” ปลายขากางเกงทั้งสองเปรอะเปื้อนโคลนจนผิดสังเกต
 
“เปล่าน่ะ นอนลงก่อนเถอะพจน์”

ภพดนัยเหม่อมองแม่น้ำเจ้าพระยานอกหน้าต่าง ตอนนี้เลยเวลาเที่ยงคืนมาหลายนาทีแล้ว
 
“ฝนตกหนักติดต่อกันแบบนี้ มีหวังน้ำคงท่วมตามมาแน่” ภพดนัยเปลี่ยนเรื่องตั้งข้อสังเกต ยิ้มอ่อนแรงให้บุตรชายพร้อมเกลี่ยผมปรกหน้าออก “มาเที่ยวต่างจังหวัดทั้งทีกลับเจอสภาพอากาศแบบนี้ แย่จังเลยนะ”

พจน์เผยอเปลือกตาพินิจมองหยาดฝนกระหน่ำพรมสู่ผืนดินพร้อมเสียงร้องคำรนและแสงแปลบปลาบแล้วพยักหน้าเห็นด้วย ราวกับสายฝนเป็นตัวแทนโศกาลัยในโชคชะตาอันเลวร้ายของชาติภพล่วงผ่าน ด้วยเงาอดีตชาติทั้งสองต่างพบจุดจบรันทดใจ เกินกว่าจะกล่าวปรับทุกข์ให้ใครช่วยแบ่งเบา ก่อนความหนักอึ้งในหัวจะกดทับให้สติหลับใหลสู่นิทราอีกครั้ง

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาเตือนพายุมรสุมบริเวณทุกภูมิภาคของประเทศไทย ฉบับที่ ๓ พายุลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ปกคลุมประเทศไทยมีแนวโน้มตกหนักขึ้น โดยมีลักษณะของฝนฟ้าคะนองและลมกรรโชกแรง อาจมีลูกเห็บตกในบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนทุกภูมิภาคระวังอันตรายจากลมพายุที่จะเกิดขึ้น รวมถึงอยู่ห่างจากต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณา และสิ่งที่ก่อสร้างที่ไม่แข็งแรง และคอยเฝ้าระวังเหตุอุทกภัยซึ่งตอนนี้เกิดขึ้นบริเวณจังหวัดภาคใต้ และภาคกลางตอนล่างแล้ว”

เสียงประกาศดังมาจากหน้าจอโทรทัศน์ภายในห้องไม้เรือนทรงไทย ภพดนัยยืนกอดอกพิจารณารายงานข่าวด้วยสีหน้าเครียด และทันทีเมื่อเห็นดวงตาน้ำตาลเข้มปรากฏขึ้น เขาก็ขยับเข้าหาบุตรชายโดยเร็ว

“กี่โมงแล้วครับ”

“เจ็ดโมง พจน์ตอนต่อเถอะ เดี๋ยวพ่อยกอาหารเช้ามาให้”

เด็กหนุ่มส่ายศีรษะ รู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างกับไม่เคยนอนเต็มอิ่มเท่านี้มาก่อน อาการปวดหัวและปวดใจหายขาดราวกับปลิดทิ้ง ยังคงเหลืออยู่เพียงภาพอดีตชาติแจ่มชัดและไม่มีวันลบเลือน

“พายุเข้าน่ะ ได้ข่าวว่าทุกประเทศในแถบเอเชียตะวันออกและอาเซียนโดนพายุถล่มกันหมด ตัวหายร้อนแล้ว อาบน้ำอุ่นนะพจน์ เสร็จแล้วตามไปที่ห้องอาหาร พ่อคงต้องปรับเปลี่ยนโปรแกรมเที่ยวสำหรับวันนี้สักหน่อย” ภพดนัยกำชับแล้วผละจาก

“ไอ้พจน์ มึงมันนิสัยไม่ดีทิ้งกูให้นอนกับไอ้ยักษ์พวกนั้นได้ยังไง” น้องน้ำโวยวายผลักประตูเข้ามาคล้อยหลังภพดนัย ทำหน้านิ่วโกรธผสมงอนจนน่าหมั่นไส้
 
“ไอ้ภามกับไอ้พีทมันทำ...อะไรมึงงั้นเหรอ” พจน์แกล้งทำหน้าตกใจ

“เฮ้ย เปล่า มึงห้ามคิดลามกนะ ก็แค่พวกมัน...” น้องน้ำหน้าขึ้นสีทันที พจน์เห็นอาการขวยเขินแบบนั้นก็นึกสนุกรีบเกาะไหล่เซ้าซี้เอาความให้ได้

“มันทำอะไรวะ” ทำตาโตเท่าอีกฝ่ายแล้วแหย่อย่างสนอกสนใจ

“ก็พวกมัน...ถอดเสื้อ อวดหุ่น ไหนจะนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินร่อนไปทั่วห้องเลย” น้องน้ำหลับตาตัวสั่นลูบแขนขนหัวลุก “ไม่พอยังนอนแบบไม่ใส่บ็อกเซอร์ด้วย แล้วมึงคิดดูว่ากูจะนอนหลับไหม มึงมันขี้โกง นอนหลับเต็มอิ่มเลยสิท่า”

ไอ้น้ำชี้หน้า ดวงตาสะลึมสะลือหาวแล้วหาวอีก สงสัยจะไม่ได้นอนอย่างที่มันว่าจริงๆ พจน์จึงโอบตัวลูบหลังกล่อมปลอบปลุกด้วยวาจา

“เอาน่า มึงจะกลัวอะไรพวกมันวะ ลูกผู้ชายเหมือนกัน คราวหน้าก็ถอดเสื้อโชว์กล้ามซิกแพคใส่พวกมันเลย มีหวังไอ้สองคนนั่นไม่กล้าถอดเทียบกับมึงอีกแน่ๆ” กอดหน้ากอดหลังเจ้าตัวเล็กกว่า

น้องน้ำนิ่งฟังพยักหน้างึกๆเหมือนโอนอ่อนเห็นด้วยกับคำยุ พจน์กลั้นขำแทบแย่แต่ต้องทำหน้าตึงให้น่าเชื่อถือไว้

“เอาแบบนั้นหรือวะ แต่คงไม่ต้องละมั้ง เย็นนี้เราก็กลับแล้วนี่ ไม่ได้ค้างต่ออีกคืนนี่หว่า” น้องน้ำหลวมตัวหลงกลเข้าตามแผนแกล้งของพจน์โดยไม่ระแวงแคลงใจ

“มึงไม่เห็นข่าวอ๋อ น้ำท่วมกรุงเทพฯแล้ว โรงเรียนทุกโรงฯประกาศหยุดโดยไม่มีกำหนด กูว่าเราคงต้องอยู่ที่นี่อีกสักคืนสองคืนว่ะ”

“เฮ้ยจริงดิ กูไม่รู้ว่าฝนจะตกหนักขนาดนี้ งั้นขอโทรหาแม่แปบ เออ...” น้องน้ำรีบหันมาเหมือนมีเรื่องค้างคาในใจ “มึงกับไอ้กันยกเลิกคำท้าถอดความโคลงฯกันแล้วเหรอวะ นี่ก็เลย ๗ วันมาแล้วด้วย กูเป็นห่วง เอ่อ ไอ้พวกนั้นมันฝากถามมาว่ะ” น้ำรีบเสริมเมื่อเห็นพจน์เงียบผิดปกติ

“อืม...ยกเลิกละ” พจน์ตอบเพียงแค่นั้นไม่ได้ขยายความใดๆ ชลนธีก็วิ่งดุกดิกจากไปทันที
 
‘เจ้าหมอนั่นได้กลับมานอนพักที่รีสอร์ทตามคำขอร้องของพจน์หรือเปล่า’

รายงานข่าวเพิ่งสรุปสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครผ่านพ้นเมื่อสักครู่ พร้อมประกาศปิดสถานศึกษาทุกแห่งอย่างไม่มีกำหนด ภาพท้องถนนมีแต่น้ำท่วมเจิ่งนองราวกับทะเลสาบปรากฏให้เห็นทุกพื้นที่ โดยเฉพาะเมื่อถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ รถราติดขัดเต็มท้องถนนซ้ำซ้อนอีก นอกจากฝนตกหนักแล้วนักข่าวยังบอกอีกว่าน้ำทะเลหนุนสูงผิดปกติในรอบหลายสิบปี จึงทำให้การระบายไม่ทันท่วงทีและท้องที่กรุงเทพมหานครจึงพบจุดจบเช่นนี้ ข้อความกลุ่มสนทนาชมรมฟุตบอลในโทรศัพท์มือถือแจ้งเตือนจากโค้ชว่า ยกเลิกกำหนดการแข่งขันในวันจันทร์หน้าออกไปอย่างไม่มีกำหนด

พจน์เฝ้าติดตามข่าวสารเมื่อพบแต่เรื่องเดิมก็ตัดสินใจกลับไปยังห้องตัวเองเพื่อชำระล้างร่างกายและแต่งตัวเพื่อหาอะไรรองท้อง เพราะเสียงร้องครวญแสบทรวงจนต้องหาของอร่อยมาระงับ ระหว่างเดินผ่านระเบียงลัดเลาะสู่ห้องตัว พจน์ได้ยินคำสนทนาแว่วจากห้องพักด้านขวา สังเกตสุ้มเสียงทุ้มกว้างไม่ผิดแน่เป็นศาสตราจารย์วิชัย กำลังเจรจาความกับชาญณรงค์อยู่ แม้เสียงฝนตกกระทบหลังคาและพื้นกระดานดังเปาะแปะ แต่ถ้อยสนทนาจะไม่น่าสนใจเลยหากไม่มีคำหนึ่งผุดขึ้นออกชื่อตัวจนหูผึ่ง

“ผมคิดว่า พจน์ เป็นกุญแจสำคัญ สำหรับไขปัญหานี้ให้กระจ่าง โดยเฉพาะหลักฐานสำคัญซึ่งอาจารย์ตามหาอยู่” จำได้ว่าเป็นคำพูดของชาญณรงค์

“ตาพจน์ เกี่ยวอะไรด้วย” คุณปู่ตั้งข้อสังเกต

“พจน์เป็นเด็กน่าสนใจ ทั้งฉลาดมีไหวพริบกว่าเด็กปกติ รวมทั้งมีรูปลักษณ์น่าเอ็นดู ใครเห็นก็มักชอบพอเป็นที่รักใคร่ ผมว่าถึงเวลาแล้วที่อาจารย์จะต้องพาพจน์ไปหาคนคนนั้น

คุณปู่ไม่ได้โต้ตอบ ความเงียบอ้อยอิ่งอยู่ชั่วขณะ

“ผมคิดว่าหลักฐานนี้จะต้องเป็นเอกสารหนังสือตำราอย่างหนึ่งอย่างใด ทั้งปรากฏการณ์ชั้นหินตะกอน หรือแม้แต่เรื่อง...ขอโทษนะครับ เรื่องราวหลังจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ล้วนไม่อาจชักนำให้ผู้คนเชื่อถือได้ ผมมั่นใจว่าหลักฐานชิ้นสำคัญจะต้องมี และเราต้องให้บรรณารักษ์คนนั้นช่วยครับ”

“ทิ้งเรื่องนี้ไว้ก่อนเถิด ปริศนาสถานที่นัดพบยังอับจนอยู่ พ่อณรงค์มีความเห็นอย่างไร”

“ตามที่อาจารย์กล่าว ว่าหนแรกเผอิญเจอ ณ วัดศรีสวาย อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ประมวลจากข้อมูลสอดคล้องและเชื่อมโยงกันแล้ว ตามข้อพิจารณาของผม สถานที่นัดพบในวันแรมหกค่ำคงไม่ใช่ที่ใดอื่นนอกจากวัดไชยวัฒนารามเท่านั้น”

“ทำไมพ่อถึงมั่นใจขนาดนั้น ศาสนสถานหลายแห่งในอยุธยาและมีความสำคัญกว่าวัดไชยวัฒนารามมีมากมายไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน”

“วัดศรีสวายแต่เดิมเป็นเทวสถานในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีลักษณะเป็นปรางค์สามยอดแบบขอม ปรากฏพบเทวรูปและศิวลึงค์ทำด้วยสำริด จึงสันนิษฐานว่า วัดศรีสวายนี้คงเป็นสถานที่พวกพราหมณ์ใช้ทำพิธีโล้ชิงช้าหรือตรียัมปวาย เช่นนั้นสถานนัดพบแห่งที่สองบนพื้นพิภพคงไม่พ้นราชธานีลำดับสองต่อจากอาณาจักรสุโขทัย และมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัดศรีสวายคือประกอบด้วยสถาปัตยกรรมแบบอย่างขอม และมีกลิ่นอายของศาสนาพราหมณ์ปะปนอยู่”

“วัดไชยวัฒนารามถูกสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือนครละแวกโดยจำลองแบบมาจากนครวัด โดยปรางค์ประธานนั้นสื่อถึงคติความเชื่อว่าเป็นดั่งยอดเขาพระสุเมรุ ไม่ผิดแน่พ่อณรงค์” คุณปู่ร้องอย่างลืมตัว

“วันแรมหกค่ำเดือนสิบสองคงไม่พ้นสถานที่นี้แน่ครับ อาจารย์” ชาญณรงค์ยืนยัน

“มายืนลับๆล่อๆอะไรตรงนี้วะ ไอ้พจน์” นิธิกอดอกพิงเสามองภัทรพจน์ด้วยหางตา เด็กหนุ่มหน้าสวยบุ้ยใบ้ให้ปิดปากแล้วลากจูงคนตัวสูงบางให้ห่างจากหน้าห้องพักของศาสตราจารย์วิชัย

พจน์ผลักประตูเข้าสู่ห้อง ไม่มีใครอยู่ในนั้น ปล่อยมือจากกันแล้วหายใจหอบ ล้มตัวนอนบนเตียงอ่อนนุ่ม นิธิยังคงแต่งชุดเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนส์รัดรูปขาดเข่าตัวเดิม มันส่งสายตาเยือกเย็นเป็นเชิงคำถามมาให้

“มึงกลับมาตอนไหนวะ” เลียบเคียงถาม

“เมื่อเช้า” ตอบห้วนๆ

“อ้าว แล้วเมื่อคืนไปอยู่ไหน ไม่เห็นโทรศัพท์หรือส่งข้อความมาหากูสักนิด” พจน์เอนลุกคว้าโทรศัพท์มือถือเช็ครายละเอียด นึกเป็นห่วงเจ้านี่อย่างประหลาด มันจับจองมองพจน์ไม่วางตา ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงราวกับชั่งใจ
 
“กู...”

“มึงทำธุระเสร็จแล้วงั้นสิ” จ้องกลับหน้านิ่ง อยากรู้เหตุผลที่มันหายตัวทั้งคืนแต่ไม่อยากรบเร้าคาดคั้น

“มึงไม่โกรธกูแล้วใช่ไหม” คิ้วขมวดแน่น ดวงตาเหยี่ยวสาละวนรอคำตอบ

พจน์หลบตาร้อนแรงนั้นเสมองสายฝนพรำด้านนอก ท้องฟ้ามืดครึ้มประดุจยามวิกาล

“กูตั้งใจไว้ว่าจะไม่พูดกับมึงอีก จะไม่ยอมมองหน้า หรือทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้มึงคิดว่ากูยังหวังในตัวมึง แต่เพียงแค่เห็นแววตา...” เลี่ยงดูมือตัวเอง แล้วเสริมว่า “ไม่รู้ว่ะ มันเหมือนมึงโดดเดี่ยว ไร้เพื่อน ไร้ญาติขาดมิตร หรือกระทั่งไร้พ่อแม่ กูเห็นภาพนั้นชัดเจนจนทนไม่ได้ที่จะเห็นแววตานั้นซ้ำสอง ครอบครัวมึงอยู่ที่ไหนวะ ต้องมีใครสักคนดิที่คอยอยู่เคียงข้าง คอยเป็นที่ปรึกษา คอยดูแลเวลาที่มึงไม่โอเค ถึงมึงจะไม่ใช่คนปกติธรรมดาก็ตาม”

นิธิจดจ่อแต่ภัทรพจน์พร้อมความอาทร

“วินาทีที่มึงผลักไส ไม่อยากเห็นหน้ากูอีก มึงรู้ไหม กูรู้สึกยังไง”

พจน์ผินหน้ามองท่วงทีโศกซึ่งเคยทำลายกำแพงความตั้งใจพังพินาศราบคาบ

“กูแทบตายทั้งเป็นเลยเว้ย กู...กูเหมือนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง มันรู้สึกราวกับหัวใจแตกหักหยุดเต้น” พจน์ฮึดถอนสายตาออก ด้วยไม่อาจทนฝืนได้นาน “ชีวิตกูมันสารเลวเหลวแหลก สมควรแล้วที่จะได้ลิ้มรสสำนึกผิดระคนตรอมตรมให้สาสม แต่ไม่เคยคิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ไม่ ไม่เคยคิดจนกระทั่งได้มาพบมึง”

“เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม” พจน์ถามคำถามเดิมอีกครั้ง

ไอ้กันส่ายหน้าเช่นเดียวกับวันแรกที่พบเจอ
 
“ทำไมวะ ทำไมรู้สึกว่ามึงกับกูเคยเจอกัน ในเมื่อมึงแต่งโคลงพยากรณ์ถึงตัวกูแบบนั้น  จะไม่ให้คิดได้ยังไงว่า เมื่ออดีตชาติทหารราชองครักษ์ของพระเจ้าอนันตราช ชื่อ กาวี จะไม่เคยพูดคุยกับพระเจ้าวัชรโกมลแม้สักคำหนึ่ง”

“ไม่ ไม่เคยคุย ไม่เคยเจอ ไม่เคยอยู่ในสายตามึง แต่ความรักอันบริสุทธิ์ของกูที่มีต่อมึงคือความจริงแน่แท้” กันปฏิเสธยืดยาว หางเสียงมีแววหน่วงโศกาดูรมากขึ้นทวีคูณ

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาคุย มาเจอ มาอยู่ในสายตา ยอมมาปกป้องกูแบบนี้ ในเมื่อมึงเองก็ไม่ได้เต็มใจอยากจะทำตั้งแต่แรกแล้ว หรือคำว่า รัก ของมึงก็ไม่ต่างจากคนอื่น ปากบอกว่ารัก แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม ไปเถอะ ไม่ต้องลงมือลงแรงปกป้อง หากกูจะต้องตายด้วยน้ำมือของจอมปีศาจในชาติภพนี้ซ้ำอีกหน ก็ปล่อยให้มันเป็นไป”

“ไอ้พจน์ มึงฟังนะ กูรักมึงยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง ยอมสละได้ทั้งเกียรติยศและศักดิ์ศรี ในชาติภพนี้กูคงไม่มีวันพลาดท่าให้เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นซ้ำอีก”

“มึงห้ามไม่ได้หรอก ทั้งภพชาติคนธรรพ์ หรือกินนร กูล้วนเคยตายมาแล้ว” กันบดกรามเป็นสันนูน  “ตอนนี้จอมปีศาจกำลังวางแผนเล่ห์กระเท่อย่างไร หรือคิดปองล้างรอโอกาสอยู่ที่ไหน อาจภายในวันนี้หรือวันพรุ่งวันรืน มันคงสังหารกูได้ง่ายดายเหมือนเช่นทุกชาติภพที่ผ่านมา”

“อย่า...ได้พูดคำนั้น” กันขบฟันแน่น ดวงตาแข็งกร้าวมุมานะ พจน์ขยับลุกยืนเมื่อได้ระบายความในใจกับใครสักคนก็พลันอกโล่งผ่องแผ้วจนปรากฏรอยยิ้มพราว ก้าวเท้าประชิดตัวนิธิ เอื้อมมือแตะบนอกหนากระเพื่อมถี่กระชั้น
 
“ขอบใจสำหรับทุกสิ่งซึ่งกล่าวไว้เป็นสัจจะคำมั่น หากต้องมาฝืนทนเจ็บปวดเพราะกูไม่อาจรักมึงตอบได้ ก็จงไปเสียเถอะ กูไม่มีหัวใจไว้รักใครอีกแล้ว”

เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลวิงวอนใบหน้าเรียวแหลม พลันเห็นหยดน้ำหนึ่งหลั่งจากดวงตาคมดุไม่สมควร มันเป็นทั้งผู้มีคุณเคยช่วยชีวิตอาพล ทั้งคอยปกป้องครอบครัวพจน์ และพจน์ไม่อยากทำให้กันต้องเสียใจอีก ไม่อยากเห็นน้ำตาลูกผู้ชายต้องรินไหลเพราะตนเป็นต้นเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่าอุปมาสายฝนร่ำไห้ ก็เขย่งปลายเท้าจูบซับหยดน้ำใสเหนือแก้มตอบให้แห้งเหือด


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
______________________________

พิรุณ : ฝน

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

กว่าจะรักกันได้ สู้ๆนะ มาตะ-พจน์  :mew4:
รักแท้ย่อมมีอุปสรรคขวากหนามเป็นธรรมดาครับ คอยเป็นกำลังใจให้พจน์กับมาตะด้วยนะครับ รวมถึงคนแต่งด้วย อิอิ

:เฮ้อ:
ถึงกับถอนใจเฮือกเลยหรอครับ เอาน่า เดี๋ยวทุกอย่างก็คลี่คลายครับ

กว่าจะจบแต่ละเรื่องช่างปวดใจนัก :katai1: :katai1:
ครับ ถ้าหายปวดใจแล้วก็มาต่อเรื่องปวดใจอันใหม่กันต่อเลย อิอิ

ตามอ่านอยู่แล้วคราบ  นิยายในดวงใจขนาดนี้  หานิยายดีๆแบบนี้ยากแล้วทุกวันนี้  ดูสิพจน์จะทำยังไงต่อไป  จะห้ามหัวใจตัวเองให้มาแข็งแกร่งได้รึเปล่า  ยิ่งอ่านมันยิ่งลุ้นระทึกอ่ะ
ดีมากครับ อิอิ ดีใจที่นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายในดวงใจของคุณครับ พจน์จะกลับมาเข้มแข็งได้ไหมหลังจากเจอเหตุการณ์มากมายผ่านเข้ามาในชีวิตทั้งเรื่องความรัก ทั้งเรื่องอดีตชาติ ภาวนาให้เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีคนนี้กล้าหาญ สู้ๆ นะพจน์

ขอบน้ำใจพี่ท่านเหลือประมาณ น้องมิได้เข้าพบพานเพจนี้เสียหลายเพลา บทประพันธ์ของพี่ท่านยังทรงคุณค่าดุจเดิมมิเปลี่ยนแปลงตามเวลากาลแลยิ่งทวีคูณด้วยถ้อยคำอักขราประเสริฐล้ำ อันมธุรสวาจาโต้ตอบกับมวลมิตรของพี่นั้น ช่างโสตเสนาะเพราะหูเสียนี่กระไร น้องพึงได้เห็นน้ำใสใจจริงของพี่ท่านแล้วในครานี้...

..น้องมีการอันขุ่นข้องหมองใจใคร่แถลง ด้วยภัทรพจน์ร้องไห้ฟูมฟายจนเกินการจวบจนน้ำตาธารเป็นโลหิตนั้น น้องมิเห็นสม ด้วยตนมิใช่อิตถีเพศนั่นก็หนึ่ง ไฉนฤาจึ่งทำตนอ่อนแอได้เพียงนี้ ย่อมประจักษ์แจ้งแก่ใจดีว่าสวามีนั้นมิใช่ผู้ที่ไปเกี้ยวพาราสีผู้นั้นก่อนแลการจุมพิตที่บังเกิดก็หาได้เริ่มด้วยคู่ครองของตนไม่ เหตุเป็นดังไม่คาดฝันพัลวันเยี่ยงนี้มิควรมีซึ่งผลดั่งน้องนี้ได้แจ้งไป อีกทั้งตนยังเป็นคนในเบื้องปัจจุบันที่ข้ามภพย้อนกาลกัลป์กลับไปได้ ใยมิมีความแข็งแกร่งทานทนต่อเล่ห์กลอันเกิดขึ้นแลพบเห็นได้ทั่วไปในปัจจุสมัย เป็นดั่งนี้แล้วไซร้ น้องจึ่งใคร่สงสัยในตัวพจน์...

 แต่น้องก็ประจักษ์แจ้งแก่ใจว่าพี่ท่านนั้นไซร้ จักน้อมนำพาทุกคนไปสู่อดีตสมัยอันพระเจ้าระพีกานต์...

หากน้องนี้ได้ล่วงเกินสิ่งใดไป ขอพี่ท่านให้อภัยน้องด้วยเทอญ..
เป็นคอมเม้นต์ที่ยาวถูกใจผู้เขียนจริงๆครับ ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า ความเห็นของผู้อ่านไม่ได้เป็นสิ่งล่วงเกินต่อผู้เขียนแต่อย่างใดเลย หนำซ้ำยังจะเป็นเหมือนกระจกหลายๆบานคอยสะท้อนข้อคิดเห็น ข้อผิดพลาดต่างๆกลับมาเป็นกำลังใจ หรือการปรับปรุงให้งานเขียนพัฒนายิ่งๆขึ้นอีกต่างหาก ผมเสียอีกต้องขอบคุณ /\ คุณด้วยซ้ำ เอาล่ะ เรามาเริ่มประเด็นเรื่องน้ำตาสายโลหิตที่คุณได้ท้วงติงมาดีกว่า โดยผมจะขอแจกแจงเป็นสามประการด้วยกัน
๑. ทำไมพจน์ถึงฟูมฟายร้องไห้ ดูอ่อนแอราวกับสตรีเพศก็ไม่ปาน
ในประเด็นนี้ผมอาจจะคิดพิเคราะห์ลงลึกไม่มากพอ จนกลายเป็นข้อขัดใจสำหรับคนอ่านหลายๆท่าน คือต้องอย่าลืมว่า พจน์เป็นผู้ชาย คุณสมบัติของเพศชายควรจะเข็มแข็งอดทนมากกว่าสตรีเพศเป็นสิ่งถูกต้อง การร้องไห้ฟูมฟายดูอ่อนแอแบบนี้จึ่งสมควรจำกัดไว้ในเพศหญิงจะเหมาะสมกว่า ในข้อนี้ผมก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง และน้อมรับไว้เป็นข้อปฏิบัติสืบไป อย่างที่เกริ่นมาแต่ต้นว่า ผมอาจจะคิดตื้นลึกไม่มากพอ คือ พิจารณาแต่เฉพาะหัวอกตัวละครในขณะนั้นเข้าเทียบกับความรู้สึกตนเป็นพื้นฐาน หากคนที่เรารักและผูกพันกันมาแต่ชาติภพก่อน ทั้งอัศจรรย์ถึงขั้นเชื่อมนำพามาพบกันแม้จะอยู่ต่างภพกันนี้ จะรู้สึกประการใดหากถูกใครก็ไม่รู้ประทับรอยจูบซ้ำรอยของตน และมาตะยังเป็นคนรักคนแรกที่พจน์ฝากกายฝากใจไว้ด้วย ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงแปลกมิใช่น้อย แต่จะถึงขั้นต้องร้องไห้ฟูมฟายหรือเปล่านั้น ก็คงกลับไปแก้ไขไม่ได้ ผมจึงขออภัยมา ณ ที่นี้
๒. ทำไมแค่การเห็นมาตะถูกจูบโดยบุหลันถึงขั้นต้องร้องไห้กลั่นเป็นสายโลหิต ด้วยฝ่ายมาตะมิได้เป็นผู้ริเริ่มซ้ำถูกล่วงเกินเสียอีกไม่ยินยอมเต็มใจ
การจะเกิดเหตุอันก่อเป็นน้ำตาสายโลหิตได้นั้น คือต้องขื่นขมทนทรมานเหลือล้ำกล้ำกลืน ดังเช่นอดีตชาติกินนร เป็นต้น และเป็นลักษณะอาการเฉพาะหนึ่งเดียวสำหรับพจน์คนเดียวเท่านั้น เนื่องด้วยไม่เคยปรากฏอาการนี้ในใครอื่นอีก เช่นนั้น การเห็นมาตะถูกจุมพิต โดยเต็มใจหรือไม่จนต้องร้องไห้ออกมาก็คือกับเหตุผลเดียวกับข้อแรก และถามว่าสาหัสสากรรจ์จนจำต้องเกิดเป็นน้ำตาสายโลหิตหรือไม่นี้ ผู้เขียนไม่อาจจะชี้นำได้ แต่ด้วยขณะนั้นทุกอย่างปูทางมาว่า พจน์รักมาตะ ทั้งฝากรักฝากตัวกัน แม้จะอยู่คนละภพความรักก็ชักนำมาหากันจนเจอ ความผูกพันล้ำลึกนี้ผู้เขียนคิดว่ามีเหตุผลพอที่จะทำให้พจน์หลังน้ำตาเป็นสายโลหิตได้ โดยตอนนั้นพจน์อาจจะหลงลืมว่ามาตะมิได้ยินยอม แต่ภาพรอยจูบอันควรเป็นตนกลับแทนที่ด้วยคนอื่นฝังแน่นเสียแล้ว ก็ยากจะคำนึงสิ่งอันประกอบขึ้นเป็นเหตุการณ์ไม่คาดคิดนั้นได้
๓. ทำไมพจน์ซึ่งเติบโตในยุคปัจจุบันที่น่าจะเคยคุ้นกับพฤติกรรมแสดงความรักแบบนี้สมควรจะชินชาแล้ว ไยถึงไม่มีความเข้มแข็งพอจะอดทนในสิ่งที่มาตะถูกโขมยจูบได้
จริงครับ ที่สังคมในปัจจุบันเปิดกว้างเปิดเผยในเรื่องการแสดงความรัก พจน์เองก็คงเคยมีประสบการณ์อย่างการโดนจูบหรือการจูบคนอื่นมาบ้าง น่าจะไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตใดๆ จนก่อให้เกิดปรากฏการณ์น้ำตาสายโลหิตได้ ผมก็จำเป็นต้องยกข้ออธิบายในสองข้อข้างต้นมาเป็นข้ออ้างอิงซ้ำอีกหน และสรุปสั้นๆด้วยคำถามที่ว่า หากคนที่เรารักถูกคนอื่นแสดงความรักไม่ต่างจากตนเคยกระทำมาก่อนแบบนี้ ถึงตัวเองจะเคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่ในเมื่อคนคนนี้คือคนที่ผูกพันมาตั้งแต่อดีตชาติและชาตินี้ก็หวนมาพบกันอีกครั้งจะรู้สึกอย่างไร ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสิ่งที่เขียนไปแล้ว ทั้งที่มีอีกทางเลือกหนึ่งให้เขียนคือ พจน์อาจจะแค่โกรธหรืองอนมาตะก็ย่อมได้เช่นเดียวกัน น้ำตาสายโลหิตนี้จึ่งเป็นแค่สัญญลักณ์อย่างหนึ่งที่แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์นี้เท่านั้นครับ หวังว่าคุณจะพอใจกับคำอธิบายของผม หรือถ้าไม่เหมาะใจก็ขออภัยด้วยครับ และผู้เขียนขอน้อมรับความผิดนั้นมาสู่ตัวเองแต่ผู้เดียว
 
สำหรับเหตุการณ์อดีตชาติพระเจ้ารพีกานต์นั้นที่ยังคลุมเคลือไม่ชัดเจนก็อาจจะมีโอกาสได้เห็นรายละเอียดเพิ่มเติมแน่ครับ ขอบคุณสำหรับคำทักท้วงดีๆนี้ครับ หวังว่าจะมาชี้แนะผมอีกนะๆๆ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:32:20 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ pnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ้าว พจน์ ยังไงๆ 555 แก้แค้นมาตะเหรอ อืม แต่ก็รู้สึกสงสารกันอยู่นะ โถ พ่อ เป็นความรักข้ามภพชาติที่มั่นคงจริงๆ มาต่อเร็วๆนะ. คอยอยู่

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
รักหลายเศี้าเนาะ  แบบนี้กันมันจะไม่เข้าข้างตัวเองรึรึ  คนยิ่งรักปังจิตอยู่แล้ว  ทำแบบไหน  ถ้าตัวกันเองคอดไม่ได้  มันก็มีผลต่อจิตใจกันอยู่ดี  คนแต่งก็สู้ๆ  ส่วนเรื่องน้ำตาสายโลหิตนั้น  คนอ่านคงอยากให้มันตอมโตมใจขื่นข่มเหมือนจะเสียสิ่งสำคัญไปล่ะมั่ง  เหมือนครั้งการก่อนละมั้ง  สู้ๆคราบ  รอต่อไป

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]



“ในเมื่อมันเป็นความต้องการของมึง กูจะเดินออกไปจากชีวิตมึงเอง แต่อย่าได้หวังว่ากูจะล้มเลิกความตั้งใจในการปกป้องคุ้มภัยมึงและครอบครัว จำไว้อย่างหนึ่ง ไอ้พจน์ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นจงใช้ความกล้าหาญเข้มแข็ง สติปัญญา และสิ่งที่มันเต้นระรัวอยู่ภายในนี้” นิธิทาบมือลงบนอกด้านซ้ายของพจน์ “เมื่อนั้นพลังซึ่งมึงครอบครอบจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ที่แม้แต่จอมปีศาจก็มิอาจต้านทานได้”

“กู...จะได้เห็นหน้ามึงอีกหรือเปล่า” ไม่อาจหยุดคำถามนี้ไว้ในใจได้

นิธิปรับหน้าแข็งกร้าวเป็นอาลัยอาวรณ์ มันส่ายไหวปฏิเสธ

“ทั้งมึงและกูต่างเลือกหนทางนี้แล้ว เราคงไม่มีเหตุต้องมาเจอะเจอกันอีก”

“มึงคือเพื่อนรักของกูนะ”

แสงฟ้าแลบสว่างวาบพร้อมเสียงคำรน สิ้นสุดประกายขาวสว่าง ร่างผอมสูงของเด็กหนุ่มตาคมดุในวันแรกที่พบเจอ โดยสร้างความทรงจำไม่ลืมเลือนด้วยการท้าทายพจน์ให้ถอดความโคลงสี่สุภาพ ไอ้กันคนที่ช่วยชีวิตอาพลจากมนตราลีลาทมิฬ ไอ้คนลึกลับที่ปรากฏตัวทุกครั้งเมื่อพจน์เผชิญภัยอันตรายบัดนี้เลือนหายพร้อมกับสายฟ้าฟาด พจน์ทำได้แค่กราดมองผนังห้องว่างเปล่า

“ขอบใจนะ ขอบใจสำหรับทุกอย่าง”


“ทำไมมึงตาแดงๆวะ น้องพจน์”

พจน์ได้สติเหลียวดูผู้ถามคำถามกะพริบเปลือกตาถี่ๆ ก่อนจะจ้องเศียรพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่เบื้องหน้าอีกครั้ง ตอนนี้ทุกคนมาเยี่ยมชมศิลปะวัตถุ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา โดยภพดนัยปรับเปลี่ยนโปรแกรมท่องเที่ยวที่ควรแวะชมวัดวาอารามต่างๆเป็นสถานที่อาคารภายในร่ม เนื่องเพราะพายุฝนยังคงโหมกระหน่ำยากแก่การเดินชมกลางแจ้ง

“เปล่า ฝุ่นเข้าตาว่ะ”

“เล่นมุกนี้อีกละ มึงมันโกหกไม่เก่งเลยนะ รู้ตัวเปล่า” ภามภพยิ้มพิจารณาพจน์ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “เป็นคนดูออกง่ายชะมัด”

“มึงรู้จักกูมาตั้งหลายปี ก็ต้องดูกูออกอยู่แล้วดิ แล้วว่าไง นี่ต้องรีบกลับบ้านหรือว่าจะนอนค้างที่อยุธยาต่อ”

“นอนดิ กูโทรถามที่บ้านเห็นว่าขนของขึ้นชั้นบนกันหมดละ นอกจากกลับไปแล้วไม่ช่วยให้น้ำลดได้ง่ายๆ กูก็ไม่มีเหตุผลต้องรีบกลับ” พจน์ได้ยินภพดนัยโทรถามป้าแจ่มเช่นกัน พบว่าแม่น้ำเจ้าพระยาติดกับด้านหลังเรือนเอ่อท้นกระสอบทรายเพียงเล็กน้อย ระหว่างนี้ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ส่วนกลุ่มเทวดาเดินดินก็ไม่มีใครประสงค์รีบกลับ เช่นเดียวกับพีธนะและน้องแพรว

“แล้วสรุปว่าเป็นอะไร หรือเพราะไอ้ผอมแห้งนั่นมันกลับไปก่อนมึงถึงเสียใจแบบนี้” ไอ้ผอมแห้ง ของภามภพคงหมายถึงกันอย่างไม่ต้องสงสัย พจน์เหล่ทางหางตาแล้วยักคิ้ว “หรือว่ามึงเห็นเลขาฯสภากูเดินควงกะหนุงกะหนิงกับน้องแพรวกันแน่ตาเลยแดงช้ำ”

“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ไอ้ขี้เสือก” พจน์คว่ำปากใส่พร้อมจิ้มหน้าผากให้ถอยห่าง กำลังผละเดินดูโบราณวัตถุชิ้นอื่นต่อก็ถูกมือหนาคว้าไว้ “หรือว่ามึงสงสัยพฤติกรรมของกูที่อยู่ๆก็ตามมึงมาแบบนี้”

พจน์เห็นสบโอกาสเช่นนั้นก็รีบพยักหน้า อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะแก้ต่างยังไง บัดนี้ไม่มีเพื่อนของพจน์อยู่บริเวณโดยรอบด้วย น้องน้ำได้รับภารกิจประกบพีธนะจากพจน์ มันจึงชวนไอ้นักบาสตัวโรงเรียนสำรวจชั้นสองเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

“ไม่รู้จริงอ่ะ” ภามเอียงคอยิ้มยียวนกวนอวัยวะเบื้องล่างมาก “โห ทุ่มสุดตัวขนาดนี้ ยังมาทำแกล้งอ่อยอีก”

“อ่อยอะไรวะ กูไม่ได้ทำสักนิด” ส่ายหน้าทันควัน

“กูล้อเล่น เอาจริงๆนะ มึงกับกูเคยอยู่ห้องเดียวกันตอน ม.ต้น จำได้ไหม” พจน์พยักหน้ารับ “และมึงนั่งคู่กับใครจำได้หรือเปล่า”

“มึงไง”

“ใช่ แล้วมึงเคยพูดว่ายังไงจำได้หรือเปล่า” พจน์รีบส่ายหน้าซ้ำ ใครจะไปจำคำพูดตัวเองเมื่อสองปีที่แล้วได้วะ กูไม่ใช่หุนยนต์นะ
 
“มึงต้องสมัครเป็นประธานนักเรียนให้ได้ แล้วหลังลอยกระทงค่อยมาจีบกู แต่ตอนนี้กูขอเรียนเลขก่อนได้เปล่า ไม่เข้าหัวเลยเนี่ย” ภามภพพูดประโยคเดียวกับความทรงจำอันลี้ลับของพจน์สามารถขุดคุ้ยออกมาได้

“เฮ้ย กูแค่...”

“ลูกผู้ชาย คำไหนคำนั้นเว้ย”

“มึงจะจีบกูงั้นสิ”

“เออสิวะ ถึงคู่แข่งจะเยอะไปไม่หน่อย แค่นี้ก็ต้องให้พูดย้ำ คนอะไรทำเป็นมึนได้ตลอด โอเคแล้วนะ เลิกเศร้าได้ละ” ภามภพยัดลูกอมรสเปรี้ยวใส่ปากพจน์ทันที มึนและงงจนพูดอะไรไม่ออก ทั้งคิดไว้แล้วว่ารูปการณ์ต้องเป็นแบบนี้ แต่เมื่อเจอกับตัวเข้าจังๆก็อดตะลึงตะลานไม่ได้

ระหว่างนั้นพจน์บังเกิดเจ็บอกด้านซ้ายขึ้นมาฉับพลันจนต้องทรุดตัวลงพื้น

“เฮ้ย น้องพจน์ เป็นอะไรวะ”

******************************


สายฝนกระหน่ำลงอย่างมิปราณีต่อเหล่าสรรพชีวิตแม้แต่น้อย บัดนี้มวลน้ำเหนือไหลหลากผ่านหน้าศาสนสถานนามวัดไชยวัฒนารามปริ่มจะทะลักล้นกำแพงกั้นในอีกมิช้า มันเห็นกลุ่มมนุษย์หลายสิบคนกำลังเพิ่มแนวปราการอีกชั้นหวังจะสกัดกั้นอำนาจของธรรมชาติ แต่ไม่มีวัน ท้องฟ้ามืดครึ้มดุจราตรีปกคลุม เงามนุษย์ใต้ชุดกำบังหยาดฝนพร้อมไฟฉายห้ากระบอกบุ่มบ่ามก้าวย่างผ่านบันไดก่ออิฐเข้าภายในเขตแนวระเบียงคด
 
“ตรวจดูให้ทั่ว หากมีน้ำขัง หรือก้อนอิฐพังบริเวณไหนให้รีบแจ้งโดยด่วน” มนุษย์ผู้มีลักษณะคล้ายผู้นำสั่งความ ระหว่างสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอที่สุดกำลังแยกย้ายปฏิบัติตามภาระมอบหมาย บังเกิดกลุ่มควันดำระเบิดขึ้นกลางผืนหญ้าสีเขียวเบื้องหน้าองค์ปรางค์ประธานพร้อมเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ฉุดให้กำลังแรงขาของชนทั้งห้าต่างหยุดการเคลื่อนไหวในทันใด

กลุ่มควันดำค่อยๆจางหาย หยาดฝนชำระล้างหมอกทมิฬได้รวดเร็ว และ ณ จุดนั้นผุดเป็นร่างสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งรูปลักษณะคล้ายมนุษย์แต่สูงใหญ่กว่า ผิวกายอันควรเป็นขาวหรือเข้ม กลับเป็นสีเขียวดุจใบไม้ อุดมมัดกล้ามบึกบึนสูงราวเกือบสามเมตร มันเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากเคลือบดำขยับเหยียดเปล่งเสียงหัวเราะน่าขนลุกขนผองสยองเกล้า เขี้ยวสีขาวผุดโง้ง ณ มุมปาก ดวงตาดำเป็นจุดเล็กล้อมรอบด้วยสีเหลืองดุจแสงเดือนสว่างจ้า แต่งกายด้วยผ้าผืนดำพร้อมเครื่องประดับสีนิล เมื่อมันหยัดกายเต็มความสูง อาการตะลึงของมนุษย์ทั้งห้าก็หายเป็นปลิดทิ้ง ลมหายใจถูกหยุดไว้ชั่วขณะก็พรั่งพรูประหนึ่งหัวใจทำงานหนัก เจ้าคนหนึ่งอาจหาญร้องถามด้วยเสียงสั่นเทาว่า

“เอ็งเป็นใครวะ อย่าแต่งตัวประหลาดมาเที่ยวเดินเล่นในที่แบบนี้สิ คนอื่นเค้าตกอกตกใจกันหมด” ฉายแสงไฟสาดกระทบผิวกายเขียวขึ้นลงโดยพร้อมเพรียง

อัครมหาเสนาบดีปีศาจฝ่ายซ้ายยืนจ้องมนุษย์ผู้บริสุทธิ์นิ่งเฉย สายฝนมิได้ทำอันตรายแก่มันแม้แต่น้อย กลับล่วงหล่นกระทบพื้นหญ้าห่างกระเด็น

“มึงไม่ได้ตาฝาดเหมือนกูใช่ไหม” อีกคนตะโกนถามเพื่อน “ไอ้เจ้านั่นมันยืนอยู่ตรงหน้าจริงๆใช่ไหม”

“กูว่ามันแปลกๆแล้วว่ะ”

“เลิกเล่นได้แล้ว ตอนนี้ห้ามไม่ให้คนนอกเข้ามาที่นี่เด็ดขาด ออกไป” หัวหน้ากลุ่มสั่งการมั่นคงผิดลักษณะวิสัย เจ้าคนผู้ขลาดเขลาอย่างสูงสุดในบรรดาทั้งห้าบังเกิดพรั่นพรึงเกินทานทนด้วยเอะใจลักษณะสิ่งมีชีวิตตัวเขียว มองปราดเดียวก็รับรู้ถึงแววตาอำมหิตแฝงอาฆาตเมื่อสบแล ไม่เห็นหนทางอื่นก็สาวเท้าหมายวิ่งออกจากลานแห่งนั้น บ่ายหน้าสู่ช่องทางบันไดขนาบเมรุทิศ

เสนาบดีปีศาจท่องมนตราสาดลูกไฟเนรมิตประตูล่องหนสกัดการเข้าออกในทันที
 
เจ้ามนุษย์นั่นผลักความว่างเปล่าเท่าไรก็ไม่อาจแทรกผ่าน ครั่นคร้ามลนลานแล่นทั่วสรรพางค์กาย เหลียวแลผู้มาเยือนตัวเขียว หลุดคำหนึ่งด้วยหัวใจตระหนก

“มัน...มัน ไม่ใช่คน มันเป็นปีศาจแน่แล้ว หนีเร็วพวกเรา”

สิ้นคำความกลัวจับขั้วหัวใจก็แล่นข่มจิตสำนึกในทันที ต่างออกวิ่งหนีด้วยฝีเท้าที่คิดว่าเร็วที่สุดกระจายออกสู่ตามแนวช่องปรักหักพัก แต่มีหรือเสนาบดีปีศาจจักยินยอมปล่อยเหยื่อให้เล็ดลอด มันบริกรรมคาถาสร้างเกราะกำแพงมนตราสะกัดกั้นทางออกไว้ทุกด้าน

เหล่ามนุษย์ใช้แรงดันช่องทางอันควรหลบผ่านโดยง่ายด้วยกำลังแรง แต่มิอาจข้ามผ่าน ประจักษ์เห็นความตายมาเยือนในทันที เสนาบดีปีศาจกางนิ้วมือขวาเหยียดยื่นสู่เบื้องหน้า งึมเงามนตราทมิฬด้วยสรรพเสียงสะท้อนก้อง กระทืบเท้าแล้วขยุ้มกำกลับคืน ร่างกายเล็กกว่าถูกดึงเข้าหาเสนาบดีปีศาจราวกับมีเชือกล่องหนฉุดกระชากมารวมอยู่แทบเท้าไว้เล็บยาวสีดำโดยพร้อมเพรียง

“อย่าทำอะไรพวกเราเลย ปล่อยพวกเราไปเถอะ แกอยากได้อะไรบอกมา เดี๋ยวเราจะไปหามาให้” เจ้าคนหนึ่งหางเสียงสั่น พนมมือปลกๆประวิงเวลาอย่างอับจน

“ข้าประสงค์เพียงเลือด....” เสนาบดีปีศาจฝ่ายซ้ายปล่อยถ้อยคำทุ้มใส่มนุษย์ ณ ปลายเท้า “แลวิญญาณของพวกเจ้าแต่เท่านั้น”

“ไม่ๆ เดี๋ยวกูจะไปหาคนอื่นมาให้ ปล่อยพวกกูไปเถอะ” วิงวอนตัวสั่นเทิ้ม

ท้องฟ้าสว่างวาบต้องใบหน้าเหี้ยมโหดแลนัยนาน่าสยดสยองของเสนาบดีปีศาจเป็นภาพติดตายากลบเลือน
 
“มิจำเป็นต้องดิ้นรนทนทรมาน ฝืนสังขารหาตัวตายตัวแทน ก็แหละพวกเจ้าเหล่านี้ล้วนเหมาะแสนสมยิ่งกว่าใครอื่น ฉะนั้นจงยอมตายเพื่อฝังกายเป็นหลักอาถรรพณ์ เสริมส่งอำนาจมนตราพลัน ให้ทรงพลังยิ่งทบทวี”

“ไม่ ไม่ พวกเรามีลูกมีเมียต้องเลี้ยงดู ปล่อยเราไปเถอะท่าน” ทุกคนก่นแต่ร้องไห้ในโชคชะตาสุดท้ายของชีวิต

เสนาบดีปีศาจหลับตาแน่นิ่งอยู่ชั่วขณะ กลุ่มมนุษย์พยายามขยับฝืนกายออกจากอำนาจกุมตัวก็มิอาจทำได้ มันผนึกแน่นพวกเขาไว้กับที่จนอยากจะดิ้นรน ฉับพลันจึ่งลืมตาแล้วยกมือสีเขียวขึ้น กายมนุษย์ทั้งห้าค่อยๆล่องลอยเหนือพื้นดิน แล้วสะบัดเหวี่ยงกระจายกระแทกตัวแนบใส่ปรางค์ขนาดเล็กรอบมุมจตุรทิศของปรางค์ประธาน ประดุจถูกปักด้วยหมุดล่องหน ขยับอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้น ส่วนเจ้าหัวหน้าถูกเสนาบดีปีศาจใช้อำนาจขยับซัดเหวี่ยงตรึง ณ ฐานขั้นบันไดของพระปรางค์องค์ใหญ่

ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนขอความช่วยเหลือดังระงม ปรากฏเงาผ้าคลุมสีดำก้าวเยื้องย่างผ่านทางเดินก่ออิฐด้วยเท้าเปล่าเปลือย แอ่งน้ำถูกผลักออกนอกเส้นทางจนแห้งสนิท ดวงตาสีแดงวาวโรจน์จ้องเหยื่อทั้งห้าด้วยความปรีดา

เสนาบดีปีศาจป่าวร้องคำโองการเป็นภาษาที่มนุษย์คนใดก็ไม่อาจเข้าใจ อ้าแขนกำยำทั้งสองกว้าง ดวงตาสีเหลืองแวววาวทรงพลัง

จอมมารเสด็จดำเนินหยุดอยู่เบื้องหน้าผู้นำกลุ่มมนุษย์ ความกลัวฉายฉานชัดแจ้ง ทั้งตื่นตระหนกและตื่นตะลึงผสานฮึดสู้กล้าหาญ เป็นเครื่องหน้าสุดขบขันจนจอมปีศาจจำต้องส่งเสียงหัวเราะอย่างมีชัย

“เจ้ากลัวตายเช่นนั้น ฤา มนุษย์”

บัดนี้แม้แต่ภาษาพูดก็ไม่อาจกลั่นกรองออกมาด้วยลิ้น บ่งชัดว่าความกลัวสะกดทุกอย่างในร่างกายให้หยุดเคลื่อนไหวเสียสิ้น

“พวกเจ้าเบญจนราจำต้องสละเลือดแลวิญญาณเป็นเครื่องบูชามหามณี สนองคุณเสริมส่งเล่ห์กลนี้ให้ทรงพลังยิ่งกว่าเดิมร้อยเท่าพันทวี

ห้าวิญญาณเผ่าพื้น      พสุธา นี้แฮ
ปลุกร่ายเวทย์ชีวา        ดั่งสิ้น
เลือดโลมไหลนองมา      เชือดฆ่า แดฤา
สร้างก่อกลกลืนกิน       หลั่งฟ้า ศัตรู”


สิ้นโคลงกลอนปีศาจ มนุษย์ทั้งห้าต่างดิ้นทุรนทุรายสาหัสประดุจถูกเพลิงเผาร่าง เลือดสาดกระเซ็นจากปากอเนจอนาถราวกับมีมือล่องหนคอยบีบรัดคอ คำประกาศโองการของเสนาบดีปีศาจยังคงดังต่อเนื่องและทรงพลังยิ่งขึ้นทุกขณะจิต

“มันจะไม่เจ็บปวดแม้แต่น้อย จงผินหน้ามองข้า! สบดวงตาสีชาดนี้ แหละฟังให้จงดี”
 
บุรุษเบื้องหน้าจอมมารรุ่มร้อนภายในกายดั่งจะแตกดับในมิช้า เลือดไหลหลั่งออกจากทวารทั้งเก้าไม่หยดหย่อน ฝืนจ้องนัยน์ตาสีแดงใต้ผ้าคลุมด้วยความกล้าที่เหลืออยู่ เสียงกรีดร้องทุกขเวทนาดังสะท้อนมาจากเบื้ององค์ปรางค์จตุรทิศ จอมปีศาจเอื้อมหัตถ์ซีดขาวสู่เบื้องทิศเหยื่อมนุษย์ แล้วร่ายมนตราสังหารว่า

“วิญญาณะ จิตตะ สุริยะมรณา”

ฉับพลันแสงสว่างสะท้อนนัยน์ตาของเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอที่สุดในพิภพก็พลันดับลง เช่นเดียวกับคำกรีดร้องทั้งห้าได้สิ้นหายไปจากพิภพโลกาชั่วนิรันดร์

   
อาการหน่วงเจ็บอกเบื้องซ้ายทุเลาหาย แต่วัตถุประดับหน้าผากพระเจ้าวัชรโกมลซึ่งคล้องคอตนกลับแผดเผาราวไฟสุมขอน เจ็บร้าวรอนพิลาปสลด ก่อกำสรดท่วมท้น เหตุไรจึงผุดแจ้งจนพจน์ไม่อาจต้านทาน เปรียบปานเสียสูญวิญญาณ์
 
หรือว่า...มาตะ
 
สายพระพิรุณพร่างพรมหนักขึ้นทันใด ดุจวิปโยคโศกไห้ต่อชะตากรรมของมนุษยชาติ


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
_______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

o13
ขอบคุณครับ ตอนใหม่มาแล้วน้า เป็นไงบ้างติชมได้เลย

อ้าว พจน์ ยังไงๆ 555 แก้แค้นมาตะเหรอ อืม แต่ก็รู้สึกสงสารกันอยู่นะ โถ พ่อ เป็นความรักข้ามภพชาติที่มั่นคงจริงๆ มาต่อเร็วๆนะ. คอยอยู่
ครับ กันเป็นตัวละครที่น่าสงสารอีกคนหนึ่ง ความรักของกันจะถูกเปิดเผยอีกในไม่ช้าว่า เขาเป็นใคร และทำไมถึงรักฝังใจพจน์มาตั้งแต่ชาติที่แล้ว หวังว่าจะคลี่คลายออกมาเร็วๆนี้แน่ แต่พจน์จะแก้แค้นมาตะโดยการจูบแก้มกันนี่จริงหรือเปล่า ต้องไปถามพจน์เองล่ะครับ อิอิ

รักหลายเศี้าเนาะ  แบบนี้กันมันจะไม่เข้าข้างตัวเองรึรึ  คนยิ่งรักปังจิตอยู่แล้ว  ทำแบบไหน  ถ้าตัวกันเองคอดไม่ได้  มันก็มีผลต่อจิตใจกันอยู่ดี  คนแต่งก็สู้ๆ  ส่วนเรื่องน้ำตาสายโลหิตนั้น  คนอ่านคงอยากให้มันตอมโตมใจขื่นข่มเหมือนจะเสียสิ่งสำคัญไปล่ะมั่ง  เหมือนครั้งการก่อนละมั้ง  สู้ๆคราบ  รอต่อไป
ครับ หลายเส้าแน่ๆ ลองนับดูตอนนี้มีกี่เศร้าแล้วล่ะครับ อิอิ ตอนล่าสุดนี้คุณคงรู้แล้วว่ากันจะเข้าข้างตัวเองรึเปล่า หรือเขาเลือกหนทางไหนสำหรับสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองและคนที่เขารัก ส่วนเรื่องน้ำตาสายโลหิต ก็ตามที่ผมอธิบายไปครับ ถ้าตะขิดตะขวงใจอย่างหนึ่งอย่างใดก็ล้วนเป็นความผิดพลาดของผู้เขียนเอง และสิ่งที่ผมเขียนไปก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าจะเหมาะสมที่สุดเพื่อให้ตัวละครพจน์สัมผัสทุกข์แสนสาหัสจากการเห็นภาพจุมพิตนั้น ถึงจะไม่ทุกข์สาหัสเท่ากับความรู้สึกของผู้อ่านหลายๆคน แต่ประสบการณ์ชีวิตผมเคยเจอแบบนี้มาก่อน ทำเอาเก็บไปร้องไห้ตั้งหลายชั่วโมงเลยนะ เสียอย่างเดียวไม่กลายเป็นสายเลือดเท่านั้น อิอิ  ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2016 10:23:54 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
แผนการของจอมปีศาจก็ดำเนินไปในทางที่ว่างไว้  เหลือแต่ทางพจน์ที่ยังไม่รู้อะไรสักอย่าง  แบบนี้คงจบแบบเศร้าๆอีกแน่ๆ  เมื่อรู้ก็เกือบสายแล้ว ส่วนเรื่องความรัก  ผมไม่เคยน้ำตาไหลเพราะมันนะ  เพราะผมไม่เคยรักใคร  จึงไม่รู้ว่าความรักมันเป็นแบบไหน ก็แค่อ่านนิยายรักๆ  เวลาที่เขาต้องเสียใจ ตัวผมกับคิดว่าจะร้องไห้ไปทำไหมกับคนที่ไม่รักเรา  ถ้าจะร้องจริงๆผมว่าน่าจะร้องตรงที่มีอุปสรรค ทำให้คนรักกันต้องห่างต้องจากกัน  อันนี้ผมพอเข้าใจนะ  แต่ไปร้องให้คนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเรานี้  ผมว่าไม่น่าร้องเลย  ออกนอกโลกล่ะ  ยิ่งแก้ปัญหาก็เหมือนมันยิ่งเพิ่มขึ้นนะ  ไม่รู้ว่ามันจะเฉลยออกมาแบบไหน  ตอนนี้ตามความคิดคนแต่งไม่ทันแล้ว  รอแต่ว่ามันจะมีอะไรทำให้เรื่องนี้จบลง  ขอแค่อย่าให้มันจบแบบละครหลังข่าวพอ  พอคนไม่ดีจะตาย  กลับตายง่ายๆไม่สมกับสิ่งที่มันทำเลย  อ่านแล้วคัดใจมาก(อินขั้นรุนแรง)  ถึงศาสนาจะบอกว่าอย่าจองเวร  ให้อภัย  แต่คนชั่วกับไม่ได้รับความเจ็บปวดจากสิ่งที่ทำเลย  มันอดน้อยใจ  และทำให้ไม่มีแรงให้ทำความดีอ่ะ  ผมว่าคนชัวหลายคนคงคิดแบบผม  จึงยอมจะทำสิ่งไม่ดีเพื่อให้ได้มา  มันง่ายกว่าถึงจะรู้ว่ามันมีจุดจบไม่ดีก็ตาม  แถมปัจจุบันนี้คงไม่มีใครจะดีขนาดนั้นหรอก  เพราะทุกวันนี้มีแต่ตาต่อตาฟันต่อฟันกันทั้งนั้น  ออกนอกโลก  ส่วนเรื่องน้ำตาผมไม่ได้แคลงใจอะไร  เพราะคนเขียนจะเขียนแบบไหนก็แล้วแต่คนแต่งเลย  ยังไงก็ชอบเรื่องนี้มากอยู่แล้ว  ตอนนี้ก็ลุ้นแต่ว่าเมื่อไหร่  พจน์จะเก่งสักที  รอการเฉลยของปัญหาต่างๆจะแย่อยู่แล้ว  ลุ้นมาก  ยิ่งมาฉากส่งท้าย  เล่นเอางงตาแตกกันเลยทีเดียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-07-2016 16:37:52 โดย ชัดเจนกาบ »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๓๐


อุบายพิศวาส



เมื่อครั้งมหาพิภพถูกแบ่งเป็นไตรโลก คือ บาดาล มนุษย์ สวรรค์ มีศูนย์กลางของจักรวาลอยู่ ณ มหาบรรพตสูงตระหง่านค้ำฟ้า เหนือลำดับชั้นยอดเขาแห่งนั้นเป็นที่สถิตของเหล่าเทพเทวา ตั้งมหาพลับพลา เหลื่อมล้ำสุดสง่าตระการเสียดยอด ทั้งทองคำลงยาระริกร้อนงดงามทั้งองค์ แต่งทรงเทวาด้วยรัตนาวิจิตร เหล่าเทพทั้งนี้ล้วนบำเพ็ญกุศลคุณความดีมาแต่เบื้องอดีตชาติ จึ่งงดงามผุดผงาดทั้งมากอิทธิฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศเป็นคุณวิเศษประจำตัว สถิตรอบรั้วต่างระดับชั้น เมฆาล่องลอยคลอเคล้าทุกคืนวัน มิผันเปลี่ยนสุขสงบนับเรื่อยมา

ณ ห้วงเพลาอสงไขย เบื้องพลับพลาชัยมหาปราสาทสูงสุด คือแดนสรวงพิสุทธิ์แห่งองค์ มหาเทพ ล้วนแวดล้อมด้วยเหล่าเทวดา แหละเหนือเกล้าแห่งเผ่าพันธุ์ทั่วทั้งมหาพิภพ ต่างร่วมชุมนุมเป็นสักขีพยาน ในการประทานมหานพมณี ลำดับการเข้ารับของสิ่งล้ำค่าดำเนินจวบกระทั่งเผ่าพงศ์สุดท้าย

ปรากฏกายเป็นยักษ์ผู้หนึ่งรูปงามอรชรสูงใหญ่ ทั้งองอาจ ล่ำสันสมวัย ทั้งใบหน้าเพริศพิไลต่างเผ่าพงศ์ ด้วยดวงตากลมใสสีน้ำตาล คิ้วโค้งวาดหวานมิหยักกนก ทั้งปากปกแดงชาดสวยสม อภิรมณ์ผิวพรรณนวลขาวทั้งอินทรีย์ มีแต่เพียงเขี้ยวขาวผุดชี้ บ่งยศถาพงศ์เผ่าอสุรีเป็นที่สะดุดตา

ครั้นมหาเทพทอดพระเนตรเห็น จึ่งบังเกิดก่อเป็นความโสมนัส พระหทัยเต้นตรัสร้องเอ่ยคำท่ามกลางมหาสมาคม
 
“บุรุษยักษาผู้นั้นคือใครเล่า จึ่งพริ้งเพรางามโฉมบรรโลมสมัย ทั้งผุดผาดโดดเด่นเช่นดวงไฟ เกิดทุกขเวทนาในกายเรา”
เสียงถ้อยคำเงียบงำในทันที ด้วยวจีมหาเทพเป็นดั่งเสียงกึกกัมปนาท สะท้อนทั่วโถงท้องพระโรง
   
ฝ่ายยักษาหนุ่มรูปงามพลันสดับยิน ก็รวยรินใจเต้นเหลือล้ำ ด้วยมิเคยถูกองค์มหาธรรมตรัสกับตัวมาก่อนหน้า จึ่งตื่นตาตื่นใจสิ้นถ้อยคำ แหละพวกพ้องต่างปล้ำสะกิดกระซิบบอกเป็นหลายหน
 
“ไยเราตรัสด้วย ตัวจึ่งขวยเขิน พักตร์แดงกดโอษฐ์สะเทิ้น หากล่วงเกินจงอภัย” องค์มหาเทพเสด็จดำเนินลงจากพระแท่นบัลลังก์ เชยคางเจ้ายักษ์หน้ามนขึ้นทอดพระเนตร “สิริโฉมนี้เลิศล้ำ ยิ่งกว่าคำกล่าวขาน ด้วยเราสดับยินมาเนิ่นนาน ว่าวงศ์วานยักษาบังเกิดมี โอรสอสุรกายาผิดประหลาด ทั้งมากโฉมผิวผาดผุดผ่อง เหล่าอสุราหนุ่มหมายจ้อง ประสงค์ครองรักสมัครเป็นเคียงคู่ ดูหรือท่านทั้งหลาย ความงามนี้ผุดกระจายโดดเด่น เห็นประจักษ์เช่นเราเป็น นามสถิตดั่งวันเพ็ญนั้นชื่อไร”

“ก้มกราบถวายบังคมบรมราช ตัวข้านาม อสุรมาศ อุปราชยักษา น้อมรับพระราชบัญชา จากพ่ออยู่หัวอสุรากุเรปัน” เจ้ายักษ์หนุ่มก็ทรุดตัวก้มกราบ แนบพระบาทบรมเทพ
 
“แหละตัวเจ้าเป็นชาย ไฉนเลยเฉิดฉายพรรณรายเลิศล้ำ อัปสรเทพล้อมเรากลับหมองคล้ำ สุดวาบหวำเบื้องอกตระหนกตรม” ดำรัสตรัสแย้มพระสรวล เอื้อมพระหัตถ์เกี่ยวไหล่อสุรมาศขึ้นเทียบเคียง

“ข้าพเจ้าเป็นบุรุษ ฤทธิรุทรอาจหาญชาญสมร สู้ศึกปราบอริมิท้อวอน เก่งกล้าสี่กรเป็นพรชัย” อสุรมาศตรัสเท้าความ แย้มสรวลตามสดับโฉมบรมนาถ ทั้งรูปพรรณแววตาอุกอาจ มหาเทพก็ปราดเข้าลูบโลม
 
“เรานี้ขอมอบนพมณีอย่างท้ายสุด เช่นประดุจฝากใจให้ถนอม อสุรมาศจงรับไว้แลยินยอม ยื่นหัตถ์พร้อมน้อมองค์ประชิดมา”

“หากมณีนี้ดุจใจมหาราช ก็มิอาจรับไว้ด้วยขื่นขม ตัวเป็นยักษ์ชาตรีมีทุกตรม หัวใจว่างร้าวระบมปวดอุรา”

“ไยอสุรมาศจึ่งกล่าวคำตัดพ้อ ดั่งเราเป็นข้อก่อเหตุให้โศกศัลย์ หมายฝากใจฝากรักปักชีวัน แนบลงพลันมณีนพลบโลกไตร”

“ด้วยคำตรัสท่ามกลางพิธีการ ชนทั้งนั้นล้วนเป็นสักขีพยานให้สุขี แต่กระหม่อมเป็นชายกายชีวี มิควรที่บรมนาถจักฝากตัว”

“ก็แหละเราเป็นใหญ่ในสามภพ แลทั้งรบทั้งรักสมัครสมาน ชายหรือหญิงเป็นเพียงนอกกมลกานต์ หทัยเราโปรดปรานเจ้าดวงตา”

ครั้นคำดำรัสตรัสหว่างสองบุรุษ เป็นสัญญาณบริสุทธิ์แห่งความรัก ประจักษ์สู่สายตาเหล่าชนแห่งมหาพิภพในที่นั้น พลันก็บังเกิดเสียงสรรเสริญยินดีกึกก้อง หมายใจให้อสุรมาศยินพ้องด้วยคำมหาเทพ ด้วยเสน่ห์หารัดรึงใจไว้ดุจมีสายเชือกล่องหนมิอาจเห็น ต่างแซ่ซ้องชื่นชมพระบารมีมหาเทพและอสุรมาศยักษาให้ยินยอมพร้อมใจในคำเชิญนั้น

“หากลิขิตชะตาฟ้ากำหนด ให้ประณตแนบหัตถ์น้อมถวาย เป็นเบื้องบาทบริจาจนวางวาย ขอฝากกายฝากใจใต้ชีวิน”

พระมหาเทพสดับยินพลันปีติ ก็โผกอดอสุรมาศแนบชิดสนิทสนม ประกาศแก่ทั่วทั้งมหาสมาคม ได้ยินยลทั่วทิศในจักรวาล

“รักเอยรักใดเกิดหว่างกลางใจสุดประหลาด เพียงสบมองอสุรมาศพลันวาบหวาน ประหนึ่งศรรักปักองค์ทะลุดวงมาลย์ ขอรับตัวอสุมารเป็นเบื้องบาทบริจาริกา”

เผ่ายักษาก็ปลื้มปริ่มในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น แซ่ซ้องสดุดีเสียงปนสะท้านก้อง ทั้งบาดาล ทั้งมนุษย์สะเทือนร้อง ดั่งปฐพีต้องแรงไหว
 
เพลาวันหนึ่งอสุรมาศยักษา ประทับนั่งกายา เหนือพลับพลามหาชัยปราสาท สวยงามเด่นผงาดเหนือฟากฟ้านภาลัย เหล่าเทพต่างวนเวียนไปชื่นชมพระบารมีเป็นศรีสง่า เช่นทุกวันทิวาพ้นผ่าน พระมหาเทพเทวีเป็นเจ้าก็เสด็จราชยานคานหามถึง ทอดพระเนตรเห็นก็ตะลึงในรูปโฉม แล้วตรึกตรองพินิจกายด้วยอารมณ์ ก็เห็นสมว่าด้อยกว่าไม่น่ามอง จึ่งเป็นเหตุให้บรมเทพเสพสังวาส กับอสุรมาสชาติเดรัจฉาน เพียงพิศหน้าก็เกิดเจ็บห้วงหทัยกานต์ ฤาเป็นเพราะตนมิรูปหวานสำราญใจ จึ่งจำแลงแปลงองค์เป็นบรมนาถ นางสนองโอวาทเป็นคนใช้ ติดตามขบวนพยุหยาตรเยื้องไป หยุดอยู่ใกล้พลับพลาอสุรา แล้วร้องว่า

“อสุรมาศน้องเราอยู่ที่ไหน โปรดเยี่ยมหน้ายื่นตามาโปรดใจ มหาราชเทพหทัยประสงค์มอง”

“เกล้ากระหม่อมอยู่นี่อย่างไรเล่า โปรดอย่าเศร้าอาดูรตะโกนร้อง”

“พี่มิเห็นหน้าเจ้าก็เฝ้ามอง พอเห็นน้องพี่ยาก็ดีใจ”

“มีประสงค์สิ่งใดจงได้โปรด แม้นพันโยชน์จักนำมาทูลสนอง”

“หามีสิ่งใดให้พระน้อง นอกจากครองเคลียเคล้าแนบชิดองค์”

“พระประสงค์เพียงเท่านี้มิควรก่อน ด้วยราตรีนี้วอนเสด็จสู่ มหาพลับพลาพระแม่เจ้าเกล้าวิญญู พระเคียงคู่เทวีมเหสีองค์”

“พี่ประสงค์แนบเนื้อประชิดเจ้า ไยหน้าเศร้ายื้อยักแลผลักไส”

“เกล้ากระหม่อมนี้อับจนใจ ด้วยหทัยนับถือขนบเกณฑ์ แหละวิมานฉิมพลีมีทุกข์สุข ทั้งประมุขฝ่ายในงามสุดแสน จงรักษาราชธรรมนำดวงแดน โอบรัดแขนพระแม่เจ้าเกล้าชีวี”

ครั้นมหาเทวีเป็นเจ้าร่างจำแลงเห็นกิริยายักษาซื่อตรงภักดีเช่นนั้นบังเกิดซาบซึ้ง ข้ออาฆาตฝังใจพลันลดทอนลง หากทว่าเมื่อได้แตะเนื้อต้องตัว พลันไตรนัยนาประจำองค์เล็งเห็นกาลภายหน้าว่า อสุรมาศ ผู้นี้มีจักเป็นภัยใหญ่หลวงต่อไตรภพ จึ่งใช้ดำริตริตรองด้วยพระหทัยกล้าแข็ง คิดอุบายใช้เล่ห์กลพิศวาส แล้วว่า

“ก่อนพี่นี้จะหวนจาก ประสงค์ฝากรอยจูบเป็นเครื่องหมาย เป็นรอยรักรอยร่วมผสมกาย ให้เราสองเวียนว่ายในธารา”

“เฉกนั้นมหาเทพโปรดลงสรง เบื้องสระตรงข้างพลับพลาสรงสนาน เช่นวันก่อนผ่อนกายลงว่ายวาน เสร็จแล้วจึ่งเสด็จผ่านพิภพดังคำน้อง”

มหาเทพจำแลงจึ่งปลดเครื่องทรงแล้วแหวกว่ายในสระสรงร่วมกับอสุรมาศเป็นห้วงเพลาหนึ่ง เหล่ายักษาข้ารับใช้คอยถวายงานอยู่เคียงใกล้ เช่นเดียวกับเหล่าเทพจำแลงองค์ของนางอัปสร ครั้นเห็นเป็นเพลาเหมาะควรแก่การกำราบมารร้ายภายภาคหน้า มหาเทวีจำแลงองค์ก็ส่งสัญญาณให้นางอัปสรร่างแปลงเงื้อพระขรรค์ตัดศีรษะยักษาทั้งห้าตนในทันที ภาพเพื่อนกายสหายรักมามีอันถูกฆาตกรรมต่อหน้าต่อตาเช่นนั้นมินึกฝัน ก็ร่ำร้องครวญคร่ำรำพันจนกระทั่งพระมหาเทวีในร่างแปลงใช้มหาจักรสุรกาฬบั่นพระเศียรอสุรมาศขาดสะบั้นในทันใด

พจน์ลืมตาพรวดตะลึงพรึงเพริดในภาพสยดสยองนองเลือด เช่นเดียวกับหัวใจระทึกหนักอก ทุกสิ่งอย่างเสมือนเกิดขึ้นตรงหน้า หรือว่าตนจะข้ามพิภพไปอีกที่หนึ่ง หรือเป็นอีกอดีตชาติก็ไม่อาจพูดได้เต็มปาก ด้วยเหตุการณ์ทั้งสิ้นไม่มีคนหน้าคล้ายพจน์ เหมือนมาตะ หรือใครที่รู้จักแม้สักคนเดียว แต่โศกนาฏกรรมแห่งอุบายพิศวาสช่างเหี้ยมโหดติดตา จนแม้แต่การพยายามลบให้หายจากความคิดก็ไม่อาจทำได้โดยง่าย
 
คำพูดคุยดังอยู่รอบทิศ ฝูงชนผิวดำแดงเดินคราคร่ำเบียดเสียดสัญจรบนพื้นถนนศิลาขาวแห่งหนึ่ง ท้องฟ้าแจ่มใสมีเมฆคลี่บังให้ร่มเงา ด้านขวาเป็นมหากำแพงสูงใหญ่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เป็นกำแพงเมืองก่ออิฐถือปูน ฉาบสีขาวสะอาดสะอ้าน ใบเสมาเรียงสับหว่างด้วยเหล่าทหารเวรยามเกราะทองจับจ้องมายังเบื้องล่าง

“น้องท่าน”

จำได้ว่าเป็นสำเนียงของมาตะ พอเหลียวดูจึ่งเห็นว่าเจ้านั่นเกร็งหน้ากลุ้มกลัด นั่งซ้อนเคียงคู่แนบกระหนาบอยู่ชิดหลังเป็นปรกติดีจึ่งคลายใจ มาตะดึงบังเหียนบังคับอาชาสีดำให้ขยับเดินแหวกผ่านฝูงชนเชื่องช้า
 
“ปล่อยเราลง”

พอเข้าใจสภาพแวดล้อมและสถานการณ์หลังข้ามพิภพก็รีบร้องขอ มาตะทำหูทวนลม ขยับท่อนบนเปลือยเปล่าเข้าหาเหมือนยิ่งห้ามยิ่งยุ พจน์ผละหนีจนเกือบสุดพ้นอานม้าก็ติดกับ ตวัดสายตาข่มให้อีกฝ่ายหยุด เจ้ามาตะเกิดหูหนวกตาบอดชั่วคราว ทำประหนึ่งท่วงทีคนคู่พิศวาสยินดีกับกิริยาแนบชิดดั่งนั้น ขยับขากระตุ้นม้าให้ดำเนินต่อ พจน์ส่งสายตาดุคาดโทษไว้แล้วเหลียวแลบรรยากาศแวดล้อม ซุ้มขายของหลังคามุงจากเรียงรายอยู่ทั้งสองฟากฝั่งถนนศิลา ผู้คนล้วนแต่งกายอย่างเดียวกับพจน์ สีผ้ามอซอมิได้มีสีสันฉูดฉาดบาดตาอย่างเจ้ามาตะเคยแต่ง จึ่งกลมกลืนกับหมู่คนเหล่านี้ นานครั้งจึงจะเห็นผู้แต่งตัวโอ่อ่าภูษาไหมเหลือบทองให้เห็นผ่านคานหามหรือบนหลังม้ามาสักครั้งหนึ่ง
 
ข้าวของวางขายบ้างเป็นผักสด บ้างเป็นเนื้อสัตว์จำพวกปลา ไก่ แลสัตว์ป่านานาชนิด บางร้านเป็นถ้วยโถโอชามทั้งประเภทดินเผา หรือชามสังคโลก ถัดมาเป็นแหล่งเพิงขายผ้าแพรชั้นดีจนถึงชั้นสามัญ ผลหมากรากไม้ก็มีขายอยู่มาก สรรพเสียงเจรจาต่อรองราคาค้าขายตะโกนเรียกลูกค้าดังโหวกเหวกไม่ได้ศัพท์
 
“เพลานี้เราล่วงถึงเขตเมืองทวาระบุรีแล้ว ห่างไปอีกราว ๕ โยชน์เบื้องทิศตะวันออกนั้น จักแลเห็นภูมิประเทศสูงใหญ่ทอดขวางเป็นแนวปราการธรรมชาติเงื้อมง้ำอยู่รำไร แหละประตูช่องเขาด่านสุวรรณคีรีคือจุดหมายก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า” กระซิบว่าโดยซื่อ

พจน์เผลอมองตามนิ้วของมาตะ เห็นแนวเทือกเขาขนาดมหึมาทอดตัวอยู่ชัดเจน ครั้นมาสำนึกได้ว่าตนเคืองโกรธมาตะในฐานะกระทำยินยอมให้บุหลันฝากตัวเป็นแผลฉกรรจ์ ก็รีบหันกลับมาสังเกตผู้คนตามเดิม

“ขอโท...”

“ภัทรพจน์!” กฤษณะร้องทักควบม้าสีน้ำตาลขยับเคียง โครงหน้าคลับคล้ายนิธิทำเอาพจน์บังเกิดยินดีชั่วขณะ แต่พอมาฉุกคิดได้ว่า มิใช่คนคนเดียวกันก็สลดนิ่ง ฝืนยิ้มให้ “เจ้านี้เป็นเช่นไรบ้าง อาการแลอารมณ์เป็นปรกติดี ฤา”

สายตาดุปรับเป็นอ่อนโยนทันควันมิได้สนมาตะแม้แต่น้อย ดูเหมือนนายกองเกราะทองไม่ได้ติดใจสงสัยในการปรากฏตัวอย่างฉุกละหุกของพจน์แต่อย่างใด

“สบายดีแล้ว”
 
“เช่นนั้นโปรดลงจากหลังอาชา แลเชิญเดินทอดทัศนาเบื้องชุมชนร้านค้าตลาดให้เพลินตาเพลินอารมณ์สักประเดี๋ยวเถิด หว่างนี้เป็นช่วงผ่อนฝีเท้าแลแรงม้าให้ได้พักกำลัง ข้าจักเป็นผู้ชี้แนะข้อสงสัยแลบอกใบ้สิ่งอันมิเคยผ่านตาท่าน ก็แหละของเหล่านี้ล้วนเป็นของพื้นถิ่นขึ้นชื่อลือชาหาดูยาก หากมิลองพินิจชมแล้ว มีหรือที่จักกล่าวได้ว่าเคยผ่านมาสู่ทวาระบุรีมหานคร”

กฤษณะกล่าวคำเชื้อเชิญพร้อมเหตุผลเกลี้ยกล่อม ก้าวลงพื้นจูงม้าเดินตาม พจน์ไม่อาจทนนั่งเคียงมาตะได้ก็พยักรับคำเตรียมขยับ เจ้ามาตะโหนกระโจนลงก่อนเพื่อจะช่วยพยุงคู่รัก แล้วโดยมิได้นัดหมายทั้งอุปราชหนุ่ม โกสินทร์ แลเหล่านายทหารองครักษ์ทั้งสี่ต่างถลันลงจากหลังม้า เข้ากลุ้มรุมพจน์ดั่งผึ้งรุมตอมเกสรบุปผา สุริยะอุปราชาเห็นกิริยาคนในคณะเผลอปฏิบัติตนโดยสามัคคีก็บังเกิดคืนสติยั้งพระบาทไว้ได้ทัน แต่เหล่าองครักษ์ปลอมตัวมัวเคลิ้มโฉมภัทรพจน์ สบเห็นช่องใกล้ชิดก็หลงลืมประพฤติข้าทหาร ขมีขมันพะเน้าพะนอแนะนำตัวพัลวัน

“ข้านี้ชื่อ ปัญจะ” เจ้าคนสูงโย่งกว่าเพื่อนขัดดาบไขว้ไว้ด้านหลัง หน้าตาดูมีอัธยาศัยดีกล่าว

“ข้านามว่า จาโค” อีกคนลักษณะกำยำบึกบึนสักยันต์ตัวลายพร้อยตั้งแต่ลำแขนจนเต็มแผ่นหลัง แต่สูงไม่เท่าเจ้าปัญจะรีบแนะชื่อตัว
 
“ข้า คาวิน เป็นน้องร่วมอุทรของปัญจะพี่ท่าน” คาวินมีลักษณะสะโอดสะองเพรียวบาง แต่ดูแคล่วคล่องว่องไว ในมือถือทวนกระชับแน่น

“ข้าชื่อ วรุณ เป็นพี่น้องร่วมน้ำสาบานของเจ้าสามคน” วรุณกระแอมขัดคอ ตีขรึมนิ่งผิดต่างจากเหล่าเพื่อนเกลอ รูปร่างค่อนข้างใหญ่สมชาย อาวุธคู่กายเป็นธนู แต่รอยแดงลุกลามขึ้นหน้านั้นทำเอาพจน์ขมวดคิ้วสงสัย “หากท่านยังมิสันทัดการขึ้นลงอาชาแล้วไซร้ ให้ข้าช่วยสอนจักเป็นคุณอย่างสูง”

“วรุณพี่ท่าน ไฉนเลยมาหยิบชิ้นปลามันเอาซึ่งหน้าก็แหละข้าเข้าถึงตัวภัทรพจน์ผู้นี้ก่อน ควรหรือจะอาศัยวัยวุฒิมาลัดเลาะแซงหน้าผู้น้อยเยี่ยงนี้” จาโคบ่นกระฟัดกระเฟียดเป็นเด็กๆ เจ้าองครักษ์ทั้งสามต่างกีดกันขวางผลักมือไขว่คว้าหมายจะช่วยพยุงพจน์ลงจริงตามคำ ครั้นได้ยินเสียงคำตวาดของกฤษณะก็ล่าถอยห่างคล้ายได้สติ

“จงระวังรักษากิริยา” นายกองเกราะทองส่งเจตนาคาดโทษบรรดาก้างขวางคอ “ด้วยเห็นมิจำเป็นต้องอาศัยน้ำมือหมู่เจ้าเป็นเครื่องกวนใจ ก็แหละข้ายืนอยู่ใกล้ฉะนี้ ควรหรือจักล่วงล้ำสิทธิ์ผู้มาก่อน วอนภัทรพจน์ท่าน กรุณาจับแขนกฤษณะตวัดขามาทางด้านนี้ พร้อมทิ้งตัวลงเถิด ข้าจักระมัดระวังมิให้ได้รับอันตราย”
 
ฝ่ายโกสินทร์นั้นขยับถอนห่างนับแต่เห็นเหล่าทหารองครักษ์จู่เข้าไปแล้ว ได้แต่ยืนอมยิ้มมองดูการตัดสินใจของภัทรพจน์แน่วแน่อยู่ ส่วนมาตะถูกเจ้าสี่สหายเบียดกีดจนตัวต้องถอยกระเถิบ คอยคุมเชิงอยู่เคียงพระอุปราชผู้เชษฐา ใบหน้าตึงราวกับกินรังแตนมาทั้งรวง

“ขอบใจพวกนายนะ แต่ไม่ต้องหรอก” ว่าพลางก็ตวัดขา เหยียบโกลนมั่นคงดีแล้วก็ก้าวลงอย่างชำนิชำนาญทั้งมิเคยกระทำอาการดั่งว่ามาก่อนจนเจ้าตัวรู้สึกประหลาดใจ กฤษณะหมายตาเข้าพยุงช่วยก็เก้อเขินชั่วขณะ เช่นเดียวกับ ปัญจะ จาโค คาวิน แลวรุณ เมื่อสัมผัสผืนดินได้ก็เหลียวแลผู้คนโดยรอบอย่างสนอกสนใจ ผู้มีใจช่วยทุกคนต่างคืนกลับ ทยอยจูงอาชาเช่นตามเดิม เจ้าสี่เกลอบ่นพึมพำจับความได้ว่า หากกลมเกลียวไม่ขัดแข้งขัดขากันเองแล้วไซร้ ก็คงมีคนหนึ่งคนใดได้ช่วยพจน์ลงจากหลังม้า จนกระทั่งคาวินเหลือบเห็นสายตามาตะก็พลันรีบสงบปาก เจรจาฝากชวนพระราชบุตรบุญธรรมชี้ชมสาวงามเมืองกลบเกลื่อนเป็นทีลุกะโทษ

ชาวเมืองบ้างเหลียวแลคณะเดินทางต่างถิ่น บ้างมิได้สนใจนำพา ต่างปฏิบัติกิจอันตนหมายมุ่งให้สำเร็จโดยเร็ว
 
“ภัทรพจน์เจ้า ไยจึ่งมาเดินทอดน่องอยู่กับพื้นเฉกนี้ เบื้องหลังนั้นยังมีอาชาตัวเปล่าเล่าเปลือยอยู่อีกหนึ่ง หากเจ้ามีทักษะฝีมือควบบังคับได้แล้วจงใช้เป็นพาหนะเถิด” เวฬุมัวแต่เลือกซื้อสรรหาพืชสมุนไพรไม่ทราบเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อครู่ ก็ชักม้าไล่ตามหลังมาร้องแจ้ง

“เห็นจะมิต้องให้เจ้าชี้แนะดอก เวฬุ ก็แหละการขี่ม้าท่ามกลางชุมชนร้านตลาดอันเป็นย่านค้าขายคึกคักประจำเมืองหน้าด่านทวาระบุรีเฉกนี้ หากใช้อาชาเคลื่อนผ่านก็เหมือนประหนึ่งเดินเท้ามิต่างกัน หนำซ้ำพินิจดูแล้วเห็นว่าการก้าวย่างยังอาจสามารถรวดเร็วกว่าพาหนะอันเจ้ากล่าวถึงอีกเป็นไฉน แหละทั้งนี้หัวหน้าวาณิชก็กล่าวเป็นคำสั่งหนักแน่นแล้วว่า ให้จัดหาเสบียงแลผ่อนฝีเท้าม้าให้พักผ่อน ควรหรือจักมานั่งเป็นภาระให้อาชาอันควรพักต้องมาแบกรับน้ำหนักเกินทนไหวเช่นนั้น” กฤษณะกล่าวคำโต้เจ็บแสบแล้วยกยิ้มตวัดสายตาดุ

โกสินทร์ได้ยินก็ฮึดฮัดขัดใจกำดาบประจำกายแน่นข่มอารมณ์ไว้

“ไอ้คนชาติชั่วต่ำช้า ฝีปากมึงทรามแหละกล้าดีเฉกนี้ แลฝีมือประจำตัวเลวยังจักคมเช่นปาก ฤา ไม่ ใคร่อยากเห็น”

คำตวาดดังลั่นท่ามกลางฝูงชน สร้างความแตกตื่นฉุดนำความสงสัยให้บังเกิด พจน์เหลียวตามศัพท์สำเนียงเห็นคนทั้งปวงมุงดูอยู่ตรงทางแพร่งก็แหวกหาช่องมอง ครั้นสบเห็นเจ้าหนุ่มผู้หนึ่งพินิจถนัดถนี่จากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายดูโอ่อ่ามีฐานะ ซ้ำใบหน้าเกลี้ยงเกลา ดวงตาคมแข็งกร้าว กลางหน้าผากเขียนสีขาวเป็นทรงหยดน้ำ เด็กสาววัยกำดัดต่างเหลียวมองบุรุษผู้นั้นด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้มฝัน
 
“ฤา มิใช่ความจริงดั่งคนเล่าขาน ว่าขุนทหารชาญณรงค์ แม่ทัพนายกองกรมคชบาลเบื้องหน้านี้ มีลักษณะประหลาด ชอบเสพสังวาสในเพศเดียวกัน” เด็กหนุ่มอีกคนแต่งกายด้วยผ้าเยียรบับอย่างดี หน้าตาท้าทายมีรอยแดงมุมปาก พูดเป็นทีเยาะเย้ยสบถน้ำลายถุยลงพื้นพร้อมกิริยาชังอีกฝ่ายมากประมาณ
 
“เจ้ากินตำแหน่งนายกองกรมม้า หนำซ้ำเที่ยวเตร่เฮฮามิสนใจในกิจธุระแก่นสาร เสพแต่ของมึนเมาหมางเมินหน้าที่ กิริยากระนี้ควร ฤา จักกล่าวคำลบหลู่เกียรติแห่งกู ปากมึงยังกลบตลบด้วยกลิ่นสุรา แล้วไยถึงกล่าวหาข้าเป็นข้อฉกรรจ์มิรู้จบ แหละวันนี้สุดอดกลั้น ด้วยท่ามกลางธารกำนัลเป็นที่อับอายเหลือแสน หากมิพักเพิกเฉยต่อไปเบื้องหน้า มึงคงกล่าวซ้ำจนคนครหามิรู้จบสิ้น วันนี้ขอเอาเลือดชั่วออกจากกายมึงส่วนหนึ่งเป็นเครื่องเซ่นคำปด หากมิได้รอยแผลสักหยดก็จักมิหยุดประลองชัย”

เจ้าหนุ่มหน้ามนก็ชักดาบพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย ส่วนนายกองทหารม้าสังเกตเห็นคู่แค้นตัวถลันมาสมคิด ก็ชักดาบปัดป้องโดยทักษะฝีมือเช่นกัน โรมรันเปรี้ยงปร้างเป็นที่หวาดเสียว เสียงฮือฮาผสานเสียงร้องหวีดหวาดดังระงม ต่างฝ่ายต่างซัดดาบกระหน่ำ ขับเคี่ยวตะลุมบอนผลัดกันรุกรับและร่นถอยฝีมือจัดอยู่ ไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจักเพลี่ยงพล้ำ จนกระทั่งเจ้านายกองกรมม้าเล่นมิซื่ออาศัยจังหวะล้มลงพื้นคว้าฝุ่นดินได้กำหนึ่งแล้วตวัดใส่หน้านายกองคชบาลเป็นที่แสบตาบดบังการมองเห็น ก่อจังหวะให้อีกฝ่ายเร่งถลันเข้าหมายแผลเบื้องไหล่ซ้ายเป็นรางวัล

พจน์คว้าทวนประจำตัวกฤษณะโผเข้าป้องกันอาวุธได้รวดเร็ว แล้วออกแรงใช้คันทวนผลักดาบออกจากท่าอันตรายซ้ำถีบเท้าใส่กล้ามท้องให้ล้มลง เจ้านายกองม้าตะลึงพรั่นพรึงชั่วขณะ ด้วยมึนงงสับสน ครั้นบังเกิดเห็นว่าเป็นไพร่ราษฎรหนึ่งคนมิคุ้นตา เห็นกระดูกยังอ่อนคงร้อนวิชาจึ่งรนหาที่ตายก็ผุดลุกจังก้าด้วยโทสะ ออกแรงตวัดดาบหมายสั่งสอนให้หลาบจำ

ปลายทวนเล่มหนึ่งพร้อมปลายดาบทองต่างพุ่งเข้าหาลำคอของนายกองม้ารวดเร็วหยุดห่างเพียงเสี้ยวเศษผม

“หากเจ้าประสงค์นำชีวิตมาทิ้งหว่างกลางปฐพีในเพลานี้แล้ว ก็จงขยับเข้ามาอย่าช้าที แหละปลายคมทวนชั้นดีจักส่งเจ้าไปสู่ภพภูมิอื่นในทันใด”

พจน์เหลียวมองก็เห็นเป็นพระพักตร์ของพระมหาอุปราชสุริยะยื่นปลายทวนหมายลำคอสั่นวะวาบ แล้วแลมองพจน์อย่างเย็นชา มาตะกำดาบทองประชิดท้ายทอย ภัทรพจน์หลบเลี่ยงความอึดอัดตรวจดูอาการนายกองคชบาลผู้ล้มลงแสบนัยนาเพราะเล่ห์กลของคนขลาดเขลา พร้อมกับรู้สึกเสียดเจ็บอกด้านซ้ายซ้ำอีกอย่างหาสาเหตุไม่ได้


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
______________________________

อสงไขย : มากจนนับไม่ถ้วน หรือ โกฏิ (๑๐ล้าน) ยกกำลัง ๒๐

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

แผนการของจอมปีศาจก็ดำเนินไปในทางที่ว่างไว้  เหลือแต่ทางพจน์ที่ยังไม่รู้อะไรสักอย่าง  แบบนี้คงจบแบบเศร้าๆอีกแน่ๆ  เมื่อรู้ก็เกือบสายแล้ว ส่วนเรื่องความรัก  ผมไม่เคยน้ำตาไหลเพราะมันนะ  เพราะผมไม่เคยรักใคร  จึงไม่รู้ว่าความรักมันเป็นแบบไหน ก็แค่อ่านนิยายรักๆ  เวลาที่เขาต้องเสียใจ ตัวผมกับคิดว่าจะร้องไห้ไปทำไหมกับคนที่ไม่รักเรา  ถ้าจะร้องจริงๆผมว่าน่าจะร้องตรงที่มีอุปสรรค ทำให้คนรักกันต้องห่างต้องจากกัน  อันนี้ผมพอเข้าใจนะ  แต่ไปร้องให้คนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเรานี้  ผมว่าไม่น่าร้องเลย  ออกนอกโลกล่ะ  ยิ่งแก้ปัญหาก็เหมือนมันยิ่งเพิ่มขึ้นนะ  ไม่รู้ว่ามันจะเฉลยออกมาแบบไหน  ตอนนี้ตามความคิดคนแต่งไม่ทันแล้ว  รอแต่ว่ามันจะมีอะไรทำให้เรื่องนี้จบลง  ขอแค่อย่าให้มันจบแบบละครหลังข่าวพอ  พอคนไม่ดีจะตาย  กลับตายง่ายๆไม่สมกับสิ่งที่มันทำเลย  อ่านแล้วคัดใจมาก(อินขั้นรุนแรง)  ถึงศาสนาจะบอกว่าอย่าจองเวร  ให้อภัย  แต่คนชั่วกับไม่ได้รับความเจ็บปวดจากสิ่งที่ทำเลย  มันอดน้อยใจ  และทำให้ไม่มีแรงให้ทำความดีอ่ะ  ผมว่าคนชัวหลายคนคงคิดแบบผม  จึงยอมจะทำสิ่งไม่ดีเพื่อให้ได้มา  มันง่ายกว่าถึงจะรู้ว่ามันมีจุดจบไม่ดีก็ตาม  แถมปัจจุบันนี้คงไม่มีใครจะดีขนาดนั้นหรอก  เพราะทุกวันนี้มีแต่ตาต่อตาฟันต่อฟันกันทั้งนั้น  ออกนอกโลก  ส่วนเรื่องน้ำตาผมไม่ได้แคลงใจอะไร  เพราะคนเขียนจะเขียนแบบไหนก็แล้วแต่คนแต่งเลย  ยังไงก็ชอบเรื่องนี้มากอยู่แล้ว  ตอนนี้ก็ลุ้นแต่ว่าเมื่อไหร่  พจน์จะเก่งสักที  รอการเฉลยของปัญหาต่างๆจะแย่อยู่แล้ว  ลุ้นมาก  ยิ่งมาฉากส่งท้าย  เล่นเอางงตาแตกกันเลยทีเดียว
แผนการของปีศาจในครานี้จะสำเร็จหรือไม่ และพจน์จะตระเตรียมรับมือได้ทันการณ์หรือเปล่า ในอีกไม่กี่ตอนข้างหน้าคุณคงได้รู้คำตอบของคำถามนี้ กรุณาเตรียมใจเผื่อไว้บ้างก็ดีนะครับ อิอิ ถ้าพูดถึงประสบการณ์ชีวิตด้านความรักนี่ผมผ่านมาทุกรูปแบบครับ ตัวอย่างก็เช่นฉากขโมยจูบในเรื่อง แต่เท่าที่เคยอ่านนิยายจนถึงขั้นรู้สึกอินมากๆก็อย่างที่คุณว่า โดยเฉพาะฉากพลัดพราก ยิ่งรักกันมากก็เศร้าแทน สำหรับการคาดเดาเนื้อเรื่องที่คุณว่าตามความคิดผมไม่ทันนี้ ถือว่าเป็นคำชมละกันครับ อิอิ จะหักมุม หรือจบแบบไหน จะจบแบบละครหลังข่าวหรือเปล่า รอถึงบทสรุปแล้วช่วยกรุณาวิจารณ์อีกรอบนะครับว่า ถูกใจ หรือ ผิดหวัง ยินดีรับฟังความคิดเห็นเสมอครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:33:31 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ pnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
มีอีกเรื่องราวแล้วสิ  จะทำยังไงล่ะทีนี้  เฮ้อ  พจน์ละก็นะ  แต่ก็นะคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นมันก็ได้ทั้งดี  และมีเรื่องตามมาอีกแน่ๆเลย  คราบจะรอนะ 

ออฟไลน์ zeroj

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 565
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เราเพิ่งเข้ามาเจอเรื่องนี้   และเรากำลังสงสัยอยู่ว่า  เราข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไรตั้งนานนนนนน

เราอ่านจนถึงตอนล่าสุดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว    :laugh: :laugh: :laugh:  คอมเม้นเอาตอนเช้านี้แหละ

ภาษาในการเขียนสวยงามมากกกกกกกกกกก

การใช้โครงกลอนในการแต่งประโยคหรือในคำพูด  แบบนี้หายากมากในนิยายในปัจจุบัน

เพราะถึงแม้มีการเขียนโครงกลอนแทรกเข้าไปในบางเรื่อง  แต่มันไม่เยอะเท่าเรื่องนี้เลย

ทำให้เนื้อเรื่องและภาษาของเรื่องนี้มีความแตกต่างอย่างมาก

สงสารมาตะกับพจน์ที่สุดเลย  เมื่อไหร่จะสมหวังในรักซะทีนะ

ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติก็พรากจากกันตลอดเลย   (คนเขียนใจร้ายยยยยยยย   :o12: :o12: :o12:  )

สิ่งที่รู้ได้จากในเรื่องนี้  ว่า  คนที่คู่กันแล้ว ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ  ก็ย่อมคู่กัน   

เอาใจช่วยมาตะ  และ  พจน์   ขอให้ผ่านอุปสรรคทั้งหลายไปได้โดยพลัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]



กลิ่นสุราข้าวหมักดองอบอวล ผสานล้วนถ้อยสนทนาวาทีเป็นฉากหลังแวดล้อม พจน์ยื่นจมูกสูดเครื่องหอมละมุนจากผิวกายแล้วพินิจเค้าหน้าเจ้ากรมคชบาลตกต้องแสงไต้ไฟเป็นเงาคุ้นเคย ทั้งนัยน์ตาเข้ม และมุมปากดื้อรั้นบ่งนิสัยเฉพาะตัว มิน่าเล่าเด็กสาวชาวบ้านชุมนุมรอบลานวิวาทจึงแอบส่งเสียงเอาใจช่วยดังขรม ก็ด้วยรูปลักษณ์หน้าตาจัดว่ารูปงามอย่างหนึ่ง ทั้งกิริยาหยิ่งในศักดิ์ศรีอีกหนึ่ง ประกอบเป็นท่าทางองอาจสมขุนศึกชาติชายใจทหาร แต่บัดนี้ดวงตาเข้มมามีอันต้องรอยแดงเพราะเศษดิน ซึ่งถูกชำระล้างสิ้นลดระคายเคืองลงมากแล้ว

“ข้าขอขอบคุณเหล่าท่านเป็นอันมาก ที่มีน้ำใจเข้าช่วยในยามคับขัน” นายกองคชบาลยกจอกเหล้าขึ้นแล้วยกดื่มพร้อมด้วยพระมหาอุปราชสุริยะ กฤษณะ เวฬุ และโกสินทร์ซึ่งนั่งล้อมวงอยู่ พจน์รีบยกดื่มตามเพราะมัวเหม่อคิด ส่วนปัญจะ จาโคได้รับหน้าที่ให้เฝ้ายามรักษาการณ์ คาวิน และวรุณเฝ้าสัมภาระพ่วงดูแลจตุบทอาชาให้ดื่มน้ำกินหญ้าเสริมกำลังเรี่ยวแรง

“หาจำเป็นต้องขอบอกขอบใจไม่ นายกองธวัชฉัตร เป็นกิจอันควรสำหรับผู้มีฝีมือเพลงอาวุธประจำตนพึงกระทำ ยามเมื่อเห็นคนได้รับความเดือดร้อนถูกเอารัดเอาเปรียบโดยมิสมควร” เวฬุเจรจายกจอกเหล้าดื่มซ้ำ หน้าขึ้นสีชมพู

ท้องฟ้าขณะนี้กระจ่างใสเห็นดาวเดือนลอยเกลื่อน โรงสุราเป็นร้านค้าขนาดใหญ่ตั้งติดริมคูน้ำกำแพงเมืองเบื้องทิศตะวันออก ทุกแคร่ไม้ต่างเติมเต็มด้วยนักเลงสุราหลากวัยหลากประเภท ทั้งขาประจำแลขาจร อยู่ท่ามกลางแหล่งชุมชนบ้านเรือนหลังคามุงจากแน่นขนัด
 
“ในเพลาบ้านเมืองกำลังเผชิญศึกสงครามไกลโพ้นกระนี้ หามีคนประเภทอย่างท่านว่า ตรองดูแล้วนับได้เพียงหยิบมือ ด้วยวิสัยเอาตัวรอดเมามัวสนแต่ความสุขส่วนตนเป็นที่ตั้ง มิได้พึงระลึกถึงกิจการบ้านเมืองอันหน้าสิ่วหน้าขวาน ตริแต่เพียงว่าผืนปฐพีอาณาจักรสงบสุขร่มเย็นจึ่งใช้เพลาราชการสำมะเลเทเมาไร้แก่นสาร แต่หารู้ไม่ว่า มหาศึกกลางพิภพกำเนิดเกิดขึ้นแล้ว แหละในไม่ช้าหากเราต่างเพิกเฉยมิฝึกปรือ ฤา เตรียมพร้อมให้จงหนัก คราวมหาภัยเหยียบย่ำถึงขอบขัณฑสีมาก็สายเกินแก้เสียแล้วดั่งนี้ ท่านถึงได้เห็นกับตาตนเองว่า บุคคลผู้รั้งตำแหน่งถึงนายทหารกองอาชาจึ่งมีประพฤติหยาบช้า ซ้ำยังครองตนดุจจระเข้ขวางคลอง กล่าวคำว่าร้ายใส่ไคล้ข้าเป็นข้อฉกรรจ์ มิใช่หนสองหน แต่ทุกครั้งเมื่อฤทธิ์สุรากำเริบหนักก็มักกล่าวเป็นคำแสลงหูเช่นทุกครา ครั้นนิ่งเฉยกลับขี้แพ้ชวนตีท้าต่อยจึ่งอดระงับอาการไว้มิได้” มิตรหน้าใหม่ลำดับที่มาเรื่องราวแลความปริวิตกในใจ ส่วนนายกองม้าคู่แค้นนั้นลนลานกระเสือกกระสนหนีหายแหวกกลางชุมนุมชนช่วงชุลมุน

“ข้อวิวาทอันส่งให้ท่านมิอาจระงับข่มใจได้เห็นจะเป็นด้วยข้อเสพสังวาสในเพศเดียวกันกระมัง” พระมหาอุปราชสุริยะเท้าความข้อมิควรขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเสียงหัวเราะ พลันสีหน้าธวัชฉัตรก็ปรับเป็นไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
 
“แม้นท่านมิได้ดำรงอยู่ในฐานะผู้มีคุณต่อข้าแล้ว ฝีปากกล้าแลโฉมหน้ารูปงามนั้นเห็นจักต้องได้ลิ้มรสศอกหมัดเป็นรางวัลเซ่นคำแน่ ก็แหละข้ากล่าวเป็นข้อต้นแล้วด้วยมิได้ปลื้มแลระคายในสิ่งซึ่งอันเป็นชนวนทะเลาะดั่งนั้น ไฉนเลยท่านพ่อค้าจึ่งยกขึ้นมากล่าวซ้ำเสมือนตบหัวลูบหลัง มิเห็นข้าสนทนาอยู่เบื้องหน้าท่านกระนั้น” ความไม่พึงใจผุดกลายเป็นดวงตาดุ ซ้ำฤทธิ์สุราหลายไหก่อสติให้ฮึกเหิมยิ่งกว่ายามปรกติ
 
“ไยนายกองคชท่านจึ่งขัดเคืองคำซึ่งมิเป็นความจริง หนำซ้ำเก็บมาคิดให้ระคายหู หากมิเป็นจริงดังคำให้ร้ายก็ใช้สุราลบเสียเสมือนหนึ่งล้างหูด้วยเมรัย คำคนหรือจะสู้ความสัตย์จริงประจำตัวได้ โปรดจงอย่าโกรธคำสุริยะวาณิชเลย จงยกดื่มลบล้างเสียเถิด” โกสินทร์เห็นการณ์เอนเอียงมาทางวิวาทซ้ำก็แก้กลตวงสุรานำยื่นให้

ธวัชฉัตรนายกองเมื่อแรกเห็นสายตาแลเครื่องหน้ารูปงามของสุริยะอุปราช ก็สะดุ้งเป็นที่ติดตา ทั้งผิวพรรณละเอียดขาว ราวกับมิเคยต้องลมฝน ฤา ตรากตรำแสงแดด ประกอบเป็นลักษณะเปล่งปลั่งจับตาผิดคนธรรมดาหนึ่ง ทั้งท่าทีขยับเดิน หรือการวางตัวนั่ง ทั้งวาจาสนทนาก็มีจังหวะโอ่อ่าผ่าเผยผิดสามัญอีกหนึ่ง ทั้งสองประการก่อเป็นคำถามค้างคาใจ ครั้นถูกคำลบหลู่ของบุคคลซึ่งตัวสู้พิจารณามาแต่ต้นว่ากล่าวให้ร้ายมิต่างจากนายกองม้าคู่ปรับเช่นนั้นก็พลันเกิดโทสะขึ้นในใจ แต่ถูกเหล่าเกลอทั้งนั้นเกลี้ยกล่อมให้คลายลงก็นิ่งอยู่ เขม้นจับสายตาของสุริยะคู่หมายไว้แน่วแน่เนืองนิตย์ ระหว่างยกจอกเหล้าตามคำเชื้อเชิญของกัลยาณมิตรใหม่ก็บังเกิดจับพิรุธได้ซ้ำว่า ยามใดเจ้าภัทรพจน์หน้างาม ถูกเจ้าหนุ่มนามมาตะหรืออีกคนชื่อกฤษณะสัพยอกไต่ถาม แววตาของสุริยะวาณิชก็มักจะตวัดมองพร้อมใส่หน้ายักษ์ไม่รื่นรมย์ทุกครั้งไป กะเกณฑ์เกิดข้อสงสัยจนฤทธิ์สุราส่งเสริมให้กำเริบถามไถ่ในทันที

“กระไรหัวหน้าพ่อค้าผู้นี้ทำกิริยาดุจมิพึงใจในการร่ำสุราสนทนาวาที ทั้งตัวเป็นบุรุษรูปงามแม้แต่สตรีทั้งหลายในลานเหล้าต่างเหลียวแลเป็นที่สะดุดตาจึ่งสำแดงสีหน้ามิเป็นสุข ใครผู้ใดทำท่านผู้มีคุณต่อธวัชฉัตรให้ก่นทุกข์แค้นเล่า วอนแจ้งเราผู้เป็นสหายใหม่นี้เถิด ข้าจักอาสาดับโทสะนั้นให้คลายลง”
 
พระมหาอุปราชยินคำกล่าวถึงตัวฉะนั้นมัวแต่พะวงข้อในใจก็ตวัดสายพระเนตรมองเจ้าหนุ่มรุ่นกระทงวัยเดียวกันด้วยความไม่พอใจซ้ำไปอีกแลตรัสว่า

“ความใดเป็นข้อสำคัญในใจเรา จงปล่อยไว้เป็นธุระเราจัดการ คนนอกมิรู้สนิทโปรดอย่าได้วุ่นวายลำบาก หากประสงค์ให้เราเพลิดเพลินแล้วกรุณาสงบปากเสียบ้างก็จักเป็นคุณอย่างสูง”

ภัทรพจน์มิได้สนข้อคำชวนคุยของกฤษณะเท่าใดนัก ตอบ อือออ เป็นครั้งคราว เพราะมัวแต่ลอบสังเกตกิริยาท่าทางของนายกองคชอยู่ แม้นมาตะจะนั่งเคียงคู่อีกด้านทั้งมีอาการนิ่งหงอย อุตส่าห์ฉีกเนื้อปลาเผาแยกก้างออกให้พจน์กิน ตนก็ทำเมินเฉยเป็นการลงโทษ เจ้านั่นก็นิ่งเงียบทอดตาตกลงไม่ทำการอื่นใด แม้เหล้าสักจอกหนึ่งก็มิได้แตะ ครั้นเห็นถ้อยคำสุริยะอุปราชโต้ตอบไม่ถนอมน้ำใจมิตรใหม่ก็เอ่ยแทรกโดยเร็ว

“เอ่อ ท่านนายกอง ไม่ต้องสนใจคำพูดของคนคนนี้ พูดจามะนาวไม่มีน้ำแบบนี้ อย่าไปสนทนาด้วยเลย โปรดยกเหล้าดื่มล้างหูคำแสลงสักจอกหนึ่งเถอะ”

ฝ่ายธวัชฉัตรชะงักงันประหนึ่งหมูเขาจะหามเอาคานเข้าไปสอด ก็บังเกิดความรู้สึกน้อยใจผิดวิสัย ทั้งที่ตัวมิเคยรู้จักมักคุ้นคนเหล่านี้โดยเฉพาะเจ้าคนชื่อสุริยะ เพียงแต่สดับคำปฏิเสธดั่งคนโง่เสนอยุ่งเรื่องไม่สมควรก็ก่อความอัดอั้นตันใจ

สติสัมปชัญญะอันควรมีประจำยศศักดิ์มามีอันละทอนลง ทั้งด้วยฤทธิ์สุราแลอารมณ์ส่วนตน แต่ความรู้ถูกผิดยังคงหลงเหลือก็หักใจ แลคิดอุบายได้อย่างหนึ่งก็พลันวาดรอยยิ้มกว้าง พลางว่า

“สุริยะผู้นี้เห็นจะมิใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือย คงมีนางเมียคอยรับใช้มากน้อย แลนับด้วยมือทั้งสองข้างมิได้หมด ด้วยรูปกายาเป็นสิ่งโหยหาแลเชื้อเชิญเหล่าสตรีให้ยอมถวายมอบพรหมจรรย์โดยถ้วนหน้า ซ้ำคราวเดินทางค้าขายพลัดถิ่น หญิงงามประจำเมืองแหล่งที่ค้าผ่าน มีหรือท่านจักมิได้เชยชม ก็บุรุษใดเพียบพร้อมทั้งรูปทรัพย์ แลฐานานุรูปครบครันเช่นสุริยะท่านนี้ มิควรที่จะวาดหน้าไม่พึงใจให้ได้เห็น มีแต่จะยิ้มแย้มเย้าเคล้าชื่นบานเป็นหลักชัยเสมอกัน ฤา ว่าท่ามกลางลานสุรา มีหญิงใดในสายตาท่านมิสำแดงปรารถนาในกายให้เห็นจึ่งปั้นหน้าเป็นยักษ์มารเฉกนั้น จงแจ้งกล่าว ธวัชฉัตรผู้กล้าจะขออาสาใช้คารมเชิงชายตอบแทนคุณ เกี้ยวนางผู้ท่านหมายตามามอบให้เป็นของกำนัล”

สุริยะอุปราชสดับคำเจ้าหนุ่มหน้ามนดวงตาเยิ้มแล้วก็พลันพระพักตร์บึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม ทรงดำริในพระหทัยว่า หากลองพิจารณาด้วยสายพระเนตรแล้วก็เป็นขุนทหารฝีมือเยี่ยมผู้หนึ่ง ฝีปากฉะฉานเก่งมิแพ้แกมกัน ทั้งท่าทีอาจหาญเสมือนหนึ่งอาสาจะเกี้ยวพาราสีนำสตรีมาฝากตนเป็นข้อตะขิดตะขวงใจ เห็นแววตาสบมองเขม็งก็ละจากดวงหน้าภัทรพจน์มาจับจ้องชั่วขณะ คนผู้นี้ดูภายนอกก็มิได้รูปชั่ว ซ้ำพิศมองแต่โดยพิจารณาละเอียดถี่ถ้วนก็รูปงามสมชายชาตรี เห็นประกาศวาทีจักสำแดงทักษะตัวขันอาสา ก็แย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่า

“เมียเรานั้นมีนางเดียวแลหามีมากตามเจ้าคะเนไม่” ตรัสค้านพลางลอบมองภัทรพจน์ “ใจเรารักใครก็ภักดีต่อคนผู้นั้นเพียงหนึ่งตามทำนองคลองธรรม จะสามารถแบ่งใจไปรักใครนอกกว่านี้ทำมิได้ ก็แหละธวัชฉัตรนายกองพิเคราะห์เห็นจะมากเมียเสียยิ่งกว่าข้า จึ่งเอ่ยอ้างสรรพคุณว่านอกกว่าฝีมือดาบแล้วยังมีฝีปากเป็นเอก ขันอาสาประสงค์นำตัวสตรีมาฝาก ขอขอบน้ำใจ เห็นจะมิต้องตกระกำลำบากถึงเพียงนั้น ใจเรารักใครแล้วก็มิอาจปันหรือไปปฏิบัติต่อผู้อื่นเฉกคนรักตัวได้ อภัยเสียเถิด”

ธวัชฉัตรได้ยินกับหูรู้กับตาแน่ชัด ทั้งรับว่าจริงว่า คนผู้นี้หมายใจเจ้าหนุ่มหน้าสวยหล่อก็เกิดก่อทิฐิมานะอยากเอาชนะให้สุริยะผู้คิดไม่ซื่อรู้ว่า กิริยาท่าทางของคนผู้ครองนัยน์ตาสีน้ำตาลนอกจากมีเจ้าคนชื่อมาตะเต็มอยู่ในห้วงใจแล้วมิเห็นเป็นใครอื่นอีก ก็ผุดลุกขึ้นยืนตบมือพร้อมหัวเราะดังลั่น

“ข้าธวัชฉัตรนับแต่เจริญวัยเข้ารุ่นหนุ่มจนกระทั่งบัดนี้ยังครองตัวโสด ไร้นางเมียตกแต่งเข้าเรือนเป็นกิจจะลักษณะ ด้วยมุ่งมั่นฝึกหัดศิลปศาสตร์วิชาอาวุธ ตั้งต้นแต่ตะพุ่นหญ้าช้างจนเทียบยศชั้นนายกองได้ในวัยอายุน้อยจนพลอยไร้คู่หมาย แต่ข้างกายจักไร้สตรีมาบำเรอนั้นมิได้ขาด เพราะคารมปากบาดคมเสนาะหู จึ่งเป็นที่เอ็นดูของอิสตรี ด้วยสำนึกดีจักตอบแทนคุณเลยอาสา ครั้นสุริยะท่านมินำพาปฏิเสธน้ำใจก็อดสงสัยไม่ได้ พอลองสืบเสาะหาเหตุก็พบว่า มิเคยเห็นเรื่องราวใดตลกขบขันเท่าสิ่งที่เกิดอยู่ตรงเบื้องหน้านี้มาก่อน” ว่าพลางก็ขบขันพลาง
 
“ไยท่านมามีอาการเหมือนหมู่ข้าสำแดงท่าทีหรือเล่าเรื่องขำขันจนก่อให้ท่านร้องขึ้นเจียวหรือ เมตตาแถลงแจงด้วยเถิด” เวฬุเงยหน้ามองเห็นกิริยาแปรผันก็พลันสงสัย
 
“ฮ่าๆ จักว่าเราเห็นแต่เพียงผู้เดียวก็อาจถูก ด้วยวิสัยเดิมเป็นคนมีทักษะสังเกตกิริยาคนและน้ำใสใจจริงประจำตัวแต่ละผู้จนช่ำชอง ท่วงทีหรือสายตาใดสำแดงบ่งความภายในล้วนเห็นแจ้งประดุจเอ่ยเป็นถ้อยคำ ก็แหละหว่างกลางการร่ำสุราเราบังเกิดเห็นสิ่งเหล่านั้น จนมิอาจกลั้นขำไว้ได้จึ่งสำแดงท่าทีอย่างที่ท่านเห็นอยู่”
 
“เจ้าเห็นข้อความใดจงแจ้งพลัน อย่าได้ทำอมพะนำลีลายื้อยักอยู่” กฤษณะตวาดเสียงดังตามวิสัยเดิม

“หากจักว่าเป็นเรื่องตลกก็คงตลกเฉพาะข้า เกลือกท่านรู้คงไม่ตลกขันเช่นด้วยกระมัง ทว่าจะเอ่ยความจริงก็เกรงการนองเลือดในลานโล่งนี้ ฤา ไม่ใครผู้ใดผู้หนึ่งก็คงได้แผลฝากไว้ประจำตัวเป็นแน่” ธวัชฉัตรพูดขบขันแต่นัยน์ตาผิดต่างจากท่าที

“เอ่อ ท่านคงเมามากแล้วล่ะ นายกอง เราเลิกดื่มกันเถอะ” พจน์สังเกตเห็นสถานการณ์วงเหล้าเปลี่ยนเป็นตึงเครียดหวั่นจะเกิดเรื่อง

“สิ่งใดอันเจ้าแจ้งแก่ใจไยจึงซ่อนงำไว้ จงรีบแจ้งเราอย่าช้าที กิริยาลับลมคมในนี้มิต้องใจเรา” สุริยะอุปราชซักไซ้สีพระพักตร์เฉยชา ธวัชฉัตรหัวเราะซ้ำแลโต้เถียงว่า

“หากเป็นประสงค์จากหัวหน้าวาณิช ข้าก็ยินดีจักเฉลย ก็เพราะเรื่องอันข้าประจักษ์เกี่ยวกับตัวสุริยะท่านโดยเฉพาะ ความรักอันท่านมอบให้นางเมียผู้เฝ้าเหย้าเรือน แลพรรณนาว่ารักเดียวใจเดียวมิอาจผันแปรปันให้ใครได้อีกนั้น เห็นจะไม่เป็นจริงดั่งว่า เชิงชั้นลมปากคนเราจักโป้ปดเยี่ยงไรก็หามีใครขัดขวางได้นอกจากตัวเอง ทั้งความซื่อสัตย์ภักดีจักมีอยู่ในใจจริง ฤา ไม่ คนผู้นั้นต่างรู้เองมิใช่ใครอื่น แต่บัดนี้ข้า ธวัชฉัตร นายกองคชบาลแห่งเมืองทวาระบุรี ขอให้สัตย์สาบานว่า คำพูดนับจากนี้มิได้ปั้นแต่งหรือพูดปดมดเท็จแต่อย่างใด หากผิดจากคำเรากล่าวขอให้ตายอย่างน่าอนาถในสามวันเจ็ดวัน”

“มิเห็นท่านต้องนำความเป็นตายมายืนยันท่ามกลางสมาคมเช่นนี้เลย อารมณ์สนทนาร่ำสุราเป็นแต่เพียงการผูกมิตร หาควรจริงจังถึงเพียงนั้นไม่” โกสินทร์ไกล่เกลี่ยโดยซื่อ

“มิได้ จำเราต้องกล่าวเป็นคำมั่นฝากไว้ มาตรแม้นถ้อยความจุกใจใครผู้ใด จักถือโทษโกรธแค้นเคืองก็พึงระลึกได้ว่า ธวัชฉัตรผู้นี้เจตนาลั่นวาจาโดยสัตย์จริง”

“แหละสิ่งอันท่านลอบเห็นเป็นความตื้นลึกใดจงแจ้ง แล้วเสร็จก็จงนั่งลงสนทนาต่อกันสืบไป” กฤษณะย้ำเตือน
 
สีหน้าของธวัชฉัตรแดงแต่ดวงตากลับคืนปกติ สติสัมปชัญญะสำนึกรู้ถูกผิดกลับคืนดั่งฤทธิ์สุรามิได้ทำอันตรายต่อร่างกายและจิตใจตน เหลือบมองสบสายพระเนตรของพระมหาอุปราชแน่วแน่พร้อมกล่าวว่า

“คำมั่นอันท่านกล่าวว่า รักเดียวใจเดียว เกรงจะมิเป็นจริง สุริยะ ก็แหละท่ามกลางวงสุรานี้ท่านเผลอสำแดงแววตาอย่างหนึ่งซึ่งผิดไปจากคำพูดเสียสิ้น ใจซึ่งมั่นคงนั้นถูกปันให้แก่...”

ยังมิทันที่นายกองคชหน้าซื่อจะอรรถาธิบายจบ พระมหาอุปราชสุริยะก็ฉวยมือธวัชฉัตรโน้มเข้าหาพระองค์แล้วใช้หัตถ์อีกข้างเหนี่ยวลำคอ ขยับยื่นพระโอษฐ์จุมพิตปิดปากนายกองคชบาลแห่งเมืองทวาระบุรี เป็นที่ไม่คาดฝันแก่ผู้ร่วมวงสุราทั้งนั้น แม้แต่นายกองคชามีชื่อก็มิอาจรู้การณ์ล่วงมาก่อน


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
______________________________

หมูเขาจะหาม เอาคานเข้าไปสอด : เข้าไปขัดขวางขณะที่ผู้อื่นทำการกำลังจะสำเร็จ (มักใช้แก่การเกี้ยวพาราสี)

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

:pig4:
ขอบคุณที่ติดตามอ่านเช่นเดียวกันครับ บทที่ ๓๐ ครึ่งหลังมาแล้วนะครับ เป็นยังไงบ้างติชมได้เลยครับ

มีอีกเรื่องราวแล้วสิ  จะทำยังไงล่ะทีนี้  เฮ้อ  พจน์ละก็นะ  แต่ก็นะคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นมันก็ได้ทั้งดี  และมีเรื่องตามมาอีกแน่ๆเลย  คราบจะรอนะ
ครับ เหตุการณ์หลายอย่างที่พจน์ต้องเผชิญยังคงดาหน้าเข้ามาเรื่อยๆ หวังว่าคุณจะพร้อมติดตามชีวิตของพจน์ต่อไป ขออย่างเดียวอย่าได้หน้าแล้วลืมหลังนะครับ (หมายถึงเนื้อเรื่องครับ อย่าคิดลึกนะ) เพราะบางทีเรื่องราวที่ผ่านไปแล้วก็เกี่ยวพันกับเรื่องที่จะดำเนินมาถึงในอนาคต นั่นก็คือ ปมทั้งหลายที่ยังค้างคาอยู่และพร้อมจะเฉลยนั่นเอง

เราเพิ่งเข้ามาเจอเรื่องนี้   และเรากำลังสงสัยอยู่ว่า  เราข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไรตั้งนานนนนนน

เราอ่านจนถึงตอนล่าสุดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว    :laugh: :laugh: :laugh:  คอมเม้นเอาตอนเช้านี้แหละ

ภาษาในการเขียนสวยงามมากกกกกกกกกกก

การใช้โครงกลอนในการแต่งประโยคหรือในคำพูด  แบบนี้หายากมากในนิยายในปัจจุบัน

เพราะถึงแม้มีการเขียนโครงกลอนแทรกเข้าไปในบางเรื่อง  แต่มันไม่เยอะเท่าเรื่องนี้เลย

ทำให้เนื้อเรื่องและภาษาของเรื่องนี้มีความแตกต่างอย่างมาก

สงสารมาตะกับพจน์ที่สุดเลย  เมื่อไหร่จะสมหวังในรักซะทีนะ

ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติก็พรากจากกันตลอดเลย   (คนเขียนใจร้ายยยยยยยย   :o12: :o12: :o12:  )

สิ่งที่รู้ได้จากในเรื่องนี้  ว่า  คนที่คู่กันแล้ว ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ  ก็ย่อมคู่กัน   

เอาใจช่วยมาตะ  และ  พจน์   ขอให้ผ่านอุปสรรคทั้งหลายไปได้โดยพลัน
ขอบคุณที่คุณชอบเรื่องนี้นะครับ เยี่ยมมากครับที่อ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุด (แถมคงใช้เวลาทั้งคืนด้วย แล้วนี่ได้นอนพักบ้างหรือยังครับเนี่ย แอบเป็นห่วงคนอ่าน อิอิ) ซึ่งเนื้อหาก็ไม่ใช่น้อยๆเหมือนกัน สุดยอดครับ

ตอนแรกที่ผมตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนชอบแต่งกลอนมาแต่เดิม ประจวบกับชอบอ่านนิยายเก่าๆ ที่ภาษาสวยๆ จึงซึบซับบรรยากาศนั้นมา บวกกับเป็นคนชอบอ่านนิยายแนวแฟนตาซีด้วย แล้วช่วงหลายปีหลังมานี้ก็สิงอยู่ในเล้าเป็ดเป็นสาวกนิยายวายเข้าไปอีก จึงผนวกกลายเป็นนิยาย ข้ามพิภพ เรื่องนี้ เจตนาแรกไม่ใช่เลือกเขียนแนวนี้เพราะอยากให้แตกต่าง แต่เป็นเพราะความชอบมาแต่เดิมตามที่กล่าวข้างต้น แต่ก็อดกลัวไม่ได้ว่า การเขียนด้วยลักษณะภาษาแบบนี้จะมีคนสนใจหรือ ตอนแรกก็เกือบถอดใจ แต่พอมีผู้อ่านติดตาม ทั้งติ ทั้งชม ถึงจะไม่มากก็สร้างกำลังใจได้เยอะขึ้น เพราะในความคิดผม นอกจากจะนำเสนอเรื่องราวความรักซึ่งเป็นหัวใจหลักของนิยายแล้ว ก็อยากจะนำเสนอความสวยงามของภาษาไทยของเราด้วย ตอนผมอ่านนิยายแล้วเจอคำศัพท์เก่าๆที่ปัจจุบันแทบไม่มีให้เห็นแล้วก็เหมือนเจอขุมทองขุมทรัพย์อย่างไรอย่างนั้น จึงอยากจะเอามาแบ่งปันผู้รักการอ่านท่านอื่นๆได้เห็นได้รู้ได้รู้สึกอย่างเดียวกับผม

เรื่องโคลงฯกลอนก็เป็นแกนหลักที่ผนึกรวมเข้ามาในนิยาย คือผมชอบแต่งอยู่แล้ว แต่จะแต่งยังไงให้เข้ากับนิยายวายเรื่องแรกก็ลองพิจารณาว่า โครงเรื่องเป็นเรื่องราวระหว่างสองภพ ก็เลยสร้างตัวละครเอกให้เชี่ยวชาญการแต่งกลอนไปเลย ฮ่าๆ ทั้งภพหนึ่งจำลองมาจากยุคอดีตเมื่อหลายร้อยปีก็เหมาะกันดีจะนำมาใช้ แล้วก็เป็นกุญแจสำคัญในการเดินเรื่องกล่าวคือ ทั้งเป็นบทร่ายคาถา บทอัศจรรย์ บทปริศนาต่างๆ บทพยากรณ์ เป็นต้น หากคุณชอบก็คงจะได้เห็นกันอีกเรื่อยๆ รอติดตามนะครับ

ที่คุณว่า คนที่คู่กันแล้ว ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ ก็ย่อมคู่กัน ถือว่าคิดเหมือนผู้แต่งเลยครับ แกนหลักของเรื่อง ข้ามพิภพ ก็คือสิ่งที่คุณได้ค้นพบนี่แหละครับ

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2016 13:23:00 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
ผมก็เป็นพวกได้หลังแล้วลืมหน้าจริงๆนั้นแหละครับ  แต่เหตุการณ์สำคัญก็ไม่ลืมนะ  เพราะมัรจะฝั่งใจอยู่  และรอดูว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน  อืมตอนล่าสุด  ทิ้งท้ายได้เจ็บปวดอีกแล้วครับ  เหมือนยามศักดิ์ศรีกันเลยระเนี้ย  คงไม่มีเลือดตกกันหรอกนะ  รอต่อไปครับ  กับการเฉลยปมต่างๆ

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
รักเขาข้างเดี่ยวมันทรมานจริงๆนะ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๓๑


บาทบริจาริกา


   
ตลับงาช้างสีขาวสลักลวยลายกนกสอดรัดพัวพันเป็นที่น่าสะกดมอง บรรจุผงแป้งดินสอพองสีขาวมิต่างจากภาชนะ ข้างเคียงเป็นแท่งดินสอดำทำจากผงถ่านมีขนาดเท่าปากกาหนึ่งด้ามวางไว้ ใกล้กันคือขวดแก้วบรรจุน้ำอบและแป้งร่ำส่งกลิ่นหอมฟุ้งแม้ยังมิได้เปิดออก ชวนให้บรรยากาศแวดล้อมน่าใหลหลงเคลิบเคลิ้ม พจน์จับจ้องสิ่งของสามอย่างอยู่ชั่วครู่จนกระทั่งเวฬุเอ่ยเตือนจึงได้สติ

“ภัทรพจน์เจ้า ไฉนจึงมิจัดแจงตระเตรียมแต่งโฉมให้เพียบพร้อม ศุภฤกษ์งวดใกล้เข้ามาแล้วจักเสียการ” เด็กหนุ่มร่างอวบสะกิดไหล่กระซิบ แล้วฉับพลันเหมือนสำนึกรู้อย่างหนึ่งผุดขึ้นในใจก็รีบเสริมว่า “เอ่อ เช่นนั้นเห็นควรข้าคงจักต้องเป็นพนักงานช่วยอีกแรง เคยลอบเห็นนางข้างในลองแต่งบ้างเป็นครั้งคราว”

“ต้องทำอะไรบ้าง เราไม่รู้วิธี” พจน์เปรย เหลือบมองชายหนุ่มอีกคนผู้นั่งบนเตียงนอนปูฟูกขาว ฉงนสนเท่ห์มิต่างจากพจน์ นายกองคชบาลสบสดับสนทนาอยู่ก็ซักด้วยอารมณ์เย็น

“พวกเจ้าทั้งสองจักทำการใด ฤา จึ่งพึมพำงึมงำมิรู้ความ” บัดนี้ธวัชฉัตรได้ถูกนำตัวไปชำระล้างอาบน้ำเนื้อตัวหอมฟุ้งนุ่งแต่เพียงผ้าหยักรั้งสีขาวเท่านั้น อาการมึนเมาจากฤทธิ์สุราจางหายโดยสายน้ำชโลมกายเสียสิ้น สติประกอบตัวจึงคืนเต็มกำลัง
 
“เหตุไรนายสุริยะผู้หยาบหยามจึ่งออกคำสั่งประหลาด แนะให้เจ้าทั้งสองพาดแขนกุมตัวข้ามายังห้องหับแห่งนี้ หากมิเกินกำลังจะแจ้งแล้วจงวานบอกเถิด ด้วยบัดนี้สับสนมึนงง มิอาจครองสติเหมือนเดิมได้”

ภัทรพจน์รู้ตื้นลึกหนาบางไม่ผิดต่างนายกองธวัชฉัตรเช่นกัน จึงผินหน้าขอความกรุณาจากเวฬุซ้ำอีกคน

“เอ่อ...” ท่าทีกระอักกระอ่วนของเวฬุสำแดงโจ่งแจ้ง ทั้งหลุกหลิกเหมือนสำลักคำพูดเป็นที่ขบขันหนึ่ง และผิวหน้าขึ้นสีแดงไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์สุราหรือความอายอีกหนึ่ง ทำให้พจน์อดลักลอบยิ้มมิได้ “ก็แหละนายกองธวัชฉัตรท่านมิได้ขัดขืนในการ...ล่วงล้ำก้ำเกินของสุริยะวาณิช อีกทั้งยินยอมในอ้อมกอดหลังจากถูกนายข้าเวียนจูบหนักมืออยู่หลายหน ล้วนไม่พ้นเป็นสัญญาณว่าสุริยะนายข้าประสงค์รักจากตัวท่าน แลท่านมิได้ผลักไสแต่อย่างใด จึ่งเป็นเหตุให้เราสองจำต้องพานายกองมายังห้องแห่งนี้”

เวฬุเล่าเท้าความได้อ้อมค้อมมาก ทั้งจะพูดโดยซื่อตรงว่า เหตุอันนายกองคชต้องถูกนำมาก็เพราะพระมหาอุปราชสุริยะประสงค์ในตัวก็มิอาจพูดได้เต็มปากเต็มคำ ในชั้นแรกพจน์คาดเดาไม่ถูกครั้นลำดับเหตุการณ์หน้าหลังแล้วเห็นมิพ้นว่า ค่ำคืนนี้ธวัชฉัตรคงต้องตกเป็นของพระอุปราชาแน่แท้ก็เข้าใจรูปการณ์ แม้ตนผิดใจไม่ลงรอยกับอุปราชหนุ่มมาโดยตลอด แต่ลึกซึ้งแล้วพจน์สัมผัสความอ่อนโยนภายใต้อาการไบโพลาร์แข็งกระด้าง ความห่วงหาเป็นภาพตรึงตราคราวระลึกชาติกินนร คือ สายตาอาทรของทหารราชองครักษ์ในพระเจ้าพัชรพรรดิ อดีตชาตินาม สัปะวามิต จึงสำทับว่า

“หรือนายกองท่าน ไม่ประสงค์ยินดีด้วยนายเรา ก็แจ้งมาแต่เนิ่นๆเถิด”
 
ดวงหน้าวางเฉยของธวัชฉัตรชั่วครู่เห่อร้อนแดง แต่ก็ระงับอาการให้สงบคืนดังเดิม พลางว่า

“กิริยาข้าแต่เท่านั้น ก็มีอันทำให้ตีเป็นเอนเอียงโน้มลงว่า หมายยอมทอดกายสู่นายของเจ้าแล้วกระนั้น ฤา ทั้งข้ามิได้ออกปากยินยอมสมรู้ร่วมคิดแม้สักถ้อยหนึ่งเป็นหลักฐาน หมู่ท่านจึ่งริอ่านตีขลุมว่ายินดีร่วมการด้วย ยังจักถูกอยู่หรือ”
 
“หามิได้ก่อน ด้วยมีสักขีพยานทั้งกลางลานสุรานั้นเป็นข้อหนึ่ง อันพึงยกมาสำแดงให้นายกองท่านใคร่ครวญซ้ำ ว่ากิริยาอาการจุมพิตของนายข้า แลท่าทางทอดกายในอ้อมแขนเป็นไปโดยยินยอมหามีการผลักไสหรือขัดขืนแต่อย่างใดไม่ ซ้ำท่านยังโต้ตอบจุมพิตนายเรามิพักออมแรงเสมอกัน หากมันผู้ใดแลเห็นก็มิอาจสันนิษฐานตีความเป็นอื่นได้นอกกว่าท่านทั้งสองประสงค์ร่วมสมัครใจผูกรักกันแน่แท้ ถึงแม้มิเอ่ยคำยอมปลงไว้เป็นหลักฐาน กิริยาทั้งนั้นนั่นแลคือข้อสำคัญ” เวฬุหว่านล้อมยกเหตุผลโต้แย้งละล่ำละลัก พจน์ไม่เห็นหนทางอื่นก็รีบพยักหน้าเห็นด้วย นายกองธวัชฉัตรตวัดมองพจน์แล้วทอดถอนใจใหญ่

“เอ่อ นายกองท่าน แท้จริงแล้วคิดสิ่งใดอยู่ ได้โปรดแจ้ง หากพวกเราคิดผิดตีความไม่ตรงกับใจท่านก็ให้บอกเถอะ” พจน์รุกถาม ด้วยความไม่สมยอมประจักษ์ชัด

“อนึ่งความจริงในใจ บัดนี้มาตรว่าตัวข้าก็มิอาจอรรถาธิบายร้อยเป็นถ้อยความให้พวกท่านล่วงรู้ หะแรกต้นบังเกิดความปลื้มปีติยินดีที่ยังหลงเหลือคนดีมีฝีมือแลน้ำใจ อาสาเข้าช่วยคนสิ้นไร้ถูกลอบแกล้งหนึ่ง จึ่งชักชวนมาร่ำสุราเป็นสิ่งตอบแทนน้ำใจเสมือนได้เกลอผู้มีจิตใจกล้าหาญแลภักดีต่อผืนแผ่นดินอีกหนึ่ง ครั้นระหว่างสนทนาประจักษ์เห็นว่าในหมู่คณะ ปรากฏมีคนสำแดงอิริยาบถ ทั้งวาจา แลรูปลักษณะเป็นที่ดึงดูดสะกิดให้พินิจมอง แลเมื่อลองใคร่ครวญจึงยกเหตุมาล้างว่า คนผู้นั้นเห็นจะเป็นเพราะมีคุณอย่างสูงช่วยชีวิตตัวจึ่งน่าพิศ ซ้ำไม่ค่อยพูดจานั่งนิ่งเสมอรูปปั้นเทวาฉะนั้น ใคร่ต่อคำสนทนาด้วย แต่บังเกิดเห็นว่า แท้จริงแล้วคนผู้นั้นไม่เพียงครองตัวสมฐานะ ทั้งองอาจสมชาติชาตรีแล้ว แววตานิ่งเฉยกลับแฝงเร้นความนัยมากมายไว้” ธวัชฉัตรส่งยิ้มอ่อนให้พจน์
 
“ข้าเคยบอกว่ามีทักษะในการอ่านสายตาคนออก ก็แหละท่าทีเข้มแข็งแต่นัยน์ตาอ่อนโยนขัดกันจนดึงดูดให้ข้าสงสัยใคร่รู้ ครั้นหยั่งสอบถามแลลอบสังเกตก็ค้นพบเหตุของกิริยาประหลาด ก็พลันเจ็บปวดใจแทน อีกทั้งรู้สึกตลก ทั้งหงุดหงิด ทั้งเศร้า ทั้งอยากปลอบโยน ผสานกันให้วุ่นวาย บัดนี้ผลของการพิเคราะห์กลับกลายทำให้ข้าต้องถูกพวกท่านพามาสู่ห้องนี้ แลท่านถามความในใจว่าข้ารู้สึกเช่นไร คือสับสนวุ่นใจเหลือประมาณ”

“แหละเช่นนั้น ท่านยอมปลงใจด้วยนายข้าหรือหาไม่ นายกองคชสาร” เวฬุรีบซักต้อน

“เราเป็นชายและนายเจ้าก็เป็นชายครองเพศเสมอกันเช่นนี้ ถึงวิถีประเพณีแห่งชาวเราแต่โบราณมิเห็นผิดประหลาด แต่ข้าเป็นถึงนักรบสนองคุณแผ่นดิน มีผู้ใต้บังคับบัญชาหลายพันกรมกองรองรับอยู่ เพียงข่าวลือปรักปรำว่าข้ามีวิสัยร่วมเสพสังวาสในเพศเดียวกันถ่ายทอดจากปากสู่ปาก จากหูสู่หูไปก่อนล่วงแล้ว ยังถูกเดียดฉันท์หมิ่นแคลนแลได้รับผลหย่อนความเกรงไม่เคารพเชื่อฟังของไพร่พลนับแต่ชั้นทหารเลวจวบแม่ทัพนายกองเซ่นคำทั้งนั้น หะนี้ตัวกำลังโผเข้าปฏิบัติสมดังคำลือให้เป็นหลักฐานหนักแน่นซ้ำอีก ชาตินี้ธวัชฉัตรจักหลงเหลือเหล่าโยธาใดพร้อมรับสั่งความอีก กิจมุ่งมั่นอาสาจู่โจมต่อสู้อริราชศัตรูภัยพาลในเบื้องหน้าจักระดมพลต้านทานได้เยี่ยงไร หากไม่มีผู้ใดเชื่อฟังนับถือ ทั้งสิ้นความสมานสามัคดีพังพินาศโดยดีเพราะประพฤติของขุนพลเป็นเหตุ”

เจ้าหนุ่มภัทรพจน์ยินถ้อยเจรจาขึ้นหน้าทุกข์ตรมแล้วสุดอัดอั้นตันอกแทน ความสวามิภักดิ์ต่อผืนแผ่นดินหนึ่ง แลความซื่อตรงในใจอีกหนึ่งขัดแย้งจนสร้างแววตาเจ็บปวด

“แลอีกประการหนึ่ง นายของเจ้าแท้จริงประสงค์รักในตัวข้าก็หาไม่ เป็นแต่เพียงปฏิบัติไปโดยมุทะลุคึกคะนองเท่านั้น หากผ่านพ้นราตรีแล้วคงเสียใจที่ออกคำสั่งใดไป มิผิดจากนี้ ผู้ใดเลยจักยอมมอบใจให้กับคนผู้ซึ่งพบเจอกันได้ยังไม่ถึงหนึ่งวันมิเคยพบ”

“ผมเคย” พจน์เผลอพูด

“เจ้า...กระนั้นหรือ”

“แปลกใจเหมือนกันที่อยู่ๆ ก็รู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะทั้งที่ไม่เคยพบกันมาก่อน เพียงเจอะครั้งแรกครั้งเดียวก็ทำให้รู้สึกเหมือนเคยเจอกันมานานมากแล้ว ผมเคยเป็นแบบนั้น” พร้อมยิ้มกว้าง

“เจ้ารู้ ฤา ไม่ สิริโฉมเยี่ยงนี้ หามีใครในพิภพจักครอบครองไว้ประดับตัว เพียงข้าสบมองก็พลันกระตุกวูบในอกมิต่างจากใครอื่น คือทั้งมีคุณแลทุกข์ในคราวเดียว เจ้าจะรู้หรือหาไม่ ว่ารูปสมบัตินี้ผูกพันใครไว้บ้าง”

พจน์สั่นศีรษะไม่อยากรู้

“คนเราจะรักกันคงไม่ใช่เพราะตัวเองเป็นเพศไหน หัวใจต่างหากที่บอกว่า คนทั้งคู่คิดตรงกันหรือเปล่า ไม่ทราบหัวใจท่านนายกองตอนนี้รู้สึกอย่างไรกับนายของเรา หากมองข้ามปัญหานอกกาย เหลือเพียงใจสองดวงแล้ว ท่านพิจารณาเถอะว่า ความรัก แท้จริงก็มีเพียงเท่านี้” เด็กหนุ่มโฉมสะคราญพูดจากใจจริง นายกองคชจ้องตอบเจ้าของคำราวกับกำลังค้นหาบางอย่างในดวงตาสีน้ำตาล แล้วว่า

“อุปกรณ์เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งซึ่งนางในไว้ใช้ตกแต่งกายคราวถึงเพลาต้องสละพรหมจารีต่อผู้สืบเชื้อสายสมมติเทพ” ธวัชฉัตรจ้องเวฬุสลับพจน์ “นายของเจ้าทั้งสองคงมิใช่สามัญชนเช่นสายตาข้าคาดคะเนเป็นแน่ เช่นนั้นจักทำสิ่งใดก็จงปฏิบัติเถิด ข้าพร้อมแล้วทั้งกายแลใจ”

ห้องบรรทมในราตรีนี้เป็นเรือนฝากระดานหนาแน่น หน้าต่างประดับกรงลูกมะหวด ตั้งอยู่ในละแวกริมคูเมืองนั้น ทั้งพระที่บรรทมก็กว้างขวางขาวสะอาด กลิ่นเทียนหอมผสานดอกลีลาวดีลอยในอ่างน้ำซึ่งเวฬุสืบเสาะสรรหามา ธวัชฉัตรนายกองคชบาลชันเข่าอยู่ปลายพระแท่น เบื้องหน้ามีพานธูปเทียนแพพร้อมกรวยใบตอง ใบหน้าทาแป้งสีขาวสว่างต่างจากปกติ เขียนคิ้วและหนวดเป็นลายกนกอย่างภาพวาดเทวดาตามฝาผนังโบสถ์วิหาร เช่นเดียวกับเนื้อตัวนวลกระจ่างกระทบตะเกียงไฟสองดวงข้างพระที่ นุ่งผ้าหยักรั้งสีขาวเพียงชิ้นเดียว กล้ามเนื้อบึกบึนสมชายทแกล้วทหารเผยชัดสมวัย ผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอ จวบกระทั่งบานประตูห้องถูกเปิดออก พจน์ซึ่งนั่งชันเข่าอยู่ก็รีบก้มลงโดยเร็ว พระมหาอุปราชสุริยะทรงฉลองภูษาผืนยาวสีขาว เนื้อตัวท่อนบนเปลือยเปล่า เสด็จพระราชดำเนินผ่านพจน์แล้วหยุดยั้ง
 
“เจ้าจงคอยเฝ้าอยู่ภายในห้องนี้ตามหน้าที่แต่ดั้งเดิม” อุปราชหนุ่มตรัสสั่ง พจน์รีบเงยหน้ามองพระพักตร์ด้วยไม่เข้าใจ “ตามกฎมนเทียรบาลจำต้องมีข้าราชบริพาร ฤา มหาดเล็กคอยรอบสังเกตเพื่อให้กิจกามมีสักขีพยานรู้เห็นประหนึ่งทวยเทพร่วมรับรู้”

เด็กหนุ่มตาสีน้ำตาลรีบส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“เวฬุๆ” พจน์หันไปขอความช่วยเหลือจากหนุ่มร่างอวบนอกห้อง เจ้านั่นรีบสั่นหน้า “โกสินทร์” เจ้าคนผิวสีเข้มนัยน์ตาเหมือนแขกจามก็ส่ายหน้ายกยิ้มทันควัน  ไม่เห็นวี่แววของมาตะหรือกฤษณะ ทำไงดีล่ะทีนี้

“หามีผู้ใดเหมาะสมยิ่งกว่าเจ้า มหาดเล็กฝ่ายภูษา” ตรัสจบเด็ดขาด เวฬุก็เอื้อมมือมาปิดประตูพร้อมทั้งคล้องโซ่ลั่นกุญแจสำทับ พจน์ไม่อยากเป็นสักขีพยานอะไรนั่นเลย แต่หนทางออกหนึ่งเดียวถูกปิดจากภายนอกแล้ว ลองหาวิธีข้ามพิภพกลับสู่โลกปัจจุบัน อำนาจซึ่งนำพาก็ไม่ปรากฏช่วยเหลือ รีบก้มหน้ามองพื้นหาเศษเสี้ยนไม้ วนนับรอยขีดวงไม้ตามแต่สมองจะทันคิดออก

“ยืนขึ้นเถิด” พระมหาอุปราชตรัสสั่งบาทบริจาริกาหนุ่ม พระพักตร์เรียบเฉย ธวัชฉัตรพนมมือแล้วยืนตามคำสั่งเงยหน้าสบพระเนตร ลำตัวแลส่วนสูงของทั้งคู่ทัดเทียมกัน พจน์อยากตาบอดหูหนวกในบัดเดี๋ยวนี้ พยายามนึกเรื่องตลกขบขันเกี่ยวกับไอ้โบท ไอ้กี ไอ้ต่อ เคยเล่าว่านัดบอดสาวสวยที่พวกมันคุยฟุ้งมาก่อนตั้งหลายเดือนว่าสวยนักหนา จวบกระทั่งนัดแนะพี่เค้าไปยังโรงแรม ปรากฏว่าแทบวิ่งหนีออกมาไม่ทัน เพราะพี่สาวเหล่านั้นเป็นสาวประเภทสองแต่สวยยิ่งกว่าผู้หญิง พวกมันงดเรื่องควงสาวอยู่หลายเดือนด้วยกลัวเข็ดขยาดอีกนาน

“ข้าต้องเรียกท่าน...เอ่อ...พระองค์”

“เรียกเราว่า สุริยะ แต่เท่านี้ แลหาจำเป็นต้องใช้คำราชาศัพท์”

เสียงสนทนาในห้องขัดแทรกเรื่องตลกของพจน์จนความนึกคิดกลับคืนสู่เหตุการณ์ปัจจุบันในห้องบรรทม พยายามนึกถึงเรื่องอื่นซ้ำก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดน่าสนใจเท่าคำสนทนาระหว่างอุปราชและธวัชฉัตรอีกแล้ว

“จงรับธำมรงค์วงนี้ไว้แลสวมใส่ในนิ้วนางข้างซ้าย” พจน์ลอบมองทางหางตาเห็นสุริยะอุปราชปลดแหวนทองคำบนพระดัชนีสวมให้นายกองคช “รักษาไว้ให้จงดี นับแต่นี้เจ้าถือว่าเป็นคนของข้าแลห้ามอย่างเด็ดขาดที่จะไปทอดกาย ฤา มีลูกเมียได้อีกชั่วชีวิต”

“สุริยะเอย จงรู้ไว้ ข้ายอมถวายตัวต่อท่านมิใช่สนิทเสน่หา เพียงเพราะรสจูบสัมผัสแต่เป็นเพราะนัยเนตรแฝงเร้นนั้นต่างหากที่ข้าสวามิภักดิ์วางศักดิ์ศรีให้ท่านเหยียบย่ำเสี่ยงเสื่อมเกียรติสมน้ำหน้าสืบไป อีกทั้งถ้อยคำของคนผู้หนึ่งได้แจกแจงว่า ความรักนอกกว่าหทัยสองดวงแล้ว มิจำเป็นต้องหาเหตุอื่นมาคัดค้านอีก และหัวใจข้าพบว่า ยินยอมมอบให้สุริยะท่านดูแล แม้นหทัยท่านจะมิหลงเหลือไว้ให้ข้าเข้าสถิต...” ยังไม่ทันนายกองธวัชฉัตรจักกล่าวความในใจจบ พระมหาอุปราชสุริยะก็ประกบโอษฐ์กล้ำกลืนถ้อยคำที่เหลือสู่พระวรกายพระองค์เอง พร้อมทั้งผลักอกให้นายกองล้มลงบนพระแท่นบรรทม มือหนาก็ลูบโลมคนใต้ร่างขึ้นลงปลุกอารมณ์ให้ลุกโชนดุจแสงไฟในตะเกียง
 
สำเนียงคร่ำครวญกระหายในรสกามาดังสนองตอบถี่กระชั้นแผ่วเบา สักพักก็เริ่มรุนแรงแลโหยหาทุกครั้งยามโอษฐ์ของอุปราชหยอกเย้าลำคอ ลุกลามถึงหน้าอกทั้งสอง เสียงดูดสัมผัส เสียงพระแท่นบรรทมขยับไหวสอดประสานเป็นจังหวะที่ทำให้ใจพจน์เต้นครึกโครม รีบเอานิ้วชี้อุดหูโดยเร็ว ภูษาฉลองพระองค์ถูกเหวี่ยงมากองอยู่ตรงพจน์นั่งหมอบคู้อยู่ ฝ่ายนายกองคชมิเคยถูกเล้าโลมลูบสัมผัสด้วยมือชายด้วยกันมาก่อน ครั้นถูกบุรุษผู้สืบเชื้อสายสมมติเทพกระตุ้นแนบสัมผัสหวาบหวามเช่นนั้นบังเกิดสะดุ้งสั่นสะท้านสุดอดกลั้นเสียงครวญไว้ได้ก็ปลดปล่อยแล้วแต่อารมณ์นำพา พระมหาอุปราชมิได้ตรัสสิ่งใด มุ่งกระทำโอ้โลมตามพระหทัยปรารถนา กลกามสูตรใดผุดขึ้นในห้วงพระดำริก็ขุดขึ้นมาใช้บำเรอบาทบริจาริกาหนุ่มให้ถึงรสถึงขนาดอย่างหาที่สุดมิได้ ครั้นปฏิโลมจนถึงขั้นสูงสุดก็เกี่ยวกระหวัดขา อ้าออกเป็นท่วงท่าล่อแหลมเตรียมพร้อม เมื่อสบโอกาสแลจังหวะเหมาะสม ดวงพระเนตรก็เหลือบแลมองเจ้าหนุ่มภัทรพจน์ผู้ซึ่งคุดคู้อยู่หน้าประตู แล้วสอดส่ายประกบแนบแก่นกายผสานกับเจ้าหนุ่มคชบาลสนิทแน่น ความเจ็บปวดแลสุขสำราญประดังพรั่งพร้อมในคราวเดียวกัน ทรงโยกขยับพระโสณี กระแทกใส่ถี่ระรัว ธวัชฉัตรก็หลุดเสียงร้องเป็นที่ต้องพระหทัย เบื้องพระปฤษฎางค์ก็เกร็งเป็นกล้ามเนื้อชัดเจนกระทบแสงตะเกียง พระกรหน่วงเหนี่ยวเกี่ยวลำตัวนายกองคชไว้แนบแน่น
 
เหตุการณ์หลังจากนั้นพจน์ไม่รู้ว่าท่วงท่าแลลีลาของพระมหาอุปราชและนายกองคชบาทบริจาริกาดำเนินต่อไปอีกยาวนานแค่ไหน ด้วยหัวใจเต้นระส่ำและสติกำกับตัวเองไม่อาจทานทนศัพท์เสียงภาพวาบหวามนั้นได้ก็หมดสติสมประดี หน้าที่อันได้รับมอบหมายให้เป็นสักขีพยานแห่งการถวายตัวก็จบสิ้นแต่เพียงเท่านั้น


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
ผมลองวาดภาพตัวละครตามจินตนาการครับ เลยเอามาแบ่งกันชม


______________________________

บาทบริจาริกา : ผู้ที่มีหน้าที่ปฏิบัติรับใช้พระมหากษัตริย์
พระโสณี : สะโพก

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

ผมก็เป็นพวกได้หลังแล้วลืมหน้าจริงๆนั้นแหละครับ  แต่เหตุการณ์สำคัญก็ไม่ลืมนะ  เพราะมัรจะฝั่งใจอยู่  และรอดูว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน  อืมตอนล่าสุด  ทิ้งท้ายได้เจ็บปวดอีกแล้วครับ  เหมือนยามศักดิ์ศรีกันเลยระเนี้ย  คงไม่มีเลือดตกกันหรอกนะ  รอต่อไปครับ  กับการเฉลยปมต่างๆ
เยี่ยมครับที่คุณยังไม่ลืม จะหยามศักดิ์ศรีกันหรือ เลือดตกยางออกหรือเปล่า คุณคงรู้คำตอบแล้วนะครับ อิอิ รอติดตามนะครับ

รักเขาข้างเดี่ยวมันทรมานจริงๆนะ
อันนี้หมายถึงใครครับ? ถ้าให้เดาน่าจะเป็นทุกคนที่มาหลงรักพจน์หรือเปล่า หรือว่าจะเป็นคุณกันแน่นะ ต้องยอมรับว่าความรู้สึกรักข้างเดียวไม่ใช่แค่ทรมาน แต่มันสาหัสเลยทีเดียวครับ กว่าจะถอนตัวมาได้ชีวิตเราก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว สู้ๆนะ ครับ ทั้งคนอ่าน ตัวละครในเรื่องและก็ผมเองด้วย แฮะๆ รอติดตามต่อนะครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:34:41 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
หุ่นเท่ทุกคนนะ  แต่น่าตาคล้ายกันจัง  อต่ก็ชังมันเถอะ  สรุปมาจบบนเตียง  อยากรู้แค่ว่าทำไหมเป็นพจน์ที่ต้องไปเห็นฉากนั้นอ่ะนะ  555  และอุปราชต้องการสิ่งใดถึงต้องทำแบบนั้น มันมีนัยอะไรรึเปล่า  แล้วไอ้ทีสลบไปนี้จะอยู่ปัจจุบันรึอดีต  รอต่อไปครับ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]



สัมผัสมืออ่อนโยนปลุกเปลือกตาพจน์เผยอเปิด เดือนดาวเต็มท้องฟ้านอกชายคา ลมเย็นพัดโชยผ่านมาเคล้ากลิ่นหญ้าสดผสมสมุนไพรจำพวกข่า ตะไคร้ และเถาย่านาง ปลุกสติเลือนรางให้ตื่นขึ้นเต็มกำลัง หยัดกายนั่งบนตั่งไม้ ใกล้เคียงมีตะเกียงไฟให้แสงสว่างอบอุ่น และหม้อดินเผาต้มยาสมุนไพร
 
บุคคลคุกเข่าบีดนวดมือพจน์ไว้แน่น เป็นเจ้ามาตะคนซื่อหน้าเศร้า ครั้นเห็นคนรักลุกนั่งเป็นปรกติดีก็รีบรินยาหม้อใส่จอกถ้วยลายครามมาให้ดื่ม พจน์ส่ายหน้า บริเวณนี้จำได้ว่าเป็นเพิงโถงยื่นออกไปทางจั่วเรือน หรือที่เรียกว่า พาไล ของเรือนพักแรมซึ่งพระมหาอุปราชาใช้เป็นห้องสำหรับบรรทมเสพสมด้วยบาทบริจาริกาคชบาลหนุ่ม ปลูกเป็นเรือนคล้ายบ้านทรงไทยแปดห้องเสาสูง มีรั้วรอบขอบชิด เจ้าบ้านเป็นนายโรงสุราซึ่งเปิดกิจการหาเลี้ยงชีพอยู่ริมคูน้ำใกล้เคียง สถานที่เดียวกับพวกเขาตั้งวงร่ำสุรากันก่อนหน้า แลแบ่งเรือนพักตัวเป็นห้องพักแรมแก่ผู้เดินทางสัญจรผ่านเป็นรายได้อีกชั้นหนึ่ง

ครั้นสำนึกได้ว่าก่อนตัวจะสิ้นสติได้ร่วมเป็นทิพยพยานในการใด หัวใจก็เต้นครึกโครมซ้ำ พาลให้หน้าแดงร้อน ทั้งเสียงและภาพร่วมรักของพระมหาอุปราชากับธวัชฉัตรนายกองแจ่มกระจ่างในห้วงคำนึง
 
“ท่านหมดสติแลฟุบไปเกือบครึ่งชั่วยามเห็นจะได้ ข้ายินพระราชดำรัสตรัสสั่งให้เข้าห้องบรรทมแลเร่งนำพาเจ้ามายังสถานที่มีลมพัดอากาศถ่ายเท คาดคะเนว่าน้องท่านคงเป็นลมเวียนชั่วขณะ” มาตะลำดับความ พจน์นึกตามก็ให้รู้สึกสมเพชในตัวเอง มิใช่ว่าไม่เคยกระทำการดั่งว่า แต่ครั้นเป็นฝ่ายบุคคลที่สามสังเกตกิริยาร่วมหอลงโรงของผู้อื่นเป็นหนแรกก็ให้รู้สึกขวยอายสั่นสะเทิ้นยิ่งกว่าตัวกระทำเสียซ้ำ สติอันกล้าแข็งมีหรือจะทานทนได้ก็วูบไหวในทันที

“กรุณาเอ่ยสักคำหนึ่งเถิดเจ้า ว่าหะนี้อารมณ์แลกายเป็นปรกติดีแล้ว ฤา”
 
พจน์ไม่อยากหลงกลแววเว้าวอนก็หันเบือนจดจ้องแสงเดือนแสงดาว มาตะเห็นกิริยาคนคู่พิศวาสขึงขังเมินเฉยเกิดวนเป็นหลายหนก็ตันอก แต่ความพยายามมีมากล้นจึงไขว่คว้ากุมมือไว้แน่น

“มาตะชั่วช้าเกินกว่าน้องท่านจะสนทนา ฤา เอื้อนเอ่ยให้เป็นคุณสาสมความผิดตัวแล้ว มิขอเซ้าซี้แลวอนให้ท่านกระทำการฉีกใจตน แต่จักขอพร่ำรำพันความในใจฝากสายลมทับถมไปถึงห้วงจิตน้องท่านสักความหนึ่ง” ว่าพลางก้มหน้าพลาง

“โทษในครานี้มาตะปฏิบัติต่อท่านเป็นข้ออุกอาจฉกรรจ์นัก จักมิให้ท่านอภัยแต่โดยง่าย ความตั้งมั่นเคืองกริ้วโกรธพิโรธมาตะ จงครองไว้แลอย่าใจอ่อนเป็นเด็ดขาด เพราะคราวใดมาตะพินิจนัยน์ตาช้ำของภัทรพจน์ท่าน ก็ประดุจใจถูกคมดาบเฉียดตัดนับเป็นหนหนึ่ง จักทรมานยิ่งกว่าถูกอริราชศัตรูตวัดเอาผิวกายตัวก็มิอาจเปรียบได้ ด้วยเจ็บยิ่งกว่าการนั้นหลายเท่าพันทวี สติปัญญาอันมีประดับตัวทั้งมากด้วยความรู้สรรพวิชาซึ่งคนกล่าวยกย่องว่าหากบรรลุพระเวทครบทั้งสิ้นจากสำนักพราหมณ์โกสินธพพฤฒาจารย์แล้วนับยิ่งว่าเลิศปัญญาหาผู้ใดเปรียบในพิภพ แต่คำคนทั้งนั้นกล่าวด้วยความชื่นชมแลมองเห็นแต่ในทางราชการดอก หากพิจารณาแล้วภูมิวิชาศิลปอาวุธนอกจากนำไปใช้ป้องกันบ้านเมือง ก็มิอาจนำมาสู้ศึกปราบทุกข์เข็ญในห้วงใจที่มีแต่รักแลภักดีได้”

เมื่อได้ฟังเหมือนตนเป็นตัวการสร้างทุกข์แก่มาตะกระนั้น ก็ขืนดึงมือจากการกอบกุม ไม่อาจฝืนทนฟังความรันทดใจกลัดกลุ้มก็ผุดลุกหนี แต่ถูกมาตะคว้าข้อเท้าดึงรั้งไว้

“น้องท่านจงประทับนั่งเป็นเช่นมหาเทวรูปอันผู้คนเซ่นกราบไหว้ด้วยเถิด คราวผู้ใดทุกข์ถึงขนาดมิอาจหาหนทางดับลง ก็อาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้คลายทุกข์ฉันใด น้องท่านจงครองตัวเป็นหลักชัยให้มาตะได้ปลดภาระสักกึ่งหนึ่งเป็นคุณเช่นว่าฉันนั้น”
 
กระทำยื้อยุดพัลวัน ปรารมภ์แน่วแน่ไม่หลงคารมแววอ้อนอีกเป็นหลักประจำใจ จึงงัดแงะมือคว้าไขว่ออกจากตัว

“อันน้ำใจมหาเทวรูปนั้นจักเคยปฏิเสธผู้มาฝากทุกข์ก็หาไม่ มีแต่จะนั่งนิ่งฟังความระบายไปไม่ผลักไส หากท่านมิเมตตาสัตว์โลกผู้นี้ มาตะเห็นควรตรอมใจตายต่อหน้าต่อตาเป็นแน่” เมื่อเห็นพจน์นั่งคืนดังเดิมก็ได้กำลังใจขึ้น แล้วเสริมว่า

“ครั้งหนึ่งมาตะบังเอิญตัดสินใจเดินเข้าในห้องเก็บพระตำราหลวง ร่วมบวงสรวงอัปสรเทพ ประสงค์เสพหาความรู้แลข้อกังขาให้พ้นหนทางออก แต่มิเคยคาดคิดว่าวันนั้นจักเป็นวันที่มาตะจะจดจำไปชั่วชีวิตตัว ด้วยเงาสลัวบางเบาอันตนพบในห้องพระตำรา ปรากฏเป็นกายาของบุคคลหนึ่ง ซึ่งเพียงพินิจมองหนแรก หัวใจพลันเต้นแปลกผิดวิถี แล้วก็มีอันหยุดระงับราวกับจะวางวายแต่เพียงเท่านั้น ครั้นพิจารณาโฉมเหมาะงามพร้อมตาวามสีสมันซ้ำ ก็เต้นกระหน่ำจนกลบเสียงเบื้องพิภพเงียบสงัด ความทรงจำผุดชัดย้อนกลับเรียง ดั่งภาพจิตรกรรมริมระเบียงมหาวิหารเทวาลัยเป็นฉากฉายชัดต่อเนื่องมิรู้จบ จวบกระทั่งเผลอตัวตบตวาดคำหนึ่งจึ่งได้สติ ถ้อยศัพท์สำเนียงตอบสนองคืนมิเพียงกระทำให้ใจมาตะเต้นระส่ำหวั่นไหวใกล้แตกดับ วาจาไพเราะหวานสดับหาใดเปรียบ ประดุจมีสายน้ำเย็นเฉียบหลั่งลงรดตัว เช่นคำขรัวพระอาจารย์เคยกล่าว มิเคยประจักษ์รู้ก็ได้สัมผัสคราวห้วงเพลานั้นทันท่วงที จักว่ามีภาพเหตุการณ์นี้ซ้อนทับ อุปมาเคยเกิดขึ้นเวียนกลับอยู่หลายหน นั่นคือความรู้สึกต้นเมื่อแรกพบ”

สั่นหน้าปิดกลั้นความคิด ไม่อยากได้ยินถ้อยวาจาแก้ต่างของมาตะอีก แต่พอประสบเล่าความย้อนหลังคราวคนทั้งสองเจอกันก็เผลอตัวหวนคิดตาม แล้วให้รู้สึกปวดใจซ้ำกว่าเดิม

“ต่อมาจึ่งสำนึกได้ว่าบุคคลที่ตัวเจอนั้นมีลักษณะบางอย่างผิดต่างจากชนบนพิภพ ทั้งกิริยาวาจาท่าทาง แลการหายไป ฤา มาถึง เป็นข้อสงสัย คราวปรากฏตัวครั้งใด ใจมาตะก็พลันเต้นระทึกยิ่งกว่าหนแรก แต่คราใดลาจากก็ให้รู้สึกปริ่มจะขาดใจเช่นนั้นมิเคยเกิดกับอกตัว กลายเป็นความทรมานใคร่คะนึงหา อยากพบปะหน้าจนมิอาจครองสติให้อยู่นิ่งเฉยเป็นปรกติ ต่อเมื่อครั้งหนึ่งน้องท่านเจ็บปวดทรมานด้วยอิทธิฤทธิ์เวทวิทยาจึ่งพบว่า ใจตัวมิได้อยู่กับตัวแล้ว บัดนั้นถูกท่านครอบครองเสียสิ้นก็เจ็บประหนึ่งท่านดุจเดียวกัน โชคช่วยพระอาจารย์พราหมณ์ใช้เวทย์แลสมุนไพรเยียวยากลับคืนได้ จนผุดคำถามขึ้นในใจเป็นข้อทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส หากวันหนึ่งท่านจากไปมิหวนคืนกลับ มาตะจักเป็นเช่นไร เพียงนึกถึงก็ครุ่นคลั่งมิอาจคิดให้จบได้แล้วคือคำตอบของคำถาม จึ่งส่งให้มาตะผลีผลามตัดสินใจกระทำการยั้งคิด ด้วยพะวงห่วงจะผูกพันท่านไว้ชิดตัวให้จงได้ คือ ทั้งฝากใจฝากตัวไว้แก่กันแลกัน จากนั้นจะหามีอำนาจใดพรากเราไกลห่าง ตริเช่นนั้นจึ่งข่มเหงท่านมาเป็นของตัว ครั้นน้องท่านยินยอมร่วมผัวเมียผูกสมัครสมานเป็นหนึ่งเดียว มาตะเคี่ยวเข็ญคำหนึ่งว่า กายท่านเป็นของมาตะ แต่หทัยท่านยังจักยินยอม ฤา หาไม่ เพลานั้นมาตะกลัวเหลือล้ำเกรงตนคงข่มเขาโคขืนให้กินหญ้าได้ครอบครองเพียงนอกแต่หาได้ในไม่ ก็เพราะท่านปฏิเสธการไปสู่ขอมาร่วมเรียงเคียงหมอน

แต่หักใจว่าการทั้งนี้มาตะบ้าบิ่นกระทำผิดขนบประเพณีหนึ่ง แลรวบรัดตัดตอนหมายจักได้ยินคำมั่นให้แน่แก่ใจอีกหนึ่ง จึ่งปฏิบัติข้ามขั้นกฎมนเทียรบาลบัญญัติตามฐานะพระราชบุตรบุญธรรม ความด่วนได้เผลอเอาแต่ใจตัวเป็นที่ตั้ง คิดอ่านฝืนขนบมิสนว่าจะล่วงละเมิดธรรมเนียม ส่งให้ผลกรรมทั้งนั้นผิดพลาดไม่ราบรื่นนับแต่ต้นจวบ ณ บัดนี้ เพราะมิอาจกล่าวได้เต็มปากว่า น้องท่านเป็นของมาตะโดยชอบด้วยจารีต ยามใดใครถามว่า น้องท่านมีความเกี่ยวข้องกับมาตะเช่นไร อาการอ้ำอึ้งก่อเกิดท่วมท้นมิอาจกล่าวได้เต็มปาก ด้วยเกรงจักเป็นข้อครหาตกฝากแก่ตัวน้องท่านเป็นคำนินทา หากย้อนเวลาได้แล้วไซร้ มาตะคงประพฤติตามข้อบาทบริจาริกาให้ทวยเทพได้ร่วมสำราญยินดีเช่นพระมหาอุปราชาทรงประพฤติเป็นแบบอย่าง แต่เหตุการณ์นั้นล่วงผ่านพ้นแล้ว คำว่าน้องท่านเป็นของมาตะ จักประกาศทั่วหน้าสาธารณะชนก็มิอาจทำได้ด้วยตัวประพฤติผิดอารยะ ประหนึ่งมิให้เกียรติหยามหมิ่นท่านไม่สมฐานะ ครั้นมาประสบเห็นข้อปฏิบัติของพระมหาอุปราชาผู้เชษฐา จักทำสิ่งใดก็ยึดหลักถูกต้อง คือจักรับคนรักเข้ามาสู่ตัวได้ ก็ให้เกียรติคนผู้นั้น แลสืบพิธีเข้าหอสมยศถา ต่อไปภายหน้าผู้คนจึงกล่าวได้ว่า นายกองธวัชฉัตร เป็นคนรักแลบาทบริจาริกาใต้เบื้องพระบรมโพธิสมภารองค์สุริยะอุปราช โดยมิมีใครคัดค้านหรือแย้งได้ แต่มาตะปฏิบัติต่อท่านประดุจคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่เพียงย่ำยีท่าน ยังฉุดท่านลงให้ด้อยค่า แม้นจะนำเชิดหน้าชูตา ว่าตัวท่านเป็นของมาตะก็มิอาจทำได้ ด้วยละแบบแผนแต่ดั้งเดิมเป็นที่น่าละอาย จึ่งขอมอบธำมรงค์วงนี้ เป็นประเพณีสืบต่อหมั้นหมาย แสดงสมฐานะผูกพันกาย จวบเราสองล้มตายพรากจากกัน วานน้องท่านโปรดยื่นยกมือซ้าย ให้มาตะสวมถวายเจ้าเฉิดฉัน เป็นสัญญาผูกเสกเมฆคู่จันทร์ มาตะวันใต้ภัทระทุกชาติไป

วาจาผสมบทกลอนนับแต่ตอนร่วมพิศวาสกระทั่งเป็นเหตุให้มาตะเก็บมาคิดเป็นข้ออัดอั้นกลั่นพรั่งพรู จนพจน์คลายกิริยาเบือนหน้าหนี เพ่งเล็งเรือนแหวนทองคำสลักลายเป็นพญานาคหางยาว ปากนาคอันควรมีบางอย่างประดับยอดแหวนวางเปล่า แต่มิได้ลดความสวยสง่าให้ทอนลง พจน์ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะรับดีหรือไม่ จนมาตะจำต้องประคองมือซ้ายของพจน์ แล้วสวมสุวรรณธำมรงค์เข้าสู่นิ้วนางพอเหมาะพอเจาะ เวียนจูบซับหลังมือเนิ่นนานจนข่มใจถอน แลว่า
 
“นอกจากแหวนประจำตัวมาตะ ไม่เห็นมีสิ่งใดมีค่าพอจักแทนใจได้ โปรดรักษาประหนึ่งมาตะติดตามท่านไม่ห่างกาย แม้นเราสองมิได้ผูกพิธีสมฐานะ ก็แหละมาตะแก้ชดเชยความไม่ควรนั้นเพียงเศษเสี้ยวแล้ว หวังน้องท่านจะเอ็นดูถนอมไว้ต่างหน้าเถิดหนา”

พจน์พยักหน้ารับคำ หากจะว่ามาตะผิด เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามวิถีขนบแต่ดั้งเดิม จนพาลให้ไม่อาจบอกใครต่อใครได้ว่า พจน์เป็นอะไรกับมาตะ ตนก็เป็นฝ่ายผิดเช่นกัน หากมีสักเสี้ยวเวลาหนึ่งห้ามปราม มีหรือเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ ทั้งตัวพจน์เองเป็นคนสั่งห้ามไม่ให้มาตะแพร่งพรายความสัมพันธ์ซ้ำอีก พิธีถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาของนายกองธวัชฉัตรคงเหมือนหนามแหลมทิ่มแทงความรู้สึกกลัดหนองในใจมาตะให้แตกออก ด้วยลึกๆแล้วมาตะคงประสงค์ให้ทุกอย่างดำเนินตามขนบประเพณีเช่นกัน

“มิหนำแม้อกตัวมีท่านครองอยู่เต็มทรวง แต่จักประกาศตัวเป็นคู่ควงก็หละหลวมไร้ความเฉียบขาด ก่อเป็นเหตุให้บุหลันคิดข้างว่า ไร้พันธะตัวผู้เดียวจึ่งจู่มาฝากตัวฝากใจเป็นข้อบาดตาน้องท่าน ก่อให้ทุกขเวทนาจนเกิดเป็นน้ำตาสายโลหิต ควรอยู่หรือที่มาตะจักครองชีวิตเป็นคนอยู่ได้ เพียงแค่เห็นน้ำตาท่านเป็นแดงฉาน ก็ทรมานราวตกขุมนรกหมกไหม้ มาตะมิปรารถนาให้น้องท่านอภัยแต่โดยง่าย แต่ประสงค์ให้ล่วงรู้ความนัยทั้งนี้ไว้เป็นข้อหลักชัยอย่างหนึ่ง มาตรว่าเกิดเหตุเภทภัยไม่คาดคิดแล้วไซร้ โปรดจงจำคำไว้ให้แน่นเถิดหนาเจ้า ว่ามาตะนี้มิได้ประสงค์ให้ภัทรพจน์ต้องเจ็บเศร้าด้วยความรักแม้แต่เพียงนิด”

สิ้นกระแสความแล้วพจน์ก็นิ่งอึ้งไม่อาจเจรจาโต้กลับด้วยตื้นตันในอก ทุกถ้อยคำสำแดงความบริสุทธิ์ของมาตะโดยไม่จำเป็นต้องให้ตนซักไซ้สิ่งใดอื่น พยักหน้ารับแต่เพียงเล็กน้อย อยากจะพูดคุยกลับแต่ทิฐิในใจมีสูงกว่าก็ได้แต่ทอดสายตามองต่ำ

“ชาตินี้มาตะทำท่านชอกช้ำน้ำใจล้ำประมาณยากจะรักษาเยียวยาได้แล้ว ไม่ขอคำอภัยอีก แต่จักขอทนสู้ชูหน้าระคายตาสืบไปตราบชีวิตจะหาไม่ ด้วยไม่อาจละทิ้ง ฤา จากไปให้ไกลห่าง คือพะวงห่วงหาเจ้าสุดดวงใจ ครั้นหรือหลบหลีกก็ขัดกับหัวอกตัวกล้ำกลืน เชิญน้องท่านจงทำดั่งมาตะคนซื่อสุจริตเป็นธาตุลมอากาศ อย่ากล่าวคำผลักไสให้ซูบหมองเลยเจ้า นับแต่นี้จงยิ้มหน้าชื่นตาบานตามวิสัยปรกติเถิด ความใดอยู่ในใจมาตะถูกถ่ายทอดเป็นเครื่องรบกวนหูท่านผ่านพ้นสิ้นแล้ว”

มาตะเงยหน้าพยายามสะกดพจน์ แต่เด็กหนุ่มนัยน์ตาสวยกลับก้มมองมือของตัวแล้วทอดถอนใจ มาตะเห็นกิริยาพจน์เช่นนั้น น้ำใจกล้าเมื่อครู่ก็มีอันท้อถอยลง แล้วว่า

 “บัดนี้ลองหวนตรึกตรองหากจะดำรงตัวให้นาน กริ่งเกรงจะยิ่งสร้างรอยชังน้ำหน้า แม้นความเจ็บในใจตัวมีมากเท่าไรย่อมฝืนทนได้ ทว่าก่อให้น้องท่านเจ็บช้ำซ้ำอีกมีหรือมาตะจะทนฝืนนั่งอยู่ จักขอลาไปแต่บัดเดี๋ยวนี้”

ว่ากล่าวเออเองสรุปตามความคิดตัวเสร็จก็ละมือจากข้อเท้า ก้มหน้าชันเข่าถอยห่างจากพาไลนั้น ส่วนปากพจน์ก็หนักดั่งมีหินถ่วง ไม่สามารถกล่าวคำหน่วงรั้งไว้ได้ ทำเพียงแต่จ้องมองร่างกายล่ำสันขยับถอยผละหนีด้วยสีหน้าเจ็บช้ำเสมอใจตน

“เจ้ารู้ ฤา ไม่ ยาสมุนไพรหม้อนี้” โกสินทร์เดินออกมาจากเงาหลังเสาเรือนสู่แสงไฟ ทรุดตัวลงตักน้ำยาสีเข้มใส่จอกถ้วยกระเบื้องแล้วยกมาให้พจน์ “มาตะตระเวนหาส่วนประกอบด้วยตัวคนเดียว ทั้งเพลานี้จักมีผู้ใดค้าขายอยู่ก็หาไม่ จำต้องเที่ยวท่องตามบ้านเรือนชาวเมือง ใช้วาจานอบน้อมขอพืชสมุนไพรมาต้มเป็นยาให้เจ้า ครั้นจะจ่ายเป็นเงินทองราษฎรครัวเรือนนั้นก็ยิ้มแย้มยินดีด้วยอัธยาศัยไมตรีของผู้มาขอสำแดงแจ้ง ทั้งท่าทีวาจาเคารพไปมาลาไหว้น่าเอ็นดู คนคนนี้ประกอบขึ้นด้วยลักษณะที่แม้แต่เด็กเล็กๆจวบวัยเฒ่าชราภาพต่างพากันเอ็นดูนิยมชมชอบ เพลาเสาะหาสมุนไพรตำรับยาอันควรนานจึ่งร่นระยะได้เร็วปานชั่วเคี้ยวหมากแหลก เจ้าจงตรองเถิดว่า มาตะ สหายเราแท้จริงแล้วมีความผิดติดตัว จนแม้แต่ท่านจักมิยินยอมให้อภัยสักคราหนึ่งเลยกระนั้นหรือ”

พจน์รับถ้วยยามาถือ ไอร้อนลอยจากผิวน้ำดำเข้มเป็นละอองไอ ทั้งที่ตั้งมั่นในใจจะทำโทษมาตะให้ยาวนานกว่านี้ พอสบยินคำพูดของโกสินทร์แต่เพียงเท่านั้น หัวใจที่ตนบังคับให้เข้มแข็งมาได้นับตั้งแต่มาตะเจรจาความก็ประหนึ่งร่ำไห้เต้นกระพือรุนแรง พจน์ยกถ้วยยาแก้ลมเวียนขึ้นจิบด้วยหน้าเฉย แต่ภายในไหนเลยจักสงบ

“ขอบใจนะ โกสินทร์” ส่งคืนถ้วยกลับ เจ้าโกสินทร์ขยับกายสีเข้มขึ้นนั่งเคียง

“แลข้ามีความอย่างหนึ่งมาเตือนท่าน” โกสินทร์ยกยิ้มไม่อยากเห็นภัทรพจน์มีทุกข์โศกก็ยกความอื่นมากล่าว “พระราชพิธีถวายตัวบาทบริจาริกา จักหาสิ้นสุดโดยครบถ้วนไม่ จวบกระทั่งพนักงานผู้ได้รับมอบหมายต้องเข้าสำรวจตรวจดูพระยี่ภู่ลาดพระแท่นบรรทม”

“ทะ ทำไมล่ะ” พจน์รีบตวัดหน้าถามกลับรู้สึกไม่สู้ดี

โกสินทร์หัวเราะเสียงห้าว พลางว่า

“เจ้าต้องหาร่องรอยว่า พิธีถวายตัวนี้มีหลักฐานยืนยัน”

 “ร่องรอยอะไรเหรอ”

“เลือด...อย่างไรเล่าเจ้า” โกสินทร์ยังคงวาดรอยยิ้มกลั้วหัวเราะ

ฉับพลันพจน์ก็ก้มหน้างุด นึกออกแล้วว่าโกสินทร์กำลังบอกใบ้ถึงเรื่องอะไร เมื่อใคร่ครวญลำดับขั้นตอนก็ล่วงรู้เจตนาของอีกฝ่ายชัดเจน
 
“ไม่ ไม่เข้าไปไม่ได้เหรอ”

พจน์อยากจะชกแขนล่ำเจ้าโกสินทร์ให้ระงับเสียงหัวเราะ เพราะกิริยาขบขันยิ่งทำให้ความกล้าในการกลับไปเก็บ หลักฐาน ต้องมีอันย่ำแย่ลง ไอ้เจ้าบ้าเอ้ย


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
______________________________

ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า : ขืนใจให้ทำตามที่ตนต้องการ

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

หุ่นเท่ทุกคนนะ  แต่น่าตาคล้ายกันจัง  อต่ก็ชังมันเถอะ  สรุปมาจบบนเตียง  อยากรู้แค่ว่าทำไหมเป็นพจน์ที่ต้องไปเห็นฉากนั้นอ่ะนะ  555  และอุปราชต้องการสิ่งใดถึงต้องทำแบบนั้น มันมีนัยอะไรรึเปล่า  แล้วไอ้ทีสลบไปนี้จะอยู่ปัจจุบันรึอดีต  รอต่อไปครับ
ฝีมือวาดสมัครเล่นครับ คันไม้คันมือเลยลองวาด ดูกันขำๆแล้วกันนะครับ อย่าเก็บไปเป็นอารมณ์เลย 5555 คงไม่มีนัยะอะไรหรอกครับ เราก็รู้ๆกันอยู่ว่าอุปราช 'ชอบ' พจน์ การนำพจน์ไปอยู่ร่วมห้อง ไม่เพราะแกล้งก็คงเพราะรัก 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2016 14:34:25 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
แกล้งให้คนที่รักไปเห็นตัวเองมีอะไรกันคนอื่นเนี้ยนะ  บ้าไปรึเปล่าครับคนแต่ง แบบนั้นใครจะไปรักไปชอบได้เหล่า จะทำให้ตีตัวออกห่างมากกว่า  แล้วสงสารนายกองคนนั้นด้วย  ที่ต้องมารักอุปราชคนนี้ ก็รู้ว่ายุกต์สมัยนั้นมีเมียหลายคนได้อะนะ  แต่ถ้ามาตะมีแบบนั้นบ้าง  พจน์คงได้อกแตกตายแน่ๆ  ขนาดแค่จูบก็ร้องไห้เป็นสายเลือดล่ะ  รอการเฉลยปมกันต่อไปครับ  คนแต่งก็สู้ๆ

ออฟไลน์ NuTonKaw

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
 :z6:ทำพจน์เสียใจ สมควรถูกลงโทษ o13

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
พจน์เจอฉากรักไปถึงขั้นเป็นลมกันเลยทีเดียวพจน์ช่างใจแข็งนักพ่อมาตะคนซื่อคงทุกข์ใจน่าดู รอการแก้ปมทุกปมจากคนเขียน ไม่เดาแล้วเดาไม่ถูกชักที5555 ชูป้ายไฟคนเขียนสู้ๆๆๆ :mew1:

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๓๒



อาถรรพณ์พระเวท

   

ล่วงเข้าปัจฉิมยามพระมหาอุปราชาจึงเสด็จจากห้องพระบรรทม ฉลององค์ด้วยภูษาสีน้ำเงินเก่าพันพระวรกายเป็นที่เรียบร้อย พระพักตร์เย่อหยิ่งตามวิสัยมาแต่กำเนิด แลตรัสสั่งให้มาตะผู้อนุชา กฤษณะนายกองทหารเกราะทอง ตระเตรียมบ่ายหน้าสู่ประตูด่านช่องเขาสุวรรณคีรีแต่เช้ามืด ฉากร่ำลาระหว่างสุริยะอุปราชแลธวัชฉัตรนายคชบาลมิได้เต็มตื้นรื่นด้วยน้ำตาหรือพร่ำคำรำพันอาลัยแต่ประการใด หลังเสร็จสิ้นสั่งเสียสนทนาต่อกันพอเป็นพิธี บาทบริจาริกาหนุ่มก็ทรุดตัวแนบพื้นเรือน กระทำก้มกราบเป็นหนท้าย ด้วยไม่อาจติดตามถวายงานได้หนึ่ง แลพระราชกรณียกิจครานี้เป็นข้อลับห้ามแพร่งพรายอีกหนึ่ง กอปรกับธวัชฉัตรมีตำแหน่งต้องรับใช้แผ่นดินเป็นผลจำต้องทูลลาแต่เพียงเท่านั้น

นายกองคชมิได้สอบเหตุอันก่อให้ทรงปลอมแปลงองค์เสด็จถึงเขตชายแดน หรือซักความตื้นลึกหนาบางจากผู้ใด บ่งชัดว่ารู้กาลเทศะแลหน้าที่อยู่ในที พจน์ลอบเข้าตรวจดูภูษาลาดพระแท่นบรรทมก็พบรอยเลือดจริงดังว่า ก่อนจะเก็บผ้าผืนนั้นนำมาให้โกสินทร์แลเวฬุพิจารณา เจ้าคนร่างอวบขวยอายอ้ำอึ้งอยู่นานไม่อาจเจรจาสิ่งใดได้ ซ้ำโกสินทร์ยังหัวเราะเป็นเชิงขบขันในการปฏิบัติหน้าที่โดยซื่อของพจน์อีก เขาเห็นว่าพ้นภาระแล้วก็โยนผ้าขาวเปื้อนรอยใส่สีข้างเจ้าโกสินทร์ด้วยแสนเคืองแสนอายก็ผละแหวกหนี

เงากายของนายกองธวัชฉัตรยืนลำพังอยู่ใต้ร่มไม้ชายคาซุ้มประตูเรือนพัก ต้องแสงไต้ไฟเงาทอดไสวเต้นระริกตามแรงลมพัดผ้าคล้องไหล่ ใบหน้าตกอยู่ในแสงมืดจึงไม่เห็นความเป็นไป เขม้นดูขบวนอาชาย่างควบลาไกล แต่พจน์เล็งการคะเนไว้ แม้นเป็นถึงบุรุษผู้เข้มแข็งอาจหาญถึงเพียงนั้น เมื่อได้ทอดตัวถวายใจให้ใครแล้ว ซ้ำคนรักมามีอันต้องจากลาเพียงชั่วข้ามคืนฉะนี้ ลองยกใจเข้าเทียบก็อดหน่วงอกไม่ได้
 
คำเจรจา ฤา คำมั่นสัญญาใดผูกฝากไว้ระหว่างคนทั้งสอง คงทุเลาอารมณ์อาวรณ์อันเหิมขึ้นในเพลาอำลาไม่มากก็น้อย ด้วยไม่มีผู้ใดรู้นอกจากคนทั้งคู่ พจน์คิดว่าขากลับจากสืบราชการ พระมหาอุปราชคงสาบานเสด็จกลับมารับนายกองคชบาลเข้าเลี้ยงบำรุงเคียงพระองค์เป็นแน่
 
พจน์เรียนรู้วิธีบังคับม้าจากโกสินทร์ แลปัญจะ จาโค ในชั่วอึดใจก่อนออกเดินทาง พยายามจดจำรายละเอียดทั้งการดึงบังเหียน การขยับเท้าขนาบลำตัว การผ่อนสาย หรือวิธีให้ม้าหันซ้ายขวา ขยับเดินหน้าออกควบหรือถอยหลังด้วยความรวดเร็ว เจ้าจาโคทำหน้ากรุ้มกริ่มดีใจเมื่อได้สำแดงทักษะกลเม็ดฝึกสอนพจน์ โดยมีปัญจะผู้พี่วางภูมิขัดคอเป็นระยะ

นายกองกฤษณะขันอาสาสละอานม้าเชิญร่วมนั่งเคียง ด้วยเห็นว่าพจน์ไม่เคยคุ้น แต่ถูกบอกปัด พอลูบหลังลูบคอฝากตัวแล้วก็เหยียบโกลนเหวี่ยงตัวหย่อนนั่งตามหลัก เจ้าม้าเพศผู้ขนสีน้ำตาลดุจเดียวกับสีตาของพจน์ก็ยืนสงบนิ่ง มิได้สนใจแต่อย่างใด ครั้นลองบังคับขยับตามคำสอนของจาโคก็ว่านอนสอนง่าย ประหนึ่งพจน์เคยควบขี่สัตว์ชนิดนี้มาจนเชี่ยวชาญก็ให้หลากใจ มาตะยืนหน้าสลดอยู่ใกล้เคียงมิได้เอ่ยท้วงชี้แนะหรือชวนให้มานั่งคู่ เจ้านั่นหลังจากกล่าวความในใจฝากไว้ยืดยาวแล้วเหมือนหนึ่งคนบ้าใบ้ไม่พูดจากับใครอื่น นอกจากพระมหาอุปราชาผู้เชษฐาตรัสรับสั่งเป็นครั้งคราวเท่านั้น

สายลมพัดเย็นสบายกระทบขุมขน เสียงเหล่านกกาบินวนกู่ร้องต้อนรับอรุณรุ่งวันใหม่ดังแว่วชวนให้เคลิบเคลิ้ม แต่ความรู้สึกกระตือรือร้นจากการขี่ม้าช่วยระงับอาการง่วงงุนได้ปลิดทิ้ง พระมหาอุปราชทรงอาชาสีขาวนำขบวนวิ่งทวนลม ขนาบด้วยปัญจะและคาวินคู่พี่น้อง ติดหน้าตามหลังด้วยโกสินทร์ เวฬุ เป็นลำดับ ส่วนกฤษณะนายกองเห็นได้ชัดว่าพยายามดึงรั้งม้าเข้าเลียบเคียงพจน์ ลอบส่งสายตาแลมองเป็นระยะ มาตะ จาโค และวรุณปิดรั้งท้ายขบวน บรรดาบ้านเรือนละแวกริมทางเริ่มจุดไต้ไฟ ต่างหุงหาอาหารข้าวปลาแต่เช้ามืดเช่นเดียวกัน
 
ระหว่างตั้งใจบังคับม้าให้วิ่งตามขบวนด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น บังเกิดกลุ่มหมอกสีขาวพัดโหมเข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบทันที ทำให้พจน์จำต้องดึงสายบังเหียนให้ม้าหยุด เสียงร้องของสัตว์สี่เท้าตะกายขาหน้าขึ้นสู่อากาศลับตา ก่อนเตียงผู้ป่วยและสภาพแวดล้อมของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งสวมรอยเข้าทดแทน

“พจน์ เป็นยังไงบ้างลูก” ภพดนัยซักถามโดยเร็ว

เด็กหนุ่มสังเกตใบหน้าบิดา มีรอยแผลบริเวณหัวคิ้วและผ้าพันตรงข้อศอก

“เกิดอะไรขึ้นครับ” ระหว่างตนข้ามพิภพเกิดเหตุการณ์ใด จำได้ว่ากำลังเดินทางออกจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยาเพื่อแวะหาก๋วยเตี๋ยวเรือรับประทานเป็นอาหารกลางวัน พลันรู้สึกเอะใจ หันเหลียวแลหากลุ่มเพื่อน

“แล้วทุกคนล่ะครับ คุณพ่อ”

“ใจเย็นๆก่อนพจน์” บิดาเม้มปากกลั้นน้ำตา ดาวขยับเกาะไหล่ภพดนัย เอื้อมมือรัดแขนพี่ชาย ดวงตาแดงเหมือนผ่านการร้องไห้มามากประมาณ

“ระหว่างทางมีโขลงช้างจากเพนียดคล้องช้างหลายสิบเชือกเกิดตกมันค่ะ” เด็กสาวอธิบายเสียงสั่น “เพราะทั้งฝนตกหนัก ฟ้าร้องสนั่นติดต่อกันมาหลายวันทำให้พวกมันตื่นตกใจ ระหว่างเคลื่อนย้ายออกจากเพนียดจัดแสดงเพื่อกลับสู่โรงพักอาศัย รถยนต์และรถตู้ของเราเกิดวิ่งผ่านมาในจังหวะนั้นพอดี อยู่ๆพวกช้างพลายก็หลุดจากการควบคุมของควาญวิ่งเตลิดพุ่งเข้าใส่รถโดยไม่คาดคิด”

หยดน้ำรอบดวงตาดาวหลั่งลงอาบแก้มใส ยื้อแล้วแต่ไม่อาจยั้งไว้ได้ “ละ...แล้วแรงชนก็ทำให้รถยนต์เสียหลักพุ่งลงข้างทาง แต่ดูราวกับมีบางอย่างหยุดให้รถชะลอตัวไม่พลิกคว่ำ ส่วนช้างพวกนั้นสังเกตจากลักษณะคงติดตามมาเหยียบย่ำซ้ำ จู่ๆก็เกิดเปลี่ยนใจเดินวนเวียนอยู่รอบๆ แต่...”

พจน์ส่ายหน้า เรื่องราวที่ดาวเล่าคงเป็นคำโกหกหรือเรื่องล้อเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่รอยแผลบนหน้าลุกลามตามลำตัวน้องสาวพร้อมบิดา คือหลักฐานไม่อาจโต้แย้ง

“ทำไม...”

ดาวปล่อยโฮอย่างสุดกลั้นไว้ได้ ภพดนัยเร่งปลอบบุตรสาวละล่ำละลัก พจน์ก้มสำรวจตัวเอง นอกจากรอยแผลไม่กี่แห่งซึ่งได้รับการปฐมพยาบาลเรียบร้อย ไม่ปรากฏอาการบาดเจ็บอื่นใดอีก ตั้งสติให้มั่นคงแล้วกลั้นใจถามว่า

“เจ้าพวกนั้นล่ะครับ เพื่อนของผม...”

“ใจเย็นๆพจน์ ฟังพ่อให้ดี” ภพดนัยวางตัวให้เข็มแข็ง “ทุกคนปลอดภัย รวมถึงคุณปู่กับคุณชาญณรงค์ด้วย ตอนนี้พักรักษาตัวอยู่อีกฟากหนึ่งของโรงพยาบาล”

พอสิ้นคำของบิดา ประหนึ่งมือซึ่งบีบรัดหัวใจพจน์ถูกปลดคลายอย่างปัจจุบันทันด่วน

“แต่...”

“อะไรครับ”

“แต่...ช้างสีดอ ๕ เชือกจากทั้งหมด หลังอาละวาดจนสมใจตัวแล้ว ต่างพากันล้มตายในทันที”

ฝ่ามือซ้ายสั่นเทาจนเกล็ดเลือดส่วนหนึ่งไหลย้อนเข้าสายน้ำเกลือ ข่าวดีที่ว่าทุกคนปลอดภัยและข่าวร้ายที่สัตว์ใหญ่ทั้ง ๕ จบชีวิตเป็นปริศนา อย่างไหนกระตุ้นความเจ็บได้มากกว่ากัน

“ควาญช้างผู้เชี่ยวชาญตำราคชศาสตร์เก่าแก่คนหนึ่งบอกว่า เหตุทำให้ช้างทั้งโขลงมีอาการประหลาด ไม่ใช่เพราะตกมัน แต่เป็นคัมภีร์พระเวทลำดับ ๔  อถรรพเวท ถูกปลุกขึ้นบนพิภพ จนก่อให้สัตว์ใหญ่เช่น ช้าง เป็นต้น ต้องทุรนทุรายต่อเสียงสวดสาปแช่ง เล่ากันว่าพระเวทมนตราดำบทนี้ไม่ได้ถูกจดจารไว้ในตำราเล่มใด แม้นฤาษีชีพราหมณ์ผู้มีชีวิตอยู่ก็หามีใครเคยรู้จัก ด้วยสิ่งอกุศลกรรมประกอบพิธีบูชายัญผิดวิถีมนุษย์ อาศัยเลือดและวิญญาณประกอบเป็นหลักชัยเพื่อเซ่นสรวงสิ่งที่ตนนับถือ พิธีกรรมไสยเวทชั่วร้ายไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์จวบกระทั่งวันนี้ หมอควาญผู้มีอาคมกล่าวซ้ำว่า สมัยเมื่อเนิ่นนานมีแต่เพียงพิธีไล่ช้าง โดยใช้สัตว์เล็กสังเวย แต่พิธีกรรมอำมหิตได้แปรเจตนาจากบูชา เปลี่ยนเป็นเล่ห์กลคร่าชีวิตโดยใช้เลือดมนุษย์เป็นเครื่องเซ่น”
 
ศาสตราจารย์วิชัยวางมือประชิดเตียงหลานชาย ท่านมิได้บาดเจ็บเท่าใดหากพิจารณาจากภายนอก ชาญณรงค์และนักข่าวธนชัยก็เช่นกัน
 
“พวกมันรับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่า พิธีกรรมอำมหิตถูกปลุกฟื้นด้วยเลือดมนุษย์ชุบเล่ห์กลทมิฬปรากฏเป็นอาเพศเหนือพิภพนี้แล้ว” ไม่คาดคิดว่าจะเป็นคำพูดจากปากคุณปู่ “เป็นความเชื่อสืบต่อกันมาของหมอควาญช้าง แต่ปู่ไม่คิดเช่นนั้น โลกใบนี้ล้วนมีที่มาที่ไปและทุกสิ่งล้วนต้องพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ นอกจากอาการตื่นตกใจตามประสาสัตว์ในคราวฝนตกฟ้าร้องแล้ว ก็ไม่เห็นมีสิ่งใดสามารถอธิบายเป็นอื่นได้ยกเว้นหลักการระวังภัย”

“แต่...” พจน์พยายามแย้ง คำคำหนึ่งผุดวาบ จอมมาร

เด็กหนุ่มกำมือแน่นสู้ระงับความโกรธ เหตุการณ์เหนือคาดผิดธรรมชาติไม่มีหลักการวิทยาศาสตร์ใดพิสูจน์ นอกจากอำนาจลึกลับของจอมปีศาจตนนั้น  มันประสงค์ชีวิตและสุดยอดอัญมณีในกายพจน์ ความกล้าหาญมากประมาณพุ่งพรวดขึ้นหน้าจนไม่อาจอยู่นิ่งเฉย ขยับมือหมายดึงเข็มน้ำเกลือออกก็ถูกพยาบาลสาวกรีดร้องตกอกตกใจจ้าละหวั่น

“ไม่ได้นะคะ คนไข้หมดสติไปนานต้องได้รับสารอาหารทางสายน้ำเกลือค่ะ แล้วญาติกรุณาให้เวลาคนไข้ได้พักผ่อนด้วยค่ะ” พยาบาลสาวขัดขวางหน้าเครียด จ้องหน้าคุณปู่และคุณพ่ออย่างเอาเรื่อง ถ้าหากใครไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งเธอ

“ผมขอไปดูเพื่อนของผม” วิงวอนหน้าซีดเซียว

“ไม่ได้ค่ะ ต้องพักผ่อนให้มากกว่านี้ก่อน คนอื่นๆปลอดภัยแล้วค่ะ อย่าได้เป็นกังวล” พยาบาลสาวสวยสู้ใจเย็นอธิบาย กดพจน์ให้ล้มตัวนอน

จอมปีศาจคงกำลังจับจ้องอยู่ที่ไหนสักแห่งพร้อมหัวเราะขบขัน เป็นความผิดของพจน์ที่ละหนีข้ามพิภพไปโดยทิ้งทุกคนให้ตกอยู่ในอันตราย อยู่ๆเด็กหนุ่มก็ฉุกคิดถึงนิธิ หากตนไม่แนะให้เจ้านั่นเดินออกจากชีวิต  มันอาจปกป้องทุกคนให้พ้นจากอันตรายได้ เป็นความผิดของเขา เป็นความผิดของพจน์ทั้งหมด มหาภัยจากมารร้ายบัดนี้คุกคามชีวิตพจน์และทุกคนไม่เลือกหน้า เขาจะทำอย่างไรดี พลังที่ตนมีก็ไม่เห็นปรากฏให้นำมาใช้คุ้มครองได้

ไอ้กัน กูขอโทษ ทั้งที่พยายามรับปากมึงว่าจะดูแลตัวเองให้ได้ แต่เพียงแค่มึงจากไปไม่ถึงวัน กูก็ผิดคำสัญญานั่นแล้ว
 
“นอนก่อนนะพจน์ ไม่ต้องคิดมาก พ่อจะดูแลทุกคนเอง” ภพดนัยปลอบ ปั้นหน้าเข้มแข็ง

พจน์สั่นศีรษะ เขาจะสบายใจได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้เหมือนตนชักนำทุกคนมาสู่อันตรายโดยแท้

“แกไม่ต้องกังวล ตาพจน์ พักผ่อนเถอะ เย็นนี้เราจะเดินทางกลับบ้าน” คุณปู่พูดทักท้วงราวกับเหตุการณ์อุบัติเหตุโขลงช้างบุกเข้าทำร้ายเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไปที่ทุกคนสามารถพบเจอได้ แต่มันไม่ใช่ พจน์รู้แน่แก่ใจ สาเหตุทั้งหมดเกิดขึ้นจากการมีตัวตนของเขาเอง
 
“อย่าได้โทษตัวเองเด็ดขาด” ศาสตราจารย์วิชัยพูดย้ำเสมือนล่วงรู้ความคิดหลานชาย “หากจะผิด ก็ผิดเพราะโลกเรามันโหดร้ายสำหรับทุกชีวิต ทุกสิ่งล้วนเกิดมาต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทุกรูปแบบ เหตุการณ์ที่เราเจอก็ไม่ต่างกับความเจ็บปวดรูปแบบหนึ่ง หากความเจ็บนั้นทรมานแกมากเท่าใด ก็เหมือนเป็นครูสอนให้เรียนรู้เข้าใจและเราจะไม่มีวันหวนกลับไปพบความเจ็บเช่นนั้นอีก แต่ชีวิตจะพ้นความทุกข์โดยตลอดไปหรือไม่นั้น คำตอบคือ ไม่ ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่เจ็บยิ่งกว่าครั้งนี้รอแกอยู่ ลูกผู้ชายเกิดมาต้องเข้มแข็งอย่างที่สุด ไม่ว่าเราจะประสบทุกขเวทนาใดอีก จงกล้าหาญ และแม้แต่น้ำตาก็ไม่อาจลบล้างให้มันเลือนหายไปจากใจหรือความทรงจำของเราได้”

ภพดนัยพยักหน้าเห็นชอบเช่นเดียวกับนักข่าวธนชัยซึ่งพยายามเดินเก้กังเข้าหาบิดาของพจน์ หมายใจเอื้อมมือแตะไหล่ก็ยื้อรั้งฝืนทนไว้ ดาราไม่อาจฟังต่อได้ก็เดินละออกจากห้อง

“เหตุผลที่ผมเกิดมา หรือทุกคนเกิดมา เพื่อต้องเผชิญความเจ็บปวดหรือครับ คุณปู่”

“เปล่า” รอยยิ้มไม่คาดคิดผุดพรายเหนือใบหน้าของท่าน “ปู่ยังพูดไม่จบ ความทุกข์น่ะส่วนหนึ่ง แต่เป็นความรัก ต่างหากที่เราถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้”


50%...TBC โปรดติตตามตอนต่อไป
_______________________________

พระเวท : คัมภีร์หลัก แบ่งออกเป็น ๔ คัมภีร์ ได้แก่ ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท และ อถรรพเวท
อถรรพเวท : เป็นเวทมนตร์คาถาเพื่อให้เกิดผลดีแก่ฝ่ายตน หรือผลร้ายแก่ฝ่ายศัตรู ตลอดจนการบันดาลสิ่งที่เป็นมงคล หรืออัปมงคล การทำเสน่ห์ การรักษาโรค และอื่นๆ

_______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

แกล้งให้คนที่รักไปเห็นตัวเองมีอะไรกันคนอื่นเนี้ยนะ  บ้าไปรึเปล่าครับคนแต่ง แบบนั้นใครจะไปรักไปชอบได้เหล่า จะทำให้ตีตัวออกห่างมากกว่า  แล้วสงสารนายกองคนนั้นด้วย  ที่ต้องมารักอุปราชคนนี้ ก็รู้ว่ายุกต์สมัยนั้นมีเมียหลายคนได้อะนะ  แต่ถ้ามาตะมีแบบนั้นบ้าง  พจน์คงได้อกแตกตายแน่ๆ  ขนาดแค่จูบก็ร้องไห้เป็นสายเลือดล่ะ  รอการเฉลยปมกันต่อไปครับ  คนแต่งก็สู้ๆ
พระมหาอุปราชสุริยะ เป็นตัวละครที่ผู้เขียนตั้งใจสร้างให้มีลักษณะซับซ้อนทางอารมณ์แตกต่างจากมาตะหรือคนอื่นๆในพิภพนั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะพูดปากตรงกับใจเสมอ แต่อุปราชพระองค์นี้ ไม่เพียงปากไม่ตรงกับใจ ด้วยมีเลือดขัตติยะหนึ่ง ถูกอบรมเลี้ยงดูในชั้นวรรณสูงส่งจะทำสิ่งใดตามใจตัวเองมิได้ หน้าที่แลบ้านเมืองต้องมาก่อนสอง ครั้นประสบเจอพจน์ ในชั้นแรกก่อเกิดข้อตะขิดตะขวงใจในคำถามอันเกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ประสูติกาลของพระองค์ ต่อมาก็รู้สึกสนิทเสน่หาพจน์อย่างประหลาด (อย่างที่เรารู้ว่าอดีตชาติของสุริยะอุปราชาเป็นทหารองครักษ์กินนร นาม สัปะวามิต ย่อมมีความผูกพันกับพจน์มาแต่หนหลัง) ภายหลังจากการลอบสังเกตก็รู้ว่าพจน์รักมาตะผู้อนุชา และมาตะก็รักพจน์เช่นกัน หากพระองค์จะออกปากบอกมาตะว่าประสงค์ในตัวพจน์ก็ย่อมได้ในฐานะที่อยู่สูงกว่า แต่ก็ไม่ทำ ครั้นประสบเจอนายกองธวัชฉัตรจี้ใจดำจะเผยความลับก็ปฏิบัติห้ามปรามไม่ทันคิด เกรงมาตะจะล่วงรู้เช่นเดียวกับคนทั้งปวงด้วยเป็นความรู้สึกที่ไม่สมควรที่พี่จะแย่งของรักของน้อง แล้วการที่พจน์ต้องไปอยู่ในห้องบรรทม ผู้เขียนนึกคิดขนบธรรมเนียมนี้ขึ้นมาเองว่า กฏมนเทียรบาล บัญญัติให้มีมหาดเล็กร่วมเป็นสักขีพยาน พจน์จึงเป็นตัวเลือกที่ง่ายดายที่สุดหนึ่ง และคนประเภทนี้ปากว่าอย่างหนึ่งแต่ในใจจะประสงค์ให้เป็นตามนั้นก็หาไม่ ทั้งรักทั้งชังผสานกันไป พระองค์อาจดำริในหทัยแล้วว่าไม่อาจครอบครองพจน์ได้ก็ประพฤติทั้งดีทั้งร้ายใส่คนที่ตัวรักตัวชอบจนกลายเป็นเหตุการณ์ดั่งว่าสอง ไม่รู้จะช่วยปลดคลายข้อในใจคุณมากน้อยเพียงไหน หวังว่าจะคลี่คลายลงแล้วในส่วนนี้ สำหรับนายกองธวัชฉัตรนั้นจึ่งกลายเป็นตัวละครที่น่าสงสารอีกคนหนึ่ง ต้องติดตามต่อไปว่าจะมีชะตากรรมอย่างไร ส่วนมาตะจะมีมากเมียหรือไม่ อันนี้ถ้าพจน์นึกคิดได้แวบนึงเหมือนแบบคุณล่ะก็ สงสัยมาตะเราคงถูกจับตอนแน่ๆเลย อิอิ

:z6:ทำพจน์เสียใจ สมควรถูกลงโทษ o13
โถๆ มีแต่คนทีมพจน์ คราวนี้มาตะคงสิ้นชื่อเป็นแน่ ไม่มีใครอยู่ฝ่ายตนเลย แล้วจะง้อพจน์สำเร็จไหมล่ะเนี่ย รอติดตามต่อไปนะครับ

พจน์เจอฉากรักไปถึงขั้นเป็นลมกันเลยทีเดียวพจน์ช่างใจแข็งนักพ่อมาตะคนซื่อคงทุกข์ใจน่าดู รอการแก้ปมทุกปมจากคนเขียน ไม่เดาแล้วเดาไม่ถูกชักที5555 ชูป้ายไฟคนเขียนสู้ๆๆๆ :mew1:
ถ้าเป็นผม หรือผู้อ่านหลายๆคนอ่านไม่มีอาการแบบพจน์ก็ได้นะครับ 5555 แต่อยู่ๆก็ถูกจับให้ไปอยู่ในห้องนั้นไม่ทันตั้งตัว สติมั่นคงมีหรือจะทานทนได้พจน์ก็เลยกลายเป็นสภาพแบบนั้น พจน์จะใจแข็งได้อีกนานไหม ลองถามใจเธอดู 555 เป็นผมนี่คงยอมให้อภัยตั้งแต่ไปหาสมุนไพรมาต้มยาให้ละ คนอะไรดีต่อใจเหลือเกิน ก็คาดเดาเผื่อไว้เล่นๆก็ได้ครับ ถ้าเกิดตรงกับใจคุณก็ดีไป แต่ถ้าไม่ตรงก็ถือว่าเป็นเซอร์ไพรส์ดีนะผมว่า รอติดตามต่อไปจนจบนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:36:09 โดย LoveBlueSky2203 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4

“เหตุผลที่ผมเกิดมา หรือทุกคนเกิดมา เพื่อต้องเผชิญความเจ็บปวดหรือครับ คุณปู่”

“เปล่า” รอยยิ้มไม่คาดคิดผุดพรายเหนือใบหน้าของท่าน “ปู่ยังพูดไม่จบ ความทุกข์น่ะส่วนหนึ่ง แต่เป็นความรัก ต่างหากที่เราถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้”

888888888   ผมชอบตอนนี้มากๆเลยฮะ   แต่มีช่วงหนึ่งที่บอกว่า  เหตุผลที่เกิดมา  มีความทุกข์ส่วนหนึ่ง  แต่มีความรักต่างหากที่เราถือเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  *** เพื่อเป็นการช่วยสดับสติปัญญาผู้มีความรู้น้ออย่างกระผม   พี่ช่วยอธิบาย ให้ผมฟังหน่อยสิฮะว่า  ทำไมถึงว่า  *ความรักถึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเกิดขึ้นมาและต้องเผชิญความเจ็บปวดละคับ* ผมไม่รู้จริงๆ   888888888
(คำพูดที่คุณปู่พูดกับพจน์  ผมยังตีความหมายไม่ได้เลยฮะ)
........ ขอปัญญาจงอยู่กับท่าน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2016 19:18:29 โดย maew189870 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]



เจ้าม้าขนสีน้ำตาลรับรู้น้ำหนักมนุษย์เหนืออาน เรือนกายลึกลับผุดวาบกระชับดึงสายบังเหียนได้ทันท่วงที บัดนี้พจน์ข้ามพิภพกลับมารวดเร็วเมื่อสติหลับใหล ท้องฟ้ายังคงมืดมัว ต้นใหม้ใบหญ้าผุดขึ้นริมทางนานาพันธุ์ เทือกเขาสูงใหญ่มหึมาทอดขวางบดบังเป็นเงาทะมึนราวกับงูยักษ์ถูกสาปนอนทอดกายอยู่ ความเป็นห่วงโลกปัจจุบันที่จากมามีมากเท่าใด แต่ไม่อาจฝืนห้ามอำนาจเร้นลับพาข้ามพิภพสู่ที่แห่งนี้ได้ ภาวนาให้ระหว่างตนละจากอย่าได้เกิดมีอันตรายใดๆมาแผ้วพานครอบครัวและกลุ่มเพื่อนอีก ได้แต่ภาวนาเท่านั้น... นี่หรือคือผู้ที่พราหมณ์โกสินธพกล่าวยกว่าเป็น มหาบุรุษ ผู้ครอบครอง เพชร มหามณีล้ำค่าสูงสุด ทำได้แค่ภาวนา น่าอดสู

“เกิดเหตุอันใด ฤา เจ้า” มาตะผ่อนฝีเท้าม้าเมื่อแลเห็นว่าอาชาอันตนจูงลากปรากฏมีผู้ควบขี่กลับคืนดังเดิมก็ปลดสายจูงออก พระมหาอุปราชเหลียวทอดพระเนตรชั่วขณะก่อนจะกระตุ้นเตือนให้ม้าเร่งฝีเท้าต่อ จาโคยักคิ้วหลิ่วตาต้อนรับพจน์ ฝ่ายเจ้าคาวินก็ผิวปากจนถูกมาตะส่งสายตาเยือกเย็นกำหราบ รีบแก้ต่างยกมือขอขมาแต่นัยน์ตาขยิบยิ้มแฝงความขี้เล่น พจน์ยกมุมปากส่ายหน้า “เหตุการณ์ข้างน้องท่านหาปรกติ ฤา จึ่งก่อรอยปริวิตก”

เมื่อคนคู่พิศวาสไม่ตอบคำ มาตะก็ไม่ดันทุรังเซ้าซี้แต่อาศัยลอบสังเกตเป็นระยะ ในหัวเจ้าหนุ่มมากโฉมมีแต่ภาพอันตรายต่างๆนานา แต่อธิษฐานด้วยใจตั้งมั่นว่า หากเกิดการมิควรขึ้นคำรบสอง ขออำนาจศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชักพาตนข้ามพิภพโปรดจงนำกลับอย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยเถิด จึ่งค่อยคลายใจ

หนทางสัญจรเริ่มมีผู้คนเดินสวนผ่าน บ้างขับม้า บ้างขับเกวียนเทียมโค มุ่งหน้าสู่กำแพงเมืองทวาระบุรีที่เพิ่งละจาก ลำธารสายหนึ่งผุดไหลแว่วจากด้านซ้ายของเส้นทางดิน เบื้องหน้าถนนเปลี่ยนเป็นศิลาปูลาดเช่นเดียวกับหนทางในเมืองทวาระบุรี ชุมชนตั้งบ้านเรือนอยู่หนาแน่นภายในเขตกำแพงค่ายคูประตูหอรบทำจากไม้สัก แสงไต้ไฟวับแวมพร้อมคำสนทนาเจรจา  ป้อมปืนขนาดใหญ่ก่ออิฐฉาบปูนทาสีขาวผุดสูงเด่นเป็นสง่า สร้างเป็นป้อมสองชั้นแปดเหลี่ยมดูแข็งแรงทนทาน กระบอกปืนใหญ่สีดำมะเมี่ยมวางสับหว่างระหว่างใบเสมา แลเห็นทหารลาดตระเวนเกราะเงิน และเกราะทองสวนกันขวักไขว่ กลางถนนมีขวากไม้แหลมตั้งสกัดเป็นด่านตรวจ โกสินทร์ส่งสัญญาณให้ผ่อนฝีเท้าม้าลง เรียงลำดับย่างผ่านนายทหารหน้าขึงขังผู้หนึ่งไปด้วยสายตาไม่ชอบมาพากล ครั้นได้สอบถามว่าเป็นพ่อค้าประสงค์ผ่านชุมชนสู่ประตูด่านก็ปล่อยตัวไม่ติดใจเอาความ
 
เงามหาบรรพตทอดทับแหล่งอาศัยหน้าด่านดุจเมฆดำ ราษฎรผู้ประสงค์จะออกช่องเขาด่านสุวรรณคีรีต่างจับกลุ่มสรวลเสเฮฮารออยู่เบื้องหน้าประตูไม้ขนาดมหึมาผูกต่อผนึกแน่นโดยใช้ไม้หลายพันต้นสร้างขึ้น ทาทับด้วยชาดเขียนลายขาวเป็นรูปสิงห์ก้าวย่างเยื้องเสมือนมีชีวิต ขนาบเคียงด้วยเงาแกะสลักหินผาเป็นรูปสิงห์สูงใหญ่เทียมเท่าภูเขาลูกนี้ สลักลายอย่างเดียวกับที่พจน์เคยเห็นประจำอยู่หน้าประตูเมืองแต่ขยายขนาดใหญ่โตกว่า หันหน้าสู่เบื้องทิศตะวันออกของประตู ทาสีขาวปลอดทั้งตัวสว่างจ้า คะเนว่าช่างแกะสลักนับพันนับหมื่นคงช่วยกันลงมือลงแรงทิ่มแทงออกจากหินภูเขาที่ทอดตัวยาวเป็นช่วงชั้นต่อเนื่องในแนวเหนือใต้สุดลูกหูลูกตา

มหาสิงหราช เป็นประติมากรรมหินทรายใหญ่โตที่สุดนับแต่มนุษย์ก่อเกิดขึ้นบนมหาพิภพ แกะสลักจากหินภูเขา ขนาบข้างไว้ดุจทวารบาลปกปักรักษาคุ้มครองมหาอาณาจักรของชาวเรา” โกสินทร์ขยับม้าถอยมายืนเคียงอธิบายในสิ่งที่ตาพจน์พิจารณา

“มันสร้างด้วยน้ำมือมนุษย์จริงหรือ ใช้เวลานานเท่าไหร่จึงแล้วเสร็จ” พจน์ถามกลับ

“สิบศตวรรษ”

“หนึ่งพันปี! บ้าไปแล้ว” พจน์ร้องอย่างไม่อยากจะเชื่อ ขนลุกซู่

บรรยากาศเย็นยะเยือกถูกพัดพาจากยอดเขาผ่านต้นไม้ใบหญ้านานาชนิดที่ขึ้นปกคลุมเทือกเขานั้นไว้ตั้งแต่ลาดเชิงจรดปลายโค้งเว้าซึ่งลับหายกลืนลับกลุ่มเมฆสีดำ พจน์กระชับกายแน่นกว่าเดิม ด้วยผ้าคล้องใหล่ผืนเดียวมิอาจช่วยระงับอาการสั่นได้ มาตะลอบสังเกตเห็นกิริยาหนาวสะท้านของพจน์อยู่ในทีก็รีบปลดผ้าคล้องไหล่ตนออก ควบม้าขึ้นเคียงแล้วยื่นให้ เมื่อเห็นว่าพจน์เอาแต่มองก็จับใส่มือไม่เจรจาความใดต่อกัน เด็กหนุ่มหน้าสะคราญไม่อาจทนหนาวได้ แต่เจ้านั่นมีหรือจะไม่หนาวเช่นตน คิดได้ดังนั้นก็มิอาจนำมาพันกายเหมือนคนเห็นแก่ตัวจึงกำผ้าไว้แน่น
 
ระหว่างยืนคอยให้ประตูด่านเปิดเมื่อแสงแรกอรุณฉายฉาน พยายามเหลียวมองมาตะพะวงห่วงจะหนาวกาย ครั้นเห็นลำตัวอุดมมัดกล้ามมิได้สะทกสะท้านปรากฏอาการดั่งว่าก็คลายใจ ผู้คนแต่งตัวมิดชิดหอบหิ้วตระกร้าสานไม้ไผ่ บ้างขับเกวียนบรรทุกพืชพรรณธัญญาหาร จำพวกข้าว ข้าวโพด เผือก มัน หรือเครื่องเทศ พริกไทย จันทน์เทศ กานพลู ส่งกลิ่นตลบอบอวลเต็มลำเกวียนอยู่รายล้อม
 
“ด่านช่องเขาสุวรรณคีรีนี้มิรู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่นี่เป็นช่องทางเดียวที่จะข้ามพ้นมหาบรรพตนพรัตนคีรี โดยมิต้องปีนป่ายให้ยากกาย จึ่งเสมือนประตูสู่อาณาจักรแห่งเรา แลเป็นประตูสู่อาณาจักรอันลึกลับที่มิใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์” เวฬุอธิบายระหว่างรอ กฤษณะถูกพระมหาอุปราชาชวนให้สนทนาความอย่างหนึ่งอยู่ แม้นใจตัวหมายประสงค์ร่วมพูดจาด้วยภัทรพจน์ก็มิอาจทูลลาได้

“เผ่าพันธุ์อะไรงั้นเหรอ” พจน์ถามกลับ เวฬุปั้นหน้าขรึม พลางว่า

“เทพ คนธรรพ์ พญานาค กินนร ครุฑ นรสิงห์  คชสีห์” เจ้าหนุ่มตัวอวบหยุดกลืนน้ำลาย แล้วว่า “แล ยักษ์”

“มีแค่นี้น่ะหรือ” พจน์นึกภาพตาม ราวกับดินแดนนี้เป็นแหล่งรวมสิ่งมีชีวิตในวรรณคดีอย่างไรอย่างนั้น

“หาไม่ แลยังมีอมนุษย์อื่นอีกมากมาย เป็นต้น ภูติผีอสุรกายที่ไร้อาณาจักรเป็นหลักแหล่งปกครอง” โกสินทร์อธิบายเพิ่มเติม “แผนที่ของชาวเราสิ้นสุดลงตรงประตูช่องเขาด่านสุวรรณคีรีนี้ และหามีผู้ใดจักอาจกล้าสำรวจดินแดนเบื้องหลังประตูด่าน มีอยู่คราวหนึ่ง พระมหากษัตริย์มนุษย์ทรงพระนามว่า นันทราชา ผู้ปกครองชาวเรามาเมื่อหลายพันปีล่วง ทรงดำริจักขยายแผนที่บนมหาอาณาจักรให้กว้างขวางออกไปจึ่งส่งนายช่างชำนาญชัยภูมิวิเศษคัดสรรแต่อย่างดีให้ผ่านเบื้องประตูด่าน แลคัดลอกเส้นทาง พืชพรรณ ห้วยหนองคลองบึง ฤา แม่น้ำสายสำคัญมาทูลถวายแด่พระองค์ หลังผ่านพ้นเป็นเวลาหนึ่งปี ก็ไม่ปรากฏว่ามีชาวคณะสำรวจผู้ใดกลับมาถวายความเป็นไป แลสาบสูญไม่มีใครพบเห็นอีกนับแต่นั้น แผ่นที่ของชาวเราจึ่งสิ้นสุดลงตรงนี้มายาวนานดั่งว่า แลอาณาประชาราษฎร์จะผ่านไปได้ก็อาศัยแต่ความชำนาญด้านค้าขาย แลความจำเป็นลำดับต้นในการเอาตัวรอดกลับมาเป็นที่ตั้ง”

“แปลว่ามหาเทวาลัยร้างที่เราจะต้องไปตรวจตราอยู่ตรงไหน ก็ไม่อาจรู้แน่ชัดน่ะสิ เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลย” พจน์ตั้งข้อสังเกต

“มหาเทวาลัยแห่งนั้นมีผู้พบเห็นมานักต่อนัก ดังคำเฒ่าวลาหกกล่าวฝากไว้ คือตั้งอยู่ห่างประตูด่านไปทางทิศตะวันออกเพียงระยะ ๑ โยชน์ แต่สภาพแวดล้อมนั้นจะมีอันแปรเปลี่ยน ฤา ไม่ ยากจะรู้ ด้วยมีคนเล่าลือว่าก่อนถึงมหาเทวาลัยร้างปรากฏเป็นดงป่าอาถรรพณ์ขวางกั้นอยู่ หากแม้นมิทำตำหนิไว้ให้ดี ขากลับอาจหลงทางวนเวียนหาทางออกไม่ได้ ประหนึ่งต้นไม้เหล่านั้นมีชีวิตและเคลื่อนไหวสลับโยกย้าย จึ่งเป็นที่มาของชื่อนครไพรพนาวรรณ”

พจน์คิดตามก็ให้สะดุ้ง
 
เสียงตะโกนของเหล่าทหารเกราะทองสลักลายนูนสิงหนาทป่าวประกาศถึงเพลาเปิดแลปิดประตู คือนับแต่แสงอรุณรุ่งจวบกระทั่งดวงพระอาทิตย์ตกลงจากขอบฟ้า บานประตูจะเปิดอยู่เพียงแค่นั้น เมื่อราตรีเคลื่อนผ่านจึ่งปิดแน่นหนามั่นคง เมื่อคำทั้งนี้ดังชัดในหมู่ชนผู้รอแออัดอยู่บริเวณหน้าประตูด่านโดยถ้วนทั่วแล้ว เสียงลั่นของประตูไม้ยามเสียดสีกันก็แว่วมาให้ได้ยิน พร้อมกับทหารหลายร้อยคนใช้เชือกขนาดหลายขดผูกซ้อนกันชักลากบานประตูให้เปิดออกทีละน้อย โดยมีเสียงกลองตีกำกับจังหวะ หมู่อาคารก่ออิฐถือปูนแบบตึกทหารตั้งขนาบอยู่พร้อมลานฝึก แลโรงศาสตราวุธ กรมกองทหารจัดกระบวนเดินผ่านตรวจตราตั้งด่านสำรวจหาสิ่งไม่ชอบมาพากล ก่อนจะปล่อยให้ผู้คนผ่าน  แสงทองสาดกระทบใบหน้าแลผืนดินทันทีเมื่อบานประตูสีชาดเปิดออก ราษฎรถูกตรวจตราโดยถ้วนถี่แล้วหลั่งไหลเดินผ่านช่องเขาโดยเร็ว หวังให้ทำธุระเสร็จก่อนตะวันตกดิน

พระมหาอุปราชาสุริยะเสด็จลากจูงอาชาผ่านด่านตรวจนำหน้าทุกคน พจน์เห็นควรปฏิบัติตามก็เหวี่ยงตัวลงจากหลังอานเดินลากจูงเช่นกัน ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี รูปปั้นมหาสิงหราชใช้เท้าหลังเป็นฐาน ขาหน้าเหยียดตรง หัวเชิดสูงดูน่าเกรงขามแลองอาจอยู่ในที ต้องแหงนคอมองตั้งฉากจึงจะเห็นปลายยอดสูงสุด เมื่อเดินถึงกึ่งกลางช่องเขาทุกคนก็โหนนั่งหลังม้าแล้วควบผ่านฝูงชนสู่ทิศทางแสงอรุณเผยแตะขอบฟ้า พื้นที่ราบระยะหนึ่งปรากฏให้เห็นเป็นท้องทุ่งโล่ง มีเพียงหญ้าแห้งพริ้วไหวตามสายลม ถนนแยกเป็นทางสามแพร่ง เส้นทางหนึ่งทอดพุ่งข้ามทุ่งหญ้าหายลับเข้าแนวป่ารกทึบร้างไร้ผู้คนสัญจร มาตะเร่งขับอาชาเข้าเทียบเคียงพระมหาอุปราชสนทนาต่อกันชั่วครู่ก็ควบสู่เส้นทางวิเวกนี้ ชาวเมืองเห็นกลุ่มคนทั้งนั้นควบม้าสู่หนทางอันไม่มีใครกล้ารุกล้ำก็ต่างจับกลุ่มซุบซิบ ชี้มือชี้ไม้ด้วยหน้าขยาดกลัวแลพิศวง

พจน์กระตุ้นลำตัวเจ้าสีน้ำตาลเหยาะย่างควบตามติด แนวไม้ขนาดใหญ่ขึ้นเป็นดงแออัดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งลองเหลียวหลังมองกลับ รูปปั้นมหาสิงหราชต้องกระทบแสงอรุณย่อส่วนอยู่ไกลลิบลับ

“ป่าอาถรรพณ์ใช่ ฤา ไม่” อุปราชสุริยะร้องถามมาตะ เจ้าหนุ่มก็รีบรับคำว่าจริง เมื่อบัดนี้ต่างขับอาชามาถึงแนวชายป่านามนั้น เพียงพินิจภายนอกก็หาได้มีสิ่งใดต่างจากดงป่าที่พจน์เคยเห็นผ่านตามาก่อน มีเสียงนกร้องแว่วสะท้อนยามออกหากิน ผสานลมพัดผ่านยอดไม้มาเนืองๆ

“จัดกระบวนเดินทางให้รัดกุมตามตำราพิชัยยุทธ์ว่าด้วยการลาดตระเวน” สุริยะอุปราชาสั่งพระพักตร์นิ่ง ตวัดพระเนตรสบตาพจน์แฝงความหมิ่นแคลน ทุกคนขยับม้าปฏิบัติตามคำคล้ายลักษณะปลายทวน คือทหารองครักษ์ปัญจะจาโคอยู่แนวหน้า ตามติดด้วยเวฬุและโกสินทร์ ถัดมาเป็นพระมหาอุปราชาแล้วพจน์ ขนาบข้างด้วยวรุณ คาวิน รั้งท้ายคือ มาตะ กฤษณะ

“หากเห็นสิ่งไม่ชอบมาพากลใดจงอย่าได้เอ่ยทักท้วง แลปล่อยให้ผ่านพ้นโดยดี ด้วยกิตติศัพท์เล่าลือว่าภายในป่าอาถรรพณ์ถูกร่ายพระเวทไว้ คือมนตราดำจึ่งทำให้สรรพสิ่งประหนึ่งมีชีวิตเคลื่อนย้ายที่ทางของตนได้ เวฬุ โกสินทร์จงใช้ศาสตราวุธทำเครื่องหมายสลักไว้บนลำต้นหนึ่ง แลโยนหินนิลกาฬไปตลอดทางอีกหนึ่ง มาตะเจ้าจงสังเกตลักษณะชัยภูมิเนินดิน แลลำธารอันประกอบอยู่ข้างเคียงเส้นทางเป็นที่หมายอีกหนึ่ง สามประการนี้จักช่วยเราให้หวนกลับคืนอย่างถูกต้อง”

“พระเจ้าค่ะ” ทุกคนน้อมรับพระราชบัญชาโดยพร้อมเพรียง หากพบอันตรายสิ่งใดปรากฏคงได้รู้ดีรู้ชั่วกันแน่ หอกซัดของพระมหาอุปราชเหน็บไว้ที่เอวพจน์แน่นหนาอยู่ อีกทั้งโกสินทร์ยังมอบดาบยาวเกือบเมตรให้สะพายหลังไว้ อย่างน้อยตนคงไม่เป็นภาระให้ใครต้องมาพะวงดังคำปรามาสของนายสุริยะเป็นแน่

องครักษ์จาโคปัญจะชักบังเหียนม้าย่างเท้าเข้าแนวไม้ แสงอรุณเริ่มฉายชัด เส้นทางดินเลี้ยวลดผ่านไพรพนาสูงใหญ่ อันน่าจะเป็นต้นไม้ป่าดิบชื้น จำพวกต้นตะเคียนทอง กระบาก จำปาป่า ยมหอม เป็นต้น ต่างขึ้นเบียดเสียดหนาแน่น จนแม้แต่แสงรุ่งอรุณทอลอดผ่านกลุ่มก้านใบได้เพียงบางเบา แต่ก็ยังสามารถเห็นเส้นทางเดินผ่านได้ ไม่มีใครพูดคุยสนทนาแม้แต่คำเดียวจึงควบผ่านโดยไม่เร่งรีบ เสียงสายน้ำลำธารดังแว่วผ่านเบื้องหลังเนินดินด้านซ้าย มีนกแลกระรอกป่าเกาะโหนตัวตามกิ่งก้านสาขา บ้างโต้ร้องตอบกันดังกังวาน เส้นทางลัดเลาะคดเคี้ยวยังไม่เห็นปลายทาง
 
ระหว่างจาโคแลปัญจะผู้นำขบวนกำลังข้ามผ่านลำห้วยโดยมีน้ำไหลเพียงน้อยนิดนั้น บังเกิดเสียงอย่างหนึ่งคล้ายกับว่าเป็นเสียงน้ำไหลเชี่ยวกรากซัดกระทบมาแต่เบื้องซ้ายมือ พร้อมสำเนียงคำสวดบริกรรมคาถาอย่างใดอย่างหนึ่ง แรกเริ่มเหมือนอยู่ไกลแสนไกลแต่บัดนี้ดังสะท้านทั่วพงไพรจนน่าขนลุก

“พระเวทมนตร์ดำ” พระมหาอุปราชตรัสเตือน “เร่งฝีเท้าม้าวิ่งขับโดยพลัน”

เพียงสิ้นกระแสรับสั่ง ทหารราชองครักษ์ เวฬุ โกสินทร์ต่างเร่งควบตามโดยทันที พจน์เห็นเหตุกาณ์ผิดประหลาดเช่นนั้นก็ครองสติให้มั่น ปฏิบัติตามคำ ควบม้าติดตามพระมหาอุปราชสุริยะไม่ลดละ ประหนึ่งเหมือนสายน้ำล้นหลากทะลักแว่วมาทุกทิศจนต้นไม้ลู่เอนโงนเงน บ้างก็เหมือนขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ได้ อำนาจลึกลับแห่งป่ามนตร์ดำโหมซัดโอบล้อมพวกเขาไว้ใกล้เข้ามาทุกขณะ

“เร่งควบไป อย่าได้พะวักพะวงตื่นกลัวในสรรพเสียงแลภาพลวงตาเป็นเด็ดขาด” อุปราชหนุ่มตรัสสั่งดังก้อง
 
“มีผู้ใช้พระเวทเล่นงานคณะเรา ด้วยเสียงสวดโองการนี้คงมิพ้นคัมภีร์อถรรพเวท” กฤษณะโต้ตอบ

“อำนาจลึกลับใดจักทำร้ายเราเห็นจะทำไม่ได้นอกจากความขลาดกลัวในใจตน จงกล้าหาญอดทนอย่างที่สุด แลข้าสัญญาว่าจะนำพาพวกเจ้าทั้งหมดรอดพ้นจากหายนะนี้” สุริยะอุปราชประกาศเจตนามั่นคงเด็ดขาด

ผืนแผ่นดินอันเคยนิ่งสงบกลับสั่นไหวดั่งจะปริแตก ทำให้เจ้าม้ามีอาการว่อกแว่กตื่นกลัวจนเหงื่อตกกีบเท้าควบคุมได้ยากกว่าเดิม ซ้ำเสียงสวดแลสายน้ำพัดกระหน่ำเหยียบย่ำอีก ก็ทำให้เจ้าสัตว์พาหนะตระหนกยิ่งกว่าเก่าละล้าละลังไม่อาจขยับฝีเท้าได้ตามใจผู้ควบขี่

“เห็นจะมีรอดพ้นเป็นแน่แล้ว” กฤษณะพยายามบังคับม้าด้วยความอับจน
 
“พี่ท่านอย่าด่วนปลงใจยอมแพ้ ความดีอันเราประกอบขึ้นมาทั้งชีวิตคงสนองตอบคืนในคราวยากนี้ อีกทั้งสติปัญญาฝีมือพอมีอยู่ แม้นอำนาจลึกลับแข็งแกร่งปานใด ก็หาได้ชนะใจอันกล้าหาญของเราไม่ เป็นตายคงเห็นดีกัน” มาตะตะโกนปลุกใจโผเข้าช่วยภัทรพจน์บังคับม้าให้คืนสงบ หะนี้ต้นไม้รายรอบขยับหายกลับกลายเป็นลานโล่งเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มก่อเป็นเมฆดำอยู่เบื้องบน พฤกษาลำต้นสูงใหญ่โอบกระชับพวกเขาไว้ในวงล้อมดุจเชลย

สักพักหนึ่งทำนองสวดโองการก็แผ่วเบาลง เช่นเดียวกับแรงสั่นสะเทือนของผืนดิน แต่ยังคงได้ยินศัพท์สายน้ำไหลเชี่ยวอยู่เบื้องหลังต้นไม้ใหญ่ ชั่วครู่ก็บังเกิดเหมือนแสงฟ้าผ่าลงที่ใดที่หนึ่ง ท้องฟ้ามืดมัวก็พลันสลาย ดวงพระอาทิตย์ค่อยๆทะลุผ่านก้อนเมฆ เส้นทางดินผุดขึ้นเป็นแนวให้เห็นชัดอีกครั้งด้านซ้ายมือของขบวนอาชา และบุคคลซึ่งกำลังเดินย่างเท้ามาตามเส้นทางนั้น แต่งกายนุ่งห่มด้วยผ้าขาวคล้ายฤาษีชีพราหมณ์อย่างเดียวกับพระอาจารย์โกสินธพ แต่อ่อนวัยกว่ามาก ผมดำขลับมุ่นมวยคะเนอยู่ในวัยกำดัด ขีดสีแดงเข้มจัดเป็นทรงหยดน้ำกลางหน้าผาก หลับตางึมงำพึมพำถ้อยความที่ไม่มีใครได้ยิน เหล่าต้นไม้เริ่มทยอยเปิดให้เห็นเส้นทางอีกครั้ง พร้อมกับนำถ้อยคำอาถรรพณ์จากไปทั้งหมด พราหมณ์หนุ่มผู้นั้นก้าวออกมาสู่กลางลานโล่ง ลูกประคำสีดำคล้องคอแลข้อมือทั้งสอง
 
เพียงพจน์สบเห็นร่างของเจ้าพราหมณ์ก็พลันหัวใจเต้นระทึก ถลันลงจากหลังอาชาจนเกือบสะดุด มาตะผวาคว้าก็ไม่ทันการณ์ พราหมณ์หนุ่มน้อยท่องบทสวดคาถาจบ แล้วลืมตากลมสวยขึ้นมองพจน์ ก่อนจะยกคิ้วเข้มขึ้นเหมือนหนึ่งสงสัยในท่าทีสีหน้าของคนแปลกถิ่นที่เอื้อมคว้ามาจับมือตน

“วายุ...ใช่นายหรือเปล่า”



100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
_______________________________

ครุฑ : พญานก มีลำตัวและแขนเป็นคน หัวและหน้าเป็นนก
นรสิงห์ : สัตว์ครึ่งคนครึ่งราชสีห์ มีหางยาวปลายเป็นพู่
คชสีห์ : สัตว์ที่มีรูปเหมือนราชสีห์ แต่มีงวงเหมือนช้าง
_______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม


“เหตุผลที่ผมเกิดมา หรือทุกคนเกิดมา เพื่อต้องเผชิญความเจ็บปวดหรือครับ คุณปู่”

“เปล่า” รอยยิ้มไม่คาดคิดผุดพรายเหนือใบหน้าของท่าน “ปู่ยังพูดไม่จบ ความทุกข์น่ะส่วนหนึ่ง แต่เป็นความรัก ต่างหากที่เราถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้”

888888888   ผมชอบตอนนี้มากๆเลยฮะ   แต่มีช่วงหนึ่งที่บอกว่า  เหตุผลที่เกิดมา  มีความทุกข์ส่วนหนึ่ง  แต่มีความรักต่างหากที่เราถือเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  *** เพื่อเป็นการช่วยสดับสติปัญญาผู้มีความรู้น้ออย่างกระผม   พี่ช่วยอธิบาย ให้ผมฟังหน่อยสิฮะว่า  ทำไมถึงว่า  *ความรักถึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเกิดขึ้นมาและต้องเผชิญความเจ็บปวดละคับ* ผมไม่รู้จริงๆ   888888888
(คำพูดที่คุณปู่พูดกับพจน์  ผมยังตีความหมายไม่ได้เลยฮะ)
........ ขอปัญญาจงอยู่กับท่าน
ขอบคุณที่คุณชอบตอนนี้ครับ และมีข้อสงสัยในประโยคคำพูดคุณปู่ของพจน์ 555 ขนาดต้องแปลไทยเป็นไทยกันเลยทีเดียว เอาง่ายๆก็คือ เหตุผลหลักของการเกิดคือ การมาพบเจอ ความรัก ครับ ทุกคนต้องเจอความรักไม่ว่าจะในรูปแบบใด ตั้งแต่ความรักของพ่อแม่ เพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือ แฟน เป็นต้น ส่วนความเจ็บปวดนั้นไม่ใช่ไม่เจอ แต่มันน้อยนิดเทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกที่เรียกว่า รัก หวังว่าจะช่วยตอบข้อสงสัยในใจของคุณได้นะครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2016 16:14:18 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
เข้าใจความหมายแล้วครับ  แต่จากที่ไม่ชอบอยู่แล้วยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่เลยอุปราชเนี้ย  ยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกนะครับเนื้อหา ทิ้งท้ายได้เจ็บปวดอีกแล้วนะครับคนแต่ง  จะใช่คนที่พจน์คิดรึเปล่านี้สิ  อยากรู้ๆจริงๆ  ลุ้นละทึกกันเลยที่เดียวครับ

ออฟไลน์ pui_noizๆ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขอบคุณฮะ ยังคงมีมาตรฐานในการประพันธ์ที่สูงเหมือนเดิมนะฮะ

มีคำผิดเล็กน้อย น้อยจริงๆ ลองพิจารณาดูอีกทีนะฮะ ว่าอย่างไร มี และ แล,   แผ่นที่ และ มี กับ มิ

... “แผนที่ของชาวเราสิ้นสุดลงตรงประตูช่องเขาด่านสุวรรณคีรีนี้ และหามีผู้ใดจักอาจกล้าสำรวจ...


...แลสาปสูญไม่มีใครพบเห็นอีกนับแต่นั้น แผ่นที่ของชาวเราจึ่งสิ้นสุดลงตรงนี้มายาวนานดั่งว่า...

...ขากลับอาจหลงทางวนเวียนหาทางออกไม่ได้ ประหนึ่งต้นไม้เหล่านั้นมีชีวิตและเคลื่อนไหวสลับ...

...“เห็นจะมีรอดพ้นเป็นแน่แล้ว” กฤษณะพยายามบังคับม้าด้วยความอับจน...

นอกจากนี้ยังมีข้อสงสัยคือ

...บานพระทวารจะเปิดอยู่เพียงแค่นั้น... เข้าใจว่าเป็นประตูเมือง หรือในกรณีนี้ก็ใช้คำนี้ได้

...พร้อมกับทหารหลายร้อยคนใช้เชือกประกำขนาดหลายขดผูกซ้อนกัน... เนื่องจากอยากเห็นหน้าตาของเชือกเลยไปถามอากู๋ แต่พบเป็น เชือกปะกำ เชือกปะกำช้าง แทน หรือ คำปะกำเขียนได้ทั้ง 2 แบบ แต่ก็หาคำประกำไม่เจอ จะพบเป็นประคำ แทน หรือเป็นเชือกต่างชนิดกัน?

ท้ายสุด...เรื่องเนื้อหาก็ไม่มีอะไรนะฮะ ดีงามตามท้องเรื่อง แต่เห็นควรว่าพจน์ควรลดทิฐิลงได้แล้ว และกลับมาเป็นปกติเยี่ยงที่ควรจะเป็นโดยพลัน อะไรมากไปก็ดูไม่งามนัก มันจะเป็นเงาสะท้อนของความคิดและจิตใจของตัวเองได้น่ะ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๓๓


ดวงเนตรสีชาด


   
“หมู่ท่านทั้งหลายมีกิจสำคัญอันใด ฤา จึ่งเสี่ยงภัยเอาชีวิตเดินผ่านไพรพนาวรรณป่าอาถรรพณ์”

พราหมณ์ผู้เฒ่าหนึ่งในเก้าซักความ คลุมผ้าขาวนวลเฉกเช่นหนวดเคราเส้นผม คล้องลูกประคำรอบลำคอและข้อมือ คิ้วขาวยกฉงนจนหยดน้ำเขียนสีแดงบนหน้าผากลีบเล็ก ส่วนพราหมณ์ชราทั้งแปด บ้างอ้วนท้วมเจ้าเนื้อ บ้างผ่ายผอมหนังหุ้มกระดูก ต่างนั่งขัดสมาธิเรียงลำดับบนแท่นหินศิลาหน้าประตูระเบียงคดชั้นใน ลักษณะคล้ายปราสาทหินแถบจังหวัดในภาคอีสาน ฝ่ายพราหมณ์น้อยผู้แก้ไขช่วยพวกพจน์ในป่าอาถรรพณ์พนมมือชันเข่าตรงขั้นบันไดศิลาลดหลั่น

“เราทั้งนี้ล้วนเป็นพ่อค้าวาณิชประสงค์ไม้จันทน์หอมเบื้องหลังเทวาลัยเป็นจุดหมาย ต้องการนำค้าขายเพิ่มทรัพย์ศฤงคารแลฐานะตนจึ่งดั้นด้นเสี่ยงภัย” อุปราชาหนุ่มทรุดเข่าลงพนมมือแสดงคารวะ

“หามีมนุษย์ผู้ใดจักอาจหาญชาญชัยก้าวล่วงผ่านไพรไสยศาสตร์มา ด้วยเกรงฤทธาคำสาปร้ายอันซ่อนเร้นอยู่ แม้นคำเหล่าเจ้าจักอ้างจู่เข้าตัดไม้จันทน์หอมเพื่อผดุงชีพ แต่จะหามีคุณค่าถึงขั้นต้องสละชีวีมิเห็นสม”
 
พราหมณ์ผู้หนึ่งตวาดกลับ แม้กำลังวังชาล้าโรยแต่พลังเสียงกึกก้องดุจวัยหนุ่ม สภาพแวดล้อมของมหาเทวาลัย มีลักษณะเก่าโทรมปรักหักพัง ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นแทรกรกชัฏ หินศิลาก้อนมหึมาถูกจัดวางเป็นรูปทรงยอดมณฑปปราสาทดูใหญ่โตกว้างขวางอยู่เบื้องหลังระเบียงคดชั้นใน ต้นไทรมากมายหยั่งรากรัดหินทรายแน่น บารายสระน้ำขนาบลานศิลาชั้นนอกทั้งซ้ายขวา ท้องฟ้าเบื้องบนสุกสว่างสดใสไร้เมฆหมอกดำปกคลุม ผิดต่างจากคำพราหมณ์โกสินธพว่าไว้ประหนึ่งคำลวง สถานที่สงบเงียบเช่นนี้น่ะหรือจะมีภัยอันตรายซ่อนเร้นอยู่

“ด้วยคำสัตย์จริงเป็นพยาน หมู่ข้ารอนรานฝ่าภัยด้วยต้องการไม้จันทน์เป็นแน่แท้หามีสิ่งใดแอบแฝง” มาตะกระพุ่มมือวอน “การค้าขายแม้จักตั้งตัวติดมีเงินตราไหลเวียนเข้าหีบสมบัติสักมากน้อยเพียงใด แต่หากมิอาจนำสินค้าอันมีราคาสูงในท้องตลาดมาวางขายแล้วไซร้ ทรัพย์อันควรมีประจำตัวก็จักพร่องลงแลลดหายไปในที่สุด ครั้นบัดนี้ราคาไม้จันทน์หอมเหยียบหลายร้อยชั่งมีหรือที่หมู่ข้าจักห่วงชีวิตตัว หวาดกลัวแต่สิ่งเดียวคือบิดามารดร ภรรยาแลบุตรจักได้ยากอดมื้อกินมื้อดอก จึ่งฝืนนำชีวิตมาเสี่ยง”

ผู้ทรงศีลได้ฟังคำทั้งนั้นก็หันเหกระซิบกระซาบต่อกันแลกันชั่วแล่น แล้วพราหมณ์ผู้ประทับนั่งอยู่กึ่งกลาง ลักษณะหัวหน้าเหล่าคณะก็กล่าวคำหนึ่ง

“อาตมันปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่าหมู่ท่านกล่าวคำโดยซื่อ ทั้งมีจิตใจมั่นคงในการหาเลี้ยงชีพพร้อมความซื่อสัตย์สุจริตมิได้ละทิ้งครอบครัวให้ได้ยากลำบากเป็นคุณประเสริฐประจำกายมนุษย์ เห็นจะมิขัดขวางในความประสงค์แลจักให้ที่พักอาศัยในเทวาลัยแห่งนี้เป็นแหล่งหลบฝนแดดหนึ่ง แลจักให้พราหมณ์น้อยผู้ศิษย์อาตมันนาม มารุต คอยรับใช้ปรนนิบัติท่านอีกหนึ่ง ระหว่างจัดหาไม้จันทน์จนครบตามจำนวน”

“ขอบพระคุณท่านพราหมณ์ทั้งหลายยิ่ง” มาตะว่าแล้วก็ก้มกราบหน้าผากชิดพื้น คนอื่นเห็นกิริยานอบน้อมของมาตะเป็นหลักนำก็รับคำทำตามโดยพลัน

“แต่มีข้อห้ามหนึ่งอันเหล่าท่านพึงระลึกแลระมัดระวังให้จงหนัก คืออย่าได้ข้ามเขตระเบียงคดเหยียบย่างสู่ชั้นปรางค์ประธานมหาเทวาลัยเป็นเด็ดขาด ด้วยเหล่าอาตมันบัดนี้กระทำพิธีเพ่งบำเพ็ญญาณสมาธิอยู่ มิอยากให้ผู้ใดรบกวนจึ่งเตือนไว้ นอกจากเขตนี้แล้วเหล่าท่านสามารถเดินท่องได้มิหวงห้าม แต่อย่าหลงเดินจนออกข้ามแนวกำแพงมหาเทวาลัยเป็นเด็ดขาด เนื่องจากภูมิประเทศโดยรอบเป็นหนองน้ำบึงขนาดใหญ่ปิดล้อมเป็นปราการสำคัญประดุจดั่งนพนทีมหาสมุทร มองผิวเผินอาจมิลึกดังตาเห็นแต่ใครเลยจักล่วงรู้ได้ว่า เหล่ากอวัชพืชน้ำแลดงธูปฤาษีอันขึ้นอยู่หนาแน่นนั้นหยั่งรากไปยาวไกลเช่นไร” พราหมณ์ข้างเคียงกล่าวเตือน

“อีกทั้งแนวไพรพนาวรรณป่าอาคมดำเป็นเขตหวงห้ามอย่างที่สุด เช่นท่านประสบด้วยตนเองแล้ว พระเวทมนตราถูกสาปแช่งฝังไว้กับป่านี้นับอสงไขยมิอาจมีผู้ใดไขถอนได้ จงอย่าริอ่านย่างกรายไปแต่ผู้เดียว หากเหล่าอาตมันมิได้เพ่งจิตระลึกเห็นหมู่ท่านตกอยู่ในอันตราย จนส่งศิษย์ผู้น้อยไปนำออกมา มีหรือพวกท่านจักเอาชีวิตรอดได้” พราหมณ์อีกคนแจ้งซ้ำ

“แต่การทั้งนี้อย่าได้ปริวิตกเกินควรนัก หากท่านทำการตัดไม้ขนฟืนจนพอใจแล้วแลประสงค์กลับ อาตมันจะเบิกทางให้ปลอดภัยอย่าได้กลัว”

“ขอบพระคุณความอารีแห่งผู้ทรงศีลยิ่งนัก หากมิได้เหล่าอาจารย์พราหมณ์ยื่นมือเข้าพิทักษ์แล้วไซร้ ไหนเลยพวกข้าจักมีชีวิตมาเจรจาความสืบไปได้ บุญคุณครั้งนี้มิอาจแทนทดได้หมดก็จักขอช่วยปรนนิบัติดูแลตอบแทนท่านคืนดุจกัน” สุริยะอุปราชตรัสสำนึกบุญคุณ

“ข้ามีคำถามข้องใจหลายประการ เหตุใดเหล่าพราหมณ์วรรณะสูงเช่นท่านจึงบำเพ็ญเพียรปลีกวิเวกไกลถึงเพียงนี้ ซ้ำเป็นเทวาลัยร้างตั้งห่างผู้คนหนึ่ง แลมีป่าอาถรรพณ์เป็นปราการอันตรายอีกหนึ่ง มาตรแม้นไร้กิจจำเป็นแล้วก็มิเห็นเหตุชักนำเข้ามา” เวฬุดักถามแสร้งทำสงสัย

ไม่นึกว่าเวฬุจะกล้าหาญถึงขนาดถามต่อกันซึ่งหน้าเช่นนั้น เพราะคำอาจารย์โกสินธพกล่าวว่า ไม่เคยพบพราหมณ์บำเพ็ญพรตใดจะอยู่อาศัยเทวาลัยร้างแห่งนี้เกินกว่าเจ็ดราตรีเป็นที่สงสัย อีกทั้งมีอำนาจมืดแฝงเร้นอยู่สะกิดใจ มาตะส่งตาปรามว่องไวแต่ไม่ทันการณ์
 
ผู้ครองศีลทั้งเก้าก่อนหน้ามีความผ่อนคลายยิ้มแย้มเอ็นดู แต่ชั่วครู่หนึ่งก็ปรับเป็นเงียบขรึม พราหมณ์เฒ่าหัวหน้าคณะอรรถาธิบายว่า

“หมู่คณะอาตมันเป็นพราหมณ์ลัทธิป่า ต้องการสถานพนาสงบแลห่างไกลผู้คนเป็นแหล่งบำเพ็ญเพียร ด้วยหากมีสิ่งใดก่อเกิดขัดขวางหว่างพิธีกรรม สิ่งบำเพ็ญมานับแต่แรกก็มีอันสูญเปล่าดั่งนี้ แหละเทวาลัยร้างกลางหนองบึงจึงเหมาะสมทั้งชัยภูมิวิเศษ กีดขวางด้วยปราการธรรมชาติล้อมรอบเป็นคุณประโยชน์ดังท่านได้เผชิญแล้ว อาตมันจึ่งมิเห็นแหล่งใดจักเหมาะสมยิ่งไปกว่านี้อีก” กล่าวเสร็จก็ผุดลุกยืนเป็นสัญญาณให้เหล่าพราหมณ์ทั้งแปดทำตาม “อาตมันช่วยชีวิตท่านเป็นคุณดังท่านระลึกได้แล้ว แลหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะทำการตอบแทนดุจกัน คืออย่าได้เข้ามายังเขตหวงห้าม ฤา ก่อกวนพิธีกรรมบำเพ็ญเพียรเป็นเด็ดขาด ทั้งนี้หากมีสิ่งใดประสงค์จักสนทนาด้วยอาตมันจงสั่งความฝากมารุตผู้ศิษย์ ขัดสนประการใดจงแจ้งแก่พราหมณ์ผู้นี้อย่างได้เกรงใจ บัดนี้เหล่าอาตมันเห็นทีจำต้องละท่านไว้ขอเข้าสู่ลานพิธีบริกรรมคาถาต่อ อย่าหาได้ละทิ้งโดยมิพึงใจในคำหมู่ท่านเลย ด้วยมีกิจจำเป็นหาควรละไว้นานจักขอลา”

หลังต้อนรับเป็นอันดีแล้วก็ลุกเดินเชื่องช้า บางคนอาศัยไม้ค้ำยันช่วยพยุงผ่านซุ้มประตูหินของระเบียงคด ลัดเลาะเข้าสู่ภายในเทวาลัยปราสาท ท่าทีสำรวมน่าเคารพจนลับจากดวงตา พจน์รีบโจนเข้าหาพราหมณ์หนุ่มน้อยนามว่า มารุต โดยเร็ว แล้วจ้องพิจารณาโครงหน้า คิ้วหนา ตาโต ปากบาง อย่างเดียวกันกับวายุข้าคนสนิทของพระเจ้าวัชรโกมลอดีตชาติของพจน์ ต้องเป็นวายุกลับชาติมาเกิดเป็นแน่ แต่พอพจน์ถามว่าเจ้าตัวใช่คนผู้นั้นหรือเปล่า มารุตก็ส่ายหน้าซ้อนความฉงนฉงาย
 
“อาตมันหาครองตนในนามอันท่านกล่าวไม่ ขอรับ”

ภัทรพจน์ยิ้มไม่อาจยอมรับคำปฏิเสธนั้นได้ ความยินดีผุดขึ้นเสมอเจอมิตรสหายคราวพลัดพราก จึงเอาแต่จดจ่อมองเนืองๆ

“ท่านประสงค์สิ่งใดไหว้วานอาตมัน ฤา ขอรับ” มารุตเม้มปากเขินขวย เหยียดยืนเต็มความสูงระดับเดียวกับพจน์  ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นวายุแน่นอน ในฝันวาระสุดท้ายของพระเจ้าวัชรโกมลนับแต่ตนจำความได้ ใบหน้าของคนผู้โอบกอดพยายามปลุกร่างร่ำร้องคือคนตรงหน้านี้ไม่ใช่หรอกหรือ

“นายจำไม่ได้เหรอ จำไม่จริงๆสินะ วายุ”

“อาตมันนามว่า มารุต ขอรับ” พราหมณ์หนุ่มแย้งท่าทีมั่นใจ ใบหน้านิ่งงันเริ่มแดงเก้อเขินเมื่อถูกภัทรพจน์เอาแต่จ้องไม่วางตา

“กระไรเจ้ามาคาดคั้นในสิ่งซึ่งผู้ทรงศีลยึดมั่นในเจตนาดั่งนี้มิเห็นสม กิริยาดื้อรั้นประจำตนจักมิลดทอนได้เลยกระนั้น ฤา ทั้งคนผู้อยู่ตรงหน้าเจ้ายังครองวรรณะพราหมณ์สูงกว่าในหมู่เรา มิควรกระทำกิริยาวาจาหามีมรรยาทกระนั้น” อุปราชสุริยะตำหนิขัดคอ พจน์ทำเป็นไม่สนใจคำยั่วโกรธ นึกอยากอยู่ตามลำพังสองต่อสองกับพราหมณ์น้อยเพื่อซักเตือนความจำก็ผุดคิดอุบายได้อย่างหนึ่งจึงร้องว่า

“กระหายน้ำ นายพาเราไปหาน้ำกินหน่อยสิ วา.. เอ่อ มารุต”

“ท่านประสงค์น้ำ ฤา ขอรับ ประเดี๋ยวอาตมันจักเร่งหามาให้ไม่นานนัก” กล่าวเสร็จก็จ้ำพรวดผ่านพจน์ ลอดซุ้มประตูมหาเทวาลัยชั้นนอกโดยเร็ว พจน์แทบไขว่คว้าแขนเจ้าพราหมณ์สหายเก่าไว้ไม่ทัน

“เดี๋ยวสิ เราขอไปด้วย นายจะได้ไม่ต้องลำบากตักมา ไหนละบ่อน้ำหรือลำธาร ไปกันเถอะ”
 
เวฬุ โกสินทร์มองการกระทำดั่งก้อร่อก้อติกของพจน์แล้วสังเกตอารมณ์เจ้ามาตะบูดบึ้งสมคะเนก็นึกขันหลุดหัวเราะ ครั้นมาตะเห็นกิริยาเพื่อนตัวกุมท้องขำชี้หน้าตนก็วางท่าผึ่งผายดังเดิม ด้วยตัวไม่อาจเข้าขัดขวางหน้า เพราะมีโทษผิดหนักหนาอยู่จึ่งได้แต่ข่มมาดนิ่งมองแต่เท่านั้น ฝ่ายกฤษณะออกปากอาสาติดตาม แต่ถูกอุปราชสุริยะบัญชาให้เป็นผู้นำทางสำรวจแนวไม้จันทน์เบื้องหลังมหาเทวาลัยสมคำอ้างเพื่อไม่ให้เป็นพิรุธผิดสังเกต แต่พระหทัยหนึ่งนั้นมุ่งลอบดูการกระทำของเหล่าพราหมณ์ทั้งเก้าเป็นข้อใหญ่

เจ้าพราหมณ์มารุตไม่เห็นหนทางบอกปัดก็พยักหน้ายินยอมให้พจน์ประชิดตัวแจ โดยมีมาตะกับราชองครักษ์คาวินคอยติดตามมาห่างๆ
 
“นายเกิดที่ไหน เป็นลูกเต้าเหล่าใครหรือ มารุต บอกเราหน่อยสิ เราถูกชะตากับนายเหมือนเคยพบเจอกันมาก่อน” พจน์กระซิบถาม พราหมณ์หนุ่มมารุตสบตาสีน้ำตาลแล้วก้มหน้ามองพื้น เร่งเดินคล่องแคล่ว

“อาตมันเป็นบุตรของพราหมณ์สิปาฐะ แลนางพราหมณีวิโลบล เกิดในชนบทแขวงตำบลพุชคาม นอกชานเมืองสหัสะเมธา เป็นบุตรคนที่สามจากพี่น้องทั้งสี่ ด้วยครอบครัวมีฐานะยากจน บิดาจึงออกอุบายพาอาตมันในวัยเพียงเจ็บขวบท่องเดินป่า ต่อมาหลังจากนอนพักเพราะเหน็ดเหนื่อย อาตมันตื่นขึ้นไม่พบบิดา เที่ยวร่อนเร่หาหนทางออกจากไพรพนาจนสำเร็จ อาศัยทักษะทางดนตรีคือขลุ่ยอันมารดาให้ไว้ประจำตัวแลกเศษเงินประทังชีพ ครั้นใคร่ครวญจึ่งรู้ว่าถูกบิดาตั้งใจมาทิ้งไว้เหมือนตัวเป็นกาฝากก็นึกโศก หักใจไม่กลับสู่เหย้าเรือน เดินแสวงบุญอยู่หลายปีจนออกนอกเขตชายแดน ประสงค์เที่ยวท่องหาสัจธรรมชีวิตแลฝึกปรือสมาธิให้เข้าถึงญาณสมาบัติ หมายใจเสาะหาแหล่งพำนักเงียบสงบ ครั้นได้ยินว่ามหาเทวาลัยร้างตั้งอยู่นอกประตูด่านทำเลห่างไกลผู้คนสมคิด จึงลัดเลาะเดินผ่านนครไพรพนาวรรณจวบกระทั่งถูกอำนาจพระเวทอถรรพเข้าจู่โจมเช่นท่านประสบ แต่เพราะเคราะห์กรรมยังมิสิ้นสุดเหล่าพราหมณ์ทั้งเก้าเข้าช่วยชีวิตได้ทันท่วงที อาตมันจึงฝากตัวขอเป็นศิษย์มานับแต่นั้น แลได้เล่าเรียนสรรพวิชา ทั้งพระเวทคาถาจากพระอาจารย์ทั้งเก้าเป็นคุณประดับตัว”

แสงแดดอ่อนทอประกายเจิดจ้าลอดผ่านเงาต้นไทรรกครึ้มใกล้กับซุ้มประตูปรักหักพังรูปสิงห์สองตัว ตกกระทบหยดน้ำตาแววใสจนหัวใจพจน์กระตุกวูบโหวง

“มารุต...”

“อาตมันจากครอบครัวมาเกือบครบสิบปี มิได้พบหน้าบิดามารดรจนแทบลืมใบหน้าท่านเสียแล้ว หากจะคิดหวนกลับก็เจ็บปวดหัวใจ เพราะตัวเปล่าเล่าเปลือยหามีทรัพย์สินใดจักไปช่วยพยุงฐานะวงศ์ตระกูลจนเป็นเหตุให้บิดาต้องนำอาตมันมาทิ้งเพื่อลดภาระ” มารุตพราหมณ์เงยมองพจน์ “หากนายท่านรู้พื้นเพต่ำต้อยของอาตมันแล้ว จักละถอยห่างโดยเร็วก็รีบกระทำเถิดขอรับ บ่อน้ำดื่มอยู่เบื้องหลังแนวรูปปั้นทวารบาลห่างออกไปเพียงมินานนัก อาตมันสามารถตักนำมาให้นายท่านได้ มิพักต้องติดตามให้เปลืองแรง กรุณาอย่าลดตัวท่านมาคลุกคลีชนชั้นข้าฐานะต่ำเช่นอาตมันเลย ขอรับ”

คำพูดมารุตตรึงเท้าพจน์ไว้แน่นกับพื้น ดวงตากลมใสแดงก่ำเป็นภาพน่าสะเทือนอารมณ์ไม่คาดคิด เหตุใดบุคคลร่วมชีวิตในอดีตชาติกลับมาเกิดใหม่ในเส้นทางยากลำบากเช่นนี้ ทำไมถึงไม่เกิดเคียงใกล้พจน์ ทำไม
 
“ขอโทษนะวายุ” ขอโทษที่ทิ้งนายไป ขอโทษ...


มีต่อด้านล่าง
_______________________________

ชาด : วัตถุสีแดงสด เป็นผงหรือเป็นก้อนใช้ประสมกับน้ำมันสำหรับประทับตราหรือทาสิ่งของ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:37:00 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]


มารุตกะพริบไล่น้ำตาผละหลบหน้าพจน์สู่บ่อน้ำดื่มทันที ปากบ่อก่อด้วยหินทรายขาวอยู่ข้างเคียงกับรูปปั้นพญาสิงห์ทวารบาลประจำข้างซุ้มประตูทางเข้าของมหาเทวาลัยร้าง โดยรอบมีพงหญ้าผุดขึ้นรกเรื้อหากไม่สังเกตให้ดี ขอบบ่อน้ำระดับความสูงไม่มากนักกลมกลืนกับธรรมชาติยากจะรับรู้ว่ามีอยู่ เส้นทางหินถูกแรงงานเมื่อเนิ่นนานขนเทถมทับเป็นเส้นทางจากนครไพรพนาวรรรณป่าอาถรรพณ์สู่มหาเทวาลัย  ขนาบด้วยหนองบึงขนาดใหญ่ มีพืชน้ำจำพวกธูปฤาษี จอกแหน แลผักตบชวาขึ้นหนาแน่นเต็มพื้นที่
 
ลมพัดโชยโบกพัดพาอากาศเย็นเหนือผิววารีตกกระทบใบหน้าพจน์ จนเจ้าตัวสะดุ้งจากห้วงความคิด ท้องฟ้าใสกระจ่างผิดต่างจากก่อนหน้าที่หลงเล่ห์อยู่ในป่าอาคม เฝ้าพะวงคิดสภาพชีวิตของมารุตนับตั้งแต่เกิดในครอบครัวพราหมณ์ฐานะยากจน ซ้ำต้องถูกบิดาพามาทอดทิ้งในป่าเพื่อลดภาระการเลี้ยงดู กัดกินใจจนรู้สึกเสียดอก ตลอดเวลาเขาห่วงแต่เพียงว่าจะช่วยให้ทั้งสองพิภพรอดพ้นจากเงื้อมมือของจอมมารได้อย่างไร แต่ไม่เคยหวนคิดว่า บุคคลซึ่งเคยใกล้ชิดกับตนเมื่ออดีตชาติบัดนี้มีชีวิตขัดสนลำบากแค่ไหน เหตุผลที่เขาสามารถระลึกเห็นอดีตชาติทั้งสองครั้งคงไม่ใช่เพียงแค่รับรู้ถึงหายนะในบั้นปลายชีวิต แต่เป็นบุคคลตรงหน้านี้ต่างหาก เพื่อนผู้คอยดูแลรับใช้ จะทำอย่างไรดีหากพจน์อยากจะช่วยเหลือคนคนนี้  ใจหนึ่งนึกอยากชวนให้มาร่วมคณะ แต่อีกฝ่ายไม่เพียงจำพจน์ไม่ได้ มิหนำยังลืมเรื่องราวเมื่ออดีตชาติเสียอีก

“น้องท่านคิดการใดอยู่ ฤา” มาตะเอ่ยถามเสียงเบา

พจน์เหล่ตามองเจ้าคนล่ำสัน ตัดสินใจช่วยมารุตตักน้ำเป็นการหลบเลี่ยง ระหว่างกำลังเดินเข้าหาเกิดไม่ระวังก้อนศิลาทรายแฝงอยู่ในพงหญ้าจึงสะดุดล้ม เซถลาพุ่งหาฐานรูปปั้นสิงห์ทวารบาล ประจวบกับมาตะลอบสังเกตคุ้มกันคนรักอยู่แล้วก็รีบโผเข้าคว้าไว้ด้วยลำแขน พจน์ผวาสะดุ้งนึกว่าหัวจะโขกกับก้อนหินเสียอีก ครั้นถูกลำแขนแกร่งช่วยไว้ก็สะดุ้งตัวยิ่งกว่าโดนไฟลวก รีบผลักอกหนาออกห่าง แสร้งตีหน้าโกรธไม่สบอารมณ์ มาตะเลื่อนหน้าเศร้าเคล้านัยน์ตาวอนเข้าชิดใกล้ เกรงจะใจอ่อนก็สะบัดหนี ส่วนคาวินเห็นกิริยาพระราชบุตรบุญธรรมพ่วงยศหัวหน้าองครักษ์รีบถลันเข้าช่วยว่องไวเช่นนั้นก็ลอบยิ้มอยู่ในที
 
พจน์ผินหน้าหลบมาเจอกับฐานศิลาของทวารบาลรูปปั้นสิงห์ขนาดใหญ่สูงเกือบห้าเมตร ฐานรองรับจึงกว้างหนาสมกับรูปปั้น แต่ผิวศิลาอันควรราบเรียบตามแบบฝีมือช่างผู้ก่อสร้างเกิดร่องรอยสลักเป็นตัวอักษรจารึกลงบนแผ่นหิน ฝุ่นดินพัดโบกบังหนาแน่นอยู่ พจน์ลองเอามือลูบออก พลันก็นึกถึงถ้อยคำของเฒ่าวลาหกตาบอดผู้ช่วยเยียวยารักษาพจน์ดังขึ้นในใจ

 ‘จงสังเกตรูปปั้นสิงหราชหน้าประตูมหาเทวาลัยเป็นหลักสำคัญ มีเป็นคู่เสมือนทวารบาลก่อนเข้าเขต ตรงฐานก่อศิลาจารึกเป็นโคลงสองบท แลบทท้ายมีข้อความหายไปหนึ่งคำของแต่ละบาท’

ไม่ผิดแน่ โคลงสี่สุภาพสองบทนี้อ่านได้ความว่า
   
           ไพรพนาก่อล้อม      เราอยู่ ใต้เอย
         รินกิ่งดาวปกคู่             แผ่นพื้น
         นิลดุจดั่งฤดู                ครองห่ม ข้าแฮ
         สีรุ่งฉายปลุกฟื้น         ฉ่ำน้ำ ตานอง
            __ครองคู่เจ้า            ชีวิต อนันต์
         __แสงสองจิต               คู่สร้าง
         __แก้วแวมวามพิศ      คงอยู่ โกมล
         __เลื่อนลับเปิดข้าง      สู่เข้า ประตู


‘ท่านจงตรองด้วยสติปัญญาเถิดว่า คำเหล่านั้นคือสิ่งใด แลสิ่งนั้นจะเป็นกลไกเปิดเป็นช่องทางลับให้ท่านลอดผ่านใต้มหาเทวาลัยแห่งนั้นไปผุด ณ ใจกลางดงไม้จันทน์หอมเป็นแน่แท้’


ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เส้นทางลับดังคำชี้แนะของผู้เฒ่าแล้ว แต่บังเกิดฉุกใจว่าเทวาลัยขนาดใหญ่เหตุใดถึงก่อเส้นทางลับไว้ใต้พื้นเป็นกลไกประหลาดก็ฉุกใจคิดอยู่
 
“โคลงสี่สุภาพมีจริงดังคำเฒ่าวลาหก” มาตะชะเง้อชะแง้ผวาชิด ภัทรพจน์บิดหน้าตาม ริมฝีปากงามก็เฉียดเข้ากระพุ้งแก้มมาตะไม่ทันระวัง ลมหายใจร้อนแรงผ่อนกระแทกใส่ผิวเนื้อมาตะเป็นห้วงถี่กระชั้น เจ้าราชบุตรบุญธรรมระงับความรู้สึกล้ำลึกภายในกายหลับตาปิดแน่น พจน์ยกมือเอื้อมผลักอกแกร่ง สั่นไหวเพราะเสี้ยวสัมผัสพาลให้เรี่ยวแรงมีอันลดทอน

“นายถอย...”

“น้องท่านยอมเจรจาด้วยมาตะแล้ว ฤา” เจ้าหนุ่มร่างหนากว่าผุดรอยยิ้มแทนรอยโศก “รู้ ฤา ไม่ ข้าวอนเทพเทวาให้ได้ยินเสียงหวานหนึ่งนี้อีกสักครามานับครั้งไม่ถ้วน โปรดตวาด ฤา ตัดพ้อถ้อยความอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นคุณต่อหูมาตะด้วยเถิด บัดนี้หัวใจร่ำร้องอยากได้ยินซ้ำล้ำล้นอก”

พจน์เผลอหลุดปากทักท้วงอีกฝ่ายทั้งที่อุตส่าห์ใจแข็งปั้นกิริยาเมินเฉย พยายามกลบเกลื่อนการทั้งนั้นก็แสร้งส่งสายตาดุ มาตะเห็นฝ่ายเป็นต่อก็โอบรัดแขนแนบลำตัวคลอเคลียยิ่งกว่าเก่า พ่วงแววเว้าวอนเฉพาะตัวสำทับเข้าอีก ภัทรพจน์ก็หยุดจ้องหายใจระทวย

“น้ำอันท่านปรารถนากระหาย ขอรับ” มารุตเดินดุ่มๆถือคนโทดินเผาพร้อมยื่นจอกหินมาให้พจน์ พอเงยหน้าเห็นท่วงท่ามาตะทับตะครุบอยู่เหนือกายพจน์เป็นภาพล่อแหลมก็หน้าร้อนฉับพลัน “เอ่อ...”

พจน์ผลักไสอกมาตะออกห่างสุดตัว รับจอกน้ำขึ้นดื่มดับความวุ่นวายในใจ

“ขอบใจนะ วายุ เอ้ย มารุต”

“หามิได้ ขอรับ เป็นหน้าที่อาตมันอยู่แล้ว” มารุตเผลอฉีกยิ้มกว้างดีใจคราวได้รับคำขอบคุณ ครั้นรู้สึกตัวก็ระงับรอยแย้ม เว้นระยะถอยห่างสองสามก้าว พจน์เอื้อมคว้าไหล่เจ้าพราหมณ์กอดโอบเช่นเพื่อนเกลอ อย่างไอ้ต่อ ไอ้กี ไอ้โบท ชอบทำเวลาพวกมันอยากปลอบหรืออยากอ้อนเอาอะไรสักอย่าง

“นายเคยเห็นมาก่อนหรือเปล่า ว่าตรงฐานรูปปั้นมีโคลงสี่สุภาพจารึกอยู่” ชี้ชวนพราหมณ์หนุ่มน้อยหน้าซื่อให้เห็นข้อความจารึก มาตะแทบจะก้าวหลบไม่ทันด้วยท่าทีคนทั้งสองทำประหนึ่งตนกับองครักษ์คาวินมิได้ยืนอยู่ในที่แห่งนั้นด้วยแม้แต่นิด

“คะ เคย ขอรับ นายท่าน อาตมันเคยเห็น แต่ด้วยสติปัญญาอันต่ำต้อยจึ่งมิอาจหาความหมายอันโคลงนี้กล่าวถึงได้” มารุตขัดขืนตัวจากวงแขน แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีชมพูเป็นที่น่าเอ็นดู จนพจน์นึกอมยิ้มดีใจที่แกล้งสำเร็จ

“เรามาช่วยกันคิดดีไหม ว่าคำที่หายไปจากส่วนหน้าของแต่ละบาทของบทที่สองเป็นคำอะไร มีคนบอกว่า หากไขปริศนานี้ได้จะพบช่องทางลับไปสู่เส้นทางใต้พื้นดินด้วยล่ะ” พจน์กระซิบใส่หูมารุต เจ้าคนโดนกระซิบก็สะดุ้งใช้แขนดันพจน์ให้ออกห่าง แล้วว่า

“อาตมันไร้ทักษะโคลงกลอน คงช่วยท่านแถลงไขมิได้”

“ข้าเชี่ยวชาญด้านภาษา หากน้องท่านประสงค์ให้ช่วยแก้ มาตะยินดี...” ตวัดตาสีน้ำตาลขึงจ้อง เจ้าคนตัวใหญ่กว่าหุบปากหน้าเจื่อนจนพจน์จำต้องกลั้นขำ
 
“งั้นนายลองมาเดากับเราดีกว่าว่าจะเป็นอะไร เผื่อเปิดกลไกได้ อาจมีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ภายใน ทีนี้นายก็สามารถมีเงินทองเอาไปให้พ่อแม่ได้แล้ว ว่าไง” ความดีใจผุดวาบในกายมารุตชั่วแล่น รีบพยักพเยิดเห็นด้วย เผลอตัวเกาะแขนคนแปลกหน้า ลืมหลงระวังกิริยาเว้นระยะอันเจ้าตัวตั้งมั่นไว้ ดูเหมือนพจน์จะทำให้พราหมณ์น้อยไว้ใจได้แล้ว ไม่อยากให้กระต่ายตื่นตูมก็วิเคราะห์หาคำที่เหมาะสม

“คำแรกแต่ละบาทในบทแรกมีลักษณะคล้ายโคลงกระทู้ แต่เหมือนสะกดผิดบางคำ อาจเป็นคำลวง” มหาเทวาลัยแห่งนี้ลือกันว่าเป็นสถานที่ฝังพระศพของพระเจ้าอนันตราช ผู้ครอบครองอัญมณีหนึ่งในเก้า หรือว่าจะเป็น...

“ไพ-ลิน-นิล-สี พัช-รพี-นิล-กาฬ

เสียงมาตะดังมาจากเบื้องหลังพจน์ และทันทีเมื่อสิ้นสุดคำว่า กาฬ ฐานทวารบาลก็ขยับเขยื้อนด้วยกลไกบางอย่าง พจน์ขยับถอยตามแรงดึงของพราหมณ์มารุตหน้าตาตื่น ก้อนศิลาไถลแยกออกด้านข้างจนปรากฏช่องทางดำมืดขนาดพอดีตัวคน เห็นเป็นขั้นบันไดทอดสู่ห้องลับเป็นที่อัศจรรย์ใจ

“คาวิน ส่งไต้ไฟมาให้ข้า” มาตะสั่งความทหารองครักษ์ “แลจงเร่งกราบทูลพระอุปราช ว่าข้าพบเส้นทางลับบัดเดี๋ยวนี้”

ขอรับ นายกอง” เจ้าคาวินหนุ่มหน้าทะเล้น เล่นคำล้อของพราหมณ์มารุต เจ้าพราหมณ์มองทางหางตาอย่างรู้ทันแต่ไม่ได้กล่าวความใด

“ลงไปกันเถอะ” มาตะเดินนำ

“เดี๋ยว นายไม่คิดว่ามันจะมีอันตรายแฝงอยู่งั้นเหรอ” เผลอตัวร้องท้วงห้าม มาตะลอบยิ้มยินดีแล้วว่า “หากน้องท่านจะใจจืดใจดำปล่อยให้มาตะเดินเหินแต่ผู้เดียวก็จงรออยู่ตรงนี้เถิด”

กล่าวท้าเสร็จก็ย่ำเท้าลงตามขั้นบันไดค่อยๆหายลับลงในชั้นหินเบื้องล่าง พจน์กระวนกระวายเกรงจะมีภัยแฝงอยู่ไม่อาจปล่อยเจ้าคนดื้อรั้นให้ไปคนเดียวได้ก็รีบก้าวตาม มารุตไม่นึกว่าจะมีช่องทางลับซ่อนอยู่จริงก็ติดตามพจน์ไม่ห่างตัว
 
ความหนาวเย็นยะเยือกแผ่กระจายโถงถ้ำขนาดใหญ่ทันทีเมื่อพ้นบันไดหิน แทรกซ้อนกลิ่นชื้นตะไคร่น้ำหรือหญ้ามอส อากาศแม้นอับทึบแต่ก็พอหายใจสะดวก ถัดจากบันไดศิลาเป็นลักษณะห้องโถงสี่เหลี่ยมผืนผ้าทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา แสงไต้ไฟเพียงหนึ่งเดียวมิอาจต้านทานเงามืด เสาหินทรายแกะสลักรูปหมู่มวลเทวดาทรงดนตรี บ้างเป็นพิณสาย บ้างเป็นซอ บ้างเป็นระนาดประดับเป็นลายนูนต่ำล้อมรอบแนวเสาที่บัดนี้พจน์นับในใจได้สิบคู่แล้ว ส่วนผนังถัดหลังเสาทั้งสองด้านจำหลักลายนูนต่ำ ลักษณะเล่าเรื่องราวบุคคลผู้หนึ่งผ่านช่วงชีวิตต่อเนื่องคล้ายภาพจิตรกรรมรามเกียรติ์ ณ ระเบียงรอบพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม บางครั้งเป็นรูปรบทัพจับศึก บ้างเป็นรูปประทับในปราสาทราชวัง แม้ไม่มีสีสันแต่งแต้มสวยงาม แต่ลวดลายสลักบนหินล้วนอ่อนช้อยราวกับมีชีวิตจริง ภูเขา ลำห้วย ต้นไม้ บ้านเมือง ผู้คน เผยทันทีเมื่อแสงไต้ไฟส่องกระทบ มาตะเหลียวมองประติมากรรมชั้นครูขณะเดินผ่าน มีบ้างที่เหลียวระแวดระวังพจน์กับมารุต เจ้าพราหมณ์หนุ่มมิเคยเห็นสิ่งตื่นตาเฉกนี้มาก่อนก็เบิกตาโพลงรำพันถึงบุญอันตัวเคยก่อให้ชักนำมาสู่สถานที่ลึกลับนี้
 
“นายคิดว่ามันจะมีทรัพย์สมบัติซ่อนอยู่หรือเปล่า มารุต” พจน์กระเซ้าเย้าแหย่ เจ้ามารุตส่ายหน้าขวยอาย เมื่อเดินผ่านอากาศเย็นมาได้สักพัก มาตะหยุดยืนนิ่งจ้องบางสิ่งเบื้องหน้า คือลักษณะแท่นหินสามชั้นซ้อนกันแกะสลักสวยงาม กลางแท่นเป็นศิลารูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางอยู่บนแท่นยกสูงอีกชั้นหนึ่ง รอบกล่องศิลาสลักลายเทพพนมวิจิตรบรรจง ไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สมบัติเงินทองให้เห็นแม้แต่ซอกมุมอันลี้ลับ

“มันเหมือนกับ...”

“โลงศพ” มาตะต่อคำพูดในใจพจน์ให้จบความสงสัย
 
“หรือว่าจะเป็นความจริงตามคำลือที่ว่า มหาเทวาลัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ฝังพระศพของพระเจ้าอนันตราช พระมหากษัตริย์แห่งเผ่าพันธุ์คนธรรพ์”

“ไม่มีสิ่งใดจะพิสูจน์คำน้องท่านได้ นอกจากต้องเปิดศิลาฝาโลงนี้ออก” มาตะกล่าวเสร็จก็ก้าวขึ้นสู่แทนนั้น ออกแรงผลักจนกล้ามเนื้อขึ้นมัดชัดเจน พจน์เห็นการถือไต้ไฟเป็นอุปสรรคลดทอนจึงคว้ามาฝากให้มารุต แล้วช่วยส่งแรงผลักอีกคนหนึ่ง เมื่อพละกำลังบุรุษสองคนร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวแผ่นหินปิดฝาก็เลื่อนออกโดยพลัน

พจน์หอบเล็กน้อยเช่นเดียวกับเจ้ามาตะ กลิ่นหอมคล้ายดอกลีลาวดีแผ่ขยายปกคลุมทั่วบริเวณ มาตะรับไต้ไฟแล้วส่องลงในโลงศิลาแกะสลัก ว่างเปล่า ดุจไม่เคยมีร่างกายหรือพระศพของพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นแม้แต่น้อย คำเล่าลือดูเหมือนจะผิดพลาดอย่างมหันต์

มาตะขมวดคิ้วแน่น พิจารณาโลงว่างเปล่านิ่ง แล้วบังเกิดเห็นแสงสีทองสะท้อนจากมุมหนึ่งก็ชี้ให้พจน์ที่อยู่ใกล้กว่าดู เด็กหนุ่มหน้าสะคราญเอื้อมลงหยิบเครื่องประดับสีทองทรงหยดน้ำอย่างเดียวกับที่เคยได้จากพระเจ้าวัชรโกมลอดีตชาติ ตรงกลางเครื่องประดับไร้อัญมณี

“คำลือเป็นจริง” มาตะจับสัมผัสเครื่องประดับหน้าผากจากมือคนรัก “โลงพระศพนี้เป็นของพระเจ้าอนันตราช มหากษัตริย์คนธรรพ์ไม่ผิดแน่ แลคำอันผู้คนกล่าวขานว่าพระองค์เป็นผู้สุดท้ายที่ได้ครอบครองไพลินนิลสีก็มีหลักฐานปรากฏอยู่ในมือข้านี้ แต่ดูเหมือนมีผู้ฉกชิงมหามณีสีดำไว้ครอบครองเสียแล้ว”

“นายจะบอกว่า พัชรพีนิลกาฬ ตกไปอยู่ในมือคนอื่นแล้วอย่างนั้นหรือ” ถามกลับโดยเร็ว หลงลืมว่ากำลังโกรธมาตะอยู่ เจ้ามาตะยกยิ้มอีกครั้งแล้วว่า
 
“ไม่มีหลักฐานเป็นอื่นอีก น้องท่าน โคลงกลอนกระทู้บ่งสำแดงชัดแจ้ง แต่มีของสิ่งหนึ่งสำคัญมากค่าในสุสานหลวง จนมาตะปลื้มใจยินดียิ่งกว่าค้นพบมหามณี”

“อะไรล่ะ ไหนมีอะไรซ่อนอยู่อีก” ก้มสำรวจในโลงว่างเปล่ากวาดหาของมีค่าโดยเร็ว หวังจะได้นำไปให้มารุตเป็นสินทรัพย์นำกลับคืนยกฐานะครอบครัว

“รอยยิ้มแลถ้อยคำสนทนาจากภัทรพจน์น้องท่าน ยามแย้มเอ่ยแก่มาตะอย่างไรเล่า”

พอเจ้ามาตะเฉลยคำ พจน์ก็นึกได้ว่าเผลอหลุดเจรจา อุปมาทลายข้อขัดข้องหมองใจลงสมยอมก็พลันสิ้นหนทางแก้ต่าง มาตะโผประชิดเข้าหายอดดวงใจ
 
อภัยให้ข้าเถิด น้องท่าน” มาตะกระซิบวอน “โปรดเมตตาใจอันทุกข์ระทมให้คลายหม่นหมองเถิดหนา โทษทัณฑ์มาตะบัดนี้ลดทอนมากเท่าใดแล้ว โปรดจงแจ้งให้ยินสักคำหนึ่งเถิดเจ้า”

ระหว่างเจ้าสองหนุ่มคลอเคล้าคลอเคลียโอ้โลมขอคำอภัยอยู่นั้น ปรากฏดวงตาสีชาดผุดขึ้นในเงามืดครอบงำนัยนาของบุคคลที่สามในห้องนั้นสว่างวาบน่าสะพรึง มันรำพึงรำพันกับตนเองว่า

“ข้าพบแล้ว... ผู้ครอบครองอัญมณีสูงสุดในตำนาน ปรากฏตัวเบื้องพิภพนี้จริงดังคำของพระองค์ มันทั้งคู่เท่านั้นที่ไขปริศนาแลผลักฝาโลงบรรจุพระบรมศพได้ มัน...อยู่ที่นี้แล้ว ศิษย์ข้า”



100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
_________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

เข้าใจความหมายแล้วครับ  แต่จากที่ไม่ชอบอยู่แล้วยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่เลยอุปราชเนี้ย  ยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกนะครับเนื้อหา ทิ้งท้ายได้เจ็บปวดอีกแล้วนะครับคนแต่ง  จะใช่คนที่พจน์คิดรึเปล่านี้สิ  อยากรู้ๆจริงๆ  ลุ้นละทึกกันเลยที่เดียวครับ
ยินดีครับที่คุณเข้าใจ เอาเป็นว่ารอติดตามต่อไปว่าอุปราชคนนี้จะจัดการกับปัญหาหัวใจตัวเองยังไง จะขอพจน์มาจากมาตะ หรือปล่อยปละถอนตัว หรือไม่ทำอะไรเลย ลองเดากันดูเล่นๆนะครับ จะใช่คนที่พจน์คิดหรือเปล่า ตอนล่าสุดคงตอบคำถามนี้แล้วนะครับ คอยติดตามต่อไปนะครับ

ขอบคุณฮะ ยังคงมีมาตรฐานในการประพันธ์ที่สูงเหมือนเดิมนะฮะ

มีคำผิดเล็กน้อย น้อยจริงๆ ลองพิจารณาดูอีกทีนะฮะ ว่าอย่างไร มี และ แล,   แผ่นที่ และ มี กับ มิ

... “แผนที่ของชาวเราสิ้นสุดลงตรงประตูช่องเขาด่านสุวรรณคีรีนี้ และหามีผู้ใดจักอาจกล้าสำรวจ...


...แลสาปสูญไม่มีใครพบเห็นอีกนับแต่นั้น แผ่นที่ของชาวเราจึ่งสิ้นสุดลงตรงนี้มายาวนานดั่งว่า...

...ขากลับอาจหลงทางวนเวียนหาทางออกไม่ได้ ประหนึ่งต้นไม้เหล่านั้นมีชีวิตและเคลื่อนไหวสลับ...

...“เห็นจะมีรอดพ้นเป็นแน่แล้ว” กฤษณะพยายามบังคับม้าด้วยความอับจน...

นอกจากนี้ยังมีข้อสงสัยคือ

...บานพระทวารจะเปิดอยู่เพียงแค่นั้น... เข้าใจว่าเป็นประตูเมือง หรือในกรณีนี้ก็ใช้คำนี้ได้

...พร้อมกับทหารหลายร้อยคนใช้เชือกประกำขนาดหลายขดผูกซ้อนกัน... เนื่องจากอยากเห็นหน้าตาของเชือกเลยไปถามอากู๋ แต่พบเป็น เชือกปะกำ เชือกปะกำช้าง แทน หรือ คำปะกำเขียนได้ทั้ง 2 แบบ แต่ก็หาคำประกำไม่เจอ จะพบเป็นประคำ แทน หรือเป็นเชือกต่างชนิดกัน?

ท้ายสุด...เรื่องเนื้อหาก็ไม่มีอะไรนะฮะ ดีงามตามท้องเรื่อง แต่เห็นควรว่าพจน์ควรลดทิฐิลงได้แล้ว และกลับมาเป็นปกติเยี่ยงที่ควรจะเป็นโดยพลัน อะไรมากไปก็ดูไม่งามนัก มันจะเป็นเงาสะท้อนของความคิดและจิตใจของตัวเองได้น่ะ
ขอบคุณครับที่คุณชอบ ผมเขินมากเลยกับประโยคที่ว่า มาตรฐานในการประพันธ์ รู้สึกขนลุก ฮ่าๆ ส่วนคำผิดนี่ต้องขอน้อมรับไว้เป็นความผิดพลาดเผอเรอของผู้เขียนเอง จะพยายามย้อนไปแก้ตามที่คุณว่ามานะครับ ส่วนบานพระทวาร หรือ ประตูเมือง เมื่อลองพิจารณาด้านความหมายแล้ว ทวาร; ประตู แปลเหมือนกันว่า ช่องทางเข้าออก จุดมุ่งหมายแรกที่เลือกใช้ พระทวาร เพราะอยากจะยกฐานะให้ประตูหน้าด่านนี้ ยิ่งใหญ่สมเกียรติยศ คือเป็นช่องทางเชื่อมต่ออาณาจักรเคียงด้วยสิงหราชรูปแกะสลัก อีกทั้งยังตรงกับชื่อเมืองหน้าด่านคือ ทวาระบุรี อีก แต่หากจะลดทอนความเข้าใจของผู้อ่านหลายๆคน ผู้เขียนเห็นควรว่าจะแก้เป็น ประตู น่าจะเหมาะกับบริบทและสภาพแวดล้อมโดยรวมมากกว่าครับ ส่วนเชือกประกำ เป็นความผิดพลาดของผู้เขียนอีกเช่นกัน เจตนาแรกต้อง เขียนว่า เชือกปะกำ ไม่มี ร เรือ ถึงจะถูกต้อง แปลว่า เชือกคล้องช้าง ที่ผ่านการทำพิธีศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว ใช้หนังควายทำจึงมีความเหนียว ความทนทาน มีคุณวิเศษป้องกันอาถรรพณ์ต่างๆ ความตั้งใจแรกของผู้เขียนคืออยากจะได้เชือกที่มันเหนียวแข็งแรงทนทาน จึงคิดเอาเองว่า เชือกปะกำ นอกจากใช้คล้องช้างแล้ว น่าจะนำมาใช้ชักลากบานประตูหน้าด่านที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารได้หรือไม่ ทั้งมีความศักดิ์สิทธิ์พ่วงคุณวิเศษ จึงตัดสินใจใช้คำนี้ แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สับสนกับความหมายและหน้าที่การใช้งานดังเดิม จึงเป็นความผิดของผู้เขียนอย่างมหันต์ที่ตัดสินใจผิดพลาดเอง ขอใช้เป็น เชือก เฉยๆไม่มีคำต่อท้ายนะครับ ขอบคุณมากๆสำหรับคำทักท้วงดีๆแบบนี้ ช่วยเป็นกระจกส่องสิ่งที่ผู้เขียนคิดพลาดพลั้งไป
 
ส่วนใจจริงพจน์จะมีทิฐิสูงอย่างคุณว่าหรือเปล่านั้น คงได้คำตอบในตอนล่าสุดนี้แล้วนะครับ  เขาคุยกันแล้ว ฮ่าๆ ใครรอให้พจน์หายโกรธคงสมใจ แต่สำหรับคนที่อยากให้พจน์โกรธมาตะนานกว่านี้ก็ต้องขอโทษด้วยครับ ใจอ่อนกับแววออดอ้อนของมาตะจนไม่อาจเขียนให้พจน์ใจแข็งต่อไปได้ ขอบคุณครับที่ติชมสิ่งดีๆกับงานเขียนชิ้นนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2016 15:52:35 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
เขาคุยกันแล้วว ฮิ้ว  :hao7:
แววตาตอนจบนี่ของใคร ซักน่ากลัว แต่ก็อย่างว่านะ เจ้าตัวเขามาเปิดฝาโลง(ชาติที่แล้ว)ของตัวเอง จะเปิดไม่ได้ก็กระไรอยู่

ขอบคุณคนเขียนมาก(กอไก่ล้านตัว) ขอสารภาพว่าต้องอ่านสอวรอบแหนะว่าจะตีความโคลงที่เปิเช่องลับได้  :z2:

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
โอ้ย  ใครกันนะ  ยิ่งอ่านยิ่งงง  ไม่กล้าคาดเดาเลยอ่ะ  ที่คิดไว้คือมีอยู่สองคน  แต่ถ้าเป็นพจน์ในชาติที่แล้วคงไม่ใช่มั่ง  ถ้าเป็นตัวมเหสี  รึเปล่า  รึมีใครอีก คนที่โกรธเคืองสองคนนี้ก็มีแต่พระมเหสีเท่านั้นนี้  ส่วนมณี คนถือคลองคือพจน์ไม่ใช่หรอ  หรือเราจำผิดอีก  แต่พจน์รักมาตะ  จึงมาอยู่ด้วย  เออมันก็เท่าเป็นของมาตะอะนะ  รอต่อไปแล้วกันครับคนแต่ง

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
ไม่คิดไรมากและฮ่าๆๆ ในที่สุดเขาก็คุยกันแล้วววส่วนเรื่องว่าใครพูดนั้นรอลุ้นตอนหน้าละกัน^_^ :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด