[แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

สำรวจความต้องการให้มีการพิมพ์รวมเล่มนิยาย >>>>ข้ามพิภพ<<<< หรือไม่

ต้องการ
27 (67.5%)
ไม่ต้องการ
0 (0%)
ไม่แน่ใจ
13 (32.5%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 40

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]  (อ่าน 284868 ครั้ง)

ออฟไลน์ pui_noizๆ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขอบคุณฮะ...วันนี้ขอมาเบาๆ อย่างไรลองพิจารณาอีกทีนะฮะ

...แม้นคำเหล่าเจ้าจักอ้างจู่เข้าตัดไม้จันทร์**หอมเพื่อผดุงชีพ...

...เทวาลัย มีลักษณะเก่าโทรมปรักหักพัก** ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นแทรกรกชัฏ... 

...และ**จักให้พราหมณ์น้อยผู้ศิษย์อาตมันนาม มารุต คอยรับใช้ปรนนิบัติท่านอีกหนึ่ง...


...ดัง**ท่านประสบด้วยตนเองแล้ว พระเวทมนตราถูกสาปแช่งฝังไว้กับป่านี้นับอสงไขย

...จนส่งศิษย์ผู้น้อยไปนำออกมา มีหรือ**พวกท่านจักเอาชีวิตรอดได้”... - หรือกรณีนี้จะใช้ "หรือ" แต่ปกติเห็นใช้ ฤา ใช่มั้ยฮะถ้าป็นคนสมัยโน้น?

...บุญคุณครั้งนี้ไม่**อาจมีวันทดแทนได้หมดก็จักขอช่วยปรนนิบัติดูแลตอบแทนท่านคืนดุจกัน”...

...บิดาจึง**ออกอุบายพาอาตมันในวัยเพียงเจ็บขวบท่องเดินป่า...



...สิบปี มิได้พบหน้าบิดามารดรจนแทบลืบ**ใบหน้าท่านเสียแล้ว...

...พจน์ผวาสะดุ้งนึกว่าหัวจะเขก**กับก้อนหินเสียอีก... - เขก หรือ โขก ? จะเหมาะสมกว่ากัน 

...ฝุ่นดินพัดโบกบังหนาแน่นอยู่ พจน์ลองเอามือรูป**ออก พลันก็นึกถึงถ้อยคำของเฒ่าวลาหกตาบอด...


...ถัดจากบัด**ไดศิลาเป็นลักษณะห้องโถงสี่เหลี่ยมผืนผ้าทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา...

...ลำห้วย ต้นไม้ บ้านเมือง ผู้คน เผยให้ (เห็น?)**ทันทีเมื่อแสงไต้ไฟส่องกระทบ... - มันจำเป็นต้องมี "เห็น" ด้วยมั้ยอะฮะ?

...“โลงพระศพนี้เป็นของพระเจ้าอนันตราช มหากษัตรย์**คนธรรพ์... 

...ปรากฏตัวเบื้องพิภพนี้จริงดัง**คำของพระองค์...

ส่วนช่วงตรงนี้จะงงๆ
..."เคราะห์กรรมยังมิสิ้นสุดเหล่าพราหมณ์ทั้งเก้าเข้าช่วยชีวิตได้ทันท่วงที..."???
หมายถึงว่า เป็นเพราะเคราะห์กรรมของมารุตยังคงมีอยู่ พราหมณ์ทั้ง 9 เลยมาช่วยชีวิตได้ทัน ให้มีชีวิตอยู่เพื่อใช้กรรมต่อไป...ประมาณนี้มั้ยฮะ?

ปล. ต้องบอกเลยนะฮะว่าไม่ใช่ผู้รู้หรือชำนาญทางด้านภาษาเลย ใช้สัญชาตญาณล้วนๆ และไม่มีหลัการใดๆ ทั้งสิ้นนะฮะ 555+

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๓๔


มัจจุราชยาตรา


   
อานุภาพมหาศาลกระชากพจน์ถอยห่างมาตะไม่ทันตั้งตัว เมฆหมอกเย็นยะเยือกลบเลือนสุสานฝังพระศพพระเจ้าอนันตราชเป็นห้องโรงพยาบาลเกลื่อนกลาดด้วยเตียงคนไข้ ภพดนัยกับดาวกำลังปรึกษาหารืออยู่ปลายเตียง เด็กหนุ่มไม่เคยเดินทางข้ามพิภพด้วยพลังรุนแรงเหมือนทั้งถูกผลักทั้งดึงรั้งกลับพรวดเดียวปานนั้น ราวกับอำนาจเพชรมณีฉุดคร่าตนให้หนีบางสิ่งบางอย่างมา

“ไอ้พจน์ มึงฟื้นแล้ว” ชลนธีวิ่งโผเกาะเตียง หน้าผากมีผ้าปิดแผลแปะอยู่ มันตื่นเต้นยิ่งกว่าเหตุการณ์ตอนได้แฟนคนแรกเสียอีก หลังจากนั้นอีกสองวันสาวเจ้าก็รีบมาบอกเลิกด้วยสาเหตุที่ไม่มีใครรู้แม้แต่ไอ้น้ำเอง
 
ภัทรพจน์ยิ้มให้เจ้าเกลอตัวเล็กและผองเพื่อนทั้งแปด สภาพแต่ละคนมีผ้าพันแผลรอบศีรษะ บ้างแขน บ้างหัวเข่า เข็มน้ำเกลือถูกปลดแล้วแต่ความรวดร้าวยามเห็นเพื่อนต้องมารับเคราะห์เกาะกินใจแน่น
 
“กูผิดเอง ที่ชวนมา...ไม่งั้นพวกมึงคงไม่ต้องเจ็บแบบนี้”

“อย่าพูดแบบนั้นดิวะ” ไอ้โบทตบไหล่พจน์ มันคิ้วแตกคางเป็นแผลมีรอยเย็บ “พวกกูอยากมากันเอง มึงไม่ได้บังคับสักหน่อย อย่าคิดมากดิ”

กีรติพาดแขนโอบตัวตบหัวลูบไหล่ไม่พูดไม่จา ต่อ เอก เพียวโผล่หน้ามีรอยช้ำพร้อมยิ้มอารมณ์ดี ส่วนไอ้นายกับไอ้รักก็ยิ้มแย้มเป็นปรกติ ปาล์มเบือดแทรกเจ้าพวกนั้นคว้าจับมือพจน์

“มึงโอเคนะ พวกกูไม่เป็นไรหรอก มันเป็นอุบัติเหตุ”

พจน์รู้ว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ ผู้บงการและอยู่เบื้องหลังคือใครเขารู้แก่ใจดี

จากนั้นเด็กผู้ชายทั้งเก้าต่างเฮละโลโผเข้ากอดพจน์เป็นวงซ้อนกันหลายชั้น น้ำใจไมตรีและมิตรภาพของเพื่อนถ่ายทอดเป็นการกระทำเหนียวแน่นยิ่งกว่าความผูกพันใดๆ ส่วนไอ้น้ำก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งไม่รู้ว่าซึ้งใจในมิตรภาพหรือหายใจไม่ออกกันแน่

ภามภพ พีธนะ และพิมพ์พลอยมองมิตรภาพระหว่างเพื่อนอยู่ห่างๆ ครั้นทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลประจำจังหวัดแล้ว มีกลุ่มนายตำรวจถือกระเช้าผลไม้พร้อมนักข่าวหลายสำนักมาดักรอศาสตราจารย์วิชัยและคณะเดินทาง เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายกล่าวขอโทษคุณปู่เรื่องอุบัติเหตุโขลงช้างเข้ารุมทำร้าย ท่านไม่ติดใจเอาความกับผู้ดูแล ทั้งความเสียหายของรถยนต์พาหนะก็เทียบไม่ได้เลยกับจำนวนช้างซึ่งล้มตายลงทั้ง ๕ เชือก หลังปฏิเสธไม่รับกระเช้าเยี่ยมไข้และความช่วยเหลือดำเนินคดีใดๆ ก็ผละหลบนักข่าวออกจากส่วนหน้าโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ศูนย์ฝึกช้างของเพนียดพร้อมข้าราชการท้องถิ่นยืนส่งอำลาอยู่ห่างๆ

สภาพรถยนต์และรถตู้ไม่ได้เสียหายมากนัก มีเพียงสีถลอกรอยบุบยุบลงประปราย แต่โดยสภาพรวมถือว่าปกติ สามารถขับขี่กลับกรุงเทพได้อย่างสบาย สภาพอากาศฝนตกหนักเหลือเพียงท้องฟ้ามืดครึ้มเท่านั้น
 
“พ่อจะแวะวัดไชยวัฒนารามก่อนกลับ”

ศาสตราจารย์วิชัยแจ้งเจตจำนง ธนพลส่ายศีรษะทันควัน สุนิสาเกาะแขนแฟนหนุ่มไว้แน่น

“ผมว่าเราควรกลับกรุงเทพฯกันเลยดีกว่าไหมครับ ทั้งสภาพกายใจคงไม่มีใครอยากเที่ยวต่อ แล้วอีกอย่าง...” ภพดนัยคัดค้านผู้เป็นบิดา

“ไม่เสียเวลามากหรอก แค่แวะไปไม่ถึงชั่วโมง” ศาสตราจารย์วิชัยยังคงยึดมั่นในความคิด

วัดไชยวัฒนาราม จำได้ว่าท่านเคยกล่าวถึงเพราะเป็นสถานที่นัดหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เขารีบขยับเข้าหาดาวแล้วกระซิบสั่งน้องสาวให้คอยจับตาสังเกตคุณปู่และคุณชาญณรงค์ เมื่อไม่มีใครปฏิเสธนอกจากบุตรชายทั้งสอง ศาสตราจารย์วิชัยจึงพยักหน้าเป็นสัญญาณขึ้นรถแกมบังคับ จุดมุ่งหมายสุดท้ายของการมาเที่ยวอยุธยาคือ วัดไชยวัฒนาราม โบราณสถานนอกเกาะเมืองอยุธยา ความตั้งใจของท่านที่ต้องการมาอยุธยาคือนัดหมายพบใครบางคนไม่ผิดแน่
 
“ผมขอแยกตรงนี้นะครับ” นักข่าวธนชัยมองภพดนัยแน่วแน่

“อืม โชคดีนะ พ่อชัย” ศาสตราจารย์วิชัยตบบ่าชายหนุ่มปุๆ ไม่ดึงรั้งไว้เช่นเมื่อเจอกันวันก่อน “ลุงขอโทษด้วย”

“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ ผมดีใจเสียอีกที่คุณลุงยังยินดีต้อนรับผม... อุบัติเหตุนี้ทำให้ผมรู้บางสิ่งครับ ว่าชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน หากอยากทำอะไรหรือตัดสินใจทำสิ่งใดก็จงทำมันเสียเดี๋ยวนี้ เพราะในวันพรุ่งนี้หรือเพียงแค่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเราอาจจะไม่เจอกันอีกชั่วชีวิตก็เป็นได้”

ภพดนัยซึ่งก้มหน้าทอดมองต่ำอยู่ตลอดเวลาเงยสบนัยน์ตาเข้ม เผยอปากจะพูดถ้อยคำบางอย่างแต่มีเพียงลมร้อนผ่อนผ่าน ชาญณรงค์ขบกรามเคร่งเครียดกำหมัด
 
******************************

นักท่องเที่ยวเดินกระจัดกระจายชมสถาปัตยกรรมของช่างศิลป์ในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง ท้องฟ้าช่วงบ่ายห้าโมงเย็นเริ่มเปิด เมฆดำทะมึนลอยสูง ทั้งไม่มีฝนตกบรรยากาศจึงเย็นสบาย ถึงแม้พื้นสนามหญ้าโดยรอบบางจุดจะมีแอ่งน้ำขังอยู่บ้างก็ตาม พี่สุนิสากางร่มเดินตามหลังศาสตราจารย์วิชัยอยู่บนทางเดินอิฐเบื้องหน้า หญิงสาวพะเน้าพะน้อขอร้องให้ธนพลลงจากรถยนต์ส่วนตัวได้อย่างยากลำบากเนื่องจากบุตรชายคนรองของศาสตราจารย์ไม่มีกะจิตกะใจเที่ยวชมสิ่งใดอีกนอกจากประสงค์จะกลับกรุงเทพฯ

แนวระเบียงคดปรักหักพังตั้งตระหง่าน พระเจดีย์ปรางค์ประธานเสียดยอดสูงสง่าอยู่กึ่งกลาง ซากความรุ่งเรืองจากกาลเวลาบ่งบอกความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอยุธยามหาราชธานี แผนผังโครงสร้างคล้ายคลึงมหาเทวาลัยร้างที่มาตะลอบเข้าสืบราชการลับ แต่เทวาลัยแห่งนั้นสร้างด้วยหินทรายผสมศิลาแลง มีปรางค์ประธานสูงใหญ่แบบนี้เหมือนกัน

“อย่าลืมนะดาว คอยใกล้ชิดกับคุณชาญณรงค์ไว้” เด็กสาวขยิบตาเบียดแทรกเข้าหาผู้ช่วยหนุ่มของคุณปู่ทันที ชวนคุยถึงแนวคิดว่าจะวาดภาพวัดไชยวัฒนาราม จึงขอให้ชาญณรงค์เป็นผู้ช่วยตัดสินใจว่าจะวาดมุมไหนดีเป็นข้ออ้าง พจน์ยกยิ้มให้น้องสาวมากความสามารถ
 
“เดินถ่ายรูปกันตามสบาย เดี๋ยวพ่อจะเข้าไปทางนั้น” ศาสตราจารย์วิชัยสั่งความ ชี้ไปทางบันไดทอดขึ้นสู่ชั้นระเบียงคด ชายหนุ่มผู้ช่วยไม่ได้ติดตาม ดาวรีบปฏิบัติภารกิจสอบถามลักษณะมุมวาดภาพจากชายหนุ่มหน้าตี๋ทันที พจน์อาศัยจังหวะที่เพื่อนๆกำลังเกาะกลุ่มกันถ่ายรูปปลีกตัวตามคุณปู่ไปไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต

ภายในมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยแหงนหน้ามองปรางค์ประธานด้วยดวงตาหยี่เล็ก บ้างกดชัตเตอร์ถ่ายภาพถี่รัว ชาวต่างชาติชายหญิงอีกกลุ่มกำลังยืนหามุมถ่ายภาพ ไม่มีใครสนใจศาสตราจารย์วิชัยแม้แต่น้อย ท่านเดินผ่านระเบียงคดสู่ทางเดินปูอิฐ แล้วหยุดตรงฐานของปรางค์ประธานด้านทิศติดพระอุโบสถ หันหน้าเข้าหาริมน้ำเจ้าพระยา พจน์ใช้แนวเมรุทิศบังตัวเองไว้ไม่ให้ท่านสังเกตเห็น รอจังหวะบุคคลนัดหมายปรากฏตัว ใครกันที่จะอธิบายเรื่องราวอาธนพลบาดเจ็บด้วยอำนาจมนตราลีลาทมิฬได้ ใครกันที่คุณปู่เคยติดต่อเมื่อนานมาแล้ว ณ วัดศรีสวาย จังหวัดสุโขทัย และนัดพบท่านอีกครั้งที่แห่งนี้ ผู้สามารถอธิบายเหตุการณ์ทุกอย่างอันเชื่อมโยงถึงอันตรายเหนือธรรมชาติและน้ำท่วมโลก

ศาสตราจารย์วิชัยยังคงยืนนิ่งเหม่อมองยอดปรางค์ประธานแน่วแน่ แล้วระหว่างพจน์มัวแต่เหลียวมองเด็กน้อยส่งเสียงร้องไห้หาแม่อยู่นั้น ร่างของคุณปู่ก็หายลับจากจุดที่พจน์เคยเห็นอยู่ก่อนหน้าเสียแล้ว เด็กหนุ่มใจเต้นส่ำหันซ้ายแลขวาเพื่อจะหาเงาของคุณปู่ จู่ๆท่านก็หายลับยากจะเหลือเชื่อ

ไม่จริง ต้องไม่ใช่สิ่งที่ผุดขึ้นในความคิดตอนนี้ หรือว่าจอมมารจะลงมืออีกครั้ง
 
พจน์ออกวิ่งตามหาศาสตราจารย์วิชัยทั่วบริเวณภายในระเบียงคด ไม่เคยกลัวความคิดของตัวเองเท่านี้มาก่อน หากท่านต้องมารับเคราะห์แทนพจน์ด้วยน้ำมือของปีศาจละก็ เขาจะไม่ให้อภัยให้ตัวเองจริงๆ วิ่งวนจนกลับมายังจุดเดิม ยังไม่พบวี่แวว ทำยังไงดี หากจะบอกบิดาว่าคุณปู่หายตัวไป ทุกคนต้องตื่นตระหนกแน่ ระหว่างอับจนหนทางอยู่นั้น เปรมณัฐก็เดินขึ้นมาทางช่องบันไดตัวคนเดียว เจ้านั่นขมวดคิ้วเหมือนกำลังตามหาใครสักคน ไร้เงาน้องแพรวคนสวย เมื่อไอ้ตี๋หล่อเห็นพจน์ยืนหอบอยู่ตรงเมรุทิศหน้าปรางค์ประธานก็เร่งฝีเท้ามาหา

“กูมาตาม ไอ้พวกนั้นมันจะถ่ายรูปหมู่...” ครั้นเปรมณัฐเห็นความวิตกก็หยุดความตั้งใจเดิมทันที “เกิดอะไรขึ้นวะ”

 “เปล่าว่ะ กูแค่ขึ้นมาดูด้านใน ก็สวยดีนะ”

 “ปู่มึงล่ะ กูนึกว่ามึงแอบตามท่านมาเสียอีก มีอะไรก็อย่าปิดบังกูสิวะ เราสัญญากันแล้วว่ามึงกับกูยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม กูยังเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของมึงเหมือนเดิมนะเว้ย ได้โปรดยกสิ่งที่มึงแบกไว้แบ่งให้คนอื่นช่วยบ้าง และกูก็เป็นคนคนนั้นที่มึงสามารถทำได้” ปาล์มฉวยมือพจน์แล้วบีบย้ำ พจน์ไม่สามารถทำตามที่มันขอได้จริงๆ จะให้มาเสี่ยงชีวิตกับการล่วงรู้ความลับอันตรายซึ่งกำลังคุกคามโลกนี้และโลกของมาตะไม่ได้ เสี่ยงเกินไป ระหว่างสอดส่ายสายตามองหาศาสตราจารย์วิชัยอยู่นั้น ท้องฟ้าเริ่มแปรปรวน เมฆครึ้มเคลื่อนเข้าบดบังบรรยากาศ เหล่านกกาโผปีกบินหนี แล้วโดยไม่คาดคิดก็บังเกิดเสียงคำรนของฟ้าดังสะท้านก้องสร้างความตื่นตกใจแก่นักท่องเที่ยวโดยรอบทันที ต่างเก็บข้าวของเพื่อเดินกลับสู่รถยนต์ส่วนตัว ลมลึกลับพัดอากาศเย็นสาดซัดใส่วัดไชยวัฒนารามโดยไม่ทันตั้งตัว

“มาเถอะ ไอ้พจน์ กลับไปรวมกลุ่มกันก่อน” ปาล์มฉุดแขนพจน์ให้เดินตาม แล้วระหว่างนั้นพจน์จึงเห็นเงาร่างของคุณปู่ผุดขึ้นตรงฐานองค์ปรางค์ประธานอีกครั้ง สะบัดมือออกจากการกอบกุมของไอ้ปาล์มแล้วออกวิ่งไปหาท่าน คุณปู่กำลังยืนคุยอยู่กับบุคคลที่มีผ้าคลุมสีขาวกระจ่างปิดบังศีรษะและใบหน้ารวมถึงร่างกายทั้งหมด เมื่อใกล้ถึงตัว ระยะการได้ยินจึงชัดเจนขึ้น
 
“หนทางช่วยทุกสรรพชีวิตบนพิภพนี้ คือ ศรัทธาความเชื่อจากมวลมนุษย์ทุกผู้ หากมนุษย์ทุกคนเชื่อว่าน้ำกำลังจะท่วมโลก พิภพนี้ก็จะปลอดภัย แต่...มีอีกหนทางหนึ่งซึ่งยากลำบากยิ่งกว่า คือ รวบรวมมหามณีล้ำค่าสามสิ่งให้ครบถ้วนก่อนวันโลกาวินาศมาถึง แลพิภพนี้จะยังคงอยู่ ทว่า...มหาพิภพจักย่อยยับพินาศล่มสลายทันที เพลาใกล้สิ้นสุดแล้ว มนุษย์ จงปฏิบัติตามหน้าที่อันวงศ์ตระกูลนี้ได้รับมอบหมายมาแต่ดั้งเดิม จงเลือกหนทางที่ถูกควร และ...เด็กนั่นช่วยเจ้าได้”

ดวงตาสีขาวภายใต้เงาของผ้าคลุมสว่างจ้าพุ่งหาพจน์ กลุ่มควันพัดเลี้ยวลดพาชายใต้ผ้าคลุมหายลับกับสายลม ศาสตราจารย์วิชัยขยับตัวพินิจหลานชายคนเดียว

“ตาพจน์...” เสียงแหบแห้งของคุณปู่ปลิวลอยละล่องสู่กลุ่มเมฆทมิฬ “แกได้ยินทุกอย่างแล้วสินะ”

“มันหมายความว่ายังไงครับ ที่ว่าพิภพนี้จะยังคงอยู่หากทุกคนเชื่อว่าน้ำจะท่วมโลก พิภพนี้จะยังคงอยู่หากรวบรวมมหามณีสามสิ่งได้ และพิภพนี้จะยังคงอยู่ ...ส่วนมหาพิภพจะย่อยยับพินาศล่มสลาย หมายความว่ายังไงครับ คุณปู่”



มีต่อด้านล่างครับ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2019 20:08:29 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]



“มหาพิภพ คือ ดินแดนที่แกเดินทางข้าม...พิภพไปเยือน นั่นล่ะ” เสียงฟ้าร้องผ่าลงกลางใจพจน์ ถ้อยคำแถลงการณ์ที่คุณปู่ประกาศต่อสาธารณะชนทั่วโลกดังวนเวียนอีกครั้ง

‘ยังคงมีดินแดนอันกว้างใหญ่จมอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก มหาเทพผู้ยิ่งยงเหนือพิภพนั้นได้บอกกับผมว่า ดินแดนทั้งหมดที่มีขนาดเทียบเท่ากับอาณาเขตของมหาสมุทรในปัจจุบันจะโผล่พื้นน้ำขึ้นมา...ดินแดนซึ่งไม่มีหลักฐานหรือสิ่งจารึกใดๆ ผมขอเรียกดินแดนนั้นว่า มหาพิภพ มหาทวีปที่จะทำลายล้างโลกของเรา’

ศาสตราจารย์วิชัยเอื้อมมือแตะไหล่หลานชาย พจน์สั่นหน้าปฏิเสธความจริงโหดร้าย

“โกหก ใช่ไหมครับ เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ มา...ตะ มาตะ” พยายามเอ่ยขานนามคนที่ตนฝากตัวฝากรักไว้ พลันหัวใจแทบแหลกสลาย ปาล์มคว้าแขนหมายเค้นข้อกังขา “ใคร ไอ้พจน์ มัน...เป็นใคร”

“คุณพ่อกลับขึ้นรถเถอะครับ” ภพดนัยพาทุกคนมายังลานกว้าง “ฝนน่าจะตกมาอีก ผม...”

“คุณพ่อได้คำตอบหรือยังครับ กับคำถามที่ต้องการคำตอบจนต้องเสี่ยงชีวิตไม่คาดคิดเป็นของแถม พอใจหรือยังครับกับความมั่นใจ ทั้งที่เคยมุ่งจะพูดในสิ่งที่คนทั้งโลกต่างหันหลังให้ ทั้งที่ทำมาตลอดสิบปี ทั้งที่บอกว่าคุณแม่ยอมเสียสละตัวเองให้จมอยู่ใต้มหาสมุทร เพื่อให้คุณพ่อได้มายืนอยู่ตรงนี้ กับคำตอบที่ต้องการหา คุ้มค่าหรือยังกับการท้อถอย ชีวิตครอบครัวของเราพังลงก็เพราะคุณพ่อทั้งหมด”

“หยุดเดี๋ยวนี้ ตาพล” ภพดนัยร้องห้าม “แกอย่าได้พูดจาหยาบคายกับคุณพ่อเด็ดขาด ต้องเข้มแข็งมากกว่านี้ พี่ไม่ได้สอนหรือไงว่า...”

“พี่จะเอาเวลาที่ไหนมาสอนผมล่ะครับ อาชีพแบบพี่แม้กระทั่งลูกตัวเองยังไม่สามารถดูแลได้เลย” ภพดนัยไม่คิดว่าหมัดขวาของตนจะพุ่งเข้าหาใบหน้าน้องชายรวดเร็วปานนั้น พอเห็นดวงตาเกรี้ยวกราดของธนพลก็พลันรู้สึกเสียใจท่วมท้น ธนพลยิ้มเยาะแล้วหัวเราะ

“ตั้งแต่เกิดมาพี่เคยทำร้ายผมหรือเปล่า ไม่ ตั้งแต่อายุสิบห้าผมได้รับความรักจากคุณแม่หรือเปล่า ไม่ ตั้งแต่คุณแม่เสียผมเคยได้รับอ้อมกอดจากคุณพ่ออีกหรือเปล่า ไม่ ผมมีสิทธิ์ที่จะพูดความในใจตัวเองหรือเปล่า พี่ดนัย ก็ในเมื่อตลอดสิบปีที่ผ่านมา ชีวิตครอบครัวของเราพังทลายไม่มีชิ้นดี แม้กระทั่งญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงก็ละทิ้งตีจาก ไม่ใช่เพราะสิ่งที่คุณพ่อพูดแล้วมันเพราะอะไร แล้วเมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านก็หยุดทำสิ่งนั้นทั้งที่ตัวท่านยึดมั่นมาตลอด ราวกับท่านพยายามลบลืมคำพูดตลอดสิบปีที่ผ่านมา แต่รู้หรือเปล่าว่ารอยแผลเมื่อมันถูกกรีดลงแล้วจะเป็นแผลเป็นตลอดไปไม่มีวันลบออก ผมมีสิทธิ์จะพูดความจริง ไม่ว่าพี่จะชกผมซักกี่หมัด ผมก็จะพูด”

“เงียบเดี๋ยวนี้” ภพดนัยตวาดน้องชายซ้ำน้ำตาคลอ

“ปล่อยให้น้องพูด พ่อดนัย”

ศาสตราจารย์เอ่ยปราม ดวงตาหลังแว่นเขม้นบุตรชายคนเล็กอย่างที่ไม่เคยมองชัดเท่านี้มาก่อน ท้องฟ้ามืดครึ้มมากขึ้นทุกขณะ และลมก็โหมกรรโชกแรงเป็นทวีคูณ

“ไม่ใช่ตรงนี้ครับ คุณพ่อ กลับไปที่รถกันเถอะ” ภพดนัยยืนกรานหนักแน่น พี่สุนิสาพยายามกระซิบหูแฟนหนุ่มให้สงบอารมณ์ เพื่อนของพจน์ต่างยืนหน้าเจื่อนไม่มีใครกล้าพูด

เสียงปรบมือไม่จริงใจดังมาทางทิศองค์ปรางค์ประธาน

“ข้ามิเคยเห็นมหรสพใดขบขันปานนี้” ร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่งปกปิดกายด้วยผ้าดำผืนใหญ่คลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าคะเนจากสายตาแล้วคงสูงไม่ต่ำกว่าสองเมตรเป็นอย่างน้อย จี้หยดน้ำสีทองห้อยคอพจน์ร้อนราวกับถูกเผา ฉุดสติของเด็กหนุ่มจากห้วงความคิดมืดมนให้หันมองสิ่งมีชีวิตใต้ผ้าคลุมนั้นทันที
 
“เหตุใดจึ่งมิแสดงโต้ตอบกันต่อเล่า ข้านี้ปรารถนาชิดชมเหลือประมาณ” น้ำเสียงอำมหิตตะคอกใส่ สายลมโบกผ้าคลุมพลิ้วไหวต้องพยับฝน

“กูว่าเรากลับกันเถอะ” ภามภพดึงแขนพจน์ถอยหลังเมื่อเห็นผู้มาเยือนมีลักษณะไม่ชอบมาพากล ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ตรงนี้ ไม่ใช่ต่อหน้าเพื่อนและญาติพี่น้องของเขา

“พวกเจ้าทั้งหมดจะไปไหนมิได้ทั้งนั้น!” เจ้าของเสียงน่าขนลุกตะคอกระงับ บัดนี้บริเวณโดยรอบของระเบียงคดซึ่งล้อมปรางค์ประธานไว้ร้างไร้ผู้คนนอกจากพวกเขาเท่านั้น พจน์รู้ว่าอันตรายที่ตนภาวนาไม่ให้เกิดยืนดำรงตนวางโตอยู่เบื้องหน้าแล้ว เขาจะต้องถ่วงเวลาพูดคุยกับมันให้นานที่สุด เพื่อส่งทุกคนออกไปจากวงล้อมอันตราย

“แกเป็นใคร ต้องการอะไร”

“กล้าหาญนัก เด็กน้อยเอ๋ย ช่างมีความกล้าเจรจากับสิ่งมีชีวิตเยี่ยงข้า”

แรงลมมืดมัวซัดผ้าคลุมสีดำให้เลื่อนหลุด ปรากฏเป็นร่างประกอบล้วนเหมือนมนุษย์ ยกเว้นผิวกายเขียวเข้ม ใบหน้าเหี้ยมเกรียม คิ้วหยักกนกเป็นคลื่น ดวงตาสีเหลืองขีดขอบดำ ริมฝีปากเข้มมีเขี้ยวโค้งงอ ตกแต่งร่างกายด้วยภูษาทมิฬแลเครื่องประดับดำ มุ่นผมรัดเป็นมวย กล้ามเนื้อนูนชัดสูงใหญ่ผิดมนุษย์ธรรมดา อุปมาดั่งมัจจุราชแห่งความตาย ไม่มีใครส่งเสียงร้องหรือพูดคุยแม้แต่น้อย ราวกับสิ่งมีชีวิตตรงหน้าขโมยสรรพเสียงจากลำคอของมนุษย์ในที่นั้นเสียสิ้น

“ข้าคืออัครมหาเสนาบดีปีศาจฝ่ายซ้าย นาม สหภูบาล” มันคำรามผสานเสียงฟ้าร้อง

“อะ ไอ้พจน์” ไอ้น้ำกระซิบเรียก

“อย่าขยับ” พจน์ส่งสายตาเตือน เพราะเกรงว่าหากมีคนหนึ่งคนใดหลบหนี เจ้าปีศาจตรงหน้าจะแสดงอำนาจเหนือธรรมชาติไม่คาดคิด ศาสตราจารย์วิชัยมิได้แสดงความกลัวแต่อย่างใด ท่านขมวดคิ้วราวกับประหลาดใจในสิ่งที่เห็นผิดต่างจากคนอื่นๆ สุนิสากรีดร้องพรั่นพรึงท่ามกลางความเงียบของสายลม เจ้าปีศาจร่างเขียวตวัดตาโปนสีเหลืองถลึงจ้องหญิงสาวจนสิ้นสติล้มลง โชคดีอาธนพลยังครองสติคอยระวังไว้อยู่แล้ว จึงทรุดตัวชันเข่ารับสุนิสาไว้ในอ้อมแขน พร่ำเรียกชื่อแฟนอยู่หลายหน
 
“ท่านรับใช้ใคร” ศาสตราจารย์ถามไร้ความเกรงกลัว ภพดนัยโอบกระชับบุตรชายและบุตรสาวไว้ใกล้ตัว น้องแพรวเป็นลมพับไปอีกคน ไอ้ปาล์มรีบปฐมพยาบาลชุลมุน

ดวงตาเหลืองกวาดมองมนุษย์ทั้งสิบเก้า มันแสยะยิ้มราวกับคำถามของท่านเป็นเรื่องขบขันอย่างหนึ่ง

“ข้ารับใช้ใครกระนั้น ฤา” สหภูบาลปีศาจหัวเราะดังลั่น แล้วว่า “ข้ารับใช้ผู้ที่จักได้ครอบครองมหาพิภพแลทรงอำนาจสูงสุดอย่างหาใครเปรียบมิได้ เพียงแค่ข้าเอ่ยพระนาม พวกเจ้าก็จักพรั่นพรึงศิโรราบ จงอย่าได้ริอ่านมาถามว่าข้ารับใช้ใครอีก”

“ถ้าอย่างนั้นเราคงเป็นศัตรูของท่าน” คุณปู่ตอบกลับ

“ไม่ จนกว่าเจ้าจักมาขัดขวางแผนการของข้า” เสนาบดีสหภูบาลเงยหน้าสูง พจน์ไม่อาจทนให้ทุกคนต้องอยู่สถานการณ์เป็นตายเท่ากันนี้ได้ ตัดสินใจขยับสู่แนวหน้าแต่ถูกศาสตราจารย์วิชัยผลักอกให้ถอยกลับ ดวงตาสีเหลืองแลดูกิริยาพจน์ มันเอียงคอกลับกลอกไปมา

“แล้วแผนการของท่านบนพิภพนี้คืออะไร” ศาสตราจารย์วิชัยยังคงพูดใจเย็น ปีศาจร่างเขียวยกยิ้มประดุจคำถามของคุณปู่เป็นที่ต้องตาต้องอารมณ์ของมันยิ่งนัก

“ความตายแลวิญญาณของมนุษย์หนึ่งคน แลกกับมนุษย์เป็นพันล้าน” มันคำรามดุดัน

“ท่านประสงค์ผู้ใด” คุณปู่ย้อนถามแต่พจน์ไม่อาจทนได้ ภพดนัยเห็นบุตรชายลุกลี้ลุกลนก็โอบรัดตรึงไว้

ปลายเล็บสีดำไว้ยาวกว่าปกติชี้มายัง ภพดนัย ใช่ มันชี้มายังบิดาของพจน์ไม่ใช่ตัวพจน์ ดวงตาสีดำเบื้องหลังแว่นของคุณปู่ส่งสัญญาณบางอย่างให้หลานชายสงบนิ่ง ไม่ใช่ บุคคลที่มันต้องการคือพจน์ คือเขาต่างหาก ภพดนัยจ้องปลายเล็บนั้นราวกับต้องมนตร์ดำ ชาญณรงค์ในชั้นแรกยืนสงบไม่แสดงอาการตื่นกลัวใดๆมาตลอด หะนี้ไม่อาจครองสติไว้ ภพดนัยสูดลมหายใจลึกเสมือนยอมรับในโชคชะตาที่ผิดพลาดพลางดึงพจน์กับดาวเข้าสวมกอด

“พ่อขอโทษนะ มันถึงเวลาแล้วจริงๆ”

“อะไรคะ ไม่ใช่ค่ะ ต้องไม่ใช่คุณพ่อ มันเรื่องอะไร เรื่องล้อเล่นอะไรกันคะ” ดาวหวีดร้องอุปมาโลกกำลังล่มสลายอยู่ตรงหน้า ภพดนัยปลุกปลอบบุตรสาวแล้วเช็ดน้ำตาให้  “ทำไมคะ ดาวไม่ยอมให้คุณพ่อไป ไม่ยอมค่ะ ไม่ยอม”

ดวงหน้าภพดนัยมีแต่ความว่างเปล่าเช่นเดียวกับคุณปู่ ต้องมีบางอย่างผิดพลาด ในเมื่อไอ้กันบอกว่า พจน์คือผู้ครอบครองเพชรอัญมณีสูงสุดที่จอมปีศาจต้องการ และพราหมณ์โกสินธพยังยืนยันหนักแน่นว่าพจน์คือมหาบุรุษในตำนานตามโคลงพยากรณ์ เช่นนั้นบุคคลที่ปีศาจต้องการตัวคือ พจน์ ไม่ใช่บิดาของตน

“นี่ต้องไม่ใช่ความจริง” แสงฟ้าแลบแปลบปลาบสะท้อนคำพูดของดาว แน่ชัดว่ามันคือความจริง

“จงมอบมันให้ข้า แลพวกเจ้าจักรอดพ้นจากหายนะในครานี้” เสนาบดีปีศาจแจ้งสำทับย้ำความเหี้ยมโหด

สิ้นคำสหภูบาลปีศาจ ไอ้ต่อ ไอ้โบท ไอ้กี ไอ้รัก ไอ้นาย ไอ้เพรียว ไอ้เอกต่างเดินแทรกผ่านชาญณรงค์ ภพดนัย และคุณปู่ไปอยู่แถวหน้า พจน์ถลาจะไปดึงพวกมันกลับมาก็ถูกไอ้น้ำ ไอ้พีท ไอ้ภามฉุดไว้

“ปล่อยดิวะ ปล่อยกู”

“ถ้าหากมึงต้องการชีวิตใครคนใดคนหนึ่งตรงนี้ ก็ผ่านศพพวกกูไปก่อนแล้วกัน” ไอ้ต่อประกาศกร้าว มันตั้งท่ากำหมัดแน่นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ความประหลาดใจผุดขึ้นบนใบหน้าสีเขียวอำมหิตเพียงชั่วแล่นก่อนมันจะยิ้มเหยียดดุจการกระทำของเพื่อนพจน์เป็นการละเล่นอย่างหนึ่ง

“โอ้ มิตรภาพ ความเสียสละ ข้าสัมผัสได้ แต่รู้ ฤา ไม่ สิ่งเหล่านี้หามีปรากฏในเผ่าพันธุ์ใดนอกจากเผ่าพันธุ์ซึ่งอ่อนแอ่ที่สุดในพิภพโลกา มนุษย์ เพียงเท่านั้น” สหภูบาลหลับตาลง งึมงำมนตราคาถา อ้าแขนทั้งสองข้าง ร่างกายระดับสูงสองเมตรก็ขยายใหญ่ขึ้นเป็นสามเมตรในทันที เงาดำผุดพุ่งออกจากปรางค์องค์เล็กทั้งสี่รวมกับองค์ประธานอีกหนึ่ง ประกอบเป็นรูปร่างคล้ายเงามนุษย์กระจายรายล้อมกลุ่มเหยื่อไว้ “หากมนุษย์บนพิภพนี้มิอาจเข้าใจถ้อยความง่ายดายอันข้าร้องขอก็จง...ตาย”

“ดูก่อน สหภูบาลเสนาบดี!”

คำร้องห้ามที่ไม่ได้มาจากกลุ่มของพจน์ส่งมาจากเบื้องหลังของเสนาบดีปีศาจ ร่างกายสูงผอม ไหล่กว้างสมชาย ผิวขาวซีดดุจไม่มีเลือดไหล่เวียน ยาตราผ่านม่านหมอกทมิฬ นุ่งผ้าดำผืนยาว ตกแต่งด้วยเครื่องประดับนิล เกล้ามวยผมดำขลับไว้กลางกระหม่อม อัญมณีสีกาฬประดับกึ่งกลางหน้าผาก ดวงตาดุดุจตาเหยี่ยวขับเน้นโดยขีดขอบเข้ม ใบหน้าแหลมซูบตอบ ริมฝีปากดำเช่นภูษาคล้องกาย

“ไอ้กัน” ถ้อยคำไร้เรี่ยวแรงเผลอหลุดจากปากพจน์ ดวงตาเหลืองวาวโรจน์ของเสนาบดีปีศาจกะพริบมองแล้วก้มหัวสำแดงความเคารพ

“ปราชญ์พยากรณ์...สินะ
 
นัยนาดำเป็นจุดเล็กท่ามกลางวงล้อมสีขาวราวกับไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตานอกจากพจน์ ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นไอ้กัน คนที่พจน์ผลักไสมันออกไปจากชีวิต แล้วทำไมตอนนี้ถึงปรากฏตัวในรูปลักษณ์มืดทมิฬประดุจท้องฟ้า ผิวซีดขาวเหมือนหนึ่งถูกสาดด้วยผงแป้ง ดวงตาดุเอาแต่จับจ้องพจน์ ชั่วขณะหนึ่งระริกไหวก่อนจะนิ่งสงบดังเดิม หรือว่ามันจะทำตามที่สัญญาไว้ ถ้าพจน์ตกอยู่ในอันตรายมันจะมาช่วย ใช่แล้ว พจน์ส่งยิ้มให้ไอ้กันอย่างไม่เคยดีใจเท่านี้มาก่อน
 
ปีศาจร่างเขียวถอยหลังประชิดฐานองค์ปรางค์ประธาน กันก้าวเท้ามายืนแทนที่

“จงอย่าได้ขัดขืนให้กาลเพลาล่วงผ่านไปโดยเปล่าดาย ความเสียสละกายนี้จักมิคุ้มค่าแม้เพียงนิด ส่งตัวมันผู้นั้นมา” คำห้าวที่พจน์เคยคุ้นคำรามใส่ ต้องมีบางอย่างผิดพลาด หรือว่าไอ้กันจะจำพจน์ไม่ได้ เขาต้องเบียดแทรกไปให้มันเห็นชัดๆว่าพจน์อยู่ตรงนี้

“เจรจาไปก็ไร้ผล ข้าขอดวงวิญญาณของเจ้าเด็กทั้งเจ็ดคนนี้ไว้ครอบครอง”

“ไม่” กันตวาดใส่เสนาบดีปีศาจ “พวกเจ้าจงล่าถอย แลปฏิบัติตามคำอย่าบิดพริ้ว คือส่งเจ้าผู้ข้าหมายประสงค์มาแต่โดยดี” ชี้ภพดนัยด้วยเล็บยาว

แล้วความจริงอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจพจน์ หรือว่าแท้จริงแล้วไอ้กันคือสมุนของจอมปีศาจ เหตุผลที่มันมาใกล้ชิดพจน์ก็เพราะต้องการสืบความเป็นไป เพียงคิดเท่านี้ก็ยิ่งคับข้องใจ ไม่อาจยืนนิ่งอยู่ได้ก็ตะโกนร้องถามสุดเจ็บร้าว

“ไอ้กัน กูรู้ว่าเป็นมึง นี่ใช่ไหมคือเหตุผลที่มาใกล้ชิดกู” แววตานิ่งสงบคือคำตอบทุกอย่าง ความรู้สึกเหมือนถูกหักหลังเป็นอย่างนี้นี่เอง “มึงเคยบอกกูว่า ถ้าเมื่อไหร่กูตกอยู่ในอันตราย ให้กูหลับตาแล้วนึกถึงมึง มึงจะรีบมาช่วยคุ้มครองกูและครอบครัว นี่เหรอ สิ่งที่มึงกำลังจะปกป้อง”

พจน์ไม่อาจอ่านสายตาเรียบเฉยนั้นได้ ถ้าหากนี่จะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตก็ขอให้เขาได้รู้จากปากมันสักคำหนึ่งว่า ความไว้ใจทั้งหมดเป็นสิ่งลวงตา

“ตอบสิวะ!”

“ข้าหาทนนิ่งฟังเจ้ามนุษย์ครวญคร่ำพร่ำพรรณนาต่อมิได้แล้ว” ปีศาจเขียวร่างโตสุดอดกลั้น ยื่นฝ่ามือสู่เหยื่อมนุษย์ “วิญญาณะ จิตตะ สุริยะ...”

“วิญญาณะ จิตตะ สุริยะมรณา”

ถ้อยคำมนตราทมิฬสองเสียงแผดผสาน ผสมด้วยเสียงนกกรีดร้อง เมฆหมอกสีขาวเข้าปกคลุมรอบกายพจน์รวดเร็วทันควันบัดบังทุกคนที่พจน์รักออกจากข้างกาย ไม่ ไม่ ต้องไม่ใช่ตอนนี้ ได้โปรดอย่าได้พาพจน์ข้ามพิภพไปตอนนี้เด็ดขาด


100%...TBC โปรดติตตามตอนต่อไป
_________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

:ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
:กอด1: :pig4:

เขาคุยกันแล้วว ฮิ้ว  :hao7:
แววตาตอนจบนี่ของใคร ซักน่ากลัว แต่ก็อย่างว่านะ เจ้าตัวเขามาเปิดฝาโลง(ชาติที่แล้ว)ของตัวเอง จะเปิดไม่ได้ก็กระไรอยู่

ขอบคุณคนเขียนมาก(กอไก่ล้านตัว) ขอสารภาพว่าต้องอ่านสอวรอบแหนะว่าจะตีความโคลงที่เปิเช่องลับได้  :z2:
กว่าจะยอมคุยกันได้ทำเอาทั้งคนอ่านและคนเขียนเหนื่อยไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว ฮ่าๆ แววตาสีชาดของตอนที่แล้วจะเป็นของใครคุณคงจะได้คำตอบในเร็วๆนี้ พูดอีกก็ถูกอีกครับ แหม เจ้าตัวมาเปิดฝาโลงในอดีตชาติก็ต้องเปิดได้สิ ฮ่าๆ สำหรับโคลงฯเปิดช่องทางลับนั้นถ้าใครไม่ย้อนกลับไปอ่านสองรอบเป็นอย่างต่ำถือได้ว่าผิดจากการคาดคะเนของผู้เขียนอย่างมาก อิอิ หรือไม่ถ้าอ่านรอบเดียวแล้วจำได้หมดเลยนี่ก็ถือว่าเก่งทีเดียว ยินดีครับที่คุณชอบ

โอ้ย  ใครกันนะ  ยิ่งอ่านยิ่งงง  ไม่กล้าคาดเดาเลยอ่ะ  ที่คิดไว้คือมีอยู่สองคน  แต่ถ้าเป็นพจน์ในชาติที่แล้วคงไม่ใช่มั่ง  ถ้าเป็นตัวมเหสี  รึเปล่า  รึมีใครอีก คนที่โกรธเคืองสองคนนี้ก็มีแต่พระมเหสีเท่านั้นนี้  ส่วนมณี คนถือคลองคือพจน์ไม่ใช่หรอ  หรือเราจำผิดอีก  แต่พจน์รักมาตะ  จึงมาอยู่ด้วย  เออมันก็เท่าเป็นของมาตะอะนะ  รอต่อไปแล้วกันครับคนแต่ง
อย่าเพิ่งงงครับ ใจเย็นๆก่อน ลองลำดับเรื่องราวที่ผ่านมาดีๆนะครับ สิ่งที่คุณเดามาว่า ดวงตาสีชาดเป็นของพจน์เมื่อชาติที่แล้วหรือเปล่านั้น ต้องขอโทษด้วยนะครับ ไม่ใช่ครับ แล้วก็ไม่ใช่พระมเหสีของพระเจ้าอนันตราชอีกเช่นกัน แล้วจะเป็นใคร รอเฉลยในบทหน้าครับ ส่วน พัชรพีนิลกาฬ ที่คุณยังจำได้ว่าเคยเป็นของพจน์ในอดีตชาติกินนรนั้น ถูกต้องครับ และคงเป็นความผิดของผู้เขียนอีกเช่นกันที่ทำให้ผู้อ่านสับสนของการเรียงลำดับเวลาและเหตุการณ์ก่อนหลัง ผมจะขอลำดับเรียงจากเหตุการณ์ที่เรื่องราวนี้ดำเนินอยู่ย้อนกลับไปนะครับ คือ ชาติภพที่เรื่องราวนี้ดำเนินอยู่ (มาตะ-พจน์) > ชาติภพคนธรรพ์ (พระเจ้าอนันตราช-พระเจ้าวัชรโกมล[ได้ครอบครองอนันตวัชรมรกต]) > ชาติภพกินนร (พระเจ้าพัชรพรรดิ-พระเจ้ารพีกานต์ [ได้ครอบครองพัชรพีนิลกาฬ]) ดังนั้นหากคุณยังจำได้ ในชาติภพกินนร ในบั้นปลายชีวิตของพระเจ้ารพีกานต์ถูกเผ่าพันธุ์คนธรรพ์ยกทัพรุกราน จนก่อให้เกิดสงครามแย่งชิงไพลินนิลสี พระเจ้าพัชรพรรดิออกสู้ศึกจนสิ้นพระชนม์ เช่นเดียวกับพระเจ้ารพีกานต์โศกศัลย์จนหลั่งน้ำตาสายโลหิตสิ้นพระชนม์เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงอาจคะเนได้ว่า มหาศึกครานั้นเผ่าพันธุ์คนธรรพ์ชนะสงคราม พัชรพีนิลกาฬคงตกไปอยู่ในการครอบครองของเผ่าพันธุ์นี้ไม่ผิดแน่ หลังจากนั้นลำดับการครอบครองผลัดเปลี่ยนมือจากมหากษัตริย์คนธรรพ์ส่งต่อกันจนมาถึงรัชสมัยพระเจ้าอนันตราชซึ่งเป็นการกลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้งพระเจ้าพัชรพรรดิ ดั่งนั้นพระเจ้าอนันตราชจึ่งได้ครอบครองพัชรพีนิลกาฬมาแต่นั้น ส่วนพระเจ้ารพีกานต์กลับชาติมาเกิดเป็นพระเจ้าวัชรโกมลซึ่งในชาตินี้ได้ครอบครองอนันตวัชรมรกต ดังที่เรื่องราวได้เปิดเผยมาก่อนล่วงแล้วตามลำดับ ต่อมาพระเจ้าอนันตราชสิ้นพระชนม์พร้อมการสาปสูญของพัชรพีนิลกาฬ กลับมาเกิดใหม่ในชาติภพปัจจุบัน คือ มาตะ ส่วนพระเจ้าวัชรโกมลตามคำอธิษฐาน จึงมาเกิดเป็นพจน์ ซึ่งในชาตินี้ได้ครอบครองมหาเพชรมณี ครับ หวังว่าจะช่วยให้คุณและผู้อ่านหลายๆคนที่ยังสับสนในเรื่องนี้กระจ่างใจมากขึ้น

ไม่คิดไรมากและฮ่าๆๆ ในที่สุดเขาก็คุยกันแล้วววส่วนเรื่องว่าใครพูดนั้นรอลุ้นตอนหน้าละกัน^_^ :katai1:
หวังว่าคุณจะต้องอดใจไปอีกตอนนะครับว่าคำพูดสุดท้ายของดวงเนตรสีชาดนั้นเป็นของใคร รอติดตามนะครับ

ขอบคุณฮะ...วันนี้ขอมาเบาๆ อย่างไรลองพิจารณาอีกทีนะฮะ

...แม้นคำเหล่าเจ้าจักอ้างจู่เข้าตัดไม้จันทร์**หอมเพื่อผดุงชีพ...

...เทวาลัย มีลักษณะเก่าโทรมปรักหักพัก** ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นแทรกรกชัฏ...

...และ**จักให้พราหมณ์น้อยผู้ศิษย์อาตมันนาม มารุต คอยรับใช้ปรนนิบัติท่านอีกหนึ่ง...


...ดัง**ท่านประสบด้วยตนเองแล้ว พระเวทมนตราถูกสาปแช่งฝังไว้กับป่านี้นับอสงไขย

...จนส่งศิษย์ผู้น้อยไปนำออกมา มีหรือ**พวกท่านจักเอาชีวิตรอดได้”... - หรือกรณีนี้จะใช้ "หรือ" แต่ปกติเห็นใช้ ฤา ใช่มั้ยฮะถ้าป็นคนสมัยโน้น?

...บุญคุณครั้งนี้ไม่**อาจมีวันทดแทนได้หมดก็จักขอช่วยปรนนิบัติดูแลตอบแทนท่านคืนดุจกัน”...

...บิดาจึง**ออกอุบายพาอาตมันในวัยเพียงเจ็บขวบท่องเดินป่า...



...สิบปี มิได้พบหน้าบิดามารดรจนแทบลืบ**ใบหน้าท่านเสียแล้ว...

...พจน์ผวาสะดุ้งนึกว่าหัวจะเขก**กับก้อนหินเสียอีก... - เขก หรือ โขก ? จะเหมาะสมกว่ากัน

...ฝุ่นดินพัดโบกบังหนาแน่นอยู่ พจน์ลองเอามือรูป**ออก พลันก็นึกถึงถ้อยคำของเฒ่าวลาหกตาบอด...


...ถัดจากบัด**ไดศิลาเป็นลักษณะห้องโถงสี่เหลี่ยมผืนผ้าทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา...

...ลำห้วย ต้นไม้ บ้านเมือง ผู้คน เผยให้ (เห็น?)**ทันทีเมื่อแสงไต้ไฟส่องกระทบ... - มันจำเป็นต้องมี "เห็น" ด้วยมั้ยอะฮะ?

...“โลงพระศพนี้เป็นของพระเจ้าอนันตราช มหากษัตรย์**คนธรรพ์...

...ปรากฏตัวเบื้องพิภพนี้จริงดัง**คำของพระองค์...

ส่วนช่วงตรงนี้จะงงๆ
..."เคราะห์กรรมยังมิสิ้นสุดเหล่าพราหมณ์ทั้งเก้าเข้าช่วยชีวิตได้ทันท่วงที..."???
หมายถึงว่า เป็นเพราะเคราะห์กรรมของมารุตยังคงมีอยู่ พราหมณ์ทั้ง 9 เลยมาช่วยชีวิตได้ทัน ให้มีชีวิตอยู่เพื่อใช้กรรมต่อไป...ประมาณนี้มั้ยฮะ?

ปล. ต้องบอกเลยนะฮะว่าไม่ใช่ผู้รู้หรือชำนาญทางด้านภาษาเลย ใช้สัญชาตญาณล้วนๆ และไม่มีหลัการใดๆ ทั้งสิ้นนะฮะ 555+
โอ้โห ถ้าจะผิดเยอะขนาดนี้ ต้องขอน้อมรับไว้แต่โดยดีไม่มีข้อโต้แย้งใดๆครับ ซึ่งคงหลงหูหลงตาไปไม่น้อย ก็คือมากนั่นเอง  ฮ่าๆ ขอบคุณผู้อ่านเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตาตรวจทานให้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งนิยายวายเรื่องนี้จะไม่สมบูรณ์ได้เลยหากไร้การอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ของผู้อ่านทั้งหลาย จนสะท้อนกลับมาสู่ผู้เขียนอย่างที่คุณได้ชี้แนะข้างต้น ขอบคุณอีกครั้งครับ จะกลับไปตามแก้อย่างที่คุณว่าโดยเร็ว ส่วนช่วงที่คุณงงๆนั้นถือว่าเข้าใจถูกต้องแล้วครับ คือเป็นความตั้งใจของผู้เขียนมิได้แกล้งให้ผู้อ่านปวดหัวแต่อย่างใด ต้องยอมรับว่าถ้าอ่านผ่านเลยก็ผ่านได้ แต่ถ้าอ่านเอาความเข้าใจจริงๆ คือ พออ่านแล้วรู้สึกตรงนี้มันแปลกๆก็ต้องพิจารณาตีความกันอย่างที่คุณว่านั่นแหละ ถามมาได้ครับถ้าสับสนช่วงไหน สำหรับคนที่อ่านหนังสือมาเยอะ หรือผ่านตาภาษามามากพอสมควรแล้วความรู้สึกจะบอกทันทีว่า คำไหนผิด คำไหนถูก หรือคำนี้ไม่น่าจะใช่นะ คือมันจะผุดขึ้นมาขวางหูขวางตาในทันที ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะไม่อยากให้ปล่อยผ่านตาไปโดยง่าย ถือว่าคุณเป็นผู้อ่านที่ทรงคุณค่าคนหนึ่งสำหรับนักเขียนหลายๆคนเลยครับ ไม่ใช่เฉพาะผม ที่อยากให้ติเพื่อก่อ แนะเพื่อสร้างสรรค์ คนเรามีสองมือสองตาหนึ่งสมอง หากได้หูตาสมองเพิ่มขึ้นย่อมเป็นความยินดียิ่งของผู้เขียนทุกคน ขอบคุณมากๆครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2016 16:21:40 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ pnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :katai1: :katai1: โอ๊ย ทำไม กัน เป็นแบบนี้ แล้วมาตะล่ะ  โอ๊ยยยย ครอบครัวพจน์จะเป็นอะไรหรือเปล่า มาต่อเร็วๆนะๆ

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
บางทีมันก็ซับซ้อนเกินไปนะบางครั้ง รอต่อไปละกันครับ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๓๕


อุปราชาต้องคมทวน



เด็กหนุ่มหอบหายใจถี่ระรัว สภาพอากาศครึ้มมัวดุจถูกย้อมด้วยหมึกเขียนกระดาษ โบราณสถานหินทรายขนาดใหญ่ก่อเป็นเงาปิดล้อม ลมเย็นบางเบาพัดเอื่อยๆนิ่งสงบ ในห้วงหัวใจเจ้าหนุ่มมีแต่ภาพครอบครัวกำลังถูกเสนาบดีปีศาจและไอ้คนที่สาบานว่าจะปกป้องพจน์พ้นอันตรายคุกคามฝังแน่น
 
‘ได้โปรดนำพาข้ามพิภพกลับคืนเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด’

ลองหลับตาเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล พอลืมตาอีกครั้งก็พบแต่ความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาจะต้องกลับไปช่วยครอบครัวและเพื่อนๆ กรุณาเถอะ

“ดูก่อน พ่อหนุ่ม”

เสียงเฒ่าชราย่างเยื้องจากเบื้องหลังเงามืดของแถวระเบียงคดชั้นนอก

“พราหมณ์!” นักบวชหัวหน้าคณะผู้บำเพ็ญญาณเดินเอามือไพล่หลัง “ช่วยผมด้วย ท่านมีอำนาจหรือพลังอะไรหรือเปล่า ช่วยส่งผมกลับคืนไปยังโลกที่จากมาด้วย”

หัวหน้าผู้ครองศีลลูบเคราสีเงินละอกขึ้นลง ตรึกตรองสิ่งที่พจน์ร้องขอด้วยคิ้วฉงน

“ไยท่านกล่าวประหนึ่งมิได้ดำรงตนอยู่บน มหาพิภพ นี้ ก็แหละก้อนศิลาอันท่านเหยียบอยู่นั้นถูกปูเรียงอยู่เหนือผืนปฐพีหล่อหลอมรวมเรียกว่า อนุทวีปตะวันตกแห่ง มหาพิภพ ติดชายขอบขัณฑสีมา อาณาจักรสุวรรณนครา มหานครแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์”

“อะ...อะไรนะครับ” พจน์กะพริบตาแล้วเบิกค้าง จดจำข้อความสนทนาของคุณปู่กับบุคคลลึกลับที่ว่า หากทุกคนเชื่อว่าน้ำจะท่วมโลกหรือรวบรวมอัญมณีล้ำค่าสามประการได้ แผ่นดินมหาพิภพจะล่มสลาย “พราหมณ์ ที่นี่คือที่ไหน”

“ดินแดนแห่งนี้ขนานนามมามากกว่าแสนสหัสวรรษจวบกระทั่งอาตมันแลท่านยืนหายใจอยู่ คือ มหาพิภพ”

มือทั้งสองสั่นจนยากจะควบคุม ความจริงนี้แปลความได้อย่างเดียวว่า ไม่โลกที่พจน์จากมาหรือมหาพิภพแห่งนี้ต้องมีแหล่งหนึ่งแหล่งใดพบจุดจบ แล้วสิ่งที่คุณปู่พยายามมาตลอด พยายามให้ทุกคนเชื่อก็เพื่อให้สรรพชีวิตบนมหาพิภพนี้ล่มสลายอย่างนั้นหรือ ช่างเลือดเย็นนักกับอำนาจซึ่งชักนำให้พจน์ข้ามพิภพมาเจอกับมาตะ หากต้องล่วงรู้ว่ามีผู้คนมากมายอาศัยอยู่และกำลังรอเวลาให้สูญสลายสิ้นก็ขอให้อำนาจนั้นปลิดชีพตนเสียเถิด เพราะความจริงเจ็บทรมานกำลังเผาผลาญภายในกายพจน์จนแทบจะแตกดับอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว

“ท่านมีความไม่สบาย ฤา จึ่งปรากฏสีหน้าทุกข์ตรมเช่นนั้น” หัวหน้าพราหมณ์ทักท้วง

“ผมเจ็บมากครับ เจ็บ เจ็บจนไม่รู้จะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ยังไง เพราะทั้งโลกของผม และที่แห่งนี้กำลังจะ...” ไม่อาจหลุดปากพูดความจริงให้พราหมณ์ผู้ทรงศีลทราบเรื่องราวได้

“หนทางแห่งทุกข์ล้วนมีเกิดย่อมมีดับ หากใจท่านร้อนรนด้วยความทุกข์จงอาศัยสติเป็นเครื่องระงับเถิด จงพิจารณาลู่ทางอันสงบที่จักนำใจท่านพบแสงสว่าง อนึ่งอาตมันมีเรื่องราวสอนใจอันอาจช่วยระงับทุกข์ได้ ด้วยเป็นนิทานมุขปาฐะเล่าสืบต่อกันมาจากปากสู่ปากเพื่อเป็นคติสอนใจในยามทุกข์ร้อนจงตรองดูเถิด”

พจน์ยกมือปฏิเสธเพราะบัดนี้ความคิดสับสนเหลือจะกล่าว ห่วงแสนห่วงครอบครัวที่ถูกละทิ้งไว้ในเงื้อมมือของปีศาจ อีกทั้งพะวงมหาภัยที่กำลังจะเกิดเหนือมหาพิภพหากคุณปู่ประกาศเตือนภัยสำเร็จ เขาต้องรีบบอกมาตะ พยายามเหลียวหาคนที่ตนผูกรักไว้ ณ ลานระเบียงคดชั้นนอกปราศจากสิ่งมีชีวิตอื่นใด

“ท่านเห็นกลุ่มคนที่ผมมาด้วยหรือเปล่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน”

ดูเหมือนนักบวชพราหมณ์จะไม่ได้ยินคำถาม เพราะคำตอบกลับเป็นบทกลอนนิทานโบราณ เพียงขึ้นต้นก็ให้รู้สึกขนลุกกราว

“มาจะกล่าวบทไป
ถึงยักษ์สหัสพักตร์โฉมศรี
เรืองฤทธิ์เลิศล้ำกว่าอสุรี
ทั้งธาตรียอพักตร์งามวิไล
ทั้งองอาจสมชาติรัตน์บุรุษ
ยักษีนุชนารถพร้อมล้อมไสว
สมัครรักทั้งยักษาทั้งขุนไกร
ติดตรึงในดวงตาพาเฝ้ามอง
ครั้นสดับยินข่าวคราวมนุษย์
บริสุทธิ์งามพรรณวรรณะสอง
บวชเป็นพราหมณ์ถือศีลตามครรลอง
ประพฤติครองชายป่าพนาวรรณ
นามจันทีสิบเจ็ดปีวัยกำดัด
เก่งกล้าสารพัดพระเวทฉันท์
บำเพ็ญญาณสะคราญโฉมรุกโรมรัน
มีน้ำใจผูกพันเอื้ออารี
จึ่งเป็นที่หมายปองของบุรุษ
ประสงค์ฉุดครองใจพ่อโฉมศรี
ทั้งพ่อค้ากษัตราวาสุกรี
ต่างหยิบยื่นไมตรีทุกวี่วัน
หากหทัยจันทีมีมอบให้
พราหมณ์หนุ่มใหญ่ชื่อกบิลขรรค์
คู่ฝึกซ้อมคู่ร่ำเรียนเขียนอ่านวรรณ
ก่อสัมพันธ์คล้องใจเป็นหนึ่งเดียว
สรรพสำเนียงเลื่องลือสื่อถึงยักษ์
สหัสพักตร์คู่แข่งลักลอบเหลียว
เฝ้าติดตามโฉมพราหมณ์จันทีเพรียว
เพ่งพินิจขบเขี้ยวอิจฉาวง
พักตร์เจ้าพราหมณ์งามเลิศเพริศยิ่งกว่า
มิอาจทนใครมาเทียบผุยผง
ระคายตาขัดข้องต้องล้างลง
ตนดำรงเป็นเอกในโลกา
คิดอุบายหมายช่องให้พราหมณ์เฒ่า
ผู้เป็นเจ้าอาจารย์มนุษา
ขจรข่าวพบศรฝังมุกดา
พร้อมฤทธาเกริกไกรทั้งไตรภพ
เจ้าครูพราหมณ์หมายใจให้ศิษย์รัก
คือกบิลพรหมฟูมฟักได้ครองสบ
โอกาสมีคีรีเขาจักรนพ
จงท่องไปบรรจบนำกลับมา
กบิลพราหมณ์น้อมรับคำเจ้าครู
ก็ชวนชู้ยอดรักจันทีสง่า
ออกเดินป่าเที่ยวท่องไพรพนา
จวบถึงเขาจักรานพคีรี
สหัสพักตร์กระหยิ่มยิ้มประดุจ
มฤคีเดินรุดเฝ้ายักษี
เผ่นผาดโผนโจนขวางด้วยฤทธี
เงื้อง่ากระบองตีดินสะเทือน
มึงนี้หลงเล่ห์กลผลอุบาย
จะวอดวายแดดิ้นสิ้นชาติเหมือน
สมันโง่เลาะลัดมิแชเชือน
กูจะเฉือนเจ้างามพักตร์ดับดิ้นลง
เพียงกูล่อว่ามีเลิศอาวุธ
มึงก็เร่งเดินผุดด้วยล่มหลง
มากกิเลสตัณหามิหยุดปลง
วันนี้คงเป็นวันตายของพวกมึง
กบิลพราหมณ์จันทีมีกล้าหาญ
ก็ต่อสู้รุกราญผลาญยักษ์ถึง
สามทิวาราตรีมิอาจดึง
ให้ยักษาม้วยซึ่งถึงความตาย
ต่างกอดพร่ำรำพันอาลัยรัก
ฝากสมัครเรานี้เสียรู้หาย
นะแห่งนี้คือที่เราวอดวาย   
สหัสพักตร์ฟาดหมายทลายลง”

ราวกับบทกลอนนิทานถ่ายทอดเป็นเรื่องราวผ่านผนังระเบียงคดสลักเป็นจิตรกรรมเคลื่อนไหวพาดผ่านเป็นแนวไล่เลียงจากต้นจนจบ พจน์แทบรู้สึกถึงยักษ์สหัสพักตร์ยืนเยื้องอยู่เบื้องหน้า แต่ก็กลับกลายเป็นหมอกควันพร่าเลือนลบ นิทานบทนี้ช่วยระงับสติร้อนรนให้หยุดลงทันที

“ทำไมท่านถึงเล่านิทานเรื่องนี้ให้ผมฟัง” นิ่งรอคำตอบจากพราหมณ์เฒ่า “พวกพ่อค้าที่ผมมาด้วยอยู่ที่ไหน”

“อย่าได้ร้อนรน จงอดทนฟังอาตมันสักชั่วครู่ ก็บัดนี้นิทานโบราณอันอาตมันเล่าถึงเป็นหัวข้อสนทนาระหว่างเรา จักชักเอาสิ่งก่อกวนให้ใจท่านเป็นทุกข์เพิ่มนั้นมิควรก่อน หะนี้จงตรองแลวานตอบมาสักคำหนึ่งเถิดว่ากลอนนิทานบุราณสอนสั่งด้วยแง่คิดใด”

ความเงียบเชียบอย่างเป็นไปไม่ได้ปกคลุมทั่วเทวาลัยร้าง ในเมื่อที่แห่งนี้มีพราหมณ์ถึงเก้าคนบำเพ็ญเพียรอยู่ อย่างน้อยต้องได้ยินสรรพเสียงสวดบริกรรมคาถาอย่างหนึ่งอย่างใด หรืออย่างน้อยก็น่าจะได้ยินคำสนทนาเจรจาของมาตะ กฤษณะ แลพระมหาอุปราช แต่ไม่มีเสียงดั่งว่า เป็นความเงียบผิดปกติอย่างที่สุด พลันความรู้สึกเป็นห่วงมาตะก็ผุดขึ้นรุนแรงมากกว่าหนแรก กำลังผละหนีเข้าเขตเทวาลัยชั้นกลางก็ถูกเสียงร้องของพราหมณ์เฒ่าฉุดรั้งไว้

“นิทานเรื่องนี้สอนสืบทอดต่อกันมาว่า จงอย่าหลงเชื่อในคำเล่าลือ แลจงอย่าไว้ใจคนผู้ส่งพวกเจ้ามาที่แห่งนี้เด็ดขาด”
 
ชะงักหยุดคิด หรือว่าคำลือที่แพร่งพรายไปทั่วว่า เทวาลัยร้างเป็นสถานฝังพระศพของพระเจ้าอนันตราช กษัตริย์คนธรรพ์ผู้ครอบครองพัชรพีนิลกาฬจะเป็นความเท็จ แล้วนักบวชโกสินธพส่งพวกมาตะมาสืบข่าวโดยอ้างว่า พบเห็นภัยมืดก่อตัวเหนือเทวาลัยร้างให้ลักลอบสืบดูความเป็นไปของพราหมณ์ทั้งเก้าว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอำนาจมืดหรือเปล่านั้น เป็นคำล่อหลอกอย่างนั้นหรือ ไม่ ต้องไม่ใช่

“ท่านโกหก” พจน์หันกลับตะโกนใส่หน้าพราหมณ์ชรา ไม่สนใจแสดงความเคารพบูชาผู้มากวัยแลคุณวุฒิกว่า ในเมื่ออีกฝ่ายสำแดงท่าทีเป็นคำลวง

“ตั้งแต่ถือกำเนิดเกิดมาสักคำโกหกหนึ่ง อาตมันมิเคยกล่าวหลุดออกจากปากเป็นราคีอัปมงคล ความจริงใดเกิดจากอาตมันแล้วคือสิ่งยุติสิ้นสุดแลจริงแท้ยิ่งกว่าน้ำใจมนุษย์ พวกท่านเดินมาสู่ที่แห่งนี้โดยแผนการของคนผู้หนึ่งประสงค์ให้สืบค้นหามหามณีพัชรพีนิลกาฬมิผิดจากคะเน” ท่วงท่าน่าเคารพของโกสินธพมหาราชครูจะหลอกใช้พวกตนมาลอบกระทำสิ่งอันพราหมณ์ผู้นี้กล่าวไม่เห็นเป็นความจริงไปได้

“แลจักมีคนหนึ่งคนใดในหมู่ท่านเป็นพ่อค้าวาณิชสุจริตก็หาไม่ ข้ออ้างประสงค์ไม้จันทน์หอมรึก็เป็นคำมุสาช่างเกริ่นกล่าวไม่ละอายปาก เจตนาแท้จริงนอกจากถูกหลอกให้มาสืบค้นหาไพลินนิลสีแล้วยังเสี้ยมสอนให้กระทำการลักลอบดูกิริยาของเหล่าอาตมันทั้งเก้า ฤา มิใช่”

“ไม่ใช่” พจน์โต้กลับทันที ข้อแรกนั้นตนปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ประการหลังจำต้องยอมโกหกเพื่อไม่ให้งานสืบราชการลับถูกจับได้

“เอาเถิด นิทานเรื่องนี้อย่างน้อยก็มีคุณทำให้ท่านตระหนักซึ่งความจริงที่ว่า ไม่มีใครที่เราจะไว้ใจได้แม้แต่คนผู้ที่เรานับถือเชื่อใจอย่างที่สุดก็ตาม นั่นย่อมหมายถึงบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าท่านนี้ด้วยผู้หนึ่ง” ในชั้นแรกดูเหมือนคำพูดนั้นกำกวมไม่ชัดแจ้ง ครั้นทบทวนรูปความซ้ำก็พลันระแวงเอะใจ ก้าวถอยห่างจากหัวหน้านักบวช

“ท่านเป็นใคร”

พราหมณ์เฒ่าชราผู้เคยก้าวเดินหลังค่อม จู่ๆก็ยืดตัวตรงสูง คิ้วขาวยกฉงนสนเท่ห์ในถ้อยคำถามเหลือประมาณ ก่อนจะหัวเราะดังลั่นประหนึ่งมีความสุขสุดจะกล่าว

“อาตมันหรือคือใคร มานพน้อยเอย ปุจฉานี้สมควรเป็นคำแรกสุดที่จักถามตัวท่านเอง แต่ครั้นโยนมาถามอาตมันเฉกนี้ก็จักขอวิสัชนาสำแดงร่างแท้จริงให้ปรากฏแทนคำพูด” พอกล่าวสิ้น ควันดำมากประมาณก็พัดล้อมพราหมณ์ชุดขาวรวดเร็ว และเมื่อควันนั้นสลายสิ้นก็ทิ้งพราหมณ์แก่คนเดิมไว้แต่นุ่งห่มชุดดำ ใบหน้าใจดีกลับซีดเผือดดูดุร้าย  ม่านตาขาวเต็มเบ้าลึก ประพิมพ์ประพายคล้ายกับ...

“ผู้เฒ่าวลาหก!”

“ชายผู้นั้นพ้นวิบากกรรมล่วงแล้ว คราวปะทะพระเวทมนตราพ่ายอาตมันเมื่อเนิ่นนาน” เพียงกะพริบดวงตาขาวก็ถูกแทนด้วยสีชาดดุจเพลิงกาฬ “อาตมันจำแลงเป็นเฒ่าตาบอดสืบต่อมา อาศัยสรรพวิชาแสร้งรักษาเยียวยาคนมานับแต่นั้นหนึ่ง แลลอบสังเกตความเป็นไปของบ้านเมืองเผ่ามนุษย์อีกหนึ่ง แต่มิคิดว่าสิ่งปลุกเสกสร้างเสริมชื่อเสียงตน คือ เหรียญเภตราวลาหกจักฉกนำมหาบุรุษมาสู่โดยง่ายดายเยี่ยงนี้ จากนั้นเจ้าคงตรองด้วยสติปัญญาตนเองได้ว่า คำเฒ่าวลาหกกล่าวล้วนเป็นสิ่งลวงซ่อนความจริงพ่วงแผนการร้ายโดยสิ้น คือ กลอุบายแยบยลจนทำให้เจ้าตกมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ นามอันผู้คนเรียกขานอาตมัน คือ ทศมาร

หลุมพราง เสียแรงที่ไว้ใจ เสียรู้โดยไม่ทันตะขิดตะขวงแม้แต่น้อย ในชั่วเสี้ยววินาทีอันตรายรุกล้ำพจน์นึกถึงคนเพียงคนเดียว

“มาตะ” ร้องเรียกสุดเสียงอันดัง ทศมารพราหมณ์ก็ร้องคำสวดเป็นผลให้เถาวัลย์ไม้ผุดจากรอยแยกของศิลาเลื้อยเกี่ยวรัดข้อเท้าพจน์ตรึงแน่น

“อย่าอึ้งไปให้เสียแรง หามีผู้ใดจักยินศัพท์แสง ด้วยฤทธิ์ตำรับยาพลิกแพลงถูกโรยไว้ในภาชนะบรรจุน้ำแลส้มสูกลูกไม้สะกดสติให้ดื่มด่ำในห้วงนิมิตยากจักฟื้นตื่นโดยง่าย แลบัดนี้จงคลายความโดยพลัน เจ้าได้พัชรพีนิลกาฬมาครอบครองแล้วใช่ ฤา ไม่”

ฮึดฮัดสะบัดขา คลำหาหอกซัดเหน็บชายพกเป็นเดือดเป็นแค้น “แกวางแผนอะไรกันแน่ ถ้าต้องการแค่ฆ่า ทำไมถึงหลอกล่อมาไกลขนาดนี้”

พราหมณ์ปีศาจหวัวขำขันย่างเยื้องเข้าหา กระแทกปลายไม้เท้าใส่อาวุธพระราชทานล่วงหล่นจากขอบเอวของผู้ถูกพันธนาการ “อวดดีนัก ชะตาถึงฆาตแล้วยังมิสำนึก เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ต้องมาพลอยอายุสั้นเพราะโง่เขลาเบาปัญญา ไยคำลือแลตำนานโคลงพยากรณ์แต่บุราณจึ่งสรรเสริญว่า มหาบุรุษผู้ครอบครองสิ่งล้ำค่าสูงสุดจักทรงพละกำลังที่หามีผู้ใดในพิภพเปรียบได้ไม่ ทั้งเชี่ยวชาญสรรพกำลังอาวุธ ทั้งเลิศล้ำปัญญาหลักแหลมฉลาดฮึกหาญจนเป็นที่ครั่นคร้ามเกรงกลัว แต่เจ้าหามีสิ่งเหล่านั้นอยู่ในตัวแม้แต่น้อย เป็นเพียงมนุษย์ต่ำต้อยด้อยค่าไม่ประสีประสาเสียราคา ถูกตรึงตราดุจนกน้อยพึ่งหย่านมแม่เริ่มฝึกหัดบินผลัดติดกับดักนายพรานกระนั้น ก่อนจักบดขยี้เจ้าปักษาให้แหลกลาญคามือ ขอสนองคุณตอบแทนในความกล้าแลไหวพริบหาใช่ชั่วซึ่งผุดขึ้นมาจนกลั่นเป็นคำถามอันเจ้าซักว่า เหตุใดหมู่อาตมันจึ่งร่วมชุมนุมไกล ณ ที่แห่งนี้ นอกจากวางกลสังหารมหาบุรุษในตำนานโดยสะดวกแล้วหนึ่ง แผนเดิมคือพัดกระจายข่าวว่า เทวาลัยร้างเป็นสุสานฝังพระศพของพระเจ้าอนันตราช หวังให้ไอ้โกสินธพพราหมณ์ละโมบติดบ่วงกับดักส่งมือผู้ที่จักชักนำพัชรพีนิลกาฬออกมาให้พวกข้า คือชายคนรักของเจ้า โดยมิพักต้องเปลืองแรงสอง หมู่คณะข้ายังร่ายพระเวทมนตร์ดำอยู่นาน  ๓๐ ทิวาราตรี เพื่อปลุกเสกให้อารามปราสาทนี้เชื่อมต่อเทวาลัยหลวงกึ่งกลางมหานครปีศาจสาม แลจากนั้น...”

“แกกำลังเปิดประตูมิติเพื่อเคลื่อนพลกองทัพ”

“ถูกต้องทุกประการ แลบัดนี้ประตูกาลเวลาจักพร้อมสรรพในอีกชั่วเคี้ยวหมากแหลกนี้แล ฮ่าๆ” ทศมารปีศาจกรีดร้องเปรมปรีดา “ดั่งนั้นมหาอาณาจักรมนุษย์จักมิล่วงรู้แลเตรียมการได้ทัน กว่าพวกมันจักมองเห็นภัย มัจจุราชความตายก็ผุดขึ้นหว่างหน้าพวกมันแล้ว ประตูด่านสุวรรณคีรีมีทหารเพียงหยิบมือไหนเลยจักต้านทานกองกำลังปีศาจที่พร้อมเคลื่อนรี้พลยาตราทัพเรือนหมื่นแสนได้”

หลุมพรางเล่ห์กลแยบคายลึกลับซับซ้อนถูกเปิดเผยโดยหัวหน้าพราหมณ์ปีศาจเสียสิ้น มันยิ้มอย่างมีชัย ทั้งหลวมตัว ทั้งพลาดพลั้ง มหาราชภัยครั้งใหญ่หลวงกำลังจะถล่มบ้านเมืองของมาตะป่นปี้โดยแค่พจน์ทำได้แต่ยืนฟังแน่นิ่งเท่านั้น

ฉับพลันเสียงหัวเราะแหลมต่ำก็ร้องขึ้นถัดมาจากเบื้องหลังทศมารพราหมณ์ ปรากฏเป็นเงาหนึ่ง ผิวเนื้ออันควรขาวหรือน้ำตาลกลับดำมะเมี่ยม นุ่งผ้าสีดำ คาดทรวงอกด้วยผ้าสีเดียวกับผิว ดวงตาขาวมีจุดดำตรงกลาง มวยผมทรงสูงครอบรัดเกล้าสีนิล มันโยกคอไปมาเพื่อมองพจน์ให้ถนัด ทั้งท่าทีก้าวย่างซ้ายขวาดูผิดธรรมดาคนปกติ ทันทีเมื่อเสียงคำพูดดังกระทบโสตประสาทพจน์ เด็กหนุ่มก็พลันนึกออก

แกทำให้พระแม่จ้าวววววว จำต้องหลั่งพระอัสสุชล

“นารีพิฆาต” หลุดคำหนึ่งจากห้วงความจำ

ใช่ เป็นข้า ผู้ที่เจ้าทำร้ายจนเกือบสิ้นวิญญาณ์ อำนาจอันเจ้าครอบครองทำหัวใจและดวงวิญญาณข้าแทบแหลกสลาย

มันแสร้งสะอึกสะอื้นก้าวตรงมาหาพจน์ด้วยกิริยาหุ่นกระบอกถูกเชิด ดุจมีเชือกล่องหนชักโยงให้มันเคลื่อนไหวได้ผิดต่างคนธรรมดาเยื้องย่าง

เด็กหนุ่มพยายามสลัดข้อเท้าจากการถูกเถาวัลย์รัดแน่น เงาร่างดำเกือบจะถึงจุดที่พจน์ถูกพันธนาการไว้ในอีกไม่ช้า จนในที่สุดใบหน้ามืดทมิฬพร้อมดวงตาอาฆาตจึงเงยสบจากเบื้องล่าง มันเอียงคอกลับกลอกยิ้มพึงใจสุดหฤหรรษ์

สมน้ำหน้า วันนี้จักเป็นวันตายของเจ้า มหาบุรุษ ชายเอยชายหยั่งรู้  แก้วนพ เจ้าเอย ชายหนึ่งในพิภพดั่งข้าม ฮ่าๆ

ความน่าสะพรึงประกอบเป็นภูติผีสตรีนารีพิฆาตตนนี้ ซึ่งสำแดงความอำมหิตผ่านถ้อยคำและแววตาอย่างได้ผล
 
“มหาบุรุษเป็นสมบัติของศิษย์ข้า องค์จอมมาร เจ้าอย่าได้ริอ่านแตะต้องเป็นเด็ดขาด” พราหมณ์ชุดดำประกาศกร้าว นารีพิฆาตแลบลิ้นดำยาวจนถึงปลายคาง ประหนึ่งกระหายบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในตัวพจน์ มันตวัดหน้าเหลียวมองทศมารพราหมณ์

ข้าต้องเอาคืนในสิ่งที่มันทำกับข้า ข้าทรมานนัก รวดร้าวราวกับจะแตกดับ

“ไม่ จนกว่าจอมมารจักสังหารมันผู้นี้ แหละหลังจากนั้นร่างของมันเจ้าจักนำไปทำอย่างใดก็แล้วแต่จะพึงใจ”

เช่นนั้นโปรดกราบทูลพระองค์เสด็จมาที่นี่ บัดเดี๋ยวนี้ ทูลว่า มหาบุรุษ ยืนรอพระองค์ราวกับลูกนกในกรงทองรอพญาอินทรีย์มาฉกสังหาร

มันกรีดร้องเสียงสะท้อนไปทั่ว

         “เสียงกรีดเสียงร่ำร้อง   ห้วงใจ เจ้าเอย
      เสียงคร่ำครวญบาดใน      ดั่งสิ้น
      เสียงความตายนำภัย      มาที่ ทมิฬ
      เสียงใคร่อยากดับดิ้น      สู่ข้า _ _”   


ระหว่างพราหมณ์ทมิฬบริกรรมอันเชิญจอมปีศาจ เสียงหวดคล้ายแส้ฟาดผ่านอากาศ ผุดผาดเป็นอาวุธทวนปลายแหลมเงิน พุ่งเหินตรงดิ่งเข้าหาพราหมณ์ปีศาจ ทศมารระงับโคลงสองคำท้าย วาดมือร่ายพลังมนตรา ผลักศาสตราสะท้อนหวน ทแยงทิศทางทวนหมายทำลายมาตะ
 
“หลบไปมาตะ”

ปลายทวนพุ่งแล่นปักลงเหนือช่วงพระนาภีของพระมหาอุปราชาสุริยะราวกับจับวาง สีพระพักตร์เจ็บสาหัสไม่คาดคิดผุดชั่วแล่น มาตะถูกผลักเซล้มอยู่ ครั้นอุปราชหนุ่มทรงก้มลงทอดพระเนตรเห็นพระแสงทวนประจำพระองค์ปักแน่น พระโลหิตทะลักเปรอะเปื้อนพระหัตถ์แดงฉานจนทรุดพระชานุลง ดวงพระเนตรดำขลับขยับมองภัทรพจน์ พระโอษฐ์ชโลมด้วยพระโลหิตตรัสกระซิบเป็นถ้อยความว่า

สุริยะพจน์...ข้า...เสียใจ...ขอโทษ”

ก่อนจะทรงล้มพระวรกายลงแนบพื้นศิลาในทันที


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
________________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

 :mew4: เป็นตอนที่เขียนยากที่สุดอีกตอนหนึ่ง กว่าจะทำใจลงมือเขียนได้ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต้องเกิดอะไรขึ้น แต่พอต้องเขียนจริงๆก็อดจะน้ำตาซึมไม่ได้ ส่วนอีกครึ่งนั้นกำลังปั่นอยู่ ไม่อยากเขียนเลยจริงๆ ทำใจไม่ได้ เม้นให้กำลังใจผู้แต่งด้วยนะครับ :mew6:

:katai1: :katai1: โอ๊ย ทำไม กัน เป็นแบบนี้ แล้วมาตะล่ะ  โอ๊ยยยย ครอบครัวพจน์จะเป็นอะไรหรือเปล่า มาต่อเร็วๆนะๆ
กัน เป็นตัวละครที่ลึกลับซับซ้อนอีกคนหนึ่ง ตอนนี้เรารู้แล้วว่า เขามีอีกชื่อว่า สินะ ปราชญ์พยากรณ์ผู้รับใช้ปีศาจ  แต่ทำไมถึงมาช่วยพจน์ในหลายๆครั้ง แผนการ? หรือสิ่งใด และฉากสุดท้ายของบทที่แล้วคือ การทรยศความเชื่อใจของพจน์หรือไม่ รอพบกับฉากเฉลยความในใจของคนๆนี้ได้อีกในไม่ช้า รอติดตามนะครับ

บางทีมันก็ซับซ้อนเกินไปนะบางครั้ง รอต่อไปละกันครับ
ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณ หรืออาจะมีอีกหลายๆคนรู้สึกแบบนั้น หากจะมองว่าความซับซ้อนของเรื่องราวนิยายใดในเรื่องหนึ่งเป็นดาบสองคมก็คงไม่ผิด คือ ด้านหนึ่งเป็นการชวนให้ติดตาม คาดคะเน คาดเดา จับผิด ตั้งความหวังไว้ แต่อีกด้านก็อาจส่งผลอย่างที่คุณรู้สึกคือ ซับซ้อนจนเกินไปจนอาจลดทอนความสนุกและเรื่องราวหลัก ทำให้การอ่านไม่สามารถโฟกัสไปที่จุดใดจุดหนึ่งได้เต็มที่ คือ จากกำลังจะเฉลยตอนนี้ ก็ผุดปริศนาใหม่ขึ้นมาอีก ฮ่าๆ ซึ่งนิยายเรื่องนี้ก็มีปมไม่ใช่น้อยๆ จนทำให้เป็นที่ขัดใจของผู้อ่านหลายๆท่าน กำลังฟินๆก็ต้องมาถูกตัดอารมณ์ทันควัน เอาเป็นว่า ต้องยอมรับในความคิดเห็นนี้ไว้เป็นข้อมูล ปรับปรุงในโอกาสต่อไป ปัญหาค้างคาใจใดๆกำลังทยอยเฉลยแล้วในช่วงครึ่งหลังนี้ สัญญาว่าจะตามเก็บให้หมดนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:42:45 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ iNcamisang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ pui_noizๆ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขอบคุณฮะ  มีที่สงสัยและอื่นๆ ตามที่บอกไว้ด้านล่างนะฮะ ของบทใหม่ยังไม่ได้อ่าน อย่างไรอาจมีคำถามตามมาอีกนะฮะ หวังว่าจะไม่เบื่อหรือเกลียดกันซะก่อน  :hao4:

บทที่ ๓๔  มัจจุราชยาตรา

...สภาพแต่ละคนมีผ้าพันแผลรอบศีรษะ บ้างแขน บ้างหัวเข่า ... จะเข้าใจว่าทุกคนล้วนมีผ้าพันแผลรอบศรีษะ-- แต่ถ้าเป็น ..สภาพแต่ละคนมีผ้าพันแผล บ้างรอบศรีษะ บ้างแขน บ้าง... -ก็จะข้าใจว่า มีผ้าพันแผลกันทุกคนแต่เป็นที่หัวบ้าง แขนบ้าง หัวเข่าบ้าง...

...ปาล์มเบือด**แทรกเจ้าพวกนั้นคว้าจับมือพจน์...

...ส่วนไอ้น้ำก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งไม่รู้ว่าซึ้งใจในมิตรภาพหรือหายใจไม่ออกกันแน่... - ไม่แน่ใจนะฮะว่า ถ้าหายใจไม่ออกแล้วจะร้องไห้ไปด้วย ดูเป็นคู่ที่ไม่ค่อยคุ้นชิน แต่ก็จะพยายามเข้าใจนะฮะ


...วัดไชยวัฒนาราม จำได้ว่าท่านเคยกล่าวถึงเพราะเป็นสถานที่นัดหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เขา??รีบขยับเข้าหาดาว... - เขา = ใคร?

...นักท่องเที่ยวเดินชมสถาปัตยกรรมของช่างศิลป์ในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททองกระจัดกระจาย...- กระจัดกระจาย นี่ใช้ขยายส่วนไหนน่ะฮะ? มันมาอย่างงงๆ 

...ท้องฟ้าช่วงบ่ายคล้อย??ห้าโมงเย็นเริ่มเปิด... - ไม่แน่ใจว่า ห้าโมงเย็นนี่ยังจะนิยมเรียกกันว่าเป็นบ่ายคล้อยหรือเปล่านะฮะ?

...“อย่าลืมนะดาว คอยใกล้ชิดกับคุณชาญณรงค์ไว้” เด็กสาวขยิบตาเบียดแทรกเข้าหาผู้ช่วยหนุ่มของคุณปู่ทันที...- ใครเป็นคนพูดบอกดาวน่ะฮะ?

...ภายในมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยแหงนหน้ามองปรางค์ประธานด้วยดวงตาหยี่**เล็ก... 


...จงปฏิบัติตามหน้าที่อันวงศ์ตระกูลนี้ได้รับมอบหมายมาแต่ดั้งเดิม จงเลือกหนทางที่ถูกควร และ**...เด็กนั่นช่วยเจ้าได้”...



...เพื่อให้คุณพ่อได้มายืนอยู่ตรงนี้ กับคำตอบที่ต้องการหา คุ้มค่าหรือยังกับการท้อถอย??
.. - ยังงงๆ ว่า ท้อถอยกับอะไร?

...“ตั้งแต่เกิดมาพี่เคยทำร้ายผมหรือเปล่า ไม่?? ตั้งแต่อายุสิบห้าผมได้รับความรักจากคุณแม่หรือเปล่า ไม่... - ยังงงว่า เค้าจะยกเรื่องการทำร้ายร่างกายมาพูดเพื่ออะไร? เพราะดูไม่ค่อยเข้ากับเนื้อความทั้งหมดที่เหลือ ที่เค้าบอกว่าไม่ได้อะไรต่างๆ โน่น นี่ นั่น

...สหภูบาลหลับ (ตา)??ลงชั่วขณะ งึมงำมนตราคาถาพร้อมกับกางแขนทั้งสองข้าง ร่างกายระดับสูงสองเมตร... - ควรมี ตา มั้ยฮะ ไม่งั้นคือนางงีบหลับเลย หรือจะเป็นอย่างนั้น 555+

...ไหล่กว้างสมชาย ผิวขาวซีดดุจไม่มีเลือดไหล่**เวียน...

...ใบหน้าเหลียว???แหลมซูบตอบ ริมฝีปากดำเช่นภูษาคล้องกาย... - น่าจะเป็น เรียว มั้ยฮะ หรือยังไง?

“ไอ้กัน” ถ้อยคำไร้เรี่ยวแรงเผลอหลุดจากปากพจน์แฝงสัญชาตญาณแห่งความผิดหวัง!!!...
...ใช่แล้ว พจน์ส่งยิ้ม!!!ให้ไอ้กันอย่างไม่เคยดีใจ!!!เท่านี้มาก่อน... -  แรกเห็นรู้สึกผิดหวัง -> ผิดหวังเพราะอะไร?  ไม่ควรเป็นกัน แล้วอยากให้เป็นใคร? หรือ ไม่ควรจะมีใครมาเพิ่มในตอนนี้ หรือ คิดว่ากันไม่ควรจะโผล่มาให้พจน์เห็นหน้าอีก >> แล้วในชั่วระยะยังมิทันเคี้ยวหมากแหลกก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทำให้รู้สึกดีฉับพลันและยิ้มร่าให้เค้า -> ลักษณาการคล้ายไบโพลาร์ นะฮะ 555+ ..ล้อเล่นนะฮะ แต่ก็พยายามจะเข้าใจแล้วกัน

...เมฆหมอกสีขาวเข้าปกคลุมรอบกายพจน์รวดเร็วทันควันบัด**บังทุกคนที่พจน์รักออกจากข้างกาย...

...“จงอย่าได้ขัดขืนให้กาลเพลาล่วงผ่านไปโดยเปล่าดาย ความเสียสละกายนี้จักมิคุ้มค่าแม้เพียงนิด ส่งตัวมันผู้นั้นมา”... - อย่าได้ขัดขืนไปเลยเพราะจะทำให้เสียเวลาแล้วเดี๋ยวความเสียสละในครั้งนี้จะไม่เป็นผล คือยิ่งช้าจะยิ่งไม่คุ้ม -> ประมาณนี้มั้ยฮะ? พอมันไม่มีคำเชื่อมของทั้ง 2 ประโยคเลยงงๆ ไม่แน่ใจในความหมาย

...หรือว่าไอ้กันจะจำพจน์^^ไม่ได้ เขา^^ต้องเบียดแทรกไปให้มันเห็นชัดๆว่าพจน์^^อยู่ตรงนี้... - คหสต นะฮะ ... หรือว่าไอ้กันจะจำเขาไม่ได้ พจน์ต้องเบียดแทรกไปให้มันเห็นชัดๆว่าเขาอยู่ตรงนี้...

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]



ดวงตากร้าวของมาตะในห้วงเพลานั้นเต็มเปี่ยมด้วยโทสะ กล้าหาญ แลโศกเศร้าอยู่ในที หลังยอบตัวเรียกพระสติของอุปราชผู้เชษฐาด้วยน้ำเสียงห้าว แต่พระอุปราชาไม่มีคำตอบกลับ ดวงตาเข้มก็เกร็งขมึง ตวัดเกรี้ยวกราดหมายพราหมณ์ปีศาจด้วยเพลิงแค้น
 
“มาตะ” พจน์ร้องเรียก เจ้าหนุ่มหันตามคำคนรักตัว
 
“น้องท่าน”อ่อนโยนลงทันควัน กำดาบทองประจำกายแน่น ผุดยืนท่าทีองอาจสมฐานะพระราชบุตรบุญธรรม ปัญจะกับจาโคถลันออกหน้าคอยคุมเชิงระวังภัย ส่วนคาวิน วรุณหยุดห้ามพระโลหิตแลยื้อพระชนม์ชีพของพระมหาอุปราชอยู่โดยมีเวฬุคอยกำกับด้วยสีหน้าซีดเซียว ปากสั่น มือไม้สั่น นำสมุนไพรที่พกอยู่ในย่ามสะพายเข้าห้ามเลือดพัลวัน
 
เหตุการณ์พระอุปราชาต้องคมทวนเหนือคาดคิด ไม่นึกว่าจะทรงนำอาวุธเข้าระงับยับยั้งคำร่ายโคลง ก่อนทศมารจักชักนำจอมปีศาจมาถึง ความขัดข้องหมองใจต่อกันมลายหายสิ้น บัดนี้เหลือแต่ความผิดกัดกินใจตน พจน์คือต้นเหตุที่ทำให้พระองค์ต้องคมทวน ซ้ำยังไม่อาจช่วยเหลือใครได้แม้แต่น้อย กลายเป็นภาระสำหรับคณะเดินทางสมคำปรามาสของพระมหาอุปราชโดยแท้

ฝ่ามือดำของนารีพิฆาตตวัดรอบคอพจน์ รัดแน่นด้วยนิ้วทั้งห้า อีกมือหนึ่งก็รวบแขนทั้งสองไว้ด้วยอำนาจประจำกาย ฉับพลันมันก็รีบปล่อย กรีดร้องโหยหวนเจ็บปวดเหลือคณา ปีศาจทศมารเหาะเหินเดินอากาศประชิดตัวพจน์ ผลักผีร้ายล้มลงดิ้นรนทรมาน เจ้าพราหมณ์ร่ายอาคมซ้ำอีก เถาวัลย์ลึกลับเลื้อยพันจากข้อเท้าสู่มือทั้งสองตรึงแน่น
 
“เจ้าพวกปีศาจชั่วช้า วันนี้ข้าขอใช้ฝีมืออันฝึกปรือจนเชี่ยวชาญต่อกรกับเจ้าให้รู้ดีรู้ชั่ว” กฤษณะไม่อาจฝืนทนเห็นพจน์ถูกกระทำได้ก็โผนโจนเข้าสกัด ตวัดปลายทวนหมายหัวใจของศัตรู แต่ผู้มีอาคมมืดทรงพลังมิยิ่งหย่อนเสกลูกไฟป้องปัดคมอาวุธ

“มนุษย์ธรรมดาเช่นนี้ ฤา จักมีอำนาจต่อกรกับความมืด” พราหมณ์สีกาฬเยาะเย้ย

ฝ่ายมาตะเห็นกฤษณะเปิดฉากโจมตีไม่ทันคิดหน้าคิดหลังก็ร่วมประจัญบานด้วย พราหมณ์ทศมารเสกลูกไฟมอดไหม้สะกัดต้านทานคมดาบรับมืออาวุธทั้งสองชุลมุน กฤษณะเต้นวนหมายแผลสำคัญให้ศัตรูดับดิ้นตามยุทธวิธี แต่การเคลื่อนไหวของไม้เท้าเสริมพลังมนตรามืดกลับว่องไวแคล่วคล่องต่างจากวัยชรา โกสินทร์เห็นเพื่อนตัวทั้งสองต้านรับไว้ด้านหนึ่งจึ่งรีบพุ่งหมายตัดเถาวัลย์กุมตัวภัทรพจน์ นารีพิฆาตคลายเจ็บจู่กระโจนเข้าใส่ราวกับราชสีห์ กระแทกโกสินทร์ล้มลงแนบพื้นศิลา ทหารองครักษ์เห็นแม่ทัพนายกองเข้าตะลุมบอนเป็นสัญญาณเช่นนั้นก็บุกตะลุยตาม ปัญจะออกรับพราหมณ์ปีศาจ จาโคเข้าช่วยโกสินทร์ นารีพิฆาตจ้องหมายลำคอโกสินทร์เป็นรางวัลในคราวนี้ กลิ่นคาวเลือดและเนื้อมนุษย์ช่างเย้ายวนเกินหักห้ามใจ จาโคยกฝ่าเท้าถีบใส่ลำตัวผีร้ายจนมันล้มลุกคุกคลานก่อนจะตั้งหลักหันมากระโจนใส่ทหารหนุ่มอีกครั้ง

พจน์พยายามช่วยเหลือตัวเองแต่อำนาจมนตราทมิฬแข็งแกร่งเหลือเกิน

‘หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นจงใช้ความกล้าหาญเข้มแข็ง สติปัญญา และสิ่งที่มันเต้นระรัวอยู่ภายในนี้’

คำพูดของคนที่พจน์เคยไว้ใจดังขึ้นในห้วงความเป็นตายเสมอกัน คำพูดนั้นจะเชื่อถือได้สักเท่าไร แต่เขาไม่มีหนทางเลือกแล้ว ต้องลองทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือมาตะและพระมหาอุปราชาจากอำนาจความตายให้จงได้ ลองหลับตา ลบภาพหน้าสิ่วหน้าขวาน และอาการบาดเจ็บต้องคมทวนออกจากใจ แต่เสียงสู้รบยังคงโหมดังอยู่รายล้อม ยากจะทำสมาธิให้สงบนิ่ง
 
เร่งทูลเสด็จองค์จอมมาร มหาพราหมณ์

นารีพิฆาตกรีดเสียงวอน ท้องฟ้าดำมืดเริ่มมีแรงลม ช่วงเพลาหนึ่งดูเหมือนทศมารเฒ่าจะพลาดพลั้งเสียทีด้วยถูกมาตะ กฤษณะ แลปัญจะรุกรบด้วยกำลังกล้าแข็ง เต็มเปี่ยมด้วยพลังวัยหนุ่ม ซ้ำหนุนเนื่องจากไฟแค้น ถูกจุดโดนอุปราชต้องคมอาวุธเป็นเหตุให้ฮึกเหิมผิดวิสัยยามปกติยิ่งขึ้นไปอีก พลังเวทย์ทมิฬอันครอบครองมิอาจต้านทานความแข็งแกร่งที่รุกล้อมเข้ามาในทันทีไหว ก็ส่งสัญญาณให้สหายทั้งแปดรับรู้
 
เงาดำของเสาระเบียงคดผุดเป็นร่างพราหมณ์ทั้งแปดผู้ร่วมคณะในชุดดำทมิฬผิดต่างจากหนแรก เหมือนหนึ่งอำนาจมืดกลืนกินความเป็นผู้ทรงศีลเสียสิ้น บัดนี้เหลือเพียงทาสรับใช้จอมปีศาจ อุดมด้วยปรารถนาแห่งความตายเป็นแรงขับดัน พร้อมพลังเวทย์เหนือพราหมณ์ธรรมดา ประกอบเป็นสิ่งมีชีวิตเฒ่าชราแต่น่ากลัวเหลือประมาณ นัยน์ตาสีดำทั้งดวงกราดพินิจเหยื่อในลานศิลา ก้าวเดินโอบกระชับเข้าหา
 
เวฬุตรวจชีพจรของพระอุปราชทรงอ่อนแรงลงทุกขณะ ภูมิความรู้ด้านการแพทย์ซึ่งได้ศึกษาเล่าเรียน ขุดนำใช้ยื้อพระชนม์ชีพจนเกือบหมดสิ้นกระบวนความ แต่รอยแผลบริเวณคมทวนเป็นแผลฉกรรจ์แลลึกจนทำให้พระโลหิตหลั่งนองไม่หยุดหย่อน ผิวพระวรกายซีดขาวลงทุกขณะ อีกทั้งบัดนี้ศัตรูเพิ่มจำนวนขับมาทุกทิศไม่เห็นหนทางรอด ดุจการเสด็จทำราชการคราวนี้เป็นหายนะภัยยิ่งกว่าที่ควรจะเป็น ฉับพลันก็นึกถึงเหรียญวิเศษเร่งร้องถามมาตะโดยเร็ว

“มาตะ เจ้าจงมอบเหรียญเภตราวลาหกให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้”

มาตะอยู่ระหว่างรุกพราหมณ์ปีศาจผู้เป็นหัวหน้า ครั้นลอบมองศัตรูว่ามีเพิ่มจำนวนขึ้นหนทางเอาชนะก็ยากยิ่งกว่าเดิม แลได้ยินคำร้องของเพื่อนเกลอบอกเป็นนัยว่า พระเชษฐาอาการทรุดลงแน่แล้ว จึ่งหยิบเหรียญออกชายพกโยนให้เวฬุ เจ้าเวฬุรับมา แต่มิรู้ทำประการใดนอกจากยินเพียงแค่กิตติศัพท์ด้านเป็นเครื่องรางคุ้มภัย อับจนปัญญาก็นำเหรียญนั้นแตะลงบนรอยแผลทวนที่ถูกดึงออกแล้วนั้น กลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งออกจากเหรียญเงินก่อเกิดเป็นรูปอาชาสูงใหญ่ขยับหัวขยับเท้าอยู่ข้างพระองค์ราวกับรอคำสั่ง
 
“ช่วยพวกข้าด้วยเถิด” สิ้นคำเวฬุเจ้าม้าหมอกควันขาวยกกีบเท้าทะยานพุ่งเข้าหาสมุนพราหมณ์ปีศาจทั้งแปดเป็นวงกลม กระแทกใส่จนล้มลุกคุกคลานส่งเสียงเจ็บทรมานดังระงม พร้อมกันนั้นก็ร้อง ฮี้ๆ กึกก้อง ถีบเท้าหลังเหินข้ามแนวระเบียงคดหายลับทันที

ในชั้นแรกเวฬุดีใจประหนึ่งพบหนทางออกในเขาวงกต พออาชาศักดิ์สิทธิ์กระโจนหายลี้ลับอุปมาอับจนหนทางตัน ก้มหยิบเหรียญพบว่าแตกออกเป็นสองเสี่ยงเสียแล้ว ครั้นลองวางลงบนผิวพระวรกายของพระอุปราชดังเดิมก็ไม่ปรากฏพลังอัศจรรย์อันใดอีก ลมหายใจของสุริยะอุปราชรวยรินเช่นเดียวกับสติปัญญาของเวฬุเสมอกัน
 
ฝ่ายโกสินทร์หมายใจจะแก้มัดภัทรพจน์ออกจากเถาวัลย์อาคม แต่นารีพิฆาตไม่ยินยอมให้ประชิดโดยง่าย มันผลุบหายล่อหลอกเหยื่อด้วยเล่ห์กลจนสับสน เจ้าพราหมณ์มารุตหนุ่มนุ่งห่มผ้าขาวเร่งฝีเท้ารีบร้อนลงกลางแปลง สีหน้าพรั่นพรึงมองเหตุการณ์ต่อสู้แล้วตรงดิ่งมาหาพจน์
 
“แก้มัดเราด้วย มารุต ได้โปรด” เจ้ามารุตพยักหน้าพนมมืองึมงำบริกรรมคาถา ฉับพลันเถาวัลย์ลงอาคมก็สิ้นอิทธิฤทธิ์ “ขอบใจนะ มารุต ขอบใจนายมา...”

ยังไม่ทันกล่าวจบเจ้าพราหมณ์หนุ่มน้อยก็ปรากฏดวงตาสีชาดขึ้นแล้วเอื้อมมือบีบกำลำคอพจน์
 
“ข้าครอบงำเจ้าพราหมณ์ผู้นี้ได้” น้ำเสียงของทศมารเปล่งจากปากมารุต

“อึก...” พจน์พยายามแกะมือออก โกสินทร์เหลือบเห็นคนรักสหายเสียทีพยายามเลี่ยงเข้าช่วยแต่นารีพิฆาตก็สกัดกั้นไว้โดยพลัน “อั่ก...มา...รุต นี่เราเอง วายุ”

เพียงได้ยินชื่อเดิมเมื่ออดีตชาติถูกเอ่ยดุจอำนาจครอบงำสิ้นสลาย  แรงบีบของฝ่ามือผ่อนคลายชั่วครู่ก็ออกแรงมากกว่าเดิมซ้ำอีกจนเป็นรอยลึกรอบลำคอขาว อำนาจซึ่งแฝงอยู่ในกายตนเหตุใดถึงไม่บังเกิดเข้าช่วยเหลือในเวลาความเป็นความตายเช่นนี้ ทำไม หรือบุรุษชุดขาวผู้นั้นได้ทอดทิ้งพจน์ไปแล้ว
 
“เสียงกรีดเสียงร่ำร้อง ห้วงใจ เจ้าเอย เสียงคร่ำครวญบาดใน ดั่งสิ้น เสียงความตายนำภัย มาที่ ทมิฬ...”

“อย่ามารุต อะ...อย่าท่องโคลง...อึก...นั่น” ผลักหน้าอกเตือนสติ มนตราทมิฬควบคุมมารุตจนสิ้นจะเรียกกลับ

“วา...ยุ วายุ อั่ก วายุ” พจน์พร่ำเรียกชื่อชาติปางก่อน อำนาจชั่วร้ายถูกถอนออกชั่วคราว เจ้าตัวจ้องมองพจน์อย่างตื่นตะลึง เนื้อตัวสั่น ก้มลงมองมือสั่นเทาของตนเอง

“ทะ ทูลกระหม่อมแก้ว ฝ่าพระบาทวัชรโกมล” มารุตหลุดคำร้องนามอดีตชาติสะอึกสะอื้นไห้ได้เพียงแค่นั้นอำนาจทมิฬก็กลับเข้าสิงซ้ำอีก แต่พจน์หลบมือทั้งสองได้ทันการณ์ ก้มลงหยิบพระแสงทวนของพระมหาอุปราชาขึ้นตั้งท่าระวังภัย
 
“ภัทรพจน์ โปรดยื้อพระชนม์ชีพของพระอุปราชด้วยเถิด อำนาจซึ่งเจ้าครอบครองในฐานะเหนือกว่าคนทั้งแผ่นดิน อำนาจซึ่งชักนำเจ้าข้ามพิภพมายังที่แห่งนี้ จงแบ่งอำนาจนั้นเยียวยาพระองค์ด้วย” เวฬุสิ้นหนทางรักษาก็ร้องขอมหาบุรุษ เจ้าภัทระทรุดตัวลงแตะพระวรกายเย็นชืดแล้วส่ายหน้า มารุตพุ่งเข้าหาพจน์อีก แต่ก็หยุดยื้อไว้ด้วยสติตัวเอง ยกมือจับศีรษะด้วยเจ็บปวดแสนสาหัส น้ำตาไหลหลั่งสลับกับหัวเราะยินดี ต่อมาก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม พร่ำพูดซ้ำว่า “ข้าฝ่าพระบาทจำได้แล้ว” สลับกับ “จงตายซะ” เป็นภาพเวทนาสังเวช

กฤษณะออกอาวุธเต็มกำลังฝีมือไม่ต่างจากมาตะ รุกโหมโรมรันพันตูทศมารอย่างสุดความสามารถ มันพยายามสาดลูกไฟไปเบื้องทิศมหาบุรุษอยู่หลายหน มิอาจสมคะเน มาตะเกรงเจ้าภัทระคู่พิศวาสจักต้องบ่วงนายพรานกระนั้นก็ พยักหน้าเป็นสัญญาณให้กฤษณะนายกองรับมือไว้ก่อน ตนจักละวงต่อสู้เข้าช่วยรับทางด้านนั้น ทศมารปีศาจเห็นสบช่องระหว่างกฤษณะซึ่งปัดป้องมนตราดำมาช้านานผุดความอ่อนล้าชั่วแล่น ก็สาดลูกไฟสังหารลอดคมทวนติดตามมาตะ แผดก้องว่า

“วิญญาณะ จิตตะ สุริยะมรณา”

มาตะเฉลียวใจในถ้อยคำก็หันหลังกลับ ลูกไฟมอดไหม้พุ่งพรวดใส่กล้ามอกมาตะทันที ร่างของเจ้าหนุ่มหงายหลังกระแทกพื้นล้มลง
 
วินาทีมืดมัวหัวใจพจน์ชาวาบ ประดุจพิษร้ายกำหราบหยุดเต้น ถลาหามาตะคว้าร่างกระเด็น  พิจารณาเห็นดวงตาเข้มเบิกมองฟ้า ว่างเปล่าราวกับเวลาหยุดเคลื่อนไหว ห้วงหทัยเคยเต้นเป็นเหมาะสม ฤา รุนแรงคราวชิดชมกลับว่างเปล่า เสียงซอบรรเลงเล่าเพลงคำหวาน ดังสะท้านปลิดดอกลีลาวดีหนึ่ง ร่วงจากฟากฟ้าสู่กึ่งกลางอกมาตะ ลมร้อนควรผ่อนผละจากกาย วอดวายไม่มีหลงเหลือตราบนิรันดร์
 
สิ่งที่กลัวที่สุด...ได้เกิดขึ้นแล้ว

เจ้าภัทระสูดหายใจเข้าออกเป็นจังหวะแน่ชัด รับรู้ความเคลื่อนไหวชุลมุนรอบกาย รับรู้อากาศเย็นสบายสัมผัสผิว รับรู้ว่าร่างใต้อ้อมแขนตนเย็นดุจน้ำแข็ง ไร้ลมหายใจ แล้วจึงมองเห็นความเป็นไปในวิถีโลก รับรู้ถึงการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสังสารวัฏของชีวิตขึ้นในปัญญา ณ วินาทีนั้นเด็กหนุ่มผู้ครอบครองมหาเพชรมณีเพ่งสติตัวเข้าถึงขั้นฌานสมาบัติ แหงนหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน
 
'เกิดภพหน้าฉันใดใจพิสุทธิ์ เป็นมนุษย์เดินดงคงสืบสาน ไกลสุดหล้า ‘ข้ามพิภพ’ รบรอนราญ ครอง ‘ดวงมาลย์’ นพมณียอดตรีคูณ'

“ผมรู้แล้ว ผมจะขอเวียนว่ายตายเกิดในภพนี้เป็นชาติสุดท้าย ขอจงมอบปัญญาแลอำนาจปราบมารร้ายคืนแก่ผมด้วยเถิด”
กู่ก้องร้องตะโกน

ท่ามกลางความตื่นตะลึงไม่คาดคิด บังเกิดแสงสีขาวสว่างจิต เจิดจ้าผุดพุ่งออกจากกึ่งกลางหน้าผากของภัทรพจน์ ระเบิดแผ่ออกเป็นคลื่นมหาพลังซัดใส่ความความโฉดชั่ว ณ เทวาลัยร้าง ทรงพลานุภาพยิ่งกว่าพลังใดในพิภพจะทำได้ แล้วพุ่งเป็นแนวดิ่งขึ้นสูงของท้องฟ้าดำมืดเป็นลำแสงกระจ่างนภา ประดุจปลายดาบเงินมหึมาเสียดแทงสู่พิภพฟ้า แทรกชั้นมวลมหาท้องสมุทรแปซิฟิกทะลุออกยังจักรวาลอันไกลโพ้น ทุกสรรพชีวิต ณ มหาพิภพและปัจจุบันภพเห็นลำแสงมหัศจรรย์นี้ไกลนับแสนล้านโยชน์โดยพร้อมเพรียงกัน

https://www.youtube.com/v/2Bs-UZP9Kho (เพลงปิดท้าย กรุณาหลับตาแล้วกดฟัง)


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

.......... :o12:

เข้มข้นๆๆ
ขอบคุณครับ  :sad4:

ขอบคุณฮะ  มีที่สงสัยและอื่นๆ ตามที่บอกไว้ด้านล่างนะฮะ ของบทใหม่ยังไม่ได้อ่าน อย่างไรอาจมีคำถามตามมาอีกนะฮะ หวังว่าจะไม่เบื่อหรือเกลียดกันซะก่อน  :hao4:

บทที่ ๓๔  มัจจุราชยาตรา

...สภาพแต่ละคนมีผ้าพันแผลรอบศีรษะ บ้างแขน บ้างหัวเข่า ... จะเข้าใจว่าทุกคนล้วนมีผ้าพันแผลรอบศรีษะ-- แต่ถ้าเป็น ..สภาพแต่ละคนมีผ้าพันแผล บ้างรอบศรีษะ บ้างแขน บ้าง... -ก็จะข้าใจว่า มีผ้าพันแผลกันทุกคนแต่เป็นที่หัวบ้าง แขนบ้าง หัวเข่าบ้าง...

...ปาล์มเบือด**แทรกเจ้าพวกนั้นคว้าจับมือพจน์...

...ส่วนไอ้น้ำก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งไม่รู้ว่าซึ้งใจในมิตรภาพหรือหายใจไม่ออกกันแน่... - ไม่แน่ใจนะฮะว่า ถ้าหายใจไม่ออกแล้วจะร้องไห้ไปด้วย ดูเป็นคู่ที่ไม่ค่อยคุ้นชิน แต่ก็จะพยายามเข้าใจนะฮะ


...วัดไชยวัฒนาราม จำได้ว่าท่านเคยกล่าวถึงเพราะเป็นสถานที่นัดหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เขา??รีบขยับเข้าหาดาว... - เขา = ใคร?

...นักท่องเที่ยวเดินชมสถาปัตยกรรมของช่างศิลป์ในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททองกระจัดกระจาย...- กระจัดกระจาย นี่ใช้ขยายส่วนไหนน่ะฮะ? มันมาอย่างงงๆ 

...ท้องฟ้าช่วงบ่ายคล้อย??ห้าโมงเย็นเริ่มเปิด... - ไม่แน่ใจว่า ห้าโมงเย็นนี่ยังจะนิยมเรียกกันว่าเป็นบ่ายคล้อยหรือเปล่านะฮะ?

...“อย่าลืมนะดาว คอยใกล้ชิดกับคุณชาญณรงค์ไว้” เด็กสาวขยิบตาเบียดแทรกเข้าหาผู้ช่วยหนุ่มของคุณปู่ทันที...- ใครเป็นคนพูดบอกดาวน่ะฮะ?

...ภายในมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยแหงนหน้ามองปรางค์ประธานด้วยดวงตาหยี่**เล็ก...


...จงปฏิบัติตามหน้าที่อันวงศ์ตระกูลนี้ได้รับมอบหมายมาแต่ดั้งเดิม จงเลือกหนทางที่ถูกควร และ**...เด็กนั่นช่วยเจ้าได้”...



...เพื่อให้คุณพ่อได้มายืนอยู่ตรงนี้ กับคำตอบที่ต้องการหา คุ้มค่าหรือยังกับการท้อถอย??
.. - ยังงงๆ ว่า ท้อถอยกับอะไร?

...“ตั้งแต่เกิดมาพี่เคยทำร้ายผมหรือเปล่า ไม่?? ตั้งแต่อายุสิบห้าผมได้รับความรักจากคุณแม่หรือเปล่า ไม่... - ยังงงว่า เค้าจะยกเรื่องการทำร้ายร่างกายมาพูดเพื่ออะไร? เพราะดูไม่ค่อยเข้ากับเนื้อความทั้งหมดที่เหลือ ที่เค้าบอกว่าไม่ได้อะไรต่างๆ โน่น นี่ นั่น

...สหภูบาลหลับ (ตา)??ลงชั่วขณะ งึมงำมนตราคาถาพร้อมกับกางแขนทั้งสองข้าง ร่างกายระดับสูงสองเมตร... - ควรมี ตา มั้ยฮะ ไม่งั้นคือนางงีบหลับเลย หรือจะเป็นอย่างนั้น 555+

...ไหล่กว้างสมชาย ผิวขาวซีดดุจไม่มีเลือดไหล่**เวียน...

...ใบหน้าเหลียว???แหลมซูบตอบ ริมฝีปากดำเช่นภูษาคล้องกาย... - น่าจะเป็น เรียว มั้ยฮะ หรือยังไง?

“ไอ้กัน” ถ้อยคำไร้เรี่ยวแรงเผลอหลุดจากปากพจน์แฝงสัญชาตญาณแห่งความผิดหวัง!!!...
...ใช่แล้ว พจน์ส่งยิ้ม!!!ให้ไอ้กันอย่างไม่เคยดีใจ!!!เท่านี้มาก่อน... -  แรกเห็นรู้สึกผิดหวัง -> ผิดหวังเพราะอะไร?  ไม่ควรเป็นกัน แล้วอยากให้เป็นใคร? หรือ ไม่ควรจะมีใครมาเพิ่มในตอนนี้ หรือ คิดว่ากันไม่ควรจะโผล่มาให้พจน์เห็นหน้าอีก >> แล้วในชั่วระยะยังมิทันเคี้ยวหมากแหลกก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทำให้รู้สึกดีฉับพลันและยิ้มร่าให้เค้า -> ลักษณาการคล้ายไบโพลาร์ นะฮะ 555+ ..ล้อเล่นนะฮะ แต่ก็พยายามจะเข้าใจแล้วกัน

...เมฆหมอกสีขาวเข้าปกคลุมรอบกายพจน์รวดเร็วทันควันบัด**บังทุกคนที่พจน์รักออกจากข้างกาย...

...“จงอย่าได้ขัดขืนให้กาลเพลาล่วงผ่านไปโดยเปล่าดาย ความเสียสละกายนี้จักมิคุ้มค่าแม้เพียงนิด ส่งตัวมันผู้นั้นมา”... - อย่าได้ขัดขืนไปเลยเพราะจะทำให้เสียเวลาแล้วเดี๋ยวความเสียสละในครั้งนี้จะไม่เป็นผล คือยิ่งช้าจะยิ่งไม่คุ้ม -> ประมาณนี้มั้ยฮะ? พอมันไม่มีคำเชื่อมของทั้ง 2 ประโยคเลยงงๆ ไม่แน่ใจในความหมาย

...หรือว่าไอ้กันจะจำพจน์^^ไม่ได้ เขา^^ต้องเบียดแทรกไปให้มันเห็นชัดๆว่าพจน์^^อยู่ตรงนี้... - คหสต นะฮะ ... หรือว่าไอ้กันจะจำเขาไม่ได้ พจน์ต้องเบียดแทรกไปให้มันเห็นชัดๆว่าเขาอยู่ตรงนี้...
ขอน้อมรับไว้สำหรับคำชี้แนะและคำแนะนำต่างๆนะครับ จะพยายามกลับไปแก้ไขตามที่คุณท้วงติงมา

ส่วนที่คุณสงสัยว่าธนพลพูดกับศาสตราจารย์วิชัยผู้บิดาว่า ท้อถอยเพราะอะไรนั้น คงเป็นเรื่องเดียวแหละครับ คือ ท่านยกเลิกการประกาศเตือนน้ำท่วมโลก ทั้งที่พยายามทำมาตลอดจนครอบครัวแตกแยก ญาติมิตรก็เลยตีจากน่ะครับ

ลำดับถัดมาที่ธนพลพร่ำความในใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะเก็บไว้มานาน ครั้นถูกภพดนัยผู้พี่ชายชก ทำให้แผลอันเปราะบางถูกฉีกออก จึงกลายเป็นบทพูดอย่างที่คุณสงสัย

ส่วน “ไอ้กัน” ถ้อยคำไร้เรี่ยวแรงเผลอหลุดจากปากพจน์แฝงสัญชาตญาณแห่งความผิดหวัง!!!... ผมลองไปอ่านทวนแล้วก็เห็นข้อผิดพลาดอย่างคุณว่า ถ้าพจน์ไม่มีอาการไบโพล่าร์ก็ต้องบ้าแน่ๆ เลยขอตัดข้อความสีแดงออกครับ

ส่วน ...“จงอย่าได้ขัดขืนให้กาลเพลาล่วงผ่านไปโดยเปล่าดาย ความเสียสละกายนี้จักมิคุ้มค่าแม้เพียงนิด ส่งตัวมันผู้นั้นมา”... เป็นเจตนาของผู้แต่งที่จะละคำเชื่อมทิ้งไป และต้องการสัมผัส ระหว่าง ดาย กับ กาย แต่ความหมายก็อย่างที่คุณเข้าใจนั่นแหละครับ

และสุดท้ายขอใช้ประโยคของคุณแทนอันเดิมแล้วกันนะครับ ...หรือว่าไอ้กันจะจำเขาไม่ได้ พจน์ต้องเบียดแทรกไปให้มันเห็นชัดๆว่าเขาอยู่ตรงนี้...

ขอบคุณอย่างสูงยิ่งที่ช่วยกันตรวจทานและชี้แนะในหลายส่วนๆนะครับ หวังใจว่าจะได้รับความกรุณาจากคุณอีกในลำดับต่อๆไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-11-2016 08:54:48 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ pnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เฮ้ย มาตะ ไม่จริงใช่ไหมคนเขียน แงๆ อย่าทำแบบนี้ดิ  :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
อึ้งกึมกี่  สรุปใครเป็นใคร  ใครตายกันแน่  อืมนะ  ทิ้งท้ายได้เจ็บปวดอีกล่ะ  ก็อย่างว่านะ  มาตอนช่วงท้ายตลอดเลยนะ  เหมือนแบบไม่ซะใจเอาสะเลย  ก็รู้อยู่ว่ายังไงมันก็ต้องชนะอยู่ชักช่วง  แต่ช่วยเยอะๆ  หน่อย  พอให้คนเขาอยากทำดีบ้าง  ทำไหมคนจะมีความสุขนี้มันต้องปางตายกันก่อนทุกทีเลย  แต่ก็เข้าใจแหละว่า  ถ้าไม่ถึงเวลามันก็ไม่เหตุผลอะไรที่จะต้องเกิดขึ้น การเกิดครั้งสุดท้ายในภพภูมินี้  ทำให้ได้พลังเนี้ยนะพร้อมกับการรู้แจ้ง  อืม  น่าจะเกิดขึ้นตั้งนานล่ะ  ประชดๆ5555 ก็ชอบทำให้ลุ้นอะคนแต่ง ได้แต่รอ รอ รอ รอ รอ  เท่านั้นสินะ

ออฟไลน์ iNcamisang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๓๖



ภูเตศวรอวตารพชระเทพ



ลำแสงเงินเปล่งประกายดุจดวงสุริยะฉายฉาน รังสีสุกสว่างทาบทับผิวพจน์ มัดกล้ามขยายชัดสมบูรณ์แบบ อุ้มช้อนมาตะแนบไว้ด้วยกำลังแขน กึ่งแกนกลางหน้าผาก คือ สุดยอดรัตนชาติ วิเชียรมณี รูปทรงหยดน้ำเจิดจรัสศรี ชันเขาดันยืนฝืนท่วงที ในห้วงคิดมีญาณสัมผัสรู้ สงบ ว่างเปล่า ครั้นลืมตาสีสมันเล่ากลับผุดแสงสว่างมิต่างจากแก้ววชิระ

สายลมเย็นซัดโหมจากเบื้องเท้า พุ่งสูงเข้าผลัดเปลือยปลดภูษา นุ่งห่มผ้าคล้องไหล่สีกรักมา ขาวพิสุทธิ์กายาเช่นจันทรา ปลิวสยายแรงลมขยับไหว พรึ่บไสวลายพริ้วสะบัดขา สังวาลย์ทองพาดสับหว่างอุรา ทับทรวงมณีค่าจำรัสแดง กรอบนลาฏทองคำล้อมรอบเพชร ทรงมงกุฏยอดเจ็ดเจิดใสแสง ด้วยทองกรเข็มขัดรัดเลื่อมแซง ต่างหูระแนงแนบลำคอ ข้อพระบาทล้อมกำไลทั้งสามวง สวมธำมรงค์จินดาเช่นพระศอ พระมัสสุวาดกนกโก่งโค้งงอ  พระขนงพิศพอเจริญตา พระโอษฐ์งดงามดั่งช่างเขียน เกิดสี่เศียรสี่พักตร์ขยับหา ทั้งสองกรโอบอุ้มยอดชีวา อีกสองมือซ้ายขวาถือจักรตรี

“ภูเตศวรอวตารพชระเทพ” เวฬุรำพันคำ

รูปลักษณ์สูงใหญ่ก้าวย่างท่ามกลางสายลมพัดพา ตระกองกอดมาตะไว้ไม่เหลียวแลสิ่งใด ภูเตศวรเทพหันพักตร์หนึ่งในสี่มาที่พระมหาอุปราชานอนแน่นิ่งอยู่ หัตถ์ซ้ายทรงตรีศูลชี้จรดเหนือแผลอุปราชหนุ่ม แล้วบังเกิดแสงสีเงินยวงกระจายครอบคลุม พระโลหิตก็หยุดหลั่งโดยพลัน เวฬุเห็นพละกำลังเหนือธรรมชาติช่วยเยียวยาเป็นคุณประโยชน์ก็รีบก้มกราบ เฉกเดียวกับกฤษณะ โกสินทร์ แลจาตุรงค์องครักษ์ เมื่อเหล่าปีศาจชั่วฟื้นคืนพิศดูมหาอัญมณีล้ำค่า เกิดเกรงกลัวเกาะกินใจ ละล้าละลังไม่อาจเข้าประจัญบานเช่นก่อนหน้า นารีพิฆาตเห็นอิทธิฤทธิ์ภูเตศวรเทพมีพลานุภาพมิอาจเปรียบปานก็ร่ายเวทย์หลบหนี
 
“อย่าได้เกรงกลัวมัน รุกโหมโรมรันเอาวิญญาณบัดเดี๋ยวนี้”

ทศมารประกาศเบ่งอำนาจ ระหว่างนั้นบังเกิดแรงแผ่นปฐพีเลื่อนลั่น เจ้าผู้นำพราหมณ์ป่าวร้องอย่างมีชัย

“หะนี้ประตูมิติเชื่อมผสานสมบูรณ์พร้อม จงยาตรากองทัพแสนยาเข้ามาเถิด”

สิ้นคำ ณ ปรางค์ปราสาทองค์ประธานจึงระเบิดแตกกระจุย เป็นควันสีดำพวยพุ่งปกคลุมถึงลานระเบียงคดชั้นนอก เบื้องทิศทางนั้นสัมผัสยินเสียงโห่ร้องกึกก้อง สั่นสะเทือนหวาดไหว กฤษณะ โกสินทร์ ปัญจะ จาโค คาวิน แลวรุณกระชับศาสตราวุธเตรียมพร้อม  ภูเตศวรผินพักตร์แรกสู่จุดแรงระเบิด หินทรายอันก่อเกิดเป็นระเบียงคดชั้นในถล่มทลายกระเด็นออก แล้วทหารปีศาจประกอบด้วย อสูร รากษส กุมภัณฑ์  ยักษา รูปร่างสูงมหิมากว่าสามเมตร สวมเกราะเหล็กถือกระบองหุ้มหนามตะปุ่มตะปั่มแหลมคม วิ่งดุจลมบุกตะลุยดาหน้าเข้ามา
 
เงาภูติผีปีศาจ ทั้งโหงพราย เวตาล สัมภเวสี ผีโขมด พุ่งโลดทะยานว่อนเต็มฟ้าราวกับนกแตกรัง พชรมณีเปล่งพลังสังหารเป็นจุน เหล่าไพร่พลยักษ์หนุนเนื่องทะลักล้นพ้นประตู คณะโยคีปีศาจอดสูหลบหลีก พลานุภาพฉีกกระชากด้วยฤทธา หมู่มวลนายกองยักษาครั้นบังเกิดเห็นลำแสงพิฆาตอสุรา ก็สั่งความดั่งว่าให้ถอนร่นต่อๆกัน พวกที่ถลันผ่านประตูมิติก็ถูกผลักยันซ้ำทุลักทุเล บ้างล้มลง บ้างคุกคลานรักษาชีวิต

“อย่าได้ถอยกลับ จงฟังคำข้า บุกเข้ามาอย่าขลาดกลัว” ทศมารสั่งคำทั้งที่ตนเกือบเอาชีวิตไม่รอด กฤษณะ โกสินทร์ เวฬุ แลราชองครักษ์ทั้งสี่อยู่ในแนววงล้อมปลอดภัยใกล้กับภูเตศวร จับจ้องอำนาจทรงฤทธิ์ของเทพองค์นี้ด้วยใจตะลึงตะลานทั้งยินดีผสานปีติ ระหว่างนั้นเร่งช่วยเวฬุพยาบาลพันผ้ารอบรอยแผลคมทวนของนายเหนือหัว  โกสินทร์คว้าตัวมารุตเข้าคลุกวงใน ดูเหมือนใจเจ้าพราหมณ์หนุ่มน้อยจะเอาชนะอำนาจมืดที่สิงสู่ได้สำเร็จ คืนสติ คืนความทรงจำโดยครบถ้วนสมบูรณ์

เสียงร้องสูงต่ำของเหล่าช้างแลม้า ผสมแรงฝีเท้าเหยียบย่ำดังชัดมาแต่ร่มไม้ชายป่าเสริมด้วยคำโห่มีชัยแว่วๆ เหล่าปัจจามิตรผู้รอดตายพากันลัดเลาะพังประตูระเบียงคด จัดกรมกองตรวจพล ณ ลานด้านนอกตามบัญชาแม่ทัพขุนศึก พลังลำแสงจากดวงเนตรและอัญมณีบนหน้าผากภูเตศวรทำลายศาสนสถานจนราบเป็นหน้ากลอง จึ่งทำให้เห็นว่าเบื้องทิศประตูทางเข้าเทวาลัยร้างปรากฏเป็นทัพม้า ทัพช้างหลายร้อยเชือกตรูปะทะตามยุทธวิธีรบ อาชาหมอกควันขาวจากเหรียญวลาหกทะยานนำขบวนก่อนจะสลายเป็นอากาศธาตุ
 
เทพภูเตศวรเห็นกองกำลังฝ่ายมนุษย์ยกรับข้าศึกอีกด้านก็สิ้นห่วง ลอยขึ้นกลางอากาศรัดอุ้มมาตะไว้ เหล่านักรบยักษ์อสูรกายประหวั่นครั่นคร้ามถูกผู้มาทีหลังทั้งผลักทั้งดันให้ขยับเข้าหา ดวงตาภูเตศวรมีจุดทวาราหลุมดำเป็นเป้าหมาย ครั้นถึงโอกาสเหมาะควรก็หลอมรวมพลังทั้งสี่พักตร์เป็นหนึ่งเดียวฉายลำแสงฤทธาเข้าทำลายประตูข้ามกาลเวลา เสียงระเบิดตูมดั่งสนั่นทั่วมหาพิภพโลกา พระเวทคาถาซึ่งนักบวชปีศาจทั้งเก้าอุตส่าห์ร่ายบริกรรมไว้ก็สิ้นฤทธิ์ทันควัน ไพร่พลหมู่มารต่างยืนสับสนอลหม่าน เมื่อประตูหนีกลับถูกทำลายเสียสิ้น ขวัญแลกำลังใจพลันสูญหาย คำสั่งแม่ทัพนายกองก็หย่อนความศักดิ์สิทธิ์ ต่างวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง เหลือภูติผีอสูรกายเงามืดเท่านั้นที่ดาหน้าเข้าหากองทัพมนุษย์
 
บุรุษและสตรีผู้ควบนำเหล่าโยธาม้าเกราะทองนั้นเป็นคู่พี่น้องสิตางศุ์บุหลัน ชักบังเหียนตะบึงใส่ปีศาจดั่งทหารเทพยาดา รำทวน เหนี่ยวคันธนูไม่เคยพลาดจุดสำคัญ ทั้งภูติผีอสูรกายต่างบ่ายหน้าปะทะไม่ประหวั่น เบื้องหลังเป็นกองทัพช้างประกอบเครื่องศาสตราวุธครบครัน แม่ทัพผู้บุกบั่น คือ นายกองธวัชฉัตร ครั้นเห็นทัพม้าลดทอนกำลังข้าศึกได้สมคะเนแล้วก็ให้อาณัติสัญญาณเภรีแก่เหล่าช้างศึก ดาหน้าตีกระหนาบมิให้ศัตรูเล็ดรอดออกจากแนวเขตเทวาลัยร้างไปจนถึงป่าอาถรรพณ์ได้แม้สักตนเดียว เงื้อมง่าคว้าของ้าวฟาดฟันวิญญาณผีร้ายเต็มฝีมือ เหล่าช้างใหญ่ต่างคะนองคึกเพราะถูกมอมสุรามาเต็มขนาดก็โลดแล่นเหยียบย่ำเหล่าขุนยักษ์สิ้นชีพคาบาทา ทัพม้า ทัพช้าง ต่างฮึกหาญปราบมารด้วยกำลังใจแรงกล้า ด้วยลำแสงสีเงินแผดจ้าจากบุรุษชุดขาวเป็นประหนึ่งแรงใจแลหลักชัยให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าปกติ ทั้งไม่อาจยินยอมปล่อยปละให้ปีศาจทั้งสิ้นบุกเข้าสู่อาณาจักรของตนโดยง่ายก็ออกอาวุธฆ่าฟันทำลายล้าง ยอมแลกเลือดถมแผ่นดินไม่อาลัยแก่ชีวิต

ทศมารปีศาจยืนเซ่อพิจารณาความพินาศของรี้พล เป็นความระยำฉิบหายตกแก่ตัวแน่แล้ว อุบายกลหมากถูกอำนาจเพชรมณีรุกฆาตกินเบี้ยน้อยเสียสิ้น ทั้งสหายทวิชงค์ บ้างถูกลำแสงพิฆาตล้างชีวิตลงนักต่อนัก เหลือหลงรอดตายเพียงห้าตน นอกกว่านั้นดับสลายสิ้น หวังผนึกกำลังมวลหมู่คณะก็ส่งสัญญาณสำแดงคาถาใส่ภูเตศวรโดยพรั่งพร้อม

“วิญญาณะ จิตตะ สุริยะมรณา”

ลูกไฟมอดไหม้ทั้งห้าพุ่งเข้าหาภูเตศวรเทพ แต่รัศมีเสพกลืนกินมนตราสังหารสูญสลาย แล้วจึ่งทรงขว้างจักรกรดเข้าสังหารสมุนโยคีทั้งห้าคอขาดกระเด็นล้มตายในชั่วพริบตา จากนั้นโจนพุ่งประชิดทศมารพราหมณ์  ใช้เท้ากระแทกให้ล้มแล้วเหยียบยอดอกทุรนทุราย ดวงตาชาดกลอกปรายจับจ้องจตุรพักตร์ แล้วเยาะเย้ยท้าทายด้วยวาจาโอหัง

“ฮ่าๆ จงสังหารข้า แล้วข้าจักเป็นกองฟอนขอนไม้เสริมส่งเพลิงแค้นในใจองค์จอมมารให้ลุกโชติช่วง ยามศิษย์ข้าล่วงรู้ พระองค์จักพิโรธโกรธา ทั้วพื้นพสุธาจักราพณาสูร”

“สิ่งชั่วช้าอันเจ้ากระทำมาตราบชีวิต ทั้งพรากดวงวิญญาณบริสุทธิ์มานักต่อนัก ด้วยมากใจอำมหิตเห็นความเจ็บความตายเป็นดั่งเครื่องสำราญใจ หลงมัวเมาแต่ในคุณไสยเวทเป็นหลักธรรม น้อมนำแต่สิ่งเลวชั่วมาประดับตน สีเครื่องพันกายอันควรค่าอย่างพราหมณ์ผู้ประเสริฐจึ่งค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นดำทมิฬเฉกเดียวกับจิตสำนึก ทั้งสามิภักดิ์รับใช้ใกล้ชิดนายเหนือหัวผู้โฉดชั่วประสงค์ร้ายต่อสามพิภพโลกาเป็นข้อผิดมหันต์ ผลกรรมครานี้เราขอสนองตอบด้วยความตาย จงจ้องพักตร์เราแลจดจำจงดี เกิดภพหน้าฉันใดจงเป็นแต่เพียงฝุ่นธุลีใต้เกือกรองบาทของสรรพชีวิตเถิด”
 
ตรัสเสร็จก็กดพระบาทเหนือกายทศมารด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล มันดิ้นรนเจ็บปวดเหลือคณา ดวงตาสีชาดว่อกแว่กสั่นไหว ห้ามใจไม่สะทกสะท้าน แล้วกายหยาบจึ่งแตกละเอียดผลาญเป็นผุยผงใต้พระบาทเชิงงอนของภูเตศวรเทพสมวาจาสิทธิ์

เมื่อสิ้นปีศาจผู้นำ ทาสรับใช้เห็นความวิปริตผิดพลาดต่างร่นถอยระส่ำระสาย กองทัพม้าทัพช้างฝ่ายมนุษย์ก็รุกตลบบุกต้อนยักษ์อสุรายอกย้อนเข้ามาลานเทวาลัยชั้นใน บ้างพลาดตกสระใสบารายตายสูญ  บ้างหกคะเมนสิ้นท่า ถอยล่าลงบึงน้ำรายล้อมล่มจมอเนจอนาถใจ ภูเตศวรใช้ดวงพระเนตรทั้งแปดพิเคราะห์เหตุการณ์ทั้งสิ้นเล็งเห็นว่า ผลแห่งการปราบมารร้ายในครานี้สำเร็จเป็นที่ประจักษ์ ทั้งภูติผีวิญญาณต่างลักลอบล่องหนแตกกระเจิง บ้างโดนลูกธนูเพลิง คมทวนคมดาบฟาดยับแดดับเกลื่อนกลาดล้มตายเป็นที่ปลอดภัยแล้ว จึ่งพินิจมองคณะผู้ร่วมเดินทางของมหาบุรุษ แสงสีเงินยังคงเปล่งออกจากดวงตาเจิดจ้า พลางตรัสว่า

“จงนำเหรียญเภตราวลาหกอีกเสี้ยวหนึ่งนั้นอธิษฐานสามจบจรดเหนือเกล้าด้วยดวงใจตั้งมั่นอย่าหวั่นไหวเถิด”

เวฬุหยิบเหรียญในกำมือแล้วเร่งทำตามคำ บังเกิดหมอกเมฆเป็นเรือลำยาว โขนเรือหัวหงส์ปลายหางกนกโง้งงามงอนสวยสง่า ประดับซุ้มหลังคากลางลำ สีขาวบริสุทธิ์เลิศล้ำเหมาะงาม
 
“จงนำพระมหาอุปราชาประทับยังเรือเภตรานี้ พร้อมด้วยพวกเจ้าทั้งหลายผู้ติดตาม แลพาหนะวิเศษจักนำเจ้าคืนสู่กรุงนพรัตนบุรีศรีสุวรรณคราโดยพลัน”

“แต่ว่า...มาตะ” โกสินทร์พนมมือวอน เหลียวมองร่างแน่นิ่งในอ้อมพระกร

“อำนาจประจำกายเรามิอาจชุบชีวิตผู้ใดฟื้นจากความตายได้”

เพียงได้ยินเท่านั้นเวฬุก็กลั่นน้ำตาลดหลั่งอาบแก้ม มือกระพุ่มสั่นยากจักระงับความโศกาดูร
 
“มา...มาตะ”

 “พวกเจ้าทั้งสี่เร่งเคลื่อนย้ายพระมหาอุปราชาขึ้นราชยานโดยเร็ว” กฤษณะหักใจออกคำสั่งเด็ดขาด ปัญจะ จาโค คาวิน วรุณ คืนสติเร่งปฏิบัติตามคำสั่ง เคลื่อนร่างสลบไสลลงบนฟูกกลางลำเรือใต้หลังคาพลับพลา

“สุริยะ” ธวัชฉัตรนายกองหย่อนตัวลงจากคชสารหลังเผด็จศึกปราบยักษ์มารจนสิ้นฤทธิ์กระทั่งตนสุดท้าย เร่งฝีเท้าเข้ามายังลานโล่งถลาเกาะพระบาทราชสวามีกลางเรือเนรมิต ครั้นเห็นรอยแผลผุดเป็นโลหิตแดงก่ำซึมซ้ำจากผ้าพันก็เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ขบฟันกลั้นอารมณ์โศก

“ข้าปฏิบัติตามคำสั่งท่านแล้ว ‘จงเร่งรวบรวมกำลังไพร่พลคชสารเมืองหน้าด่านทวาระบุรี ครั้นเห็นแสงสีเพลิงควันอัคคีลอยจากเทวาลัยร้าง จงขับช้างบุกทลายในทันใด’ เหตุไฉนจึ่งมิรอดูชัยชำนะเล่า เจ้าสุริยะ”

“สิ้นพระสติแต่เพียงเท่านั้นเพราะพิษแผลแลสูญพระโลหิต อีกทั้งอำนาจภูเตศวรเทพได้สกัดรักษารอยคมทวนให้ทุเลาลงจงคลายใจเถิด นายกอง” โกสินทร์อรรถาธิบายรวบรัด นายกองธวัชฉัตรพินิจพระพักตร์ดุจดั่งบรรทมก็ได้แต่กุมพระหัตถ์ไว้

ฝ่ายนายกองลาดตระเวนบุหลันสิตางศุ์คู่พี่น้องเร่งตามสมทบ ในชั้นแรกบุหลันเห็นแต่ไกลว่ามีบุรุษผู้หนึ่งเปล่งแสงสว่างอำไพทั้งมากอิทธิฤทธิ์อันประเสริฐเสกมนตราทำลายล้างปีศาจให้ล้มตายได้ก็สร้างแรงฮึดเป็นขวัญกำลังใจ ครั้นขยับเข้าหาหมู่คณะหมายตาจะได้เห็นวงหน้าของคนผู้ตั้งสัตย์วาจาไว้ว่าจะรักษาชีวิตให้รอดพ้นภัยอันตรายทั้งปวงเป็นคำหนักแน่น พอใกล้ระยะหนึ่งจึ่งเห็นเงาร่างเจ้าคนรักเสมอดวงใจอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษเทพ แน่นิ่งไร้แววตาดำขลับ ไร้รอยยิ้มพิมพ์ใจ แลสีริมฝีปากซีดนิ่งเฉยแต่เท่านั้น ยืนเก้กังแล้วทรุดเข่าลงประหนึ่งเรี่ยวแรงเหือดแห้ง มือซึ่งกำคันธนูเปื้อนโลหิตทมิฬกระเซ็นถ้วนทั่วก็ผละปล่อยอาวุธวาง
 
“มาตะ”

“บุหลันน้องเรา จงครองสติแลความเข้มแข็งให้มั่นคงก่อน” สิตางศุ์ประจักษ์เห็นความสูญเสียนั้นกับตาตนเองอย่างเดียวกันเร่งรุกปลุกปลอบขวัญน้องร่วมอุทร

“ไยเจ้าให้สัญญาเป็นดั่งคำตายแล้วว่า จักครองชีวิตนำใบหน้ารูปงามนั้นคืนกลับมาให้ข้าเห็น ฤา เพราะข้าฉุกเฉลียวใจช้าเกินไปจึ่งเป็นเหตุให้เภทภัยชั่วร้ายฉุดเจ้าพรากจากข้า มาตะ” น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งไหลสุดห้ามปราม ทั้งก่อนหน้าโห่ร้องยินดีในชัยชนะแต่ต้องกลับมาโศกเศร้าเคล้าน้ำตาไม่คาดคิด

“ดูก่อน มนุษย์” ภูเตศวรผู้โอบอุ้มร่างมาตะกล่าวเตือน “วิถีสรรพชีวิตล้วนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งสิ้น จงไตร่ตรองด้วยสติปัญญาแลจักเข้าถึงความเป็นไปนี้ได้โดยตลอด กระทั่งอาจสามารถหยุดน้ำตานั้นได้”

“จงช่วยมาตะด้วยเถิดท่าน” บุหลันวอนร้องขอ
 
ภูเตศวรเทพส่ายจัตวาพักตร์ แลว่า “หากเจ้าประสงค์จักติดตามหมู่ชนเหล่านี้กลับคือนพบุรีรัตนกรุงแล้วไซร้จงนั่งลงในเรือเภตราเถิด บัดนี้ข้ามีหน้าที่รับผิดชอบอย่างสุดท้ายคือนำคนในอ้อมกอดไปสู่ญาติแลมิตรสหาย”

หมอกควันแผ่กระจายออกจากเบื้องปลายเท้าภูเตศวรเทพ ลมพายุมหาศาลสาดพัดมาจากเบื้องทิศตะวันตกชักนำให้ภูมิประเทศเทวาลัยร้างปลิวลับหาย กลับกลายเป็นท้องพระโรงลวดลายวิจิตรติดทองล่องชาดงดงามตระการตาสูงชะลูด เหล่าเสนาบดีแต่งคลุมครุยขาวโปร่ง สวมลอมพอก ก้มหน้ารับสนองพระบัญชาอยู่พากันผวาตื่นตกใจ เมื่อปรากฏว่ามีบุรุษกายขาวสว่างบริสุทธิ์ล่ำสัน ผุดกลางครัน ณ มหาสมาคมแห่งที่นั้น ทั้งมีสี่เศียรสี่พักตร์สี่กร แลในสองกรอุ้มประคองชายผู้หนึ่งไว้แน่นิ่ง เสียงหวีดร้องดังมาจากพระแท่นเคียงสิงหนาทราชบัลลังก์

“มาตะ ฤา แลนั่นคือ...พระราชบุตรบุญธรรมแห่งเราใช่ ฤา หาไม่” เสียงสตรีร้องถาม อำมาตย์ผู้อยู่ใกล้สุดเพ่งพินิจตระหนกแล้วถวายบังคมรับว่าจริงดังคำ “หาใช่ความจริง เจ้าปดข้า”

 ภูเตศวรเทพค่อยๆว่างร่างมาตะแนบพื้นกลางท้องพระโรง ลมลึกลับพัดโหมใส่ ณ บริเวณนั้น หลงเหลือไว้เพียงดวงหน้ามากสิริโฉมและรูปกายเดิมของภัทรพจน์ เสนาบดีแลนางข้าหลวงฝ่ายในต่างผุดลุกยืนหลงลืมขนบโบราณราชประเพณีเสียสิ้น เมื่อประจักษ์ว่ากายไร้ลมหายใจคือพระราชบุตรบุญธรรมผู้ขันอาสาออกไปสืบราชการลับแน่แล้ว ก็บังเกิดความโกลาหลปั่นป่วน บ้างคลานถอน บ้างคลานเข้าหาจับมือมาตะสัมผัสชีพจร
 
“เจ้าปดข้า หาเป็นความจริงไม่” คำหวีดร้องดังผสานเสียงแตกตื่น

“พระราชเทวีเพคะ เร่งตามหมอหลวงมาบัดเดี๋ยวนี้”

ภัทรพจน์คุกเข่าก้มจรดรอยปากเหนือหน้าผากมาตะ หาได้สนใจความกาหลโดยรอบไม่ ใบหน้าไร้วิญญาณนั้นพจน์พยายามจะจดจำให้แม่นยำตราบชั่วชีวิตที่ยังมีลมหายใจเหลืออยู่

พบเพื่อรัก รักเพื่อจาก ลาก่อน...มาตะ


มีต่อด้านล่าง

________________________________

รากษส : ยักษ์พวกหนึ่ง กินศพตามสุสาน
กุมภัณฑ์ : ยักษ์ซึ่งมีท้องและอัณฑะใหญ่เหมือนหม้อ
โหงพราย : ผีที่เขาปลุกเสกไว้ใช้
เวตาล : ผีที่ชอบสิงอยู่ในป่าช้า
ผีโขมด : ผีซึ่งเห็นเป็นดวงไฟแวมๆในเวลากลางคืนในที่มีน้ำแฉะ พอเข้าไปใกล้ก็หาย
ทวิชงค์ : พราหมณ์
ลอมพอก : เครื่องสวมศีรษะรูปสูงเรียวแหลมคล้ายชฎา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:45:33 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]



เชี่ยนหมากพลูประจำตัวขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยล้มระเนระนาด คณะหมอหลวงแลกลุ่มนักบวชปราดเข้าหามาตะ
 
“เจ้าหนุ่ม เจ้าคือผู้ใด ไยพระราชบุตรบุญธรรมถึงมีพระอาการเยี่ยงนี้” เสนาบดีวัยกลางคนดึงแขนพจน์พร้อมซัก

“สิ้นพระชนม์แล้ว” หมอหลวงผู้อาวุโสเผยคำวินิจฉัยดังทั่วท้องพระโรง เสียงหวีดของอิสตรีดังโหมอีกครั้งหนึ่ง
 
“หุบปาก!” คำตวาดเฒ่าชราระงับเหตุการณ์ชุลมุน “จงเร่งนำศิษย์เราไปยังที่อันควร”

ภัทรพจน์ละจากใบหน้านิ่งสงบของมาตะ จึงเห็นเป็นโกสินธพผู้ทรงศีลส่งสายตาดุออกคำสั่ง ครูพราหมณ์ผลักเหล่าเสนาบดีแล้วดึงข้อมือพจน์ให้ถอยห่างจากราชบุตรบุญธรรม เด็กหนุ่มขืนตัวเล็กน้อยไม่อยากทิ้งมาตะไว้โดยเดียว

“ด้านนอกนั้น หน้าลานพระที่นั่ง องค์พระมหาอุปราชา สุริยะราชบุตร”

ทหารล้อมวังผู้หนึ่งเร่งฝีเท้าเข้ามารายงานละล่ำละลักจับใจความไม่ได้ เหล่าขุนนางบางส่วนกรูไปยังพระบัญชร ปรากฏมีกลุ่มชายผิวกายแปดเปื้อนโลหิตดำ ขมุกขมัวดุจเผชิญศึกสงครามมากระนั้นก็ส่งเสียงฮือฮาส่งต่อกันเป็นทอดๆ เมื่อพิจารณาโดยดีจึงเห็นว่าหว่างกลางลำเรือคือร่างของพระอุปราชแห่งอาณาจักรตนก็ตะลึงพรั่นสะพรึงยิ่งขึ้นไปอีก ร้องหาหมอหลวงให้ติดตามสู่ลานศิลานั้นอลหม่านไร้ขนบกฏเกณฑ์
 
“ตามอาตมันมาเถิด มหาบุรุษ”

พจน์ส่ายหน้า พราหมณ์โกสินธพอาศัยจังหวะผู้คนสนใจแต่กับพระอาการของพระราชบุตรทั้งสองพยายามปกปิดฐานะแลการปรากฏตัวของมหาบุรุษในตำนาน แต่อีกฝ่ายบ่งสำแดงความดื้อรั้นชัดแจ้ง
 
“ผมไปกับท่านไม่ได้ ผมมีธุระต้องจัดการ”

“ท่านจักไปที่ใด ฤา” โกสินธพท้วงถาม “แล้วเหตุไฉนศิษย์เอกอาตมันทั้งสองจึ่งมีอาการดั่งนี้ อาตมันจำต้องล่วงรู้ความเป็นไปทั้งหมดบัดเดี๋ยวนี้ก่อน”

“ผมต้องตามหาจอมปีศาจ” พจน์ทอดสายตาลงมองมาตะ แพทย์หลวงกำลังเยียวยารักษาทั้งที่รู้แน่แก่ใจว่าพระราชบุตรบุญธรรมไร้ลมหายใจ “และจัดการจบเรื่องราวนี้”

พราหมณ์โกสินธพเบิกตาโพลงพร้อมสั่นหน้า

“หาได้ไม่ๆ” ครูเฒ่าไม่เห็นชอบด้วย ข้าราชสำนักต่างวิ่งวุ่นอุตลุด ราชครูใช้เรี่ยวแรงชราภาพดึงรั้งพจน์ให้ติดตามมายังช่องพระทวารขององค์พระที่นั่งด้านปลอดคน พยักหน้าให้ศิษย์พราหมณ์วัยหนุ่มสองสามคนเฝ้ามาตะ อีกส่วนกีดกันผู้คนที่จะติดตามทั้งสอง

“ปล่อยผม ได้โปรด” ขัดขืนจากการดึงรั้ง แต่เรี่ยวแรงผิดวัยสามารถพันธนาการพจน์ให้ถลาไปได้จนกระทั่งก้าวลงจากองค์พระที่นั่งจักรวรรดิรัตนพิมาน ทหารล้อมมหาปราสาทวิ่งไปกระจุกรวมตัวยังลานด้านหน้าจึ่งร้างไร้ผู้รักษาการ แลเห็นอาคารทิมดาบตั้งอยู่นอกกำแพงแก้วรอบองค์พระที่นั่งหลังหนึ่งก็ถลันเปิดประตูเข้าไป สั่งการให้ลูกศิษย์หนุ่มเฝ้าระมัดระวังไม่ให้ใครรบกวน

ภายในอาคารไม้ฝากระดานหลังคาหน้าจั่วมีตะเกียงไฟตั้งอยู่บนโต๊ะกลางห้อง ฝาผนังมีอาวุธดาบขัดเรียงเป็นระเบียบเงาวับจับตา แสงไฟต้องคมอาวุธสะท้อนประกาย พจน์ถูกพราหมณ์โกสินธพปล่อยผละแล้วซักว่า

“ไยศิษย์อาตมันทั้งสองจึ่งมีอาการดั่งนี้ คือมาตะแน่นิ่งประดุจไร้วิญญาณหนึ่ง แลพระมหาอุปราชต้องคมอาวุธอีกหนึ่ง ท่านจงลำดับเรื่องราว ณ เทวาลัยร้างมาอย่าช้าที”

พอพจน์รำลึกถึงเรื่องราวอันเป็นชนวนเหตุให้มาตะต้องมนตราและพระอุปราชาต้องคมทวนก็หวนยกถ้อยความทศมารทบทวนซ้ำ แล้วตั้งคำถามที่แม้แต่ผู้ฟังถึงกับนิ่งงัน

“ท่านรู้อยู่แล้วว่ามีอันตรายใหญ่หลวงรอคอยอยู่ที่แห่งนั้น ทำไมถึงยังส่งมาตะและทุกคนไปเสี่ยงอันตรายด้วย พราหมณ์ หรือจะเป็นเช่นคำของทศมารที่ว่า ท่านประสงค์ให้ผมและมาตะไปสืบหาพัชรพีนิลกาฬ โดยไม่สนว่าจะมีภัยอันตรายแฝงเร้นอยู่ ขอเพียงให้ได้อัญมณีนั้นแม้จะแลกกับชีวิตใครก็ย่อมได้ ใช่หรือเปล่า ท่านคือผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด บอกสิว่ามันไม่ใช่ความจริง บอกสิว่าท่านไม่ได้จงใจส่งมาตะไปเสี่ยงชีวิต ปฏิเสธสิ ปฏิเสธ”

ดวงตาโกสินธพพราหมณ์หลวงเบิกโพลงประดุจไม่คาดคิดในถ้อยความที่ได้ยิน
 
“อาตมันไม่ขอปฏิเสธ เพราะจุดหมายอันแฝงเร้นของการสืบราชการลับครานี้ คือการนำไพลินนิลสีกลับคืนสู่อาณาจักรสุวรรณครามิผิดจากท่านคะเน”

พจน์แทบไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นความจริง มองหน้าอาจารย์ของมาตะนิ่ง ก้าวถอยห่าง
 
“ท่านรู้หรือเปล่าว่ามันเป็นหลุมพราง พลอยสักเม็ดหนึ่งเราก็ไม่ได้กลับมา ซ้ำยังถูกปีศาจโยคีซ้อนกล พวกมันบริกรรมคาถาเปิดประตูมิติเชื่อมเทวาลัยแห่งนั้นเป็นเส้นทางเดินทัพปีศาจเพื่อหมายถล่มอาณาจักรมนุษย์ และล่อหลอกผมผู้ซึ่งท่านคะเนว่าเป็นมหาบุรุษให้ร่วมเดินทางไปด้วยเพื่อจะสังหาร พวกมันรู้ว่ามีมาตะเป็นหนึ่งในคณะ และผมจะต้องปรากฏตัวไม่ห่างมาตะอีกเช่นกัน บอกสิว่าท่านไม่รู้แผนการนี้ ถ้าล่วงรู้มาก่อนก็เลือดเย็นนัก หรือแท้จริงแล้วท่านเป็นสมุนของจอมปีศาจเช่นกัน”

ถ้อยความของพจน์เมื่อครู่ดูเป็นสิ่งเหนือคาดคิดของพราหมณ์โกสินธพอย่างยิ่ง ด้วยหัวคิ้วขมวดฉวยพรวดคว้าลูกประคำมากำไว้

ประตูมิติ ถล่มราชอาณาจักร” พร่ำคำเพ้อดวงตาเหม่อลอย “แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้กระนั้น ฤา อาจหาญนักจอมมาร อาจหาญนัก ข้าต้องยอมรับในเชาวน์ปัญญาของเจ้า แหละข้าหลงกลจนมืดบอด มัวพะวงแต่จักได้ไพลินนิลสีมาสู่พระนครจนพลาดพลั้ง”

โกสินธพผู้เฒ่าชราเงยหน้ามองขื่อเพดานประดุจเจรจาอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งที่ไม่อยู่ในที่แห่งนั้น “อาตมันสิ้นท่าย่อยยับหาใดเปรียบเพราะความโลภโมโทสันหวังจักได้นพมณีจนหลงลืมว่า สิ่งล้ำค่าที่สุดนั้นหาใช่หนึ่งในเนาวรัตน์ไม่ แต่เป็นหัวใจที่กล้าหาญของคนเรา หัวใจศิษย์ของอาตมัน พ่ายแพ้แล้ว อาตมันแพ้แล้ว”

“ท่านยอมรับแล้วสินะ พราหมณ์ ทำไม บอกมาสิ ทำไมถึงส่งมาตะไปตาย” พจน์ตวาดกลับ

“มหาบุรุษเอย หากท่านยกใจของตัวเทียบอกอาตมันแล้วจักรู้ความทั้งสิ้นเอง” อารมณ์เศร้าสลดหมดอาลัยฝังไว้ในดวงตา “ชั่วชีวิตอาตมันต่อสู้ภัยมืดมาตลอด คำอันท่านกล่าวหาว่าอาตมันรับใช้ความมืดนั้นจงอย่าได้พูดอีก แม้สักเสี้ยวหนึ่งในใจก็มิเคยแตะมนตราทมิฬให้เป็นรอยหมองกับสีผ้า อาตมันร่วมสู้ศึกทมิฬครานี้นับแต่ครอบครัวถูกอำนาจมืดสังหารล้างหมู่บ้าน ไหนเลยจักยอมตกอยู่ในอำนาจเมามัวนั้น สักครั้งหนึ่งก็มิเคย แลท่านกล่าวเป็นโทษหนักแน่นว่า อาตมันเป็นทาสรับใช้จอมปีศาจจึ่งเจ็บปวดสาหัสนัก แต่จักขออธิบายความทั้งปวงให้ท่านสิ้นแคลงใจ” พราหมณ์โกสินธพยืดตัวตรงดังเดิม

“มหาศึกครานี้คืบคลานจากกลางพิภพแลแผ่กระจายทั่วทุกทิศาดุจอัคคี แลวันหนึ่งเพลิงนั้นจักต้องลามมาสู่สุวรรณนคราเป็นแน่แท้ แต่อาณาจักรมนุษย์หามีสิ่งใดไว้ปกป้องคุ้มภัย ด้วยถูกฉกชิงแก่งแย่งโดยเผ่าพันธุ์อื่นมาเมื่อครั้งอดีตกาล มหามณีประจำบ้านเมืองอันควรเป็นฉัตรคุ้มเกล้าประดุจตัวคนเดียวไร้สรรพอาวุธกระนี้ ท่านจงตรองเถิดว่า จักมีสิ่งใดไว้สู้รบพญาราชสีห์ได้นอกจากมือเท้าเปล่า ครั้นสดับยินว่ามีอาวุธสุดล้ำค่ามาวางกองอยู่หน้าประตูเรือน ก็พลันหลงลืมระแวดระวังภัย หมายมั่นตั้งใจจะเปิดประตูออกไปหยิบมาไว้กับตัวให้จงได้ แต่ฉุกใจอย่างหนึ่งจึงสวมเกราะป้องกันไว้เปรียบเช่นมหาบุรุษท่านเกาะติดคณะเดินทาง ก็แหละอำนาจในกายท่านอย่างน้อยก็อาจปกปักมาตะแลพระอุปราชได้ จนไม่คาดคิดว่ากว่าเกราะทองจักสำแดงความแข็งแกร่งก็ถูกกับดักราชสีห์ซุ่มจู่โจมไม่คาดคิด แลอาวุธสิ่งล้ำค่านั้นคือสายลมว่างเปล่า เช่นเดียวกับข่าวคราวของไพลินนิลสีดุจกัน หากจะโทษว่าเป็นความผิดของอาตมันเต็มขั้นก็จงลงเอาที่อาตมันเถิดหาใช่ใครอื่น” น้ำตาหยดหนึ่งลัดเลาะขอบตาไหลลงตามร่องแก้ม “ปัญญาอันคิดว่าชาญฉลาดของอาตมันแท้จริงแล้วโง่เขลายิ่งกว่าทารกอมมือจึ่งวู่วามกระทำไปโดยไม่ยั้งคิด ท่านโปรดลำดับเรื่องราวเหตุการณ์ทั้งหมดให้อาตมันทราบด้วยเถิด หากสบช่องเห็นหนทางแก้ไขแล้วจักได้เร่งดำเนินการ ก็แหละอาตมันตรวจดูอาการมาตะ เห็นว่าประดุจไร้วิญญาณประจำตัว จงเร่งว่ามาเถิด”

พจน์เห็นความสัตย์จริงในดวงตาเฒ่าชรานั้นก็สิ้นระแวงลำดับเรื่องราวตั้งแต่ล่วงเข้าป่าอาถรรพณ์จวบกระทั่งถูกปีศาจซ้อนกลจนตนสามารถผนึกร่างกับภูเตศวรปราบมารทั้งสิ้นได้

“ภูเตศวรอวตารพชระเทพ” โกสินธพมหาพราหมณ์ทวนคำหลังพจน์อธิบายจบ

“ผมรู้วิธีควบคุมพลังนี้แล้ว และจะขอลาท่านเพื่อสะสางเรี่องราวระหว่างผมกับจอมปีศาจให้จบสิ้น”

“ช้าก่อน มหาบุรุษ” พราหมณ์เฒ่ายกมือร้องห้าม “การอันท่านค้นพบวิถีทางผนึกผสานกำลังกับภูเตศวรเทพนั้นเกินกว่าปัญญาอาตมันจักชี้แนะ แลจักเกิดขึ้นง่ายดาย ฤา มีขนบเกณฑ์บัญญัติไว้ก็มิอาจแน่ใจได้ แต่จักขอฝากข้อสำคัญหนึ่ง อำนาจซึ่งท่านผนึกรวมพชระเทพนั้นในห้วงหนึ่งชีวีของผู้ครอบครองกระทำได้เพียงสามหน”

“หมายความว่าอย่างไร”

“แปลความได้อย่างเดียวว่า มหาพลังอันท่านสำแดงทำลายล้างมารร้ายจนสะเทือนไปทั่วทั้งพิภพโลกานี้จักเกิดขึ้นได้อีกเพียงสองคราเท่านั้น” โกสินธพพินิจพจน์มั่นคง “ภูเตศวรเทพคือเทพผู้สถิตอยู่ในมหาเพชรมณีล้ำค่าสูงสุด ทรงพลานุภาพยิ่งกว่าอัญมณีทั้งแปดจึ่งเป็นที่หมายปองของจอมปีศาจ แต่อานุภาพนี้จักสำแดงฤทธาได้ก็ต่อเมื่อผู้ครอบครองได้ผ่านการผนึกรวมกายกับชายคนรักจวบกระทั่งเก้าครั้งแล้วจึ่งทรงฤทธิ์มิอาจมีใครเทียม เช่นนั้นอาตมันขอถามว่า ท่านกับมาตะเคยร่วมสัมพันธ์สวาทกันมากี่ครั้งคราว”

พจน์ไม่คิดว่ามีความจำเป็นต้องตอบคำถามนี้อีก หากเป็นจริงดังคำอาจารย์โกสินธพว่า หนทางเอาชนะจอมปีศาจก็มืดมนอนธการ เพราะบัดนี้มาตะ... ความโศกสลดผุดขึ้นชั่วครู่แต่พจน์รู้ว่าต้องหักใจตัดด้านอ่อนแอออกจากตัว ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สามารถควบคุมพลังในกายได้ก็เงยหน้าจ้องกลับครูเฒ่า

“อย่างนั้นเราคงแพ้ศึกครั้งนี้สินะครับ แต่ถึงอย่างไรผมก็จะขอสู้จนตัวตาย”

“ดูก่อน มหาบุรุษ” โกสินธพทักท้วงทันที “จงฟังอาตมันให้ถ้วนถี่ มาตรว่าเรื่องราวซึ่งท่านลำดับเล่ามามิผิดคลาดเคลื่อนแล้วไซร้ ความหวังแห่งชาวเราก็ยังไม่มืดบอดเสียทีเดียว ก็แหละท่านเล่าว่าได้ถอดรหัสไขประตูสู่โถงเก็บพระบรมศพของพระเจ้าอนันตราชได้แล้ว แลขยับฝาโลงออกโดยภายในนั้นปรากฏมีเครื่องประดับหน้าผากแต่ไร้อัญมณีประดับอยู่ ท่านหยิบขึ้นพิจารณาก่อนจักส่งให้มาตะเก็บรักษาใช่ ฤา ไม่” พจน์ก็พยักหน้ารับว่าจริง “เช่นนั้นมนตราสังหารแม้นมากอิทธิฤทธิ์จนสามารถฉุดกระชากวิญญาณออกจากร่างเหยื่อได้ แต่กลับมีพลังอีกอย่างหนึ่งคอยคุ้มครองไว้มิให้ปีศาจช่วงชิงครอบครอง ดวงวิญญาณมาตะยังคงปลอดภัยอยู่”

ฉับพลันพจน์รู้สึกเหมือนมีแสงพระอาทิตย์ฉายฉานทะลุทะลวงจากเบื้องหลังกลุ่มเมฆทะมึน ขนลุกทั่วสรรพางค์กาย ทั้งมือสั่นวะวาบเช่นเดียวกับหัวใจที่นิ่งสงบมานาน

“ท่านหมายความว่า...”



“มาตะยังมิสิ้นอายุขัยในชาติภพนี้”


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป

_____________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

เฮ้ย มาตะ ไม่จริงใช่ไหมคนเขียน แงๆ อย่าทำแบบนี้ดิ  :ling1:
เป็นตอนที่เขียนไปร้องไห้ไป สงสารพจน์ สงสารมาตะเหมือนกันครับ ติดตามตอนต่อไปน้า

อึ้งกึมกี่  สรุปใครเป็นใคร  ใครตายกันแน่  อืมนะ  ทิ้งท้ายได้เจ็บปวดอีกล่ะ  ก็อย่างว่านะ  มาตอนช่วงท้ายตลอดเลยนะ  เหมือนแบบไม่ซะใจเอาสะเลย  ก็รู้อยู่ว่ายังไงมันก็ต้องชนะอยู่ชักช่วง  แต่ช่วยเยอะๆ  หน่อย  พอให้คนเขาอยากทำดีบ้าง  ทำไหมคนจะมีความสุขนี้มันต้องปางตายกันก่อนทุกทีเลย  แต่ก็เข้าใจแหละว่า  ถ้าไม่ถึงเวลามันก็ไม่เหตุผลอะไรที่จะต้องเกิดขึ้น การเกิดครั้งสุดท้ายในภพภูมินี้  ทำให้ได้พลังเนี้ยนะพร้อมกับการรู้แจ้ง  อืม  น่าจะเกิดขึ้นตั้งนานล่ะ  ประชดๆ5555 ก็ชอบทำให้ลุ้นอะคนแต่ง ได้แต่รอ รอ รอ รอ รอ  เท่านั้นสินะ
ตอนล่าสุดนี้คุณคงได้คำตอบแล้วนะครับว่าใครตายใครอยู่ ไม่รู้ว่าจะสาแก่ใจคุณหรือเปล่าสำหรับบทสรุปของคนชั่ว รอติดตามตอนต่อไปนะครับ

:o12: :o12: :o12: มาตะะะะะ
มาติดตามเอาช่วยกันเถอะว่า มาตะจะตายจริงหรือเปล่า

เม้นกันเยอะๆน้า ผมรออ่านอยู่





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2016 08:36:03 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ pnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอ๊ย ขนลุก ฮือออ พจน์ต้องช่วยมาตะให้ได้นะ เราเชื่อในพลังความรักของพวกนาย  :sad11:

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ Delta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เราถึงขั้นต้องลงทะเบียนสมัครสมาชิดบอร์ดเพื่อมาเม้น ก่อนหน้านี้ก็อาศัยอ่านทั่วไป ต้องบอกว่า ข้ามพิภพ เป็นนิยายวายที่แตกต่างจากประสบการณ์ที่เคยอ่านอย่างมาก คือ แกนหลัก เป็นความรักของ ช-ช แต่ปมและเรื่องราวผสมแนวภัยธรรมชาติ แฟนตาซี พีเรียด ทั้งมีโคลงกลอนแทรกไว้ เราไม่เคยเห็นมาก่อน มันทั้งตื่นเต้น ต้องขบคิด เดาเนื้อเรื่อง ปริศนา ชวนให้น่าติดตาม ส่วนภาคบรรยายที่เหมือนมีคำคล้องจองอย่างกลอนนั้น เราถือว่าเป็นลายเซ็นต์เอกลักษณ์ของนักเขียนได้เลย เยี่ยมมาก บอกตรงๆต้องขอบใจที่กลั่นกรองความสามารถถักทอเป็นเรื่องราวน่าอ่านแบบนี้ ที่ถ้าไม่ตั้งใจดีๆก็จะกลายเป็นอ่านยากทันทีเพราะสำนวนเขียนแบบงานเขียนนิยายเก่าๆ ฉะนั้นเราขอเป็นกำลังใจให้คนแต่งอีกหนึ่งแรงใจนะคะ สู้ๆ รอติดตามอยู่

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
อยากอ่านอีกแล้วอ่ะคับ   Cooling

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๓๗



เสพรักพิษนาคา



“จริงหรือครับ มาตะยังมีโอกาสรอดใช่ไหม”

มหาราชครูก็รับว่าจริง แล้วว่า

“มาตรว่าการคาดคะเนของอาตมันมิผิดพลาดคลาดเคลื่อน วิญญาณมาตะยังหาได้ถูกปีศาจช่วงชิงครอบครอง”

“ต้องทำยังไง ต้องทำวิธีไหนถึงจะนำวิญญาณมาตะกลับมาได้ โปรดบอกผม กรุณา...” พจน์ถลาคุกเข่าเบื้องหน้าพราหมณ์โกสินธพ รอยยิ้มบางเบาคลี่ใต้กลุ่มหนวดเคราขาว
 
“ลุกยืนให้เป็นปรกติก่อนเถิด อาตมันจำต้องเล่าตำนานเรื่องหนึ่งให้มหาบุรุษท่านฟังเสียก่อน แม้นอาตมันเล่าจบแล้วจงตรึกตรองดูว่า หนทางนั้นคือที่ใด” เจ้าหนุ่มภัทรพจน์ก็พยักหน้ารับผุดยืน ร้อนรนจนไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ โกสินธพมหาพราหมณ์หลับตาลงแล้วเอ่ยเป็นคำกลอนก้องกังวาน

(ถ้าหากเห็นไม่ชัดกรุณากดซ้ำที่รูปภาพอีกครั้งหนึ่งแล้วจะขยายใหญ่ขึ้น)
      

สิ้นคำกลอนมีแต่ความเงียบงันปกคลุม ดุจเหตุการณ์ในตำนานก่อเกิดเป็นลีลาเคลื่อนไหว
 
“ตำนานโกสันต์ปัทมทับทิมนี้เป็น...”

“อดีตชาติ” พจน์ระงับความอ่อนแอ หลุดพูดคำที่ตอนนี้แทบไม่อยากได้ยิน “ของผมกับมาตะ...ใช่หรือเปล่าครับ”

โกสินธพมหาพราหมณ์ล่วงรู้ความทุกขเวทนาผ่านสายตาแข็งกร้าวสีน้ำตาล แต่จำต้องพยักหน้ารับว่าจริง

โกสันต์ปัทมทับทิม พัชรพีนิลกาฬ อนันตวัชรมรกต ล้วนคือสิ่งล้ำค่าซึ่งท่านครอบครองมาแล้วเมื่ออดีตชาติ แต่เหตุอันอาตมันเล่าถวายนี้มิใช่ตอกย้ำให้รู้สึกอ่อนแอในยามวิกฤตการณ์ แต่เป็นหนทางเยียวยารักษามาตะ ท่านฟังสิ้นแล้วยังจักพบหนทางออก ฤา มิใช่”

อนันตวัชรมรกต สินะครับ” พจน์พยายามลบภาพท้าวปัทมราชกับท้าวโกสันต์ออกจากความคิด แต่ช่างยากเย็นเหลือเกิน “ผมต้องนำอนันตวัชรมรกตมาช่วยมาตะ ใช่ไหมครับ”

“ท่านมีเพลาก่อนรุ่งอรุณจักเปล่งเยือนท้องพระโรงจักรวรรรดิรัตนพิมาน หาไม่แล้ววิญญาณมาตะจะมิอาจเรียกกลับมาได้อีกชั่วนิรันดร จงบอกอาตมันว่าท่านรู้แหล่งเก็บซ่อนอนันตวัชรมรกต”

“ครับ”
 
“อาตมันจำต้องตั้งโรงพิธีปกป้องดวงวิญญาณอื่นไม่ให้มาอาศัยร่างมาตะ ท่านจงเร่งไปเถิด ใช้พลังแห่งท่านข้ามพิภพไปนำมา มหาบุรุษ” ราชครูพราหมณ์สั่งความเสร็จก็ยอบกายลงพื้นกระทำคารวการ เจ้าหนุ่มภัทรพจน์หลับตาให้ใจนิ่งสงบนึกถึงแต่เพียงต้นลีลาวดีเพลิงมอดไหม้ ใต้พื้นดินของโคนต้นอดีตอาวุธพิฆาตนาม จุมพิตสีเลือด มีบางสิ่งที่พจน์เห็นมากับตาตนเองว่าถูกฝังไว้ อนันตวัชรมรกต รอก่อน...มาตะ อย่าเพิ่งไปไหน รอเรากลับมาช่วยนาย

“อาตมันขอติดตามด้วย ขอรับ”

มารุตพราหมณ์ผลักประตูเรือนทิมดาบถลันพรวดเข้ามา แม้แต่ศิษย์นักบวชของมหาราชครูก็มิอาจหยุดรั้ง ต่างดึงห้ามปรามพัลวัน มารุตก็สะบัดออกพุ่งเข้าเกาะต้นแขนพจน์แน่น
 
“อาตมันขอติดตามท่านไปด้วย ขอรับ” เจ้าพราหมณ์หนุ่มน้อยวอนขอด้วยแววตากลมใส “ชั่วแวบหนึ่งท่ามกลางจิตใจด้านร้ายเข้าครอบงำ อาตมันผุดความทรงจำได้ว่า เคยรู้จักท่านมาก่อน ขอรับ ไม่เพียงแค่รู้จัก แต่ความผูกพันล้ำลึกเกิดก่อมากมายแทบล้นอกนี้ไม่มีเหตุผลใดนอกจากเราสองเคยร่วมชะตาชีวิต ณ ห้วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ท่านได้ช่วยชีวิตอาตมันจากอำนาจร้ายสิงสู่ในครานี้ ขออาตมันตอบแทนด้วยการอารักขาติดตามเถิดขอรับ ภัทรพจน์”

วายุ” พจน์ซาบซึ้งน้ำใจของเจ้าพราหมณ์หน้าซื่อจนเกือบเผลอให้ด้านอ่อนแอเข้าครอบงำ แต่หักใจได้รวดเร็วแล้วว่า “มารุต เราไม่รู้ว่าการไปนำอนันตวัชรมรกตกลับมาจะง่ายดายหรือว่ามีสิ่งใดรออยู่ปลายทาง เราไม่อาจเสี่ยงนำนายไปเผชิญกับสิ่งใดก็ตามเหนือคาดคิด อยู่ที่นี่ คอยเรากลับมานะ”

มารุตส่ายหน้าทันควัน อาการดื้อรั้นทำให้หวนนึกถึงวายุข้าคนสนิทของพระเจ้าวัชรโกมลไม่ผิดตัว พจน์ส่งสายตาของความช่วยเหลือจากอาจารย์โกสินธพ

“ท่านแลมารุตพราหมณ์มีชะตาผูกพันล้ำลึกมาเมื่อครั้งอดีตชาติ แลภพชาตินี้หวนกลับมาเจอกันได้ก็ด้วยบุญกุศุลซึ่งสร้างสม จักด้วยแรงอธิษฐานใดก็ตาม แต่ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นด้วยเหตุแลผล สิ่งชักนำท่านมาพบกันคงมีจุดมุ่งหมายบางอย่าง ทั้งพราหมณ์น้อยผู้นี้คะเนแล้วคงเรียนรู้พระเวทคาถาเชี่ยวชาญพอตัว เมื่อหลุดพ้นจากอำนาจทมิฬด้วยพลังแห่งมหาบุรุษท่านก็เห็นจะกลายเป็นกำลังแรงกายช่วยสู้ศึกในครานี้ได้อีกผู้หนึ่ง จงพาสหายผู้นี้คอยเคียงท่านด้วยเถิด อย่าชักช้าอยู่เลย เพลาล้วนดำเนินมิหวนคืนกลับ”

ใคร่ครวญคิดสองจิตสองใจ แต่พจน์จะชักช้าอยู่ไม่ได้ก็พยักหน้ารับคำขอมารุต เจ้าพราหมณ์น้อยก็โผเกาะมือภัทรพจน์ แววตากล้าหาญฉายชัด ส่งยิ้มให้แก่กันแลกันแล้วพจน์ก็พนมมือหลับตา หมอกควันเยือกเย็นสีขาวผุดขึ้นนำพาเด็กหนุ่มทั้งสองเดินทางข้ามพิภพกาลเวลามาปรากฏยังดินแดนรกร้างแห่งหนึ่ง ท้องฟ้ามีเมฆดำปกคลุม ต้นไม้แห้งโกร๋นยืนต้นเดียวดาย บางต้นมีใบไม้สีดำติดอยู่ตามกิ่งก้าน พื้นดินปกคลุมด้วยกรวดทรายสีนิล พุ่มไม้ดำกระจายอยู่รายล้อม เทือกเขาสูงใหญ่ภายใต้กลุ่มเมฆทมิฬทอดตัวเป็นมหาปราการ สรรพเสียงคำรนกู่ก้องร้องดังแว่วอยู่ไกลๆ ทั้งเสียงกลองกระหน่ำตีเป็นจังหวะแทรกผ่านดงซากไม้มาจากฟากป่าด้านขวามือ พจน์สังเกตภูมิประเทศสถานที่ตนข้ามพิภพมาโดยละเอียด มารุตพราหมณ์ก็ประพฤติเช่นเดียวกัน

“ที่ใด ฤา ขอรับ”

“ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรอนันตาทมิฬ อาณาจักรเผ่าพันธุ์คนธรรพ์ แต่ทำไมสภาพแวดล้อมถึงผิดต่างจาก...” พจน์จำความเขียวชะอุ่มของพืชพรรณนานาชนิดเมื่อครั้งระลึกชาติวัชรโกมลได้
 
“ความชั่วร้าย ขอรับ มันเปลี่ยนสรรพชีวิตให้มืดทมิฬไร้วิญญาณเสียสิ้น แลเผ่าพันธุ์คนธรรพ์ผู้ครอบครองมหาอาณาจักรโบราณมิได้ปกครองอนันตาทมิฬแล้วขอรับ” มารุตอธิบายพร้อมหยิบไม้ใบสีดำจากพื้นดิน มันบุบสลายเป็นผุยผงทันที “เผ่าพันธุ์ปีศาจทำสงครามรุกรานแลสถาปนานคราแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการปกครองความโฉดชั่วทั้งปวง”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ มารุต”

“รัชกาล...เอ่อ...พระเจ้าอนันตราช ขอรับ พระองค์พ่ายศึกครานั้น จนต้องระเหเร่ร่อนลี้ภัย” พจน์เข้าใจถึงสาเหตุที่พระบรมศพของพระองค์ตั้งอยู่ชายแดนอาณาจักรสุวรรณครา “พระเจ้าวัชรโกมล...”

มารุตรีบเงยหน้ามองพจน์ ดวงตารื่นด้วยหยดน้ำคลอ

“พระเจ้าวัชรโกมลมีเชื้อสายมนุษย์กับคนธรรพ์อย่างละครึ่งใช่ไหม” พจน์ถามน้ำเสียงนิ่ง “นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าอนันตราชถูกฝังอยู่ ณ เทวาลัยแห่งนั้น การอยู่ใกล้ชิดบ้านเมืองของชายคนรักจนวาระสุดท้ายคือพระประสงค์ของพระองค์ใช่หรือเปล่า”

เจ้าพราหมณ์ก้มหน้าสลด

“ตามพระราชพงศาวดารจดจารไว้เช่นนั้นขอรับ”

“การสละชีวิตคราวนั้นไม่เกิดประโยชน์ใดเลย มารุต ไม่มีประโยชน์เลย” เจ้าภัทระเงยมองความมืดมัวบนท้องฟ้าเพื่อไม่ให้หยดน้ำตาไหลดิ่งลงตามแรงดึงดูด “มันสายเกินไป...”

มารุตกุมมือมหาบุรุษปลอบโยน “ไม่ขอรับ ไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว ความทรงจำอดีตชาติซึ่งผุดขึ้นหว่างความชั่วร้ายเข้าเล่นงานอาตมันทำให้อาตมันเห็นว่า พระองค์...เอ่อ ท่านสละชีวิต แต่มิได้สละอำนาจครอบครอง รีบเถอะขอรับ เบื้องหลังหมู่แมกไม้นี้คงเป็นเขตพระราชฐานที่ประทับของพระเจ้าวัชรโกมล”

เด็กหนุ่มทั้งคู่เดินลัดเลาะผ่านแนวพฤกษามอดไหม้จนกระทั่งถึงเขตกำแพงแก้ว มีสภาพพังทลายผุพังตามกาลเวลา สีขาวซึ่งเคยฉาบลงหม่นมัว ซุ้มประตูลวดลายวิจิตรถูกสายลมแสงแดดแผดเผาหลงเหลือเพียงร่องรอยของฝีมือช่างศิลป์เมื่อบรรพกาล

สนามหญ้าสีเขียวสดถูกฉาบไว้ด้วยละอองเถ้าของภูเขาไฟระเบิด ดุจเกล็ดหิมะปกคลุมทั่วบริเวณ กลิ่นกำมะถัน กลิ่นควันไฟไหม้ตลบอบอวล เส้นทางศิลาทอดสู่กลางอุทยานท้ายซากตำหนักที่ประทับ บุปผานานาพรรณเคยงอกงามแห้งเหี่ยวอับเฉาฉับพลันดุจถูกสาป ไร้สีสันอื่นใดนอกจากดำและดำ
 
ท่ามกลางความพังพินาศของทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต แลเห็นต้นไม้หนึ่งแผ่กิ่งก้านเป็นพุ่มสูงตระหง่าน ดอกและใบอันเคยมีประดับหายลับสิ้น รูปทรงเดียวกับเมื่อครั้งพจน์กับไอ้กันได้เคยมาทำการลบล้างคำสาปมนตราลีลาทมิฬ ไม่ผิดต่างไปจากนี้ นี่คือต้นลีลาวดีเพลิง สิ้นฤทธิ์สิ้นพลังยืนเดียวดายเหลือเพียงลำต้นและกิ่งก้านแห้งกรอบไร้พิษสงเท่านั้น

“ที่นี่แหละ มารุต” พจน์กวาดสาดตามองพื้นดินดำไหม้โดยรอบ จดจำได้ทันทีว่าตรงไหนคือบริเวณที่พระเจ้าวัชรโกมลล้มลงและสิ้นพระชนม์
 
“ท่านจงเข้าไปนำมาเถิด อาตมันจักคอยระแวดระวังภัยอยู่ตรงนี้”

มารุตกล่าวหนักแน่น พจน์เร่งฝีเท้ากำลังจะมุ่งสู่โคนต้นก็ปรากฏเงามืดทะมึนผุดพุ่งจากกองเถ้าถ่านใกล้กับซากต้นลีลาวดีเพลิง มันเคลื่อนคล่องสู่ท้องฟ้าแล้วดิ่งกลับคืนพสุธาลับหาย ต่อมาก็โจนกายขึ้นด้านหลังมารุตหลอมรวมจากเศษเถ้าถ่านดำเป็นลำตัวของสิ่งมีชีวิตคลับคล้ายงูแต่ขนาดมหึมากว่ามาก ปลายหางจรดศีรษะยาวเหยียดอย่างเดียวกับรูปปูนปั้นขนาบบันไดโบสถ์เผยดวงตาสีเหลืองอาฆาตมนุษย์ พญานาค

“มารุต!” พจน์พุ่งตัวถลากอดเจ้าพราหมณ์น้อย พญานาคเกล็ดดำกระหน่ำฉกกระแทกลงตรงจุดที่มารุตเคยอยู่ ทั้งคู่ล้มกระเด็นเกลือกกลิ้ง เจ้างูยักษ์ทะยานฉกซ้ายฉกขวา กวาดดวงตาสีอำพันหันหาผู้รุกราน  ปลายหางลายกนกกวาดเถ้าละอองกระจุยกระจาย ขู่คำราม ครั้นเห็นเจ้าหนุ่มทั้งสองถนัดตาก็ม้วนขนดหางโอบสะบัดรัดให้สิ้นใจ

ความเจ็บแล่นพล่านเช่นเดียวกับลมหายใจติดขัด พจน์ไม่อาจเรียกพละกำลังข้ามพิภพหลบหนีได้ เพราะอำนาจสิทธิศักดิ์ในเลือดผู้ปกปักรักษาล้อมกีดกั้น มารุตเห็นการเข้าตาร้ายเช่นนั้นก็บริกรรมคาถาถามภาษาพญานาค

“ท่านทวารบาล ไฉนเลยจึ่งประพฤติผิดต่างจากกฎบัญญัติ อึก” มารุตจ้องเขม็งดวงตาเหลือบเหลือง มันลดหัวลงมายังเหยื่อ ขยับปากขบเขี้ยวแหลมยาว ด้วยครั้งคราวกำเนิดเป็นนาคา ภัทรพจน์จึ่งเข้าใจวาจานาคราชโดยสิ้น

“เจ้าทั้งสองบุกรุกเขตต้องห้าม แลจักมีสิ่งใดสั่งเสียตามจงเร่งว่า ก่อนพิษนาคาจักสังหารเจ้าตามโทษานุโทษ” คำรามกึกก้อง

“ก็แหละท่านถูกสาปไว้ให้เฝ้าแหล่งที่นี้ประดุจนายประตูเฝ้าขุมสมบัติ กฎอย่างหนึ่งอันพึงปฏิบัติคือถามปริศนาผู้ลักลอบ หากมันผู้ใดไขความลับนั้นออก จงปล่อยตัวตามหลักถูกต้อง ก็แหละบัดนี้ท่านละเมิดสิ้น อาตมันท้วงคำข้อประการนี้ท่านจงตรองดูเถิด”

พญานาคกะพริบเปลือกตาเจ้าเล่ห์ หงอนลายกนกเชิดสูงอย่างไม่พึงใจแล้วตวาดกลับว่า

“เช่นนั้นข้าจักขอถามปริศนาดั่งเจ้าวอน แลหากผิดแล้วจงยอมตายเสียโดยพิษเรา” เจ้าพญานาคกายมหึมาคลายขนดลำตัว มารุตกำบังพจน์ไว้เบื้องหลัง คำนับเคารพแล้วจดจ้องดวงตามลังเมลืองไม่ครั่นคร้าม

“จงเร่งว่ามาเถิด แลหากผิดพลาดแล้วไซร้ท่านจงปลดปล่อยคนนอกผู้นี้เสียอย่าได้ขัดขวางทำอันตราย อาตมันจักยอมตายวายชีวาเซ่นคำตอบตนเอง” พญานาคพยักหน้ายอมรับ แล้วมันจึงกล่าวปริศนาคำทาย
 
สิ่งใดใดในโลกกำเนิดจาก  เปลี่ยนสิ่งยากเป็นง่ายกระไรหนอ  ทุกชีวิตไขว่คว้าเฝ้าคอยรอ  แม้นขาดสิ้นดั่งคอขาดกระเด็น

พจน์ทวนเงื่อนงำปริศนาซ้ำ ลูบไล้คลำลำคอขณะใคร่ครวญ แล้วจึ่งสัมผัสสร้อยเส้นหนึ่งคล้องอยู่เมื่อไรไม่อาจทราบ จำได้ว่าเป็นสร้อยทองห้อยเครื่องประดับหน้าผากของพระเจ้าวัชรโกมล แล้วก็ค้นคิดแผนได้อย่างหนึ่ง คือหากถ่วงเวลาให้พญานาคเผลอตัวได้ชั่วขณะ ระยะทางจากตรงนี้จนถึงโคนต้นลีลาวดีเพลิงไม่ใช่ห่างไกลนัก อาจอาศัยห้วงจังหวะนั้นขุดหาอนันตวัชรมรกตได้ก่อนที่มันจะสงสัย ป้องมือกระซิบแผนการให้มารุตทราบ แล้วเจ้าพราหมณ์จึงป่าวร้องว่า

“ท่านผู้มีความยุติธรรม ปริศนาใดๆในโลกย่อมมีคำตอบเฉพาะคน แต่จักต้องใจท่านหรือไม่มิอาจรู้ ก็แหละเชาวน์ปัญญาเลิศประดับในกายสิ่งมีชีวิตหามีเท่าเทียมกันดั่งนี้” มารุตขยับเดินเลี่ยงสู่ด้านหนึ่ง พญานาคยักษ์ก็ขยับจ้องตามค่อยๆหันลำตัวส่วนหลังให้ต้นลีลาวดีเพลิง พจน์อาศัยจังหวะนี้เร้นกายตรงดิ่งไปยังโคนต้นลีลาวดี “ท่านเป็นถึงพญานาคราชช่ำชองปัญญาด้านคิดปริศนามาแต่ถือกำเนิด บิดามารดรต่างฝึกปรือทักษะนี้มาแต่หนต้น แตกต่างจากอาตมันซึ่งถูกฝึกปรือในทางพระเวทคาถา ไหนเลยจักมีสติปัญญาเทียบเทียมท่านได้...” มารุตยังพูดจ้อตามคำแนะของพจน์

โคกดินใต้โคนต้นเป็นสีดำแห้งระแหง พจน์ใช้มือขุดทุลักทุเลอาศัยจดจำทิศทางซึ่งพระเจ้าวัชรโกมลเคยกลบฝังอัญมณีสีเขียวไว้

“จงอย่าได้กล่าวอันใดให้มากความ หากสติปัญญาเจ้าด้อยต่ำกว่าข้าก็ด้วยเพราะเจ้าไร้ค่าโง่เขลาสมควรตาย จงตอบมาอย่าช้าที”

“รัก ความรัก” ขึงตาเหลืองด้วยอารมณ์กริ้วขุ่นมัว ชั่วครู่หนึ่งจึงสังเกตเห็นว่าเหยื่อมนุษย์อีกคนมิได้อยู่เบื้องหลังเจ้าพราหมณ์ก็หันหัวเหลียวหา เห็นภัทรพจน์อยู่บริเวณต้นลีลาวดีเพลิงก็ตวัดหางฟาดโครมใส่ พจน์ถลาถอยหลบทันท่วงที มารุตเห็นความรุนแรงเกิดมีต่อพจน์ก็วิ่งล้อมหน้าล้อมหลังเจ้าพญานาคทวงหาสัจจะวาจา

“คำตอบของอาตมันถูกต้องหามีสิ่งใดคัดค้านได้ หากไขปริศนาสำเร็จครบถ้วนแล้วไยจึ่งคืนคำคิดทำร้ายสหายเราอีก สัจจะแห่งมนตร์คาถาศักดิ์สิทธิ์มิอาจละเมิดได้ด้วยประการทั้งปวงจงยอมถอย มิเช่นนั้นชะรอยอำนาจปริศนาจักพรากวิญญาณเจ้ามิหวนกลับ”

พญานาคสำแดงโทสะเคืองจัดชัดเจน สอดส่ายหัวฉุนเฉียวโยกเอน ดวงตาก็ลุกวามดุร้าย ก่อนจะสงบลงพลางขำขันหัวเราะ พจน์ขยับถอยเคียงคู่มารุต
 
“คำตอบของปริศนาข้อนั้นถูกต้องทุกประการ” มันขดหางซ้อนกันเป็นแท่นสูงชูลำคอค้ำตระหง่านเหนือร่างมนุษย์ “แต่...เจ้ามาด้วยกันถึงสองคน จะรอดพ้นความตายก็เฉพาะเพียงหนึ่งของผู้ที่ตอบคำถามได้ ฉะนั้นจำเราจะต้องถามปริศนาอีกข้อตามกฎศักดิ์สิทธิ์”

“ตระบัดสัตย์ เจ้าให้สัจจะวาจาว่าจะไม่ยุ่งกับสหายเรา”

“ข้อตกลงนั้นหมายเฉพาะหากเจ้าตอบปริศนาผิดพลาด อันตรายใดๆจะเกิดเพียงแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้น แต่บัดนี้เจ้าตอบถูกแลพวกเจ้ามีถึงสองคน ข้าจึ่งมีสิทธิ์ถามอีกปริศนาหนึ่ง”

มารุตส่งสัญญาณบางอย่างมาให้พจน์ เขาส่ายหน้าไม่เข้าใจ ขนดหางแผ่โอบล้อมมนุษย์แน่นหนา
 
“จงฟังให้ดี ทั้งมืดมนอนธการนานชั่วกัป ทั้งลี้ลับล่องลอยถวิลหา ไม่ยากได้ก็จักได้ตามชะตา เช่นสนธยาลาลับดับอรุณ จงตอบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” พจน์กับมารุตอยู่ห่างกันพอสมควรโดยมีลำตัวส่วนหางของพญานาคกั้นขวางไว้ มารุตนึกตรึกตรองครุ่นคิด “เจ้ามีเพลามิมากนัก หากแสงจันทร์ทอลอดพ้นเมฆาเมื่อใด มาตรแม้นข้ายังมิได้คำตอบก็จง...ตาย”

“เฮ้ ผมตอบได้” พจน์ตะโกนเรียก เจ้าพญานาคหันส่วนหัวตามเสียง เพื่อปะทะเข้ากับแสงเขียวแผดจ้าจนดวงตาของมันฝ้ามัว มารุตอาศัยจังหวะนั้นกระโดดข้ามลำตัวกีดขวางโจนแตะกายพจน์ พญานาคนายทวารก็อ้าปากพ่นละอองพิษจากลำคอสาดใส่ศัตรู เงาหมอกควันพรั่งพรูโอบล้อมพร้อมพาตัวพจน์และมารุตหลบหลีก ปรากฏยังกลางมณฑลพิธีพรวดเดียว ปะรำพลับพลาชั่วคราวถูกสร้างขึ้นอยู่ตรงหน้าด้วยผ้าสีขาวขึงตึงเป็นหลังคา ตั้งฉัตรห้าชั้นประจำมุมเสา อาณาบริเวณขึงผ้าขาวเป็นแนวกำแพงล้อมรอบอีกชั้น พราหมณ์โกสินธพเร่งฝีเท้าทะยานหาเด็กหนุ่มทั้งสองว่องไว

“มหาบุรุษ ท่านได้มา ฤา ไม่ อนันตวัชรมรกต

ภัทรพจน์หายใจหอบคลายฝ่ามือกำสร้อยคอคล้องเครื่องประดับหน้าผากออก แสงอัญมณีมรกตเจิดกระจ่างส่องเลื่อมระยับสะท้อนสู่ดวงตาพราหมณ์เฒ่า

“มาตะ เจ้าพ้นเคราะห์แล้ว” ราชครูพราหมณ์จ้องมรกตลือนามปลื้มปีติ “ท่านปลอดภัยดี ฤา มหาบุรุษ มารุต”

“ปลอดภัยขอรับ” พจน์อาศัยจังหวะมารุตล่อหลอกพญานาคด้วยคำพูด ค้นหาอนันตวัชรมรกตเพียงไม่นานจี้คล้องคอก็ดึงรั้งแล้วฉุดดึงมณีมีค่าพุ่งพ้นพื้นพสุธาสถิตกลางเครื่องประดับหน้าผาก ก่อนส่วนปลายหางนาคราชจะฟาดลงชั่วเสี้ยววินาที พจน์โผเข้ากอดมารุต หากไม่ได้เจ้าพราหมณ์น้อยถ่วงเวลา ตนคงไม่มีโอกาสทองเช่นนั้น

“ขอบใจนะ มารุต ขอบใจ วายุ”

ภัทรพจน์จ้องมองดวงตากลมโตของอีกฝ่ายที่จดจ้องกลับเสมอกัน ฉับพลันพจน์จึ่งสัมผัสได้ว่านัยนานั้นมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม ลองขยับถอยห่าง แล้วยกมือสั่นเทาโบกผ่านหน้ามารุต พราหมณ์หนุ่มเอาแต่ยิ้มไม่กะพริบไหว

“มะ...มารุต ตาของนาย”

“พิษนาคา ทำลายดวงตาเจ้าพราหมณ์มืดบอดเสียสิ้นแล้ว มหาบุรุษ” โกสินธพมหาพราหมณ์พิจารณาด้วยภูมิปัญญา พร้อมกล่าวคำหนึ่งที่ทำให้พจน์ถึงกับทรุดเข่าลงแทบเท้าสหายรักผู้มีคุณนับแต่อดีตชาติจวบกระทั่งภพปัจจุบัน


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป
หมายเหตุ ช่วงบทกลอนที่ผมลงแนบเป็นไฟล์รูปภาพนั้น เนื่องจากพอลงแบบปกติแล้วปรากฏว่าข้อความกลอนกระจัดกระจายไม่สวยงาม ดังจะเห็นได้จากบทก่อนๆที่เคยลง ถ้าหากเห็นไม่ชัดกรุณากดซ้ำที่รูปภาพอีกครั้งหนึ่งแล้วจะขยายใหญ่ขึ้น ต้องขอภัยมา ณ ที่นี้
________________________________

นาเคศวร, วาสุกรี : นาคผู้เป็นใหญ่
ภุชงค์, นาค : งูใหญ่มีหงอน
               
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:46:38 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
หวังว่าการเสี่ยงครั้งนี้จะมีคุณมากกว่าโทษนะ  แถมตอนที่แล้วใช้พลังไปแล้วหนึ่ง  เหลืออีกสอง  คงไม่มีเหตุให้ต้องใช้เกินจำเป็นนะ  ตามต่อไปครับผม

ออฟไลน์ DESZCZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เฮ้อ เหนื่อยมากเลย สงสารพจน์เรื่องราววุ่นวายขึ้นมาก หวังว่าสิ่งต่างๆที่ทำลงไปจะได้รับผลดีๆกลับมานะ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๓๘



กฤษณาทวงรัก



“มารุต นายมองเห็นหน้าเราใช่ไหม ตอบสิว่าเห็น” ภัทรพจน์เขย่าไหล่เค้นสิ่งปลอบใจจากปากเจ้าพราหมณ์หนุ่ม แต่มารุตยังคงยกยิ้มกว้างดุจไม่ได้เกิดอันตรายใดๆแก่ดวงตาตน

เห็นขอรับ อาตมันจดจำใบหน้าท่านได้แม้นล่วงผ่านมากี่ภพกี่ชาติ วงหน้างามจะมิเลือนหายจากความทรงจำของอาตมัน แม้นชาตินี้จักมิได้เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจนั้นอีกแล้วก็ตาม”
 
“พราหมณ์ ช่วยมารุตด้วย ผมต้องทำยังไง” ผวาเกาะชายผ้าคล้องไหล่โกสินธพวอนขอ มือสั่นเทา

“พิษนาคาตนนั้นทรงพลานุภาพด้วยบำเพ็ญเพียรทำหน้าที่ทวารบาลมาเนิ่นนานหามีสิ่งใดไขถอนได้ แม้นอำนาจอันท่านครอบครองก็มิอาจลบล้าง จงคลายความทุกขเวทนาเถิด อาตมันแลท่านมิอาจฝืนชะตาลิขิตได้” ความรู้สึกสงบว่างเปล่าเมื่อครั้งตนเผชิญผ่านเหตุการณ์มาตะต้องมนตราสังหารถูกสั่นคลอนเพราะมารุตต้องพิษร้ายไม่คาดคิด
 
“อย่าร่ำไห้เถิดหนาภัทรพจน์ น้ำตานั้นจักทอนพลังในกายท่าน ไร้ประโยชน์หากต้องแลกสิ่งล้ำค่าเพื่อแสดงความอาลัยไม่คุ้มเสีย ท่านจำได้ ฤา ไม่ อาตมันอาสาร่วมทำการนี้ด้วยตนเอง ฉะนั้นอาตมันเชื่อมั่นว่านี่คือสิ่งซึ่งสมควรได้รับ แลหากแลกด้วยการได้ อนันตวัชรมรกต มาครอบครองแล้วไซร้ ตาเปล่าต่ำต้อยเทียบมิได้เลย จงเร่งนำมณีล้ำค่าเรียกวิญญาณมาตะกลับคืนเถิด”

พราหมณ์โกสินธพก็สะดุ้งด้วยเหตุการณ์รันทดชักนำให้หลงลืมกิจสำคัญก็ระงับความอาดูร แล้วว่า

“อาตมันแลเหล่าพราหมณ์สวดคาถาป้องปัดวิญญาณร้ายให้พ้นสิ้น ครั้นท่านนำอนันตวัชรมรกตกลับมาได้สมคะเนแล้วก็เห็นจำต้องเร่งนำเข้าพีธีเรียกวิญญาณโดยด่วน แต่...” พจน์แทบไม่ได้ฟังโกสินธพราชครูกล่าว เอาแต่จับจ้องดวงตากลมใสของมารุต เขาเป็นคนพามารุตไป เขานี่แหละที่ทำให้มารุตไม่เห็นสิ่งใดใดในโลกนี้อีก โผสวมกอดสหายรักไว้แน่นเป็นภาพสะเทือนใจแก่ผู้ทรงศีลเฒ่าเหลือประมาณ

“ขออภัยเถิด ราชครูพราหมณ์”

น้ำเสียงดรุณีนางหนึ่งทักท้วง

กฤษณาพนมมือเหนือหว่างอก นุ่งผ้ายกดอกด้วยไหมเงิน เช่นเดียวกับสีผ้ารัดทรวง ไร้เครื่องประดับมีค่าประจำกาย ทั้งเครื่องประทินโฉมก็ละทิ้งไร้แต่งเติม เด็กสาวหน้าสวยจึ่งซีดเผือดราวกับขาดเลือด แต่คิ้วขมวดมุ่นขุ่นมัวแกมกันกับดวงตาแดงก่ำ ปากระเรื่อจางขบผนึกสะกดอารมณ์ในตัวไม่ให้สำแดงเกินควร
 
“พ่ออยู่หัวแลพระราชเทวีมีรับสั่งให้พราหมณ์ท่านเร่งประกอบพิธีเถิด ในเมื่อบัดนี้มหามณีมรกตถูกนำมาแล้ว อย่ารั้งรอการใดเลย มาตะนอนแน่นิ่งอยู่กลางปะรำพิธีเป็นเครื่องทรมานสายตาของเหล่าสตรีทุกผู้ มิเว้นมารดาผู้ให้กำเนิด แลพระมารดรผู้ทรงชุบเลี้ยง รวมกระทั่งกฤษณา จนไม่อาจครองสติปัญญาให้เข้มแข็งฝืนทนได้แล้ว วานมหาพราหมณ์ท่านจงเร่งประกอบพิธีเถิด”

โกสินธพก็หักใจ พิจารณาสหายคู่สนิทแต่อดีตชาติแล้วจำต้องออกปากเด็ดขาดว่า

“มหาบุรุษท่าน โปรดจงนำอนันตวัชรมรกตอันมีคุณวิเศษเรียกวิญญาณนั้นมอบให้แก่ชะแม่กฤษณาข้าหลวง”

ภัทรพจน์หนุ่มลูบหน้าลูบตามารุตจนสิ้นความอาลัยแล้วก็กุมมือเจ้าโยคีน้อยไว้ เงยมองกฤษณาสลับอาจารย์พราหมณ์แน่นิ่ง

“ผมจะนำไปเองครับ” ทอดสายตาข้ามไหล่กฤษณาสู่โรงพิธี บนแท่งสูงนั้นคือ มาตะ ผิวกายซีดเซียวนอนหงายหลับตาอยู่ เหล่าพราหมณ์สวดบริกรรมพระเวทอยู่อาณาเขตรอบนอก ถัดจากจุดที่มาตะนอนแน่นิ่งมีพระที่นั่งโถง ทรงจตุรมุข พรั่งพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์แลพระญาติพระวงศ์ของมาตะโดยสิ้น ท้องฟ้ามืดมัวไร้ดาวเดือน

“ท่านสิ้นภาระแล้ว มหาบุรุษ จงพักผ่อนก่อนเถิด ราตรีนี้ท่านเผชิญเหตุการณ์ร้ายนานัปการเกินกว่าคนคนหนึ่งจะพึงประสบ จงปฏิบัติตามคำอาตมันแนะ โดยติดตามเหล่าศิษย์สำนักไปพักยังที่อันสมควรก่อน แลละการนี้ไว้เป็นธุระอาตมันจัดการ อย่าพะวง” พราหมณ์โกสินธพลูบโลมปลอบโยน “ทั้งมารุตผู้สหายเพิ่งได้รับพิษนาคาจึ่งอ่อนแรงกว่าปกติ หลับพักสักชั่วยามหนึ่งก็เห็นจะคืนกำลังดังเดิม”

ศิษย์หนุ่มวัยเดียวกับพจน์และมารุตเดินออกจากโรงพิธีเหมือนล่วงรู้คำสั่งของอาจารย์ตัว ยืนคอยท่าอยู่

“มารุต นายไปพักก่อนนะ” พจน์เกาะไหล่เจ้าพราหมณ์น้อย จับจ้องดวงตาว่างเปล่าทั้งที่รู้ว่าไม่มีประโยชน์จะสื่อสารให้อีกฝ่ายเข้าใจตนได้แล้วก็ตาม พลางกระซิบข้างกกหู “เราให้สัญญา นับจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว ความทุกข์ ไม่มีอีกแล้ว อดทนนะมารุต เราจะจัดการจบทุกสิ่งให้ได้ในเร็ววัน"

“ท่านพูดประหนึ่งล่วงรู้ว่า...” โกสินธพราชครูเบิกตากว้างจับจ้องสองหนุ่มแล้วจึงผุดยิ้ม “เห็นจะมิจำเป็นต้องให้เจ้าเข้าร่วมพิธีแล้ว ชะแม่”

มารุตพยักหน้าเชื่อฟังพจน์แต่โดยดี น้ำตากลั้นไว้ก็หลั่งไหล ทั้งที่ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความว่างเปล่า แต่ท่ามกลางเงามืดบอดผุดใบหน้าภัทรพจน์นายตัวเมื่ออดีตชาติแจ่มชัดเป็นศุภนิมิตบังเกิดเป็นคุณแก่ตนเพียงเสี้ยววินาทีก็พลันมิอาจหักห้ามน้ำตาไว้ได้ ยอบตัวแนบพื้นหญ้าแล้ววางมือลูบหลังเท้ามหาบุรุษเหมือนล่วงรู้ความนัยซ่อนอยู่ในคำพูดทั้งนั้น
 
“ขอรับ ขอรับ” พร่ำรับคำเสร็จก็ถูกศิษย์พราหมณ์หนุ่มพาไปยังที่อันควร

“กระไรมหาพราหมณ์ท่านจึ่งถอนคำละทิ้งข้อปฏิบัติ ก็แหละผู้นำอนันตวัชรมรกตวางลงยอดอกมาตะเพื่อประกอบพิธีเพรียกวิญญาณนั้น จำต้องเป็นสตรีผู้ครองพรหมจรรย์มิต้องมือชาย แลบัดนี้ท่านปฏิเสธให้กฤษณายกเลิกการนั้นเสีย ไฉนเลยจักอาจสำเร็จได้”

“การครองพรหมจรรย์อันผู้คนต่างดำริเข้าใจนั้นมิใช่เพียงการถือศีลเว้นการเสพเมถุนในเชิงสวาท แต่หมายรวมถึงจิตใจบริสุทธิ์ยิ่งกว่าผู้ประพฤติดั่งพรหม คือ การบรรลุฌานสมาบัติ ชนบนพิภพนี้ไม่มีผู้ใดกระทำได้ แต่มีบุคคลผู้ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าเพียงหนึ่งเดียว แลเหมาะสมยิ่งกว่าใครอื่น ด้วยมาตะแลภัทรพจน์ดวงชาตาผูกพันยิ่งกว่าใครในพิภพ เช่นนั้นขออภัย จงละหน้าที่ไว้แก่คนผู้นี้เถิด เจ้าจงเร่งเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวแลพระราชเทวีตามคำอาตมันว่าดั่งนี้”

กฤษณาขึงตาแดงช้ำกล้ำกรายพจน์ขณะหนึ่ง แล้วพูดเหน็บว่า

“นับแต่กฤษณารู้จักมักคุ้นมาตะ ไม่เคยเห็นสิ่งใดทำอันตรายคนผู้นั้นได้ ด้วยเก่งกล้าสามารถยิ่งกว่าชายในอาณาจักร ทั้งห้าวหาญเชี่ยวชาญศิลปศาสตร์เพลงอาวุธนานาประเภทยากจะหาคู่ปะทะเปรียบฝีมือ ทั้งอุปนิสัยอ่อนโยนยามไร้อาวุธเป็นที่ชื่นชมแก่คนทุกชนชั้น ลักษณะอันประเสริฐประกอบขึ้นเป็นชายชาติชาตรีไม่เคยมีใครเสมอเท่า” ดวงตาสื่อสารต่อครูมาตะ แต่ถ้อยความซัดทอดพจน์โดยตรง “ก็แหละฝีมือประจำกายนี้มิใช่ ฤา ตอบสนองคุณแผ่นดินช่วยพระเจ้าอยู่หัวในคราวพิบัติเป็นที่ปรากฏ จนทรงพระกรุณายกตัวชุบเข้าร่วมพระราชวงศ์ตอบแทนคุณงามความดีนั้น จะมีผู้ใดคัดค้านก็หาไม่ เพราะทุกคนประจักษ์ว่ามาตะกอปรด้วยรูปสมบัติแลฝีมือสันทัดเหมาะควรเป็นที่สรรเสริญเทียบชั้นพระราชบุตรบุญธรรม ฐานะนี้มิใช่ใครก็อาจเอื้อมแตะถึง แต่ต้องพรั่งพร้อมสมแก่คนยกย่อง เมื่อมาตะถูกยกขึ้นสูงกว่าแรกต้นเฉกนี้แล้ว ไฉนเลยนับแต่ภัทรพจน์ปรากฏเคียง ดังครูท่านเรียงเป็นคำหนักแน่นว่า บรรลุฌานสมาบัติหาผู้ใดทำสำเร็จ จึ่งฉุดคร่ามาตะตกต่ำถดถอยจนพลอยเพลี่ยงพล้ำต้องมนตราปีศาจแทบสิ้นวิญญาณ์ ทั้งย้ำซ้ำว่ามาตะผูกพันภัทรพจน์ยิ่งกว่าใครอื่น ก็คำยืนยันขัดแย้งสุดยั้งปาก ในเมื่อใครตกฟากผูกชะตา เห็นจะเสริมพาบำรุงกันในทางที่ดีเป็นลำดับต้น คำท่านว่า ผูกพัน กฤษณาจึ่งมิเห็นสม คนรักย่อมไม่โน้มนำพาอีกฝ่ายไปสู่หายนะกระนี้ ตราบแต่กฤษณารู้สึกรักมาตะ ความหมองสักเสี้ยวหนึ่งมิเคยกระทำต่ออีกฝ่ายเป็นความพินาศถึงฆาตตาย ความรักมิใช่นำพาให้คนทั้งคู่รุ่งเรืองดอกหรือราชครูพราหมณ์  กฤษณาเคยเห็นแต่รักนำด้านดีเข้าหาคนทั้งสองอยู่หลายคู่ ดู๋ดูมาตะจำต้องย่อยยับนับแต่ภัทรพจน์เคียงสู่ ตรองดูแล้วหน้าที่สำคัญอันนำอนันตวัชรมรกตเรียกวิญญาณมาตะกลับ มิสมควรจับตัวการร่วมพิธี”

โทสะในใจกฤษณาพรั่งพรูดุจสายธาราทะลักฝายน้ำล้น ในชั้นแรกพจน์แทบไม่ได้ฟังคำต่อว่าของสตรีชุดขาว แต่เมื่อตรึกตรองว่าต้นเหตุมาตะต้องมานอนแน่นิ่งไร้วิญญาณก็ด้วยตนเป็นสาเหตุทั้งสิ้น หลับตาพยายามไม่เก็บมาคิด

“พิธีเรียกวิญญาณสามารถทำได้เพียงครั้งเดียว จะเรียกซ้ำก็ทำมิได้ฉะนี้ ครูท่านวางใจให้ภัทรพจน์มือเปื้อนเลือด เต็มด้วยราคีหรือเป็นผู้กระทำ หากไม่สำเร็จแล้วจะมีผู้ใดรับผิดชอบ”

“กฤษณาเอย คำอันเจ้ากล่าวนั้นอาตมันจักอรรถาธิบายให้คลายลงเอง ทั้งต่อหน้าพระพักตร์แลคนทั้งปวง เพราะไม่มีผู้ใดจะเหมาะยิ่งกว่าภัทรพจน์อีกแล้ว จงคืนพลับพลาแลปฏิบัติตามคำอาตมันเถิด เพลากระชั้นชิดงวดใกล้เข้ามาเหลือประมาณ”

กฤษณาฝากรอยบาดหมางจนพอใจแล้วก็กระพุ่มมือคืนยังพระที่นั่งโถง โกสินธพครูพราหมณ์ก็เร่งฝีเท้าไปยังโรงพิธี มีพจน์ติดตามว่องไว

แสงกองเพลิงหน้าโรงพิธีสาดกระทบเรือนร่างของมาตะเป็นเงาระริก คณะพราหมณ์ผู้ทำพิธีหยุดสวดคาถา ครูพราหมณ์ก็พยักหน้าให้มหาบุรุษเดินเข้าไปแต่ผู้เดียว ทั้งที่ไม่มีใครบอกว่าควรทำอย่างไร พจน์ก็ปลดสร้อยทองคล้องเครื่องประดับหน้าผากอนันตวัชรมรกตขึ้นจุมพิต สีเขียวสว่างวาบกระทบผืนผ้าปะรำขาว จากนั้นจึงวางมณีมรกต ณ อกเบื้องซ้ายมาตะ ประทับริมฝีปากตนเหนือปากซีดครั้งหนึ่ง แล้วดวงตาเข้มแฝงแววเว้าวอนยามพจน์เคืองโกรธก็ขยับเผยให้เห็นจนเด็กหนุ่มแทบไม่ได้ยินเสียงฮือฮาดีอกดีใจ พลันความหนักอกทั้งมวลถูกปลดจากห้วงใจในทันที

“มาตะ”

“ภัทระ...พจน์”

น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าดังผ่านโสตกระทบหัวใจจนสั่นระรัว
 
“นายขี้เซาจริงๆเลยนะ นอนหลับไปตั้งนาน”

เจ้ามาตะผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอ ยกยิ้มที่พจน์ปรารถนามาตลอดเผยให้เห็น

“ให้อภัยแล้ว เรายกโทษให้นาย”

“มาตะวันพันชะตา...วาจางาม” พระราชบุตรบุญธรรมทวนกลอนคราวตัวกำเนิดอีกครา ก่อนจะหลับตาสู่นิทราด้วยอ่อนเพลีย ภัทรพจน์จุมพิตบนริมฝีปากอุ่นซ้ำ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือว่า

“ภัทระใต้มาตะวันทุกชาติไป” ครั้งสุดท้ายแล้วมาตะ ชาตินี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน

เสียงฝีเท้าพระประยูรญาติจากมหาพลับพลาชัยตรงมายังปะรำพิธี คณะแพทย์หลวงจู่เข้าตรวจสัญญาณชีพสุดอัศจรรย์ใจ พจน์ไม่มีสายตาไว้มองใครอีก เอาแต่จับจ้องร่างกายที่ค่อยๆอุ่นขึ้นของมาตะ

“ภัทรพจน์ น้องท่าน”

มาลี พี่สาวของมาตะแต่งชุดขาวทั้งตัว หน้าซีดแซมรอยยิ้มกว้างอยู่เบื้องหลังพจน์

“ตามข้ามาเถิดหนา ท่านจำต้องพักผ่อน ปล่อยมาตะไว้ในความดูแลพนักงานหมอหลวงสักประเดี๋ยวเถิด”
 
ข้าราชสำนักฝ่ายในต่างกลุ้มรุมรอบแท่นที่มาตะนอนอยู่ บ้างฟูมฟาย บ้างร้องคำปีติ พจน์มองคนแปลกหน้าทั้งนั้นไม่รู้จักใครสักคนนอกจากมาลี เมื่อเห็นมาตะฟื้นคืนสมคะเนก็พลันร่างกายอ่อนระโหยปลดเปลื้องความเหน็ดเหนื่อย พราหมณ์โกสินธพก็พยักหน้าเห็นด้วย พจน์บีบมือมาตะสื่อสารถ้อยความทั้งหลายผ่านรสสัมผัส แล้วละถอยออกจากที่นั้นตามแรงดึงของนางข้าหลวงมาลี


มีต่อด้านล่าง

_______________________________

พระที่นั่งโถง : พระที่นั่งโล่งไม่มีฝา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:48:12 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]



มาลีนำพจน์เดินลัดเลาะผ่านกำแพงแก้วเข้าสู่ตำหนักฝากระดานไม้ หลังคามุงกระเบื้องดีบุก ลงรักปิดทองนับแต่เครื่องลำยอง  หน้าบัน บราลี แวดล้อมด้วยสีสันพรรณไม้มวลบุปผา แสงอรุณเริ่มสาดแสงขับไล่ความมืด เมื่อผลักบานประตู ปรากฏเป็นโถงห้องพร้อมตั่งสำหรับนั่งอยู่สามตัว มีฝาประจันห้องอยู่ด้านซ้ายมือ มาลีขับนางกำนัลผู้ติดตามให้เร่งตระเตรียมภูษาแลเทียบสำรับอย่างดีมาให้พจน์ เมื่อสิ้นคนแวดล้อมก็โผเข้ากอดลูบหน้าลูบหลังเจ้าหนุ่ม หยดน้ำตากลั้นไว้นับแต่เห็นเรือนกายน้องร่วมอุทรกลางท้องพระโรงท่วมลงอาบสองแก้ม ใจเข้มแข็งผิดวิสัยสตรีต้องมามีอันทลายสิ้นต่อหน้าต่อตาผู้ช่วยชีวิตมาตะกลับคืน

“ขอบน้ำใจเจ้ามาก ภัทรพจน์ หากมิได้น้องท่านไหนเลยมาตะจะฟื้นกลับมาอีกครั้ง”
 
พจน์ลูบหลังสตรีผู้นั้นปลอบโยนแล้วชวนกันนั่งลงบนตั่ง

“อย่าร้องเลยครับ พี่มาลี”

มาลียอบกายแนบพื้นกระดานกระทำก้มกราบฝ่าเท้าพจน์ทันที เด็กหนุ่มมากโฉมก็รีบฉุดให้นั่งลงเป็นปรกติ
 
“เจ้าคือผู้ที่ชาวเรารอคอยมานานแสนนานเหลือเกิน ตำนานโคลงพยากรณ์ที่เคยปลุกให้ชาวเรามีความหวังบัดนี้เป็นจริงแล้ว บุรุษผู้มีสี่พักตร์สี่เศียรสี่กรปรากฏให้คนทุกผู้ในท้องพระโรงเห็นเป็นอย่างเดียวกัน มหาบุรุษ

“ผม...” อยากจะปฏิเสธแต่ดูไร้ประโยชน์ ได้แต่ส่งยิ้มเหนื่อยอ่อนให้หญิงสาว “มารุตล่ะครับ เวฬุ โกสินทร์ กฤษณะ ปัญจะ จาโค...”

“ได้รับการพยาบาลรักษาโดยดีแล้ว อย่าพะวง แม้นบาดแผลของพระมหาอุปราชจะฉกรรจ์นักแต่มิได้สูญพระโลหิตจนถึงขั้นอันตราย จงวางใจเถิดเจ้า” มาลียกใจเข้มแข็งกลับมาครองไว้โดยดี ละวิสัยด้านอ่อนของสตรีแล้วเช็ดน้ำตาออกโดยเร็ว “ท่านต่างหากที่ควรพักผ่อนเสียก่อน”

หญิงนางกำนัลยกพานทองใส่ผ้าขาวสะอาดมาให้ ติดตามด้วยขบวนอาหารชาววังในตะลุ่มทองคำ

“ผลัดเปลื้องภูษาคล้ององค์เสียก่อนเถิดเจ้า แม้นไม่หิวก็จำต้องกินข้าวปลาเพื่อเพิ่มกำลังแรงกายสักน้อยหนึ่ง หาไม่แล้วเจ้าทรุดลงมีอันเป็นอีกคนหนึ่ง มาตรว่ามาตะฟื้นขึ้นมาเห็นคงระทมไม่ต่างกัน เหตุการณ์เสี่ยงเป็นตายนี้ล่วงผ่านโดยเจ้าเข้าแก้ไขเต็มความสามารถส่วนหนึ่งแล้ว จงคลายวิตกลงเถิด”
 
พจน์พะวงจริงดังคำพี่มาลีว่า ถึงตนจะแก้ไขมาตะจนฟื้นคืนได้ แต่ลึกๆแล้วพจน์รู้ว่า บุคคลอันตรายใหญ่หลวงยังคงลอยนวลอยู่ จอมมาร แต่หากจะฝืนดันทุรังเผชิญหน้าตอนนี้ พจน์ก็ไม่แน่ใจในพละกำลังที่ตนมี ดั่งคำห้ามของพราหมณ์โกสินธพ เช่นเดียวกับความรู้สึกภายในกายบ่งชี้ว่าตัวเขายังไม่พร้อมจริงดังว่า หักใจปล่อยกิจธุระนี้วางไว้ก่อน

“หลีกไป”

กฤษณาถลันตึงตังเข้ามาในเรือนตำหนักไม้ นางโขลนประจำประตูถูกผลักไสออก นารีสาวส่งตาดุแล้วลบกิริยาโครมคราม พนมนอบน้อมไหว้มาลีหน้าผากจรดปลายนิ้วกลาง มาลียังกระพุ่มไม่ทันรับดีกฤษณาก็ละมือลงรวดเร็ว ปั้นรอยยิ้มเสแสร้งส่งให้พจน์

“กระไรมาลีพี่ท่านจึ่งจู่ลักพาตัวภัทรพจน์มหาบุรุษมายังที่นี้มิบอกกล่าวผู้ใด” กฤษณาไต่ถาม หย่อนกายบนตั่งตรงข้ามพจน์ “ในบรรดาคนทั้งหมดผู้สมควรเพ็ดทูลถวายงานเคียงใกล้พระน้องนางเธอฯเพลานี้ เห็นควรเป็นมาลีพี่ท่านมากกว่าใครอื่น”

มาลีตวัดสายตาตำหนิเด็กสาวอ่อนวัยกว่า

“ก็แหละพระเสาวนีย์ของพระนางเธอฯอย่างไรเล่า เราจึ่งจำต้องพาภัทรพจน์มาพักยังที่อันสมควร ด้วยท้าวนางฯเธอเป็นผู้สั่งความเรามาอีกชั้น ให้นำตัวภัทระน้องเราออกห่างจากความวุ่นวายที่พุ่งเข้าหาในช่วงเวลาชุลมุนหว่างมาตะฟื้นคืนเป็นข้อหนึ่ง ส่วนข้อสองประสงค์ให้ภัทรพจน์ผ่อนกายอันเหน็ดเหนื่อยทั้งกายแลใจ ข้าจึ่งจำต้อง ลักพาตัว มาดั่งคำน้องเรากล่าวหา”

กฤษณายกมือเสมออกจรดหน้าผากค้อมคำนับยิ้มใจเย็น ตอบว่า “หากเป็นพระเสาวนีย์ข้านี้มีหรือจะกล้าขัด เหมาะควรแล้วพี่นาง แต่น้องรับพระราชกระแสเบื้องยุคลบาทจากพระราชเทวีผู้ปกครองฝ่ายในทั้งผองอีกต่อหนึ่ง ให้มาสั่งความแก่คนผู้พาภัทรพจน์มาว่า เมื่อลุกนั่งเป็นอันดีแล้วจงเร่งเข้าเฝ้าตามพระนางเจ้าฯรับสั่ง เหตุด้วยมีข้อซักถามเป็นการเฉพาะตัว”

“เจ้าว่ากระไรนะ กฤษณา” มาลีปั้นหน้าขึงไม่พึงใจ

“ในฐานะพระมารดาของผู้สืบราชสันตติวงศ์ พระนางย่อมมีสิทธิ์ล่วงรู้การณ์อาเพศ ต้นเหตุชักนำพระมหาอุปราชแลพระราชบุตรบุญธรรมมามีอันเป็นเยี่ยงนี้” หญิงสาวย้ายแววตาดูเชิงพจน์

นางข้าหลวงมาลีระงับอารมณ์โกรธให้ดับลง ข่มด้วยกิริยาเยือกเย็นแล้วว่า

“สักชั่วยามเถิดข้าจักพาเข้าเฝ้า เพลานี้จงปล่อยไว้เป็นความดูแลของเรา”

“มาลีพี่ท่านวานละทิ้งน้องแลภัทรพจน์ไว้ตามลำพังสักชั่วครู่ชั่วยามเถิด ด้วยมีกิจสำคัญหมายเจรจามิช้านาน”
 
หญิงสาวผู้ครองฐานะพี่สาวมาตะยืดตัวตรง สังเกตจากอารมณ์ผ่านสีหน้าเห็นว่าขุ่นเคืองอย่างที่สุด

“มาตะเคยกล่าวกับเราเป็นข้อความฝังใจอย่างหนึ่งจึ่งอยากให้กฤษณาน้องเราร่วมรับรู้” มาลีวาดรอยยิ้มหลังข่มอารมณ์ร้อนลง “เพลาวันหนึ่งเมื่อพี่สาวแลน้องชายร่วมอุทรมิได้พบหน้าค่าตากันนานครั้ง จวบกระทั่งมาตะผู้ครองฐานะพระราชบุตรบุญธรรมแต่กระทำใฝ่รู้มุ่งอาสาสู่การศึกษาตำแหน่งนายกององครักษ์ตามความตั้งใจเกิดปะเข้ากับเราระหว่างทางฉนวนรอยต่อพระราชฐานชั้นนอกแลชั้นใน มาตะน้องเราเห็นเรานำขบวนเชิญพานเทียบกรวยดอกไม้ก็เข้ามาคำนับมิได้คำนึงถึงยศศักดิ์แท้จริงประจำตัว แต่สำนึกในฐานะพี่แลน้องปฏิบัติต่อกัน เราจึ่งถามว่ามีธุระใด ฤา จึ่งหน้าชื่นตาบานฉะนี้มิเคยพบ มาตะก็จูงมือเราออกห่างจากคนทั้งปวงแล้วสนทนาต่อกันตามลำพังว่า มาลีพี่ท่าน คำทักว่ามาตะหน้าชื่นตาบานผิดวิสัยนั้นจริงแล้ว เพราะหัวอกบัดนี้เต้นระทึกมิอาจระงับให้ผุดขึ้นหน้าได้ยากนักจักขอเผื่อแผ่ความชื่นบานนั้นสู่พี่ท่านเพื่อแบ่งเบามิให้อกตัวต้องดิ้นดับไปเสียก่อน เราฉงนนักจึ่งซักไซ้ไล่เลียงเอาความ มาตะก็เผยความจริงทั้งนั้นโดยตลอดนับแต่การตามเสด็จมหาอุปราชาพระเชษฐาธิราชเข้าสักการบูชาอัปสรเทพ ณ เทวาลัยหลวงตลอดจนรู้สึกไม่เป็นสุขประหนึ่งมีบางอย่างคับข้องในใจก็หวนนึกถึงหอเก็บตำราหลวงแล้วทะลวงเข้าดับระงับร้อนในกาย”

มาลีทอดสายตาอ่อนโยนมองมหาบุรุษ พลางกล่าวสืบไปว่า

“ภัทรพจน์น้องท่านคงล่วงรู้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นเป็นประการใด แต่เราจักขอพรรณนาถึงความสุขแลยินดีที่ผุดขึ้นบนวงหน้ามาตะให้ท่านนึกตามได้ ก็ระหว่างเล่าการณ์ทั้งนั้น น้องเราผู้ได้ชื่อว่าเป็นชายพูดน้อย ยิ้มยาก ฝีมือหนักคือดาบแลทวน จักหามีครั้งใดมามีอาการหลุดกิริยาลอบยิ้มพลาง ตาแวววามพลาง ประหนึ่งพบเจออัญมณีมีค่านั้นไม่เคยพบ คราวใดบรรยายโฉมภัทรพจน์น้องท่านก็ยิ้มกว้างอย่างที่สุด หรือคราวพร่ำก่อเกิดกองอัคคีลุกไหม้โต๊ะจนถูกวารีกำหราบโดยฝีมือภัทรพจน์ท่านก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พอออกปากขอผ้าคล้องไหล่ประจำกาย เจ้าก็มอบให้ไม่อิดเอื้อนฉะนี้ มาตะมีหรือจะหุบยิ้มทั้งหน้าแลใจได้ เรามิเคยเห็นกิริยาทั้งนั้นก็ให้ประหลาด ใคร่คำนึงแล้วหรือจักเป็นเพราะบุพเพสันนิวาสจึ่งชักนำให้ท่านแลน้องเรามาพบกัน จนมาตะเอาแต่ชื่นชมสมประสงค์กระนี้ เมื่อพี่มาแลเห็นน้องปริ่มสุขไม่เคยปรากฏก็ยินดียิ่งกว่าตัวสุขเสียอีก กฤษณาเอย การอันเราเล่าให้ฟังทั้งนี้มิใช่เป็นการจี้ให้ชอกช้ำระกำซ้ำเติม แต่หมายจักแจ้งความนัยอันมาตะน้องเราสำแดงต่อการพบภัทรพจน์แต่เพียงครั้งแรกเท่านั้นดอก ผิว์กฤษณาน้องเราพึงสังวรได้ว่า คนเรามิอาจเลือกในสิ่งสมปองได้เสมอแล้วจักเป็นคุณต่อมาตะสูงยิ่ง คนผู้คู่กันแล้วแม้นห่างไกลกันเพียงไหน ความรักก็จักชักนำเพื่อพานพบในที่สุด ความตั้งมั่นในใจกฤษณานั้นเรามิอาจล่วงรู้ แต่ภัทรพจน์คือผู้ที่มาตะห่วงแสนห่วงฉะนี้ จักคิดทำการใด ควรตรองให้จงหนัก การเห็นคนที่เรารักรักใครก็สมควรยิ่งที่จะรักคนผู้นั้นเสมอด้วยมิใช่หรือ เมื่อชาติภพนี้มิอาจครองคู่กันแล้วจะฝืนไปไย ปลดใจผูกเวรเคียดแค้นวางลงเสีย แลร่วมยินดีกับรักของคนที่เรารักมิดีกว่าหรือน้องเรา”

ฝ่ายกฤษณาเมื่อแรกยินลำดับเนื้อความบรรยายอาการมาตะคราวเจอพจน์หนแรกก็พลันลุกโพลงด้วยโทสะพยาบาท โผเผเกินจะนั่งทนฟังจนจบได้ ภาพมาตะสนทนาหยอกล้อทอดรอยยิ้มบาดตาเมื่อคราสนธยาคราวนั้นแทรกซึมในห้วงความคิดฝังจิตฝังใจ มาตะคือคนผู้ตนหมายฝากรักฝากตัวมาแต่แรกเห็นมิใช่เพราะหลังได้ยกยศเป็นพระอนุชาแล้วจึ่งนึกชอบ แต่ตนหมายคนผู้นี้มาตั้งแต่ยังวัยรุ่นต่ำฐานะเสียอีก คนทั้งปวงต่างรู้ดีว่าตนเหมาะสมกับมาตะยิ่งกว่าใครอื่น แม้กระทั่งพระราชเทวี พระมารดาบุญธรรมก็ทรงเห็นชอบตาม มิหนำยังเผยกิริยาชี้นำกฤษณาเข้าหมั้นหมายกับมาตะสมฐานะอีก แต่ครั้นภัทรพจน์มหาบุรุษผุดกาย วิมานฝันเรืองรองจึงล่มสลายต่อหน้าต่อตา

“มาลีพี่ท่าน” กฤษณาระงับเสียงเป็นปรกติ แต่ดวงตาแดง ปากสั่น “การทั้งนี้ก่อขึ้นเพราะความผิดกฤษณา ฤา จึ่งเป็นเหตุให้มาลีพี่ท่านกล่าวคำดั่งมีดปักอกน้อง คำร้ายหนึ่งกฤษณามิเคยร้องว่าให้เจ็บทรวง ยามเราสองปะเจอกันครั้งใดก็มีแต่ถ้อยทีมธุรสวาจาสนทนาต่อกันสืบมา กฤษณานับท่านเสมอพี่ในอุทร แลท่านก็นับกฤษณาประหนึ่งน้องร่วมไส้เป็นที่โจษขาน ยามใดทุกข์กฤษณาก็ร่วมทุกข์ด้วย คราวใดสุขกฤษณาก็พลอยยินดี แต่เพียง...” ตวัดมองพจน์ “ทุกสิ่งอย่างกลับกลายจากหน้าเป็นหลังมือเสียสิ้น ถ้ากฤษณามิฟื้นความแล้วไหนเลยจะระลึกได้ว่า ประพฤติมาลีพี่ท่านกาลก่อนกับปัจจุบันต่างกันลิบลับ”

“กฤษณา!” มาลีตวาดเสียงดัง แต่เด็กสาวอ่อนวัยกว่ามิได้เกรงคำอย่างเมื่อก่อนเสียแล้ว กลับลบรอยยิ้มจอมปลอมถลึงตาจ้องกลับ

“ประพฤติเรามิได้เปลี่ยนดั่งเจ้าบริภาษให้อับอายฉะนี้ ทว่ากิริยาเจ้าต่างหากเล่าที่แปรเปลี่ยน ก่อนนี้คำย้อนหนึ่งน้อยจักเคยปรากฏคราวเราแนะสั่งสอนก็หาไม่ นับวันยิ่งโต้กลับฉอดๆข้ามหัวไม่รู้จักวัยวุฒิ ใครหรือที่เปลี่ยนผัน”

“พอเถอะครับ” พจน์ขัดคำ เมื่อฟังสนทนาทุ่มเถียงจนเกินจะนิ่งดูดาย “ผมเองก็มีเรื่องจะคุยกับกฤษณาเหมือนกัน พี่มาลีไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”

ในชั้นแรกมาลีดั่งหนึ่งคนถูกจุดไฟใต้ฝ่าเท้า แผดเผาทั้งอินทรีย์ด้วยคำพูดดูหมิ่น ซ้ำกล่าวให้ร้ายว่าตัวเป็นฝ่ายผิดมาแปรเปลี่ยนกิริยาไม่เหมาะสมก็ฮึดหมายจะสำแดงให้หญิงอ่อนวัยได้เห็นดี ครั้นได้ยินคำพูดน้องสะใภ้กล่าวเป็นวาจาเย็นดุจน้ำราดดับกองฟืนใต้เท้าก็คืนสติ พิจารณาดวงตาสีน้ำตาลแน่วแน่ก็คลายอารมณ์ร้อนแลว่า

“หากภัทระน้องท่านประสงค์จักเจรจาความด้วยดั่งว่า เราก็มิขัด แต่ขอเตือนให้ระมัดระวังอย่าเจรจาให้ยาวนาน ท่านควรพักผ่อนเสริมเรี่ยวแรงจักดีกว่า เราจะออกไปคอยอยู่ด้านนอก แล้วเสร็จจงเรียกเถิดจักเข้ามาทันที”

กล่าวฝากความเสร็จก็หุนหันเยื้องย่างไปเช่นเดียวกับนางกำนัลรับใช้ หลงเหลือไว้ตัวต่อตัวตามลำพัง

“กฤษณา”

“ภัทรพจน์”

หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวผุดคำเรียกโดยพร้อมเพรียง พจน์จึงพยักหน้าให้อีกฝ่ายกล่าวก่อน กฤษณาระงับอารมณ์ภายใน ผ่อนลมหายใจเข้าออกลำดับเป็นคำหนึ่งคำสองจนทุเลาก็เกริ่นว่า

“ภัทรพจน์ท่าน มิใช่สิ มหาบุรุษ ท่านเคยรู้จักความรักมาสักกี่มากน้อย ฤา กรุณาแจ้งลำดับภูมิรู้นั้นแก่กฤษณาเป็นคุณด้วยเถิด” พจน์ขมวดคิ้วไม่นึกว่าเด็กสาวตรงหน้าจะถามคำถามผิดต่างจากตนคะเน

“ผมรู้จักความรักตั้งแต่จำความได้ คือ ความรักจากพ่อ จากแม่ จากปู่ จากอา ต่อมาก็จากน้องสาว รวมถึงเพื่อนๆ” จับจ้องใบหน้าเจิดกระจ่างแต่แฝงแววชอกช้ำระกำทรวงผ่านแววตาใส “แต่หากเป็นรักแท้ที่ก่อให้ใจผมสั่นวะวาบจนวูบไหวในวัยหนุ่มสาวไม่เคยปะ...จนกระทั่งเจอมาตะ”

กฤษณาบีบหลังมือตนเองระงับอาการสั่น ปากสีซีดเผยอขึ้น เช่นเดียวกับดวงตาเอ่อคลอหยดน้ำ

“คืนให้ข้าเถิด ความรักเที่ยงแท้อันท่านประจักษ์นั้น โปรดคืนให้กฤษณา”

ดวงสีน้ำตาลสวยสมทอดมองนัยน์ตาคมของเด็กสาววัยเดียวกัน แล้วว่า

“สิ่งที่เธอพูดว่า เมื่อก่อนนี้มาตะกล้าหาญเข้มแข็งแม้แต่ใครก็ไม่อาจสู้รบเสมอฝีมือได้นั้น จริงหรือเปล่า”

“คนทั้งปวงทั่วแผ่นดินสุวรรณนคราล้วนประจักษ์ด้วยตาเป็นสักขีพยาน ซ้ำกิตติศัพท์ฝีมือรณรงค์เทียบชั้นขุนทหารแม่ทัพนายกองเป็นที่เลื่องลือทั่วสารทิศ ไหนเลยกฤษณาจักกล้านำคำปดมากล่าวอ้างในห้วงเพลาหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่บัดนี้สรรพวิชาอาคมประจำกายมาตะผู้ใดเห็นก็รู้ว่าลดทอนลงมากกว่าแต่ก่อน พระเวทมนตราทมิฬไหนเลยจักทำอันตรายมาตะได้ ก็ในเมื่อคนผู้นั้นฝึกคาถาร่ำเรียนมาแต่สำนักโกสินธพมหาราชครูจนสิ้นภูมิความรู้ คาถาปัดป้องย่อมท่องจนขึ้นใจ แลมีคำหนึ่งซึ่งท่านยังมิทราบ คือคราวพระเจ้าอยู่หัวตรัสถามมหาพราหมณ์ในข้อนี้ ครูท่านกล่าวมิปิดบังว่า มาตะมิได้แข็งแกร่งเช่นเก่าก่อน ก็เพราะ...”

พจน์พยักหน้าให้เด็กสาวพูดต่อ

“มาตะได้เป็นเจ้าของท่านทั้งกายแลใจแล้ว ฤา มิใช่” คำกล่าวกระท่อนกระแท่นผสมหยดน้ำตาฉุดคร่าหัวใจกฤษณาให้แหลกลาญสุดทานทน “พลังความรักส่งให้ท่านเข้มแข็งขึ้น แต่มาตะจักอ่อนแอลงตามลำดับ”

“เธอให้สัญญากับผมคำหนึ่งจะทำได้หรือเปล่า” เจ้าภัทรพจน์พูดตัดความ “ปลดปล่อยความเคียดแค้นชิงชังแต่อดีตกาลเสีย ช่วยปลดปล่อยนารีพิฆาตสู่วัฏสงสารเพื่อชดใช้ผลกรรม จะทำได้หรือเปล่า


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป


__________________________________


เครื่องลำยอง : ตัวไม้เครื่องประดับปั้นลม มีช่อฟ้า หางหงส์ ใบระกา
บราลี : ยอดเล็กๆที่เสียบรายตามหลักอกไก่หลังคา หรือหลังบันแถลงบนหลังคา มีสัณฐานดุจยอดพระทราย
ฝาประจันห้อง : ฝากั้นห้อง

___________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

โอ๊ย ขนลุก ฮือออ พจน์ต้องช่วยมาตะให้ได้นะ เราเชื่อในพลังความรักของพวกนาย  :sad11:
ตอนล่าสุดนี้คุณคงรู้แล้วนะครับว่า พลังความรักจะช่วยมาตะได้หรือเปล่า รอติดตามตอนต่อไปนะครับ

ลึกล้ำ
ถือว่าเป็นคำชมแล้วกันนะครับ อิอิ

เราถึงขั้นต้องลงทะเบียนสมัครสมาชิดบอร์ดเพื่อมาเม้น ก่อนหน้านี้ก็อาศัยอ่านทั่วไป ต้องบอกว่า ข้ามพิภพ เป็นนิยายวายที่แตกต่างจากประสบการณ์ที่เคยอ่านอย่างมาก คือ แกนหลัก เป็นความรักของ ช-ช แต่ปมและเรื่องราวผสมแนวภัยธรรมชาติ แฟนตาซี พีเรียด ทั้งมีโคลงกลอนแทรกไว้ เราไม่เคยเห็นมาก่อน มันทั้งตื่นเต้น ต้องขบคิด เดาเนื้อเรื่อง ปริศนา ชวนให้น่าติดตาม ส่วนภาคบรรยายที่เหมือนมีคำคล้องจองอย่างกลอนนั้น เราถือว่าเป็นลายเซ็นต์เอกลักษณ์ของนักเขียนได้เลย เยี่ยมมาก บอกตรงๆต้องขอบใจที่กลั่นกรองความสามารถถักทอเป็นเรื่องราวน่าอ่านแบบนี้ ที่ถ้าไม่ตั้งใจดีๆก็จะกลายเป็นอ่านยากทันทีเพราะสำนวนเขียนแบบงานเขียนนิยายเก่าๆ ฉะนั้นเราขอเป็นกำลังใจให้คนแต่งอีกหนึ่งแรงใจนะคะ สู้ๆ รอติดตามอยู่
ดีใจครับที่งานเขียนของผมสามารถดึง นักอ่านเงา อย่างคุณออกมาสู่ด้านสว่างได้ ฮ่าๆ ผมเชื่อว่ายังมีนักอ่านเงาคนอื่นๆที่ซุ่มอ่านอยู่(ผมเห็นนะ ว่าจำนวนผู้อ่านของแต่ละตอนก็มีอยู่จำนวนหนึ่งเลยทีเดียว อิอิ ออกมาเม้นกันเยอะๆเถอะครับ อยากรับรู้ความคิดเห็นของพวกคุณ) คือ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำติชม ถ้านิยายเรื่องนี้ถูกใจคุณก็เป็นกำลังใจอย่างสูงสำหรับผู้เขียน ส่วนการบรรยายที่มักจะแทรกคำคล้องจองในบางช่วงก็อาจจะมีคนถูกใจ และไม่ถูกใจก็เคยมีทักท้วงมาแล้ว แต่ยังไงก็จะไม่ให้มีพร่ำเพรื่อจนเกินพอดี เพราะอย่างไรนี่คือนิยายร้อยแก้วเป็นหลัก ที่แทรกด้วยร้อยกรองเสริมเข้ามาตามเจตนาเดิมของผม ขอบคุณสำหรับกำลังใจดีๆครับ
อยากอ่านอีกแล้วอ่ะคับ   Cooling
แฟนนิยายตัวยงแบบนี้ ผมไม่ให้รอนานหรอกครับ จะลงให้บ่อยเท่าที่เขียนได้จนพอใจแล้ว ซึ่งแต่ละตอนก็ไม่ใช่ง่ายๆกว่าจะเขียนจบ ขอบคุณครับ
น่าสงสาร วายุ
ครับ  ถ้าใครไม่สงสารวายุนี่ ถือว่าเป็นคนใจแข็งอยู่เหมือนกัน ความเสียสละของมารุต/วายุ เป็นการกระทำอย่างหนึ่งที่เพื่อนจะแสดงต่อเพื่อนที่หาได้ยากในชีวิตจริง แม้นเป็นตัวละครที่น่าสงสารและอาจจะมีบทบาทไม่มาก แต่ก็หวังว่าจะทำให้ผู้อ่านรับรู้มิตรภาพระหว่างเพื่อนที่เมื่อถึงคราวลำบากก็ไม่ทิ้งขว้างทอดทิ้ง รอติดตามตอนต่อไปน้า
:mew4: :mew4: :mew4: :mew4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณครับ ตอนใหม่มาแล้วน้า อ่านต่อกันเลย พวกเรา

หวังว่าการเสี่ยงครั้งนี้จะมีคุณมากกว่าโทษนะ  แถมตอนที่แล้วใช้พลังไปแล้วหนึ่ง  เหลืออีกสอง  คงไม่มีเหตุให้ต้องใช้เกินจำเป็นนะ  ตามต่อไปครับผม
ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอกครับ ยิ่งเป็นสิ่งที่ยากมากเท่าใดก็ต้องแลกด้วยสิ่งที่ยากเสมอกัน เช่นเดียวกับการเสียสละของมารุต/วายุ แลกกับอนันตวัชรมรกต จะคิดว่าเหตุการณ์นี้เป็นคุณหรือโทษ ผมไม่อาจพูดได้เต็มปาก แต่อย่างน้อยความเสี่ยงก็เป็นสิ่งที่น่าลองทำไม่ใช่หรือครับ เช่นเดียวกับทุกอย่าง การเสี่ยง มีค่าอยู่แค่ สำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่การไม่เสี่ยงไม่มีค่าใดๆเลย ฮ่าๆ เอาเป็นว่า พจน์เหลืออีกเพียงสองครั้งเท่านั้นที่จะผนึกกำลังกับภูเตศวรฯ เขาจะใช้มันอีกเมื่อไหร่ รอติดตามนะครับ ใกล้ดำเนินมาถึงช่วงเวลาตอนจบแล้วด้วย (แอบกระซิบๆ)
เฮ้อ เหนื่อยมากเลย สงสารพจน์เรื่องราววุ่นวายขึ้นมาก หวังว่าสิ่งต่างๆที่ทำลงไปจะได้รับผลดีๆกลับมานะ
ลองคิดว่าถ้าเป็นตัวเราต้องเจอทุกอย่างแบบเดียวกับที่พจน์เจอ ผมก็คงรู้สึกเหนื่อยอย่างที่คุณว่าจริงๆนั่นแหละ แต่พจน์ของเราไม่มีทางเลือกมากนัก สิ่งต่างๆที่ตัดสินใจต้องทำในนิยายถ้าล้มเหลวก็ไม่มีทางกลับไปแก้ไขได้ แม้นจะมีอำนาจมากมายแค่ไหนในตัวก็ตาม ดังนั้นการตัดสินใจทำอะไรลงไป คือ ทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เช่นเดียวกับชีวิตของคนปกติแบบผู้อ่านและผู้แต่งอย่างเดียวกันครับ งงไหม ฮ่าๆ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-12-2017 10:43:24 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
คราบผม  จะทำเป็นหนังสือไหมเอ่ย  ต้องการนะ  อยากเก็บไว้นะ เพราะเป็นแนวที่ชอบและหาอ่านยากแล้วทุกวันนี้  ส่วนเนื้อเรื่อง ตอนนี้ยังไม่กล้าไว้ใจใครเลย มันกลัวไปหมด  กลัวเจอเซอร์ไพส์อะดิ  ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็ยังรักฝังใจมาตะไม่เปลี่ยนจนนารีพิฆาตยังคงตนอยู่  ยิ่งใกล้จะจบยิ่วกลัวอ่ะ  กลัวไม่หวัง  รอต่อไปครับ

ออฟไลน์ DESZCZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สงสารพจน์มาก คืออยากให้สมหวังในความรักมากเลยนะ แต่ดูมีอุปสรรคมาขวางไว้ตลอดเลย พอกำลังจะสุขก็มีเรื่องวุ่นๆเข้ามาตลอด  กฤษณาก็นะ...เข้าใจว่าเพราะรักเลยทำได้ทุกอย่าง หวังว่าในซักวันเธอจะปล่อยวางทุกอย่างได้ซะที

ออฟไลน์ pnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กฤษณานี่ยังไง มาตีหน้าเศร้าขอความรักจากคนอื่น ไม่ละอายบ้างเหรอ นายอย่าไปยอมนะพจน์ กลัวใจนายจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2016 06:21:47 โดย pnn »

ออฟไลน์ Delta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๓๙



พระอัครราชเทวี



แสงบูรพาทิศเรืองรองอำไพ ฉายเลื่อมลับสลับไหวผ่านพระบัญชร ยามเจ้าภัทระผ่อนฝีเท้าหยุดยั้งอยู่หน้าพระทวารลงลักปิดสุวรรณลายเทพพนม ข้าหลวงนางกำนัลฝ่ายในสวมอาภรณ์ขาวก้มกราบหน้าผากชิดพื้นกระดานแน่นิ่ง นางโขลนโครงร่างอวบใหญ่สองคนคุกเข่าพนมมือแล้วผลักบานประตูเปิด ภายในเป็นพระตำหนักเรือนไม้ทาทับด้วยสีน้ำตาลแดง ลงรักปิดเปลวลายพุ่มข้าวบิณฑ์รอบโคนเสา แซมเถาบัวคว่ำบัวหงาย ผนังเป็นลายกระจังสอดแทรกประจำยามดูงดงามอ่อนช้อย สีทองมลังเมลืองดูเปล่งปลั่งเฉกเดียวกับพระสุพรรณราช พานพระขันหมาก พัดโบก ตั่งพระที่นั่ง รวมถึงอัจกลับเหนือขื่อเพดาน ล้วนประดับประดาไว้ด้วยทองคำทั้งสิ้นทั้งปวง
 
กฤษณาคลานเข่าติดหน้าตามหลังมาลีสู่ทิศทางตั่งพระที่นั่งทอง พจน์ทำตามด้วยจิตใจว่างเปล่าคิดถึงมาตะอย่างที่สุดแต่จำต้องอดทน บนตั่งทองนั้นมีอิสตรีล่วงมัชฌิมวัยผู้หนึ่งนั่งประทับหน้านิ่งขรึมดูยำเกรง ครั้นมาลี กฤษณาพนมมือก้มกราบเป็นหลักนำ พจน์จึงทำตาม นางรับใช้แวดล้อมกุลสตรีผู้สูงศักดิ์นั้นครองสายตาทอดลงต่ำ พอพจน์เงยหน้าขึ้น พระเนตรแดงช้ำสีเข้มของสตรีผู้นั้นก็จับจ้องไว้อยู่ก่อนล่วงแล้ว พระพักตร์ยังคงงดงามเสมือนกาลเวลาแลพระชนมายุมิได้พรากสิริโฉม พระขนงโค้งวาดด้วยผงถ่าน ประดับอัญมณีสีชาดกรอบทองกลางพระนลาฏ พระพักตร์ซีดเซียวเฉกเดียวริมพระโอษฐ์ มวยผมทรงสูงรัดฉลองเกล้า พรั่งพร้อมด้วยพัตราภรณ์ทองคำอร่าม ทรงภูษาคาดอกขาวทอเป็นลายดอกพุดตานด้ายเงิน ลวดลายเดียวกับผ้านุ่ง สวมกำไลทองสลับมาลัยรอบข้อพระกร
 
“นี่น่ะ ฤา มหาบุรุษในตำนานโคลงพยากรณ์” พระราชเทวีตรัสถามมาลี แต่พระเนตรทัศนาพจน์

“เพคะ” มาลีพนมมือกราบทูล กฤษณาซ้อนมืออยู่ในท่าหมอบก้ม พระราชเทวีขยับพระบาทจากท่าพับเพียบจรดสู่พื้นกระดาน แล้วจึ่งเสด็จพระดำเนินมารั้งตัวพจน์ให้ลุกนั่งเป็นปรกติ พระหัตถ์นั้นเย็นดุจน้ำแข็ง แต่แววโศกแฝงชัดเบื้องพระพักตร์ยามพินิจพิจารณาในระยะใกล้
 
“ลุกนั่งตามแต่ท่านเคยปฏิบัติเถิด” ตรัสพลางก็กระเถิบห่าง “กิริยาธรรมเนียมใดเป็นข้อซึ่งท่านมิได้เคยกระทำในวาระปกติวิถีแล้วไซร้ จงอย่าได้ฝืนปฏิบัติให้ขัดข้องหมองใจเป็นการยาก เรานี้หรือเป็นเพียงสตรีตามเพศกำเนิด มิได้ผุดเกิดจากฟากฟ้าดั่งคนสมมติขึ้น ฐานันดรใดๆล้วนปลุกปั้นเพื่อยกคนให้เหนือคนดอกจึ่งบังเกิดเป็นชนชั้นพระมหากษัตริย์ ยามมนุษย์อยู่รวมกันเป็นจำนวนมากยากแก่การดูแลปกครองจึ่งคิดระบอบวรรณะนำมาใช้ เพื่อควบคุมดูแลทุกข์สุขของเพื่อนพ้องน้องพี่ ก็แหละเรานี้เป็นคน คือ มีหนึ่งเศียร สองมือ แต่หัวอกเดียวเสมอปุถุชนสามัญ หาได้มีมากกว่านั้นไม่ มิควรให้ท่านซึ่งมีกายแท้จริงคือ สี่เศียรสี่พักตร์สี่กร ต้องก้มกราบเป็นอัปมงคลลดอายุตัว จึ่งวอนท่านละกิริยาแลลุกนั่งให้สบายเถิด”

พจน์ไม่ทราบเจตนาแท้จริงของพระราชเทวีก็นิ่งคิดตามอยู่

“ในเมื่อมนุษย์ทุกคนล้วนเหมือนกันโดยสิ้นดั่งนี้แล้ว ตามวิถีปุถุชนผู้ยังมิพ้นกิเลส วนว่ายเวียนเกิดเพื่อชดใช้กรรมซึ่งได้เคยก่อไว้เมื่อชาติที่แล้วด้วยประการดั่งว่า คือ ชาย ฤา หญิง ใดๆในโลกล้วนมีเครือญาติผูกพันกันมา ก็เรานี้เป็นสตรีเหยียบชั้นวัยครึ่งคนดั่งนี้ แม้นกำเนิดในวงศ์ตระกูลสูงยิ่งกว่าผู้ใดจนยกฐานันดรเทียบชั้นแม่เมือง ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นแม่คน มิเฉพาะแต่ในนาม แต่ในทางประพฤติก็ล้วนสำแดงต่อคนทุกผู้ให้เห็นแจ้ง คือให้กำเนิดราชบุตรเป็นบ่วงขึ้นมาตามคำเรียกของลัทธิพราหมณ์ผู้สิ้นกิเลส แต่เรานี้ยังมิอาจเทียบชั้นพรหมผู้ละกิเลสได้ จึ่งเห็นว่าบุตรชายอันตัวอุ้มชูนั้นประหนึ่งแก้ววิเศษล้ำค่ายิ่งกว่าเป็นห่วงดึงรั้ง”

พระราชเทวีเอื้อมพระกรหยิบของสองสิ่ง ประกอบด้วยพู่ห้อยทวนขนจามรีสีขาวเปรอะเปื้อนรอยเลือดหนึ่ง หอกซัดด้ามเล็กที่พระอุปราชสุริยะประทานให้พจน์อีกหนึ่งขึ้นมาถือในอ้อมหัตถ์ แล้วพิจารณาราวกับสิ่งของทั้งนั้นคือราชบุตรแห่งตัว

“พู่ห้อยทวนนี้ ท่านรู้ ฤา ไม่ ว่าเป็นสิ่งของจากผู้ใดกระทำขึ้น”

พจน์ได้แต่ส่ายหน้า ครั้นเห็นสายพระเนตรยังคงรอคำตอบอยู่ก็คาดเดาตามความคิดตน “พระอุปราช”

“หาใช่ไม่” สตรีผู้ครองฐานะแม่เมืองปฏิเสธแผ่วเบา “เป็นเราผู้ได้ชื่อว่ามารดา ถักทอประกอบเป็นอาภรณ์ประดับศาสตราให้งามสง่า วิสัยหัวอกแม่ ยามเห็นบุตรตัวเก่งฉกาจในทางอาวุธใดก็พรั่งพร้อมเสมอใจเชี่ยวชาญด้วยการอาวุธนั้น แลอยากร่วมมีส่วนในความสำเร็จด้วย จึ่งประดิษฐ์พู่ห้อยขนหางจามรีขึ้นประดับไว้ เฉกเดียวกับมารดาคอยเฝ้าระวังภัยบุตรฉันใดก็ฉันนั้น”

พระนางทรงยิ้มแย้มให้กับพู่ห้อยเปื้อนโลหิตแล้วยกหอกซัดขึ้นพินิจซ้ำ

“ยินว่าอาทิตยาธรบุตรเรามอบหอกซัดพระราชทานมาแต่พระเจ้าอยู่หัวให้แก่ท่านยังจักถูกต้องหรือหาไม่”

พจน์ก็รับคำว่าจริง พระราชเทวีพระราชทานหอกซัดซึ่งถูกพลัดหล่นระหว่างการสู้รบคืนกลับมือพจน์

“มินึกว่า พระราชบุตรจักปลดของประจำตัวแต่เล็กแต่น้อยมอบให้แก่ท่านไว้เป็นสิ่งระวังภัย ด้วยลักษณะนิสัยลูกคนนี้เป็นคนหวงของ แลรักของที่ตัวได้รับมาแต่จำความได้ ครั้นยินว่าของรักพระราชทานมามีอันนำมอบให้ท่านก็หลากใจเป็นล้นพ้น จึ่งคะเนตามประสาวิสัยสตรีว่า การอันชายมอบสิ่งที่ตัวแสนรักแสนห่วงเช่นนั้น หากมิพิสมัยฝักใฝ่ในรักต่อคนผู้นั้นแล้วก็มิเห็นเป็นอื่นได้อีก เช่นนั้นวานมหาบุรุษท่านตอบมาสักคำหนึ่งเถิดว่า การอันสุริยะอุปราชบุตรเราปลดหอกซัดประจำตัวมอบให้ท่านนั้นยังจะต้องกับเราคะเน ฤา มิใช่”

ท่ามกลางเหล่าสตรีในห้องนั้น ทั้งนางในผู้คอยรับใช้ แม้กระทั่งมาลี กฤษณา ต่างเงยหน้าขึ้นราวกับคำถามเป็นเสี้ยนไม้เสียดเนื้อตน มาลีสะดุ้งใจสีหน้าเป็นกังวล กระพุ่มมือหมายจักทูลสนองตอบก็ถูกพระราชเทวียกมือให้สงบ

“เราเจรจาด้วยมหาบุรุษ แลประสงค์ให้คนผู้เราสนทนาด้วยไขคำตอบแต่เพียงผู้เดียว มาลีเจ้าอย่าเพ่อร้อนรนไม่สบาย คำเรามิใช่หอกดาบคิดจักเอาเลือดเนื้อคู่เจรจาตัว เพียงแต่อยากได้ยินความจริงของคนผู้บุตรเรามาดหมายมอบอาวุธพระราชทานให้ก็เท่านั้น”

“ผมไม่รู้ว่าอุปราชคิดยังไงถึงมอบอาวุธเล่มนี้ให้ แต่ผมสามารถให้คำตอบท่านได้ว่า อุปราชสุริยะไม่ใช่คนหลงฐานะยึดติดเบ่งอำนาจ แต่ทรงรักของที่ตัวรักเสมอต้นเสมอปลายตามคำที่ท่านกล่าวมาทั้งสิ้น แม้กระทั่งยอมสละอาวุธนี้เพื่อให้คนที่ไม่เคยรู้จักเอาไว้ป้องกันตัว หรือ...ยอมรับคมอาวุธเพื่อไม่ให้น้องชายที่ตนรักต้องมีอันเจ็บอันตราย คือ มาตะให้พ้นภัย ผมรู้แค่ว่าพระอุปราชยังคงอุปนิสัยเดิมไม่แปรเปลี่ยน ไม่ได้มีเจตนาละทิ้งของพระราชทานหรือทำสิ่งซึ่งท่านมอบให้ต้องแปดเปื้อน”

เพียงสิ้นคำประโยคนั้น หยดพระอัสสุชลหนึ่งน้อยไหลลงจากดวงพระเนตรของพระราชเทวีทันที พระนางจับจ้องภัทรพจน์แน่วแน่แล้วจึ่งหันพระพักตร์หลบรอยน้ำตามิให้ผู้ใดเห็น

“กระไรมหาบุรุษท่านจึ่งเฉไฉไถลไม่ตอบในคำถามเรา เพียงคำว่า ใช่ ฤา มิใช่ เราเห็นว่ามิได้ยากเย็นจักเอื้อนเอ่ย กรุณาตอบเถิดว่า อุปราชบุตรเราฝักใฝ่รักในตัวท่านใช่ ฤา หาไม่”

เจ้าภัทระก็นิ่งใจสงบไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ แล้วทรงตรัสดังเกินพอได้ยินว่า

“ฤา ที่ถูกที่ควร จักควรถามว่า ทั้งพระอุปราชสุริยะแลราชบุตรบุญธรรมแห่งเรา คือ มาตะ ต่างฝักใฝ่ราคะผูกสมัครรักใคร่ในตัวเจ้าด้วยทั้งสองคนหรือ จึงจักยอมตอบคำเรา”

นางข้าหลวงผู้คอยถวายงานรับใช้ต่างสะดุ้งในคำไม่คาดคิด ก็ก้มหน้าเนื้อตัวสั่น มาลีพนมมือหมายกราบทูล พระราชเทวีก็ตวาดให้เงียบโดยพลัน

“หม่อมชั้นจำต้องฝืนพระเสาวนีย์ ในเพลาเยี่ยงนี้จักกวดขันคาดคั้นเอาเนื้อความตื้นลึกมิสมควรก่อน ก็บัดนี้ทั้งพระอุปราชแลราชบุตรบุญธรรมล้วนพ้นวิบากกรรมล่วงแล้ว การณ์ใดผิดพลาดล้วนเกิดผ่านโดยสิ้นมิอาจย้อนห้วงกาลกลับแก้ไขได้ ฉะนั้นหม่อมชั้นจึ่งมิเห็นจำต้องรื้อฟื้นข้อก่อให้พระราชหฤทัยเจ็บซ้ำขึ้นมาอีกจึ่งบังอาจขัดคำสนอง มิได้กระทำให้ขัดหมองพระอารมณ์”

กำเริบเสิบสานนัก มาลี เจ้าเป็นถึงผู้พี่ของมาตะ หลงลืมความผูกพันต่อกันฉันน้องพี่แล้วกระนั้น ฤา จึ่งกล่าวคำประหนึ่งหญิงใจทมิฬหินชาติไร้เจ็บรู้สึก ก็บัดนี้คนผู้เป็นตัวการให้น้องเจ้ามีอันตรายจนแทบสิ้นวิญญาณ์ดำรงตนอยู่เบื้องหน้านี้แล้ว เพียงเราเอ่ยด้วยถ้อยวาจาประสงค์ความจริงมาแจ้งกับใจตน ก็ถูกขัดขวางเสียแล้วดั่งนี้ เราต่างเป็นสตรีด้วยกัน เพียงต่างวัยกันมากโข แต่อารมณ์พี่แลแม่ตามวิสัยหญิงมิควรที่จักลบเลือนหายยามล่วงรู้ว่า เหตุอันก่อวิบากกรรมต่อแก้วตาดวงใจเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า เราไม่พุ่งเข้าตบตีให้หายแค้นก็ถือว่าข่มใจไว้มากแล้ว ซ้ำเจ้ามาห้ามปรามดุจคำพูดเรามิสมควรเฉกนั้น มันผู้นี้ดีเลิศประการใด ฤา จึ่งทำให้เราต้องมองข้ามความผิดแลมิซักให้ได้ความจริงจากปากมาระงับอารมณ์ตัว”

มาลีก็ถลันเข้าลูบพระบาทของพระราชเทวีให้คลายพระอารมณ์ แล้วว่า

“พระแม่เจ้าอย่าเพ่อด่วนสรุปการเป็นต้นสายปลายเหตุ ก่อให้เกิดอาเพศต่อพระราชบุตรทั้งสองเลย หม่อมชั้นมิได้ปรามเพราะหลงเมามัวในคนต่างเชื้อ เจ้าต่างนาย แต่เป็นเพราะมาตะผูกพันกายไว้กับภัทรพจน์มาแต่ชาติปางก่อนแลชาตินี้มิผิดตัว หากพระนางฯเจ้ากระทำการหุนหันตบตีทั้งด้วยคำพูด ฤา กิริยาใดต่อมหาบุรุษ มีหรือที่มาตะมาล่วงรู้ในภายหลังจักไม่เจ็บปวดไปด้วย”

ผูกพันกายไว้ เจ้านำคำใดมาเกริ่นกล่าวให้ระคายหูเรา มาลี เรานี้แทบระงับสติอันตัวครองฐานะไว้มิได้แล้วฉะนี้ ไยจึ่งพัดโหมไฟแค้นให้ลุกลามซ้ำยิ่งกว่าเก่าด้วยคำนั้นอีกเล่า เรามิอยากได้ยิน!

พระราชเทวีตรัสดังสะท้อนไปทั่วห้อง พจน์ได้แต่จ้องภาพเบื้องหน้าราวกับไม่เห็นสิ่งใดนอกจากมาตะ

ไปเสียเถิด กลับไปยังที่ซึ่งเจ้าจากมา ไม่ว่ามหาภัยร้ายนี้จักทำลายอาณาจักรสุวรรณนคราพินาศราบคาบเช่นไรก็จงปล่อยให้มันเป็นไปตามวิถีทาง แต่จงอย่าได้สร้างความร้าวฉานแลเป็นชนวนเหตุแก่บุตรทั้งสองของเราอีก เราผู้นี้ไม่ประสงค์อำนาจซึ่งเจ้าครองสักเสี้ยวหนึ่ง หากการดำรงอยู่เป็นดั่งหอกข้างแคร่เฉกนี้ก็จงไปเสีย แลอย่าได้หวนกลับมาอีก”

“พระราชเทวีเพคะ” มาลีผวาร้องเตือน

“ออกไป!” พระอัครราชเทวีเหวี่ยงพู่ห้อยทวนเปื้อนโลหิตกระทบหน้าตักพจน์ “พวกเจ้าทั้งหมดออกไป บัดเดี๋ยวนี้”

นางข้าหลวงผู้ถวายงานแวดล้อมต่างร่นถอยตามพระเสาวนีย์โดยพลัน รั้งรออยู่แค่มาลีแลกฤษณา

“พระนางเจ้าฯโปรดทรงระงับความอาดูรเถิดเพคะ” มาลีก้มกราบวอนขอ ลอบเห็นเจ้าภัทระยอดรักของมาตะนั่งนิ่งขรึมนัยน์ตาว่างเปล่าก็เจ็บในอกตัว เพียงตนดำรงฐานะเป็นพี่ยังเจ็บเฉกนี้แล้ว มาตรแม้นมาตะมาได้ยินกับหูรู้กับตาว่า พระมารดาผู้ทรงชุบเลี้ยงตวาดขับไล่คนรักตนราวกับหมูหมามีหรือจะไม่รันทดช้ำไปอีก ก็โผกราบขอพระกรุณา

“น้ำพระทัยเมตตาการุณย์อันผู้คนกล่าวขาน ว่าฉ่ำเย็นเช่นสายฝนพร่างพรมเหล่าอาณาประชาราษฎร์เป็นที่สรรเสริญมาช้านาน ก็แหละเพลานี้จักยกเว้นมหาบุรุษผู้ฉุดชุบชีพมาตะกลับคืนได้เป็นที่อัศจรรย์นั้นยังจักมองข้ามได้กระนั้นหรือเพคะ หากมิเห็นว่าเป็นคนผู้มาตะรักแล้วก็ทรงเมตตาในฐานะข้าแผ่นดินสักคนหนึ่งจักพึงได้รับน้ำพระทัยนั้นเถิด”

พระราชเทวีได้ฟังคำค้านของนางสนองโอษฐ์ผู้ครองฐานะพี่มาตะแล้วก็พลันพระสรวลขัดกับนัยเนตร สะกดอารมณ์โทสะภายในมิให้สำแดงเกินเหมาะควรได้แล้วก็สูดพระอัสสาสะ ขืนพระวรกายสั่นเทิ้มให้นิ่งสงบ พลางตรัสว่า

“คำคนทั้งนั้นสรรเสริญเรา ก็เพราะเห็นเราในยามปรกติดอก แต่บัดนี้เลือดเนื้อเชื้อไขเราทั้งสองมามีอันต้องภยันตรายเกือบสิ้นชีวาวายกระนี้ เจ้ายังจักให้เราครองเมตตาธรรมดำรงหัวอกให้เย็นเหมือนมิได้ทุกข์ร้อนประการใดนั้นก็นับว่าเป็นมารดาที่ชั่วช้าหาใดเปรียบ จักให้แสร้งปั้นหน้าแลอารมณ์คล้อยตามพลอยเห็นดีเห็นงามอุ้มชู ฤา ต้อนรับขับสู้ มหาบุรุษเหมือนเช่นขุนนางผู้ใหญ่กระทำนั้น เราฝืนใจปฏิบัติตามมิได้แล้ว เพียงแลเห็นหน้าทั้งมือเปื้อนเลือดของบุคคลผู้นี้ก็ดั่งหนึ่งมีหอกซัดทิ่มแทงมิอาจทน ใครผู้ใดจักว่าประการใดก็แล้วแต่เถิด แต่เราเกิดเป็นสตรีแลแม่ หัวอกตัวทนเห็นเสี้ยนหนามกาลกิณีชวนชี้ให้ลูกเราต้องโลหิตผิดใจกันกระนี้ ไม่ขอแผ่เมตตา เมื่อซักความแจ้งแก่ใจแล้ว จงไปเสียก่อนเราเรียกราชมัล มาลงอาญาตามกระบิลเมือง”

มาลีเห็นการลุกลามใหญ่โตเกินกว่าปากตนจักชักนำให้คลายสงบ สิ้นปัญญาแก้ไขก็ขยับถอยเข้าหาน้องสะใภ้ เจ้าภัทรพจน์มิได้โต้คำใดกับพระมารดาบุญธรรมของมาตะ เพราะถ้อยคำทั้งนั้นคือความจริงสุดที่จะปฏิเสธก็ได้แต่ฟังนิ่ง ครั้นเห็นมาลีคว้ามือตนพยักหน้าทำทีเป็นคลานถอยก็ปฏิบัติตาม พระราชเทวีผุดลุกยืนพระพักตร์บึ้งตึง พระหัตถ์ทั้งสองกำพระภูษาฉลององค์จนเกิดรอยยับย่น

“มาตะราชบุตรมีคนผู้เราหมายใจไว้เป็นคู่ครองอยู่ก่อนล่วงแล้ว คือ กฤษณา” พระนางตรัสด้วยสุรเสียงอันดัง “หากเสน่ห์เล่ห์กลมารยาใดบังเกิดให้บุตรเรามีอันหลงเมามัวชั่วครู่ชั่วยามก็เพราะหลงผิด ต่อแต่นี้เราจักดูแลเรื่องคู่ครองให้สมฐานะขัตติยราชประเพณี เหตุการณ์ใดผ่านล่วงแล้วโดยไร้ขนบโบราณเป็นขั้นตอนเรามิยอมรับ จักถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ฐานะชายาพระราชบุตรบุญธรรมสงวนไว้แก่แก้วกัลยากฤษณาแต่คนเดียว นอกกว่านี้เราไม่เห็นเป็นใครอีก”

กฤษณาลอบยิ้มทั้งที่ก้มหน้าหมอบกราบอยู่


มีต่อด้านล่าง

________________________________

พระสุพรรณราช : กระโถนใหญ่
พานพระขันหมาก : พานสองชั้นสี่เหลี่ยมย่อมุม มีซองพานและตลับพร้อมสำหรับใส่หมาก
พัดโบก : เครื่องสูงรูปอย่างพัดขนาดใหญ่ ทำด้วยใบลานปิดทอง มีด้ามยาวติดอยู่ด้านข้าง
พระอัสสาสะ : ลมหายใจเข้า
ราชมัล : เจ้าหน้าที่ทำโทษคน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:49:36 โดย LoveBlueSky2203 »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด