[แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

สำรวจความต้องการให้มีการพิมพ์รวมเล่มนิยาย >>>>ข้ามพิภพ<<<< หรือไม่

ต้องการ
27 (67.5%)
ไม่ต้องการ
0 (0%)
ไม่แน่ใจ
13 (32.5%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 40

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]  (อ่าน 284876 ครั้ง)

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
อย่างน้อยก็มีคนติดตามผลงานเพิ่มขึ้นนะครับ  ส่วนการตัดท้ายบท  เป็นอะไรที่เจ็บปวดอีกแล้ว  เฮ้อ  สรุปมาให้เขารู้ตัวจริงแค่นั้น  มีประโยคเจ็บๆหลายประโยคในตอนนี้นะ  มันลุ้นแบบทรมานใจมาก  ยิ่งใกล้เท่าไหร่มันยิ่งเหมือนมีปมเพิ่มขึ้นอ่ะ  สรุปพจน์จะช่วยใครได้ไหมเนี้ย  รอๆต่อไป

ออฟไลน์ pnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สงสารกัน เข้าใจว่ารักพจน์ แต่เราชอบมาตะนะ แต่ต้องตายเลยหรอ ในที่สุดพจน์ก็ได้เจอจอมมารเสียที ลุ้นอ่ะ รอติดตามนะ

ออฟไลน์ Delta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
R.I.P. กัน นิธิ สินะกาวี ผู้ที่รักมั่นคงตราบลมหายใจสุดท้าย รู้สึกเหมือนจะร้องไห้แต่น้ำตาไม่ไหลไหมคะ คนเขียนทำให้เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ. ถึงจะเชียร์มาตะแต่มาเจอฉากนี้เข้าทำเอาอึ้งไปเลย รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๔๓



ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช



“ไอ้กัน”

ถ้อยเสียงโหยไห้ดังฟ้องเศษเสี้ยวใจว่ามีนิธิสถิตครองอยู่ในฐานะรัก...ระหว่างมิตร รัก...ระหว่างสหาย รัก...ระหว่างเพื่อนต่อเพื่อน  พจน์จึ่งเหมือนเจ็บครวญยิ่งกว่ารักเฉกคนรัก ดวงวิญญาณ กัน นิธิ เด็กใหม่ผู้แปลกประหลาด ท้าทายพจน์ให้ถอดโคลงสี่สุภาพต้องห้าม ณ วินาทีแรกพบเจอ ทั้งช่วยชีวิตอาธนพลพ้นจากอำนาจมนตราลีลาทมิฬ บัดนี้สูญสลาย ไม่มีอีกแล้ว คนที่รักและภักดีต่อพจน์ตราบลมหายใจสุดท้าย สมสัจจะวาจา

“โอ้ ช่างน่าเวทนาเหลือประมาณ รัก ฤา มิตรภาพเล่าจึ่งทำให้เจ้าเจ็บเจียนสิ้นชีวาวายกระนี้” จอมมารกรีดคำขัน คลี่นิ้วปัดฝุ่นผงดวงวิญญาณผสมกายหยาบของผู้ทุรยศ
 
“แก..” ภัทรพจน์บดฟัน เส้นเลือดในกายผุดชัดแทรกผิวเนื้อเฉกเดียวกับมัดกล้าม ดวงตากร้าวผสมความแค้น

“มหาบุรุษ ท่านจงครองสติ กำหนดลมหายใจด้วยหทัยบริสุทธิ์ปราศจากเคียดแค้นเถิด” รณพานุรักษ์ปรามประหวั่น ครั้นเห็นแววตามหาบุรุษลุกโชนด้วยเพลิงไฟ บัดนี้ภัทรพจน์ไม่ได้ยินสิ่งอื่นใดนอกจากคำพูดสุดท้ายของไอ้กัน

‘กูรักมึง...ตลอดไป’

“มึงดีเกินกว่าจะรักคนแบบกู ไอ้กัน กูไม่มีค่าให้มึงต้องทุ่มเทขนาดนั้น กูไม่สมควรได้รับสิ่งที่งดงามและล้ำค่าที่สุดจากมึงแม้แต่น้อย กูไม่สมควรได้รับ ความรัก อย่ามอบให้กู ไม่ตลอดไป ไอ้กัน จะไม่มีตลอดไป เพราะกูจะเกิดในชาตินี้เป็นครั้งสุดท้าย นับจากนี้เราจะไม่ได้เจอกันอีก” น้ำตาสายโลหิตปิดล้อมคลอนัยน์ตา

“จอมมาร...”

กู่ก้องออกนามศัตรูหนักแน่น แล้วพุ่งทะยานวิ่งด้วยอารมณ์แค้น รณพานุรักษ์เนรมิตเป็นนกยักษ์ทันที นอกจากการเข้าถึงญาณสมาบัติแล้วยังมีสิ่งหนึ่ง

รัก

กุญแจสำคัญต่อการผนึกรวมภูเตศวรเทพ มัดกล้ามของพจน์ผุดขยาย ผลัดกายเปลื้องภูษาเป็นขาวสว่าง บังเกิดจัตวาเศียรสี่กรจตุรพักตร์ โจนโหนหาพญามารในทันที พระบาทเชิงงอนกระแทกกลางอุระจอมปีศาจจนมันกระเด็นถอยชนขั้นบันไดศิลาฝุ่นตลบ เหล่าทาสรับใช้ตรูกันเข้าสกัด กินรีปีศาจสองตนโผเข้ารับมือกับรณพานุรักษ์ ส่วนยักษาสองตนฟาดตะบองเข้าใส่ภูเตศวรเทพ หลบหลีกอาวุธขนาดหกเมตรฝังเหล็กแหลมแล้วปราดเข้าใช้จักรสุรกาฬเฉือนอาวุธยักษ์หักครึ่งท่อนในทันที เจ้ายักษ์อสูรมึนงงชั่วขณะ หันเหลียวหาเทพตัวเล็ก ส่วนอีกตนเห็นภูเตศวรเทพประทับลอยอยู่หลังศีรษะก็ฟาดอาวุธใส่เพื่อนตัวจนร่างมหิมาล้มกระแทกพื้นดินสะเทือน

จอมมารถูกอิสตรีแต่งกายอาภรณ์งามนาม นางอัปสรา ถวายการฉุดรั้งให้ลุกขึ้นจากหลุมศิลา

“เตรียมก่อกองมหาอัคคีเพลิง นางอัปสรา”

“เพคะ องค์จอมมาร” น้ำเสียงอ่อนหวานรับพระบัญชา ร่ายนิ้วเสกกองไฟ จอมมารขยับมือเนรมิตอัคนีขาวคลับคล้ายคลับคลาเสนาบดีสหภูบาลผู้วายชนม์สาดใส่กองพระเวทเพลิงนั้น พลางว่า

“เฝ้าระวังอย่าให้มหาเพลิงมอดดับ ข้าจักนำน้ำตาสายโลหิตปลิดจากดวงตามนุษาร่วมประกอบพิธีชุพชีพหัตถ์ขวาของข้าให้จงได้” ตรัสเสร็จก็โผนระเหินประชิดภูเตศวรเทพ เสกพระเวทเป็นม่านดำสาดใส่บดบังการมองเห็น ภูเตศวรขยับกรทั้งสี่ป้องปัดขว้างคฑาฉวัดเฉวียนทำลายม่านมนตราทมิฬกลางอากาศ ระเบิดเป็นคลื่นพลังสาดซัดต้นไม้ไพรพนาล้มราบคาบ

“สิ่งอกุศลกรรมแห่งเจ้าต้องได้รับการชดใช้ จอมปีศาจ” โอษฐ์พักตร์หนึ่งแจ้งเตือน พระเนตรขาวสว่างเจิดจรัสตรัสตวาด ทั่วทั้งกายาร้อนด้วยเพลิงอาฆาตแค้น

“ดี ดียิ่ง ข้าสัมผัสไฟแค้นในกายเจ้า พชระเทพ” จอมปีศาจสาดลูกไฟสีแดงต่อกรพัลวัน ครั้นรับรู้เห็นเพลิงพิโรธอยู่เหนือจิตสงบของผู้ครองเพชรมณีก็กระหยิ่มพึงใจตามสมคิด ลมวูบใหญ่พัดสาดใส่ ณ จุดปะทะกลางอากาศ แสงสีอัสดงฉายต้องอาภรณ์ขาวแลดำเป็นสีส้มเรืองระยับ ขับม่านหมอกราวกับกลุ่มเมฆตกต้องโดยน้ำมือพระอาทิตย์กระนั้นเป็นภาพงามจับตา
 
ฝ่ายรณพานุรักษ์ออกรับพระเวทด้วยกินรีปีศาจขนกายดำ ขยับปีกสาดขนนกดุจหอกซัดเข้าฝ่ายศัตรูมิได้หยุดหย่อน แต่นางกินรีผู้มีจิตใจดำมืดกลับหลบหลีกได้เสมอกัน รูปกายแม้สวยงามหยาดนางฟ้าแต่ดวงตาแฝงความโฉดชั่วมิได้เสริมส่งให้หลงกล ร่ายมนตร์พระเวทต่อกรไม่ลดละเสมอกัน

“ความรักเอ๋ยความรัก เคยสมัครภักดีเป็นเจ้าของ คราวรู้สึกไม่รักน้ำตานอง พอรู้รักคว้าประคองสู้เจียนตาย” จอมมารท่องกลอนตอกย้ำภูเตศวรเทพ ไฟแค้นก็สุมหนุนเนื่องมากขึ้นทุกขณะ ผิดต่างจากมารร้ายกลับนิ่งสงบดุจน้ำเย็นในสระมืด “กว่าจะรู้ว่ารักเป็นไฉน สิ้นดวงใจสิ้นชีพสิ้นความหมาย กว่าจะรู้ว่ารักพังทลาย สิ้นวอดวายสิ้นรักสิ้น ‘กัน’ ที”

“หยุดถ้อยคำเจรจาเถิด ความตายจักบังเกิดยังไม่สำนึก” พชระเทพก็ขว้างอาวุธทั้งสี่ ประกอบด้วย ตรีศูล วิฑูรย์คทา มหาจักรสุรกาฬ สุวาณสังข์ โอบเข้าใส่จอมปีศาจ มันระเบิดผ้าคลุมกายาออกสะกดอาวุธทั้งสี่สะท้อนหวนคืนเจ้าของ ครั้นผ้าดำสลายสิ้น จึ่งเห็นกายภายในของผู้ที่ได้ชื่อว่า จอมมาร

ทรงสี่พักตร์ยักษาน่าเกรงขาม
ยอดโฉมงามผุดผาดดั่งอัปสร
แซมเขี้ยวเกล็ดเพชรพราวมุมปากงอน
คิ้วคันศรสะโอดสะองงามวิไล

เกิดสี่เศียรสี่กรศรทรงฤทธิ์
พร้อมอาวุธวิศิษฏ์ ชาญสมัย
นัยเนตรแดงเติมน้ำตาลไป
ดั่งผิวเนื้อสมันไพรจตุบาท

เหนือนลาฏผุดแก้วปัญจมณี
เรืองฤทธีบุษรา โกเมน ชาด
ทั้งมุกดา เพทาย ไพฑูรย์ ผงาด
อสุรมาศก็โจนย่ำกระแทกลง

“อสุรมาศ”

จิตสำนึกนิมิตคราวมหาเทพยกอสุรมาศชาติยักษาเป็นบาทบริจาริการื้อค้นจากความทรงจำของพจน์สู่ภูเตศวรเทพเสมอกัน ฝ่าเท้าซีดเผือดกดยันอกภูเตศวรให้ดำดิ่งลงกระแทกพื้นมรรคาศิลาแลง กลายเป็นหลุมผาดแผลงระแหงแตกก้นลึก
 
“ใช่ เป็นนามข้าเมื่อเนิ่นนาน แต่จักเป็นคราแรกแลคราเดียวสำหรับคำเจ้าเอ่ย” เสียงแหบต่ำย้อนกลับเป็นถ้อยมธุรสกังวานหวานเฉกหนุ่มรุ่นๆ “ไฟแค้นสุมให้อิทธิฤทธิ์เจ้าด้อยพลังกว่าเก่าเดิม จึ่งพลาดท่าพ่ายให้ข้าเหยียบเนิบย่ำอยู่กระนี้ ดูหรือ ในที่สุด อัญมณีล้ำค่าสูงสุดจักต้องตกเป็นของข้าแต่เท่านั้น”

อำนาจทรงฤทธิ์แห่งวิเชียรมณีเสื่อมสลายเมื่อถูกอำนาจแกร่งกล้ายิ่งกว่าเหยียบย่ำอยู่ ละทิ้งไว้เพียงภัทรพจน์เจ้าหนุ่มผู้ครอบครองเท่านั้น เขาดิ้นรนทุรนทุราย ขืนตัวออกจากแรงกดทับ
 
รณพานุรักษ์แลเห็นอำนาจเพชรมณีเสื่อมฤทธิ์ก็ตระหนกตกใจมิได้ทันระวัง นางกินรีปีศาจสองตนบินร่อนมะรุมมะตุ้มประกบหน้าหลังใช้เชือกมนตราสะกัดจับมัดไว้ แล้วจัดการโยนกระแทกพื้นใกล้ๆกับภัทรพจน์มหาบุรุษ
 
อสุรมาศจอมมารเห็นชัยชำนะลอยอยู่รำไรพึงกระหยิ่มยิ้มปริ่มหทัย ส่งสัญญาณให้ทาสรับใช้นางอัปสราเคลื่อนกองมหาอัคคีเวทย์เลื่อนมาสุ้มใกล้ ณ จุดจบของผู้ครอบครองวิเชียรมณี แล้วตรัสว่า

“ดูก่อน นางอัปสรา กินรีปีศาจ แลทาสยักษาแห่งข้า บัดนี้ถึงเพลาที่ข้าเฝ้ารอคอยนานแสนนาน” ดวงตาสีน้ำตาลอย่างเดียวกับพจน์กวาดจับจ้องมนุษย์ใต้ฝ่าเท้า ทั้งรูปโฉมผิวพรรณขาวซีดดูงดงามกว่านางอัปสรรวมกันทั้งท้องฟ้า งามเสมอพจน์มิต่างกัน
 
“โคลงพยากรณ์บทต้นอันเจ้าสินะกาวีทำนายทายทัก คราแรกข้ามิพักเห็นเป็นอื่นนอกจากตัวข้า” เขี้ยวผุดโง้งจากมุมปากเป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าอสุรมาศมิใช่มนุษย์ แต่รูปร่างทั้งหมดมิได้เชื้อเถาเหล่ากอมาประดับกายแม้แต่น้อย นั่นถึงทำให้มหาเทพมีใจสมัครรักใคร่แต่แรกเห็น แม้แต่พจน์ยังอดชื่นชมความงามนั้นมิได้ เล็บดำยาวกรีดตามผิวแก้มเนียนของพจน์ยามเมื่อจอมมารโน้มองค์ลงมาพินิจเหยื่อใต้ฝ่าเท้า

“มินึกว่าจักยังมีผู้อื่นบังอาจครองรูปโฉมเทียบเทียมข้า เราไม่เคยเจอกันมาก่อนล่วงนับแต่อดีตชาติทุกภพของเจ้า เกือบจักได้เจอ แต่ก็มีเหตุทำให้เจ้าต้องสิ้นชีวาวายเสียก่อน คราวเจ้าครอบครองโกสันต์ปัทมทับทิม เป็นข้าผู้ยุยงให้ท้าวกรรณ์ฑมารยักษาบุกโจมตีพิภพนาคาเพื่อฉกชิงมหาทับทิม มินึกว่าเจ้าจักอาจหาญต่อกรยิ่งชีพตน นั่นทำให้ข้าพลาดได้หนึ่งมณีมีค่าเพราะมันสาบสูญหายนับแต่เจ้าตาย ฤา คราวพัชรพีนิลกาฬ ข้าประสงค์สร้างความพินาศแก่มหาพิภพจึงปลุกปั่นให้ท้าวคนธรรพ์ยกทัพบุกอาณาจักรกินนรมิใช่เพื่อนิลมณี เพราะหะนั้นข้ายังมิได้ยินข่าวคราวใดจึ่งพลาดพลั้ง ปลดปล่อยให้ไพลินนิลสีตกสู่เจ้าเหนือหัวคนธรรพ์จวบกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ข้าจึ่งทราบว่า พัชรพีนิลกาฬหลุดลอยจากเพียงเอื้อมมือถึง เฉกเดียวกับอนันตวัชรมรกต ข้ามิได้เฉลียวใจว่าสิ่งล้ำค่าเรียกวิญญาณนั้นจักอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่เราก็ยังไม่ได้พบกันจวนกระทั่งเจ้าตายด้วยคัมภีร์มนตร์ดำของข้า ด้วยนางอัครมเหสีพระเจ้าอนันตราชวอนขอ แลเราก็ยังมิได้เจอกัน เจ้าเห็น ฤา ไม่ ว่าแผนการของข้ามีจุดอ่อนประการใด”

พจน์สะบัดตัวขัดขืน แต่เรี่ยวแรงมหาศาลของฝ่าเท้าอสุรมาศกดทับดุจหินผา

“ข้อที่เรามิเคยได้สบเห็นกันมาก่อนอย่างไรเล่า หากข้ารู้ว่าเป็นเจ้าผู้ครอบครองเหล่าอัญมณีมีค่ามาทุกชาติภพ ข้าคงบรรลุแผนการต่ำช้าขององค์มหาเทพได้ทันท่วงที แลมิจำต้องเสียเวลาตามหาคนผู้ครอบครองเพชรมณีเนิ่นนานเยี่ยงนี้ หากเราเคยเจอกัน ความตายจักมาถึงเจ้าในชาติภพนี้เร็วกว่าที่เจ้าฉุกสงสัยเสียซ้ำ”

“งั้นก็เอาสิจะรออะไรอยู่ ผมปลดข้อสงสัยทั้งมวลแล้ว ไม่ติดใจกังขาใดๆอีก อ้อ” พจน์ท้าท้ายกล้าหาญมิได้หวั่นเกรงความตายแม้แต่น้อย “ถ้าการกระทำของคุณทั้งหมด ทำไปเพื่อล้างแค้นมหาเทพในครั้งนั้นล่ะก็ คุณคิดผิด”

อสุรมาศจอมปีศาจผงะ ดวงตาสั่นระริกมิอาจปิดบัง

“แกจะรู้อะไร จริงดังว่า ข้ารุกรานมหาพิภพแลพิภพนี้เพื่อล้างแค้นมหาเทพในครานั้น หากพระองค์เด็ดเดี่ยวมากกว่าสมญานามก็ควรจักสับร่างข้าให้แหลกลาญมิใช่เพียงคอ”

ร่องรอยแผลรอบคออสุรมาศปรากฏชัดเมื่อสิ้นมนตร์กำบัง เห็นรอยนูนคล้ายแผลเป็นรอบลำคอขาว
 
“แกเข้าใจผิด” ถ้าสิ่งที่พจน์นิมิตเห็นคือความเที่ยงแท้แล้วละก็ จอมมารกำลังทำทุกสิ่งอย่างผิดพลาดอย่างมหันต์

“หุบปาก ข้ามิได้ทอดระยะชีวิตเจ้าเนิ่นนานเพื่อให้มาเกริ่นกล่าวในสิ่งโป้ปดมดเท็จ” มันจับจ้องน้ำตาสายโลหิตรอบดวงตาพจน์อย่างประสงค์แจ้งชัด

“อ้อ แกต้องการน้ำตานี่ใช่ไหมล่ะ จริงแล้วที่ทำให้ผมต้องหลั่งสายโลหิตอีกครั้ง เพื่อเซ่นมิตรภาพรักระหว่างเพื่อน ไม่เคยคิดจะต้องร้องไห้เป็นเลือดได้อีกทั้งที่ผ่านช่วงเวลาเจ็บระทมมาก่อน แต่ครั้งนี้มันได้ผล แกทำสำเร็จ”

“ตอบแทนสำหรับสิ่งที่เจ้ากระทำเหยียบย่ำสังหารอาจารย์ข้า ทศมาร” จอมปีศาจตวาด “แลกด้วยชีวิตของไอ้คนทรยศสินะกาวีก็เหมาะควรยิ่งแล้ว”

จอมมารใช้ปลายเล็บช้อนตักน้ำตาสายโลหิตจากใต้ตาพจน์แล้วดีดใส่มหาอัคคีเพลิง ฉับพลันบังเกิดเปลวไฟสีดำทมิฬลามเลียพุ่งลุกสูงสุด นางอัปสราพนมมือบริกรรมคาถางึมงำฟังไม่ได้ศัพท์

“แม้นข้ามิอาจชุบชีพทศมาร ครูท่านกลับคืนมาได้ แต่สหภูบาลเสนาบดีจักฟื้นคืนดังข้าปรารถนา น้ำตาสายโลหิตหนึ่งน้อยนิด ปลุกชีวิตวิญญาณฟื้นไฉน คัมภีร์เวทมนตร์ดำอาถรรพณ์ไกล หยาดเพชรศิวิไลซ์เพียงหนึ่งเดียว

เมื่อสิ้นคำกลอนจึงก่อเกิดกายสีเขียวของเสนาบดียักษาสหภูบาลลุกก้าวจากกองเพลิง แววตาเหลืองมลังเมลือง กายเปลือยเปล่า ก้าวออกจากมหาอัคคีมิได้แสบร้อนผิว มันชันเข่าก้มหน้าคำนับจอมปีศาจ

“ขอบพระทัยยิ่ง องค์จอมมาร เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น พระเจ้าข้า” เจ้ายักษาตนหนึ่งปลดผ้าดำคล้องไหล่มอบให้เสนาบดีผู้เพิ่งฟื้นคืนชีพนุ่งห่ม ความอาฆาตส่งต่อมายังพจน์

“ให้ข้าได้ลงมือทดสอบพลังเวทย์อันฟื้นคืนต่อเจ้ามนุษย์นี่เถิด พระองค์”

“ไม่ เจ้ามนุษย์นี่เป็นของข้า บัดนี้หมดประโยชน์ที่จักใช้จากมันแล้ว จงจ้องพักตร์ข้าให้จงดี ฮ่าๆ มนุษย์เอ๋ย คงรู้แล้วสินะ ว่าใครคือผู้ที่โคลงพยากรณ์หมายถึง คือ ข้าหาใช่เจ้าไม่ วิญญาณะ จิตตะ สุริยะมรณา

ลูกไฟสีแดงไหม้เกรียมพุ่งจากใต้ฝ่ามือซีดแล้วดับสลายลงก่อนจักถึงตัวภัทรพจน์

“สหายไม่มีวันล้างสหายลงฉันใด แก้วมณีก็มิอาจล้างแก้วมณีลงได้ฉันนั้น”

เพียงเห็นเรือนกายผู้เจรจา ประกอบเป็นมนุษย์หุ่นเพรียวสมชายชาติทหาร โดยมีแสงพระอาทิตย์อัสดงทอดกระทบไหล่มัดกล้าม คมดาบด้ามทอง แลใบหน้าแต่เท่านั้นก็ทำให้พจน์สะเทือนห้วงหัวใจสุดจะกล่าว ทั้งประหลาดใจยินดีผสานกันให้วุ่น จนน้ำตาสายโลหิตหนุนหลั่งลงอาบแก้ม


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป

_____________________________________

วิศิษฐ์ : เลิศ, ยอดเยี่ยม, ประเสริฐ
บุษราคัม : พลอยสีเหลือง
โกเมน : พลอยสีแดงเข้ม
มุกดา : ไข่มุก, หินมีค่าสีหมอกอ่อน
เพทาย : พลอยสีแดงสลัวๆ
ไพฑูรย์ : พลอยสีเหลืองแกมเขียวหรือน้ำตาลเทา มีน้ำเป็นสายรุ้ง กลอกไปมา

_____________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

แอบมาลงครึ่งตอนแรกแบบเงียบๆ ส่วนครึ่งหลังกำลังจะตามมาเร็วๆนี้นะครับ


ขอบคุณที่เข้ามาแถลงค่ะ ...... น่าติดตามต่อจริงๆว่า พจน์จะทำยังไงต่อไป
ถ้าหากมีคำถามข้อสงสัยใดๆติดค้างคาใจ ถามได้เลยครับ อย่าปล่อยให้หนักอกหนักใจไว้ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะครับ อิอิ ครับ ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนถึงใกล้จบแบบนี้ ขอบคุณครับ

สงสารกัน  :monkeysad: ได้แต่รักเค้าข้างเดียวข้าวเหนียวนึ่ง แล้วยังต้องสละชีวิตตนเองเพื่อคนที่รักอีก คนแต่งใจร้ายยย    :hao5:
ขอโทษคราบบบ ใจร้ายแต่หน้าหล่อนะครับ อิอิ เอาเป็นว่า บทสรุปของกันก็มาถึงในที่สุด กันเป็นตัวแทนของความรักประเภทที่คุณว่า ซื่อสัตย์ภักดี ที่หายากยิ่งในสังคมไทยปัจจุบัน ถึงเขาจะจากไปเพียงกาย แต่รักนั้นจะตราตรึงใจพจน์และคุณผู้อ่านตลอดไปครับ ลาก่อน กัน ตัวละครที่เขียนยากที่สุดอีกตัวหนึ่ง ปลุกปั้นมากลับมือ แต่ก็ต้องทำลายด้วยมือของผมเองอีกเช่นกัน แต่เขาก็ได้แสดงให้เราๆท่านๆเห็นว่า รักมั่นคงยังมีอยู่ แม้ผ่านมาเนิ่นนานเท่าไหร่ก็ตามที  :bye2: โชคดีนะกัน ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอ 'กัน' อีก

อ่านเรื่องนี้แล้วขอบอกเลยว่าภาษาเก่งมากก ถึงแม้เราจะต้องอ่านไปแปลคำไปด้วยก็ตาม

สารภาพตามตรงว่าอ่านแรกๆแล้วกดปิดเลย เพราะไม่ชอบแนวฮาเร็ม หรือต้องคอยให้ลุ้นว่าใครพระเอก (รสนิยมส่วนตัวล้วนๆ)แต่หลงรักการบรรยายเลยกัดฟันอ่านต่อ

ก่อนอื่นขอติตัวพจน์ สำหรับเราแล้ว ไม่ค่อยเข้าใจในตัวพจน์เท่าไรว่าทำไมถึงรักมาตะ แต่ยังให้ความหวังคนอื่นและตัวเอง และตอนที่มาตะโดนบุหลันจูบทำไมถึงต้องร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลสำหรับเราเท่าไร และพจน์ก็ไม่น่าไปโกรธมาตะ เพราะตัวพจน์นี่ทั้งมีปาล์มอยู่ลึกๆในใจ ทั้งให้ความหวังกัน ให้กันและปาล์มทั้งกอดปลอบ ให้จูบ(ไม่แน่ใจ) จับมือถือแขน อะไรอีกก็ไม่รู้ และยังมีตัวละครอื่นๆอีก แต่นั่นแหละเรื่องนี้ออกแนวฮาเร็ม เรื้องมันจะเป็นแบบนี้ก็ปกติ เราแค่ติ่งมาตะเฉยๆเลยไม่ชอบการกระทำของพจน์ แหะๆ

ส่วนตัวมาตะ เราว่าเค้าไม่ค่อยสมกับบทของพระเอกเท่าไร อาจเป็นเพราะเราติดกับบทพระเอกจากนิยายเรื่องอื่นๆ ที่พระเอกจะมีบทบาทสำคัญๆ เป็นช้างเท้าหน้า มีความเก่งกาจที่จะต้องปกป้องคนที่รักอย่างสุดกำลังโดยไม่สนอะไร ซึ่งสำหรับเราตัวมาตะไม่ได้เป็นแบบนี้ บทนี้กันได้รับมากกว่าเลยเหมือนว่ากันเป็นพระเอกไป แต่ไม่นับชาติก่อนๆนะ อันนั้นเราว่าเหมะกับบทพระเอกอยู่แล้ว เราเลยคิดว่าตัวมาตะน่าจะมีบางอย่างที่ไม่ใช่มีแค่xxกับพจน์แล้วทำให้พจน์เพิ่มพลัง มันต้องมีมากกว่านี้สิ :ling1:(คอยบอกตัวเอง) สรุปเราก็ติ่งมาตะอีกตามเคย 5555

ส่วนตัวกัน ไม่มีอะไรมาก สั้นๆเลย เป็นพระเอกเถอะ 5555 (แต่ก็ไม่อยากให้เป็น ยังคงเป็นติ่งมาตะอยู่)

ตัวอื่นๆและเนื้อเรื่องไม่ออกความคิดเห็นแล้วกัน เดี๋ยวจะยาวกว่านี้ 

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของเราเท่านั้น ซึ่งบางครั้งมันก็ออกแนวอคติกับตัวละครมากไป ไรท์อย่าคิดมากนะคะ เพราะเรายังคงอ่านเรื่องนี้จนจบนั่นแหละและถ้ามีรวมเล่มคงจะต้องขอเก็บไว้ซักเล่มสองเล่มเหมือนกัน หลงรักการเขียนด้วยภาษายากๆนี้ไปแล้ว สู้ๆนะคะยังคงรอตอนต่อไปเสมอ
ขอบคุณครับ สำหรับคำชม สำหรับเรื่องภาษา และการบรรยาย

ผมเพิ่งรู้ว่านิยายที่ตัวเองเขียนเป็นแนวแบบ ฮาเล็ม คิดไปคิดมาก็ถูกดังคำที่คุณว่า มีหลายตัวละครที่พัวพันในชีวิตของพจน์จริง ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสอง แต่หลายคนเลยทีเดียว ฮ่าๆ ช่วงต้นๆอาจเดาไม่ถูกว่า ใครคือพระเอก แต่กลางๆเรื่องก็น่าจะรู้กันแล้ว แต่ด้วยมีตัวละครฝ่ายชายที่เข้ามาคลุกคลีกับพจน์เยอะจนเข้าขั้น ฮาเล็ม นั้น อาจทำให้ผู้อ่านระแวงสงสัยได้ว่า ใครเป็นพระเอกกันแน่ ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของใครอื่นนอกจากผู้เขียนขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว

สำหรับข้อสงสัยในพฤติกรรมของพจน์ในเรื่องให้ความหวังคนอื่น ทั้งปาล์ม หรือกัน รวมถึงปล่อยให้สองคนนี้จับมือถือแขนหรือถึงขั้นจูบกันเลยนั้น ผมไม่ข้อแก้ตัวแต่อย่างใด ด้วยลึกๆแล้ว พจน์อาจจะอยากให้ความหวัง หรือไม่รู้จะทำยังไงดีกับสองคนนี้ก็เป็นไปได้ หรืออาจจะทั้งสองประการไม่ขอตอบให้แน่ชัดลงไป ปล่อยไว้ให้ผู้อ่านเป็นผู้ตัดสิน แต่ข้อที่ว่าพจน์รักมาตะขนาดถึงกับต้องเกิดน้ำตาสายโลหิตหรือไม่ หากคุณได้อ่านคอมเม้นต์แถวๆตอน น้ำตาสายโลหิต ที่ผมได้อธิบายไว้ยาวพอสมควร หรือไม่ทันได้อ่านแต่จะขอสรุปสั้นๆง่ายๆเลยว่า อาการน้ำตาสายโลหิต เป็นพฤติการณ์บ่งสำแดงว่า เสียใจอย่างที่สุดต่อ ความรัก มองง่ายๆว่า ก่อนหน้าพจน์หรือคนอ่านยังไม่รู้แน่ชัดว่า พจน์รักมาตะแน่หรือเปล่า สัญลักษณ์อาการนี้จึ่งเป็นคำตอบสำหรับ รัก นั่นเองไม่มีอะไรมากกว่านี้ หากคุณรู้สึกว่า พจน์ยังไม่น่าจะรักมาตะได้ถึงเพียงนั้นก็ขอน้อมรับไว้เป็นความผิดของผู้เขียนเองทั้งสิ้น

ส่วนข้อสงสัยว่ามาตะถือครองบทบาทไม่สมฐานะพระเอกเท่าไหร่เมื่อเทียบกับกันแล้ว ก็อาจจะจริงครับ แต่ต้องอย่าลืมว่า มาตะในชาตินี้เป็นเพียงสามัญชน โชคดีได้ทำคุณได้ยกเป็นพระราชบุตรบุญธรรมแต่ก็ต่ำศักดิ์กว่าชาติภพอื่น ทั้งไร้อำนาจราชศักดิ์ มนตราใดๆหากเทียบกับกันแล้ว ถือว่าเป็นมวยคนสายเลย ทั้งไม่มีอำนาจอิทธิฤทธิ์ทรงพลังอีก ได้แต่รอพจน์อยู่ที่มหาพิภพเท่านั้น ไม่แปลกที่คุณจะรู้สึกว่ากันมีบทบาทสมพระเอกมากกว่า แต่บางทีมาตะอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ยังไม่เปิดเผยก็ได้ คอยดูนะครับ

เชิญติแนะในส่วนตัวละครอื่นๆและเนื้อเรื่องเถอะครับ ถือว่าผมขอร้อง ถึงจะยาวก็ยินดีรับฟังรับอ่าน ยิ่งคุณวิจารณ์ได้ละเอียดเท่าก็เหมือนช่วยผมมากเท่านั้น ถ้าไม่ติดขัดอะไรก็กรุณาแนะนำด้วยนะครับในส่วนนี้

สำหรับการรวมเล่มนั้นคงต้องอาศัยปาฏิหาริย์แล้วล่ะครับ ถ้าได้รวมเล่มก็อย่าลืมอุดหนุนกันด้วยนะครับ

o13
:pig4:

อย่างน้อยก็มีคนติดตามผลงานเพิ่มขึ้นนะครับ  ส่วนการตัดท้ายบท  เป็นอะไรที่เจ็บปวดอีกแล้ว  เฮ้อ  สรุปมาให้เขารู้ตัวจริงแค่นั้น  มีประโยคเจ็บๆหลายประโยคในตอนนี้นะ  มันลุ้นแบบทรมานใจมาก  ยิ่งใกล้เท่าไหร่มันยิ่งเหมือนมีปมเพิ่มขึ้นอ่ะ  สรุปพจน์จะช่วยใครได้ไหมเนี้ย  รอๆต่อไป
ครับ ถึงไม่มากแต่ก็มีคนติดตามอ่านอยู่จำนวนหนึ่งก็ดีใจแล้วครับ ความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆครับสำหรับนิยายเรื่องนี้ ถ้าเจ็บแล้วจำ ก็ถือว่าทำให้เกิดประสบการณ์ชีวิตได้อักโขนะครับ คอยติดตามบทสรุปนะครับ

สงสารกัน เข้าใจว่ารักพจน์ แต่เราชอบมาตะนะ แต่ต้องตายเลยหรอ ในที่สุดพจน์ก็ได้เจอจอมมารเสียที ลุ้นอ่ะ รอติดตามนะ
:pig4: :pig4: :pig4: :pig2: :pig2: :pig2:

R.I.P. กัน นิธิ สินะกาวี ผู้ที่รักมั่นคงตราบลมหายใจสุดท้าย รู้สึกเหมือนจะร้องไห้แต่น้ำตาไม่ไหลไหมคะ คนเขียนทำให้เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ. ถึงจะเชียร์มาตะแต่มาเจอฉากนี้เข้าทำเอาอึ้งไปเลย รอตอนต่อไปค่ะ
ลาก่อนเช่นเดียวกันครับ กัน/นิธิ/สินะกาวี เราคงได้เจอกันอีก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 15:59:23 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
แม้จะน้อยนิด  แต่ท่านก็ทำให้เกล้ากระผมได้ไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ

ขอบคุณมากๆคับ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
ที่คาดไว้ก็ไม่ผิดนะ  แต่อยากรู้ว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้  เขาแค้นอะไรกันนะ รึเราลืม  5555  รอครึ่งหลัง  แอบผิดหวังนิดๆกะครึ่งแรกนี้  สรุปก็เสียไปฟรีๆสินะครั้งนี้อ่ะ 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รวดเดียวจบเป็นอะไรที่ดีงามมาก จะรอบทสรุปว่าจะเปงไง


ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23

ออฟไลน์ pnn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]



ดวงตาเข้มของคนผู้นั้นเป็นนัยน์ตาเดียวกับที่พจน์ทอดทิ้งไว้ ณ มหาพิภพ

“มาตะ”

บุรุษเจ้าของนามกุมด้ามดาบทองอาวุธประจำกายด้วยมือขวา จรดปลายแหลมละลงพื้น ยืนประจันท่วงทีอาจหาญมั่นคง นุ่งห่มภูษาน้ำเงินเข้มดุจผืนฟ้าราตรีไร้ดวงดาว ประดับเครื่องทองแพรวพรรณสมฐานะพระราชบุตรบุญธรรม รอบคอสวมสร้อยทองคล้องอนันตวัชรมรกต นิ้วนางซ้ายสวมสุวรรณธำมรงค์นาคราชคาบพลอยแดงประดับหัวแหวนเปล่งปลั่ง เฉกเดียวกับกึ่งกลางหน้าผากประดับสิ่งล้ำค่าสีดำสมนาม

“น้องท่าน”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่พจน์ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินกับหูอีกในชาติภพนี้ร้องเรียกยอดดวงใจของตนผสมสั่นไหว

“ทำไมนายถึง...”

“อนันตวัชรมรกต” ลูบคลำอัญมณีคล้องคอ “พัชรพีนิลกาฬ” แตะปลายนิ้วกลางหน้าผาก “โกสันต์ปัทมทับทิม” ยกมือซ้ายขึ้นพิจารณาถี่ถ้วน มหาทับทิมในตำนานฝังอยู่กลางโอษฐ์เรือนแหวนพญานาคราชเหมาะเจาะกะทัดรัด “พาข้ามาหาเจ้า”

“ดี ดียิ่ง จากนี้ข้าจักมิต้องพลิกผืนปฐพีเพื่อตามหา ในไม่ช้าข้าจักครอบครองนพมณีครบถ้วนสมบูรณ์” ครั้นจอมมารสิ้นพิศวงก็จับจ้องชายหนุ่มผู้เดินทางข้ามมหาพิภพโดยละเอียด ทั้งฉงนทั้งปลื้มปีติยามได้เห็นสิ่งล้ำค่าที่สาบสูญปรากฏโดยพร้อมเพรียง

“ไม่มีวันที่เจ้าจักริอ่านแตะต้องตรีนพรัตน์ แลยอดชีวิตของข้าได้” มาตะยกดาบในท่าพร้อมรบ สะกดอารมณ์คะนึงหาให้ทอนลงเพื่อพิชิตความโฉดชั่ว อสุรมาศเอียงพระศอพิจารณามาตะดุจชิดชมสิ่งประหลาด มินึกว่าจักได้เห็นจิตกล้าแผ่กระจายออกจากกายคนผู้นี้ยิ่งกว่าเคยสัมผัส แล้วจึงตรัสว่า

“อำนาจแห่งสามมณีคงนำเจ้าข้ามพิภพมายังที่นี้ มิผิดจากคะเน ไฉนเลยเจ้าจึ่งสืบเสาะพบสิ่งล้ำค่าทั้งสาม จงเมตตากล่าวไขข้อข้องใจแก่ข้าสักประเดี๋ยวเถิด” แรงกดทับจากฝ่าเท้ายังคงตรึงยอดอกพจน์ไว้ ความสนใจถูกถ่ายเทสู่มาตะแทบจะทั้งหมด ดวงเนตรวาววามบ่งชี้ความพึงใจแก่มันอย่างสุดหฤหรรษ์

ฝ่ายมาตะเห็นช่องยืดระยะเวลาให้จอมมารหลุดหันเหจากคนรักได้แล้วก็มิพักรอช้า กระชับดาบทองในกำมือ โต้ตอบโดยมิได้เกรงกลัว แม้นคู่เจรจาพินิจดูเพียงครั้งเดียวก็ล่วงรู้ว่าเป็นจอมปีศาจซึ่งชนทั้งมหาพิภพหวาดหวั่น แต่หาเกิดครั่นคร้ามกับใจตนแม้แต่น้อย ห่วงเพียงอย่างเดียวคือภัทรพจน์ ยอดชีวิต ยอดดวงใจต้องมีอันตรายอยู่ใต้ฝ่าเท้าจอมมารเป็นภาพบาดตาเหลือคณานับ หักใจปฏิบัติแก้ลำนำมารร้ายประวิง ชิงเจรจากลับว่า

“อนันตวัชรมรกตเป็นสมบัติของภัทรพจน์มาแต่อดีตชาติ ณ โคนต้นลีลาวดีเพลิงคือแหล่งซุกซ่อน เขาเป็นผู้ครอบครองโดยชอบธรรม จึงได้นำกลับมาช่วยเรียกวิญญาณข้ากลับคืนจนสำเร็จหนึ่ง” จอมมารยกมือปรามทาสยักษาสองตนอยู่ในกิริยาสงบ เฉกเดียวกับนกปักษาวายุภักษ์ที่ดิ้นรนขัดขืนไม่แพ้พจน์ ก็ถูกฟาดด้วยมนตร์อาคมดุจแส้เฆี่ยนส่งเสียงครวญ

“แลพัชรพีนิลกาฬนั้นถูกต้องแล้วด้วยเคยเป็นสมบัติของข้า แต่มีอันต้องพลัดจากกันเมื่อความตายมาเยือนคราวชาติอดีต ครูเจ้า ทศมารพูดชอบแล้วในข้อโลงบรรจุพระบรมศพของพระเจ้าอนันตราช มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นคือ ข้า ที่สามารถไขรหัสโคลงปริศนาด้วยน้ำเสียงเดิมสำเร็จ แลเลื่อนฝาโลงเปิดออกได้  ภายในพบเครื่องประดับหน้าผาก โดยถูกลงอาคมทมิฬไว้แน่นหนาจึ่งมิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า ครั้นภัทรพจน์...” สบตายอดคู่ครอง “มหาบุรุษผู้ทรงอำนาจสัมผัสจับ อำนาจชั่วร้ายเคยใช้ปกปิดมิให้ดวงตาเจ้ามองเห็นแหล่งเก็บซ่อนพัชรพีนิลกาฬได้สำเร็จก็มีอันเสื่อมสลาย ภัทรพจน์จึ่งเหมือนถอนคลายอำนาจอาคมโดยไม่รู้ตัว แลส่งไพลินนิลสีให้ข้าซึ่งขณะนั้นมิได้สังเกตให้ดีได้เก็บไว้ ครั้นเสียทีถูกมนตราสังหารทศมาร วิญญาณข้าจึงได้อำนาจพัชรพีนิลกาฬรักษาไว้จนสามารถเรียกกลับคืนได้หนึ่ง”

มนตราอาถรรพณ์ ปกปิดซุกซ่อน ดูก่อน กระนั้นอำนาจมนตราลีลาทมิฬ จุมพิตสีเลือด จึ่งเปรียบเป็นเกราะอำพรางอนันตวัชรมรกตอีกชั้นหนึ่งมิผิดคะเน จริงอยู่ว่าดวงตาข้ามืนมน มองข้ามยามมหามณีถูกพระเวทอาถรรพณ์ครอบงำไว้ ฉลาดยิ่งนัก หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง หลักแหลมเหลือเกิน แลโกสันต์ปัทมทับทิมเล่า ถูกมนตร์ดำปกปิดไว้อีกหรือมิใช่”

“โกสินธพครูท่านปลดมหาทับทิมจากยอดเรือนแหวนนาคราชคราวติดตัวข้ามานับแต่กำเนิด” มาตะคุมเชิงระวังภัยไม่คาดคิดขณะพูดเล่าเท้าความมิได้พลั้งเผลอ แต่ดูเหมือนจอมมารปราศรัยสนอกสนใจในเหตุที่มาจนมิได้คิดลอบทำร้าย เมื่อสิ้นระแวงมาตะจึงเล่าสำทับสืบต่อไปว่า

“มหาพราหมณ์ค้นตำราไสยเวทอันพึงรังเกียจเพื่อนำใช้ซุกซ่อนโกสันต์ปัทมทับทิมโดยเฉพาะการ แล้วเก็บมหามณีไว้ใต้พื้นรูปปั้นอัปสรเทพ ณ เทวาลัยหลวงนับแต่นั้น ส่วนเรือนแหวนนาคราชท่านส่งต่อให้บิดามารดรข้า ครั้นข้าเติบใหญ่รู้ความจึ่งมอบตัวเรือนทองคำแต่กำเนิดเป็นสมบัติติดตัวอีกหนึ่ง แก้วสามประการนี้หากรวบรวมได้ครบแล้วเจ้าเองย่อมรู้ว่าอาจสามารถทำสิ่งใดได้”

ข้ามพิภพ” ดวงเนตรจอมมารกลับคืนเป็นสีชาดลุกโชน แย้มสรวลไร้ความจริงใจ “แลเจ้าแลกกับการนั้นด้วยสิ่งใดเล่า มนุษย์”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ข้ามาช่วยคนรักเพื่อสังหารเจ้าให้สิ้นจากพิภพโลกา ความชั่วช้าอันเจ้าก่อกระทำลุเนิ่นนาน ณ วันนี้จะไม่มีอีก สิ่งที่เจ้าครอบครองอยู่ไร้ค่า จอมมาร ด้วยมิอาจนำใช้ต้านทานผู้ครอบครองมณีมีค่าเสมอกันได้”

พูดแล้วเสร็จโดยมิทันตั้งตัว เงาร่างสามเงาพวยพุ่งขึ้นเบื้องหลังมาตะ เป็นกายพระเจ้าอนันตราชทรงพระแสงทวนสีทองเรืองรองหนึ่ง เป็นกายพระเจ้าพัชรพรรดิกษัตริย์กินนรทรงคันศรสอง แลเป็นกายพระเจ้าโกสันต์นาเคศวรทรงพระแสงอาวุธทวนเขียวสาม กายแต่อดีตชาติพรักพร้อมร่วมเป็นขุมกำลังเพื่อปราบมารร้าย จอมมารพิจารณากายละเอียดด้วยโทสะลุกโชน

“ดี ดี อำนาจวิเชียรมณีอันเล่าลือว่าทรงพลานุภาพสูงสุดยังสิ้นฤทธาอยู่ใต้ฝ่าเท้าข้าเฉกนี้ เจ้าคิดกระนั้น ฤา ว่า แก้วสามประการอันเจ้านำติดตัวมาจักต่อกรข้าได้ ไม่มีวัน ทั้งพิภพนี้แลมหาพิภพจักพังพินาศอยู่ใต้ฝ่าเท้าข้าเสมือนเศษฝุ่นผงธุลีดิน”

“แลศาสตราวุธด้ามนี้เจ้ารู้จัก ฤา ไม่เล่า” มาตะมิได้ท้อถอยหลงในกลคำ ชูดาบทองอาวุธขนาด ๑ วา   ๒ ศอก เหนือศีรษะ หวังให้แววตาสีชาดกราดเห็นได้ถนัดถนี่ “ยินว่าทวนอัศวาราตรีกาล หนึ่งในจตุราวุธแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ บังเอิญสังหารเจ้ามาครั้งหนึ่งแล้ว ฤา มิใช่”

โฉมหน้าซีดขาวก่อนงดงามเลิศดุจอัปสร บัดนี้ซ่อนอำมหิตผุดซ่าน

ดาบกนกกาญจน์ราชอริราช อาวุธพระราชทานมาแต่องค์มหาเทพ มอบแด่บรรพกษัตริย์เผ่าพันธุ์มนุษย์เมื่อเนิ่นนาน มินึกว่าจักได้เห็นกับตาอีกครั้ง ทวนเทวาอาจใช้ปราบข้าได้จริง แต่เจ้าคิดกระนั้น ฤา ว่าข้าจักยอมปล่อยให้ความตายมาเยือนง่ายดายเฉกนั้นอีก ข้าครอบครองปัญจมณี เข้าใกล้วิถีอมตะยิ่งกว่าผู้ใดพึงกระทำสำเร็จ”

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าฟื้นจากความตายได้อย่างไร แต่นั่นพิสูจน์ว่าอาวุธแห่งองค์มหาเทพใช้ปราบเจ้าได้แน่แท้ ก็แหละในเมื่อเจ้า ข้า แลภัทรพจน์ ต่างครอบครองแก้วนวรัตน์เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า เราต่างใช้อำนาจแห่งรัตนมณีต่อกรล้างให้อีกฝ่ายลงมิได้กระนี้ งั้นดาบทองกนกกาญจน์เล่าจักอาจสามารถ ฤา ไม่”

สิ้นคำ เงากายพระเจ้าอนันตราชก็โจนเข้ารับมือนางอัปสรา ส่วนสหภูบาลเสนาบดีถูกคมทวนของพระเจ้าโกสันต์ฟาดฟันต่อสู้ เฉกเดียวกับนางกินรีปีศาจถูกพระเจ้าพัชรพรรดิซัดวาดธนูเข้าใส่ จอมมารเห็นปัจจามิตรบุกโจมตีโดยเร็วฉะนั้น ก็หมายปลิดชีวิตภัทรพจน์เพื่อจักได้ครอบครองเพชรมณี แต่มาตะมิได้ละเว้นความคล่องแคล่วก็ใช้อำนาจโกสันต์ปัทมทับทิมเรียกมหาเพลิงแผดใส่อสุมาศในทันใด

ภัทรพจน์ถลาถอยหลบจากพันธนาการโดยมีปักษาวายุภักษ์เข้าช่วยพยุง หลังจากพระเจ้าพัชรพรรดิปลดเชือกมนตราออก มาตะขยับโยกมหาเพลิงโอบล้อมจอมมารไว้ดั่งเกราะทองหินผา เจ้าภัทระก็ร่นถอยมายืนเคียงมาตะ แล้วตั้งสติกำหนดลมหายใจ หมายเรียกภูเตศวรเทพ

“ช้าก่อน น้องท่าน หะนี้เราต่างล่วงรู้แล้วว่า ผู้ครอบครองนพมณีอย่างหนึ่งอย่างใด มิอาจพรากชีวิตของผู้ครอบครองสิ่งล้ำค่าเสมอกันโดยซึ่งหน้าได้ อย่าผนึกรวมให้สิ้นโอกาสเถิดหนาเจ้า จงปล่อยเป็นธุระอาวุธพระราชทานใช้ต่อกรเถิด”

คมดาบล้อแสงสุริยันอัสดงเฉกศาสตราวุธธรรมดา แต่คำมาตะว่าเป็นของพระราชทานมาแต่องค์มหาเทพดุจเดียวกับทวนอัศวาราตรีกาล คราวใช้ถอนพิษมนตราลีลาทมิฬสำเร็จ ทั้งเคยสังหารจอมปีศาจได้ครั้งหนึ่งแล้วกระนั้น พลันความหวังก็จุดติดวูบในเวิ้งถ้ำอันมืดมน

“จริงดั่งนายว่า มาตะ เราผนึกกำลังกับภูเตศวรเทพ ใช้พลังต่อกรมารร้ายแต่ไม่อาจกระทบถึงผิวเนื้ออีกฝ่ายสมคำ ในเมื่อทวนอัศวาราตรีกาลเคยปลิดชีพมันสำเร็จ ดาบกนกกาญจน์อาจให้ผลอย่างเดียวกัน งั้นลองดูเถอะ” พจน์ลำดับการต่อสู้ให้มาตะทบทวนตาม ฝ่ายเจ้าหนุ่มร่างกำยำตริตรองแล้วมองเห็นหนทางหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จักสยบมารร้าย ก็โผกอดภัทรพจน์ไว้แนบทรวง จรดปากร้อนเหนือหน้าผากยอดรัก พลางว่า

“อย่าหนีข้าไปอีก น้องท่าน เมตตาอย่าทำประหนึ่งหัวใจมาตะทำด้วยหินศิลาทราย เพราะเพียงเห็นเงากายน้องท่านลับหายจากเบื้องหน้า ก็เจ็บปวดเหลือจักกล่าว หากวันนี้เป็นครั้งสุดท้าย มาตะก็จักมิเสียดาย เพียงข้ามพิภพลอยมาเคียงท่านได้ก็เพียงพอแล้ว”

“ขอโทษนะ มาตะ ขอโทษในทุกการกระทำ หากดาบกนกกาญจน์ไม่อาจปลิดชีพจอมมารเช่นนายคะเน ก็ขอชดใช้ชีวิตตัวทอนฤทธาของมันให้ลดลงให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถ ไปเถอะ ไปจบเรื่องนี้กัน”

ตั้งสัจจะอธิษฐานแน่วแน่มั่นคงแล้ว เจ้าสองหนุ่มก็พยักหน้าทอดสายตาอาวรณ์เป็นหนท้าย ผินหน้าโจนทะยานหาอสุรมาศจอมปีศาจด้วยใจผ่องแผ่วกล้าหาญล้นปรี่ เจ้าปักษาวายุภักษ์เห็นสองบุรุษตกปากฝากคำไว้แก่กันแน่แท้ประหนึ่งกำลังลาจากเพื่อเผชิญกับความตายก็อดอาดูรมิได้ แต่หักลงด้วยใจแข้มแข็งอย่างเดียวกันแล้วโผติดตามมหาบุรุษเพื่อปราบมาร

เพชรนาที หนึ่งจอมมารตระหนักแน่ว่า อำนาจฤทธาอันตนครอบครองสุดยอดอัญมณีทั้งห้าดูไร้ค่า มนตราหมอกกำบังละทิ้งเป็นลางสังหรณ์ มันฉุกดำริ หากทวนอัศวาราตรีกาลเคยฉุดคร่าร่างตนมาได้หนหนึ่ง เห็นมิพ้นดาบกนกกาญจน์ราญอริราชคงทรงฤทธิ์มิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ก็เริ่มละล้าละลังถอยห่าง หมายส่งสัญญาณให้ทาสรับใช้ซึ่งออกรับอาวุธต้านศัตรูอยู่ให้ล่าถอย แต่ยังมิทันอสุรมาศจักเนรมิตเร้นพ้น ภัทรพจน์ก็โจนโถมใส่จอมมาร มาตะก้าวประชิด พลางว่า

“เจ้าทรงอำนาจแต่มิได้ดำรงอยู่ในศีลธรรม แหละนี่คือผลกรรมประพฤติชั่ว”

จ้วงดาบทองปลิดทะลวงอกซ้าย เลือดดำทะลักล้นเปรอะเปื้อน ดวงตาชาดมอดทอดดับลง คงไว้เพียงสีน้ำตาลเดิม แรงระเบิดเหิมแห่งปัญจมณีเหนือหน้าผาก ทลายรกรากภูมิประเทศราบเตียน

กล่าวถึงสมุนปีศาจครั้นเห็นนายเหนือหัวมีอันต้องคมดาบทองกระนั้น ทั้งแลเห็นพญามัจจุราชกลุ้มรุมฉุดกระชากจอมปีศาจก็พลันสิ้นสติ ฝ่ายสหภูบาลเสนาบดีเพิ่งฟื้นกำลังจึ่งพลาดพลั้งถูกคมทวนพระเจ้าโกสันต์ตัดเศียรดิ้นดับโดยง่าย นางอัปสราปัดส่ายศัสตราวุธจากเงาพระเจ้าอนันตราชโผเข้าหาอสุรมาศ แต่วาระสุดท้ายของมหามารมาถึงรวดเร็วเกินกว่าผู้ใดจักคาดคิด ครั้นมาตะถอนดาบกนกกาญจน์ออก จอมปีศาจก็ทรุดฮวบเหนือพื้นศิลา เจ้าราชบุตรบุญธรรมก็เรียกมหาเพลิงก่อเป็นวงล้อมมิให้ทาสรับใช้เข้าช่วยแก้ไข ภายในเขตพระเวทจึ่งมีเพียงจอมมาร ภัทรพจน์ แลมาตะ
 
อสุรมาศสัมผัสรู้ความเจ็บปวดแล่นริ้วทั่วกายา มันกระเสือกกระสนสะเปะสะปะจะลุกยืนแต่ทำได้เพียงชันเข่า แหงนพักตร์ผสานตาสีสมัน

“แกคิดผิดมาตลอด อสุรมาศ”

“ข้าไม่เคยดำริสิ่งใดผิดพลาด จงระวังปาก อึก” จอมมารสำลักเลือดข้นแปดเปื้อนเครื่องนุ่งห่มย้อมดำ มาตะยืนนิ่งจ้องพักตร์ทั้งสี่ของจอมปีศาจ บัดนี้ลดรูปกายเหลือเพียงหนึ่งพักตร์สองกรแต่เท่านั้น

“อย่าดูถูกอำนาจซึ่งอ่อนแอกว่า อย่าดูถูกเผ่าพันธุ์ซึ่งแกเห็นว่าไร้ค่าอย่างมนุษย์ และอย่าหลงเชื่อในสิ่งที่เคยเชื่อ” ภัทรพจน์แนะด้วยสติตั้งมั่น แล้ววาดแขนแปรเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในวงคาถา เป็นสถานมหาพลับพลาเหนือสวรรค์ชั้นฟ้า ปุยเมฆลอยคลอเคล้ายอดมหามณเฑียร ผุดกายพระมหาเทวีเป็นเจ้าอยู่เบื้องหน้ามหาพลับพลา ตรัสสนทนากับนางสนองโอษฐ์ เพียงเพราะแลเห็นเจ้ายักษ์อสุรมาศงดงามยิ่งกว่าพระองค์ มหาเทวีจึงจำแลงเป็นพระมหาเทพล่อหลอกอสุรมาศแลสหายทั้งห้าประทับสรง ครั้นแล้วจึ่งใช้มหาจักรตัดเศียรอสุรมาศแลข้ารับใช้คอขาดกระเด็น เห็นสะท้อนสู่สายตาจอมมารในห้วงวาระสุดท้าย

“ไม่ หาเป็นความจริงไม่ เจ้าโกหก” อสุรมาศผู้ใกล้แตกดับกล่าวหาพจน์ เจ้าภัทระลดตัวลงเอื้อมมือหวังประคับประคอง ทว่าผู้นำปีศาจฝืนใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายปัดป้อง พจน์จึงว่า

“ท่านเข้าใจผิดมาโดยตลอด อสุรมาศ องค์มหาเทพยังคงรักท่าน ไม่เคยคิดล้างท่านดังท่านเคยเชื่อ ผมเป็นทิพยพยานในการนี้ ยืนยันว่าแน่แท้ยิ่งกว่าสิ่งใดๆในโลก ความรักของท่านยังคงอยู่มิได้สูญสลาย”

“เจ้า...”

“เราสองคนเหมือนกันอย่างประหลาด ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและเนื้อแท้ภายใน เราเจอความรักที่แน่แท้เสมอกัน แต่ความเข้าใจผิดบดบังความรักของท่านจนดวงตามืดบอด ใช่ ความรักทำให้ผมผนึกกำลังกับภูเตศวรได้ และความรักทำให้ดวงตาท่านหลุดพ้นจากความทุกข์ จากความไม่รู้ ผมขอโทษที่ต้องทำแบบนี้ แต่เราต้องจบเรื่องนี้ และผมสัญญาว่าอีกไม่นานผมก็ต้องพบจุดจบเช่นเดียวกันกับคุณ ทุกสรรพสิ่งต้องมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้ววันนั้นเราคงได้เจอกันอีก”

อสุรมาศกวาดดวงตาสีน้ำตาลพิจารณาพจน์ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย บัดดลแสงสว่างทอประกายก็มอดดับอับหม่น เช่นเดียวกับเหล่าทาสผู้ภักดีต่างล่องหนอันตรธาน เหลือไว้เพียงม่านหมอกควันดำ

ณ จุดวาระสุดท้ายของจอมมารหลงเหลือเพียงเถ้าละอองต้องสายลมเท่านั้น ดวงตะวันโพล้เพล้ลาลับขอบโลก เฉกเดียวกับความโฉดชั่วล่มสลายด้วยอำนาจอาวุธธรรมดา ไร้พลังเหนือพลังอันยิ่งใหญ่ เจ้าหนุ่มสองคนหอบหายใจแล้วโผเข้ากกกอดกันไว้ ราวกับเวลาทั้งจักรวาลหยุดเคลื่อนไหว


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป



________________________________

วา : หน่วยวัดความยาวของไทยแต่โบราณเท่ากับ ๔ ศอก หรือ ๒ เมตร
ศอก : หน่วยวัดความยาวของไทยแต่โบราณเท่ากับ ๒ คืบ โดย ๑ คืบ เท่ากับ ๑๒ นิ้ว
เพชรนาที : ระยะเวลา ๑ ใน ๔ ของนาที

__________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

เนื่องจากบัดนี้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คงคลายความโศกเศร้าลงไม่มากก็น้อยแล้ว ผมจึงขออนุญาตลงนิยายครึ่งหลังที่เหลือเพื่อมิให้เกิดความค้างคาในใจนานเกินควร

รออีก 50%
มาแล้วครับ ขอโทษที่ให้คอยนาน

แม้จะน้อยนิด  แต่ท่านก็ทำให้เกล้ากระผมได้ไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ

ขอบคุณมากๆคับ
ยินดีครับที่ทำให้คุณรู้สึกเสมือนหนึ่งร่วมอยู่ในเหตุการณ์ในเรื่องด้วย

:ruready
:เฮ้อ:

ภาษาสวยมากกก ทีมมาตะเลยอ่ะ
ขอบคุณครับ ดีใจที่คุณชอบมาตะนะครับ

ที่คาดไว้ก็ไม่ผิดนะ  แต่อยากรู้ว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้  เขาแค้นอะไรกันนะ รึเราลืม  5555  รอครึ่งหลัง  แอบผิดหวังนิดๆกะครึ่งแรกนี้  สรุปก็เสียไปฟรีๆสินะครั้งนี้อ่ะ
เค้าแค้นอะไรกันนี่ ถ้าลืมก็ได้ทำการสรุปย่อให้ทราบในตอนล่าสุดแล้ว แต่ถ้าอยากอ่านเนื้อหาเต็มก็ลองย้อนกลับไปยังบทที่ ๓๐ อุบายพิศวาส ก็จะได้รับคำตอบละเอียดขึ้น คนที่มีอำนาจ จริงๆแล้วมีอำนาจแท้จริง ยั่งยืน หรือเปล่า คนมีอำนาจมีความสุขจริงหรือไม่ พลังมากมายเพียงใดหรือจะสู้ใจมั่นคงดวงหนึ่ง ก็คงจะเสียไปฟรีๆอย่างคุณว่านั่นแหละครับ แต่สุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างที่คุณหวังไว้หรือเปล่านี่สิที่ผมอยากรู้

รวดเดียวจบเป็นอะไรที่ดีงามมาก จะรอบทสรุปว่าจะเปงไง
สุดยอดครับ ดีงามมาก หวังว่าจะไม่ได้อ่านข้ามหรอกนะครับ ด้วยมีคนอ่านติงมาว่านิยายเรื่องนี้อ่านยาก ต้องค่อยๆอ่าน กว่าจะจบแต่ละตอนก็ใช้เวลานานพอดู ซึ่งผมก็เคยย้ำข้อแนะนำไปแล้วว่า ห้ามอ่านข้ามเด็ดขาดไม่ว่าช่วงไหน เกิดพลาดเงื่อนงำใดไปเสียดายแย่ ใกล้จบแล้วครับเหลืออีกสามบทเท่านั้น

จะครบรอบ1ปีแล้วสินะ
ครับ เมื่อ ๒๔ ตุลาคมที่ผ่านมาก็ครบ ๑ ปีพอดี เป็นนิยายที่ยาวนานอยู่เหมือนกัน ลองมองย้อนกลับไปก็รู้สึกดีใจที่ได้มอบความสุข อรรถรสให้แก่ผู้อ่านมาได้ยาวนานขนาดนี้ แต่ก็อดใจหายไม่ได้ว่า เหลืออีกเพียงไม่แก่ตอนนิยายเรื่องนี้ก็จะถึงกาลปิดฉากจบ ขอบคุณครับที่ติดตามนิยายเรื่องนี้มาโดยตลอด

รออ่านอยู่นะ คนเขียน :ling1:
มาแล้วครับ ขอโทษที่ให้รอนานไปไม่หน่อย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-11-2016 10:52:45 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
สุดท้ายก็มาต่อ  มันจบลงรึยัง  รึว่ามันยังไม่จบ  สิ่งที่คาดไว้ก็เกินคาดไปมากอยู่  สิ่งที่อยากรู้ก็ได้รู้  แล้วผู้ถือครองมีสะตาเหมือนกันแต่ต่างกันที่คนหนึ่งมีความแค้นในความเข้าใจผิด  กับอีกคนไม่มีความแค้น  ซึ้งมันเป็นเส้นขนาดแล้วสุดท้ายก็มาบรรจบกันในตอนนี้  รออีกสามตอนที่เหลือว่าจะมีอะไรเซอร์ไฟส์รึเปล่า

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
สุดท้ายจอมมารก็ตายไปแล้ว ทีนี้ก็โลกทั้งสองสินะ ที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่ๆ เพราะผลกระทบนี้ไม่ว่าจะดี หรือ เลวร้ายลง สนุกมากจริงๆค่ะ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๔๔



มหาภัยพิบัติ


   
“ได้โปรดอย่าละทิ้งข้าซ้ำอีก” มาตะลูบหน้าลูบตาภัทรพจน์ ทั้งเวียนจูบซับกระพุ้งแก้ม หน้าผาก ปากชมพู “เหตุผลทั้งนั้นมาตะไม่พึงระลึกประสงค์รู้ แต่อยากฟังคำหนึ่งเดียว น้องท่านยังรักข้า ไอ้มาตะคนซื่อนี้อยู่ ฤา หาไม่”

เมื่อสิ้นอำนาจมืดดูเหมือนจะปลดความหนักอกทั้งมวลลงกองสิ้นดุจกัน แต่ครั้นได้ยินคำถามจี้ใจฉะนั้น ภัทรพจน์ก็ระลึกรู้ว่าปัญหาคาใจยังคงอยู่ และเป็นตนคิดผูกขึ้นจำต้องเป็นผู้แก้แต่สถานเดียว จึงว่า

“ขอโทษทั้งชีวิตก็ไม่อาจปลิดโทษที่เราทำกับนายได้ มาตะ โกรธเถอะ แค้นให้ถึงที่สุด ต่อว่าด่าทอให้ถึงขนาด แต่อย่าทำเหมือนเราไม่มีความผิด และอย่าถามคำถามที่นายก็รู้คำตอบอยู่แล้ว อย่าถาม เพราะถ้านายถามอีกครั้ง เราคงกลั้นใจตายประเดี๋ยวนี้”

ปักษาวายุภักษ์หันเบือนภาพรันทด  ท้องฟ้าอัสดงคต ขึ้นเงาราตรี ปกปิดความพินาศแห่งขุมพลังไพรีไว้จากสรรพสิ่ง แสงสว่างสาดกระจ่างจากจันทร์ข้างแรมแย้มพราวเคียงดาวประจำเมือง  มาตะเห็นยอดรักทรุดเข่าลงพื้นก้มหน้าโศกสลดเซ่นคำถามตน
 
บัดนี้คนทั้งสองต่างร่วมมือปราบมารจนสำเร็จสมประสงค์ พริบตาเดียวดุจสนธยาเป็นราตรี ง่ายดายดุจสายน้ำไหลลงสู่มหาสมุทรอย่างเดียวกัน เป็นไปตามวิถีทำนองคลองธรรม ความชั่วไม่อาจดำรงอยู่ได้ยืนนานหากยังมีความดีอยู่ จึ่งปรากฏเป็นความดับสิ้นดั่งเหตุการณ์ล่วงผ่าน แม้แต่จอมมารผู้โฉดชั่ว เมื่อล่วงรู้ว่าอำนาจที่ตนครองแม้นทรงพลังเท่าใด สักวันสิ่งเลวทรามต้องย้อนหวนมาทำลายตน มิใช่พลังเหนือพลัง แต่เป็นสิ่งธรรมดาสามัญ คือ ดาบ อาวุธปุถุชนคนเดินดินใช้สองมือสองเท้าเพื่อต่อสู้สิ่งชั่วร้าย กลายเป็นอาวุธทำลายมันได้ง่ายดาย
 
มองข้าม หลงลืม ว่าความด้อยค่าไร้ความหมายมิอาจมีผลต่อตน แต่อาวุธต่ำต้อยนี่แลทรงพลังยิ่งกว่า ยามเมื่ออับจนหนทางออก มหาเทพทรงเล็งเห็นแล้วว่า การณ์ทั้งปวงมิอาจยุติได้ด้วยพลังเหนือพลัง จึ่งพระราชทานศาสตราวุธสามัญไว้ให้มนุษย์ใช้ปราบมารร้าย อสุรมาศมิได้ตระหนักว่า ทวนอัศวาราตรีกาลเคยทำอันตรายตนมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว จึ่งเพิกเฉย บัดนี้ความประมาททำให้มันดับสูญชั่วนิรันดร์

“เจ้ารักข้า ฤา ไม่” มาตะเค้นขอคำตอบหน้าเฉย

เจ้าภัทรพจน์เงยดวงตาสีน้ำตาลสั่นคลอมอบให้มาตะแทนคำตอบ

“ดาบกนกกาญจน์ในมือนายสามารถทำลายจอมมารได้สำเร็จฉันใด คำถามว่ารักนายหรือเปล่าก็สามารถทำลายเราได้ฉันนั้น ถามอีกเถิด ถามอีกสิ ถามว่ากูรักมึงหรือเปล่า หัวใจดวงนี้มันเจ็บใกล้สิ้นแล้ว ถามมาอีกดิวะ”
 
สรรพนามเรียกชื่ออีกฝ่ายแปรเปลี่ยนเมื่อหัวใจใกล้พินาศ พจน์ไม่หลงเหลือความยินดีจากการปราบจอมมารสำเร็จ บางทีเขาคงหมดหน้าที่แล้วเช่นกัน สวรรค์จึงบันดาลให้ไอ้มาตะคนซื่อบื้อถามคำถามแทงหัวใจตนแบบนี้

“ข้าข้ามพิภพมาหาท่านได้แล้ว ตอบมาคำหนึ่งเถิดว่า รัก”

“คำว่ารักมันสำคัญมากหรือไงวะ ถึงอยากได้ยิน มันสำคัญกว่าการกระทำงั้นหรือ ได้ ถ้าไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำต่อกันไม่ใช่เพราะรักแล้ว ความรู้สึกของนายก็ลึกนัก ไม่มีใครอยากให้คนที่เรารักเจ็บหรอก มาตะ ไม่ แต่ถ้านายยังไม่รู้ว่าหัวใจของเราอยู่ที่ใคร บางทีดาบในมือนายก็คงช่วยตอบคำถามนี้ได้”

ภัทรพจน์ผวาคว้าปลายดาบหมายมุ่งนำเข้าแทงใจตน แต่มาตะระมัดระวังไว้อยู่แล้วก็ขืนดึงกลับผลักอกยอดรักด้วยกำลังแรงกว่าปกติ เจ้าภัทระก็เซทรุดล้มลง
 
“หากรักมาตะแล้วไซร้ กระไรท่านจึ่งทอดทิ้งมาตะไว้แต่โดยเดียว ฤา เจ้า” ทรุดตัวย่อประคองหน้าสิริโฉมประโลมเล้าใจตนนับแต่หนแรกจวบเพลานี้ ความประสงค์อยากยินคำต้องการปั้นใจแลสีหน้านิ่งดั่งหินผา

“ณ ตำหนักทรงดนตรี น้องท่านเคยกลั่นความรู้สึกออกปากแน่นหนักว่า รักมาตะมาครั้งหนึ่ง แลข้าก็เชื่อโดยสนิทเสน่หาว่ารักนั้นคือสัตย์มั่นคงยิ่งกว่าอื่นใด ยามน้องท่านมีอันผิดใจ ไม่ยอมเจรจาสนทนาต่อกัน มาตะก็อาศัยคำรักปลอบประโลมว่า ค่าน้อยท่านฝากรักกับมาตะแน่แท้ กิจพยายามง้องอนสักวันคงสำเร็จ แลเห็นผลจริงดังว่า ก็ท่านรักข้าแลเรารักกัน คือเหตุผลส่งให้อุปสรรคขวากหนามพังทลายโดยสิ้น ข้าเชื่อใจท่าน ท่านเชื่อใจข้า ภักดีสัตย์ซื่อต่อกันด้วยประการฉะนี้ มีหรือมาตะจะท้อถอย รังแต่จะมุมานะสู้ฟันฝ่าปราการหินผาอันขวางหน้าอยู่ แต่...”

คำมาตะยิ่งทวีให้น้ำตาพจน์หลั่งนองเปรอะเปื้อนผิวเนียน เขาพยายามสะกดใจให้มั่นคง แต่หัวใจบีบรัดกลัดน้ำตาหนุนเนืองๆ
 
“มหาบุรุษท่าน” รณพานุรักษ์มิอาจทนเห็นสืบต่อไปก็หมายจู่เข้าช่วย พจน์ก็ยกมือห้ามไว้

“รอประเดี๋ยวเถอะ รณพานุรักษ์”

“แต่...หนท้าย น้องท่านละจากด้วยใจเหี้ยม ลวงข้าให้หลงในกามวิสัย เพื่อหนีไปไม่หวนกลับ หทัยท่านทำด้วยหินนิลกาฬ ฤา อย่างไรเล่า จงแจ้งกล่าวสักคำเถิด หากมิเกรงว่ามาตะจักสิ้นลมวายชีพ ณ เสี้ยวเพลานั้นแล้ว ใจท่านก็โหดร้ายนัก เราต่างผ่านอุปสรรคร่วมอกมากมาย แต่เจ้าละทิ้งข้าไว้เหมือนสิ่งของไร้ค่า ไม่มีราคา จักหว่านทิ้งเมื่อไรย่อมได้เสมอ ยามเห็นว่าสิ้นประโยชน์ไม่สนองคุณ ก็ปลดโยนหน้าตาเฉยกระนี้ ยังจะจริงดังคำข้าถาม ฤา หาไม่ วานตอบเถิดหนา”

พจน์ไม่ได้สนใจเช็ดหยาดน้ำตาออก สติสนอยู่เพียงคำกล่าวหาเสียดแทงปริ่มจะขาดใจ

“ใช่ เราเป็นคนใจร้ายจริงดังนายว่า แต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว ไม่รู้หรือไง”

“น้องท่านโกหก อย่าปดข้า”

“โปรดกลับไปเถอะ ที่ผ่านมาเราลวงนายเพื่อหวังเล่นสนุก ใช่แล้ว เราปั่นหัวนายกับพี่ชายให้ผิดใจกัน” แสร้งหัวเราะขบขันเป็นการใหญ่ “เหมือนที่พระราชเทวีตรัส เราเป็นตัวกาลกิณี เป็นต้นตอก่อเหตุปัญหาทั้งสิ้น ก็เป็นคนแบบนี้แหละ หลายใจ คำว่า รัก ที่บอกก็โกหกทั้งสิ้น แต่ก็ต้องขอบใจที่อุตส่าห์ตามมาช่วย อย่างน้อยเราก็มีความคิดตรงกันในเรื่องการปราบมารร้ายให้จบสิ้น นอกกว่านั้นไม่จริงแม้แต่น้อย”

ภัทรพจน์กลั้นใจลุกยืนใช้หลังมือเช็ดน้ำตา แข็งใจกล่อมหน้าขรึม

“น้องท่าน” หัวใจมาตะประหนึ่งแหลกลาญเพราะคำพูดคนรัก “อย่าแสร้งประหนึ่งไม่รักข้า อย่าทำ” คว้ามือเรียวมากุมไว้ “ข้าไม่อยากยินคำว่ารักจากท่านแล้ว แต่อย่าโกหกว่าเรื่องที่ผ่านมาเป็นอุบายกลลวง”

“กลับไปเถอะ กลับไป กูไม่ได้รักมึง”

“ท่านรักข้า เรารักกัน แล้วทำไมต้องทำประหนึ่งว่ามิใช่เรื่องจริง เราผูกรักร่วมชะตาทุกชาติภพ”

“แต่ไม่ใช่ชาตินี้ มาตะ ไม่ใช่

“เจ้าข้ามพิภพมาหาข้าได้ ถ้ามิใช่เพราะรักแล้วจักด้วยเหตุใด”

“ก็กูเป็นผู้ครอบครองเพชรมณี อำนาจนั้นนำพาไปที่ไหนก็ได้”

“แต่ทุกครั้งน้องท่านต้องมาปรากฏเคียงมาตะเสมอ อย่าผลักไสไล่ส่งข้าว่าไม่รักเลยเจ้า เมตตาอย่าทำ”

“จบแล้วความชั่วร้าย เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน มึงอยู่อีกภพหนึ่ง กูอยู่อีกที่หนึ่ง ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ อีกไม่นานต้องมีที่หนึ่งที่ใดล่มสลาย จะไม่ทำสิ่งใด จะไม่ทำให้ทุกคนเชื่อว่าน้ำกำลังท่วมโลก จะไม่รวบรวมมหามณีทั้งสาม ชนบนโลกจะล่มสลายเพื่อให้มหาพิภพดำรงอยู่เช่นบรรพกาล ความรักมันจะช่วยอะไรได้มาตะ ถึงเราจะรักกันจริง ใช่ เราโกหกว่าไม่ได้รักนาย โคตรจะรัก เพราะรักถึงต้องทิ้งนายไว้ที่นั่น ถ้าหากการเผชิญหน้ากับจอมมารมาถึง หากพ่ายแพ้ แต่ใจกูจะอยู่ที่มึง ใช่แล้ว กูรักมึง

เพียงมาตะได้ยินถ้อยสารภาพจากคนรักก็โผเข้ากกกอดไว้ เกลี่ยนิ้วเช็ดน้ำตาออกจากคลองจักษุ ตะโบมจูบให้สิ้นคะนึงหาแล้วว่า

“ข้ารู้แน่แล้วว่าท่านรักข้า ภัทรพจน์ ขอบน้ำใจน้องท่านมาก หากชะตาได้ลิขิตไว้แล้ว ข้าย่อมน้อมรับ ถึงเราจะอยู่คนละภพ ทว่ารักก็ชักนำให้เราประสบพบกันได้ เห็น ฤา ไม่เล่า อำนาจใดจักทรงอานุภาพเทียมเท่าสิ่งที่แน่นอยู่ในอกเราสองไม่มีอีก น้องท่านว่าชอบแล้วต้องมีพิภพหนึ่งล่มสลาย แต่มิใช่ดั่งน้องท่านคิดคำนึง ข้านำพระราชดำรัสแห่งพ่ออยู่หัว ราชันย์เผ่าพันธุ์มนุษย์ ตัวแทนสรรพสิ่งทั้งมวล แลผู้ทรงศีลพระอาจารย์โกสินธพมาแจ้งท่าน” มาตะยิ้มแย้มทั้งน้ำตาดุจกัน
 
“จงรับแก้วมณีสามประการนี้ไว้เถิด อนันตวัชรมรกต พัชรพีนิลกาฬ แลโกสันต์ปัทมทับทิม” กล่าวแล้วจึงปลดมหามณีสามสิ่งไว้ในกำมือยื่นให้ภัทรพจน์ “พวกเราชนบนมหาพิภพยินดีล่มสลายชั่วนิรันดร์ เพื่อให้เผ่าพันธุ์น้องท่านบนพิภพนี้คงอยู่ดั่งคำสัจจะวาจาสิทธิ์แห่งองค์มหาธรรม มารร้ายสิ้นฤทธาได้ก็ด้วยอำนาจน้องท่าน โลกของท่านสมควรดำรงอยู่สืบต่อไป”

“แต่...ถ้างั้น หมายความว่านาย” มาตะยิ้มทั้งน้ำตา

“ข้าสิ้นสงสัยในรักแห่งเราแล้ว แลเราสองคงมิได้เจอะเจอกันอีก ใช่ ฤา หาไม่ หนนี้จะเป็นภพสุดท้าย”

“นายรู้หรือ”

“ถูกแล้ว ครูท่านแจกแจงที่มาเรื่องราวนับแต่อดีตชาติระหว่างข้าและน้องท่านโดยสิ้น แลแจ้งว่า ชาตินี้จะเป็นหนท้ายที่เราจักได้พานพบกัน”

“ขอโทษมาตะ แต่อย่าทำแบบนี้ นายเก็บไว้ พวกเราที่นี่ยินยอมล่มสลาย”

“น้องท่านประสงค์จักให้ข้าตายทั้งเป็นกระนั้น ฤา ท่านเคยพรากหัวใจมาตะครั้งหนึ่งแล้ว เจ็บนัก ทรมานสุดแสน อย่าให้มาตะต้องเผชิญเฉกนั้นอีก โปรดจงเก็บรักให้ลุกโชนในกายน้องท่านเถิด หัวใจข้าฝากไว้แก่เจ้าแล้วไม่ขอรับคืน” ตัดสินใจแน่วแน่ก็ยัดเยียดแก้วมณีทั้งสามใส่มือยอดรัก เจ้าภัทระก็บ่ายเบี่ยงด้วยผิดจากเจตนาตน

“กลับไปมาตะ กลับไปเดี๋ยวนี้”

มาตะขืนตัวดันทุรังหมายส่งมอบสิ่งล้ำค่าสามประการให้แก่ยอดรักไว้รักษาให้พิภพโลกดำรงอยู่ ต่างฝ่ายต่างปัดป้องไม่ประสงค์ทำตามคำร้องของอีกคน ระหว่างนั้นบังเกิดแรงสั่นสะเทือนลุกลามแทรกมาตามผืนปฐพี หนแรกมิอาจรู้สึกได้แต่คำรบสองชัดเจนแน่ตระหนักจนเจ้าหนุ่มทั้งสองโงนเงน เฉกเดียวกับต้นไม้แลซากโบราณสถานโดยรอบ

“ทำไมถึงรู้สึกเหมือน...”

“แผ่นดินไหว”

เจ้าปักษาวายุภักษ์รับรู้แรงสะเทือนนั้นดุจเดียวกัน หลับตาเพ่งกระแสจิตหาเหตุแห่งที่มา ชั่วครูหนึ่งจึ่งรีบลืมตาโดยพลัน ถลาเข้าหาภัทรพจน์มหาบุรุษแจ้งว่า

“มหาภัยพิบัติ พระเจ้าข้า บัดนี้ดินแดนมหาพิภพกำลังเคลื่อนตัวเพื่อพ้นสู่พื้นพิภพโลกา”

“แต่มหาเทพบอกว่าจะเป็นวันที่ ๑๕ เมษายน เมื่อดาวเคราะห์เคลื่อนเรียงเป็นแนวเดียว ไม่ใช่วันนี้ รณพานุรักษ์” พจน์ฟื้นความจำเร่งซักกลับ

“มิใช่พระเจ้าข้า เป็นเพลานี้ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนอ้าย...” อาการกระวนกระวายเล่นงานเจ้าปักษาวายุภักษ์

“น้องท่านโปรดจงรับแก้วสามประการไว้บัดเดี๋ยวนี้เถิด” มาตะเห็นการณ์ผิดพลาดกระนั้นเร่งซุกใส่มือคนรัก

พจน์ผลักสิ่งล้ำค่าออกจากตัว ตรองด้วยสติปัญญามั่นคง โน้มองค์จุมพิตปากมาตะแล้วตั้งจิตแน่วแน่

'ดวงจันทร์จะทรงกรด
สิสะสดระรำไร
นวลแสงระบายไป
ภะพะพื้น ณ แดนดล

ลิ่วลับระยับยอด
จะมิมอดมิหมองมน
หายไป ณ สายชล
ฤา จะพ้นจะกลับมา’

พอสิ้นอินทรวิเชียรฉันท์ อธิษฐาน แรงกระชากวูบใหญ่ฉุดดึงมาตะลับ หมอกควันขาวกลับปกคลุม สุมเลือดเนื้อมนุษย์แลสิ่งล้ำค่าทั้งสามเลือนหาย พรวดพรายจนไม่ทันให้เจ้ามาตะได้กล่าวร่ำลาคำใด จบแล้ว รักในชาติภพนี้
 
พจน์เห็นความว่างเปล่าเบื้องหน้าแน่ถนัด ข่มใจด้วยเลือดกายกล้าหาญตัดความอาดูรดับสิ้น มาตะคงคืนกลับมหาพิภพดั่งจิตตั้งมั่นของตน โปรดเก็บหัวใจกูไว้ด้วย ไอ้คนซื่อ ไม่เสียใจแม้แต่น้อยที่ได้รักมึง...มาตะ

“กลับคืนบ้านเทพวิมานเถอะ รณพานุรักษ์”


มีต่อด้านล่าง

______________________________

อัศดงคต : ทางทิศตะวันตก
ดาวประจำเมือง : ดาวพระศุกร์ที่เห็นในเวลาหัวค่ำ
อินทรวิเชียรฉันท์ : ชื่อฉันท์ ๑๑ แบบหนึ่ง หมายความว่าฉันท์ที่มีลีลาอันรุ่งเรืองงดงามดุจสายฟ้าซึ่งเป็นอาวุธของพระอินทร์ วรรคหน้ามี ๕ คำ วรรคหลังมี ๖ คำ รวม ๒ วรรคเป็น ๑ บาท ๒ บาทเป็น ๑ บท คำที่ ๓ ของวรรคหน้ากับคำที่ ๑,๒,๔ ของวรรคหลังเป็นลหุ (คำประสมสระสั้น) นอกนั้นเป็นครุ (คำประสมสระยาว)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 16:00:14 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]



เจ้าปักษาคุมสติพยักหน้ารับ เมฆหมอกควันขาวอ้อมล้อมชักพาภัทรพจน์แลผู้พิทักษ์รักษากลับมายังสนามหญ้าหน้าเรือนไทยเทพวิมานในทันทีทันใด

“เร่งเตือนทุกคนบัดเดี๋ยวนี้ มหาบุรุษ” เจ้าปักษารณพาเจราเสียงดัง ไม่รีรอให้ปักษาวายุภักษ์ต้องกล่าวซ้ำสอง พจน์รีบวิ่งด้วยฝีเท้าที่คิดว่าเร็วที่สุด ก้าวข้ามบันไดทีละสองขั้นจนถึงซุ้มบันได ทุกคนกำลังสนุกสนานงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของคุณปู่ พี่ส้มกำลังเป่าแตรกระดาษที่ซื้อมาเมื่อตอนเย็นเสียงดังสนั่น เศษริบบิ้นและกระดาษเลื่อมหลากสีปลิวละล่องอยู่ในอากาศ เพื่อนของพจน์ต่างมีสีหน้าสุขสำราญมิได้สัมผัสถึงแรงแผ่นดินไหวแม้แต่น้อย

“อ้าว พี่พจน์ พี่ไม่ได้อยู่ในห้องหรือคะ แล้ว...เกิดอะไรขึ้นคะ” พจน์โผเข้ากอดน้องสาวคนเดียว

“พี่ส้มครับ ปิดเพลงก่อน” ปาล์มวางไมโครโฟน สาวใช้ผิวสีแทนปิดเครื่องเล่นเพลง ดวงหน้ามีสีจัดกลับซีดเผือด ชาญณรงค์ถอดหมวกแฟนซีออก คุณปู่มิได้อยู่ในบริเวณนั้น ไอ้ภามกับไอ้ปาล์มต่างเดินมาหาเด็กหนุ่มหน้าสวย

“กู...” แล้วทันทีทันใดโคมไฟที่ให้แสงสว่างกลางหอนั่งเริ่มสั่นทีละนิดทีละน้อย

คนเดียวที่พจน์ต้องรีบบอกคือ คุณปู่ เด็กหนุ่มวิ่งผ่านภพดนัย ธนพลลุกขึ้นยืนด้วยความงุนงง เขารัวเคาะประตูหน้าห้องศาสตราจารย์วิชัย ทุกคนต่างตามประชิดเมื่อเห็นอาการผิดปกติของพจน์

“คุณหนูคะ เกิดอะไรขึ้นคะ ให้พี่โทรหาตำรวจไหม” จิตใจของส้มดูไม่สบายอย่างยิ่ง “คุณหนูพจน์ บอกพี่มาสิคะ”

“เข้ามา”

พจน์กระแทกประตูเข้าไป รู้สึกเจ็บเล็กน้อยแต่ไม่เท่ากับบาดแผลที่อยู่ลึกในใจ ศาสตราจารย์วิชัยกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ หนังสือมหาทวีปลึกลับเล่มสีแดงวางอยู่บนตัก

“ผมมีหลักฐานสำคัญที่จะยืนยันเหตุการณ์น้ำกำลังท่วมโลกได้อย่างแน่นอนแล้ว ฉะนั้นผมต้องการเปิดแถลงข่าว ไม่ทราบว่าสถานีของท่าน... อะไร ตาพจน์”

“คุณปู่ครับ มันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่วันที่ ๑๕ เมษายน แต่เป็นคืนนี้”

ศาสตราจารย์วิชัยขมวดคิ้วดูเหมือนไม่เข้าใจความหมายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ท่านเลื่อนสายตามองบานกระจกเงา สลับแก้วน้ำ ปรากฏรอยคลื่นเป็นวงกระจายอยู่เหนือผืนน้ำในแก้ว ศาสตราจารย์ลุกขึ้นพลิกปฏิทินข้างฝาผนังห้อง แล้วเบิกตากว้าง ท่านหยิบหนังสือมหาทวีปลึกลับพลิกหาความหมายบางอย่าง

“เป็นไปไม่ได้”

ราวกับคำพูดของพจน์เป็นคำโกหกที่ไม่น่าเชื่อถือมากที่สุดในโลก ดาวสูดลมหายใจเข้าออกพลางพยักหน้าให้พี่ส้ม ชาญณรงค์ก้าวเข้าหาศาสตราจารย์วิชัย

“นี่มัน...”

“เดี๋ยวก่อน โปรดฟังผม รีบประกาศเตือนภัยโดยเร็ว ประกาศเตือนเดี๋ยวนี้” ศาสตราจารย์กรอกใส่หูโทรศัพท์

“ประกาศเตือนอะไรกันครับ คุณพ่อ พจน์ แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน” ธนพลสั่นหน้าสับสน
 
“ประกาศเตือนว่าน้ำกำลังจะท่วมโลก คุณไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนหรือ...” ศาสตราจารย์พูดได้แค่นั้นก็ต้องยกหูโทรศัพท์พิจารณา สัญญาณขาดหาย พี่ส้มร้องเสียงสูงอย่างไม่อาจปิดบังความตื่นตระหนกไว้ได้ คำตอบของคำถามทั้งหมดจบลง นำความหวาดกลัวแทรกซึมสู่เบื้องลึกที่สุดของจิตสำนึก ภพดนัยยืนทำอะไรไม่ถูก รูปถ่ายครอบครัวเทพวิมานนับแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดในกรอบกระจกติดฝาผนังสั่นระริก

“พ่อณรงค์ ขอยืมโทรศัพท์มือถือด้วย” ชาญณรงค์หยิบยื่นเครื่องมือสื่อสารไร้สายให้ศาสตราจารย์ คุณปู่ก้าวออกนอกห้อง มองหอนั่งและจ้องท้องฟ้า ท่านใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อใครบางคน

“กระผม ศาสตราจารย์วิชัย เทพวิมาน ผมขอความกรุณาให้สถานีโทรทัศน์ของท่านหยุดออกอากาศรายการปกติ” ทุกคนจดจ้องหน้าจอโทรทัศน์ “กรุณาแจ้งข่าวทุกสถานีให้ประกาศเตือนภัยเดี๋ยวนี้ ประกาศให้ประชาชนทุกคนรู้ เพราะน้ำกำลังจะท่วมโลก”

แก้วน้ำริมขอบโต๊ะร่วงหล่นสู่พื้นแตกกระจาย ส้มและป้าแจ่มวิ่งวุ่นเข้าจัดการเศษแก้วอย่างสิ้นสติ แสงสว่างจากโคมไฟในหอนั่งกะพริบวูบ ความสนใจทั้งหมดถูกถ่ายเทสู่โทรทัศน์ ความหวังซึ่งสื่อเทคโนโลยีอันล้ำสมัยจากฝีมือมนุษย์จะช่วยเหลือมนุษย์กลับคืนได้บ้าง แล้วฉับพลันภาพละครช่วงหัวค่ำก็ปรับเปลี่ยนขาดหาย มีคลื่นรอยเส้นแทรกเข้าบดบัง และไม่อาจราบเรียบเช่นก่อนหน้านี้ รายงานข่าวด่วนผุดแทรกกะทันหัน

“แจ้งรายงานข่าวด่วนค่ะ มีการตรวจพบแรงสั่นสะเทือนอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหวที่ก่อให้เกิดความเสียหายในประเทศญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา จีน และขณะนี้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้ตรวจพบแรงสั่นสะเทือนที่แผ่ขยายมาถึงกรุงเทพมหานครแล้ว ดิฉันขอแจ้งเตือนให้ประชาชนทุกคนทุกภูมิภาคทราบ โดยขอให้ทุกคนออกมาจากอาคารบ้านเรือนโดยเร็วที่สุด และให้อยู่แต่ในพื้นที่โล่งแจ้ง”

ศาสตราจารย์วิชัยสั่นหน้า ความหวังดูริบหรี่ลงเรื่อยๆ “ได้โปรด ประกาศเตือนว่าน้ำกำลังจะท่วมโลกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว นี่ไม่ใช่แผ่นดินไหวธรรมดา ได้โปรดเถิด”
 
“โอ้ ไม่นะ” นักข่าวสาวจ้องแผ่นกระดาษของทีมงานที่เพิ่งยื่นเข้ามา ภาพสัญญาณโทรทัศน์ทยอยมีปัญหา
 
“ประกาศสิ ประกาศเดี๋ยวนี้”

“นี่...นี่คุณ หมายถึง...ดิฉันต้องขอประกาศเตือน...”

ภาพบนจอโทรทัศน์ดับวูบ ศาสตราจารย์วิชัยยืดตัวสูดหายใจแรงพลางพยักหน้าให้ผู้ช่วยหนุ่ม

“ถึงเวลาแล้ว พ่อณรงค์ รีบพาทุกคนไปที่เรือดำน้ำ”

“เรือดำน้ำหรือครับ” ภพดนัยแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ชาญณรงค์จับมือดาวและภพดนัย ป้าแจ่มทรุดเข่าลงพื้นเรือนเคียงใกล้กับลุงชม พจน์ขมวดคิ้วให้กลุ่มเพื่อนทั้งหมด ทุกคนไม่มีคำถามหรือข้อสงสัยใด พวกมันพยายามโทรหาครอบครัวจ้าละหวั่น แน่ชัดว่าหายนะภัยครั้งสำคัญคือเรื่องจริง คุณปู่เหมือนรอคอยบางสิ่ง แสงไฟบนเรือนทุกดวงกะพริบวูบ

“บรรณารักษ์ห้องสมุด วิศรุต ตาพจน์”

ถ้าเพียงแต่พจน์จะพยายามชวนคุณครูวิศรุตมาร่วมงานได้ ถ้าเพียงแต่เขาจะทำ ธนพลได้แต่พร่ำพูดว่า

“สา - - สา - -”

“ธนชัย” เป็นรายชื่อหนึ่งเดียวที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากซีดของภพดนัย

“ออกไปนอกเขตบ้านกันเถอะครับ อาจารย์” ชาญณรงค์เร่งเร้าศาสตราจารย์ ธนพลพุ่งลงเรือนไทยเทพวิมานด้วยความเร็ว ทุกคนวิ่งตาม

“ไม่มีเวลาแล้ว ตาพล เราไม่อาจรอหนูสาได้” ศาสตราจารย์พูดไล่หลัง ถนนหน้าซุ้มประตูรั้วเนืองแน่นด้วยผู้คนสับสนวุ่นวาย

“ไม่ครับ ผมจะรอสา ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” ธนพลประกาศกร้าว ทำทีจะวิ่งออกตามหาท่ามกลางฝูงชน ศาสตราจารย์และชาญณรงค์รีบฉุดรั้งตัวไว้

“ปล่อยผมเถอะครับ ถ้าสาเป็นอะไรไป ผมก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม” เจ้าพวกเพื่อนของพจน์คุมสติได้ดีเยี่ยม ไอ้ปาล์ม ภาพภพประกบใกล้พจน์

“ตาพล แกตั้งสติให้ดี หนูสาคงไม่อยากเห็นแกไร้ความอดทนต่อความเศร้าเสียใจเหล่านี้แน่ พ่อคิดว่า...”

“พล พล...” สุนิสาสภาพเปื้อนฝุ่นตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เนื้อตัวมีรอยบาดแผลบางแห่งแหวกฝูงชนจนสำเร็จ และแทบจะในทันทีธนพลก็พุ่งเข้ากอดหญิงสาวไว้ด้วยความรักสุดหัวใจ สุนิสาน้ำตาไหลด้วยเพราะอาจไม่มีหนทางกลับมาเห็นบุคคลที่เธอรักอีกแล้ว

“สาขับรถมาไม่ได้ พยายามเดินมาแต่ตึกหน้าปากซอยก็ถล่มลง คนตายเยอะมาก สาคิดว่าคงจะไม่ได้...”

“เราจะไม่แยกจากกัน” ธนพลยังกอดสุนิสาแนบอก หญิงสาวร้องไห้จนเนื้อตัวสั่น
 
“คุณพ่อครับ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คือ...” ภพดนัยคว้าดาวไว้ใกล้ตัว ฝูงชนยังวิ่งวุ่นอลหม่าน

“หายนะภัยที่พ่อพยายามเฝ้าเตือนได้เกิดขึ้นแล้ว น้ำกำลังจะท่วมโลก”

“น้ำท่วมโลก!” หญิงชาวบ้านหวีดเสียงสูง เมื่อเธอบังเอิญยืนอยู่ในระยะการได้ยิน

“ไม่จริงใช่ไหมคะ ท่านศาสตราจารย์ ไม่ใช่แน่ๆ” หญิงคนนั้นสั่นศีรษะยอมรับความจริงไม่ได้ หลายครอบครัวเหลียวหันตามเสียง ศาสตราจารย์วิชัยได้แต่พยักหน้า

“โอ้ ไม่...” ข่าวน้ำท่วมโลกแผ่ขยายทุกทิศ โลกจะถึงคราวอวสานในอีกไม่ช้า

“อาจารย์ครับ ไปกันเถอะครับ เราคงพาพวกเขาทั้งหมดไปไม่ได้ด้วยแน่” ชาญณรงค์เร่งเร้า

“นำทางโดยเร็ว พ่อณรงค์” และบัดนี้ความจริงเรื่องน้ำกำลังจะท่วมโลกถูกส่งจากปากสู่ปาก ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือในจิตใจของผู้คนนอกจากภาพความตายซึ่งกำลังจะมาเยือน

“พลังของแกมิอาจห้ามชะตาลิขิตได้ ตาพจน์” คุณปู่กล่าวขณะวิ่ง
 
“ทำไมครับ ผมยังเหลือการผนึกกำลังกับภูเตศวรเทพอีกหนหนึ่ง”

“ไม่ทันแล้ว ตาพจน์ ไม่สำคัญอีกแล้ว ทั้งหนังสือปกแดงหรืออำนาจของแก จบสิ้นแล้ว แต่หากเรารอดชีวิตหนทางสว่างยังคงมีอยู่”

“แปลว่าอะไรหรือครับ”

แม้พจน์จะไม่เข้าใจคำพูดของท่านมากนัก แต่เขารู้ว่าคุณปู่ไม่ได้มีจิตใจโหดร้าย เพราะความหวังในใจท่านลุกโชนผ่านสายตาจนพจน์จำต้องน้อมรับ หากเป็นในช่วงเหตุการณ์ปกติเร่งเดินไม่กี่นาทีก็คงจะถึงสถานต่อเรือท้ายซอยโดยง่าย แต่เพราะตอนนี้ประชาชนทุกหลังคาเรือนออกมาอยู่บนถนนตามคำเตือนแน่นขนัด
 
“เฮ้ย หลบเร็ว” เสียงผู้คนหวีดระงม

โดยไม่ต้องให้ใครร่ำร้องตะโกนซ้ำ เสาไฟฟ้าล้มระเนระนาด แสงไฟทุกดวงดับพรึ่บ ความมืดย่างกราย เมื่อไร้แสงสว่างอื่นใดยกเว้นแสงเดือนข้างขึ้น ความอบอุ่นเพียงน้อยนิดเหือดหายชั่วพริบตา ผิวโลกจะไม่มีวันสัมผัสแสงสว่างใดๆอีกนับจากนี้ ความมืดโรยตัวปกคลุมพื้นพิภพ แล้วในวินาทีนั้นเองเจ้าภัทรพจน์สังเกตเห็นรอยแยกของพื้นถนนก่อเกิดเป็นร่องลึกแผ่ตรงเข้าสู่กำแพงรั้วบ้านฝั่งตรงข้าม ถัดไปเบื้องหลังเขตปลูกสร้างอาคารพักอาศัย คือตึกสำนักงานสูงเสียดฟ้าจำนวนมาก ตั้งเรียงเป็นแถวแนวยาวตลอดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

“ก้มหมอบเร็ว” พจน์ตะโกน
 
โครม!!

ภาพก่อนพจน์จะเซล้มลง คือตึกสูงหลายสิบชั้นถล่มพินาศ ดั่งฟ้าผ่าแผ่นดินเลื่อนลั่น เด็กหนุ่มถูกกดเซคลุกฝุ่น ละอองจากซากสิ่งก่อสร้างปรักหักพังปริมาณมหาศาลฟุ้งกระจายปกคลุมผู้คนและพื้นที่โดยรอบนับหลายร้อยกิโลเมตร เสียงไอเพราะสำลักอากาศไม่บริสุทธิ์ร้องทั่วสารทิศ พจน์ใช้ฝ่ามือดันตัวเองลุกขึ้นยืน ช่วยพยุงไอ้น้ำที่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง จนไอ้ต่อกับไอ้กีต้องสาละวนปลุกปลอบ

“คุณพ่อเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ภพดนัยถามหาผู้บิดา ฝุ่นละอองจากเศษอิฐดินปูนเกาะเลอะเทอะตามเสื้อผ้าผมเผ้าสกปรกมอมแมม

เปรี้ยง!!

ลูกไฟมหึมาสาดจากฟากฟ้าลงกลางถนน ละอองหมอกพร่ามัวหม่นผสมกรุ่นควัน ครั้นถูกลมพัดปลิวย้อนลอยสู่ชั้นอากาศ ค่อยๆเผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดของนางอัปสรา ดูแปลกแยกท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์ ดวงตาไม่มีเป้าหมายอื่นใดนอกจากภัทรพจน์มหาบุรุษ
 
“เจ้าสังหารจอมมาร จงตายซะ!” นางอัปสรากรีดเสียงแหลมบาดลึก ลูกไฟดวงใหญ่แผ่รังสีอำมหิตลอยอยู่เหนือฝ่ามือนาง

“ข้าดำริว่าการนั้นคงจักไม่มีวันมาถึง” ปักษาวายุภักษ์ประกบเคียงนางปีศาจแล้วสะบัดแขน ขนนกนับแสนพุ่งตรงดิ่งเข้าสู่ผู้ปองร้าย นางอัปสราอันตรธานทิ้งร่องรอยควันดำไว้

“เร่งพาทุกคนไปโดยเร็วเถิด ข้าจะคุ้มครองป้องกัน มิต้องกังวล” รณพานุรักษ์ยิ้มอย่างที่พจน์คิดว่าในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้นั้นหาได้ยากยิ่ง

“ครับ” พจน์ก็รับคำ

กลุ่มคนเบื้องหน้าถูกเหวี่ยงโยนสู่อากาศเบื้องบนด้วยอาการทุรนทุราย บ้างถูกปัดกระแทกชนซากอาคารบ้านเรือน ฝูงชนวิ่งหนีแตกกระเจิง แต่ก็มิอาจหยุดยั้งบางสิ่งซึ่งกำลังมุ่งตรงมาทางพจน์ได้ คลื่นพลังมนตราเมฆหมอกดำกวาดใส่มนุษย์ผู้ไร้สิ่งต่อสู้ป้องกัน นำสู่การเปิดเส้นทางจนโล่งกว้าง ด้านข้างทั้งสองของนางปีศาจประกบด้วยกินรีปีศาจสองตน นางอัปสราสลัดมนตราใส่เหล่ามนุษย์อย่างไร้ความปราณี มันร่ายพระเวทอีกครั้ง ควันดำมหาศาลหมุนวนราวกับบังเกิดลมวายุ นางสะบัดแขนหมุนเป็นวงในอากาศ แล้วจึงเหวี่ยงพระเวทเพลิงทมิฬมายังพจน์ เปลวเพลิงสีดำแผ่ขยายเป็นดวงไฟขนาดใหญ่พุ่งเข้าฉีกกระชากพรากกายผู้กีดขวาง เป้าหมายสุดท้ายคือมหาบุรุษ
 
แรงระเบิดแผ่นดินสะเทือนพุ่งสกัด แสงกระหวัดแดงชาดสาดกระจายทุกโมเลกุลอากาศ พจน์และทุกคนก้มหลบแทบไม่ทัน ถนนตรงจุด ณ เปลวเพลิงมอดไหม้ถูกปะทะบังเกิดหลุมขนาดใหญ่ ฝุ่นละอองฟุ้งปกคลุม

“นี่เจ้ายังมิยอมแพ้อีกกระนั้น ฤา” ปักษาวายุภักษ์ยืนอยู่เหนือปากหลุม ศพของมนุษย์นอนแผ่หลาเป็นภาพเวทนา นางอัปสรามีสีหน้าโกรธแค้นชิงชังแย้มชัด แผ่นดินเลื่อนผลัดสั่นไหว ราวกับไม่อาจรองรับโทสะของนางปีศาจได้

“ในเมื่อจอมมารดับสิ้น ข้าตรองดูแล้ว เจ้าควรจำต้องหลบหนีโดยพลัน” รณพานุรักษ์ในร่างกึ่งนกกึ่งมนุษย์ลอยอยู่เหนือพื้น

“ข้าจักแก้แค้นแทนพระองค์” นางอัปสราอ้าแขนผินพักตร์ล่องมองท้องฟ้า เปลวมหาเพลิงทมิฬโอบล้อมกายา

“อมระตา กายามะนะ สะยา”
 
สังขารไร้วิญญาณของมนุษย์จำนวนหนึ่งเริ่มเคลื่อนไหวอวัยวะ นำกายหยาบสลัดยืนตามคำสั่ง แล้วกระโดดผ่านอากาศ บุกตรงเข้าหาปักษาวายุภักษ์ เจ้ารณพาป้องปัดร่างสิงสู่มนตร์ปีศาจจนพวกมันกระเด็นถอยห่าง นัยน์ตาของนางอัปสราแดงก่ำราวโลหิต ระเบิดมนตราสาดใส่โล่ป้องกัน แต่ก็มิอาจหักเอาชัยชนะได้ พลังชั่วร้ายสะท้อนกลับ เบี่ยงเบนพุ่งกระแทกศพสังหารแตกระเบิดสิ้น
 
“ตามข้ามาโดยพลัน” พจน์โอบพาไอ้น้ำวิ่งตามคำสั่งผู้พิทักษ์ปักษา ทุกคนงุนงงเกินกว่าจะถามคำถาม เสียงกินรีปีศาจดังสะท้อนก้องบนฟากฟ้าอีกครั้ง

“หลบ...ก้มลง” พจน์สังเกตยินก็ร้องเตือน

ไม่ทันการ ฝูงกินรีปีศาจกอปรด้วยเจ็ดตนกางปีกบินโฉบไล่ลามตามติดหลัง ปักษาวายุภักษ์ตั้งหลักแล้วพลิกหันเผชิญหน้า บริกรรมคาถากลายร่างเป็นนกยักษ์ทันที สยายปีกใหญ่โตโผผินเข้าขันสู้ กินรีปีศาจฉีกเขี้ยวแหลมคม ขยุ้มอุ้งเล็บพุ่งผ่านม่านหมอกขาว เจ้ารณพาน้าวสะบัดปีกใส่ มันเสียหลักเซถลาชนต้นไทรริมถนน นกปักษาส่งเสียงข่มกึกก้อง พ่นไฟจากจะงอยปากเข้าล้างผลาญ พวกหมู่มารร่ายเวทเกราะป้องกัน

“นั่นมันตัวอะไร มันเป็นตัวบ้าอะไร” ชาวบ้านคนหนึ่งร้องเสียขวัญ ทำหน้าสยดสยอง

แล้ววินาทีนั้นกินรีปีศาจทั้งเจ็ดตนจึ่งรวมพลังตั้งหลักร่วมผนึกพุ่งเข้าจัดการนกปักษาจากทุกทิศทาง มันลากลอยเข้าสู่กลุ่มม่านหมอกเหนือท้องนภา เปลวไฟสาดแสงอยู่บนผืนฟ้าราวกับมีการจุดพลุดอกไม้ไฟ ทันใดนั้นกินรีปีศาจร่างหนึ่งก็ล่วงลงกระแทกพื้นดังสนั่น มันแน่นิ่งแล้วสลายเป็นควันดำ

ลูกไฟระเบิดจากปากนกรณพาพุ่งเข้าหากินรีปีศาจผู้ยังคงภักดี แสงสว่างลุกท่วมกายครึ่งนกปีศาจ ลุกโชนแผดไหม้จนสิ้นซาก บางตนกรีดปากท่องมนตร์หลบหลีกหนีทัน

“คุณเจ็บหรือเปล่าครับ”

“แค่นี้เอง ข้าเคยเจอมามากกว่านี้ มหาบุรุษ อย่าได้เป็นกังวล” นกปักษาบอก
 
“ถึงแล้วครับ” ชาญณรงค์ร้องแจ้ง เศษกำแพงรั้วพังล้มเป็นแนวยาว ประตูเหล็กดัดสีฟ้าเก่าขึ้นสนิมตะแคงฟาดอยู่กลางถนน
ความคิดแรกที่พจน์คาดหวังไว้คือ เรือดำน้ำคงได้รับความเสียหายจากการพังทลายของอาคารต่อเรืออย่างแน่นอน และบางทีอาจเสียหายจนยากเกินกว่าจะทำการขับเคลื่อน จนกระทั่งจ้องผ่านฝุ่นละออง จึงเห็นว่าอาคารอู่ต่อเรือยังหยัดยืนมั่นคงเช่นเดิม ชาญณรงค์วิ่งนำทุกคนกระโดดข้ามซากกำแพงอิฐตรงเข้าสู่ตัวอาคารอู่
 
ชาญณรงค์ ภพดนัย ธนพล และเพื่อนๆของพจน์ช่วยกันเปิดประตูโรงต่อเรือจนสำเร็จ แผ่นดินด้านหลังห่างจากพจน์และคุณปู่วิ่งอยู่ไม่กี่เมตรระเบิดตูมสนั่น เศษดิน และซากอะไหล่เหล็กพุ่งกระเด็น แรงระเบิดอัดพจน์ล้มลง คุณปู่นอนกองอยู่ด้านข้าง เสียงหวีดร้องของดาว ป้าแจ่ม และส้มแหวกผ่านอากาศอื้ออึงอยู่ชั่วขณะ พจน์เกือบจะสูญเสียประสาทการได้ยินจนกระทั่งหูทั้งสองเริ่มรับรู้ถึงเสียงวุ่นวาย

“คุณปู่ครับ คุณปู่...”

“ไม่ ไม่เป็นไร ตาพจน์” เด็กหนุ่มเหลียวหลังมองตรงจุดแผ่นดินถูกแรงระเบิด ควันดำเริ่มจืดจาง นางอัปสราเหยียดกายยืนขึ้น ไร้รอยบาดแผลใดๆ นกปักษาเสกลูกไฟบริสุทธิ์ดวงมหึมาจากฟากฟ้าสาดใส่ ณ จุดสำคัญ นางปีศาจเสกเพลิงมนตราเข้าสกัด เจ้ารณพาโหมพระเวทปราการแก้วครอบนางไว้ นางสาดส่งพลังทุกบทต้านอำนาจครอบคลุม

“มหาบุรุษ โปรดฟังข้า ท่านจักต้องเร่งขึ้นเรือดำน้ำหนีรอด ครั้นเหยียบพื้นมหาพิภพแล้วทอดเดินทางสู่อาณาจักรสุวรรณนครา พวกท่านจักปลอดภัย แลจงเริ่มต้นชีวิตใหม่ ณ ที่แห่งนั้น” เจ้าปักษาวายุภักษ์หันซ้ายขวาระวังภัย

“คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ รณพา คุณกังวลบางสิ่งใช่ไหมครับ บอกผมมาเถอะ”

“ข้าพระองค์...สิ้นระแวงสงสัยในรักหว่างท่านแลมาตะราชบุตรแล้ว บัดนี้หามีผู้ใดคู่ควรเหมาะสมเสมอเท่าคนผู้นั้นไปได้ อภัยเถิด ไม่มีชัยชนะใดไม่แลกมาด้วยความเสียสละ รักมีทั้งคุณแลโทษ มหาสงครามครานี้ริเริ่มด้วยรักเป็นเหตุ แต่กลับยุติลงเพราะรักดุจเดียวกัน เมตตารับผลึกความทรงจำของสินะกาวีท่าน เก็บรักษาไว้เถิดเจ้า”

นกปักษาวายุภักษ์จับผลึกดำใส่มือพจน์
 
“ข้ามาเพื่อคุ้มครองท่านตราบลมหายใจสุดท้าย บัดนี้ถึงเพลาแล้ว”

แล้ววินาทีนั้นเอง ช่างรวดเร็วเหลือเกิน ปราการครอบคลุมนางอัปสราไว้แตกระเบิด นางปีศาจเหินลอยสู่อากาศ พ่นคำสาปมนตราสังหารดวงใหญ่มหึมา ปกคลุมด้วยเปลวเพลิงมอดไหม้พุ่งตรงมายังพจน์ เจ้าปักษาสัมผัสพลังชั่วร้ายก็เนรมิตกายให้ใหญ่โตเป็นนกยักษ์บินเข้าต่อสู้ แต่พลังมนตราพุ่งแหวกอากาศรวดเร็วเกินกว่านกผู้พิทักษ์จะเสกปราการคุ้มกันได้ทัน มันตรงดิ่งฉีกกระชากนกยักษ์ บังเกิดรัศมีเปล่งแสงรอบร่างแปลงนั้นเพียงเศษเสี้ยว แล้วทลายแตกแยกร่างปักษาวายุภักษ์ รณพานุรักษ์ผู้พิทักษ์มหาบุรุษสูญสิ้นในทันที
 
เจ้าภัทระไม่อยากเชื่อในนัยนาพาเห็น เขาร้องคำว่าไม่อย่างไร้สุ้มเสียง

“เจ็บปวดสินะ” นางอัปสรากรีดเสียงขัน “สหายปักษาผู้อ่อนแอของเจ้าต้องดับสิ้นลง มันไม่คู่ควรจะต่อกรกับข้าผู้เก่งกล้าสามารถยิ่งกว่าสมุนเทพ เจ้านกนั่นไร้ฝีมืออย่างที่สุด มันเป็นเพียงแค่ทหารปลายแถวที่ริอ่านต่อกรกับพลังอำนาจแห่งความมืดที่ทรงพลังที่สุดจากข้าเท่านั้น”

“อย่าได้...ดูถูก เขา เด็ดขาด” พจน์กัดฟัน เจ็บลึก นางอัปสราลอยอยู่เหนือหลุมขนาดใหญ่

“มหาเทพทรงชุบเลี้ยงขุนศึกผู้อ่อนด้อยฝีมือถึงเพียงนี้เจียวหรือ ฮ่าๆ มันขี้ขลาดแลหวาดกลัวข้า สิ่งเดียวที่มันทำได้ดีก็คือ การบินไปบินมารอบๆเจ้าเท่านั้น”

“เขา-ไม่- ได้- ขี้ขลาด” ปักษาวายุภักษ์ไม่ได้เป็นอย่างที่นางอัปสราพูด พวกมันทั้งหมดนั่นแหละที่ขี้ขลาด และพวกมันจะต้องชดใช้ แสงสว่างสีขาวเปล่งประกายจากบริเวณหน้าผากภัทรพจน์

“เขา - ไม่ - ได้ - หวาดกลัว - แก” หมอกควันทั้งหมดพุ่งเข้าหามหาบุรุษประดุจศูนย์กลางแรงพายุ แล้วฉับพลันคลื่นพลังมหาศาลก็แผ่ระเบิด นางอัปสรายังมิทันได้ร่ายมนตราป้องกันก็ถูกแรงปะทะอันมหาศาล กระทบกระแทกปลิวไถลจนลับตา
พจน์ทรุดเข่าแทบหมดเรี่ยวแรง ขณะแสงสว่างดับวูบ ศาสตราจารย์วิชัยกระชับพยุงแขนหลานชาย เห็นบางสิ่งคลับคล้ายเพชรปรากฏเหนือหน้าผากพจน์ก่อนเลือนหาย ปาล์มกับภามภพวิ่งเข้าช่วยเจ้าหนุ่มหน้าสวย อาคารอู่ต่อเรือเริ่มสั่นไหวเกินทานทน เรือดำน้ำลำยาวแต่ก็เล็กกว่าปกติถูกขึงตึงอยู่เหนือแท่นก่อสร้าง

“เดี๋ยวผมจะเป็นคนปลดโซ่ดึงเรือเอง” ลุงชมยืนเคียงกับป้าแจ่ม

“อุปกรณ์เปิดพร้อมแล้วครับ” ชาญณรงค์โผล่หน้าจากประตูทางเข้าตะโกนบอกแทบไม่หายใจ ศาสตราจารย์วิชัยจึงให้ภพดนัยปีนลงทางปล่องประตูด้านบน ตามด้วยดาวกับส้ม ปาล์มพยุงพจน์พร้อมภามภพ เศษกระเบื้องหลังคาเริ่มร่วงหล่นลงมา สุนิสาช่วยไอ้ต่อ ไอ้กี ไอ้โบทดันไอ้น้ำ ติดตามด้วยศาสตราจารย์วิชัย ส่วนพวกไอ้เอก ไอ้เพรียว ไอ้นาย ไอ้รัก ยืนนิ่งอยู่เหนือฐานต่อเรือเหมือนรอคอยบางอย่าง
 
อกแม่พระธรณีดูไม่อาจต้านแรงสั่นสะเทือนเช่นนี้ได้ยืนนาน แผ่นดินทุกผืนแทบจะร้องครวญทรมานเจ็บปวด ความพินาศย่อยยับทั้งหลายคงจะสิ้นสุดอีกในไม่กี่นาที  เมื่อคลื่นยักษ์บุกถล่มเป็นการปิดท้ายมหาภัยพิบัติ เฉกเช่นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลรินทั่วทั้งพิภพโลกา

“พลปีนขึ้นไปก่อนค่ะ” สุนิสาเร่งเร้าชายหนุ่ม

“สาก่อนเถอะ” ธนพลเสนอ

“เชื่อสาบ้างสิคะ พล” สุนิสาพูดเสียงดังน้ำตาเริ่มไหลซึม “สาปีนไม่ไหวหรอกค่ะ พลขึ้นก่อนแล้วช่วยดึงสากับพวกเด็กๆอีกที” ธนพลไม่มีทางเลือกเมื่อทุกวินาทีมีค่ายิ่งกว่าทองคำ เขาปีนป่ายยึดจับโครงเหล็กสำหรับเกาะเกี่ยวไว้ แล้วยื่นแขนให้ชาญณรงค์ มืออีกข้างไขว่คว้าแขนสุนิสา เธอถูกดึงตาม ธนพลเลื่อนตนเองลงทางประตูทางเข้าค่อยๆดึงมือสุนิสา กลิ่นน้ำทะเลแทรกอากาศและหมอกสีขาวปลิวลอยปะทะจมูก เสียงหวีดร้องของผู้คนดังระงม ประชาชนจำนวนมากล้มลุกคุกคลานหลีกหนีบางสิ่ง แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นทุกวินาที

“ตอนนี้แหละ” สุนิสาตะโกนบอกลุงชมและป้าแจ่ม เรือดำน้ำถูกปลดจากเครื่องดึงลอยตัว กระแทกลงสู่ท้องน้ำเบื้องล่างทันที หญิงสาวสะบัดนิ้วหลุดเลื่อนออกจากกำมือของธนพล ถอยออกห่างจากช่องทางออกแม่น้ำเจ้าพระยา ไอ้ต่อกดปุ่มสีแดงบนผนังข้างประตูอู่เรือทันที ไอ้กี ไอ้โบท ไอ้เอกกระโจนไปยังจุดซึ่งประตูจะเปิดออก พวกมันดันเปิดให้เร็วขึ้น

“พวกมึงจะทำอะไร ขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ป้าแจ่ม ลุงชม” ภัทรพจน์มองผ่านกระจกด้านข้างเรือดำน้ำเห็นเหตุดั่งนั้นก็พยายามปีนป่ายออกประตูทางเข้า

“สา จะทำอะไรน่ะ” ธนพลตื่นตกใจเช่นกัน

“ปิดประตูซะ พล พจน์” หญิงสาวยืนนิ่ง มีกลุ่มเพื่อนของพจน์อยู่เบื้องหลัง เสียงสายน้ำกระทบสิ่งกีดขวางดังแว่วหวีดร้อง

“ลาก่อน พล” สุนิสาโบกมือพร้อมกับร้องไห้

“ลาก่อน ไอ้พจน์” พวกมันทั้งเจ็ดผสานคำบอกลาสุดท้าย

“ไม่นะ สา”

“ฉันรักคุณค่ะ”

กลิ่นน้ำทะเลพุ่งผ่านอากาศ อกพระแม่ธรณีสุดจะต้านทาน กลุ่มหมอกปลิวผสาน คลื่นยักษ์ไหลกระหน่ำซ่านกระทบทางทิศตะวันออกของผนังอาคารจนเศษกระเบื้องปลิวกระจาย มันโถมซัดใส่ร่างสุนิสา ต่อ โบท เอก กี นาย เพรียว รัก ทุกคนยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย และรอยยิ้มนั้นพจน์คงจะไม่มีวันได้เห็นอีกตลอดกาล


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป



________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

ขออนุญาตลงแบบต่อเนื่องเพื่อมิให้ขาดตอนนะครับ สารภาพเนื่องจากตอนนี้ผมได้เขียนจบแล้ว เหลือขัดเกลาภาษาอีกเล็กน้อย ถ้าอีกสองตอนที่เหลือตรวจทานเป็นที่พอใจแล้วก็คงจะได้อ่านเร็วๆนี้เช่นกันครับ

สุดท้ายก็มาต่อ  มันจบลงรึยัง  รึว่ามันยังไม่จบ  สิ่งที่คาดไว้ก็เกินคาดไปมากอยู่  สิ่งที่อยากรู้ก็ได้รู้  แล้วผู้ถือครองมีสะตาเหมือนกันแต่ต่างกันที่คนหนึ่งมีความแค้นในความเข้าใจผิด  กับอีกคนไม่มีความแค้น  ซึ้งมันเป็นเส้นขนาดแล้วสุดท้ายก็มาบรรจบกันในตอนนี้  รออีกสามตอนที่เหลือว่าจะมีอะไรเซอร์ไฟส์รึเปล่า
ดีใจที่คลายข้อสงสัยในใจคุณหลายๆอย่างได้ในช่วงสุดท้ายนี้ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์อีกหรือเปล่า แต่ถ้าไม่...ก็ถือว่าเป็นการขมวดสรุปเรื่องที่ผมจะสามารถทำได้แล้วกันครับ

สุดท้ายจอมมารก็ตายไปแล้ว ทีนี้ก็โลกทั้งสองสินะ ที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่ๆ เพราะผลกระทบนี้ไม่ว่าจะดี หรือ เลวร้ายลง สนุกมากจริงๆค่ะ
ความชั่วร้ายสูญสิ้นลงแล้ว มาติดตามว่าบทสรุปเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร เหลืออีกสองบทเท่านั้น เศร้าจังเลย ฮือๆ

o13
:pig4:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-11-2016 11:24:18 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เห..... ทำไมสากับเพื้อนพจน์ถึงไม่รีบปีนขึ้นไปอ่าาา เศร้าาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
มันคือการเสียสละ เพื่อก่อให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นสินะ รักนี้ทำให้เกิดได้ทุกอย่างจิงๆเนาะ

คำเล็กๆ แต่มีพลังมหาศาล ยากแท้หยั่งถึง เห้อ!!

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
อืม การเสียสะละที่ยิ่งใหญ่สินะ  ถึงอย่างไรก็เสียใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายอยู่ดี  รออีกสองตอนที่เหลือครับ

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
ทำไมไม่ขึ้นเรือไปด้วยกัน  ทำไมต้องมาเห็นภาพคนที่เรารักจากไปเช่นนี้ และทำไมต้องต้องเหลือคนที่รอดเท่านี้ละคับ
ขอโทษที่ถามนะคับ....แต่มันค้างคาใจผมเหลือเกิน

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ ๔๕



สินะกาวี



ศาสตราจารย์วิชัยรีบคว้าตัวธนพลลงมา ตะโกนบอกให้ชาญณรงค์ใช้ระบบกลไกปิดช่องประตูทางเข้าได้ทันท่วงที

“คุณพ่ออย่าครับ” ธนพลล้มลงกลิ้งชนพื้นเรือ “สา...สายังไม่ได้เข้ามา...”

“เปิดถังบัลลาสต์เดี๋ยวนี้” คุณปู่ตะโกน

“ครับ” ชาญณรงค์ร้องตอบรับ

แรงดันน้ำทะเลปริมาณมหาศาลสาดซัดใส่เรือดำน้ำจนพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด มนตราครอบคลุมอาคารโรงต่อเรือเสื่อมสลายลง ส่งผลให้สิ่งก่อสร้างทั้งหมดพังถล่มทลายเมื่อคลื่นยักษ์ไหลบ่าฉีกทึ้งทำลายล้าง พาหนะสำหรับเคลื่อนที่ใต้ผืนน้ำพุ่งพรวดผ่านประตูที่เปิดค้างเอาไว้ราวกับกระสุนปืน จนชาญณรงค์ไม่สามารถบังคับอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆได้เลย เมื่ออำนาจแห่งคลื่นน้ำทรงพลังยิ่งกว่าแรงขับเคลื่อนของเครื่องจักรยนต์ ทุกคนไม่อาจยืนได้อย่างมั่นคง ถลาชนผนังของเรือดำน้ำอย่างไร้หนทางต้านทาน

“หาที่ยึดจับไว้ครับ” ชาญณรงค์ออกคำสั่ง
 
“ตาพจน์ พ่อดนัย เห็นสายคาดติดผนังเรือไหม” ศาสตราจารย์วิชัยบอก ตามผนังสีดำสนิทของลำเรือมีสายคาด คล้ายเข็มขัดนิรภัยสองเส้นต่อหนึ่งคน ผูกผนึกไว้เหนือเก้าอี้ พจน์บังคับสติให้อยู่กับตัวเอง เร่งปฏิบัติตามคำสั่ง ไฟเหนือเพดานเรือดวงเล็กกะพริบวูบ

“คุณภพดนัยต้องอาศัยช่วงเรือพลิกไปอีกด้านครับ แล้วใช้มือเอื้อมดึงสายรัดตัวทันที ได้ยินนะครับ เดี๋ยวผมจะลองบิดคันบังคับ ผมนับสามนะครับ” ชาญณรงค์อธิบายแผนการรวดเร็ว “หนึ่ง สอง สาม”

เรือดำน้ำหมุนควงดูราวกับเครื่องเล่นสวนสนุก แล้วจึงพลิกคว่ำไปอีกด้านหนึ่ง ทุกคนปล่อยมือจากสิ่งยึดจับพุ่งกระแทกเข้าผนังเรือ ดาวกับส้มหวีดร้องดังสนั่น

“จับไว้ คว้าให้ได้ครับ” ชาญณรงค์ตะโกนมาจากเก้าอี้หน้าเครื่องควบคุม

พจน์ฉวยจับสายคาดไว้ได้ ดาว ส้ม ภพดนัย เปรมณัฐ ภามภพต่างโชคดีที่ยังคว้าสายนิรภัยไว้ได้ทัน คุณปู่หิ้วโหนอยู่อีกสุดปลายด้านหนึ่ง ท่านจัดการดึงสายนั้นรัดตัวเองจนแน่น พจน์อาศัยจังหวะช่วงที่เรือดำน้ำยังคงทรงตัวนิ่งไม่พลิกคว่ำตะแคงแต่แล่นลิ่วดำดิ่งนำสายรัดคาดจากไหล่ด้านหนึ่งสู่เอว เสียบตะขอหัวเหล็กใส่ยังช่องเชื่อมต่อดึงรั้งจนแน่นสนิท ทุกคนเร่งรีบจัดการยึดตัวเองโดยไว

แต่ธนพลกลับปล่อยตนเองให้ถูกแรงกระแทกพาร่างกายชนผนังเรืออย่างไม่สนใจจะรักษาชีวิตตนเองแม้แต่น้อย ถึงสายเส้นนิรภัยจะห้อยแขวนอยู่เบื้องหน้าก็ไม่มีปฏิกิริยาอื่นใดนอกจากพร่ำพูดชื่อสุนิสาสุดแสนเวทนา

“ตาพล แกได้ยินพ่อหรือเปล่า พาตัวไปยังสายคาดนิรภัยเดี๋ยวนี้”

“ผมเองครับ” ไอ้ปาล์มอาสา เด็กหนุ่มอยู่ใกล้สุดเร่งรีบดึงสายรัดเหนือกายอาของพจน์
 
“ตอนนี้ทำได้แค่ปล่อยให้ไหลไปตามกระแสน้ำก่อนครับ” ชาญณรงค์ค่อยสบายใจ จอมอนิเตอร์จำนวนสี่เครื่องเบื้องหน้าฉายภาพได้ไม่ชัดเจนมากเท่าที่ควร ปุ่มบังคับหลากสีจำนวนมากอยู่เยื้องด้านขวามือ ตัวเลขดิจิทัลบนมาตรวัดเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนไม่อาจรู้ถึงค่าอันแท้จริง เครื่องมือทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์โดยสิ้นเชิง และไม่อาจประเมินผลได้ว่าสถานการณ์เช่นนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด
 
“ตรวจดูถังบัลลาสต์ พ่อณรงค์”

“ผมระบายอากาศออกแล้วครับ น้ำทะเลไหลเข้าจนเต็ม ผมป้อนคำสั่งปิดถังบัลลาสต์เรียบร้อยดีครับ” ชาญณรงค์มองแผงควบคุมด้านขวา ซึ่งใช้การได้เพียงบางส่วนเท่านั้น

“คุณพ่อคะ ดาวหายใจไม่ค่อยออก” “กูด้วย อะ...ไอ้พจน์” ไอ้น้ำก็มีอาการไม่ต่างกัน

“เครื่องทำก๊าซออกซิเจน” คุณปู่ร้อง

“จำนวนเปอร์เซ็นต์ออกซิเจนในอากาศลดลงจริงๆด้วยครับ ผมสั่งการเครื่องออกซิเจนเจนเนอเรเตอร์ไม่ได้เลย”อาการหายใจเริ่มติดขัด รู้สึกได้ถึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากลมหายใจลอยล่องในบรรยากาศด้วยปริมาณมากกว่าก๊าซอื่นใด
 
“เปิดเครื่องโซดาไลม์ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์” ศาสตราจารย์พบทางสว่าง

“ผมทำอะไรแผงควบคุมด้านซ้ายในตอนนี้ไม่ได้เลยครับ แต่ผมจะลองปล่อยอากาศจากถังบรรจุความดันอากาศสูงออกมาครับ น่าจะช่วยได้”

“ได้ๆ นั่นคงจะช่วยถ่วงเวลาได้จนกว่าจะสั่งการเครื่องทำออกซิเจนสำเร็จ” ศาสตราจารย์เห็นด้วย ชาญณรงค์จัดการปลดปล่อยอากาศที่ใช้สำหรับอัดเข้าไปในบัลลาสต์เพื่อพยุงให้เรือดำน้ำลอยตัวขึ้นออกมาในลำเรือ

“ตาพจน์ แกสบายดีนะ หายใจสะดวกหรือยัง” คุณปู่ตะโกนถาม

พจน์เริ่มรู้สึกหายใจดีขึ้นมากกว่าเดิม เพียงแค่ขาดก๊าซออกซิเจนสำหรับหายใจเพียงไม่กี่วินาทีคงเทียบกันไม่ได้เลยกับทุกสรรพชีวิตบนโลกนี้ที่แม้แต่วินาทีเดียวก็ไม่อาจทนฉุดรั้งลมหายใจสุดท้ายเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ไว้ได้


ครืนครืนครืนถาโถมโครมคลื่นยักษ์
ดุจไม้ปักเลนล่มเอนผวา
ราพณาสูรหักลงในพริบตา
ตึกเรือนพาพินาศกระเด็นไกล

ลอยหนอลอยล่องซบทบกระแทก
น้ำเย็นแทรกคร่าชีวิตทิศทางไหน
เคราะห์กรรมซัดซ้ำซ้อนช้อนกายไป
แผ่นดินไหวหวังเพียงยุติลง

แต่ทุกข์ใหญ่ยิ่งกว่ามหาสมุทร
แสนสาหัสแสนสุดแสนพลัดหลง
กวาดพัดพาบาดาลเช่นเดิมคง
วิปโยคอนาถปลงเจ้าดวงใจ

“ความดันอากาศภายในเรือลดต่ำลงครับ ถังบรรจุความดันลดปริมาณลงมากจนไม่สามารถปล่อยออกมาปรับระดับได้ทัน ผมต้องพยายามบังคับเรือให้ลอยสูงขึ้น” ชาญณรงค์สังเกตแรงสั่นรอบเรือดำน้ำแล้วรีบรายงาน

“พ่อณรงค์เริ่มบังคับเรือได้แล้วใช่ไหม ช่วยรักษาระดับความดันให้คืนสู่ระดับปกติ ไม่เช่นนั้นเรือดำน้ำคงจะระเบิดแตกออกแน่” ศาสตราจารย์วิชัยบอกอย่างเป็นห่วง

“ยากครับ ผมทำอะไรไม่ได้เลย หากควบคุมให้ปีกไฮโดรเพลนปรับระดับให้เรือลอยขึ้น ผมเกรงว่าปีกจะต้านทานแรงดันไม่ไหวครับ กระแสน้ำรุนแรงเกินไป แต่ผมจะลองใช้พลังงานแบตเตอรี่ส่วนสำรองเพิ่มระดับความดันภายในเรือให้สูงขึ้นอีกครับ” ชาญณรงค์ก้มพิมพ์คำสั่งใส่เครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้า
 
“เราจำเป็นต้องเปิดเครื่องยนต์ใบพัดหมายเลขสามอีกตัวครับ เพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนที่จะส่งผลไปสู่ระบบปรับแรงดันอีกต่อหนึ่ง” เสียงโกร่งกร่างของเครื่องยนต์กลไกดังตามคำสั่งการของชาญณรงค์ แว่วผ่านผนังเรือมาจากสุดด้านท้ายของพาหนะดำน้ำ ขณะชาญณรงค์บังคับเรือไม่ให้พลิกคว่ำซ้ำสอง เขาก็ร้องบอกทุกคนด้วยความยินดีว่าสามารถปรับระดับความดันภายในเรือได้สำเร็จ

“ผมว่าเราควรเปิดเครื่องยนต์ใบพัดตัวที่สองนะครับ อาจารย์”

“เครื่องยนต์จะรับไหวหรือ พ่อณรงค์”

“ผมจำเป็นต้องใช้พลังขับเคลื่อนที่แรงกว่านี้ครับ เพื่อต้านทานแรงดันน้ำ” ศาสตราจารย์วิชัยใช้สมองวิเคราะห์และเห็นด้วยกับความคิดของผู้ช่วยหนุ่ม

ซากตึกสำนักงานตั้งตระหง่านด้วยรากฐานอันมั่นคง เสาอาคารเพียงครึ่งเดียวยืนต้านทานพลังน้ำปรากฏอยู่เบื้องหน้าเมื่อเศษซากฝุ่นละอองจากอิฐปูนกระจัดกระจายทั่วท้องน้ำนั้นเลือนหาย แสงไฟจากเรือดำน้ำทั้งสามดวงสาดส่องภาพตรงหน้าซึ่งสายน้ำไหลหลากเร็วรี่ตรงสู่ทางช่องซากตึกนั้น สีน้ำเงินเจือจางของน้ำทะเลค่อยๆลดความเข้มลงเผยให้เห็นอันตรายแห่งภัยธรรมชาติฉุดกระชากเรือดำน้ำให้พุ่งเข้าสู่หลุมมัจจุราช

“พ่อณรงค์”

ชาญณรงค์เบิกตากว้างราวกับสิ้นสติ และด้วยความว่องไวเช่นเดียวกัน เขารีบกดปุ่มสั่งการเปิดเครื่องยนต์ใบพัดหมายเลขสาม เหวี่ยงคันบังคับมาทางขวาสุดปลายแขน เรือดำน้ำพลิกตัวสู่ทางด้านขวาทันที ปลาหลายตัวปล่อยให้แรงไหลหลากของน้ำทะเลพาพุ่งเข้าสู่ช่องน้ำนั้น แทรกผ่านสิ่งกีดขวางนานาชนิดด้วยความเร็วและรุนแรงสุดต้านทาน

“คุณชาญณรงค์ ระวังครับ” ภพดนัยเตือน ทางด้านขวาจากภาพบนจอมอนิเตอร์ เผยให้เห็นซากปรักหักพักสูงใหญ่มหึมาค่อยๆปรากฏขึ้น ชาญณรงค์บิดคันบังคับมาอีกสุดปลายด้านหนึ่ง หลบหลีกภยันตรายนั้นได้อย่างหวุดหวิด เศษกรวดหินเหวี่ยงพัดกระจัดกระจายซัดผนังเรือดังโครมคราม ท่อนไม้หักโคนขนาดยักษ์จำนวนมากซัดกระแทกใส่ซากตึกพังทลายไล่ด้านหลังเรือดำน้ำมา อีกท่อนหนึ่งเฉียดผนังเรือดำน้ำด้านกราบขวาพุ่งโหมกระหน่ำเข้าใส่เสาตึกมหึมาแตกหักเป็นสองท่อน
 
“แย่แล้วครับ ซากต้นไม้...”

โครม!!!

เรือดำน้ำสั่นสะท้านเหมือนหนึ่งมีมือยักษ์เขย่าด้วยพละกำลังมหาศาล พจน์ ภามภพ เปรมณัฐกระเด็นออกไปด้านหน้าแต่โชคดีที่สายคาดรัดนิรภัยทำงานได้ดี พาหนะช่วยชีวิตพุ่งเร็วรี่ตามกระแสน้ำมากยิ่งขึ้น
 
“เกิดอะไรขึ้น พ่อณรงค์” ศาสตราจารย์วิชัยชะเง้อคอมองทุกสิ่งรอบตัวเรือจนหยุดอยู่ ณ ด้านหลังเก้าอี้ควบคุมของชาญณรงค์

“เครื่องยนต์ใบพัดตัวที่สามถูกซากต้นไม้กระแทกหลุดออกจากตัวเรือครับ” ชาญณรงค์พูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด เรือดำน้ำถูกพัดเอียงไปด้านขวา เหมือนขาดความสมดุลของการทรงตัวเมื่อเครื่องยนต์หนึ่งในสามสูญหายอย่างไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้ไม่ว่าจะพยายามเช่นไรก็ตาม

“เปิดเครื่องยนต์หมายเลขหนึ่ง เพื่อพยุงเรือต่อ” ศาสตราจารย์วิชัยตัดสินใจ ชาญณรงค์พยักหน้ารับ เรือดำน้ำยังคงถูกเศษอิฐหินกระแทกใส่ไม่หยุดหย่อน

“ทุกสิ่งปลิวกระจายเต็มไปหมดเลยครับ ยากจะรู้ว่าเศษซากสิ่งใดจะพุ่งมายังเรือดำน้ำตอนไหน” ชายหนุ่มรายงานสถานการณ์จากภาพหน้าจอให้ทุกคนได้รับรู้ ซากกิ่งไม้ลอยปลิวเพราะแรงเหวี่ยงของพายุหมุนใต้ผืนน้ำ

ทุกสิ่งปลิวกระจาย ดูจะเป็นคำพูดอธิบายสถานการณ์รอบตัวให้เห็นภาพได้น้อยเกินไป แท้จริงแล้ว โลกทั้งพิภพนี้ต่างหากที่กำลังถูกกระแสน้ำมหาสมุทรแปซิฟิกพัดสรรพชีวิตปลิวกระจัดกระจายทั้งหมดอย่างไร้ความปรานี พจน์เพ่งมองหายนะภัยผ่านกระจกกรอบวงกลมเพื่อจะได้เห็นความพินาศที่มนุษย์ทุกชีวิตไม่สมควรได้รับ จากนี้จะไม่มีใครเห็นผืนดินทุกทวีป จากนี้ดาวเคราะห์โลกจะมีเพียงทวีปเดียว
 
“พวกเราต้องรอด” พจน์เหลียวมองเสี้ยวหน้าคุณปู่ ความหนาวเย็นเริ่มแทรกซึมสู่บรรยากาศภายในเรือ

“แกต้องบังคับเรือให้ได้โดยเร็ว พ่อณรงค์ พวกเราทั้งหมดจะต้องมีชีวิตรอด”

“ครับ ผมจะพยายาม ตอนนี้กระแสน้ำไหลด้วยความเร็วลดลงบ้างแล้ว”

ชาญณรงค์กดปุ่มบนแผงอุปกรณ์ควบคุมตรงหน้าให้เปิดระบบปฏิบัติการโดยพร้อมเพรียงกันทันที ไฟสีแดง เขียว เหลือง กะพริบสว่างวาบตามสัญญาณและกลไกทำงาน เครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนสามตัวติดตั้งอยู่กับแผงควบคุมไว้อย่างแน่นหนาพร้อมใช้งานและรอคำสั่ง
 
“แผงควบคุมด้านซ้ายเริ่มใช้การได้แล้วครับ”

แต่เรือดำน้ำยังคงถูกแรงดันพุ่งกระแทกสู่เบื้องหน้าหลบหลีกทุกอย่างได้เฉียดฉิว หวุดหวิดชนซากปรักหักพังกองมหึมามากมายด้วยเพราะฝีมือการบังคับบัญชาเรือดำน้ำของชาญณรงค์ที่ควบคุมกลไกเครื่องยนต์ได้ดียิ่ง ซากตึกส่วนหนึ่งยืนหยัดต้านทานแรงซัดกระแทกของน้ำทะเลได้อย่างน่าทึ่งในฝีมือของวิศวกร บ้างถล่มลงกองเป็นภูเขาเหล่ากากีดขวางสร้างอุปสรรคแก่การเคลื่อนที่ของเรือดำน้ำในบางจุด แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีที่แผงควบคุมเรือกลับมาอยู่ภายใต้การดูแลของมนุษย์ได้ในที่สุด

ชาญณรงค์บังคับเครื่องมือโฮโดรเพลนและคันบังคับเพื่อค่อยๆหมุนลำเรือเข้าต้านทานกระแสน้ำเมื่อรู้สึกได้ว่าลดระดับความรุนแรงลงบ้างแล้ว

“แบบนี้จะทำให้เราเห็นได้ชัดเจนครับว่าจะมีสิ่งใดพุ่งตรงมาหาบ้าง” ชาญณรงค์พูด “ผมจำเป็นต้องเร่งเครื่องยนต์ทั้งสองให้อยู่ในระดับสูงสุดเช่นนี้ไปจนกว่ากระแสน้ำจะลดความแรงลงมากกว่านี้ แต่ผมคิดว่าพลังงานดีเซลและพลังงานแบตเตอรี่สำรองคงจะเพียงพอครับ”

“ตาพจน์ แกไม่บาดเจ็บมากใช่ไหม” คุณปู่ถาม

“ครับ” พจน์ตอบ “ถ้าผมไม่มีตัวตนตั้งแต่แรก ทุกคนก็คงไม่ต้องเจอกับเหตุภัยพิบัติครั้งนี้ เพราะผมคนเดียว ความผิดของผมคนเดียว” เด็กหนุ่มตะโกนเสียงดัง เศษอิฐปูนสีทองพร้อมกระเบื้องหลากสีปรากฏบนจอภาพ วัดวาอารามถล่มทลายลงราบคาบ กรุงเทพมหานครย่อยยับเกินคำบรรยาย

“ความตายเป็นสิ่งธรรมชาติแห่งการมีชีวิต ปลายทางสุดท้ายของทุกชีวิตคือความตาย เราทุกคนดำเนินอยู่เพื่อเดินไปสู่สุดปลายทางนั้น บางคนเดินจากไปอย่างเจ็บปวดสุดแสนทรมาน บ้างดิ้นรนสุดหนทางเพื่อหลีกหนี แต่สุดท้ายก็มิอาจเปลี่ยนไปเดินในช่องทางอื่นได้ ในทางตรงกันข้ามมีบางคนเคลื่อนสู่ปลายทางนั้นด้วยความกล้าหาญยิ่ง เขาจากไปเพียงสังขาร แต่จิตวิญญาณแห่งความดีงามจะยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน พวกเขาจะไม่มีวันเลือนหายไปจากใจเรา เมื่อความตายหาใช่ศัตรูคู่อาฆาต แต่เป็นมิตรแท้ของทุกชีวิต เมื่อไรเรากลัวมิตรแท้ เราก็จะไม่สามารถดำรงชีวิตอย่างสงบสุขและกล้าหาญต่อไปได้

“ปู่ไม่รู้ว่าทำไมเพื่อนของแก หนูสา แม่แจ่ม ตาชม ถึงคิดตัดสินใจแบบนั้นทั้งที่มีทางเลือก แต่เสี้ยววินาทีเป็นตาย พวกเขาคิดตรงกันอย่างหนึ่ง...เสียสละ” ธนพลปล่อยเสียงโฮเช่นเดียวกับไอ้น้ำ “เลือกที่จะช่วยปลดโซ่ล่ามเรือดำน้ำ เลือกที่จะคุ้มครองพวกเรา เลือกที่จะตายไปพร้อมทุกสรรพชีวิตและครอบครัว เลือกที่จะรับของขวัญจากมิตรแท้อย่างองอาจ เป็นความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของคนคนหนึ่งจะพึงมีได้”

“สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดสูญเปล่าอย่างนั้นหรือครับ คุณพ่อ” ภพดนัยถามเสียงสั่น

เปล่า ไม่ใช่ หายนะภัยเกิดขึ้นวันนี้ถูกต้องแล้ว พจน์รำพันในใจ ศาสตราจารย์วิชัยทำได้เพียงท่องกลอนทำนายช่วงเวลามหาภัยพิบัติอีกครั้งให้บุตรชายคนโตฟัง

“คราตะวันเลื่อนเคลื่อนผ่าน” มาตะโจนทะยานพร้อมดาบเทวา

“สุริยจักรวาลผันผวน” พจน์ผู้เปรียบดั่งส่วนเสี้ยวสุริยะในใจมาตะถลาโถมเข้าหาจอมปีศาจ

“บังเกิดหมู่ดาวเคราะห์เรียงรวน” วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนอ้าย ล้วนนับตามจันทรคติเปลี่ยนผ่าน

“เป็นดั่งทวนอัศวาราตรีกาล” คือ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช

วินาทีจอมมารดับสูญ จตุรเหตุเกิดพร้อมสมบูรณ์โดยมิได้นัดหมายสมวาจาสัตย์แห่งพระมหาเทพ

พจน์ไม่อาจเอ่ยคำพูดใดเพื่อปฏิเสธว่าทุกคนยังมีตัวตนอยู่ ก้มพิจารณาผลึกสีนิลของไอ้กัน สินะกาวี หยดน้ำตาไหลกระทบก่อนจะบังเกิดกลุ่มควันดำมหาศาลปกคลุมภายในเรือดำน้ำ ชักนำความทรงจำของเจ้าปีศาจหนุ่มลำดับเรียงฉายชัด


มีต่อด้านล่าง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2018 16:01:18 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
[ต่อ]



เรือนฝากระดานมุงจากหลังหนึ่งไม่ใหญ่หรือเล็กนัก สมฐานะครอบครัวพราหมณ์ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคันธามาส แวดล้อมด้วยไพรพฤกษาสลับแซมบ้านเรือนก่อเป็นแหล่งชุมนุมชนย่านชานกรุงอนันตาทมิฬ ริมแม่คงคานั้นมีกุมารชันษาเจ็ดขวบรวมตัวละเล่นไขปริศนากะประมาณสิบคน หนึ่งในนั้นเป็นบุตรโทนแห่งพราหมณ์ผู้ทรงภูมิเลื่องลือนามว่า สินะ กุมารสินะ มีรูปโฉมน่าเอ็นดูแลสายตาคมดุเป็นที่ยำเกรงแก่หมู่เพื่อนพ้อง เด็กชายทั้งนั้นจึ่งยกเป็นหัวโจก แต่จะมียำเกรงโดยทั้งหมดนั้นยังมิถูก ด้วยมีบุตรเศรษฐีมั่งมีฐานะอีกคน นาม กาวี เป็นคู่อริต่อกันมานานโข เนื่องกุมารสินะเปี่ยมปัญญาหลักแหลมจึ่งเป็นที่อิจฉาริษยาแก่กาวีกุมาร ครั้นวันนี้บังเกิดละเล่นไขปริศนา กาวีกุมารก็พ่ายแพ้อับจนปัญญาทุกทีไป จึ่งยกใจแค้นถามปัญหาแก่สินะคู่อริทิ้งท้ายว่า

“ไอ้สินะเอ๋ย จงฟังปริศนาให้ดีเถิด ใครผู้ครองทรัพย์ ใครผู้รับนารี ใครผู้มีฤทธี ใครผู้อยู่ดีกินดี คือใครเล่า” กาวีกุมารตั้งปัญหาข้อท้าย

สินะกุมาร เป็นผู้สืบเชื้อสายมาแต่บรรพบุรุษแห่งการพยากรณ์ ความสามารถประจำเผ่าพงศ์บรรจบครบกัป หนึ่งถึงจักปรากฏให้เห็น นับครบที่กุมารท่านนี้ จึ่งมีปัญญาแลเห็นเหตุการณ์ภายภาคหน้าประดุจประสบเห็นด้วยตาตนเอง ครั้นแตะตัวคู่อริศัตรูผู้ตั้งปริศนา เชาวน์ปัญญาเฉียบแหลมก็รู้แจ้งเห็นคำตอบชัด ก็เกิดโศกาดูรเศร้าหมอง แลว่า

“คำตอบคือ ไม่มี”

“ไอ้คนโง่ คือกูนั่นแล้ว เป็นวิสัชนาอันถูกต้อง”

“แต่เจ้าจักมิอาจมีชีวิตยืดยาวจำเริญเติบใหญ่ จนได้ครองทรัพย์ รับนารี มีฤทธี แลอยู่ดีกินดี ด้วยเหตุว่าในหนึ่งชั่วยามภายหน้าเจ้าจักถูกพญามัจจุราชพรากชีวิตชดใช้กรรมแต่ปางก่อน คือจมน้ำแม่คงคาสิ้น”

ฝ่ายกาวีกุมารได้ยินคำทำนายมาดร้ายกระนั้นก็เดือดปุ หมายใจใช้กำลังเอาเลือดล้างปากคนมุสา แต่พวกตัวเห็นเหตุบานปลายก็ดึงรั้งไว้ ด้วยผลกรรมแต่อดีตชาติ จึ่งทำให้กาวีกุมารมิได้เชื่อถือในคำพยากรณ์แลจักพิสูจน์ว่าคำสินะเป็นเท็จก็กระโจนลงแม่น้ำคันธามาส สำแดงความโป้ปดให้กระจ่าง ด้วยตัวฝึกเรียนว่ายวารีมาจนเชี่ยว แม้กระแสน้ำหลากเหนี่ยวร่างลงสู่พื้น กาวีกุมารก็มิได้พึงระลึกถึงสิ่งแท้จริงในคำของผู้พยากรณ์แม้แต่น้อย

ครั้นข่าวคราวล่วงรู้ถึงหูคหบดีเศรษฐีประจำหมู่บ้าน ว่าบุตรชายตัวมามีอันละสังขารจมน้ำฉะนั้นก็ร้องห่มร้องไห้เสียใจ พวกเด็กๆที่ได้ยินคำสินะกุมารก็พากันโจษขานคำพยากรณ์ไปทั่ว เป็นเหตุให้เศรษฐีบิดากาวี ตั้งข้อหากาลกิณีต่อครอบครัวพราหมณ์ผู้ให้กำเนิดสินะกุมารว่าเป็นมารร้ายมาเกิด เป็นเหตุให้บุตรตัวต้องตาย สินะกุมาร บิดา แลมารดาจึ่งระเหเร่ร่อนดั่งคนไร้บ้านมาแต่นั้น แลสินะจึ่งตั้งจิตอธิษฐานว่า นับจากนี้จะไม่ทำนายทายทักผู้ใดอีก มารดาเห็นชื่อสินะเป็นอัปมงคลก็เปลี่ยนเป็นกาวี คล้องกับชื่อบุตรเศรษฐีผู้ตายไป เพราะคราวใดเรียกลูกจัญไรนี้หนหนึ่ง จักได้พึงระลึกว่าตนให้กำเนิดตัวเสนียดเบียดกระทำคนตายมาแล้วหนึ่ง มารดาไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวบุตรตนอีกเลย ต่อมาจึ่งเสียชีวิตลงด้วยความคับแค้นใจ เหลือเพียงบิดาคอยอุ้มชูชุบเลี้ยงบุตรตามแต่ยถากรรมเท่านั้น

เมื่อสินะในชื่อใหม่กาวีเติบใหญ่ลุชันษาสิบห้าปี มีโอกาสได้ร่ำเรียนแต่สำนักพราหมณ์หนึ่งในฐานะมิตรสหายของบิดาผู้วายชนม์ ทิ้งกาวีไว้แต่พราหมณ์เฒ่าผู้อาจารย์คอยฝึกปรือศิลปศาสตร์อันควรแก่บุรุษพึงมีจนสิ้นภูมิความรู้ กาวีเติบโตเป็นหนุ่มรูปงาม เป็นที่ต้องตาของหญิงสาวชาวบ้านทุกเหย้าเรือน แต่กาวีมิได้พึงสนใจสตรีใด มุ่งฝักใฝ่ในการฝึกอาวุธให้เชี่ยวชาญประหนึ่งมือแลเท้า ด้วยได้ข่าวแว่วมาแต่กรุงไกรว่า พ่ออยู่หัวคนธรรพ์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม ทรงออกหมายจัดการคัดสรรทหารราชองครักษ์ไว้เป็นเกือกรองบาทราชบุตรอนันตราชมหาอุปราช กาวีมิได้แตะต้องการทำนายติดตัวมาแต่เกิดนับแต่คราวนั้น อาศัยความสามารถอันฝึกฝนหมายใจเข้ารับราชการ

เพลาวันหนึ่งระหว่างเดินทางเข้าพระนครเพื่อประลองฝีมือ เกิดปะเหตุกองโจรบุกปล้นขบวนค้าขาย จึ่งชักปลายดาบรับสู้ขับไล่เหล่าทรราชย์จนสิ้นภัยพาล ในขบวนเดินทางนั้นปะบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง หากมิได้พึงสักเกตเรือนกายล่ำสันของอีกฝ่ายเพียงแต่พินิจวงหน้าก็อาจปลงใจได้ว่าเป็นสตรี ด้วยดวงตาสีสมัน ริมฝีปากหวาน แต่วาจาห้าวหาญสมชาย อดที่กาวีจะหยุดพิจารณาแลลอบยิ้มมิได้ เจ้าหนุ่มเลิศโฉมนั้นแนะชื่อตัวว่า วัชระ เป็นพ่อค้าเดินทางมาค้าขายยังนครหลวงเผ่าพันธุ์คนธรรพ์ ระหว่างกำลังเดินทางกลับยังนคราเมืองมนุษย์ถิ่นกำเนิด โชคร้ายถูกโจรป่าอาสัญดักปล้น
 
ภัทรพจน์ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้า นี่คงเป็นครั้งแรกที่ไอ้กัน สินะกาวีได้พบพจน์หรือพระเจ้าวัชรโกมลเป็นหนแรก เมื่อฟังคำสนทนาต่อกันจึ่งเห็นสายตากาวีมีความพึงพอใจต่อตัววัชระเป็นที่ยิ่ง เหตุอันทรงปลอมองค์เป็นดั่งพ่อค้าคงไม่ผิดไปจากคราวพจน์ มาตะ แลพระมหาอุปราชสุริยะกระทำสืบราชการลับ

เมื่ออำลากันแล้ว หัวอกเจ้ากาวีก็มิอาจสงบนิ่งดังเคย แม้นชัยชนะได้เข้ารับราชการเป็นทหารองครักษ์ยศศักดิ์หัวหน้านายกองก็มิอาจสร้างความรื่นรมย์แก่ใจตัวได้ ในดวงตามีแต่วงหน้าเจ้าวัชระหนุ่มทั้งยามหลับ ฤา ตี่น เมื่อดับร้อนในใจไม่ได้ก็อาศัยดับลงโดยหญิงงามเมืองปลดปล่อยอารมณ์ลุกโชนให้ผ่อนคลาย ทุกคราวยามร่วมรักก็มักจักปลุกปั้นใบหน้าเลิศโฉมดวงตาสีสมันเข้าทดแทนนางเวศยาเหล่านั้น ทั้งกลิ่นตัวดั่งอาบด้วยดอกลีลาวดีติดตรึงจมูกเมื่อแรกปะประทับนาสิกไม่รางเลือน ก็แนะนางรับใช้ให้อาบน้ำผสมดอกลีลาวดีก่อนเข้าปรนนิบัติตนเหมือนเจ้าวัชระทุกครั้งไป เมื่อสตรีทรวดทรงคอดเว้ามิอาจสนองกิเลสในใจกาวีให้ดับลงได้ก็ฉุกคิดอยากริลองกับเพศบุรุษ ด้วยต้องลักษณะอย่างเดียวกับวัชระวาณิช แม้นไม่เหมือนก็ผิดต่างเพียงโฉมหน้าเท่านั้นก็ทุเลาความคะนึงหาลงสิ้น ตั้งมั่นในใจหากว่างเว้นราชกิจจักหาโอกาสท่องไปยังเมืองมนุษย์ตามหาบุรุษผู้นั้นให้จงได้

ต่อมาอนันตราชมหาอุปราชมีดำริจักกรีฑาทัพพยุหแสนโยธาหมายออกกระทำศึก แผ่พระราชอำนาจขยายพระราชอาณาเขตให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้นเพื่อทูลถวายแด่องค์พ่ออยู่หัวเป็นข้อคุณูปการตอบแทนในพระมหากรุณาธิคุณ ศึกแล้วศึกเล่าพ้นผ่าน เลือดโลมหลั่งผืนพสุธา แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือพระเกียรติยศของนายตน คือ อุปราชอนันตราช ทรงพระปรีชาสามารถจริงดังคำสรรเสริญ ทั้งเชี่ยวชาญศิลปศาสตร์เพลงอาวุธนานาประการ ทั้งตำราพิชัยสงครามล้วนแตกฉานจนพระอาจารย์ผู้สั่งสอนล้วนสิ้นภูมิความรู้ ดั่งนั้นจึ่งทรงตีอาณาจักรรายล้อมเป็นกำนัลแด่พ่ออยู่หัวแต่โดยง่าย กระทั่ง...

ภัยร้ายคืบคลานเหยียบย่ำอาณาจักรมนุษย์ กองทัพคนธรรพ์กรีฑาทัพศึกทั้งช้างม้าตีเมืองประเทศราช เมืองพระยามหานคร เมืองลูกหลวง กระทั่งถึงกรุงนพรัตนบุรี ศูนย์กลางการปกครองพระราชอาณาจักร กลศึกถูกนำมาใช้รับมหาศึกครานี้มิได้เพลี่ยงพล้ำเสียทีเป็นที่น่ายกย่อง ระหว่างกองทัพที่เดินทางมาเหน็ดเหนื่อยตั้งค่ายคูประตูหอรบเพื่อตบตีพระนครนพรัตนบุรีให้แตกนั้น เจ้ากาวีมิได้หลงลืมในรักแรกพบ ยามว่างเว้นภาระศึกก็เที่ยวตระเวนตามหาคนผู้ออกนามว่า วัชระ นับแต่ชายแดนเขตขัณฑสีมาจรดกรุงมนุษย์ แต่มิได้ข่าวคราวคืบหน้า หาป่ะคนชื่อเสียงเรียงนามนั้นไม่เป็นที่ชอบกลอยู่ กิเลสไฟราคะมิเคยทอนลงก็ปลดปล่อยกำหนัดสู่หญิงงามเมืองมนุษย์ผ่อนทุเลา

ฝ่ายแม่ทัพนายกองคนธรรพ์คราวเห็นฝ่ายมนุษย์ออกรบต้านทานปืนใหญ่แลกลศึกได้ลุหกทิวากระนั้น ทั้งรี้พลกรำศึกมาเนิ่นนานสูญเสียไพร่เลวมิใช่น้อย หากหักเอาชัยชนะไม่ได้ในเร็ววัน เห็นขวัญแลกำลังใจไพร่ทหารต้องมีอันถดถอยจำทูลยกถ้อยพงศาวดารศึกครั้งพระเจ้าชัยสาร ปฐมบรมกษัตริย์เผ่าคนธรรพ์ใช้ปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือหวังผนึกบ้านเมืองเป็นสุวรรณปัถพีเดียวกันนั้น ทรงกระทำอัศวายุทธ์แก่เจ้านายคนธรรพ์ฝ่ายเมืองเหนือ เพื่อมิให้สูญเสียไพร่เลวโดยเปล่าดาย แลได้ชัยชำนะแต่โดยง่าย หัวเมืองฝ่ายเหนือจึ่งตกร่วมวงศ์วานว่านเครืออนันตาทมิฬมาแต่นั้น เห็นควรคราวนี้จำทรงเสด็จดำเนินตามรอยเบื้องยุคลบาทพระมหากษัตริยาธิราชบรรพราชวงศ์ ยามเสนาบดีสดับคำแม่ทัพผู้ชาญศึกจึ่งเห็นพ้องต้องกัน อนันตราชพระมหาอุปราชจึ่งเห็นพ้อง ดำริให้พราหมณ์โหราจารย์คำนวนฤกษ์พานาทีแล้วแต่งสารท้าเชิญไปยังราชสำนักเผ่ามนุษย์

เผ่าพันธุ์มนุษย์มิได้หวั่นเกรงในคำท้า ตอบรับกลับมาในสามราตรี กำหนดการอัศวายุทธ์จึ่งเกิดขึ้นในวันรุ่งทันที กาวีเห็นการศึกไม่ต้องแลกด้วยเลือดแลเนื้อก็คลายใจ แต่อดห่วงนายตัวมิได้ หากพระอุปราชอนันตราชพ่ายท่าเสียที ถึงแม้นไม่ถึงแก่พระชนม์ชีพ เหล่าพยุหแสนยาทัพคนธรรพ์เห็นจำต้องยกคืนพระนครอนันตาทมิฬ ด้วยตัวยังไม่อาจสืบหาคนผู้ชื่อวัชระพบ จึ่งร้อนรนอยู่ในอกเสมอการศึก

อัศวายุทธ์ครานั้นเป็นดั่งพระเกียรติยศระหว่างกษัตริย์ต่อกษัตริย์พึงสำแดงพระปรีชาสามารถมิให้ตกต้องเดือดเนื้อร้อนใจได้ยากถึงไพร่เลว จึ่งส่งเสริมพระบารมีหากฝ่ายใดเป็นผู้ชนะ จักเป็นที่เลื่องลือระบือนามโจษขานทั่วทศทิศ ทั้งดินฟ้าบาดาล ฝ่ายมนุษย์ส่งบุรุษหนุ่มอาภรณ์ขาวปิดบังใบหน้า ตรงกันข้ามกับพระอนันตราชอุปราชทรงอาชาสีกาฬเฉกเดียวกับฉลองพระองค์ ทั้งสองปะทะอาวุธออกรับเป็นท่วงท่าสง่างาม เป็นบุญตาแก่ไพร่ราบเสนาบดีขุนทหารทั้งสองฝ่าย หว่างวงล้อมประลองยุทธ์นั้น กาวีลอบสังเกตอาชาพระที่นั่งบังเกิดเหงื่อหยดลงกีบเท้าสำแดงว่าเหน็ดเหนื่อยกว่าอาชาขาวฝ่ายมนุษย์ ยังไม่ทันกาวีจักคิดแก้ไขออก พระอุปราชอนันตราชก็พลาดท่าถูกทวนฝ่ายแม่ทัพมนุษย์ตวัดเฉียด ฉุดให้พระองค์พลัดล้มตกจากม้า เจ้าอาชาก็เสียสมดุลทั้งเหนื่อยพอตัวก็ทิ้งน้ำหนักทับพระวรกายอุปราชคนธรรพ์ เหล่าแม่ทัพนายกองต่างถลาโจนออกจากพลับพลาศึก หมายเข้าช่วยพระอุปราช แต่คู่ปะทะฝ่ายมนุษย์นั้นรวดเร็วนัก โจนจากหลังม้าขาว ปลดผ้าคลุมหน้าออกเพื่อใช้เยียวยาพระอาการ

พจน์จับความรู้สึกเจ้ากาวีไว้แน่วแน่ เหตุการณ์อัศวายุทธ์ตนเคยรู้มาบ้างแล้ว แต่ปฏิกิริยาของไอ้กันต่างหากที่เขายังไม่เคยเห็น มันผุดลุกยืนปลดดาบคู่กายหล่นลงพื้น มือสั่นยากจะควบคุม เผยอปากหมายใจพูดคำคำหนึ่งแต่มีเพียงลมร้อนผ่อนผ่าน ภาพความทรงจำลบหายกลายเป็นท้องพระโรงพระที่นั่งจักรวรรดิรัตนพิมาน เจ้ากาวีนั่งชันเข่าก้มหน้ามองพื้น ข่มฟันข่มอารมณ์

หัวหน้าทหารองครักษ์ประจำองค์อุปราชคนธรรพ์มิได้ปริปากพูดกับผู้ใดนับแต่ได้ยลโฉมคู่สัประยุทธ์ฝ่ายมนุษย์ หะแรกกาวียินดีประหนึ่งพบแก้วมณีในตำนานล้ำค่าผุดอยู่กลางนภา แต่ยามเห็นสายพระเนตรอุปราชาอนันตราชพินิจมองคู่ปะทะอัศวายุทธ์ ก็ดั่งถูกหินศิลาทับดวงใจ มันเป็นดวงตาเดียวกับที่กาวีเคยมองเจ้าวัชระวาณิช บัดนี้คือ พระเจ้าวัชรโกมล อุปราชฝ่ายมนุษย์ คนเดียวกับที่กาวีพบกลางขบวนถูกโจรป่าปล้น แก้วมณีเมื่อแรกเจอบัดนี้เหมือนหนึ่งกำลังถูกฉกชิงไปโดยผู้ทรงบุญหนักศักดิ์ใหญ่กว่า ผู้ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยง ผู้มีพระคุณ กาวีได้แต่ข่มอารมณ์ตน ณ เพลาอนันตราชอุปราชทูลขอพระเจ้าวัชรโกมลเป็นบาทบริจาริกา หัวใจกาวีแทบดับดิ้น น้ำตาไหลย้อนกลับกระทบหัวใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ จบแล้วความรักที่เฝ้าตามหา หลุดลอยเฉกเดียวกับบิดาแลมารดร ผู้ละทิ้งตนไว้โดยเดียวไม่ต่างกัน

กาวีดำรงตนดั่งคนไร้หัวใจ ก้มหน้าสบมองเจ้าวัชระยามถูกอนันตราชอุปราชโอ้โลมด้วยนัยน์ตาว่างเปล่า เจ็บยอกแสยงอย่างหาที่สุดมิได้ เจ็บเจียนตายเป็นอย่างไร บัดนี้รับรู้โดยสิ้น เจ้าวัชระจำกาวีมิได้ ความทรงจำหนเดียวครั้งนั้นบัดนี้มอดดับจากกายเจ้าวาณิชปลอมเสียสิ้น แต่มันกลับลุกโชนในกายกาวีตราตรึงดั่งถูกเหล็กร้อนนาบประทับ

เมื่อหัวใจอ่อนแอ่เข้าแทนกล้าแข็ง สติความสามารถประจำตัวแต่เดิมถูกระงับไว้ด้วยความกล้า คือ การพยากรณ์ อันเคยก่อภัย จึ่งย้อนหวนยังสติปัญญาสายเลือดผู้พยากรณ์ซ้ำ กาวีเห็นนิมิตพยากรณ์อีกครั้ง คราวแตะเนื้อต้องตัวผู้ใด ก็จักเห็นการณ์ภายหน้าโดยสิ้น ความสามารถอันหมายละทิ้งกลับคืนพร้อมบริบูรณ์ เว้นแต่หัวใจตัวเองที่หดหายลงแทบไม่รู้สึกสิ่งใด กาวีจึ่งใช้ความสามารถแต่กำเนิดเที่ยวพยากรณ์เป็นโคลงทำนายทายทัก เมื่อมีผู้ประสงค์รู้อนาคต จนเป็นที่โจษขานในชื่อสินะนามเดิม กาวีปิดบังตัวตนแลใบหน้า สิ่งนี้เป็นข้อประการเดียวที่จะไม่ทำให้กาวีหวนนึกถึงความทรงจำระหว่างตนแลพระเจ้าวัชรโกมล การพยากรณ์เป็นทักษะที่กาวีเริ่มรัก มิได้เดียดฉันท์เมื่อมันช่วยปลอบประโลมให้ละจากห้วงเวลาความเป็นจริงที่ว่า เจ้าวัชระตกเป็นของผู้อื่นแล้วตลอดกาล

เพลาวันหนึ่งพระเจ้าอนันตราชในฐานะกษัตริย์คนธรรพ์ขึ้นครองบัลลังก์สืบต่อจากพระราชบิดา พระราชทานต้นกล้าลีลาวดีให้พระเจ้าวัชรโกมลทรงปลูก จึ่งมอบเป็นธุระให้ทหารองครักษ์กาวีใกล้ชิดเบื้องยุคลบาทเป็นผู้สนองรับพระราชโองการ กาวีแทบมิได้ยินคำดำรัสอื่นใดต่อจากนั้น เพราะหัวใจตัวเต้นอื้ออึงกาหล บัดนี้ตนกำลังนำตัวไปอยู่ในสายพระเนตรของคนผู้ที่ตนหลงรักแน่ถนัด ก็อดปลื้มใจแลหวั่นเกรงจักสำแดงอาการเป็นที่ผิดสักเกตมิได้ ครั้นถึงที่ประทับพระเจ้าวัชรโกมล กาวีได้แต่ก้มหน้าทูลถ้อยดำรัสของพ่ออยู่หัวอนันตราชแน่วแน่ มิได้สบสายพระเนตรแต่อย่างใด

“ไยกาวีท่านจึ่งทำเหมือนเราเป็นปีศาจยักษ์มารกระนี้เล่า กล่าวความถวายปนหลุกหลิกสั่นเทิ้มทั้งตัวเป็นภาพบาดตาเราเหลือประมาณ อภัยเถิด เมตตาลุกนั่งดั่งปรกติปฏิบัติ ต่อพ่ออยู่หัวท่าน กาวีมิได้สำแดงอาการดั่งสมันตกบ่วงนายพรานแม้แต่น้อย เหตุใดต่อหน้าเราจึ่งเป็นดั่งนี้ได้”

วัชรโกมลตรัสเสร็จก็เอื้อมหัตถ์แตะไหล่กาวี ฉับพลันกาวีปราชญ์พยากรณ์จึ่งเห็นภาพนิมิตในภายภาคหน้าฉายชัดเจนแล่นริ้วผ่านสายตาตนเอง จนแทบจะปิดกลั้นถ้อยความโคลงทั้งนั้นไว้ไม่ทันก็รีบก้มหน้าผากชิดพื้น

“อภัยเถิด กาวีท่าน” พระเจ้าวัชรโกมลก็ผละหัตถ์ปล่อยจากไหล่ทหารองครักษ์ทันที น้ำเสียงตกพระทัยเหลือประมาณ ละล่ำละลักตรัสสืบต่อว่า “เราทำท่านเจ็บหรือ จึ่งบังเกิดกิริยาดั่งปวดทุรนทุรายกระนั้น”

เจ้ากาวีเห็นความจริงประจำกายพระเจ้าวัชรโกมลแน่ชัดในใจตามความสามารถแต่กำเนิดก็บังเกิดห่วงพะวง ก้มหน้ามิอาจทูลสนอง ได้แต่คำนึงถึงการณ์ภายหน้า

“เราสองเคยเจอกันมาก่อนล่วง ฤา ไม่ ท่านกาวี”

ไฟสุมอกในใจพลันระงับทันทียามได้ยินพระดำรัสซักถาม เจ้ากาวีจึ่งเผลอเงยหน้าจ้องพระพักตร์เลิศสิริโฉม หลงลืมข้อปฏิบัติตั้งมั่นแต่เดิมโดยสิ้น เพียงแลเห็นดั่งหนึ่งหัวใจแห้งแล้งมาได้หยดน้ำชุ่มชื่น

“กระหม่อม”

“เราแลท่านเคยปะกันมาแล้วหรืออย่างไร เป็นข้อสงสัย ด้วยเพียงแลเห็นน้ำเสียงทั้งกิริยาท่าน จึ่งทำให้เราหวนนึกได้ว่า...”

“กระหม่อมขอทูลลา พระเจ้าข้า”

ฉากตำหนักที่ประทับพระเจ้าวัชรโกมลวนสลายเป็นควันดำ แล้วก่อประกอบเป็นเรือนพักของกาวีองครักษ์ เจ้าหนุ่มจดจารสิ่งที่ตนรู้แจ้งยามสัมผัสวรกายพระเจ้าวัชรโกมลเป็นโคลงพยากรณ์โดยสิ้น ครั้นพิเคราะห์บทต้นก็ลบด้วยสันมือ เกรงภัยแก่ผู้ครองหัวใจตนแลผู้จักได้ครองสุดยอดอัญมณีในภายหน้า ใคร่ครวญถี่ถ้วนแล้วจึ่งตัดสินใจคัดลอกลงใบลานจำนวนหลายเล่ม ลงท้ายโคลงว่า สินะ วันรุ่งขึ้นจึ่งใช้บ่าวรับใช้เที่ยวแจกจ่ายแก่บัณฑิต พราหมณ์ แลผู้ทรงภูมิสำนักต่างๆ กาวีรู้ว่าโคลงพยากรณ์ชีวิตของพระเจ้าวัชรโกมลคือเหตุผลที่ตนถือกำเนิดเกิดมาเพื่อกระทำสิ่งนี้ คือ พยากรณ์เหตุการณ์ที่จะพลิกชาตามหาพิภพ ข่าวภัยร้ายแว่วตื่นเป็นมหันตภัยซุกซ่อนริเริ่มชัดเจนตามขุนเขาดำมืดเบื้องทิศอุดรแน่ชัดว่า เขากระทำสิ่งถูกต้อง จำต้องกระจายคำพยากรณ์ให้ชนบนมหาพิภพล่วงรู้แลเตรียมพร้อมให้ทันโดยเร็วที่สุด

ราตรีพิรุณวิปโยคค่ำหนึ่ง ทั้งฟ้าเปรี้ยงพายุโหมกระหน่ำพื้นมหาพิภพ หว่างกาวีทำสมาธิตรึกตรองโคลงพยากรณ์สำคัญ ณ ชานเรือนพัก บังเกิดมีกลุ่มควันดำมืดหล่นจากฟากฟ้าลงกระแทกพื้นเรือนก่อเกิดเป็นเงากายใต้ภูษาคลุมดำ จุดดวงตาสว่างชาดดุจมหาเพลิง เล็บยาวจากฝ่ามือซีดโบกปัดม่านหมอก ขยับฝ่าเท้าขาวยุรยาตรวาดหากาวี เจ้าหนุ่มองครักษ์มิได้ประหวั่นตกใจเท่าใดหนัก ทั้งข้าทาสรับใช้ล้วนหลับนอนสงบอยู่ แต่แสงไต้ไฟกระทบเหลี่ยมมุมเสี้ยวหน้าคราใดก็วูบโหวงในอกทุกครั้งไป

“เจ้า...” ศัพท์เสียงทุ้มต่ำเกริ่นกล่าว “คือผู้สืบสายโลหิตวิทยะพยากรณ์กระนั้น ฤา”

กาวีมิได้ตอบแต่กระชับอาวุธข้างตัวเตรียมรบ จ้องดวงสีชาดแน่วแน่

“ข้า...”

“จอมมาร”
 
“เป็นนามสำหรับผู้ขลาดกลัวใช้ออกชื่อข้า แต่ดวงตาเจ้าบ่งสำแดงว่ามิได้อ่อนแอเฉกนั้น ไยเราสองจึ่งไม่ปฏิบัติต้อนรับประหนึ่งเจ้าเรือนแลแขกผู้มาเยือนฉันมิตรเล่า นามของข้า คือ อสุรมาศ”

กาวีไม่เคยสดับยินนามนั้นมาก่อนล่วงจึ่งมิได้สนใจแต่อยากใด ในใจมีแต่ข้อคับข้องของผู้มาเยือนเป็นปริศนาอยู่

“ข้าอยากได้คำทำนาย ชีวิต...ของข้า” มันแจ้งจุดประสงค์แท้จริง

“ข้าไม่...”

“แลกกับสิ่งใดก็ตามที่เจ้าปรารถนาอย่างที่สุด ข้าจักนำมันมาให้เจ้าดังประสงค์”

เจ้ากาวีนิ่งงันในเงื่อนไข ทบทวนดำริตริตรองแล้วนิ่งอยู่ แสงฟ้าวาบกระทบปลายคางขาวซีดใต้ผ้าคลุม
 
“ข้าสามารถนำรักที่เจ้าปรารถนายิ่งมากองอยู่แทบเท้าได้ สินะกาวีเอ๋ย ยอมรับข้อเสนอเถิด แล้วข้า...จอมมารจักตอบแทนเจ้าคืนดุจกัน”

“กลับไปยังที่ทางของเจ้า” กาวีชักดาบคมลุกยืนตะเพิดไล่ จอมปีศาจหัวเราะขัน มันยื่นปลายเล็บแตะยังคมดาบหมายชีวิตตัว ฉับพลันอาวุธเหล็กกล้าก็มีอันบุบสลายเป็นฝุ่นธุลี เจ้ากาวีได้แต่ตะลึงงันในอำนาจเหนือพลังนั้น

“แลเจ้ายังจักสงสัยในพระเวทแห่งข้าอีกกระนั้น ฤา ข้าบันดาลทุกสิ่งได้ เพียงเจ้าร้องขอ”

กาวีมองเห็นสิ่งเดียวที่ตนปรารถนามาชั่วชีวิตแต่ไม่มีวันสมหวัง พระเจ้าวัชรโกมล

“เจ้าเป็นผู้ที่ข้าอ่านใจได้ยากยิ่ง ความคิดใดเจ้าพึงประสงค์อยู่จงแจ้งเถิด แลกกับคำพยากรณ์อันเป็นนิรันดร์”

“ไม่” เจ้าหนุ่มกาวีสั่นหน้า ปฏิเสธปรารถนาผิดจารีตในห้วงใจ

“ในอีกสิบห้าราตรีนับจากนี้ จักมีสตรีใจทมิฬนางหนึ่งประสงค์ให้วัชรโกมลคู่รองบาทอนันตราชกษัตริย์คนธรรพ์ต้องดับดิ้นสิ้นสังขาร สมุนข้าสืบรู้มาว่านางใจชั่วผู้นั้นหมายวางยาพิษปลิดดวงวิญญาณบาทบริจาริกาหนุ่ม ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการรักจากมนุษย์กึ่งคนธรรพ์ผู้นั้นดั่งข้าคะเน ฉะนั้นข้าเห็นควรมอบตำราพระเวทลีลาทมิฬให้แก่หญิงชั่วได้กระทำการสำเร็จ” ตรัสเสร็จหมายเนรมิตการหายลับ

“ช้าก่อน”

“กระไร ฤา”

“ข้า...ยอมแลก” จอมมารกรีดเสียงหฤหรรษ์พึงใจ

“เช่นนั้นเจ้าจงเป็นผู้นำตำราปลอมแปลง ฝากไปยังท้าวนางเธอฯมเหสีเอก เมื่อถึงราตรีข้างแรม ทูลพระนางว่าจอมปีศาจฝากสิ่งร้องขอมาให้กระทำการดั่งสมประสงค์ แต่ตำราพระเวทจักเป็นมนตราลีลาทมิฬก็หาไม่ แต่เป็นมนตราอาถรรพณ์ผูกใจสนิทเสน่ห์ให้วัชรโกมลหลงรักฝักใฝ่เจ้ากาวีคือเนื้อแท้ ดั่งนั้นจงปฏิบัติตามคำข้าแนะ แหละอย่าลืมหลงเป็นเด็ดขาด เมื่อสำเร็จกิจแล้วข้าจักมาขอฟังคำพยากรณ์”

ควันดำพวยพุ่งปิดล้อมหอนั่งเรือนกาวี กลับกลายเป็นคืนเดือนแรมราตรีหนึ่ง หมอกเมฆบดบังท้องฟ้ามืดมัว เจ้ากาวีเร่งฝีเท้าผ่านเขตพระราชฐานชั้นนอก อำพรางใบหน้าด้วยผ้าคล้องไหล่สีดำ ตรงประตูกำแพงวังพระราชฐานฝ่ายในด้านทิศใต้เป็นจุดนัดพบสำคัญ ทหารล้อมวังขนาบประตูอันตรธานด้วยกลอุบาย มีหญิงชาววังนางหนึ่งคลุมผ้าคล้องไหล่ปกปิดตั้งแต่เกศาครึ่งท่อนองค์ ยืนอยู่เบื้องหลังประตูวังนั้น

“เหตุใดถึงชักช้านัก ท่านโยคี” สตรีใต้อาภรณ์ตำหนิ

กาวีมิได้เจรจาความใดกลับก็หยิบคัมภีร์ใบลานลงรักดำตลอดทั้งเล่มส่งให้นางผู้นั้น นิ้วเรียวสวยประดับธำมรงค์แพรวพราวเอื้อมคว้าแล้วจ้ำพรวดละจาก
 
หมอกดำพัดเพหวนเป็นฉนวนทางเสด็จพระราชดำเนินก่ออิฐแดง ท้องฟ้าทอแสงเพลาอุษาโยค ตำหนักพระเจ้าวัชรโกมลประทับคือจุดหมายปลายทางในองค์พ่ออยู่หัวอนันตราช แต่หทัยเจ้าหัวหน้าองครักษ์รู้สึกแน่นอกร้อนรนแทบทนมิได้ ด้วยเพราะกิจอันตนรับปากจอมมารนำมอบคัมภีร์เล่ห์เสน่ห์รัก บัดนี้ยังหาได้ชักบังเกิดผลเช่นคำจอมปีศาจ องค์วัชรโกมลยามประทับเคียงอนันตราชพ่ออยู่หัวจะมีสักเสี้ยวหนึ่งผินหน้าทอดอาลัยตนดุจสนิทสิเน่หาเพียงน้อยหนึ่งนั้น หาปะไม่ เฝ้าใคร่คิดครวญตรองลุสามทิวาสองราตรียังอบจนหนทางอยู่ ระหว่างพระเจ้าอนันตราชตรัสสนทนาด้วยพระเจ้าวัชรโกมลเป็นภาพบาดตา สีพระพักตร์วัชระยอดดวงใจประหนึ่งพรั่นพรึงการบางอย่าง ทั้งซีดเผือด ดวงเนตรหมอง ฉับพลันก็ก้มกราบแนบพระบาทเชิงงอนอนันตราชพ่ออยู่หัว กาวีจับใจความเนื้อถ้อยสนทนามิได้ก็กังวลอยู่ เห็นเสด็จละจากพระที่ออกสู่ทวารพระตำหนัก ติดสอยห้อยตามด้วยข้าคนสนิทรับใช้นามว่า วายุ แลพ่ออยู่หัวจึ่งตรัสแก่กาวีว่า

“ดูเถิด กาวีเอ๋ย จักมีผู้ใดครอบครองใจเราเท่าวัชรโกมลหาปะอีกไม่ เพียงเราแสร้งประสงค์ดอมดมดอกลีลาวดีหมายจักฉกชิมกลิ่นรสจากปากวัชรโกมลหนึ่งน้อย แต่ความบริสุทธิ์ด้อยเดียงสากล้าแข็งมิได้โอนอ่อนดั่งคำเราตามอำเภอใจฉะนั้น เป็นที่ชื่นใจนักนับได้คู่ครองทั้งเด็ดเดี่ยว ทั้งอ่อนโยนในคนคนเดียว เจ้าจงเป็นธุระทูลเชิญวัชรโกมลเสด็จกลับมานั่งเคียงเราให้เป็นปรกติเถิด กิริยาหยอกล้อหมายดอมดมกลิ่นลีลาวดีนั้นหาเป็นจริงเป็นจังไม่ อย่าได้เดือดเนื้อร้อนใจเลย จงทูลดั่งคำเรา”

กาวีก็ถวายบังคมรับพระราชกระแสรับสั่ง ชั่นเขาถอยหลังแล้วติดตามวัชรโกมลไปยังทิศทางตำหนักท้ายสวน สถานที่ปลูกต้นลีลาวดีพระราชทาน เห็นไกลๆว่า เจ้าวายุข้าสนองโอษฐ์เอาแต่ร่ำไห้พลาง ฉุดรั้งข้อพระบาทให้พระเจ้าวัชรโกมลถอยห่างจากต้นลีลาวีพลางเป็นภาพตะขิดตะขวงใจ จึ่งเร่งฝีเท้าย่ำกระชั้นแต่โดยเร็ว ระหว่างนั้นแลเห็นวัชรโกมลทรุดพระชานุพนมหัตถ์ก้มกราบมายังทิศทางองค์พระที่นั่งทรงประทับของพ่ออยู่หัว แล้วเอื้อมหัตถ์โน้มกิ่งลีลาวดีสูดกลิ่นหนึ่งหน แลประทับจุมพิตเหนือกลีบดอก ฉับพลันพระวรกายก็สั่นสะท้านแล้วล้มลงแนบพื้นหญ้า พระโลหิตหลั่งจากพระเนตรแลพระโอษฐ์ดุจสายธารา เจ้าวายุกรีดร้องดั่งหนึ่งหัวใจสลาย กาวีถลาหมายเข้าสอบพระอาการ เห็นโลหิตหลั่งจากทวารทั้งเก้าเป็นที่พรั่นพรึง พระเนตรน้ำตาลกลึงสั่นคลอยามอยู่ในอ้อมกอดกาวี

“เรานึกออกแล้ว กาวี ณ ขะ...บวน เดินทาง ถูกโจร...ป่าปล้น เป็น...ท่าน เข้าขัดขวาง ฤา มิใช่”

“พระเจ้าข้า เป็นข้าพระองค์เองหาใช่ใครอื่น ไยทูลกระหม่อมถึงต้องโลหิตกระนี้ เจ้าวายุ”

“ลีลาวดีเพลิง...จุมพิตสีเลือด” วายุกรีดถ้อยคำสะอึกสะอื้น

ผู้ใด มันผู้ใดบังอาจนำอาวุธร้ายย่างกรายสถิตยังใจกลางพระนครเฉกนี้ ใคร...” กาวีโหยไห้น้ำตาหลั่ง ครั้นแลเห็นพระเจ้าวัชรโกมลทรงพยายามตรัสปัจฉิมดำรัสก็แทบหัวใจแหลกลั่น “แลเจ้าโจร...ระ เราจำได้แล้ว...”

เจ้าองครักษ์กาวีเขย่าพระวรกายวัชรโกมลเรียกพระสติ กู่ก้องร้องคำเพรียกหาเป็นภาพสุดเวทนา แต่จุมพิตสีเลือดทรงอานุภาพสมนามชื่อ มีหรือผู้พยากรณ์จักฉุดรั้งวิญญาณคนผู้ตนผูกใจรักแต่แรกเห็นจวบวาระสุดท้ายกลับคืนได้

ภัทรพจน์ยืนมองอดีตชาติซ้ำอีกหนแต่ในมุมที่ต่างออกไป ใต้เงาร่มไม้ห่างไกลแต่ทุกอย่างชัดเจนดุจอยู่ชิดใกล้ เสียงฝีเท้าของบุรุษผู้หนึ่งเดินมายังบริเวณที่พจน์เฝ้าดูอยู่ พระเจ้าอนันตราชทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นโดยสิ้น พักตร์แต่เดิมนิ่งเฉยกลับปริ่มพระอัสสุชลหนึ่งน้อยร้อยไหลจากพระจักษุเบื้องขวาแนบพระปรางจรดปลายพระหนุ

“กาวี...วัชระ” พระขนงยกสูงเลื่อนชน แล้วทรงผ่อนปรนเปลือกพระเนตรปกปิดพิษทรมานปานสิ้นสวรรคต


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป



____________________________________

กัป : ระยะเวลายาวนานที่กำหนดว่าโลกประลัยครั้งหนึ่ง
อุษาโยค : เวลาใกล้รุ่ง

____________________________________

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-11-2016 14:00:09 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

เหลืออีกหนึ่งตอนเท่านั้นสำหรับนิยายเรื่องนี้ คิดไปคิดมาก็ใจหายอยู่เหมือนกัน เป็นเวลาแรมปีที่ผมทำหน้าที่มอบความสุขให้ผู้อ่าน และผู้อ่านก็เป็นกระจกสะท้อนงานเขียนทั้งติทั้งชมมากมายนัก ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา รอติดตามตอนสุดท้ายได้เร็วๆนี้ครับ

เห..... ทำไมสากับเพื้อนพจน์ถึงไม่รีบปีนขึ้นไปอ่าาา เศร้าาา
ตัวละครทุกตัวมีทางเลือกของตัวเอง และเหตุผลนั้นว่าทำไมสุนิสาหรือเพื่อนๆของพจน์ถึงไม่รีบขึ้นเรือดำน้ำ คุณอาจจะมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้วเมื่อลองทบทวนดีๆ และในตอนล่าสุดศาสตราจารย์วิชัยก็ยังพูดซ้ำอีกว่า พวกเขาเหล่านั้นล้วนมีทางเลือก และคิดเห็นตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ เสียสละ เลือกที่จะช่วยปลดโซ่รั้งเรือดำน้ำ เลือกที่จะช่วยเปิดประตู เลือกที่จะตายพร้อมกับครอบครัวญาติพี่น้องของตนเอง การเลือกไม่ใช่สิ่งง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินที่จะตัดสินใจ หวังว่าจะช่วยไขความข้องใจสำหรับข้อกังขาของคุณได้ไม่มากก็น้อยนะครับ


มันคือการเสียสละ เพื่อก่อให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นสินะ รักนี้ทำให้เกิดได้ทุกอย่างจิงๆเนาะ

คำเล็กๆ แต่มีพลังมหาศาล ยากแท้หยั่งถึง เห้อ!!
ใช่ครับ ...คือความเสียสละ และเช่นเดียวกัน รัก คำสั้นๆคำเดียว ถ้าหากคุณเคยผ่านประสบการณ์เกี่ยวข้องกับคำคำนี้มาบ้างจะรู้ว่ามันส่งผลแก่เรามากน้อยแค่ไหน สิ่งสำคัญ คือ รัก แต่ต้องมี สติ ปัญญา ควบคู่กันไปด้วย จริงไหมครับ

อืม การเสียสะละที่ยิ่งใหญ่สินะ  ถึงอย่างไรก็เสียใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายอยู่ดี  รออีกสองตอนที่เหลือครับ
ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าจบแบบแฮปปี้ได้หรือเปล่า อาจจะกั๊กๆ ไม่อาจสรุปได้ว่าจบดีหรือไม่ดี ครับ ทุกคนมีทางเลือกของตัวเอง การเสียสละก็คือทางเลือกหนึ่งของตัวละครในเรื่อง และในชีวิตจริง รอติดตามตอนสุดท้ายได้เร็วๆนี้ครับ

:sad4: :a5: o22
:pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมไม่ขึ้นเรือไปด้วยกัน  ทำไมต้องมาเห็นภาพคนที่เรารักจากไปเช่นนี้ และทำไมต้องต้องเหลือคนที่รอดเท่านี้ละคับ
ขอโทษที่ถามนะคับ....แต่มันค้างคาใจผมเหลือเกิน
ขอยกประโยคคำพูดปู่ของพจน์มาอธิบายตรงนี้นะครับ “ปู่ไม่รู้ว่าทำไมเพื่อนของแก หนูสา แม่แจ่ม ตาชม ถึงคิดตัดสินใจแบบนั้นทั้งที่มีทางเลือก แต่เสี้ยววินาทีเป็นตาย พวกเขาคิดตรงกันอย่างหนึ่ง...เสียสละ เลือกที่จะช่วยปลดโซ่ล่ามเรือดำน้ำ เลือกที่จะคุ้มครองพวกเรา เลือกที่จะตายไปพร้อมทุกสรรพชีวิตและครอบครัว เลือกที่จะรับของขวัญจากมิตรแท้อย่างองอาจ เป็นความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของคนคนหนึ่งจะพึงมีได้” ตอนนั้นเวลากระชั้นชิดมาก คลื่นยักษ์กำลังจะมาถึง แน่อยู่แล้วว่าหากทุกคนจะขึ้นไปจนครบต้องเสียเวลาอย่างมากและไม่ทันการแน่นอน พวกเขาและเธอเลยตัดสินใจเลือก...เสียสละ หวังว่าจะช่วยไขข้อข้องใจได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ


ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
มีปัญญาคาใจอยู่หนึ่งประโยค  โจรคือใครอ่ะ  5555  พระเจ้าอนันตนคราช ก็ตายตามไปติดๆหรือ  ตรงนี้ก็งงๆนะ 

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
อ่ออิ เข้าใจแล้ว ถึงอดีตชาติของทั้งสองคน เศร้ามากกกก

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้อออ!! รักเมื่อมองจากอีกมุมหนึ่ง มันก้อมีเหตุผลของมันอีกเช่นกันอ่าเนาะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด