แตกที่ 1
…Mojito...
ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาบนโลกใบนี้
จะมีใคร...ได้ยินเสียงของผมบ้างไหม?
เสื้อเชิ้ตสีดำสนิทถูกสวมลงบนร่างสมส่วนของ ‘ปูน’ ที่กำลังฮัมเพลงเบาๆ เด็กหนุ่มหยิบเอาทั้งเนคไทและเสื้อกั๊กสีขาวเข้าชุดกันออกมาจากล็อคเกอร์ที่มีตราของโรงแรมติดไว้ แล้วสวมมันทับลงไปก่อนที่จะจัดแต่งทรงผมอีกนิด
“เสร็จยังปูน พี่บอยเดินมาตามแล้วนะ”
“เออ เดี๋ยวตามไป”
ปูนทำหน้ายุ่งน้อยๆพลางตอบเพื่อนร่วมงานที่รีบวิ่งกุลีกุจอออกไปแล้วทิ้งเขาไว้ในห้องแต่งตัวนี้แต่เพียงลำพัง ร่างเล็กยืนสำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจกอีกสักพักเหมือนกับลืมไปแล้วว่าถูกเตือนอะไรไว้ เขาฉีดน้ำหอมที่ข้อมือนิดหน่อยปิดท้ายก่อนจะเดินออกไปเจอกับกัปตันประจำบาร์ที่กำลังทำหน้าไม่พอใจสุดๆอยู่
“มาทำงานไม่ทันไร ก็คิดจะออกลายแล้วหรอ”
ปูนเงยขึ้นมองป้ายชื่อซึ่งสลักคำว่า ‘Boyd’ ไว้ของอีกฝ่ายที่ตัวสูงกว่าเขามากจนอดที่จะอิจฉาเล็กๆไม่ได้ ดวงตาคมกริบไม่ต่างจากคมมีดจ้องมองมาอย่างไม่เป็นมิตรนักแต่สำหรับคนที่เคยร่วมงานกันมาก่อนอย่างปูนนั้นกลับรู้สึกว่ามันเป็นเพียงสายตาธรรมดาๆ ที่ชายตรงหน้ามักจะมอบให้เขาเสมอ
“อย่าบ่นนักเลยพี่ สายนิดสายหน่อย อีกอย่างบาร์ยังไม่เปิดด้วยซ้ำ”
“แล้วมึงไม่คิดจะเข้าบลีฟงานเหมือนน้องใหม่คนอื่นเขาบ้างรึไง”
“ไม่คิดครับ ก็ผมไม่ใช่น้องใหม่สักหน่อย”
ชายผู้เป็นหัวหน้าถอนหายใจยาวๆอย่างเบื่อหน่ายแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่ร่างเล็กพูดนั้นเป็นความจริง ช่วงขายาวภายใต้กางเกงสีกรมท่าก้าวมาถึงยังบาร์เทนเดอร์คนใหม่ที่แม้จะอายุน้อยกว่าแต่ก็มีประสบการณ์โชกโชนพอๆกับเขา
“จะทำอะไรก็ทำ แต่ถ้ามีปัญหาเมื่อไหร่ กูล่อมึงแน่...”
“ครับๆ รู้แล้วล่ะน่า”
ปูนยิ้มน้อยๆพลางยื่นมือมาจัดปกเสื้อให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินแยกออกไปประจำเคาน์เตอร์ของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน เขามองไปรอบๆบาร์ขนาดใหญ่ ที่เป็นอีกหนึ่งจุดขายสำคัญของโรงแรมชื่อดังในชลบุรีแห่งนี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับเชิญให้มาเสิร์ฟเครื่องดื่มที่นี่ แต่มันกลับไม่ใช่ความทรงจำที่ปูนอยากนึกถึงสักเท่าไหร่
ร่างเล็กหยิบเอาขวดตากิล่าออกมารินใส่แก้วช็อตแล้วกระดกเข้าปากเหมือนที่ทำทุกๆครั้งก่อนราตรีที่แสนยาวนานจะเริ่มขึ้น พนักงานคนอื่นต่างมองมาที่เด็กหนุ่มอย่างไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาพูดหรือว่าอะไร เพราะต่างก็เห็นแล้วว่าแม้แต่กัปตันสุดเฮี้ยบอย่างบอย ยังยอมปล่อยผ่านเขาไปง่ายๆ
“โดนพี่บอยดุรึเปล่าปูน”
ปูนที่กำลังเก็บขวดตากิล่าเข้าที่หันมามองตามเสียงเรียกของใครบางคนที่ไม่ได้สนใจบรรยากาศรอบข้างเอาเสียเลย ดวงตากลมโตเพ่งมองใบหน้าของอีกฝ่ายดีๆจึงเห็นว่าคนคนนี้คือเด็กเสิร์ฟคนที่ทิ้งเขาไว้ในห้องแต่งตัวนั่นแหละ
“นิดหน่อย ไม่มีอะไรมากหรอก”
“หรอ ดีแล้วแหละ เราชื่อพลัสนะ พลัสที่แปลว่าบวกน่ะ”
พลัสพูดกับปูนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มราวกับว่าภูมิใจกับชื่อของตัวเองนักหนา ร่างเล็กพยักหน้าไปส่งๆทั้งที่ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะแนะนำตัวกับเขาทำไมและต้องการอะไรกันแน่ เพราะนอกจากพี่บอยที่เคยทำงานร่วมกันมาก่อนแล้ว เขาแทบจะไม่รู้จักใครเลย ส่วนพลัสปูนก็รู้เพียงแค่ว่าคนคนนี้เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่จะเข้ามาทำงานที่นี่เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น
ร่างเล็กไม่สนใจอีกฝ่ายที่พยายามชวนเขาพูดคุยไป ปูนตรวจเช็คอุปกรณ์ต่างๆที่ตัวเองจำเป็นต้องใช้ด้วยท่าทางนิ่งเฉย ต่างจากพลัสที่สีหน้าเริ่มแย่ลงเรื่อยๆเมื่อสังเกตเห็นว่าคนที่ตัวเองต้องการจะผูกมิตรไม่แม้แต่จะฟังเขา
“ละ แล้วปูนเรียนอยู่ที่มอxเหมือนกันใช่ไหม เราเรียนอยู่การจัดการปีสาม แล้วปูนล่ะ เรียนคณะไหน ปีอะไร”
พลัสเลือกที่จะถามเรื่องพื้นๆออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายสะดวกใจที่จะพูดคุยกับตน ซึ่งมันก็ได้ผล
“จัดการเหมือนกัน แต่เรียนอยู่ที่กรุงเทพ”
“อ้าว แล้วมาทำอะไรที่นี่อะ หรือมาทำแค่เสาร์อาทิตย์เหมือนเรา”
“เปล่า ทำประจำ ไม่เห็นตรานี่หรอ”
ปูนชี้ไปยังเข็มติดเนคไทสีทองอร่ามบ่งบอกถึงตำแหน่งพนักงานประจำที่ต่างกับเนคไทที่ไม่มีเครื่องประดับใดๆของพลัส บาร์เทนเดอร์หนุ่มมองคนที่สงสัยไปเสียทุกอย่างด้วยความรู้สึกที่ติดจะเอ็นดูเล็กๆ เพราะมันทำให้ปูนคิดถึงใครบางคนที่เขาไม่ได้เจอหน้ามาพักใหญ่
“แต่นี่ยังไม่ปิดเทอมเลยนะ ถ้าปูนมาทำงานที่นี่แล้วเรื่องเรียนล่ะ”
“เลิกถามมากสักทีเถอะน่า เอานี่ไปกินไป” ร่างเล็กว่ายิ้มๆก่อนจะยื่นแก้วช็อตที่มีตากีล่าอยู่ให้ แต่คนที่ถูกเสนอกลับทำสีหน้าลำบากใจแทนซะอย่างนั้น
“เฮ้ย ไม่เอา เดี๋ยวพี่บอยว่า”
“ไม่เป็นไร กูเลี้ยงเอง”
“แต่เรากินไม่เป็น...” คำตอบที่มาพร้อมกับอาการหน้าแดงน้อยๆของอีกฝ่ายทำให้ปูนได้แต่ขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย
“กินเหล้าไม่เป็นแล้วมาทำงานที่นี่ทำไม”
“เรา...แค่อยากหาประสบการณ์น่ะ”
“นี่ไงประสบการณ์ที่มึงว่า กินเข้าไปซะ”
ปูนมองคนที่ตัวสูงกว่าตนเล็กน้อยแกมบังคับขณะที่ยื่นแก้วช็อตที่มีของเหลวสีใสจรดริมปากของอีกฝ่าย พลัสทำหน้าลังเลพยายามปฏิเสธคำเชิญนั้นทางสายตา แต่บาร์เทนเดอร์เจ้าของดวงตากลมโตนั้นกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เด็กเสิร์ฟต็อกต๋อยอย่างเขาจึงได้แต่หลับตาแล้วเปิดปากรับน้ำรสขมแสบคอเข้าไป
“อื้อ! ขะ ขม”
“หึ แล้วเป็นไง ชอบไหม”
“ไม่...”
“งั้นก็จำไว้ ว่าถ้ามีแขกยื่นแก้วให้เมื่อไหร่ก็บอกเขาไปว่าแพ้ หรือไม่ก็อมแล้วค่อยไปบ้วนทิ้ง แต่จะให้ดีก็ไปขอกัปตันเปลี่ยนไปทำบุฟเฟต์ข้างล่างซะ” ปูนพูดด้วยท่าทางนิ่งๆแต่มันกลับทำให้คนฟังอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“ปูนเป็นห่วงเราหรอ”
“เปล่า สมเพชต่างหาก ถ้ายังไม่อยากเสียบางอย่าง...ที่มากกว่าแค่เสียรู้ ก็ทำตามที่บอกซะ”
แทนที่จะสลด ใบหน้าซื่อๆของพลัสกลับเผยรอยยิ้มกว้างออกมาแทนจนปูนแปลกใจ รวมไปถึงกัปตันอย่างบอยที่ยืนมองทั้งคู่อยู่นานแล้ว
“ว่าแล้วเชียว ปูนใจดีอย่างที่คิดเลย”
“ฮะ? ใจดี?”
“อืม ไม่รู้สิ เราแค่คิดว่าปูนน่าจะเป็นคนแบบนั้น”
คนถูกชมนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆเป็นจังหวะเดียวกันกับการเปิดออกของประตูกระจกบานใหญ่ พนักงานทั้งหลายที่ยืนประจำอยู่ในที่ของตัวเอง ต่างก็หันไปมองในจุดๆเดียวกันแล้วโค้งน้อยๆอย่างมีมารยาท โคมไฟที่ส่องสว่างค่อยๆหรี่ลงจนบรรยากาศในห้องแห่งนี้เปลี่ยนไป เช่นเดียวกับริมฝีปากของบาร์เทนเดอร์หนุ่มที่กำลังเปลี่ยนเป็นยกยิ้มเย้อหยัน
“เจอพวกน่ารำคาญอีกแล้ว...”
.
.
.
.
.
.
.
เพลงสบายๆในช่วงหัวค่ำเปลี่ยนเป็นเร่งจังหวะขึ้นพร้อมกับบรรดาแขกทั้งหลายที่เริ่มออกลวดลายกันบนฟลอร์เล็กๆซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของบาร์ พลัสที่ทำงานที่นี่เป็นสัปดาห์ที่สามกำลังวิ่งวุ่นอยู่กับการเก็บแก้วและจานที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว เขาเบี่ยงตัวเองออกมาจากทางเดินที่แสนวุ่นวายไปยังส่วนของพนักงานซึ่งมีคนที่แต่งตัวคล้ายๆกับเขาต่างกำลังช่วยกันล้างภาชนะต่างๆด้วยท่าทางตื่นตัวแม้เวลาจะล่วงเข้ามาเกือบตีหนึ่งแล้ว
“เฮ้ย น้องว่างอยู่ป่ะ พี่วานเอาแก้วนี่ไปไว้ที่เคาน์เตอร์ที ของทางนั้นน่าจะใกล้หมดแล้ว”
ชายคนหนึ่งที่ดูมีอายุมากกว่าเล็กน้อยพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังถาดใส่แก้วฟรอเซียร่าที่ถูกขัดล้างจนสะอาด พลัสตอบรับคำสั่งนั้นก่อนจะยกถาดที่ว่ามาถือไว้แล้วเดินไปยังทางออกอีกทาง ที่ติดอยู่กับเคาน์เตอร์ที่บาร์เทนเดอร์หน้าหวานคนนั้นกำลังชงเครื่องดื่มให้แขกอยู่
“ปูน เราเอาแก้วมาให้”
“อืม ขอบใจมาก ช่วยจัดไว้บนตู้ให้หน่อยได้ไหม ตรงช่องที่สามนับจากด้านซ้าย ข้างกับแก้วมัคนั่นแหละ”
ร่างเล็กที่สีหน้าดูสนุกกว่าเก่าพูดกับพลัสโดยไม่มองหน้า เพราะกำลังให้ความสนใจกับแขกชาวต่างชาติที่เอาแต่พูดชมเครื่องดื่มที่ปูนชงให้ไม่ขาดปาก พลัสทำหน้าที่ของตัวเองพลางชำเลืองมองมือเรียวที่กำลังหมุนของเหลวสีอำพันในมืออย่างคล่องแคล่วก่อนจะยื่นมันให้แขกด้วยความหลงใหล จนไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครเดินมายืนอยู่ข้างๆ
“ถ้าทำแก้วแตก อย่าหวังเลยว่าวันนี้จะได้ค่าจ้าง”
พลัสสะดุ้งสุดตัวจนเกือบทำแก้วใบสุดท้ายหลุดมือ แต่เคราะห์ดีที่บอยคว้ามันเอาไว้ได้ทัน ร่างบางก้มหน้าแล้วรีบบอกขอโทษด้วยเสียงสั่นๆ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับคนตัวสูงที่ลูกน้องทุกคนต่างก็เกรงใจยกเว้นแต่ปูนที่หันมามองทางนี้เมื่อได้ยินเสียงความวุ่นวายเล็กๆที่เกิดขึ้น
“อะไรกันพี่ ดุเด็กมันทำไม”
“มันมัวแต่มองมึงจนเกือบทำแก้วแตก”
“แต่ก็ไม่แตกไม่ใช่หรอ เลิกทำหน้าดุสักที มันจะร้องไห้แล้วนั่น”
“เรื่องของกู กลับไปทำงานได้แล้ว ที่หลังอย่าให้เป็นอย่างนี้อีก ส่วนมึงไอ้ปูน อย่าแหกกฎให้มาก...นายเขาไม่ชอบ”
บอยบอกกับพลัสด้วยท่าทางเช่นเดิมก่อนจะหันไปพูดกับปูนด้วยน้ำเสียงกดต่ำจนน่าสงสัย บาร์เทนเดอร์หนุ่มยอมพยักหน้าให้จนร่างใหญ่เดินไปตรวจดูความเรียบร้อยตรงอื่นต่อ พลัสมองตามแผ่นหลังนั้นไปแล้วถอนหายใจ แต่ก่อนที่เขาจะได้หมุนตัวกลับไปทำงานบ้างก็ถูกปูนหยุดเอาไว้ซะก่อน
“มีอะไรหรอปูน”
“มาช่วยกูหน่อย”
“แต่เราต้องไปเก็บแก้วต่อ...”
“ให้คนอื่นทำไปสิ เห็นยืนอู้ทำหน้าสลอนกันตั้งหลายคน”
ปูนไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธอีก เขาดึงร่างบางให้มายืนใกล้ๆกันก่อนจะยื่นแก้วฟรอเซียร่าที่พลัสเป็นคนนำมาให้คนที่ดูตื่นเต้นไปเสียทุกอย่างถือไว้ ส่วนเขาก็เริ่มชงเครื่องดื่มใหม่ด้วยท่าทางคล่องแคล่วอย่างเคย ไม่นานนักโมฮีโต้สีใสอมเขียวอ่อนๆก็ถูกรินใส่แก้วก่อนจะประดับมันด้วยมะนาวฝานและใบสะระเหน่อีกนิดหน่อย
“สวยจัง”
“แดกซะ กูเลี้ยง” พลัสเบิกตาโพล่งจนปูนและแขกที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ต่างก็ขำออกมาเมื่อเห็นท่าทางไม่ประสีประสานั้น
“มะ ไม่ดีมั้ง เรากินไม่เป็น”
“รู้ว่ากาก กูชงอ่อนๆให้ แดกได้ไม่เมาหรอก”
“รับไปเถอะครับ บาร์เทนเดอร์มือหนึ่งอุตส่าห์ทำให้ทั้งที”
แขกชาวต่างชาติที่นั่งคุยกับปูนอยู่ก่อนพูดขึ้นด้วยภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆ พลัสมองทั้งคู่สลับกันไปมาด้วยความลังเล แต่ด้วยเพราะความอยากลิ้มลองที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ร่างบางจึงตัดสินใจยกแก้วใสใบนั้นขึ้นจิบ
“อร่อยจัง!”
รอยยิ้มเล็กๆถูกจุดขึ้นตรงมุมปากของคนทำ พลัสที่เห็นอย่างนั้นก็อดที่จะยิ้มตามออกมาไม่ได้ ปูนช่วยสอนเพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่สนใจเรื่องเครื่องดื่มอยู่หลายอย่างโดยมีเหล่าลูกค้าที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์นั้นนั่งฟังแล้วพูดคุยไปด้วย
เครื่องดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าถูกรินผ่านลำคอขาวของพลัสเช่นเดียวกับสติที่เริ่มหลุดลอยมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงดนตรีที่ดังอยู่รอบตัวค่อยๆเบาลงจนเขาไม่ได้ยินอะไร ร่างบางรู้สึกได้ถึงความเย็นที่ถูกลากผ่านผิวกายสลับกับความร้อนที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ สติที่ขาดหายเริ่มถูกประติดประต่อกลับมาด้วยเสียงๆหนึ่งที่ฟังดูแข็งกร้าวแต่กลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
“พลัส ตื่น พลัส!”
“อื้อ...”
“พลัส ได้ยินไหม”
ร่างบางลืมตาตื่นขึ้นเมื่อได้ยินคนกำลังเรียกชื่อของตนเอง แสงจากหลอดไฟมันจ้าเสียจนเขาไม่สามารถเห็นสิ่งรอบตัวได้ในทันที เปลือกตาสีนวลกระพริบถี่ๆพร้อมกับร่างกำลังยันกายขึ้นนั่ง
“เมาหมดสภาพเลยนะมึง”
เสียงดุๆของบอยดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มรู้ได้โดยไม่ต้องหันกลับไปมองว่าคนที่เรียกชื่อของเขานั้นคือใคร ทันทีที่ตั้งสติได้ร่างบางก็หันไปมองรอบๆก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวของบาร์ที่ถูกเก็บกวาดจนเรียบร้อยไม่เหลือสภาพความวุ่นวายเดิมๆให้เห็น
“พี่บอย...”
ร่างสูงเลิ่กคิ้วขึ้นน้อยๆเมื่อพนักงานพาร์ทไทม์หน้าอ่อนเรียกเขาด้วยสรรพนามที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ดูเหมือนว่าร่างบางจะยังมึนงงเกินกว่าจะรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกมา
“เออ กูเอง จำได้ไหมว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง”
“พลัส...กินเหล้าที่ปูนชงให้”
“แล้วก็กิน...ทั้งที่รู้ตัวว่ากินไม่เป็น”
“ขะ ขอโทษครับ”
พลัสสะดุ้งน้อยๆแล้วก้มหน้าลงอย่างสำนึกในความผิดที่ตัวเองกระทำลงไป เขาได้ยินเสียงอีกคนถอนหายใจยาวๆแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอยู่ดี จนกระทั่งรองเท้าหนังสีดำมันแปลบคู่หนึ่งเดินมาหยุดลงตรงหน้าพร้อมกับอาการเจ็บน้อยๆที่หัวเพราะถูกอีกฝ่ายใช้กำปั้นเขกมาเบาๆ
“รู้แล้วก็อย่าทำอีก หัดรู้ลิมิตตัวเองซะบ้าง”
“ครับ...”
“งั้นก็กลับไปได้แล้ว ขับรถไหวรึเปล่าหรือจะนอนที่นี่”
“ไหวครับ หอผมอยู่ใกล้นิดเดียว”
บอยพลักหน้าน้อยๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคงสร่างแล้วพอสมควรเพราะสรรพนามที่ใช้ถูกเปลี่ยนไปเป็นแบบทางการอีกครั้ง ร่างบางลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงนในตอนแรกแต่พอเริ่มตั้งหลักได้ พลัสก็หันมายกมือไหว้ขอบคุณเจ้านายของตนที่กำลังเดินไปหยิบบางอย่างออกมาจากเครื่องคิดเงิน
“นี่ค่าจ้างของมึง ถ้าพรุ่งนี้มาไม่ไหวจะหยุดสักวันก็ได้”
“ผมจะมาครับ ขอบคุณมากนะครับ”
เด็กหนุ่มว่ายิ้มๆก่อนจะยื่นมือไปรับเงินจำนวนห้าร้อยบาทมาถือไว้ด้วยความภูมิใจ คนเป็นเจ้านายมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จนร่างเล็กเกือบจะเดินออกไปจากห้อง
“เลิกยุ่งกับมันซะ”
“ครับ??”
“ไอ้ปูนน่ะ...ถ้าไม่อยากเสียใจที่หลัง ก็อย่าไปยุ่งกับมันอีก”
พลัสมองหน้าคนพูดอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้รับคำอธิบายใดๆกลับมา เด็กหนุ่มยืนนิ่งมองเจ้านายของตนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งบอยทนไม่ไหว ร่างสูงตัดสินใจหยิบยื่นคำใบ้ที่แสนอันตรายให้คนที่ไม่สมควรรู้ไปจนได้
“ห้อง507…ไปหาคำตอบเอาเองแล้วกัน”
.
.
.
.
.
.
.
.
พลัสมองไฟบนแผงปุ่มกดของลิฟต์ที่เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เวลาตอนนี้ล่วงเลยมาเกือบตีสาม ถึงแม้เขาจะไม่มีเรียนในวันถัดไปแต่จากสภาพร่างบางควรจะกลับไปที่ห้อง แล้วนอนหลับให้สบายเหมือนกับทุกครั้งๆ แต่จุดหมายที่เขากำลังจะเดินทางไปกลับเป็นหนึ่งในห้องพักของโรงแรมที่พนักงานพาร์ทไทม์อย่างพลัสไม่สมควรจะเข้ามา ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะคำพูดของคนคนนั้น เขาจะไม่ทำแบบนี้แน่ๆ
“507…507…”
พลัสเดินไปตามทางเดินเรื่อยๆจนหยุดอยู่ตรงหน้าห้องพักที่มีตัวเลขสีเงินตามที่บอยบอกไว้แปะอยู่ เด็กหนุ่มรู้สึกลังเล เขารู้ว่าตัวเองไม่สมควรขึ้นมาบนนี้และไม่สมควรเข้าไปก้าวก่ายชีวิตของใคร แต่ถึงอย่างนั้นความขี้สงสัยที่เป็นข้อเสียของเขากลับทำให้ร่างบางทำมันไปจนได้
“เอาไงดี จะกดกริ่งดีไหมนะ”
เด็กหนุ่มมองประตูบางนั้นด้วยความลังเลใจ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไร เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังลอดออกมาจากประตูที่ปิดไม่สนิท
“แฮ่ก...อย่างนั้นแหละ”
หัวใจของคนแอบฟังเต้นแรง เขาไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าเสียงหอบกระเส่าที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของใครและกำลังทำอะไรอยู่ ไวกว่าความคิด พลัสยื่นมือออกไปจับลูกบิดประตูที่ไม่ได้ล็อคก่อนจะดันมันเข้าไป
สิ่งที่ได้ยินเพียงเบาๆเมื่อครู่ตอนนี้ชัดเจนเต็มสองหู ทั้งเสียงเตียงที่ดังเป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงเฉอะแฉะที่เร็วขึ้นเรื่อยๆทุกก้าวที่เขาเดินเข้าไปใกล้ พลัสยกมือขึ้นปิดปากของตัวเองเมื่อเงาที่สะท้อนอยู่บนกระจกบานใหญ่นั้น มันชัดเจนเสียจนเขาไม่อาจคิดหาคำแก้ตัวใดๆให้อีกฝ่ายได้
“แรงอีกสิ อ๊า กอดผมแรงๆสิครับ”
ปูนที่กำลังนอนครวญครางอยู่ใต้ร่างของแขกฝรั่งตัวใหญ่ร้องขอในสิ่งที่น่าอายแม้ว่าความจริงแค่ขนาดที่สมส่วนกับตัวนั้นทำให้เขาแทบจะเป็นบ้า เรียวขาขาวทั้งสองข้างยกขึ้นเกี่ยวรัดสะโพกของอีกฝ่ายแล้วดึงเข้าหาตัวยิ่งปลุกความต้องการของคนที่กำลังเดินเข้าสู่ประตูสวรรค์ได้เป็นอย่างดี
ทั้งสองโหมกายเข้าใส่กันเร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆโดยมีสายตาคู่หนึ่งมองมาอย่างตกใจระคนผิดหวังไปพร้อมๆกัน จนกระทั่งถึงจังหวะสุดท้ายที่ร่างเล็กพลิกตัวขึ้นไปควบความใหญ่โตนั้นด้วยตัวเอง ใบหน้าที่ชื้นเหงื่อแหงนขึ้นมองด้านบนตามอารมณ์ที่ไต่สูงอย่างห้ามไม่ไหว ปูนหันไปมองทางประตูด้านหน้าเมื่อหางตาเขาจับสังเกตบางอย่างได้
ปัง!!
ทันทีที่ดวงตาทั้งสองคู่สบกันนั้น พลัสที่เพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็รีบวิ่งออกไปจากห้องโดยไม่ทันระวังแม้แต่จะปิดประตูให้เบากว่านี้ ดวงตาสีน้ำข้าวพยายามมองไปยังต้นเสียงอย่างตกใจ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อริมฝีปากสีแดงสดของบาร์เทนเดอร์หนุ่มที่แสนเร่าร้อนคนนี้ จุดจูบลงตรงข้างหูอย่างออดอ้อน
“ทำต่อเถอะครับ อย่าสนใจเลย”
ปูนที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยยืนสำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจกบานที่สะท้อนทุกๆอย่างสู่สายตาของคนที่อ่อนต่อโลกอย่างพลัส เขาจัดผมที่เปียกชื้นเล็กน้อยของตัวเองให้เข้าที่ก่อนจะเดินกลับไปที่เตียงเพื่อหยิบเอากระดาษสีเทาเท่าจำนวนตามที่ตกลงกันไว้โดยไม่คิดปลุกลูกค้าที่กำลังหลับสบายให้ตื่นขึ้นมาบอกลากัน
“ขอบคุณที่ใช้บริการนะครับ”
ร่างเล็กเปิดประตูห้องออกไปโดยไม่ลืมที่จะเช็คให้แน่ใจว่าคราวนี้มันจะถูกปิดสนิทดีไม่เหมือนกับตอนก่อนหน้า เขาเปรยตามองคนที่กำลังนั่งกอดเข่าคุดคู้อยู่บนพื้นด้วยสายตาเฉยชา ผิดกับอีกฝ่ายที่ทั้งดวงหน้าเปียกปอนไปหมด
“ยังไม่ไปอีกหรอ”
“ทำไมปูนทำแบบนี้...ฝรั่งคนนั้น เป็นแฟนของปูนหรอ”
“จะถามทำไมในเมื่อมึงก็รู้ความจริงอยู่แล้ว”
ปูนก้มตัวลงหยิบเอาแบงก์สีม่วงที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของพลัสออกมา ก่อนจะเอาเงินจำนวนห้าพันบาทของตนใส่กลับเข้าไปแทนที่
“เยอะใช่ไหมล่ะ...เงินนี่น่ะ”
“...เอาเงินเราคืนมา เงินสกปรกแบบนี้เราไม่อยากได้”
“ก็ไม่ได้บอกว่าจะให้ฟรีๆสักหน่อย”
ปูนดึงขอเสื้อของอีกฝ่ายเข้าหาตัวแล้วช่วงชิงริมฝีปากแดงช้ำนั่นมาอย่างเอาแต่ใจ ร่างบางพยายามขัดขืนแต่เมื่อถูกเรียวลิ้นพลิ้วไหวนั้นสอดเข้าไปเกี่ยวรัดลิ้นของตนอย่างไม่ผ่อนให้หยุดพักเรี่ยวแรงทั้งหมดก็พลันหายไปดื้อๆ หัวใจของเด็กหนุ่มพองโตจากการกระทำน่ารังเกียจจนน่าโมโห จนหยดน้ำตาที่แห้งไปแล้วนั้นกลับมารินไหลอีกครั้ง
“ขอบคุณที่ให้บริการ...แต่ให้มันเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ”
เขาลุกขึ้นยืน เก็บเงินห้าร้อยบาทที่เคยเป็นของคนที่เอาแต่ร้องไห้ใส่กระเป๋าของตนแทนแล้วเดินออกไปโดยไม่คิดจะหันหลังกลับมามอง ปูนกดลิฟต์แล้วยืนรออยู่อย่างนั้น ทำเป็นมองไม่เห็นเงาดำมือของคนอีกคนที่ยืนหลบมุมอยู่จากจุดที่สามารถเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้
เด็กหนุ่มเดินไปเรื่อยๆบนถนนเลียบชายหาดที่มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเขาในยามนี้ เสียงเกลียวคลื่นที่ดังมาจากที่ไกลๆทำให้หัวใจของเขาค่อยๆสงบลงอีกครั้ง ซึ่งมันก็เพียงพอแล้วสำหรับการดำรงชีวิตต่อไปในแต่ละวัน
“คืนนี้เงียบจังเลยนะ”
ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาบนโลกใบนี้
ไม่มีใคร...
ได้ยินเสียงของผมเลยสักคน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ลัดคิวอีกแล้วววววว ยังเขียนตอนพิเศษพี่กาลไม่เสร็จหลบมาเขียนน้องปูนก่อนจนได้ เด็กเส้นจริงๆ แล้วที่ฮามาก คือคู่รองโผล่มาจากไหน5555 เช่ตั้งใจแล้วนะว่าเรื่องนี้จะให้มีคู่เดียว แต่เขียนไปเขียนมาได้มาซะงั้น น่าเอ็นดูสุดๆด้วย โถๆ เจอเด็กดีแตกของเช่เข้าไปถึงกับร้องไห้ มาม๊ะๆ มาให้พี่ๆเขาปลอบ
ตอนต่อไปคงอีกสักใหญ่ถึงจะมานะครับ ทั้งงานแล้วก็ทำรูปเล่มเลยอาจจะไม่ทันใจกัน ขอให้พ้นช่วงนี้ไปก่อนจะกลับมาลงให้อย่างเดิม (ซึ่งก็ไม่ได้เร็วเลย) หลายคนเห็นชื่อเรื่องอาจจะคาดหวังเอ็นซีเยอะๆ ถามว่าเยอะไหม ก็คงเยอะกว่าไนท์แมร์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีทุกตอนหรอกนะคับ เพราะเช่แม่งกากเรื่องนี้จริงๆ แล้วถามว่าดราม่าปวดตับไหม ไม่ดราม่าหรอกเอาจริงๆ มีปมนิดๆแต่ไม่มากและซับซ้อนเท่าเรื่องนั้น ถ้าใครผ่านไนท์แมร์มาได้อาจจะมองว่าเรื่องนี้ขนมไปเลยก็ได้นะ
ขอบคุณทุกคนที่ตามเช่มาถึงตอนนี้นะคับ แล้วก็ต้อนรับนักอ่านท่านอื่นที่เพิ่งเข้ามาอ่านผลงานของเช่ด้วย อย่างที่บอกเรื่องนี้เป็นตอนที่งอกมาจากไนท์แมร์ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันมาก ไม่อ่านเรื่องนั้นก็สามารถอ่านเรื่องนี้ได้เลย เอาตามที่สะดวกกันเนอะ