แตกที่ 16
…เด็ดดอกไม้...
“บอย...ป้าฝากดูแลน้องด้วยนะลูก”
คำพูดของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นในหัวของบอยซ้ำไปซ้ำมาขณะที่เขากำลังยืนมองใบหน้าของพลัสที่กำลังส่งยิ้มละไมให้กับแขกที่เข้ามาใช้บริการในบาร์เหมือนกับทุกๆครั้ง หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป
นั่นก็คือไฟที่กำลังสุมอยู่ในอกนี่เอง...
“พี่บอยๆ เหล้านี่หมดว่ะ”
บาร์เทนเดอร์คนใหม่ที่หัวหน้าเพิ่งรับเข้ามาเดินมาแจ้งปัญหากับกัปตันที่กำลังยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ในมุมมืดของบาร์ที่แทบจะไม่มีใครสังเกตเห็น ทันทีที่บอยได้ยินอย่างนั้นสีหน้าที่ติดจะนิ่งเฉยก็เปลี่ยนเป็นรำคาญใจ
“กูบอกให้มึงเช็คของดีๆแล้วไม่ใช่รึไง”
“ผมก็เช็คแล้วนะพี่ แต่ว่า...วันนี้แขกเยอะไง มันเลยไม่พอ”
บอยยิ้มเหยียดก่อนจะก้าวเข้าไปประชิดตัวจนใบหน้าของอีกฝ่ายแทบจะจมหายไปในอกกว้างที่ถึงแม้จะมองผ่านเนื้อผ้าก็สามารถเดาได้ว่ามันสมบูรณ์แบบขนาดไหน บอยเดาะลิ้นของตัวเองก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาเคาะตรงขมับของชายที่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางขึงขังแต่ก็กวนประสาทอยู่ในที บอยยังคงไม่พูดอะไรจนกระทั่งเพลงที่กำลังเล่นอยู่จบลง เสียงเย็นๆของชายหนุ่มก็ดังขึ้นแทนที่
“มึงรู้ไหม นอกจากคนที่กล้ามายุ่งกับของของกู...กูเกลียดคนแบบไหนมากที่สุด”
“มะ ไม่รู้ครับ”
“ไอ้พวกไร้ประโยชน์ไง”
“...!!!”
“รีบไสหัวไปทำงานของมึงซะ...ถ้าไม่มีปัญญาแก้ปัญหาที่ตัวเองเป็นคนก่อขึ้นมาก็ลาออกไป มันรกหูรกตากู”
ไม่ต้องรอให้พูดย้ำมากไปกว่านี้ บาร์เทนเดอร์คนใหม่ที่คงจะอยู่ทำงานที่นี่เป็นวันสุดท้ายรีบเดินกลับไปยังจุดรับผิดชอบของตัวเองโดยไม่กล้าสบตาบอยเลยแม้แต่นิด ร่างใหญ่สบถอย่างหัวเสียพลางเสยผมของตัวเองขึ้นจนใครต่อใครสามารถเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาได้ชัดขึ้นเมื่อกัปตันหนุ่มจำเป็นต้องเดินออกมารับต้อนรับแขกที่ยังคงเข้ามาใช้บริการที่นี่ไม่ขาดสาย
แม้ว่าตลอดการทำงานบอยไม่สามารถสลัดภาพที่พลัสกำลังยืนคุยอยู่กับผู้หญิงคนนั้นและข้อสันนิษฐานของเธอที่บอกว่าเด็กที่เขาแอบมองมานานกำลังมีใจให้กับหนุ่มรุ่นน้องอย่างปูนออกไปได้ ไม่ใช่ว่าไม่รู้...เพียงแต่เพราะมันเสียดแทงใจเขามากเกินไปจนไม่อยากจะทำเป็นรู้สึกถึงมันต่างหาก
“วันนี้มึงดูหงุดหงิดนะบอย”
บอยหันมาตามเสียงทักของนักธุรกิจใหญ่อย่างเมษาที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวแล้วมองไปยังพื้นเบื้องล่างด้วยสายตาที่ยากจะหยั่งถึง ร่างใหญ่หันไปมองรอบๆก็ไม่เห็นว่ามีใครยืนอยู่แถวนี้ โดยเฉพาะพลัสที่ทำท่าลุกลี้ลุกลนอย่างกับจะรีบไปไหนก็กำลังตั้งอกตั้งใจทำงานไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด
“ขอโทษครับ”
“พูดธรรมดาก็ได้ ตรงนี้ไม่มีใครได้ยินหรอก”
เมษาหันมายิ้มให้ก่อนจะชี้ไปยังที่ว่างข้างตัวแทนการออกคำสั่งให้คนที่เป็นทั้งลูกน้องและเพื่อนดื่มนั่งลงข้างๆกัน แต่ถึงอย่างนั้นบอยกลับยืนอยู่ที่เดิมแล้วเติมไวน์ในแก้วให้เขาจนเต็มแทน
“ดื้อด้าน...หึ ว่าแต่หงุดหงิดอะไรมาล่ะถึงได้พาลไปลงกับเด็กใหม่”
“ได้ยินด้วยหรอครับ”
“ก็ไม่ทั้งหมดแต่เสียงมันก็ดังพอดู...อย่าให้เป็นแบบนี้อีกเข้าใจไหม”
ถึงรอยยิ้มจะไม่จางหายไปแต่น้ำเสียงที่เข้มขึ้นก็ทำให้บอยต้องก้มหัวลงเล็กน้อยให้กับคนที่ดูเกรงขามเหลือเกินในสายตาของเขา จริงอยู่ที่นอกเหนือเวลางานเขาอาจจะมองเมษาเป็นเพียงชายหนุ่มมากเสน่ห์ที่แสนอันตราย แต่สำหรับที่นี่เมษาคือคนที่มีอำนาจและเหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งของท่านประธานที่คงเหลือเวลาอีกไม่นานเมษาก็จะเอื้อมคว้ามันมาได้
“ครับ ผมจะระวัง”
“เอาเถอะ คนทำงานห่วยเก็บไว้ก็เท่านั้น รีบหาคนมาทำแทนแล้วกัน”
“ครับ ว่าแต่...ถึงเวลารึยังที่เราควรจะตามปูนกลับมา”
บอยกัดฟันพูดชื่อของคนที่เป็นหนึ่งในเชื้อไฟที่สุมอกเขาอยู่ในตอนนี้ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าด้วยเพราะเหตุผลอะไร จึงมีคำสั่งจากเมษาส่งตรงมาถึงเขาให้เปลี่ยนผลัดการทำงานของปูนจากเดิมที่ทำงานอยู่ในช่วงวันหยุดซึ่งมีลูกค้ามากที่สุดให้ไปอยู่ในช่วงวันธรรมดา จริงอยู่ที่ The Pilot มีบาร์เทนเดอร์ฝีมือดีอีกมากและปูนเองก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น แต่การทำแบบนี้มันมีแต่เสียกับเสีย
“ยัง...หาคนอื่นมาทำแทนก่อนแล้วกัน แต่ถ้ามันเอาไม่อยู่จริงๆก็ติดต่อไปที่สาขาใหญ่ให้เขาส่งคนมาเพิ่ม”
“จะไม่เป็นปัญหาหรอครับ”
“เป็น...แต่ว่าฉันจัดการได้”
ในเมื่อลูกเจ้าของเขายืนยันมาแบบนี้แล้ว ลูกจ้างอย่างบอยจึงได้แต่น้อมรับคำทำตามอย่างไม่อาจโต้แย้ง เมษาชูแก้วที่ว่างเปล่าของตัวเองขึ้นให้บอยรินน้ำหมักรสเยี่ยมให้อีกครั้ง แต่คราวนี้แก้วทรงสูงที่มีไวน์สีแดงก่ำอยู่ประมานครึ่งแก้วกลับถูกยื่นไปให้ชายหนุ่มที่เพิ่งรินมันด้วยตัวเองดื่มแทน
“ดูมึงเครียดๆ มีอะไรอยากเล่าให้กูฟังไหม”
บอยไม่อาจตอบรับน้ำใจนั้นเขาจึงเลือกที่จะรับไวน์มาดื่มแทนแล้วยืนเงียบอย่างเก่า แต่บอยคงไม่รู้ว่านอกเหนือจากชั้นเชิงทางธุรกิจแล้วเมษาคือคนที่สามารถมองคนอื่นได้อย่างทะลุปรุโปร่งโดยเฉพาะเมื่อมันอาจจะนำพาเรื่องสนุกๆมาให้เขาที่กำลังเบื่อหน่ายคลายความเหงาลงบ้าง
“เรื่องเด็กนั่นสินะ”
“...!!!”
“หึ ไม่เอาน่าบอย อย่าบอกนะว่ามึงยังทำตัวเป็นหมาเฝ้ากระดูกอยู่อีก”
ใบหน้าทะมึนทึนของบอยแทนคำตอบที่เมษาอยากรู้ได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆอย่างชอบใจก่อนจะหยิบเอาขวดไวน์มารินใส่แก้วอีกใบเอง
“กูนึกว่ามึงจะเป็นคนใจร้อนกับทุกเรื่อง”
“...คุณยังไม่รู้จักผมดีพอหรอกครับ”
“ก็อาจจะใช่...แต่ก็อาจจะไม่ใช่เหมือนกัน”
“...”
“อีกไม่นานหรอกบอย ความอดทนของมึงมันจะหมดลง”
เมษาพูดทิ้งไว้ให้คิดก่อนจะออกจากบาร์ไปพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนกับเด็กๆที่เจอของเล่นถูกใจ กลับกันคนที่ถูกมองจนทะลุปรุโปร่งอย่างบอยได้แต่ยืนหัวเสียยิ่งกว่าเดิมจนบรรดาลูกน้องเข้าหน้าไม่ติด
“พลัส เอานี่ไปให้พี่บอยหน่อยสิ”
พนักงานหญิงคนหนึ่งเดินมาสะกิดพลัสที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเช็ดโต๊ะตัวสุดท้ายโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เธอยื่นรายการของที่จำเป็นต้องใช้ในวันพรุ่งนี้มาให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องโดยที่ตัวเองทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆเมื่อเจอพลัสมองมาอย่างสงสัย
“ทำไมพี่ไม่เอาไปให้เขาเองล่ะครับ เอกสารสำคัญไม่ใช่หรอ”
“ก็ใช่...แต่พลัสดูหน้าพี่บอยสิ ใครเข้าไปตอนนี้เหมือนกับฆ่าตัวตายชัดๆ”
ร่างบางหันไปมองอย่างที่หญิงสาวว่าก่อนจะพบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาที่เครียดขึงยิ่งกว่ายักษ์วัดแจ้งจนรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมากลบเสน่ห์เหลือร้ายที่บอยมีไว้จนมิด เห็นได้จากพี่คนนี้ที่ปกติพลัสเห็นว่าเธอพยายามหาเรื่องเข้าหากัปตันอย่างบอยจะตายแต่ตอนนี้กลับพยายามหนีห่างซะงั้น
“แล้วแบบนี้พี่จะยังส่งผมเข้าไปอีกหรอครับ ผมยังไม่อยากตายนะพี่”
พลัสพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ ซึ่งคนมองก็ได้แต่บีบแขนของเด็กหนุ่มเบาๆอย่างขอโทษ แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ถ้าเป็นพลัสล่ะก็”
“ถ้าเป็นผม?”
“อืม ถ้าเป็นพลัสล่ะก็พี่บอยไม่ดุหรอก นะๆเอาไปให้แทนพี่ทีนะ”
คำตอบของเธอทำเอาพลัสงงหนักเข้าไปใหญ่ พี่บอยที่แค่มองหน้าเขาก็กลัวหัวหดเนี่ยนะไม่ดุเขา จริงอยู่ที่ไม่เคยด่าตะคอกแรงๆแต่น้ำเสียงแข็งๆที่อีกฝ่ายชอบใช้กับเขาเสมอก็ทำให้พลัสไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ร่างใหญ่สักเท่าไหร่
“ไม่ดุอะไรล่ะพี่ วันก่อนเขายังว่าเรื่องที่ผมทำงานช้าอยู่เลย”
“นั่นก็ใช่ แต่ตอนนั้นมันเกือบตีสองแล้วพี่บอยเขาก็คงเป็นห่วงนั่นแหละ นอกจากเรื่องพวกนี้พี่ก็ไม่เคยเห็นพี่แกดุอะไรพลัสเลย ใครๆเขาก็รู้ว่าพี่บอยน่ะเอ็นดูพลัสกันทั้งนั้น นี่พลัสไม่รู้ตัวเลยหรอ”
“...”
ร่างบางพูดไม่ออก รู้ตัวอีกทีกระดาษเจ้าปัญหาก็ถูกยัดลงในมือของเขาพร้อมกับคำอวยพรของคนที่ชิ่งเดินหนีไปไกลแล้วเพื่อไม่ให้พลัสปฏิเสธ หากแต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับคำพูดที่หญิงสาวบอกเอาไว้ อย่าว่าแต่รู้ตัวเลย...สำหรับพลัสมันเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
“พี่บอยครับ พี่นิ้งฝากเอกสารมาให้”
เมื่อเห็นว่าปฏิเสธไม่ได้พลัสจึงยอมเดินเอามาให้แทน แต่ทันทีที่เด็กหนุ่มยื่นกระดาษออกไปแทนที่บอยจะยื่นมือมารับมันชายหนุ่มกลับหันมาจ้องพลัสด้วยสายตาดุๆแบบที่พลัสอยากจะลากตัวหญิงสาวที่มาพูดเรื่องเหลวไหลให้เขาฟังเห็นชัดๆว่าสายตาแบบนี้แหละที่ชายคนนี้ใช้มองเขา
“แล้วนิ้งไปไหน ทำไมไม่เอามาให้เอง”
“เออ...พี่เขาปวดท้องน่ะครับ เลยฝากให้ผมเอามาให้พี่”
พลัสเลือกที่จะโกหกไปเพื่อไม่ให้ใครเดือดร้อน แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าคำโกหกนี้ไม่สามารถใช้กับชายตรงหน้าเขาได้เลย
“คือ...รับไปหน่อยได้ไหมครับ พอดีผมมีธุระต้องไปทำ”
“...”
“พี่บอยครับ”
“ธุระอะไร”
“ครับ?”
“ธุระที่ว่าน่ะ คือธุระอะไร”
ทั้งๆที่ตอนนี้เป็นตอนกลางวันแต่พลัสกลับรู้สึกว่าอาการรอบตัวเย็นลงอย่างน่าประหลาด จากที่เคยมองตากันอยู่เด็กหนุ่มกลับหลุบตาลงราวกับกลัวว่าดวงตาคมๆคู่นั้นจะบาดคว้านเข้าไปข้างในตัวเขาจนเผยให้เห็นอะไรที่มันไม่น่าดู
“ธุระส่วนตัวครับ...”
“ธุระส่วนตัว...หรือเรื่องของชาวบ้านกันแน่”
บอยยิ้มเยาะ เขายังจำคำมั่นสัญญาที่ผู้หญิงคนนั้นให้ไว้กับคนตรงหน้าเขาได้ ว่าจะกลับมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เหลือให้พลัสฟังหลังจากงานกะเช้าที่พลัสขอเลื่อนมาทำแทนกะกลางคืนเหมือนทุกครั้ง คนที่ถูกว่ากระทบดูอึ้งไป คงจะสับสนว่าเขาด่ามันทำไมหรือไม่ก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองฟังผิดรึเปล่า
“พี่ว่ายังไงนะครับ”
นั่นไง...เขาเดาผิดซะที่ไหน
“เปล่า กูรับไว้ก็ได้ แต่มีข้อแม้อยู่อย่าง”
“ครับ?”
“เย็นนี้มึงต้องมากับกู เราจะไปรับงานพิเศษกันที่โรงแรม The Next”
บอยทำท่าทางนิ่งเฉยเหมือนกับตัวเองเพิ่งพูดถึงสภาพอากาศ หากแต่ในความรู้สึกคนฟังมันช่างกะทันหันและไร้ซึ่งเหตุผล โดยเฉพาะกับคนที่แจ้งล่วงหน้าแล้วว่ามีธุระจะต้องไปทำ ดังนั้นเงื่อนไขที่บอยให้กับเขาไว้มันจึงดูไร้ความรับผิดชอบและไม่สบอารมณ์เอาซะเลย
“แต่ผมมีธุระ”
“คิดว่ากูแคร์รึไง”
“...!!!”
“งานนั้นเป็นงานใหญ่ ลูกหลานนักการเมืองมีชื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจจัดงานกันที่นั่นแต่ฝ่ายชายเป็นคนรู้จักคุณเมษาทางเราเลยจะส่งคนไปช่วยด้วย...มึงก็ต้องไปต่อให้ขอเปลี่ยนกะมาแล้วก็เถอะ”
“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะครับ!”
พลัสท้วงออกไปเพราะรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผล คนของที่นี่มีไม่ใช่น้อยๆแล้วทำไมถึงต้องบังคับให้พนักงานพาร์ทไทม์อย่างเขาไปด้วย แต่บอยกลับตอบคำถามของพลัสด้วยการหันมาเผชิญหน้าอย่างเต็มตัวจนร่างของเด็กหนุ่มถูกเงาของบอยทาบทับไว้จนมิด
“ที่กูพูดไปไม่เคลียร์ตรงไหน”
“ทั้งหมดนั่นแหละครับ! คนของที่นี่ก็มีตั้งเยอะแยะ ผมเองก็ขอเปลี่ยนกะไปแล้วและพี่นิ้งก็อนุญาตแล้วด้วย”
“แล้วเจ้านายของมึงชื่ออะไร”
“...!!!”
“กูจำไม่ได้ว่าเคยอนุญาตให้มึงหยุด แต่ถ้ามึงไม่อยากจะทำจริงๆก็ได้ ไปรับค่าจ้างครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ไม่ต้องโผล่หัวกลับมาอีก”
พลัสรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าจนชาไปทั้งแทบ ทำไมคนคนนี้ถึงไม่ยอมรับฟังอะไรเขาเลย เขาแค่มีธุระและเขาก็จัดการทำทุกอย่างถูกต้องแล้วแต่สุดท้ายมันก็จบลงแค่พี่บอยไม่ยอมรับมัน คนที่อุตส่าห์ทำงานอย่างแข็งขันเผลอกำมือแน่นด้วยความไม่พอใจและไม่เข้าใจ ส่วนบอยที่เห็นมันกลับทำหน้านิ่งอย่างเคย
“ไม่พอใจงั้นสินะ”
“...”
“นั่นก็เรื่องของมึง...แต่สิ่งหนึ่งที่มึงควรรู้ไว้ ถ้าหากมึงยังอยากทำงานที่นี่ รวมถึงจดหมายขอฝึกงานที่วางอยู่บนโต๊ะของกู”
“...”
“อย่าขัดคำสั่งของกูพลัส...อย่าทำให้กูโมโห”
บอยปลดเนคไทของตัวเองออกเล็กน้อยก่อนจะหยิบเอากระดาษที่นำพาความวุ่นวายมาสู่ร่างบางมาถือไว้แล้วเตรียมตัวจะเดินออกจากที่นี่ เพื่อไปเตรียมพร้อมสำหรับงานเย็นนี้ที่เขาเองก็ต้องตามไปดูแลด้วยเช่นกัน แต่จู่ๆรองเท้าขัดมันคู่ใหญ่ของชายหนุ่มก็หยุดลงพร้อมกับคำสั่งของบอยที่ตอกย้ำให้พลัสรู้สึกว่าคนคนนี้ไม่มีสักส่วนเสี้ยวที่จะอ่อนโยนกับเขา
“งานจะเริ่มตอนเย็นแต่เราต้องไปที่นั่นตั้งแต่บ่าย มึงมีเวลาเตรียมตัวอีกแค่หนึ่งชั่วโมง...ถ้าคิดว่ากลับมาทันได้ก็ลองดู”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เขาไม่ใช่คนอ่อนแอ...พลัสบอกกับตัวเองแบบนั้น
“ให้ตายสิ ทำไมนายต้องนัดฉันให้มาตรงนี้ด้วย”
ก้อยที่อยู่ในชุดไปเที่ยวบ่นออกมาไม่หยุดตั้งแต่เธอเดินทางมาถึงโรงแรมที่จู่ๆพลัสก็บอกให้เธอเปลี่ยนมาพบเขาที่นี่ เธอก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกหากไม่ใช่ว่าที่ที่ร่างบางนัดให้เธอมาคุยกันจะเป็นทางเข้าด้านหลังที่มีไว้ให้พนักงานเข้าออกแทนที่จะเป็นล็อบบี้หรือเล้าจ์แบบที่หญิงสาวคิดไว้
“ขอโทษด้วยนะ แต่เรามีงานด่วนเข้ามาแถมเวลาก็มีไม่มาก”
พลัสที่เปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เตรียมพร้อมสำหรับงานตอนเย็นพูดกับก้อยด้วยสีหน้าที่แสดงความลำบากใจและรู้สึกผิด จนคนที่บ่นอุบในตอนแรกยอมพยักหน้าให้อย่างแกนๆแม้ว่าความจริงอยากจะหนีไปนั่งข้างในเต็มแก่
“แล้วตกลงแกอยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับไอ้ปูนมัน”
“ก็...ทั้งหมด”
“หึ ตกลงแกถูกใจมันจริงๆสินะ”
ร่างบางไม่ตอบ เขาเลือกที่จะมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายแทนเพื่อยืนยันความต้องการของตัวเองซึ่งดูเหมือนก้อยจะเข้าใจมันได้ดี
“เอาเถอะ เห็นแก่เรื่องน่าสนุกที่มันกำลังจะเกิดขึ้นจะบอกให้ก็ได้”
“...”
“ก่อนหน้าที่จะมีเรื่องอื้อฉาวนั้น พวกเราก็ไม่มีใครคิดว่าปูนมันจะทำอาชีพนี้ เรารู้แค่มันทำงานพิเศษเป็นบาร์เทนเดอร์ ฝีมือมันก็ดี เคยประกวดได้รางวัลมาก็มาก ปูนมันก็เลยมีคนมาชอบเยอะเป็นผู้ชายทั้งนั้น แต่ก่อนหน้าจะเกิดเรื่องที่ว่า กลุ่มพวกฉันก็สังเกตกันว่าปูนมันเริ่มมีอะไรแปลกๆไป”
“อะไรที่ว่าแปลก”
“ของใช้ไงล่ะ ถึงงานนอกปูนมันจะเยอะแต่จากคนที่เคยแบกเป้ธรรมดามาเรียนจู่ๆก็เปลี่ยนมาใช้กระเป๋าแบรนด์เนมซะงั้น ใบหนึ่งราคาเป็นหมื่น แล้วใช่ว่าปูนมันจะรวยมาจากไหน ถ้าจะให้เดามันก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง”
“...”
“ไม่ถูกหวย...ก็ขายตัวเองกิน”
สีหน้าของก้อยดูเหยียดหยามและสะใจไปพร้อมๆกัน พลัสเลือกที่จะเงียบไว้และมองดูความอิจฉาที่ฉายชัดอยู่ในทุกอณูของผู้หญิงคนนี้
“แล้วก็เริ่มมีข่าวลือว่ามีคนมาคอยรับส่งปูนที่คณะบ่อยๆ เราเองก็ไม่รู้จักหรอกนะแต่เคยเห็นหน้าอยู่ครั้งหนึ่ง...หล่อมาก รถก็สวย พอถามไปถามมาก็มีคนบอกว่าเคยเห็นปูนกับผู้ชายคนนั้นไปไหนมาไหนด้วยกันข้างนอก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีคนเห็นว่าสองคนนั้นน่าจะทะเลาะกันแล้วพากันไปเคลียร์ที่รถ”
“แล้วมันยังไงหรอ”
“หึ...ก็ขย่มกันจนรถสั่นเลยไง สมกับที่แกอยากรู้ไหมพลัส”
สีหน้าของพลัสซีดลง ก็คิดอยู่แล้วว่ามันคงลงเอยด้วยอีหรอบนี้แต่เขาก็ไม่คิดว่าคนอย่างปูนจะกล้าทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบที่ผู้หญิงคนนี้บอก ก้อยที่เห็นว่าพลัสนิ่งอึ้งไปก็ยกยิ้มแล้วเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้มือของตัวเองลูบใบตามใบหน้าที่ถึงแม้จะไร้เครื่องสำอางแต่กลับขาวสะอาดเสียจนเธออดที่จะขำไม่ได้เมื่อต้องรับรู้ว่าเด็กน้อยแบบนี้กำลังตกหลุมรักคนที่เป็นยิ่งกว่าขยะในสายตาของเธออย่างปูน...นึกแล้วก็เสียดาย แต่คิดอีกทีก็น่าขำ
“ถ้าให้เราแนะนำ เราว่าแกเลิกชอบปูนดีกว่า”
“เราไม่ได้...”
“จะบอกว่าตัวเองไม่ได้ชอบ...จะบอกเราอย่างนั้นใช่ไหม งั้นขอเราถามอะไรแกสักอย่างสิพลัส”
“...”
“แกเคยนึกถึงภาพตัวเองกำลังทำอะไรมันอยู่รึเปล่า ถ้าไม่ก็ลืมคำเตือนของเราไป แต่ถ้าใช่...ก็อย่าหาว่าเราไม่เตือน”
คำถามของก้อยดังวนอยู่ในหัวของเขาแม้ว่าเธอจะจากไปแล้วพร้อมกับรอยลิปสติกที่ถูกทิ้งไว้ตรงข้ามแก้ม เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นแล้วยกมือขึ้นสัมผัสแก้มของตัวเองเบาๆโดยที่ในหัวก็ยังคำนึงถึงความรู้สึกที่เขามีให้ปูนโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครคนหนึ่งกำลังจ้องมองมาทางนี้ไม่วางตา
“คนอีกประเภทที่ฉันไม่ชอบ...คือคนที่ไม่ฟังคำสั่งของฉัน”
บอยมองร่างบอบบางของคนที่เหยียบย่ำหัวใจของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่ได้ตั้งใจแต่มันกลับเจ็บปวดอย่างร้ายกาจ ทุกคำพูดและการกระทำของสองคนนั้นเขาได้รับรู้มันตั้งแต่ต้นจนจบโดยมีหลักฐานคือดอกไม้หลายดอก ที่กลับกลายเป็นเศษซากเพราะมือของร่างใหญ่ที่ใช้มันเป็นที่ระบายโทสะ โดยที่สายตาของบอยไม่ได้ละไปจากพลัสเลยแม้แต่วินาทีเดียว
(มีต่อเม้นต์ล่าง)