แสงสีของเมื่อหลวงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายให้หลั่งไหลเข้ามาแม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องมาแออัดกันอยู่ในสถานที่แคบๆทั้งๆที่การนอนอยู่ที่บ้านน่าจะสบายมากกว่า บอยก็เป็นคนหนึ่งที่คิดแบบนั้นแต่จะทำยังไงได้ในเมื่ออาชีพของเขาเห็นพระจันทร์ไม่ต่างจากพระอาทิตย์
“หวัดดีพี่ โห กว่าจะโผล่มาได้นะ”
เด็กเสิร์ฟคุ้นหน้าคนหนึ่งรีบปรี่เข้ามาทักบอยอย่างเป็นมิตร แน่ล่ะ เพราะคนคนนี้เป็นถึงกัปตันของโรงแรมดังที่ไม่ใช่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นได้ง่ายๆ แล้วที่สำคัญพี่บอยยังเป็นเพื่อนของคนที่จ่ายเงินเดือนให้เขาด้วย
“อืม ทำไมวันนี้คนเยอะจังวะ”
“ก็งี้แหละพี่วันศุกร์สิ้นเดือน แล้วนี่มาหาพี่เปี๊ยกหรอ พี่เขาไม่อยู่นะ”
“รู้อยู่แล้วล่ะ กูแค่เบื่อๆเลยออกมาหาที่นั่งเล่น แล้วนี่ไอ้ปูนอยู่ไหม”
บอยถามหารุ่นน้องบาร์เทนเดอร์ที่ไม่ได้คุยกันมาพักใหญ่ตั้งแต่ปูนมาบางแสนครั้งนั้น บางอารมณ์เขาก็อยากจะถามมันเหมือนกันว่าเป็นยังไงบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามเพราะเรื่องของคนขี้ลืมบางคนที่เริ่มเข้ามาทำงานพิเศษที่โรงแรม
“มาแล้วอยู่หลังร้านพี่ แต่...”
“แต่?”
เด็กเสิร์ฟที่บอยจำได้ว่าเรียนอยู่ที่เดียวกับปูนทำท่าอิดออดจนน่าหมั่นไส้ ทั้งๆที่ความจริงคงอยากเล่าเสียเต็มประดา
“คือ...ความจริงผมก็ไม่อยากจะเล่านะ”
“งั้นมึงก็ไม่ต้องเล่า”
“เฮ้ย เดี๋ยวดิพี่ๆ เล่าแล้วๆ”
ร่างใหญ่ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆแต่ก็ยอมเดินตามเด็กเสิร์ฟนั่นไปนั่งบนโซฟามุมประจำที่เปี๊ยกเจ้าของร้านสงวนไว้สำหรับกลุ่มคนรู้จักซึ่งก็รวมถึงบอยด้วย เขาเปิดเมนูมาอ่านคิดจะสั่งอาหารสักสองสามอย่างรอเพราะดูท่าเรื่องที่เด็กนี่อยากจะเล่าคงยาวน่าดู เอาเถอะ ถือซะว่าฟังผ่านหูไว้แล้วกัน
“คืองี้พี่ ช่วงนี้ไอ้ปูนมันทำตัวโคตรแปลก แม่งมาสายทุกวัน แถมกลับก็เร็วจนพี่เปี๊ยกไม่รู้จะด่ามันยังไงแล้ว”
“แปลกตรงไหน มึงไม่เคยขี้เกียจรึไง”
“หึ มันไม่ใช่แค่ขี้เกียจสิพี่”
คนที่ทำหน้าเหมือนภูมิใจเสียเต็มประดาที่ได้รับรู้เรื่องราวของคนอื่นสะดุ้งเฮือก เมื่อบอยที่นั่งนิ่งมานานหันมามองดุๆประมานว่า ‘ถ้ามึงไม่เล่าสักทีกูเล่นมึงแน่’ อีกฝ่ายจึงตัดสินใจเดินถอยหลังออกไปเล็กน้อยแล้วเล่าต่อ
“ก็...ช่วงนี้มีคนมารับมาส่งมันพี่ ตามประกบตลอดไม่ยอมปล่อยให้ไอ้ปูนมันไปไหนเลย แล้วผมก็เคยเห็นไอ้คนที่ตามรับตามส่งปูนเนี่ย เคยไปนั่งเฝ้าไอ้ปูนที่มหาลัยผมด้วย”
“ตกลงมึงจะมานั่งเล่าชีวิตรักมันให้กูฟังใช่ไหม ถ้าใช่ก็ไสหัวกลับไปทำงานได้แล้ว กูรำคาญ”
“โห เดี๋ยวก่อนดิพี่ จะรีบไล่กันไปไหน โอเคๆ พี่อาจจะคิดว่าผมเอาเรื่องไร้สาระมาเล่าให้พี่ฟังนะเว้ย แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น”
คนปากมากวางกระดาษจดออเดอร์ที่ถือไว้ลงบนโต๊ะ ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้แล้วกระซิบบอกความจริงบางอย่างที่เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่อง
“ผมก็ไม่อะไรหรอกนะถ้าผัวไอ้ปูนมันเป็นคนปกติ แต่นี่แม่งล่อเอาผู้ชายอายุคราวพ่อมาทำผัว พี่ไม่คิดว่ามันน่าขนลุกบ้างรึไง”
บอยฟังแล้วแต่ก็ไม่กระโตกกระตาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน คนแก่งั้นหรอ...คนที่รับส่งปูนไม่ใช่รัตติกาลรึไง
“เขาเป็นญาติไอ้ปูนรึเปล่า”
“ไม่รู้สิพี่ แต่ผมว่าคนเป็นญาติกันเขาคงไม่ออกนอกหน้าขนาดนี้มั้ง ตามเฝ้าเช้าถึงเย็นถึง ทั้งที่มหาลัยแล้วก็ที่ทำงาน หึ ที่เตียงก็คงเหมือนกันมั้ง”
เด็กเสิร์ฟคนนั้นพยักเพยิดหน้าไปยังบาร์อีกฝั่งที่ปูนเดินออกมาทำงานพอดี ถึงจะมองดูอยู่ห่างๆแต่บอยก็สังเกตเห็นว่าปูนนั้นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มขี้เล่นที่เคยมีให้แขกเสมอหายไป ดวงตาซุกซนนั่นก็ด้วย
“พี่คอยดูนะ อีกไม่ถึงสิบนาทีมาแน่ๆ”
ไม่ต้องรอให้บอยถามว่ามันหมายถึงอะไร เพราะยังไม่ทันถึงสิบนาทีที่ว่าก็มีผู้ชายที่ดูแล้วอายุน่าจะอยู่ราวๆสี่สิบปีเดินเข้ามานั่งตรงบาร์ใกล้กับที่ปูนยืนอยู่ ร่างเล็กหันไปมองทางนั้นเพียงครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาสนใจงานของตัวเองต่อ แต่ถึงอย่างนั้นบอยก็ยังสังเกตเห็นความประหม่าของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบาร์เทนเดอร์ที่ไม่เคยพลาด...นี่มันอะไรกัน
“ก็เพราะแบบนี้แหละพี่ ตอนนี้ทั้งที่นี่แล้วก็ที่มหาลัยเขาเลยลือกันสนุกปากว่าไอ้ปูนมีเสี่ยเลี้ยง ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรก็เถอะเพื่อนผมบางคนมันก็ทำกัน แต่ก็อย่างว่าล่ะเนอะ...”
แม้จะแสร้งทำเสียงว่าเห็นใจแต่สีหน้าที่แสดงออกมานั้นไม่มีความจริงใจเลยสักนิด บอยเลิกให้ความสนใจคนปากมากนั่นแล้วหันมานั่งมองความเป็นไปของคนทั้งคู่ที่สร้างไม่สบายใจให้เขาพอสมควร มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ...
“ปูน”
บอยอาศัยสิทธิพิเศษเข้ามาหลังร้าน แน่นอนว่าที่นี่คงเป็นสถานที่เดียวที่เขาจะได้คุยกับเด็กหนุ่มรุ่นน้องโดยไม่มีคนคนนั้นตามเฝ้า ใช่ เฝ้าจริงๆ เพราะตั้งแต่สามทุ่มยันตีหนึ่ง หมอนั่นก็เอาแต่นั่งมองหน้าปูนไม่ยอมไปไหน
“อ่า พี่บอย...หวัดดีพี่”
ปูนทักบอยด้วยท่าทางที่แสนจะปกติ หากแต่ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มที่เดินตามหลังร่างเล็กมากลับเห็นบางอย่างในขณะที่ปูนกำลังปลดกระดุมที่แขนเสื้อลง
“เอาแขนมานี่”
“ครับ?”
“เอาแขนมาให้กูดู”
บอยยื่นมือไปหมายจะจับแขนของปูนมาดูเอง แต่ปูนกลับปัดมันออกอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันเป็นปฏิกริยาที่เกิดขึ้นกับร่างกายไม่ใช่การปฏิเสธ
“ผะ ผม ขอโทษ...”
“แขนมึงไปโดนอะไรมา”
“...”
“มึงจะบอกกูดีๆ หรือจะให้กูออกไปถามไอ้เหี้ยที่นั่งอยู่ตรงบาร์นั่น”
ปูนรู้อยู่แล้วว่าบอยเป็นคนฉลาด(ยกเว้นบางเรื่อง) แต่เขาก็ไม่เคยนึกเกลียดความฉลาดของบอยได้เท่ากับวันนี้ ร่างเล็กพยายามเบี่ยงตัวหนีแต่ก็ถูกจับให้กลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“มันเป็นใครวะ ทำไมมึงปล่อยให้มันมาทำกับมึงแบบนี้ นี่ถ้าไอ้ปากมากนั่นไม่เสนอหน้ามาบอกกู กูคงไม่มีวันรู้ใช่ไหมว่าน้องตัวเองกำลังเจอกับอะไร!”
“ผมไม่ได้เป็นอะไร”
“แน่ใจหรอที่พูดมา งั้นไปหาตำรวจกันดูสิว่าทีนี้จะเป็นอะไรไหม”
บอยผละตัวออกเตรียมจะเดินไปทางประตูหลังแต่ร่างสูงใหญ่นั้นกลับถูกปูนที่ตัวเล็กกว่าเกือบครึ่งรั้งไว้ด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความอึดอัดใจ
“อย่าพี่...ผมขอร้องล่ะ”
“มึงจะโง่ปกป้องมันทำไมวะ หรือว่ามันเป็นแฟนมึงจริงๆ”
“ผมไม่ได้อยากปกป้องเขาพี่ แต่ว่า...เขาเป็นลุงผม”
“...!!”
ปูนเค้นยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของบอย แน่ล่ะจะตกใจก็คงไม่แปลกเพราะถึงไม่นับเรื่องทำร้ายร่างกาย ผู้ชายคนนั้นก็ดูไม่เหมือนลุงของเขาอยู่ดี
“เขาเป็นญาติมึง แล้วทำไม...”
“สิ่งที่พี่ถามผม ผมเองก็อยากถามเขาเหมือนกัน แต่ก็นะ...ถามไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา”
“ได้สิ มึงจะได้จบเรื่องบ้าๆนี่ไง! เป็นลุงแล้วยังไงวะ เป็นลุงแล้วจะทำยังไงกับหลานตัวเองก็ได้งั้นหรอ!!”
ปูนพยายามลูบแขนปลอบอีกฝ่ายให้ใจเย็นลงทั้งๆที่ตัวเขาเองเริ่มน้ำตาคลอออกมา เพราะสิ่งที่บอยพูดนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ปูนเฝ้าถามตัวเองอยู่ทุกๆวันว่าสิ่งที่เขาต้องเจอทุกวันนี้มันคืออะไร
“ผมไม่แคร์เขาหรอก ผมไม่อยากสนใจอีกแล้วว่าเขาเคยเป็นใครหรือเคยให้อะไรกับผมมาบ้าง แต่กับปิ่น...มันไม่ใช่”
แค่คิดถึงใบหน้าของน้องสาวขึ้นมา ปูนก็ทนไม่ได้...เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องกับฤทธิชาติวันนั้นวิทยาก็ตามติดชีวิตเขาจนแทบไม่มีเวลากลับไปเลี้ยงดูครอบครัว ตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับตาไม่มีตอนไหนเลยที่ปูนสามารถใช้ชีวิตของตัวเองได้โดยที่ผู้ชายคนนั้นไม่รับรู้...ไม่ใช่แค่การตามรับตามส่ง แต่มันคือการคุกคามที่ปูนเริ่มไม่เข้าใจแล้วว่าลุงของตัวเองทำมันไปเพื่ออะไร
“ถึงจะบอกว่าเกลียดที่มึงเป็นเกย์ก็เถอะ แต่ทำแบบนี้มันเกินไป”
“ผมรู้...แต่ตอนนี้ผมยังทำอะไรไม่ได้”
“แล้วมึงจะรอถึงตอนไหนล่ะวะ มึงดูตัวเองบ้างสิปูน!”
“ไม่เป็นไรพี่ เพราะเดี๋ยวพี่กาลก็จะกลับมาแล้ว”
“...??”
“ถ้าพี่กาลกลับมาเขาต้องช่วยผมได้แน่ๆ พี่กาลเขาเก่งจะได้...เขาต้องพาผมออกไปจากที่นี่ได้แน่ๆเลยพี่”
ปูนพูดแล้วยิ้มออกมาแต่ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าที่สุดเท่าที่บอยเคยเห็น แม้ริมฝีปากจะแย้มสวยหากแต่ดวงตากลับเศร้ามองและหมดหวังจนบอยอยากถามให้ปูนได้ตระหนักถึงความจริง
แน่ใจหรอว่าเขาจะมาช่วย...
“ผมต้องไปแล้วนะพี่ ถึงเวลาแล้ว ถ้าผมออกไปช้าเดี๋ยวจะโดนเขาตีอีก”
“แต่นี่เพิ่งตีหนึ่ง มึงเลิกงานตีสองไม่ใช่รึไง”
“อืม...แต่ถ้าผมกลับช้ากว่านี้ เขาจะให้ผมลาออก ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงทนต่อไปไม่ได้แน่ๆ”
ปูนรู้ว่าทุกวันนี้ผู้คนมองเขาด้วยสายตาแบบไหน รวมไปถึงซุ่มเสียงนินทาที่ต่อให้พยายามหลับหูหลับตาเท่าไหร่เขาก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน จนจากที่เคยไม่คุยกับใครอยู่แล้วยิ่งไม่คุยหนักเข้าไปอีก ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่มีใครอยากคุยกับเขาอีกแล้วล่ะมั้ง แม้ว่าบางคนจะไม่ได้เห็นด้วยกับการที่จะหยิบเรื่องของเขามาพูดคุยกันอย่างสนุกปาก แต่นั่นไม่ได้รวมถึงการยอมมาเป็นเป้าร่วมเพื่อให้ตัวเองถูกคนอื่นนินทาไปด้วย ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของปูนกลับกลายเป็นเรื่องยาก จนบางครั้งร่างเล็กก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองคงไม่มีความจำเป็นกับสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นทางเดียวที่จะทำให้เขาไม่ต้องคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ได้ก็คือการทำงาน ซึ่งปูนจะไม่ยอมให้มันจบลงเด็ดขาด
“สรุปกูขอให้มึงเลิกทนไม่ได้ใช่ไหม”
“ผมก็ไม่ได้อยากทนอะไร แต่ไม่เป็นไรหรอกพี่...เดี๋ยวพี่กาลก็กลับมา”
ทั้งๆที่พูดออกไปอย่างมั่นใจแท้ๆ สุดท้ายแล้วปูนกลับต้องมานอนมองเพดานโดยที่ในมือมีโทรศัพท์ที่กำลังต่อสายไปหาเบอร์ที่ติดต่อไม่ได้มาเป็นอาทิตย์แล้ว เขากดมันซ้ำๆ กดมันจนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ดื้อดึงงั้นหรอ ไม่สิ...เรียกว่างมงายซะยังจะตรงกว่า
งมงายว่ารัตติกาลจะยังกลับมา
ทั้งๆที่ในความจริงเขาแทบจะลืมกลิ่นของรัตติกาลไปแล้วด้วยซ้ำ...
ร่างเล็กกระพริบตาถี่ๆเพื่อไล่หยดน้ำที่ไหลคลอ เขาลุกขึ้นนั่งแล้วเดินออกไปด้านนอกเพื่อหายาพาราและน้ำดื่มเพื่อให้ค่ำคืนที่ยาวนานนี้จะได้จบลงไปเสียที แต่แล้วในจังหวะที่ปูนกำลังเดินถือขวดน้ำกลับเข้าไปในห้องนอน แสงไฟสีส้มอ่อนและเสียงบางอย่างที่ดังลอดออกมาจากห้องน้ำก็ทำให้ปูนหยุดมองมันสักครู่ก่อนจะเดินผ่านไปราวกับว่าเขาไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
“เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะมารับ อย่าหายหัวไปไหนล่ะ”
วิทยาบอกกับปูนขณะที่กำลังจอดรถอยู่หลังคณะตามที่หลานชายพูดขอไว้ แม้จะพอทำเป็นหูทวนลมได้บ้าง แต่ปูนก็ไม่อยากเติมเชื้อๆไฟลงไปให้กระแสหนักอยู่แล้วถูกโหมให้แรงไปมากกว่านี้
“ไม่ต้องเตือนผมหรอกครับ ต่อให้ผมไม่อยู่รอลุงก็คงตามตัวผมได้อยู่ดี”
ค่าตอบแทนของคำพูดประชดประชันนี้คือแรงกระแทกที่หัวซึ่งเล่นเอาซะปูนมึนไปหมด ร่างเล็กก่นด่าตัวเองที่พลาดเผลอพูดยั่วโทสะอีกฝ่ายไป แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าที่คนตัวเล็กแสดงออกออกมากลับไม่มีความสำนึกอยู่ในนั้น
“เดี๋ยวนี้หัดปีกล้าขาแข็งกับกูหรอ”
“ก็...คงงั้นมั้งครับ”
“ปูน!!”
“ครับๆ ผมรู้ครับว่าผมชื่อปูน ได้ยินแล้ว...เมื่อคืนก็ได้ยิน”
“...!!”
“หึ ผมไปล่ะ”
ปูนฉีกยิ้มให้คนเป็นลุงอีกครั้งก่อนที่จะรีบเดินลงไปจากรถก่อนที่ตัวเองจะโดนตบจนแหกหน้าไปเรียนไม่ได้ เขาเห็นลุงของตัวเองเคี้ยวฟันอย่างแค้นใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขับรถออกไปทั้งที่ยังโมโห ปูนยิ้มออกมาอย่างมีชัยแต่ดูเหมือนสวรรค์จะใจร้ายไม่ปล่อยให้เขามีความสุขกับการแก้แค้นเล็กๆน้อยๆมากนัก เพราะเมื่อทันทีที่หันหลังเตรียมจะเดินเข้าไปในตึกเรียนปูนก็พบเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่เขาเพิ่งจำชื่อของอีกฝ่ายได้เมื่อไม่นานมานี้
คนชื่อแมนมองปูนด้วยสายตาอึ้งๆ ก่อนจะตรงเข้ามาจับหัวของร่างเล็กที่ถูกชายสูงวัยคนนั้นตบเข้าอย่างจังจนคนมองรู้สึกเจ็บแทน หากแต่แทนที่ปูนจะยิ้มรับน้ำใจนั้น เขากลับปัดมือของอีกฝ่ายออกไปด้วยสีหน้าเฉยชา
“ปูน...มันเกิดอะไรขึ้น”
“อย่ามายุ่ง”
“ปูน แต่เขาทำปูนนะ!”
“กูบอกว่าอย่าเสือกไง!!”
“...!!”
“หุบปากมึงไว้ให้สนิท ถ้ามีคนอื่นรู้เรื่องมึงโดนแน่”
ปูนรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำมันแย่ แต่ความรู้สึกกลัวกับเรื่องที่อาจจะมาถึงทำให้ปูนเริ่มขาดสติ มันจะไม่เป็นไรถ้าหากเมื่อสองวันก่อนปิ่นไม่ได้โทรมาหาแล้วบอกเขาว่าสามารถสอบติดคณะเดียวกันได้
ถ้าหากว่าเรื่องของลุงแดงออกไป...ปิ่นต้องแย่แน่ๆ
“ทำไมปูนพูดแบบนี้ เราหวังดีกับปูนนะ!”
“ไม่ต้องหวังดีกับกูหรอก พวกมึงกับเพื่อนก็ดีแต่พูดลับหลังคนอื่น”
แมนเริ่มคิ้วกระตุก จริงอยู่ที่เขาแอบเชื่อข่าวลือพวกนั้นบ้างแต่ความรู้สึกดีๆที่มีให้ปูนมาตลอดก็ทำให้แมนไม่เคยนำเรื่องของปูนไปพูดต่อเหมือนที่คนอื่นทำ โดยเฉพาะก้อยซึ่งเป็นตัวหลักที่คอยตีข่าวขึ้นมาใหม่ทุกครั้งที่เรื่องเงียบ ทั้งๆที่ในมหาวิทยาลัยนี้ไม่ได้มีปูนคนเดียวที่ทำมัน...
“เราไม่เคยทำอย่างที่ปูนว่า...เราชอบปูนนะ เราไม่มีทางทำร้ายปูนหรอก”
น่าเสียดายที่คำสารภาพรักจากแมนไม่ได้ทำให้ปูนรู้สึกดีขึ้นเลย ปูนจึงทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินมัน แล้วเดินจากไปพร้อมกับหัวใจของชายคนหนึ่งที่ถูกเหยียบย้ำจนติดปลายเท้า แมนที่ทั้งเสียใจและเสียหน้าได้แต่ยืนกำหมัดของตนจนแน่นแล้ว สลักภาพความเฉยชาของปูนไว้ในใจ...ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง มีคนบางคนกำลังยืนยิ้มอย่างยินดี
บ่ายวันนั้นปูนอยู่รอให้ลุงมารับตามที่บอก ไม่ได้เต็มใจหรอกแต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปที่ไหน แม้จะไม่ใช่คนมีอิทธิพลอะไรแต่ด้วยหน้าที่การงานทำให้ลุงวิทย์เป็นที่รู้จักพอสมควร และนั่นก็คงเป็นสาเหตุที่ชายคนนั้นทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการได้
“วันนี้ลุงกลับไปก่อนนะครับ เลิกงานแล้วค่อยมารับผมก็ได้”
“ทำไม แกจะไปไหน”
“ไม่ได้ไป ผมแค่กลัวว่าลุงจะเบื่อ อีกอย่างเดือนหน้าต้องจ่ายค่าเทอมให้ปิ่นแล้วไม่ใช่หรอเอาเงินมาเทที่บาร์แบบนี้ไม่ดีมั้งครับ”
“หึ อย่ามาทำอ้างเป็นห่วงน้องหน่อยเลย ผัวแกกลับมาแล้วล่ะสิ เจ้ารัตติกาลอะไรนั่น”
“ยังหรอกครับ แต่ถ้าเขากลับมา...ผมจะบอกลุงเป็นคนแรกเลย”
พร้อมกับการตัดขาดของเราน่ะนะ...ปูนกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เพราะถ้าหากเขาอยากจะไปจากบ้านหลังนี้ก็ต้องมีรัตติกาลเป็นสาเหตุเท่านั้น...ปิ่นรู้เรื่องของพี่กาล ถ้าหากเขาจากไปเพราะคนรักน้องสาวคนนี้จะต้องรู้สึกยินดีกับเขาแน่ๆแต่ที่สำคัญที่สุด...คือปิ่นจะไม่มีวันรู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นคนแบบไหน ทุกคนจะมีความสุข...นั่นคือสิ่งที่ปูนหวัง
แต่วิทยาก็ไม่เคยฟังใครมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สุดท้ายที่นั่งตัวริมสุดของบาร์ก็มีร่างของชายสูงวัยคนเดิมจับจองอยู่เหมือนกับทุกๆครั้ง ปูนถอนหายใจออกมาเซ็งๆ ก่อนจะรินค็อกเทลตัวใหม่ลงไปในแก้วแล้วส่งมันให้กับบอยที่แวะมาหาก่อนจะกลับไปทำงานที่บางแสนในวันพรุ่งนี้
“เมื่อวานมันทำอะไรมึงรึเปล่า”
“เปล่า แต่เมื่อเช้าโดนตบหัวมานิดหน่อย”
“หรอ แล้วฉลาดขึ้นบ้างไหมโดนตบมาขนาดนั้น”
“อย่ากวนดิพี่ กินแล้วกลับๆไปได้แล้วไป”
ถึงจะเซ็งคำพูดของบอยอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าร่างใหญ่สามารถคลายเครียดให้ปูนได้มากพอสมควรแม้จะแลกกับการที่ต้องถูกจ้องมองแทบจะตลอดเวลา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีม่วงอ่อนๆมีรสหวานหอมสร้างความพอใจให้บอยไม่น้อย จนชายหนุ่มที่อยากช่วยรุ่นน้องเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเอ่ยปาก
“ปูน...ไปทำงานกับกูไหมล่ะ ที่บางแสน”
“หื้ม?”
“โรงแรมกูกำลังต้องการบาร์เทนเดอร์ใหม่พอดี มึงมีฝีมือ รางวัลก็เคยได้คงไปเอาดีที่นั่นได้ไม่ยาก”
“ฮ่าๆ จะบ้าหรอพี่แล้วเรื่องเรียนผมล่ะ”
“อืม ก็นั่นสินะ...”
ข้อเสนอของบอยน่าสนใจแต่มันก็เป็นได้แค่ฝัน แม้ว่าเรื่องที่รัตติกาลจะกลับมาช่วยจะไม่ต่างจากฝันเหมือนกัน แต่นั่นเป็นฝันที่ปูนอยากจะเชื่อมากกว่าการออกไปเผชิญโลกกว้างโดยไม่มีใครอุ้มชู เมื่อปูนปฏิเสธบอยก็ชวนเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้รุ่นน้องเครียดมากเกินไป จนกระทั่งเวลาเดินเลยมาเกือบเที่ยงคืน ก็มีคนคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งตรงเก้าอี้ที่บาร์ซึ่งว่างอยู่
“ไงปูน เจอกันอีกแล้วนะ”
ปูนหันมามองตามเสียงทัก ก่อนจะเห็นว่าแขกคนใหม่คือชายที่เขาเพิ่งปฏิเสธความรักของอีกฝ่ายไปเมื่อเช้า
“อืม”
“แค่อืมเองหรอ เราอุตส่าห์มาทักนะ”
“สวัสดี แค่นี้พอใจรึยัง”
แมนยิ้มออกมากว้างจนปูนนึกแปลกใจในอาการของอีกฝ่าย ถ้าเป็นเขาโดนหักหน้าขนาดนั้นคงขยาดไม่เข้ามาใกล้แล้ว แต่นี่อะไร ไม่ด่าแถมยังมายิ้มให้อีก
“ขอเตกีล่าแก้วหนึ่งนะ ปูนทำให้เราได้ไหม”
“ถ้าคุณมาในฐานะลูกค้า สั่งอะไรผมก็ทำให้”
“อืม เรามาในฐานะลูกค้า...ปูนไม่ต้องห่วงหรอก”
บอยหันไปมองแมนนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นเดียวกับปูนที่ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง ร่างเล็กจัดการเตรียมเตกีล่าในแบบของตัวเองโดยใช้เวลาไม่นานนัก แมนมองเครื่องดื่มสีอำพันอ่อนๆที่ถูกเสิร์ฟมาในแก้วที่ปากของมันมีเกลือและมะนาวซีกเล็กประดับอยู่
“เยี่ยมเลย ปูนนี่เด็ดสมกับคำร่ำลือจริงๆ”
“เหล้ามันก็คือเหล้า คนไหนทำมันก็เหมือนกันแหละน่า”
“ฮ่าๆ ไม่เหมือนหรอก จะไปเหมือนกันได้ยังไง”
ในจังหวะที่ปูนกำลังทำหน้าเหม็นเบื่อ สายตาของแมนก็เหลือบมองไปยังชายที่เขาเห็นว่าอยู่กับปูนในรถเมื่อเช้า ฝ่ายนั้นกำลังจ้องมาทางนี้ด้วยสายตาที่ต่อให้ไม่พูดผู้ชายด้วยกันก็คงดูออก...หึ
“ว่าแต่ปูนทำงานแบบนี้สนุกไหม”
“คุณจะอยากรู้ไปทำไม”
“ก็เผื่อเราจะแนะนำเพื่อนให้มาใช้บริการปูนบ้าง”
“...?”
“ครั้งก่อนเรายังติดใจไม่หายเลยนะ ขนาดว่าไม่เคยกับผู้ชายแท้ๆเจอปูนไปครั้งเดียวเราลืมไม่ลงเลยจริงๆ ว่าแต่คืนนี้ว่างรึเปล่าล่ะปูน..ขายให้เราได้ไหม”
ปูนไม่นึกว่าสวรรค์จะเกลียดชังเขาได้ขนาดนี้ เพราะในจังหวะที่แมนพูดเรื่องเหลวไหลขึ้นมาเสียงดนตรีที่เปิดคลออยู่ตลอดคืนกลับทิ้งช่วงจนทำให้คนในร้านที่นั่งอยู่ใกล้ๆสามารถได้ยินมันหมดทุกคำชนิดที่ไม่ต้องพูดซ้ำ ปูนได้แต่ยืนนิ่ง ความโกรธมันระเบิดอยู่ในอกแต่กลับเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นตรึงเขาไว้ไม่ให้ขยับไปไหนแม้แต่บอยก็เช่นกัน
“ว่าไงปูน เห็นแก่เราหน่อยอย่าปฏิเสธเราเลยนะ ทีตอนปูนเดือดร้อนเรายังเคยช่วยปูนเลยไม่ใช่หรอ...อย่าลืมสิ ว่าลูกค้าคนแรกของปูนก็คือเรานะ”
“ไอ้เด็กเหี้ย มึงยุ่งกับคนของกูหรอ!!!”
ไวกว่าที่ใครจะตั้งตัวทัน หมัดของวิทยาที่ไร้สติต่อยเข้าไปเต็มหน้าของคนที่อายุน้อยกว่าตัวเองหลายรอบ แต่แมนก็เร็วไม่แพ้กัน ไม่สิ มันเหมือนกับว่าแมนรอคอยสิ่งนี้อยู่แล้วจึงถีบเข้ากลางลำตัวของคนที่เพิ่งทำร้ายตัวเองจนลูกค้าที่อยู่โดยรอบกรีดร้องไปทั่ว
“ปล่อยกู ปล่อยสิวะ!!”
“พวกมึงไม่ต้องห้ามมัน เข้ามาเลยไอ้แก่!!”
สองฝ่ายต่างฟาดฟันกันไปมา ไม่ได้ทางร่างกายก็ใช้วาจาจนพนักงานที่เข้ามาช่วยกันห้ามปวดหัวไปหมด โดยเฉพาะกับคนที่ได้ยินสิ่งที่แมนพูดซึ่งต่างหันก็มามองปูนอย่างคาดโทษในขณะที่ร่างเล็กเหมือนกับสติหลุดไปแล้ว
“ปูน ปูน ไอ้ปูน!!”
บอยเข้ามาเขย่าไหล่ปูนเมื่อเห็นว่าดวงตาไร้แววนั้นนิ่งค้าง เขาไม่เชื่อในสิ่งที่แมนพูดหรอกแต่ก็ไม่อาจแก้ต่างแทนใครได้เหมือนกัน ตอนนี้สิ่งเดียวที่บอยทำได้คือการพาปูนกลับเข้าไปด้านในแล้วเรียกตำรวจมา
“พี่...พี่บอย”
“เข้าไปข้างใน เดี๋ยวตรงนี้กูจัดการเอง”
“ไม่ได้ พี่จะเรียกตำรวจใช่ไหม ใช่ไหมพี่!”
“เราไม่มีทางเลือกว่ะ คนอื่นจะเอาไม่อยู่แล้ว”
ปูนมองไปยังผู้ชายสองคนที่กัดกันยิ่งกว่าหมา ต่างฝ่ายต่างพ่นถ้อยคำแสดงความเป็นเจ้าของปูนกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งที่ความจริงแล้สมันมีแต่คำโกหก...คำโกหกที่คนมากมายอยากให้มันเป็นความจริง ทั้งแขกที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิป คนที่ซุบซิบกันอย่างสนุกปากทั้งที่มันคือชีวิตของเขา...อนาคตของเขา...คนพวกนี้ไม่ได้มองเห็นมันเลย
“ผมจะปล่อยให้ปิ่นเจอเรื่องแบบเดียวกันไม่ได้ ถ้าเรื่องถึงตำรวจ น้องต้องรู้แน่ๆ...อย่าแจ้งตำรวจเลยนะพี่ ผมขอร้อง จะให้ผมกราบก็ได้”
ปูนเริ่มร้องไห้ออกมาเมื่อสิ่งที่เขากลัวที่สุดเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโดยไม่มีแม้แต่ทางให้เขาถอยหนี ร่างเล็กยกมือไหว้ท่วมหัว ขอร้องให้บอยเห็นใจแล้วล้มเลิกความคิดนั้นซะ...ขอแค่ปิ่นเท่านั้น...ขอแค่ชีวิตปิ่นไม่ต้องมาพังเพราะคนอย่างเขา
“ไอ้ปูนเอามือลง ไหว้กูทำไม!”
“ผมขอร้องล่ะพี่ ฮึก ขอร้องล่ะ”
“มึงนี่มัน...เออๆ กูไม่แจ้งตำรวจก็ได้ แต่มึงเข้าไปข้างในก่อนได้ยินไหมถ้ามึงยังอยู่ตรงนี้ไอ้สองตัวนั้นไม่หยุดแน่”
“แต่...”
“กูบอกให้เข้าไปไง ไป!!”
ปูนไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งเร็วแค่ไหน เขารู้แค่ว่าลำคอของตัวเองแห้งผากเพราะขาดน้ำ ในขณะที่ใบหน้ากลับเปียกชื้นด้วยรอยน้ำตา ผู้คนต่างมองมาที่ปูนด้วยความตกใจ แต่ปูนก็ไม่สนใจใครอีกแล้ว เขารู้แค่ว่าตัวเองจะต้องวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่งไปให้ไกล...ไปให้พ้นจากเรื่องบัดซบนี่ซะ
“พี่กาล พี่กาล ฮึก พี่กาลอยู่ไหน”
ปูนร่ำร้องหารัตติกาล เขาพยายามไขว่คว้าหาคนที่ตัวรัก หากแต่เสียงที่ตอบกลับมากลับมีเพียงแต่ความว่างเปล่าที่บาดลึกเข้าไปกลางหัวใจ ปูนรู้สึกถึงความรวดร้าว ตัวตนของเขากำลังแตกสลาย เขาทำผิดอะไร เขาทำพลาดไปตรงไหน ทำไมกัน...ทำไมต้องเป็นเขาที่เจอเรื่องแบบนี้
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยผมที”
“...”
“ผมหายใจต่อไปไม่ไหวแล้ว”
(มีต่อเม้นต์ล่าง)