บอยหลบมาพักในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าขณะปล่อยให้พนักงานคนอื่นทำงานต่อไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ ชายหนุ่มเจ้าของร่างกายสูงใหญ่ปลดเนคไทที่รัดแน่นตรงคอออกเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่เป็นเก้าอี้ประจำตำแหน่งของเขากลายๆเพราะไม่มีใครกล้ามาใช้(นอกจากปูน) พร้อมกับหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเช็คเหมือนกับทุกครั้ง
‘ปล่อยให้เด็กน้อยมันมาเจอผมแบบนี้จะดีหรอ…’
เขาขมวดคิ้วให้กับข้อความที่ขึ้นให้เห็นบางส่วนก่อนจะเปิดเข้าไปอ่านมันพร้อมกับเปิดดูภาพที่ปูนส่งมาให้พร้อมๆกันนั้น
ภาพของพลัสที่กำลังชำเลืองมายังกล้อง
หรือถ้าพูดให้ถูกควรจะเป็นคนถือกล้องมากกว่า...
บอยเผลอกำโทรศัพท์ในมือแน่นพร้อมกับอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นอยู่ข้างใน ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มให้กับบรรดาแขกมากมายเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนไว้บนพนังก็เห็นว่าอีกตั้งสามชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาที่เขาสามารถทิ้งงานไปได้ ชายหนุ่มมองโทรศัพท์ของตัวเองอย่างชั่งใจ แต่พอคิดถึงใบหน้าของคนที่ชอบมองไปยังทิศตรงกันข้ามกับเขาเสมอก็ทำให้บอยตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
“ไอ้อ๊อฟมาเฝ้าบาร์แทนกูหน่อย”
บอยเดินเข้าไปคุยกับเพื่อนที่รับผิดชอบงานคล้ายๆกันซึ่งกำลังพักผ่อนอยู่ในส่วนของออฟฟิศที่เหลือพนักงานประจำอยู่เพียงไม่กี่คน
“ก็ได้อยู่ มีธุระด่วนหรอวะ”
“อืม...แมวหนีออกจากบ้าน”
“ห๊ะ? แมว? มึงเลี้ยงแมวตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“...นานแล้ว”
“...”
“แต่แม่งไม่เคยเชื่องกับกูสักที”
ร่างใหญ่เดินออกไปจากห้องโดยไม่รอฟังคำตอบ เขาหยิบเอากุญแจรถบิ๊กไบค์คันใหญ่ของตนออกมาพร้อมกับสัมภาระอีกแค่เล็กน้อยก่อนจะตรงดิ่งไปยังลานจอดรถที่มียามแอบงีบอยู่ เขาจัดการเสียบกุญแจแล้วบิดคันเร่งออกไปจนเกิดเสียงดังสนั่นไม่ต่างจากความร้อนรุ่มในใจที่ทำยังไงก็ไม่สงบลงสักที
‘ขับไปตามเส้นทางข้างหน้า อีก200เมตรเลี้ยวขวาค่ะ’
บอยเลี้ยวรถตามคำบอกที่ดังมาจากจากหูฟังบลูทูธที่กำลังเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของเขาโดยไม่มีความลังเลใจ ชายหนุ่มรู้สึกขอบคุณในความรอบคอบของตัวเอง ที่เคยแอบสังเกตและจำไอดีรวมถึงรหัสผ่านโทรศัพท์ราคาแพงของพลัสได้ ทำให้บอยสามารถติดตามตำแหน่งของเด็กคนนั้นได้ผ่านทางตำแหน่งGPSในยามคับขันเหมือนอย่างตอนนี้
‘อีก500เมตรเลี้ยวขวาจะถึงจุดหมายค่ะ’
บอยถอดหูฟังออกก่อนจะเร่งเครื่องขึ้นอีกถ้ามันทำให้เขาไปถึงที่ที่พลัสอยู่เร็วขึ้นอีกสักนิด พอใกล้กับจุดที่โทรศัพท์บอกร่างใหญ่ก็สังเกตเห็นเกสเฮ้าส์ขนาดเล็กที่มีเงาของคนสองคนยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูหน้า บอยดับเครื่องแล้วจอดรถไว้ค่อนข้างไกลเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตก่อนจะเดินเข้าไปข้างในจนกระทั่งเขาเห็นว่าหนึ่งในสองคนนั้นคือคนที่เขากำลังตามหา ส่วนอีกคนคือผู้หญิงที่เขาไม่คุ้นหน้าแต่มันก็ไม่สำคัญเท่ากับสาเหตุที่สองคนนั้นมาอยู่ที่นี่
“ขอบคุณนะพลัสที่มาส่งเรา”
ก้อยเอ่ยกับพลัสที่แยกจากเพื่อนทั้งสองคนเพื่อมาส่งเธอยังที่พักซึ่งอยู่ไม่ห่างจากตลาดที่พวกเขาเพิ่งไปเดินกันมา ร่างบางยิ้มน้อยๆตอบกลับไปโดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วมันมีสาเหตุอะไรที่ทำให้เขาต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้
“อื้ม ไม่เป็นไร ว่าแต่ก้อย...เราถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“หื้ม? อยากถามอะไรเราหรอ”
“ที่ก้อยพูดกับปูน...มันหมายความว่ายังไง”
“...”
“ที่บอกว่าปูนมีเรื่องผู้ชายจนโดนไล่ออกน่ะ...มันเกิดอะไรขึ้น”
ก้อยที่ดูงงๆในทีแรกก่อนจะค่อยๆมองพลัสอย่างพิจารณา เธอไม่รู้ว่าคนตรงหน้าและอดีตเพื่อนร่วมเซคที่เธอไม่ชอบขี้หน้าเป็นทุนเดิมมีความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกันยังไงแต่ดูเหมือนว่าทางนี้จะกระวนกระวายกับอดีตของปูนซะเหลือเกิน ก้อยจึงเลือกที่จะยกยิ้มบางๆแล้วยิงคำถามใส่พลัสแทน
“ก่อนจะตอบคำถามนั้น เราขอถามอะไรพลัสหน่อยสิ”
“...อืม”
“แกชอบปูนใช่ไหม”
คำถามนี้ไม่ได้บาดใจเฉพาะคนถูกถาม หากแต่คนที่กำลังแอบฟังก็รู้สึกเหมือนมรสุมในอกที่สงบลงเล็กน้อยเมื่อครู่ถูกกวนให้พัดโหมขึ้นอีกครั้ง
“เราเปล่า...”
“อย่าโกหกเลยน่า มันไม่ใช่เรื่องน่าอายสักหน่อย ใครๆเขาก็ชอบปูนกันทั้งนั้น...โดยเฉพาะพวกผู้ชาย”
รอยยิ้มสวยเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวเล็กๆ ก้อยเดินกลับไปทิ้งสะโพกนั่งลงตรงเบาะรถจักรยานยนต์คันเก่งของพลัสแล้วเริ่มพูดต่อ
“ความจริงมันก็เป็นแค่ข่าวลือ แกไม่จำเป็นต้องฟังเราก็ได้”
“ใช่มันไม่จำเป็น...แต่เราคิดว่าเราควรฟัง”
“...”
“ก้อยเอง ก็อยากจะเล่าอยู่แล้วใช่ไหม”
ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าผู้หญิงคนนี้มองปูนด้วยสายตาแบบไหน และดูเหมือนคำพูดของพลัสจะโดนใจของก้อยเข้าอย่างจัง หญิงสาวที่ฟังทีแรกแล้วอึ้งไปพอตั้งสติได้ก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังๆ
“ฮ่าๆๆๆ เห็นทำหน้าติ๋มๆแอบร้ายเหมือนกันนี่ ก็ได้ ดูเหมือนว่าถ้าเราบอกแกไป...คงจะมีอะไรน่าสนุกให้เราดู”
ก้อยก้าวลงมาจากรถแล้วสาวเท้าเข้าไปหาจนพลัสสามารถได้กลิ่นหอมๆจากผมสีน้ำตาลดัดเป็นลอนของเธอ
“ถึงเราเองจะไม่เห็นกับตา แต่ทั้งที่คณะแล้วก็ในมหาลัยเขาพูดกันให้ทั่ว ว่าเมื่อกลางปีที่แล้วมีเด็กไซด์ไลน์ที่เรียนอยู่มหาลัยเดียวกับเราทำให้ลูกค้าผู้ชายสองคนต่อยกันแย่งมันจนต้องเข้าโรงพยาบาลกันทั้งคู่ จนสุดท้ายเด็กไซด์ไลน์คนนั้นก็ถูกไล่ออกจากที่ทำงาน แถมยังทนพิษข่าวลือไม่ไหวจนไม่กล้าโผล่ไปเที่ยวหรือว่าไปหากินแถวนั้นอีก”
“...!!!”
“แต่เรื่องมันก็คงไม่น่าสนใจอะไร ถ้าไม่ใช่ว่าหนึ่งในผู้ชายสองคนนั้นอายุแก่คราวพ่อ ฮ่าๆ นึกภาพออกไหมล่ะ ว่าผู้ชายแก่ๆคนหนึ่งเอาตัวเองเข้าไปแลกกับเด็กผู้ชายรุ่นลูกแค่เพราะอยากจะเอามันนะ แค่คิดก็ขยะแขยงจะตายชัก”
“เธอจะบอกว่า...นั่นคือปูนงั้นหรอ”
“ไม่รู้สิ ก็บอกแล้วไงว่าเป็นแค่ข่าวลือ แกจะเชื่อไม่เชื่อก็ตามใจแก”
ก้อยทำเป็นว่าเธอไม่หยี่หระต่อการตัดสินใจของพลัสแต่ดวงตาแพรวพราวที่มองมานั้นกลับบอกในสิ่งที่ตรงกันข้าม
“มันก็แค่บังเอิญน่ะที่ร้านนั้นคือร้านที่ปูนมันทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ แล้วก็บังเอิญอีกที่เขาลือกันว่าเด็กไซด์ไลน์คนนั้นเรียนอยู่การจัดการเหมือนกับเรา แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่บังเอิญ...รู้ไหมว่ามันคืออะไร”
“...”
“เรื่องที่ไอ้ปูนมันขายตัวไง เรื่องนี้น่ะเขารู้กันไปทั่วนั่นแหละ”
หญิงสาวว่าก่อนจะตบบ่าของพลัสเบาๆแล้วหมุนตัวเดินกลับห้องของเธอไปราวกับว่าตะกอนขุ่นมัวที่เกิดขึ้นในหัวใจของพลัสไม่ได้เกิดจากฝีมือของเธอเลย บอยที่ได้ยินเรื่องทุกอย่างยืนมองดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปของร่างบาง มันทั้งผิดหวัง ไม่เข้าใจและเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นที่เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าพลัสกำลังแค้นใคร
ผู้ชายพวกนั้น...ปูน...หรือว่าตัวเขาเอง
.
.
.
.
.
.
.
ปูนไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาเท่าไหร่ในการกลับมาที่นี่ ทันทีที่เดินออกมาจากตรงนั้นปูนก็นั่งรถต่อไปเรื่อยๆจนมันวนไปยังหอพักของตัวเองที่ไม่ได้กลับมานาน เด็กหนุ่มเลือกลงจากรถไปเพื่อเข้าไปยืนอยู่ในห้องที่ว่างเปล่าเช่นเดียวกับหัวใจของเขา บนพื้นห้องมีฝุ่นเกาะหนาอย่างที่คิดแต่ถึงอย่างนั้นที่นี่กลับเป็นสถานที่เดียวที่ร่างเล็กเลือกที่จะพักกายลงแล้วปล่อยให้ความคิดที่ฟุ้งซ่านทำลายตัวเองอย่างช้าๆ
การที่ผู้หญิงคนนั้นพูดเรื่องที่เขาอยากจะลืมไปขึ้นมา
แสดงว่าที่เขาหนีมาที่นี่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยสินะ
ตื๊ดๆ ตื๊ดๆ ติ๊ดๆ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เสียงโทรศัพท์ของเขาดังวนอยู่อย่างนั้น ปูนอยากรู้ว่าใครคือคนที่โทรมาแต่อีกใจมันก็คอยบอกเขาว่าช่างมัน เขาอยากอยู่คนเดียว ไม่สิ ต่อให้มีใครอยู่ด้วยคนคนนั้นก็ช่วยเขาไม่ได้ ปัญหาที่เขาต้องแบกรับอยู่มันใหญ่เกินกว่าใครจะเข้าใจ เพราะแม้แต่เขา...ก็ยังไม่เข้าใจมันเลยสักนิดเดียว
ติ๊ง...
คราวนี้เป็นเสียงแจ้งเตือนไลน์ที่ดังขึ้นแต่มันกลับทำให้คนที่นั่งอมทุกข์อยู่นานยอมที่จะหันไปมองอย่างอื่นนอกจากมือที่กำกันแน่นของตัวเองได้
เพราะมีเพียงคนเดียวที่เขาตั้งค่าเปิดเสียงแจ้งเตือนไว้...
เสียงของป๋า...
‘อยู่ไหน ทำไมไม่รับโทรศัพท์’
เพียงแค่ข้อความสั้นๆกลับทำให้หยดน้ำตาที่เขาพยายามอดกลั้นไหวไหลลงมาจนหน้าจอที่ปรากฏสติ๊กเกอร์รูปหมีโมโหเปียกเป็นวง ปูนย้อนกลับไปดูประวัติสายที่ไม่ได้รับก็เห็นว่าคนที่พยายามโทรหาเขาอยู่นานสองนานกลับเป็นเบอร์ของคณิตโดยที่ต่อสายเข้ามาเกือบสิบครั้ง คนตัวเล็กยกโทรศัพท์มากอดไว้แนบอกราวกับว่าข้อความที่แสดงความฉุนเฉียวเล็กๆของคณิตสามารถรักษารูโหว่ในหัวใจของเขาได้ เขากอดมันอยู่อย่างนั้นจนโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งโดยที่ครั้งนี้ปูนตัดสินใจรับมันตั้งแต่ที่เสียงเรียกเข้าดังขึ้นเพียงไม่นาน
“อยู่ไหนเนี่ยปูน ทำไมไม่อยู่บ้าน”
“...”
“แล้วโทรไปตั้งหลายสายทำไมถึงเพิ่งรับ นึกว่าเป็นอะไรไปแล้วซะอีก ปูน ฮัลโหล ได้ยินไหมเนี่ยทำไมไม่พูด”
“ป๋า...”
ปูนรู้สึกว่าเสียงของตัวเองที่เอ่ยไปมันทั้งแหบและสั่นจนน่าขันแต่คนปลายสายกลับไม่หัวเราะเยาะเขาเลยสักนิด
“...เป็นอะไร ทำไมทำเสียงแบบนี้”
“ฮึก...ป๋า”
“เธออยู่ที่ไหนปูน”
“....”
“เดี๋ยวพี่ไปหา” ปูนกดแชร์โลเคชั่นให้คณิตขณะที่ตัวเองพาร่างที่เหนื่อยล้ามาล้มตัวลงนอนบนเตียงที่ถึงแม้จะนุ่มเหมือนกันแต่มันกลับไม่อบอุ่นและน่านอนเอาซะเลยเมื่อเทียบกับที่นอนที่มีใครสักคนนอนอยู่เคียงข้าง น้ำตาของปูนหยุดไหลแล้ว เพียงแต่ความสับสนและความรู้สึกแย่ก็ยังคงบีบรัดหัวใจจนเขาต้องหลับตาลงเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองจนกว่าคณิตจะมาถึง
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เปลือกตาที่เคยแสบร้อนกลับกลายเป็นหนักอึ้งจนปูนแทบจะประคองสติของตัวเองไว้ไม่อยู่ ในขณะที่ปูนเกือบจะเผลอหลับไปประตูห้องพักที่ไม่ถูกล็อคก็เปิดออก เตียงนอนหลังเล็กที่แค่ปูนคนเดียวก็จับจองจนเกือบเต็มค่อยๆยุบตัวลงเมื่อร่างที่ใหญ่กว่าเขามากของชายที่ปูนกำลังรอคอยกำลังก้มตัวลงมาใกล้ ทั้งน้ำหนักและความอบอุ่นที่เพิ่มขึ้นมาทำให้ปูนหันมาหาแล้วแทรกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของคณิตแทบจะทันทีที่รู้สึกตัว ชายหนุ่มมองคนที่ทำให้เขานึกเป็นห่วงมากมายแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก
อย่างน้อยก็หยุดร้องไห้ไปแล้ว...
“เป็นอะไร...เล่าให้ฟังหน่อย”
คณิตลูบเปลือกตาของปูนเบาๆ เมื่อเห็นว่ามันปูดบวมมากแค่ไหนความขุ่นข้องหมองใจที่เคยมีก็หายไปจนหมดเหลือเพียงความห่วงใย คนตัวเล็กคงไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไงทันทีที่กลับมาพบว่าคนที่น่าจะกลับมาถึงบ้านแล้วกลับไม่อยู่ โทรไปหาก็ไม่รับสาย ยังดีนะที่ยังอ่านไลน์ไม่อย่างนั้นคณิตคงได้ใช้เวลาพักอันน้อยนิดที่แลกมากับการเร่งทำงานให้เสร็จไปกับการนั่งกังวล แต่ถึงอย่างนั้นการที่ต้องมารับรู้ว่าเจ้าเด็กนี่ไปเจอเรื่องกระทบจิตใจมาจนร้องไห้หนำซ้ำยังหนีมาหลบอยู่ที่นี่แทนที่จะกลับไปบ้านมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
ปูนค่อยๆลืมตาขึ้นจนสบกับเข้ากับดวงตาเรียวรีที่แสดงความเป็นห่วง ร่างเล็กฝืนยิ้มให้คณิตน้อยๆก่อนที่จะยกกายเข้าหาแล้วกอดร่างสูงไว้เท่าที่แรงของตัวเองจะทำได้ คณิตกอดปูนตอบแล้วลูบแผ่นหลังเล็กๆนี่จนเจ้าของมันผ่อนคลาย เขาปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพักจนปูนเริ่มสบายใจแล้วเปิดปากพูดออกมาเอง
“วันนี้...เจอคนพูดไม่ดีใส่อีกแล้ว”
ปูนละความจริงส่วนหนึ่งไปแล้วเลือกพูดแต่สิ่งที่เขาอยากให้คณิตรับรู้เท่านั้น มือของคณิตชะงักไม่รู้ว่าเพราะอยู่กับปูนมาสักพักหนึ่งรึเปล่าเขาถึงเริ่มจับความผิดสังเกตในน้ำเสียงของคนตัวเล็กได้ ปูนกำลังโกหก...และปูนกำลังทุกข์ใจ เขาจึงได้แสร้งทำเป็นไม่รับรู้มันจนกว่าจะถึงเวลา
“แล้วเธอก็ปล่อยให้เขาพูดไปอย่างนั้น? ไม่ด่ากลับไปสักหน่อยล่ะ”
“ก็อยากด่า แต่...นึกไม่ออก”
“เธอเนี่ยนะนึกไม่ออก เวลาเถียงทีฉันแทบฟังไม่ทัน”
คนตัวเล็กทำหน้าบึ้งแล้วกัดบ่าของคณิตเบ่าๆเมื่อถูกชายหนุ่มเหน็บแนมเข้าให้ คณิตเองก็กลับหัวเราะอย่างชอบใจ ดูเหมือนว่าจะร่าเริงขึ้นหน่อยแล้วล่ะนะ
“ก็ตอนนั้นมันโมโหมาก คิดอะไรไม่ออกหรอก”
“เขาว่าแรงมากเลยรึไง”
“ก็นะ...ถ้าเป็นผู้หญิงเหมือนกันคงกระโดดเข้าไปซัดแล้ว”
“จริงอะ ไม่ใช่ว่าไปตบเขามาแล้วค่อยหนีมาร้องไห้หรอกนะ”
“ไอ้ป๋าบ้า! กูก็ผู้ชายเหอะจะให้ไปตบผู้หญิงได้ยังไง”
“อะไร ใครแทนตัวเองว่ากู เดี๋ยวนี้หัดพูดไม่เพราะกับฉันหรอ”
คณิตหยิกแก้มของปูนแรงๆจนร่างเล็กต้องร้องโอดโอย เพราะเดี๋ยวนี้ปูนชักเผลอขึ้นกูขึ้นมึงกับเขาบ่อยอาจจะเพราะเริ่มสนิทกันมาก เขาไม่ใช่คนเรียบร้อยขนาดที่ทนฟังคำหยาบไม่ได้หรอกเพราะเขาเองก็พูด เพียงแต่คณิตไม่อยากให้ปูนเป็นเด็กก้าวร้าวพูดจาไม่ดีกับผู้ใหญ่ก็เท่านั้น โดยเฉพาะเขาที่นอกจากวันแรกก็ไม่เคยพูดหยาบกับปูนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ขอโทษๆ มันเผลอไปหน่อย”
“อย่าเผลอบ่อย ไม่อย่างนั้นกุญแจบ้านที่ให้ไปฉันจะริบคืน”
“อะไร ป๋าให้ผมมาแล้วนะ!”
“ฉันให้เธอในฐานะเด็กดี...ไม่ใช่เด็กดื้อ”
“...”
“ไม่ต้องมาทำหน้างอเลย เข้าใจที่ฉันพูดไหม”
“เออ”
“ว่าไงนะ?”
“ครับๆ ปูนเข้าใจแล้วครับป๋า~ ไหนมาหอมที่ดิ๊ ทำไมวันนี้ขี้บ่นจังเลย”
ปูนกดจมูกลงตรงแก้มของคณิตแล้วสูดหายใจเข้าแรงๆ แน่ล่ะว่ามันคงไม่ได้หอมเพราะคณิตเองก็ทำงานมาทั้งวัน แต่ถึงอย่างนั้นปูนก็ยังคงหอมซ้ายหอมขวาทำเหมือนกับว่าคณิตเป็นตุ๊กตาตัวใหญ่ที่ให้ความอบอุ่นกับเขาได้ทั้งร่างกายและหัวใจที่อยู่ข้างในนี้
“พอๆ ไม่เหม็นรึไง ฉันเองยังเหม็นตัวเองจะแย่”
“เหม็น แต่อยากหอม ขอหอมได้ป่ะ”
“...”
“นะๆ ขอหอมนิดเดียวอย่าหวงตัวนักเลยน่า”
“...”
“ทีกับป๋าปูนยังไม่หวงเลยนะ...ยกให้ทั้งตัวก็ยังได้” “...”
“...”
“จริงอะ?”
“อื้อ”
“...”
“ยกให้ป๋าหมดเลย” คณิตมองความวิบวับในดวงตาของคนตรงหน้า ให้ตายสิ ไม่ว่าทำยังไงเขาก็เอาชนะลูกอ้อนของปูนไม่ได้สักที ชายหนุ่มโน้มตัวลงไปชิมความหวานที่ริมฝีปากของร่างเล็กที่เอียงคอรออยู่แล้วอย่างรู้งาน เสียงลมหายใจเข้าออกของทั้งคู่กระชั้นขึ้นเช่นเดียวกับแผ่นอกบางที่ถูกปลายนิ้วของคณิตสำรวจเสียจนไม่มีจุดไหนที่ร่างสูงไม่รู้จัก คนตัวเล็กปรือตามองคนที่มองเขาอยู่จากมุมสูงก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปจูบเบาๆบนปลายคางสากที่มีไรเคราขึ้นอยู่จางๆ คณิตยกยิ้มให้กับกริยาออดอ้อนที่สั่นไหวความรู้สึกของเขาได้เสมอแล้วทำในสิ่งเดียวกันให้กับปูนกลับไป
“ปูน”
“หื้ม”
“ต่อไปนี้ถ้ามีคนพูดไม่ดีใส่ก็ไม่ต้องไปฟังนะ”
“...”
“เธอเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าตัวเองทำอะไรลงไป ถ้าเธอทำดีต่อให้คนพูดร้ายใส่มันก็ไม่ใช่ความจริงที่เธอควรจะเก็บมาเจ็บช้ำน้ำใจเลยสักนิด กลับกันถ้าเธอทำเลวแล้วมีคนมาบอกว่าเธอทำดีแล้ว คำพูดพวกนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากการยกหางที่รังแต่จะทำให้เธอเสียใจในท้ายที่สุด”
“แต่มัน...เจ็บใจ”
“แน่ล่ะ คนที่ว่าเธอก็คงหวังให้เธอรู้สึกแบบนั้น”
“...”
“ไม่ว่าคนจะพูดยังไงเกี่ยวกับตัวเรา มันก็ไม่สำคัญเท่าเราตีค่าตัวเองไว้แบบไหน...จะสูงจะต่ำก็อยู่ที่ตัวเราเลือกจะทำไม่ใช่เพราะคำพูดของคนอื่น”
“ครับ...”
“แล้วก็...”
“...?”
“อย่าร้องไห้เพราะคนอื่นนอกจากฉันอีกนะ...ได้ยินไหม”
ปูนทำตาโตในขณะที่คณิตไม่คิดจะหลบสายตาขี้สงสัยของเด็กหนุ่มตรงหน้าเลยสักนิด สัญญาณเตือนในหัวของปูนกำลังร้องลั่นแต่เสียงหัวใจกลับดังยิ่งกว่า เขาเม้มปากของตัวเองก่อนจะตัดสินใจวางมือข้างขวาของตนลงบนอกข้างซ้ายของคนตรงหน้า ปูนไม่รู้ว่าจังหวะแบบนี้ถือว่าหัวใจเต้นแรงไหมเพียงแต่เมื่อเทียบกับหัวใจอีกดวงที่อยู่ในอกของเขา
มันกำลังเต้นไปในจังหวะเดียวกัน...
“เป็นคำสั่งหรอ”
“...”
“...”
“อืม”
“...”
“ฉันขอสั่งให้เธอร้องไห้ให้ฉันได้คนเดียว” ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
พระเอกเรื่องนี้โรคจิตเนอะ ป๋าก็สั่งให้น้องร้องไห้แค่กับตัวเอง พี่บอยก็เป็นสโตกเกอร์ 55555555555 ยิ่งอันหลังยิ่งฮา ใครยังงงว่าบอยพลัสนี่มันยังไงใจเย็นนะคับ ความเป็นสโตกเกอร์ของพี่บอยจะค่อยๆโผล่มาให้เห็นเอง พลัสก็ร้ายไม่ใช่เล่น แต่ปูนร้ายกว่า เด็กเช่นี่เนอะ =w= ฮี่ๆ
ดราม่ามาเล็กๆ แต่ยังไม่กระเทือนถึงป๋าปูนเท่าไหร่ ซัดใส่น้องอย่างเดียว บอกแล้วว่าพระเอกเรื่องนี้สบายไม่มีปมอะไรกับใครเขาเลย (ปูน : เช่โคตรลำเอียง!) น่าจะเริ่มสังเกตเห็นแล้วด้วยว่าดราม่าน้องไม่ได้มีแค่เรื่องพี่กาล ค่อยๆแก้กันไปคับ ไม่อยากซัดตู้มเดียวสงสาร แต่ไม่หนักหนาหรอกพอขำๆ ยังไงปูนก็มีป๋าอยู่แล้วนะ กิ๊วๆ ว่าแต่....ชะนีก้อยตอนนี้แอบจิตและน่าตบมาก
ป.ล.ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตคับ ได้อ่านหมดนะๆ ส่วนพี่กาลเหลือแค่ตอนพิเศษตอนสุดท้ายก็จะแต่งจบแล้ว ขอเวลาเช่ไปทำหนังสือสักนิดนะคับ พ้นจากนี้ไปจะได้ปั่นป๋าปูนกันยาวๆ บอกเลยว่าเวลาแต่งเรื่องนี้มีความสุขดี ไม่อยากใส่ดราม่าเข้าไปเลยยยย เด็กเส้นจนพี่กาลหมั่นไส้ เชอะ!