เรื่องสั้นเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องความเชื่อส่วนตัว
ทุกสิ่งในเรื่องเป็นสิ่งที่ถูกสมมติและแต่งขึ้นมา
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
วันนี้เป็นวันสำคัญของไอ้ต้อง
ผมเป็นเพื่อนมันมาสามปี...มันเป็นเวลาที่ไม่นานมากเท่าไหร่ วันที่ผมควรจะจำเกี่ยวกับมันได้ก็คือวันเกิดของมันเท่านั้น แต่วันนี้ไม่ใช่วันเกิดของมันครับ เป็นวันที่มันเสียใจมากที่สุดวันหนึ่ง และดันเป็นวันที่ผมจำได้ดีไม่เคยลืม
วันสุดท้ายที่มันได้เห็นแฟนใช้ชีวิตบนโลก
ไอ้ต้องเป็นหนุ่มหล่อคนหนึ่ง จัดได้ว่าเป็นบุคคลประเภทหน้าตาดีของประเทศนี้ มันหล่อแบบพิมพ์นิยมที่สาว ๆ เขากรี๊ดและก็ชอบกัน แต่ถึงอย่างนั้นแม้จะมีหน้าตาที่สามารถเจ้าชู้ได้ แต่มันกลับเลือกที่จะไม่เจ้าชู้
มันรักเดียวเสมอ แม้ว่าคนที่มันรักจะไม่อยู่แล้วก็ตาม
ผมไม่เคยเห็นมันตกลงปลงใจกับใครที่ไหน เวลาสองปีที่แฟนของมันเสียชีวิตไปหลายคนอาจจะคิดว่ามันลืมและก็ทำใจได้ ผู้หญิงหลายคนเข้ามาหามันไม่หยุดไม่หย่อน แต่มันก็เลือกที่จะไม่สนใจใครแถมยังปฏิเสธแบบไร้ซึ่งเยื่อใยให้ใครอีกด้วย
แม้ว่าอาจจะดูเหมือนไอ้ต้องมันใช้ชีวิตที่ผิดไปสักนิด แบบคนที่มันรักตายไปแล้วมันก็ควรที่จะใช้ชีวิตต่อและเปิดโอกาสให้คนใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิตมันบ้าง แต่ไอ้ต้องเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น
แม่งโคตรไอดอล
แฟนของมันเรียนอยู่อีกมหาลัยหนึ่ง มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ เป็นคนหน้าตาดีที่มีอนาคตไกล ( ได้ข่าวว่าเรียนหมอซะด้วย ) แต่ดันโชคร้ายมาประสบอุบัติเหตุในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ( เวลาที่เสียชีวิตคือเที่ยงคืนพอดิบพอดี ) ไอ้ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความผิดหวังมานานหลายเดือน กว่ามันจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ก็เล่นเอาผมกับเพื่อนเหนื่อยมาก...
วันนี้เราทุกคนตั้งใจดูการใช้ชีวิตของไอ้ต้องเป็นอย่างมาก กลัวมันจะคิดหรือทำอะไรแผลง ๆ วันส่งท้ายปีเก่า แบบนี้ผมกับเพื่อนมักที่จะเลือกเฉลิมฉลองกันเอง ก็หลังจากวันที่แฟนไอ้ต้องเสียนั่นแหละครับ ไม่มีใครกล้ากลับไปหาครอบครัวอีกในวันนี้ และถึงแม้ไปหาครอบครัว ก็จะรีบกลับมาหาไอ้ต้อง ทุกคนเป็นห่วงมัน วันนี้อาจจะเป็นวันที่น่ายินดีของทุกคน แต่สำหรับไอ้ต้องแล้วพวกเรารู้ว่ามันเลวร้ายขนาดไหน
“ไอ้เชี่ยต้องล่ะ” ไอ้อาร์ตเอ่ยถามกับผม หลังจากที่เข้ามาในคอนโดของผมแล้วไม่เห็นไอ้ต้อง
“อยู่ในห้อง” ผมพูด ชี้มือเข้าไปในห้องนอนของผมที่ใครจะเข้าไปนอนก็ได้ ผมไม่ถือ เพราะพวกเราสนิทกันมากแม้จะเพิ่งเจอกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยก็ตาม
“กูไปดูมันหน่อยดีกว่าว่ะ” ไอ้อาร์ตพูดและก็ไม่รอความเห็นจากผม มันเดินเข้าไปในห้องทำท่าส่อง ๆ ดู
ผมมองตาม...ในยินเสียงไอ้ต้องคุยกับใครก็ไม่รู้ ซึ่งผมคิดเอาเองว่ามันคุยโทรศัพท์มั้ง ตลอดทั้งวันมีแต่คนโทรมาหาไอ้หล่อนี่ไม่หยุดไม่หย่อนเพราะเป็นห่วงมันกันทั้งนั้น
สักพัก...ไอ้เชี่ยอาร์ตก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาผมและก็ทำหน้าตื่น
“อะไรของมึง”
“ไอ้เชี่ยต้อง มันเอาอีกแล้ว” อาร์ตทำหน้าปวดหัว
“อะไรวะ”
“นี่มึงไม่รู้เลยเหรอ ว่าพักนี้มันเอาแต่พูดคนเดียว”
ชิบหายแล้วไง...ผมได้ยินเรื่องแนว ๆ นี้มาเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นความจริง
“ไม่มั้ง...คิดไปเองป่ะวะ” ผมพยายามทำเหมือนเป็นเรื่องเล็ก ๆ
“ไอ้เชี่ย มึงมันไม่รู้อะไร ลับหลังพวกเราเชี่ยต้องแม่งอย่างกับคนบ้า” อาร์ตพูดอย่างเคร่งเครียด “บางทีกูก็ได้ยินเสียงมันเรียกชื่อแฟนมัน บางทีก็ได้ยินเหมือนมันกำลังคุยกับแฟนมันยังไงยังงั้น!”
ผมจะบ้าตาย ไอ้เรื่องลี้ลับพวกนี้เป็นอะไรที่ผมเกลียดเอามาก ๆ ผมยอมรับตรง ๆ เลยว่าผมกลัว แม้ว่าผมจะไม่เคยเจอและสามารถพิสูจน์ด้วยชีวิตตัวเองตลอด 21 ปีได้ว่าผีไม่มีอยู่จริงเพราะผมไม่เคยเจอก็ตาม แต่ไม่ว่าจะยังไง มีจริงหรือไม่มีจริง ผมก็ไม่อยากเจอ
แต่กับไอ้ต้อง...อาจจะตรงข้ามกับผม
ผีที่ว่าอาจจะเป็นผีแฟนมัน...
ผมไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้เลยให้ตาย
“มึงต้องมาพิสูจน์” อาร์ตลากคอผมให้เข้าไปใกล้ในห้องที่มีไอ้ต้องอยู่
“โว้ย ไม่เอา!” ผมร้อง
“ไปดูเอง เดี๋ยวจะหาว่ากูโม้”
“กูไม่อยากไป!”
“ไปเหอะ”
พวกเราลากคอกันไปมาอยู่หน้าห้องผมอยู่อย่างนั้นจนประตูห้องเปิดห้อง ไอ้ต้องเดินมาหา ทำหน้างง ๆ ใส่พวกผม
ผมกับไอ้อาร์ตหน้าซีด ยืนตรงเหมือนโดนคุณครูจับได้ว่าทำผิด
“มีอะไรวะ” ไอ้ต้องถาม ทำหน้างงงัน
“เอ่อ พวกกู...” ไอ้อาร์ตผู้ปากมากกำลังจะพูดความจริงออกไป ผมเอาศอกกระทุ้งมันที่สีข้างให้มันหุบปาก
“พวกกูแค่สงสัยว่ามึงอยากแดกอะไรในคืนเค้าท์ดาวน์แบบวันนี้วะ” ผมแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ยิ้มให้มันแบบพยายามที่จะทำให้สมจริงมากที่สุด
ต้องเงียบไปนิดหน่อย หันไปทางขวาของมัน ทำท่าเหมือนกำลังมองอะไรจากตรงนั้น
กูจะบ้าตายแล้ว! เชี่ยต้องมึงอย่าทำกูหลอนดิ
มันแม่งทำเหมือนว่ามีพลังงานบางอย่างอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ครับ พลังงานที่ผมกับไอ้อาร์ตมองไม่เห็น มีแต่มันที่เห็นคนเดียว มันจะมีอะไรวะ ตรงนั้นมันก็มีแค่อากาศ อย่าทำเหมือนกับว่าตรงนั้นมีอะไรได้ป่ะวะ
“ตกลงยังไงวะมึง” ผมทำใจกล้าถามเพื่อนออกไป
“อ้อ...กูไม่ค่อยหิวอ่ะ แต่...พิซซ่าเหรอ” มันพูดกับอากาศที่มันมองมาตั้งนานตั้งแต่เมื่อกี้
มึงถามความเห็นใครมิทราบ!!!!!!
“เชี่ยต้อง” ผมกระแอม
“หา...พิซซ่าแหละ” มันยิ้มให้ผม ผมเอามือนวดขมับ มองไปที่อากาศตรงนั้นอย่างหวาดระแวง “เป็นไรวะ”
“ต้อง กูถามจริงเหอะ” ไอ้อาร์ตมันเริ่มแล้วครับ “สติสัมปชัญญะมึงยังเต็มร้อยอยู่มั้ย”
“ว่าไงนะ”
“พักหลังนี้มึงพูดคนเดียวทำไม มึงเป็นอะไร มีอะไรก็บอกพวกกูดิวะ ทำแบบนี้มึงน่าเป็นห่วงนะรู้มั้ย”
ไอ้ต้องขำก๊าก...ขำเหมือนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตลกที่สุดในโลก เอาแล้วไง...ไอ้หล่อเพื่อนผมมันใกล้บ้าแล้วใช่มั้ยครับ ผมกับไอ้อาร์ตสบตากันและก็ทำหน้าหนักใจ ตรงข้ามกับไอ้ต้องที่ทำหน้าสบายใจและก็แฮปปี้ดี๊ด๊า
“กูไม่ได้เป็นอะไร กูปกติดี”
“กูว่าไม่” อาร์ตสวนทันที “กูเห็นมึงพูดคนเดียวบ่อยมากช่วงนี้ กูถามได้มั้ยว่ามึงเป็นอะไร หรือมึง...กำลังคุยกับใครอยู่”
มันกำลังโยงเข้าสิ่งที่ผมไม่อยากฟังและก็ไม่อยากพบเจอที่สุด
“ถ้ากูเล่ามึงก็จะหาว่ากูบ้าอ่ะ”
“ไม่ว่าหรอก มึงดูบ้าอยู่แล้วตั้งนาน”
“เชี่ยอาร์ต” ผมปรามเพื่อนที่ขัด “เล่าความจริงมา กูรู้ว่ามึงมีสติครบและก็คิดว่ามึงไม่ได้บ้า” ผมพูดไปก่อน ความจริงในส่วนหนึ่งผมก็เผื่อเอาไว้แล้วแหละว่าไอ้ต้องมันบ้าจริง...ใครมันจะไปพูดคนเดียวได้ล่ะ ผมกำลังคิดถึงเรื่องที่มันอาจจะเพ้อจนเห็นภาพหลอน ภาพที่มันเห็นและคิดว่ามันเห็นคือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ๆ
แม่งน่าเป็นห่วงมั้ยล่ะครับ
“ก่อนกูจะเล่า...” ต้องหันไปหาอากาศข้าง ๆ มันและส่งยิ้มให้ “...ช่วยสั่งพิซซ่ามาให้ก่อนได้มั้ยล่ะวะ”
เป็นงั้นไป...เอาวะ ว่าไงว่าตามกัน จริง ๆ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเพื่อนผมแม่งเป็นห่าอะไร
ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงนิด ๆ พิซซ่าหอมฉุยพร้อมเครื่องดื่มก็พร้อมสำหรับคืนเค้าดาวน์แบบง่าย ๆ ระหว่างผมกับเพื่อน ไม่มีคนอื่นมาสมทบอีกเนื่องจากปีนี้มีผมกับอาร์ตที่ตัดสินใจอยู่ที่กรุงเทพกับไอ้ต้อง นอกนั้นกลับต่างจังหวัดหมด
ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ มองดูไอ้ต้องที่ทำท่าสะดวกสบายอุกอิริยาบถ จานใส่พิซซ่าถูกส่งต่อมาจากมือไอ้อาร์ต ไอ้อาร์ตส่งให้ผม ส่งให้ไอ้ต้อง
“กูขออีกจาน”
ผมเริ่มปวดหัวตั้งแต่วินาทีที่มันพูดจบ ไอ้ต้องรับจานจากไอ้อาร์ตที่งงเป็นไก่ตาแตก และมันก็ทำในสิ่งที่ผมกับไอ้อาร์ตคาดไม่ถึง
มันวางจานไว้ข้างหน้าเก้าอี้ที่ว่างอยู่...
ผมอยากจะร้องไห้... “มึง...มึงทำเชี่ยไรวะ”
ต้องไม่ตอบอะไร หยิบพิซซ่าหนึ่งชิ้นวางไว้บนจาน ประเคนให้อากาศที่อยู่บนเก้าอี้จนถึงที่
“เชี่ยต้อง กูไม่ขำนะ” ไอ้อาร์ตเสียงสั่นขึ้นมาเรื่อย ๆ
“มึงพร้อมที่จะฟังหรือยัง”
บอกว่าไม่พร้อมได้มั้ย มือไม้ผมสั่นไปหมด ในขณะที่ไอ้อาร์ตฉี่ใกล้จะราดแล้ว ยอมรับตามตรงพวกผมกลัวสิ่งที่มันกำลังจะพูดออกมาเหลือเกิน วิ่งหนีตอนนี้ทันมั้ยวะ...
“กูพร้อม” ผมทำใจดีสู้เสือ ไอ้อาร์ตก็เช่นกัน
ต้องยิ้มให้อากาศข้าง ๆ แล้วหันมาหาพวกผมสองคน “ตรงนี้คือปาล์ม...แฟนของกูที่ตายไปแล้ว”
ไอ้ชิบหายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ผมกับไอ้อาร์ตผงะ ไอ้อาร์ตวิ่งหนีเข้าไปในครัว ส่วนผมเขยิบออกห่างจากโต๊ะอาหารประมาณสองถึงสามเมตร
กูจะบ้าตาย ตอนนี้ผมควรคิดยังไงดี คิดว่าปาล์มอยู่ที่นี่จริง ๆ หรือว่าคิดว่าไอ้ต้องมันเป็นบ้าดี
“พวกมึงใจเย็น ปาล์มไม่ทำอะไรพวกมึงหรอก”
“เชี่ยต้อง มึงล้อเล่นแบบนี้กูไม่ขำนะเว้ย” ไอ้อาร์ตพนมมือแล้วก็ไหว้อะไรไม่รู้รัว ๆ
“กูก็ไม่ขำ อย่าทำแบบนี้ได้มั้ยวะเพื่อน กูไม่เล่นนะ” ผมพูดเสริมไอ้อาร์ต
“กูกำลังเล่าความจริงให้ฟังอยู่นะ” ต้องพยายามพูด “ปาล์มอยู่ที่นี่ กับเราจริง ๆ กูสัมผัสได้”
“มึงก็มองไม่เห็นเหรอ”
“ใช่” ต้องรับคำ “แต่กูได้ยินเสียงชัดแจ๋ว...”
แม่งปวดกบาลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล
“โอเค กู...กู...” ผมพยายามรวบรวมสติ “กูรู้ว่าปาล์มแฟนมึงเป็นคนนิสัยดี และเขาก็คงจะไม่ทำอะไรพวกกูด้วย เพราะงั้น...งั้น...งั้น...” คนกลัวผีจนขึ้นสมองแบบผมนี่อยู่ยากจริง ๆ เลยครับตอนนี้ “...งั้น...ช่วยพิสูจน์หน่อยได้มั้ยวะว่าเขาอยู่ที่นี่จริง ๆ แบบที่มึงไม่ได้มโน”
“ตัวเอง...พิสูจน์ให้เพื่อนมันดูหน่อยสิ” ต้องพูดกับอากาศที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ มัน ผมใจเต้นตึก ๆ ไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น “อย่าทำของบ้านไอ้นนท์พังก็พอ แม่มันขี้บ่น”
ผมมองไปรอบ ๆ รอคอยในสิ่งที่จะต้องพิสูจน์ว่าปาล์มอยู่ที่นี่...สักพัก...ลมเย็น ๆ ก็โชยเข้ามากระทบใบหน้าของผมและก็ของไอ้อาร์ต เป็นลมเหมือนลมหน้าหนาวที่เด็กต่างจังหวัดที่มาเรียนกรุงเทพอย่างพวกผมไม่ได้สัมผัสมานานมากแล้ว ไอ้อาร์ตมองหน้าผม มันก็รู้สึกได้เช่นกัน
...พีคที่สุดก็คือพวกผมไม่ได้เปิดหน้าต่างรับลมแม้แต่น้อย...ที่ใช้อากาศหายใจอยู่เนี่ยคือจากแอร์ที่แปะอยู่บนผนังด้านบนล้วน ๆ...
ไอ้เหี้ยยยยย...ของจริงเหรอวะ!
“เดี๋ยวนะ” ผมค่อย ๆ พูด ไอ้อาร์ตกลับเข้ามาในห้อง ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม ยังไม่ยอมอยู่ใกล้ไอ้ต้อง และก็เก้าอี้ว่างเปล่าตัวนั้น “ปาล์ม...อยู่ที่นี่จริง ๆ ใช่มั้ย”
วืด...ลมพัดมาอีกระลอก คราวนี้เย็นกว่าเดิมจนผมข้างหน้าของผมกับอาร์ตปลิว
“ใช่มั้ย...” ผมถามย้ำอีกรอบ
วืดดดดดดดดดด...คราวนี้ลมมาอย่างกับไดร์เป่าผม แรงเสียจนริมฝีปากของผมกับอาร์ตแทบขยับ...เหมือนปาล์มจะรำคาญที่พวกผมไม่เชื่อว่าเขาอยู่ที่นี่จริง ๆ ล่ะมั้ง
เหลือเชื่อ...นี่มันเป็นวันมหัศจรรย์อะไรเหรอ...ผมไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ ว่าปาฏิหาริย์แบบนี้ก็มีอยู่บนโลกใบนี้ด้วย
ผมกับอาร์ตตัดสินใจมานั่งที่เดิม ที่ ๆ อยู่ตรงข้ามกับไอ้ต้องและก็( วิญญาณ )ปาล์ม ผมจ้องมองไปที่อากาศตรงหน้า พิซซ่าที่ต้องหยิบใส่จานให้ปาล์มยังอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเขยื้อน
“ไม่ต้องห่วง ปาล์มกำลังอร่อยเลยแหละ ฮ่า ๆๆ” ต้องหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“กินได้ด้วยเหรอวะ” อาร์ตถามอย่างสงสัย
“กินได้สิ ไม่งั้นคนเราจะมีการตักบาตรอุทิศส่วนบุญกุศลทำไม...”
“แต่นี่เราไม่ได้ใส่บาตรพระนะโว้ยต้อง”
“แค่คนในโลกนี้อนุญาตให้คนในโลกนั้นกิน...แค่นี้เขาก็กินได้แล้ว” ต้องขยับจานเข้าหาเก้าอี้อย่างเอาใจใส่...
ผมกับอาร์ตมองหน้ากัน ถอนหายใจใส่กันอย่างแรง
“มึง...เริ่มได้ยินเสียงปาล์มตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ผมยิงคำถามใส่
“อาทิตย์ที่แล้ว” ต้องเล่าอย่างไม่ปิดบัง “ปาล์มพยายามติดต่อกูมาตั้งแต่ที่เขาเสีย แต่กูไม่ได้ยินเขา เขาเห็นกูร้องไห้คิดถึงเขาทุกวัน เขาบอกเขาเสียใจมากที่ทำให้กูเสียใจ”
ผมสะเทือนใจอย่างหนักเมื่อได้ยิน ตอนที่ไอ้ปาล์มเสียใหม่ ๆ ไอ้ต้องแทบอยู่ไม่ได้ กินไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ ใบหน้าหล่อ ๆ โทรมลงไปมากกว่าครึ่ง...เป็นช่วงเวลาที่ผมกับเพื่อนคนอื่นนั้นต้องให้กำลังใจไอ้ต้องอย่างหนัก กว่าจะผ่านพ้นมาได้เรียกได้ว่าเหนื่อยทั้งใจของไอ้ต้องและก็ใจของพวกผมเลยครับ
“ทำไมจู่ ๆ เพิ่งมาได้ยินล่ะวะ ในเมื่อพยายามติดต่อมาตั้งนานแล้ว นี่มันกินเวลามาตั้ง...สองปีเลยนะ” อาร์ตเอ่ย
ต้องหัวเราะ หันมาหาวิญญาณปาล์มข้าง ๆ เหมือนปาล์มจะกำลังพูดและต้องก็กำลังฟัง ท่าทางไอ้ต้องมีความสุขเหมือนคนไม่มีความทุกข์ใด ๆ ปนอยู่เลย
“ปาล์มบอกว่า...เขาต้องทำคุณงามความดีก่อน”
“ปาล์มเป็นเทวดาตกสวรรค์...แอบพระผู้เป็นเจ้าผู้อยู่เหนือทุกสิ่งลงมาเกิดเพราะอยากเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ ตอนที่ปาล์มเสีย คือเวลาที่เจ้าเขารู้เข้าพอดีว่าปาล์มแอบมา...”
“ปาล์มต้องช่วยเหลือวิญญาณผู้ตกทุกข์ได้ยาก วิญญาณไร้ญาติ วิญญาณตายโหง ด้วยการที่จะต้องส่งสัญญาณให้ญาติพี่น้อง ตำรวจ หรือหมอชันสูตรศพด้วยรับรู้ ปาล์มบอกว่าปาล์มเหนื่อยมาก คนในโลกนั้นกับคนในโลกนี้ติดต่อกันยากมาก ถ้าคนในโลกนี้ไม่มีสัมผัสที่หก...ก็จะไม่ได้ยิน”
“กว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจก็เกือบสองปี อาทิตย์ที่แล้วคือวันที่ปาล์มช่วยเหลือวิญญาณเร่ร่อนครบเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดวงพอดี พระผู้เป็นเจ้าก็เลยเมตตาให้ปาล์มมาเที่ยวเล่นกับกู ตอนที่กูพูดคนเดียวกูก็อยู่กับปาล์มนั่นแหละ”
“มึงเชื่อมั้ย...ตอนแรกกูดีใจมาก...กูไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้ปาล์มจะเป็นผีหรือว่าปีศาจร้าย แค่เขากลับมาหากู กลับมาคุยกับกู กลับมาให้โอกาสให้กูได้ใช้เวลาอยู่กับเขา แค่นี้กูก็รู้สึกแฮปปี้ชิบหายแล้ว”
นี่มันเป็นตำนานรักของเทวดาตกสวรรค์หรือยังไงกัน...ผมอึ้งแป๊บ...ไม่สิ ขออึ้งนาน ๆ ไปเลยดีกว่า เรื่องราวที่เพิ่งได้ยินจากปากคำบอกเล่าของไอ้ต้อง คือเรื่องที่ผมจะไม่มีวันเชื่ออย่างเด็ดขาด
แต่ลมที่ปาล์มพัดมามันก็ช่วยพิสูจน์ได้อย่างดีแล้ว ผมไม่ได้เปิดหน้าต่าง...ลมจะพัดมาได้ยังไงกันล่ะ...
“แล้ว...เขาจะได้อยู่กับมึงนานมั้ยวะ” ผมยิงคำถามที่แทงใจมากที่สุดออกไป
ต้องยิ้มเศร้า ๆ ทำหน้าราวกับว่าต้องทำใจอะไรบางอย่าง “เขาอยู่กับกูได้แค่เที่ยงคืนคืนนี้ว่ะ...เทวดาตกสวรรค์อย่างเขา...พอถึงเวลาก็ต้องกลับไปเป็นเทวดาดิ”
พระเจ้า...นี่มันต้องสะเทือนใจระดับไหนกัน...คนที่แยกจากกันไปแล้วกลับมาหากันใหม่แต่ก็ต้องแยกจากกันไปอีก...
ผมกับไอ้อาร์ตมองไอ้ต้องที่ซึมกะทือลงเห็นได้ชัด ถ้าให้ผมเดา ตอนนี้ปาล์มก็คงพูดปลอบใจไอ้ต้องอยู่หรือไม่ก็พยายามปลอบโยนให้มันรู้สึกดีขึ้น
“เหลือเวลาสองชั่วโมงเอง...มึงอยากจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองมั้ยวะ” ผมค่อย ๆ เอ่ยออกไปช้า ๆ
ต้องหันไปมองที่ข้าง ๆ ราวกับขอความเห็น ไม่นานนักคำตอบก็ออกมาจากปากมัน
“ไม่เป็นไร”
“...”
“ปาล์มอยากใช้เวลาอยู่กับคนที่จะอยู่กับกูไปนาน ๆ เช่นพวกมึงเหมือนกัน”
สะเทือนใจแท้ ผมค่อย ๆ ตวัดสายตาไปมองอากาศที่เดาว่าวิญญาณของปาล์มอยู่ตรงนั้น ผมคงพูดอะไรไม่ได้มาก แต่ตักพิซซ่าหนึ่งชิ้นไปวางลงบนจานซ้อนทับชิ้นเก่าที่ปาล์มน่าจะกินหมดแล้ว
“กินเยอะ ๆ สิ เป็นเทวดาไม่ได้กินของพวกนี้หรอกนะ”
ไอ้ต้องหัวเราะ...ไอ้อาร์ตเริ่มสร้างบรรยากาศด้วยการชงเหล้าให้เทวดาดื่มอย่างให้เกียรติ ( หรือแกล้งก็ไม่รู้ )
ตลอดเวลาสองชั่วโมงที่ผ่านมา ไอ้ต้องเศร้าลงไปมาก แม้ว่าพวกผมจะรู้สึกได้ว่าปาล์มอยู่ใกล้ ๆ มัน คอยทำให้มันอารมณ์ดีอยู่เสมอ แต่ไอ้ต้องก็ไม่ได้มีท่าทีว่าอารมณ์ดีขึ้น ผมกับไอ้อาร์ตสงสารมันจับใจ...แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน มันรักปาล์มมาก ในขณะที่ปาล์มเองก็รักมันมากเช่นเดียวกัน
ความตายเป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นสาเหตุแห่งการพลัดพรากของคนที่รักกันมากเลยครับ กรณีของไอ้ต้องก็น่าจะพิสูจน์ได้...มันเศร้าเสียใจมันซึมกะทืออย่างหนักมานาน...ดีไม่ดีหลังจากที่ปาล์มกับสวรรค์ไป ไอ้ต้องมันอาจจะซึมหนักกว่าเก่า...
ผมกับไอ้อาร์ตปล่อยให้พวกมันสองคนคุยกันในห้องนอนของผม...จะว่าไปเสียงที่ผมได้ยินมีแต่เสียงที่ไอ้ต้องพูดออกมา ไม่มีเสียงขอปาล์มเลย
“ตัวเอง...เค้าฆ่าตัวตายแล้วไปอยู่กับตัวเองได้ป่ะ” เสียงของไอ้ต้องเริ่มสะอื้นหนัก พอได้ยินมันพูดแบบนั้นงานก็เริ่มเข้าพวกผม ผมกับไอ้อาร์ตมองหน้ากันอย่างลนลาน กลัวว่ามันจะทำแบบที่มันพูดจริง ๆ “แล้วจะให้เค้าทำยังไงล่ะ...เค้าจะอยู่ยังไง...ตัวเองก็เห็นแล้วนี่ว่าเค้าใช้ชีวิตแบบทรมานมาก ชีวิตที่ไม่มีตัวเองมันก็เหมือนตายทั้งเป็นแล้ว...”
ผมทำท่าจะพุ่งเข้าไปในห้อง แต่ไอ้อาร์ตดึงตัวผมเอาไว้...ไอ้ห่า ตอนนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นเลยนะเว้ย
“ถ้าฆ่าตัวตายมันบาปหนัก...งั้นตัวเองก็ฆ่าเค้าสิ”
อะไรนะ
“โดนเทวดาฆ่าก็คงจะได้ขึ้นสวรรค์อยู่มั้ง...แล้วเราไปเจอกันบนโน้น...ตกลงมั้ย”
อาร์ตมองหน้าผมอย่างไม่สบายใจ...ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
“แล้วจะทำไง ตัวเองจะปล่อยให้เค้าจมอยู่กับความเสียใจไปตลอดเลยเหรอ ทำไมไม่ปล่อยให้เค้าตายไปเลยล่ะ มันน่าจะดีกว่านะ เค้าจะได้เลิกเจ็บอยู่ทุกวันทุกคืนแบบนี้สักที...”
เข็มยาวของนาฬิกากำลังเดินทางมาที่เลข 11 ในขณะที่เข็มสั้นก็กำลังเดินทางมาถึงเลข 12
ทั้งคู่เหลือเวลาห้านาทีที่จะอยู่ด้วยกัน...แต่จะเถียงกันแบบนี้น่ะเหรอ
“ตัวเอง...”
เช้ดดดดดดดดดดด...ไม่ใช่เสียงไอ้ต้อง
เสียงปาล์ม!!!!!!!
ไอ้อาร์ตตกใจจนขนลุก มันค่อย ๆ ขยับประตูให้แง้มเปิดออก...ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อครับ...ภาพที่ผมเห็นคือไอ้ต้องที่นั่งงอตัวร้องไห้อยู่ริมเตียง และมีร่างโปร่งแสงของปาล์มที่ค่อย ๆ ปรากฎชัดขึ้นมาเรื่อย ๆ ปาล์มกำลังกอดไอ้ต้องไว้แน่นจากทางด้านหลัง ไอ้ต้องมันยังไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำ
ปาล์มน้ำตานองหน้า...ร่างโปร่งแสงของปาล์มสั่นระริกและสะอึกสะอื้น ผมมองแว้บเดียวผมก็หันหน้าหนี ไม่ใช่ว่าผมกลัว...แต่ผมสะเทือนใจกับสิ่งที่ผมเห็นต่างหาก
เห็นแล้วน้ำตาจะไหลตาม...ที่จริง...น้ำตามันมาปริ่มขอบตาของผมอยู่นานมากแล้วล่ะ...
“เค้ารักตัวเองนะ...ตัวเองต้องดูแลตัวเอง...อย่าเสียใจ...อย่าร้องไห้...ชีวิตตัวเองต้องไปต่อ...ตัวเองยังมีอนาคตอีกไกล...ส่วนเค้าไม่มีอนาคตแล้ว...”
“ขอร้องได้มั้ย...อย่าร้องไห้เพราะเค้าอีกเลย...ทำใจเถอะ...ยังไงพวกเราก็ต้องแยกจากกัน”
“ไม่เอา” ไอ้ต้องโวยวายทั้งน้ำตา...มันลุกขึ้นมาจากเตียง หันมาประจันหน้ากับร่างโปร่งแสงของปาล์มที่ยืนอยู่...
สายตาของมันเจ็บปวดรวดร้าว...ร้องไห้หนักมากกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าสิ่งที่มันกำลังเห็นไม่ใช่ปาล์มในแบบที่มันจำได้...ปาล์มเดินเท้าไม่ติดพื้น...ร่างของปาล์มทะลุทะลวงมองไปเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังของปาล์ม แม้ว่าตอนนี้ปาล์มจะสัมผัสได้...แต่ก็ใช่ว่าจะสัมผัสได้นาน
ไอ้ต้องสะอื้นอย่างหนัก หมดคราบสุดหล่อที่ใคร ๆ ก็ต่างนิยมชมชอบกัน
อีกสามนาที...ผมกับไอ้อาร์ตที่เริ่มร้องไห้หันหลังให้พวกมันสองคน...
“ปาล์มต้องไปแล้วนะ”
“ไม่นะ” ไอ้ต้องเอื้อมมือไปจับมือของปาล์มที่จับได้ แต่มันก็สะดุ้งจนเอามือหดหนี...
เย็นเกินไป...
มันพยายามที่จะจับ อดทนต่อความเย็นสุดขั้วเพราะความรักที่มีต่อปาล์ม
“สัญญาได้มั้ยว่าจะเริ่มต้นใหม่...กับใครก็ได้ที่รักต้องจริง ๆ”
“เค้าเริ่มใหม่ไม่ได้ถ้าไม่ใช่ตัวเองอ่ะ”
“ตัวเอง ตัวเองต้องทำนะ”
“ไม่เอา”
“อย่าดื้อสิ”
“ก็อยู่ด้วยกันสิ” ไอ้ต้องเริ่มโวยวายและไร้สติ เหมือนคนบ้าที่หวังอะไรที่มันลม ๆ แล้ง ๆ “ฆ่าเค้าซะ เค้าจะไปอยู่กับตัวเอง สัญญาว่าจะไม่ดื้อ จะไม่ซน จะเชื่อฟังทุกอย่าง จะไม่นอกใจเลย”
มันพูดไปสะอื้นไปอย่างน่าสงสาร...ผมกับไอ้อาร์ตเกือบทนฟังไม่ไหว...ครั้งนี้หนักกว่าทุกครั้งที่ไอ้เชี่ยต้องมันเสียใจร้องไห้โวยวาย
คนเป็นเพื่อนมันรู้สึกเจ็บจนไม่รู้จะทำยังไง...ผมกับไอ้อาร์ตทำอะไรไม่ได้เลยครับ
เหลือ 2 นาที...
“ถ้าอย่างนั้นเค้าจะฆ่าตัวตาย” ฉับพลันทันทีที่ไอ้ต้องทำท่าจะวิ่งออกไปนอกระเบียง ผมกับไอ้อาร์ตรีบวิ่งเข้าไปในห้อง ไปจับตัวของมันเอาไว้ ปาล์มลอยไปขวางหน้าประตูระเบียง
ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมให้มันตาย...
“ตัวเองคิดถึงพ่อแม่ของตัวเองบ้างสิ ทำไมคิดสั้นแบบนี้!”
“เค้าอยู่ไม่ไหวจริง ๆ นะ...”
“เชี่ย” ไอ้อาร์ตพูดเสียงดังทั้งน้ำตา “อยู่กับพวกกู...เดี๋ยวพวกกูเป็นปาล์มให้มึงเอง อย่าทำแบบนี้ได้มั้ย ไม่เอา!”
“ใครจะแทนปาล์มของกูได้วะ”
“เข้มแข็งสิวะ” ผมพูดใส่หูมัน “เข้มแข็ง...ทำให้ปาล์มภูมิใจที่เขาได้รักคนอย่างมึง!”
ร่างของปาล์มเริ่มจางลงไปเรื่อย ๆ เวลาแห่งการนับถอยหลังกำลังจะมา...วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ใคร ๆ หลาย ๆ คนรอคอย เสียงจุดพลุกำลังจะดังสนั่นไปทั่วบ้านทั่วเมือง ในขณะที่ร่างของปาล์มนั้นค่อย ๆ จางลงอย่างควบคุมไม่ได้
“ไม่นะ” ต้องร้อง สะบัดตัวของมันจนหลุดไปจากเกาะกุมของพวกผมและก็พุ่งไปหาปาล์ม “ไม่ให้ไป ไม่เอา!”
“เค้ารักตัวเองนะ” ปาล์มยังคงร้องไห้ แต่ก็พยายามฝืนยิ้มให้แฟนมันเห็น
“ตัวเอง...ไม่เอา...ขอร้อง ได้โปรด”
“บอกรักเค้าหน่อยสิ...”
“เค้ารักตัวเอง เค้ารักตัวเองคนเดียว เค้าจะรักตัวเองตลอดไป...”
ปาล์มยิ้ม...เอามือโปร่งแสงปาดน้ำตาและก็นำมากุมมือที่ไอ้ต้องจับมืออีกข้างของเขาเอาไว้
ร่างของปาล์มกำลังสูญสลายไป...
“ฝากต้องด้วยนะ...อาร์ต นนท์...”
ปาล์มหายไปเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พลุดังพอดี...
ทุกคนยินดี...ในขณะที่เพื่อนผมนั้นเป็นลมล้มพับลงไปนอนกับพื้นอย่างคนสิ้นหวัง
ปาล์มจากมันไปแล้ว...ตลอดกาล...