Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร
ตอนที่3 เรื่องของคนจับปลา
เรื่องที่ผมเป็นลมไปสองครั้งภายในหนึ่งวันถูกโจษจันไปทั้งหมู่บ้าน ทำเอาผมอายแทบแทรกแผ่นดิน ให้ตายเหอะ เรื่องนี้ต้องโทษเจ้าคามิซาวะคนเดียวเลย เพราะหมอนั่นนั่นแหละ ว่าแต่... แล้วเจ้านั่นรู้ได้ยังไงว่าผมตีก้นงิน
“คามิซาวะ!” ผมกลับไปที่บ้านของยูมิโกะอีกครั้งเป็นรอบที่สองของวัน พอต่อสายโทรศัพท์ติดก็กรอกเสียงลงไปทันที “คุณรู้ได้ยังไง?!”
“หืม?” น้ำเสียงแสดงความแปลกใจที่ลอดกลับออกมายิ่งทำให้ผมรู้สึกฉุนหนัก “คามิซาวะ คุณรู้ได้ไงเรื่องที่ผมตีก้นงิน”
“อ้อ...” เจ้าคามิซาวะร้องเสียงยาวผ่านสายโทรศัพท์ ก่อนจะพูดต่อ “อย่าพูดดังไปครับทาซากิซัง เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะรู้กันหมดว่าคุณเพิ่งไปลวนลามเงือกมา”
ตั้งแต่ได้เขามาเป็นเลขาสี่ปี มีครั้งนี่แหละที่ผมนึกอยากเอาอะไรปาใส่หน้าเขา “ไม่ตลกนะ”
“ก็ไม่ตลกน่ะสิครับ” คามิซาวะย้อนแล้วพูดต่อ “ยูมิโกะซังโทรมาบอกผม อ้อ... คือเธอไม่ได้ไปสอดรู้สอดเห็นอะไรเรื่องคุณหรอกนะ เธอแค่เป็นห่วงคุณ เพราะเมื่อเช้าคุณเป็นลมต่อหน้างินไปรอบนึงแล้ว”
ให้ตายเหอะ อย่ามาย้ำกันให้มากจะได้มั้ย!
“ว่าแต่คุณโอเคแล้วนะครับ มีตรงไหนที่ยังสงสัยอีกมั้ย?”
มาถึงจุดนี้ผมชักสงสัยว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้านาย ใครกันแน่ที่เป็นลูกน้อง
“คามิซาวะ”
“ครับ?”
“ผมจะกลับพรุ่งนี้”
“ไม่ได้ครับ” ฝ่ายนั้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ผมไม่ได้บอกคุณเหรอครับ ว่าที่นั่นมีเรือไปกลับจากฝั่งสัปดาห์ละครั้ง”
เส้นเลือดบนหัวผมถึงขั้นเต้นตุ้บๆ “ผมเพิ่งได้ยินคุณบอกเดี๋ยวนี้นี่แหละ”
“อ๋อ งั้นก็ตามนั้นแหละครับ” คามิซาวะตอบผมแบบคนไม่เดือดร้อนอะไร ใช่สิ ก็คนเดือดร้อนมันผมนี่
“เดี๋ยว ผมทนอยู่บนเกาะแบบนี้ได้ไม่ถึงสัปดาห์หรอกนะ”
“ไมได้ก็ต้องได้ครับ แค่คุณแอบแต๊ะอั๋งเงือกไปครั้งเดียวเอง ไม่ถึงตายหรอก เชื่อผมนะครับ”
เออ ผมรู้ว่าไม่ถึงตาย แต่มันอายไม่เข้าใจหรือไง!
“คามิซาวะ!”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดต่อ คามิซาวะก็พูดสวนกลับมา “คุณยื่นใบลาพักไว้ตั้งหนึ่งสัปดาห์ ยังไงก็ใช้ให้ครบเถอะครับ อีกอย่าง คุณต้องอยู่ขอโทษเรื่องวันนี้ด้วย ขืนหนีขึ้นเรือกลับมา โดนเงือกตามจมเรือผมไม่รับไม่รู้ด้วยนะ”
“คามิซาวะ!!” ผมแผดเสียงใส่หูโทรศัพท์ แต่คงช้าไปหน่อย เพราะเจ้าคามิซาวะชิงวางสายไปก่อนแล้ว คนที่ได้ยินเต็มๆ ก็คงมีแต่ตัวผมที่เป็นคนพูดนี่แหละ
------------------------------
“ทาซากิซัง...” ยูมิโกะที่ยืนรออยู่หน้าบ้านเอ่ยทักทันทีที่ผมเปิดประตูออกมา ผมฝืนยิ้มให้เธอ “ผมเสียงดังไปหน่อย โทษทีนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เธอตอบ ผมเลยพูดต่อ “ว่าแต่เรื่องงิน...”
“อ๋อ งินไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ... แล้วก็ ดิฉันต้องขอโทษด้วยที่แอบตามพวกคุณไปโดยไม่บอกก่อน”
ผมถอนหายใจเฮือก “ไม่เป็นไรหรอกครับยูมิโกะซัง ผมเข้าใจ ยังไงผมก็ต้องขอโทษเรื่องงินด้วยนะครับ ผมไม่รู้จริงๆ”
ยูมิโกะพยักหน้า “พรุ่งนี้ถ้างินขึ้นมา คุณลองคุยกับเขาดูนะคะ เขาคงไม่ถือโทษอะไรคุณมากหรอกค่ะ”
“ครับ” ผมรับ แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ “เอ้อ... ยูมิโกะซังครับ ว่าแต่ทำไงงินถึงมีขาได้ล่ะครับ เขาเป็นเงือกใช่ไหมครับ หรือว่าเงือกทุกตัวที่นี่มีขากันหมด”
“อ๋อ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ” ยูมิโกะว่า “ปกติแล้วเงือกไม่มีขาหรอกค่ะ แต่งินเป็นพวกพิเศษ”
“พวกพิเศษ?”
“ค่ะ บรรพบุรุษของงินบางส่วนเป็นมนุษย์คะ?”
พอเห็นผมทำหน้าสงสัย ยูมิโกะเลยพูดสืบต่อ “ในอดีตมีเรื่องเล่ากันมาว่า เงือกบางตนขึ้นมาล่อลวงมนุษย์ผู้ชายลงไปเป็นสามี อย่างงินก็คงเป็นหนึ่งในบรรดาเงือกที่สืบทอดเชื้อสายมาจากเรื่องเล่าน่ะค่ะ”
“อ้อ... ครับ แล้ว... งินขึ้นมาทำอะไรบนนี้ครับ ท่าทางเหมือนเขาขึ้นมาบ่อย”
“เข้าขึ้นมาหาซื้อของน่ะค่ะ” ยูมิโกะเล่าพลางยิ้ม “พวกเงือกชอบกระจกมากค่ะ ถ้าไม่ใช่กระจกก็ต้องเป็นของที่ต้องแสงแล้วเป็นประกายเหมือนแก้วเหมือนกระจก งินเขาขึ้นมาบนนี้บ่อยเพราะมาหาของพวกนี้ไปฝากเพื่อนๆ เขานี่ล่ะค่ะ”
ผมเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าเงือกจะเป็นพวกชอบอะไรแบบนั้น “แล้วยังมีกระจกเหลืออีกมั้ยครับ?”
“เอ๋?”
“คือ... คุณบอกว่าเขาขึ้นมาหากระจก ถ้าไม่มีกระจกก็แปลว่าเขาจะไม่ขึ้นมาใช่มั้ยล่ะครับ” ผมว่า ยูมิโกะมองผมพักหนึ่งแล้วยิ้มออกมา “อ๋อ เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ต่อให้ไม่มีกระจกเขาก็ยังจะขึ้นมาแน่ๆ ค่ะ ก็ทาซากิซังเป็นแขกที่ซุบารุซังฝากเอาไว้นี่คะ”
ผมอดสงสัยไม่ได้ “เดี๋ยวนะครับ ผมขอถามนิดนึง คามิซาวะเป็นคนสำคัญของที่นี่เหรอครับ ทำไมงินดูจะให้ความสำคัญกับเขาจัง พวกคุณก็ด้วย”
“อ๋อ... เรื่องนั้น...” ยูมิโกะมีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด “ดิฉันคงพูดไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องมันซับซ้อน”
“คามิซาวะเป็นคนบนเกาะนี้รึเปล่าครับ?”
“ค่ะ... ตามทะเบียนบ้านค่ะ”
“...”
ยูมิโกะแสดงท่าทีลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อผมมองเธอด้วยสายตาตั้งคำถาม “คุณลองไปถามงินดูเถอะค่ะ เรื่องนี้ฉันพูดไม่ได้จริงๆ”
ผมถอนหายใจออกมา “ตกลงครับ ผมเข้าใจล่ะ ยังไงก็ขอบคุณมากๆ นะครับ”
“ค่ะ ด้วยความยินดีค่ะ”
----------------------------------------
วันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่ฟ้ายังไม่สาง จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้น แต่เพื่อไปรอพบงิน ผมออกจากบ้าน เดินไปยังชายหาดด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก
ผมยังไม่แน่ใจนักหรอกว่าเขาเป็นเงือกจริงหรือไม่ และไม่แน่ใจด้วยว่าวันนี้เขาจะมารึเปล่า
‘คุณ... คุณ... คุณมันไร้มารยาทที่สุดเลย!!’ คำพูดและสีหน้าแสดงอาการโกรธขึงของฝ่ายนั้นยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำผม ถ้าเขาไม่ยอมขึ้นมารับคำขอโทษจากผมล่ะ ถ้าหากเขาไม่ยอมมาอีกเลยล่ะ?
ผมไม่ได้กลัวจะมีเงือกไปจมเรือระหว่างกลับหรอก เพียงแต่พอนึกถึงสีหน้าของงินตอนนั้นแล้ว ผมก็รู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าต้องขอโทษเขาให้ได้ เขาทำให้ผมรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก หากไม่ได้ขอโทษเขาต่อหน้า หากว่าเขาไม่ยอมยกโทษให้ล่ะก็ ผมคง...
ผมยืนมองระลอกคลื่นที่กระเพื่อมอยู่บนผืนน้ำสีเทาทะมึนด้วยจิตใจว้าวุ่น เกือบหกโมงแล้ว แต่ทว่ากลุ่มเมฆหนาทึบก่อตัวแน่นจนแทบมองไม่เห็นแสงตะวันแรกของวัน
ผมมีเวลาอยู่บนเกาะนี้เพียงแค่ไม่กี่วัน ถ้าหากว่า...
“งิน!” ผมโพล่ง เมื่อเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใต้ผิวน้ำเบื้องหน้า พลางก้าวเท้าย่ำลงไปในน้ำทะเลสีเทาทะมึน ด้วยหวังว่าจะได้เอ่ยปากขอโทษเขาทันทีที่ได้เห็นหน้า
“งิน...?!” ผมชะงักเสียงไว้แค่นั้น ถึงแม้ฟ้าจะยังไม่สว่างมาก แต่เสี้ยวหน้าที่โผล่ขึ้นมาเพียงแค่ดวงตาก็ทำให้ผมรู้ทันทีว่านั่นไม่ใช่งิน
ดวงตาคู่นั้นวาววับในความมืดสลัว ดูน่ากลัวอย่างประหลาด งินที่ผมเคยเห็นต้องไม่มีแววตาอย่างนี้แน่ แม้ผมจะได้พบและพูดคุยกับเขาในเวลาไม่นานก็ตาม ผมบอกตัวเองว่าต้องถอยกลับ แต่เหมือนถูกน้ำทะเลตรึงขาทั้งสองข้างเอาไว้
ดวงตาคู่นั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดวงตาสีเทาวาวราวสัตว์ร้าย เรือนผมสีเข้มยาวสยายกระจายอยู่บนผืนน้ำตรงหน้า ผมรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีถอนเท้าขึ้นมาจากหล่มทรายที่ถูกคลื่นซัดมาทับถม แต่ก็เหมือนจะช้าไปก้าวหนึ่ง เมื่อมือแข็งแรงข้างหนึ่งพุ่งเข้ามาลากตัวผมลงไปในน้ำ
!!!
ผมดิ้นสุดแรง พยายามสลัดมือเปียกลื่นข้างนั้นที่ฉุดลากผมอยู่ แต่เรี่ยวแรงนั้นช่างมหาศาล มันดึงผมลึกลงไปใต้น้ำ ราวกับต้องการให้ผมจมน้ำตายอยู่ตรงนี้ ผมตะเกียกตะกายครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกสติใกล้ขาดลงทุกที
ผมต้องมาตายอย่างนี้น่ะหรือ?... ตายโดยที่ยังไม่ได้ขอโทษคนที่ผมไม่รู้ว่าเป็นคนหรือเงือกกันแน่นั่นเลยสักคำ
!!!
ผมรู้สึกถึงบางอย่างที่เคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว เข้ากระแทกเจ้าตัวที่ฉุดผมเอาไว้ จากนั้นมือของใครคนหนึ่งก็ฉุดตัวผมขึ้นไปเหนือผิวน้ำ
“แค่กๆ” ผมสำลักน้ำทันทีที่สูดอากาศเข้าไปเฮือกแรก น้ำทะเลเค็มเฝื่อนทะลักออกจากจมูกจนแสบไปหมด ได้ยินเสียงใครบางคนเถียงกัน
“ขวางฉันทำไม!”
“คุณนั่นแหละ ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงฉุดเขาลงมาแบบนี้!”
เสียงหนึ่งผมจำได้ว่าเป็นเสียงของงิน แต่อีกเสียงผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมอยากจะพูดบางอย่างกับเขา แต่จนใจที่ตัวเองเอาแต่สำลักน้ำจนแค่พยายามสูดหายใจยังยาก
“ก็หมอนี่มันสมควรโดนแล้ว เมื่อวานก็ลวนลามนาย แถมก่อนหน้านี้ยังได้อยู่ใกล้ชิดซุบารุทุกวันอีก”
“ทสึกิยะซัง!” งินขึ้นเสียงสูง “คุณหยุดคิดไปไกลเรื่องซุบารุซังทีเถอะ โทวะซังเป็นแค่เจ้านาย เขาไม่ทำอะไรแบบนั้นกับซุบารุซังแน่”
“แน่ใจได้ไง?” อีกเสียงย้อนถาม “ยังไงก็เหอะ ฉันไม่มีทางปล่อยหมอนี่ให้กลับไปเป็นๆ แน่”
“หยุดนะ!” ผมได้ยินเสียงงินตวาด จากนั้นก็รู้สึกเหมือนเขาพยายามจะเอาขาเตะใครสักคน... ถ้าเขามีขาน่ะนะ
“เลิกบ้าทีเถอะ ต่อให้คุณลากโทวะซังจมน้ำตรงนี้ ซุบารุซังก็ไม่มีทางกลับมาหาคุณแน่ คุณนั่นแหละเป็นต้นเหตุทำให้เขาไม่ยอมกลับมา”
“ว่าไงนะ!!”
ผมรู้สึกเหมือนถูกแบกขึ้นไหล่ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าผมคือดวงตาสีเทาคู่หนึ่งที่จ้องมาอย่างประสงค์ร้าย ก่อนที่มันจะผลุบหายลงน้ำไป ขณะที่ผมค่อยๆ ถอยห่างออกมาเรื่อยๆ
“เป็นยังไงบ้างครับ” งินถามผม ขณะใช้มือลูบหลังผมที่กำลังสำลักน้ำอย่างเอาเป็นเอาตาย หลังไอจนรู้สึกเหมือนปอดจะหลุด ผมก็หายใจเข้าลึกๆ ได้สักที
“ขอ... ขอโทษนะ”
“เอ๋?”
“เรื่องเมื่อวานน่ะ... ฉันขอโทษด้วย” ผมพูด แล้วใช้มือสองข้างจับแขนเขาไว้ “ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เธออาย ขอโทษด้วยนะ”
เมฆดำที่ปกคลุมท้องฟ้าหายไปแล้ว ที่อยู่เบื้องหลังของงินคือแสงอาทิตย์สีทองแรกของวัน ผมไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของเขา ได้ยินเพียงแต่เสียงที่ฟังไพเราะราวกับระฆังเงิน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ โทวะซัง ผมไม่โกรธคุณหรอก”
ผมพยักหน้า “ขอบใจนะ”
พวกเรานั่งแช่น้ำกันอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่ง เสียงคลื่นซัดฝั่งยามเช้าฟังดูเหมือนบทเพลงรับอรุณ ผมมองงินอีกครั้ง ก่อนจะพบว่า ต่ำลงไปตั้งแต่ช่วงขาของเขามีแต่เกล็ด
“เธอเป็นเงือกจริงๆ สินะ”
เขายิ้มให้ผมพลางถอนใจ “ก็มีแต่คุณคนเดียวล่ะครับที่ไม่เชื่อ”
ผมพยายามแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “ก็ใครมันจะไปเชื่อ... เงือกมีจริงซะที่ไหน”
“แล้วมีจริงรึเปล่าล่ะครับ”
ผมจำต้องพยักหน้ายอมรับ พลางมองครีบหางสีเงินสวยที่อยู่เบื้องหลังเขา ก่อนจะถามออกมา “ว่าแต่... คนที่เธอคุยด้วยตะกี้เป็นใครน่ะ? คนหรือเงือก?”
“เงือกครับ” งินตอบทันใจ “เขาเป็นผู้ใหญ่ในฝูงผม”
“อ้อ...” ผมครางในคอ นึกทบทวนบทสนทนาระหว่างที่ตัวเองกำลังสำลักน้ำ “เขารู้จักกับคามิซาวะงั้นสิ”
“เอ่อ... ครับ”
“เป็นอะไรกันน่ะ? อย่าบอกนะว่าหมอนั่นอยากลากคามิซาวะลงไปอยู่ในน้ำด้วยกัน”
งินมองผม ก่อนจะทำหน้าเหมือนตอบไม่ถูก “เรื่องมันซับซ้อนครับ”
ผมหรี่ตามองเขา “เรื่องของคามิซาวะนี่ดูลึกลับจริงนะ”
เงือกหนุ่มตรงหน้าผมได้แต่สั่นศีรษะ “ผมไม่มีสิทธิ์พูดเรื่องนี้หรอกครับ คนเดียวที่พูดได้คือซุบารุซัง”
“อืม... และฉันแน่ใจด้วยว่าคนอย่างหมอนั่นต้องไม่มีทางพูดอย่างแน่นอน” ผมว่า พลางนึกถึงสีหน้าของคามิซาวะ งินเงยหน้ามองผม “คุณรู้หรือครับว่าซุบารุซังจะพูดหรือไม่พูดอะไร?”
“ไม่รู้หรอก” ผมว่า พลางรู้สึกเอ็นดูท่าทางแปลกใจของเขา ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่เป็นเงือกที่อายุห่างกับผมอย่างกับคนรุ่นปู่
“นี่ งิน... คามิซาวะบอกฉันว่า เธออายุเก้าสิบกว่าเข้าไปแล้ว จริงหรือ?”
“จริงสิครับ ปีนี้ผมอายุเก้าสิบห้า” เขาพยักหน้า ก่อนจะไถลตัวมานั่งข้างผม “แต่ถ้านับกับตามอายุเงือก ผมยังเด็กอยู่นะ”
พอเห็นเขาทำหน้าเหมือนแกล้งงอนแบบนั้นแล้ว ผมนึกอยากเอามือหงิกแก้มขาวๆ นั่นขึ้นมาตงิด เสียแต่กลัวจะไปทำผิดที่ผิดทางจนกลายเป็นเรื่องแบบเมื่อวานอีก เลยได้แต่เก็บมือเอาไว้
“งั้นที่เล่ากันว่ากินเนื้อเงือกแล้วจะเป็นอมตะก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ”
งินหันควับมาทันที “ไม่จริงอย่างที่สุดเลยล่ะครับ ห้ามเชื่อเด็ดขาดเลยนะโทวะซัง”
“ทำไมล่ะ?”
ฝ่ายนั้นทำหน้ายู่ “เงือกน่ะแค่มีอายุยืนกว่าคนเท่านั้นเองครับ ไม่มีใครกินเนื้อเงือกแล้วเป็นอมตะหรอก มันเป็นเรื่องเล่าของคนที่ไม่สมหวังในรักกับเงือกเท่านั้นเอง”
“หืม?”
“นานมาแล้วนะครับ มีมีคนจับปลาคนหนึ่ง ได้พบเงือกสาวตนหนึ่งนั่งหวีผมอยู่บนโขดหินริมหาด เขาหลงรักเธอตั้งแต่แรกเห็น และอยากได้ตัวเธอมาเป็นภรรยา ดังนั้นเขาจึงค่อยย่องเข้าไปหาเธออย่างเงียบๆ แต่ทว่า เพียงแค่ปลายนิ้วของเขายื่นไปสัมผัสเส้นผมของเธอ เงือกสาวก็สะดุ้งสุดตัว แล้วกระโดดหนีลงน้ำไป ชายคนนั้นกระโดดตามเธอลงไป แต่ไม่ว่าจะดำน้ำหรือตามหาอย่างไร ก็ไม่เจอเธออีกเลย เขามารอเธออยู่ที่โขดหินทุกวันด้วยความหวังว่าสักวันจะได้เจอเธออีกครั้ง คราวนี้เขาจะบอกขอโทษเธอ พูดคุยกับเธอดีๆ แต่ทว่าเธอก็ไม่ยอมกลับไปที่นั่นอีกเลย การรอคอยกลายเป็นความผิดหวัง ความผิดหวังกลายเป็นการอาฆาต เขารักเธอจนชังเธอ เลยสร้างเรื่องขึ้นมาว่าหากใครได้กินเนื้อเงือกแล้วจะเป็นอมตะ เพื่อที่ทุกคนจะได้ควานหาตัวเธอมาให้เขา”
งินเล่าพลางหันหน้ามองผม ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลของเขาเป็นประกายภายใต้แสงแดดอ่อนๆ ผมได้ยินเสียงตัวเองถอนหายใจเฮือก “ความรักบางทีก็เป็นเรื่องน่ากลัวนะ”
“ครับ”
“...”
“โทวะซัง”
“หืม?”
“คุณเคยรักใครบ้างรึเปล่าครับ?”
ผมหันไปมองเขาอีกครั้ง “ถามทำไมน่ะ?”
“ก็... คนมีความรักชอบทำแต่เรื่องน่ากลัวนี่ครับ”
ผมเลิกคิ้ว ไม่รู้จะนึกขันหรืออะไรดีกับคำพูดของเขา “อะไรทำให้เธอคิดแบบนั้นล่ะ”
งินไม่ตอบ ได้แต่ก้มหน้างุด ผมเลยพูดตอบเขาไป “คนมีความรักไม่ได้ทำเรื่องน่ากลัวไปทุกคนหรอก บางคนเขาก็แค่รักมากไปจนตัดใจไม่ได้เท่านั้น”
งินเงยหน้ามองผม “งั้นคุณคงไม่ใช่คนแบบนั้นใช่ไหมครับ?”
“ฉันน่ะหรือ?” ผมย้อนถามแล้วหัวเราะ “แน่นอน ฉันน่ะยังไม่เคยรักใครจนตัดใจไม่ได้แบบนั้นหรอก”
เงือกหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างผมคลี่ยิ้มออกมา “ดีจัง งั้นคุณก็ไม่เป็นคนใจร้าย”
ผมฟังแล้วอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกเขาที่ลุกขึ้นยืนฉุดมือให้ลุกตามเสียก่อน “วันนี้คุณอยากไปดูที่ไหนอีกครับ เดี๋ยวผมอาสาพาเที่ยวเอง”
ผมมองมือของงิน ก่อนจะต้องรีบเบนสายตาออกจากช่วงสะโพกของเขา “เอ่อ... ใส่เสื้อผ้าก่อนดีมั้ย?”
งินสะดุ้งเหมือนเพิ่งนึกได้ ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อที่ซุกเอาไว้ที่ซอกโขดหิน ผมมองไล่เขาไปทางหางตา แล้วบอกกับตัวเองว่าต้องสอนเขาเรื่องมารยาทเวลาเป็นคนบ้างล่ะ
อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ควรแก้ผ้าล่อนจ้อนเดินไปเดินมาต่อหน้าผมแบบนี้
----------------------------------------
** ฮุ ฮ่าๆๆ ดิฉันมั่นใจว่าถึงตอนนี้ หลายคนต้องสงสัยเรื่องของซุบารุเหมือนโทวะซังแน่ๆ แต่ทว่า... เรื่องของซุบารุนั้นจะยังคงเป็นความลับจนกว่างินและโทวะจะเข้าใจกัน กร๊าสสส
.
ปล. เป็นการลงนิยายที่เร็วที่สุดในรอบหลายปี

ปล.2 อวยซุบารุแบบออกนอกหน้า

ปล.3 โชตะแบบโอจิค่อนประหลาดมากๆ เรื่องนี้

ปล.4 พอเหอะ!!!
