[เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องเงือกๆ] Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร ตอนที่9-10(จบ) P.4 (23/12/58)  (อ่าน 65234 ครั้ง)

ออฟไลน์ Autonomyz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
แหม่ ถ้าไม่บอกว่าตาลุงเนี่ยเป็นหนุ่มจากคันโต ฉันจะนึกเอาแล้วว่าพ่อเจ้าประคุณเป็นหนุ่มโอซาก้า
คารมณ์ดีสะเหลือเกิน! เกินหน้าเกินตาหนุ่มๆคนอื่นแถบนี้นะ 555555
หยอดเอ๊า หยอดเอา หลอกลวงเงือกน้อยชัดๆ
ระวังโอจิซังของเงือกเค้าจะเขมือบหัวเอานะ
ได้ข่าวว่าดุๆอยู่ใช่ไหม 5555555555555

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog


Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่9 เรือสำราญ

                ตั้งแต่กลับมาจากเกาะนางเงือกบ้านเกิดของตัวเอง คามิซาวะไม่ยอมพูดอะไรเกี่ยวกับที่นั่นเลยแม้แต่นิดเดียว กระทั่งผมถามจี้ เขาก็ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่อยากพูดถึง เอาเหอะ อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ได้ขัดขวางผมเรื่องการจัดดินเนอร์บนเรือสำราญ แถมยังจัดการเชิญแขกซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทเครือพันธมิตรต่างๆ ให้เสร็จสรรพ ทำหน้าที่ได้ดีสมกับเป็นเลขาปากกาทองที่ผมจ่ายค่าจ้างแสนแพงจริงๆ

                วันหนึ่ง ขณะนั่งรถกลับ ผมได้ยินเสียงเขาฮัมเพลง เลยนึกอะไรขึ้นมาได้ “คามิซาวะซัง”

                “ครับ?” เขาหันหน้ามาหาผมด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือ?”

                ผมหันกลับไปมองเขา “ไปร้องคาราโอเกะกัน”

                คามิซาวะทำหน้าเหมือนจะสำลักน้ำ “วะ... ว่าไงนะครับ?!”

                “ผมบอกว่าไปร้องคาราโอเกะกัน” ผมพูดพลางจ้องตาเขาผ่านแว่นไม่มีเลนส์อันนั้น ก่อนจะหันไปบอกคนขับรถ “ชิรุ แวะร้านคาราโอเกะตรงหัวมุมนี้หน่อยสิ ผมอยากร้องเพลง”

                เลขาตัวดีของผมอ้าปากพะงาบๆ ด้วยพูดไม่ออก กว่าที่เขาจะเค้นเสียงออกมาได้ รถก็จอดหน้าร้านคาราโอเกะแล้ว ผมหันมองเขา ก่อนจะเปิดประตูรถ “เป็นอะไร ไม่ต้องกังวลหรอก มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”

                “ตะ... แต่...” คามิซาวะทำท่าจะปฏิเสธ แต่ถูกผมชิงพูดตัดหน้าเสียก่อน “หรือต้องให้ผมทำหนังสือเชิญคุณร้องคาราโอเกะล่ะ”

                นั่นแหละ เขาถึงยอมเดินตามผมเข้ามาในร้าน ผมให้ชิรุรออยู่ที่รถ เพราะตั้งใจจะแวะที่นี่ไม่นาน แค่อยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่างเท่านั้นเอง

                ผมสั่งเปิดห้องคาราโอเกะแบบส่วนตัวห้องหนึ่ง ก่อนจะหยิบไมค์ส่งให้เลขาหนุ่ม “ร้องเพลงให้ผมฟังสักเพลงสิ ผมอยากฟัง”

                คามิซาวะรับไมค์อย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ร้องในทันที “ทำไมจู่ๆ นึกอยากฟังผมร้องเพลงล่ะครับ”

                “ก็ได้ยินมาว่าคุณร้องคาราโอเกะเก่ง ผมกำลังคิดว่าถ้าเสียงคุณเยี่ยม ผมจะให้คุณร้องเพลงกล่อมแขกบนเรือที่เราจัดเลี้ยง เผื่อหลายคนจะยอมตกลงอะไรได้ง่ายๆ บ้าง”

                ดวงตาของคามิซาวะเป็นประกายขึ้นมาทันที “อ๋อ เรื่องนี้เอง งั้นก็ไม่มีปัญหาครับ”

                “อืม... ร้องให้ผมฟังสักเพลงสิ เอาเพลงที่คุณฮัมตะกี้ก็ได้”

                คามิซาวะรีบปฏิเสธทันที “เพลงนั้นไม่มีทำนองหรอกครับ ผมฮัมมั่วๆ เอาเฉยๆ”

                “งั้นเหรอ ผมว่ามันฟังเพราะดีออก มั่วอีกทีไม่ได้หรือไง”

                “ไม่ได้ครับ” เขาตอบเสียงหนักแน่น ก่อนจะหยิบรีโมตขึ้นมา กดเลือกเพลง “เอาเพลงนี้แล้วกัน ผมว่าคุณต้องชอบแน่”

                เสียงไวโอลินทำนองเพลง Sekai ni Hitotsu Dake no Hana ของวง SMAP ดังขึ้น ขณะที่คามิซาวะถือไมค์ประหนึ่งว่าเป็นสมาชิกวงคนใดคนหนึ่งอย่างนั้น

                ‘Hanaya no misesakini naranda

                Iron na hana wo miteita

                Hitosorezorekonomi wa arukedo

                Doremo minna kirei dane

 

                ชั้นมองเห็นดอกไม้หลากสีหลายพันธุ์

                ตั้งเรียงรายอยู่ที่หน้าร้านขายดอกไม้

                ทุกคนต่างก็มีความชอบที่แตกต่างกัน

                แต่ว่าดอกไม้แต่ละดอกต่างก็งดงามทั้งนั้น

               

                Kono naka de dare ga ichiban da nante

                Arasou koto mo shinaide

                Bucket no naka hogorashigeni

                Jyanto mune wo hatteiru

 

                ดอกไม้เหล่านั้น ไม่มีการต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกัน

                ว่าใครเป็นดอกที่งดงามที่สุด

                แต่ละดอก แต่ละดอก ต่างก็ยืดอก

                ภาคภูมิใจในตัวเองอยู่ในตะกร้าใส่ดอกไม้ของตน

               

                Sorenanoni bokura ningen wa

                Doushite koumokurabetagaru?

                Hitori hitori chigaunoni sononakade

                Ichiban ni naritagaru?

 

                ทั้ง ๆ อย่างนั้นแท้ ๆ ทำไมมนุษย์อย่างพวกเรา

                ถึงได้ชอบประกวดประขันเปรียบเทียบกันอย่างนี้

                ทั้ง ๆ ที่แต่ละคนก็แตกต่างกันอยู่แล้ว

                แต่ทำไมถึงยังได้อยากเป็นที่ 1 กันนัก?

 

                Sousa bokura wa

 

                Sekai ni hitotsu dake no hana

                Hitori hitori chigautane wo motsu

                Sonohana wo sakaserukotodakeni

                Isshougenmei ni narebaii

 

                ใช่แล้วล่ะ พวกเราน่ะ

 

                ต่างก็เป็นดอกไม้เพียงดอกเดียวในโลกนี้

                ทุกคนต่างมีเมล็ดพันธุ์ของตัวเอง

                จงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ดอกไม้นั้นเติบโตอย่างงดงาม

                พยายามเพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

 

                Komattayouni warainagara

                Zutto mayotteru hito ga iru

                Ganbattesaita hana wa doremo

                Kireidakara shikatanaine

 

                ชั้นเห็นคนคนนึง หัวเราะพลางทำท่าทางลำบากใจอยู่หน้าร้านขายดอกไม้

                ก็คงช่วยไม่ได้ล่ะนะ เพราะดอกไม้แต่ละดอกที่ต่างพยายามบานอย่างเต็มที่มันช่างงดงามจริง ๆ

 

                Yatto mise kara dete kita

                Sono hito ga kakaeteita

                Irotoridori no hanataba to

                Ureshisouna yokogao

 

                ในที่สุดเขาก็เดินออกมาจากร้านขายดอกไม้ซะที

                และสิ่งที่ในมือเขาคนนั้นโอบกอดเอาไว้

                ก็คือช่อดอกไม้หลากสีสัน

                รวมทั้งใบหน้าด้านข้างที่ยิ้มแย้มอย่างเต็มที่

 

                Namae mo shiranakattakeredo

                Anohi boku ni egao wo kureta

                Dare mo kitzukanaiyouna basho de

                Saiteta hana no youni

 

                ทั้งๆ ที่ชั้นไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของเขา

                แต่เพียงแค่นั้นเขาก็นำรอยยิ้มมาให้ชั้นได้ทั้งวันแล้ว

                เหมือนกับดอกไม้ที่บานอยู่ในที่ที่ไม่มีคนสนใจนั่นแหละ

 

                Sousa bokura mo

 

                Sekai ni hitotsu dake no hana

                Hitori hitori chigautane wo motsu

                Sonohana wo sakaserukoto dake ni

                Isshougenmei ni narebaii

 

                ใช่แล้วล่ะ พวกเราเองก็

 

                ต่างก็เป็นดอกไม้เพียงดอกเดียวในโลกนี้

                ทุกคนต่างมีเมล็ดพันธุ์ของตัวเอง

                จงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ดอกไม้นั้นเติบโตอย่างงดงามกันเถอะ

                พยายามเพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

 

                Chisaihana ya ookinahana

                Hitotsutoshite onajimono wa naikara

                NO.1 ni naranakutemo ii

                Moto moto tokubetsu na Only one

 

                ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ดอกเล็กหรือดอกใหญ่

                แต่ก็ไม่มีดอกไหนที่เป็นแบบเดียวกันหรอก

                ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นหมายเลข 1

                จงมาเป็นดอกไม้ที่พิเศษสุดเพียงดอกเดียวในโลกนี้กันเถอะ’ (* คำแปลโดยคุณ อ้วนเต้ย จากบล็อกแก๊ง http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=mypace&month=05-2007&date=15&group=6&gblog=94)

                ผมปรบมือให้เขาหลังเพลงจบ พลางพูดชม “เสียงคุณดีมาก มิน่า หลายคนในบริษัทถึงชอบไปร้องคาราโอเกะกับคุณ ไม่ลองไปสมัครเป็นนักร้องล่ะ?”

                คามิซาวะหัวเราะเขินๆ อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก “แหม... ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ผมก็แค่ชอบร้องเพลงเป็นงานอดิเรกเฉยๆ ไม่ได้คิดจะเอาดีเอาเด่นอะไรด้านนี้หรอก”

                ผมกวาดตามองเขา ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วยกมือลูบคางอย่างครุ่นคิด “นี่ถ้าคุณไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่ แต่ขอผมกลับไปตั้งแต่หลังพระอาทิตย์ตก ผมต้องคิดว่าคุณเป็นเงือกแน่ๆ”

                คามิซาวะทำท่าเหมือนจะสำลักไมค์ เขาถลึงตาจ้องผมเหมือนเห็นของแปลก “วะ... ว่าไงนะครับ!”

                “เสียงคุณกับงินคล้ายกันมาก” ผมตั้งข้อสังเกตต่อ “ถ้าผมฟังแบบไม่ลำเอียง เสียงคุณยังดีกว่าเขาอีก ยังดีนะที่คุณมีขาเดินได้ปกติตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนคนทั่วไป”

                เลขาหนุ่มของผมมีสีหน้าเหมือนมีอะไรติดคอ เขาถลึงตาจ้องผมอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็แค่นเสียงตอบผมออกมาได้เสียที “ละ... ล้อเล่นหนักไปแล้วทาซากิซัง ผะ... ผมก็ยืนอยู่ตรงนี้ไงครับ”

                ผมหรี่ตามองเขาอยู่อีกครู่หนึ่ง คราวนี้คามิซาวะทำท่าเหมือนทำอะไรไม่ถูก เขาเริ่มมองซ้ายมองขวา ประหนึ่งว่ากำลังหาทางหนีจากผมอย่างไรอย่างนั้น

                “นี่ เป็นอะไรไป คามิซาวะซัง แค่ผมทักว่าเหมือนเงือก คุณถึงขั้นไปไม่เป็นเลยเหรอ? ถามจริงเถอะ คุณมีความเกี่ยวข้องยังไงกับเงือกกันแน่ มีบรรพบุรุษเป็นเงือก หรือว่าเป็นเงือกพันธุ์พิเศษยิ่งกว่างิน?”

                คามิซาวะรีบยกมือให้ผมหยุดพูด “ช้าก่อนครับ ทาซากิซัง คุณละลาบละล้วงเรื่องผมมากไปแล้ว”

                ผมเลิกคิ้วกับสำนวนการพูดของเขา ด้วยไม่คิดว่าจะได้ยินสำนวนโบราณแบบนี้จากปากคนอายุสามสิบห้า “คามิซาวะ ผมแค่ถาม”

                “ถามก็ไม่ได้ครับ” เขาตอบผม และเปลี่ยนท่าทางมาเป็นเรียบเฉยเหมือนปกติอย่างรวดเร็ว “ห้ามพูดถึงเรื่องเงือกกับผมอีกนะครับ ไว้ถึงเวลา ผมจะเล่าให้คุณฟังเอง”

                พอถูกเขาใช้ดวงตาสีดำสนิทหลังแว่นไร้กรอบคันนั้นจ้อง ผมก็อ้าปากไม่ออกดื้อๆ ไม่รู้สึกมาก่อนเลยว่าคามิซาวะจะมีแววตาน่ากลัวขนาดนี้

                “อืม... ก็ได้”

                “ขอบคุณครับ... แล้ว เราจะกลับกันรึยังครับ ผมเรียกพนักงานมาปิดห้องเลยดีกว่า ยังไงคุณเองคงไม่คิดจะร้องคาราโอเกะอยู่แล้ว”

                “อืม...”

-------------------------------------------

                คามิซาวะมาส่งผมถึงบ้านเช่นเคย ก่อนกลับผมไม่วายบอกเขา “คามิซาวะซัง ยังไงวันงานบนเรือ คุณต้องขึ้นร้องเพลงนะ ผมตัดสินใจแล้ว เอาเพลงที่คุณร้องวันนี้แหละ ความหมายดีมาก”

                คามิซาวะมองผมแล้วยิ้ม “เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอกครับ ผมรู้ คุณชอบSMAP” เขาพูดพลางโค้งให้ผม ก่อนจะกลับขึ้นรถไป ผมมองไล่หลัง ก่อนจะถอนหายใจดังเฮือก

----------------------------------------

                วันเวลาอันวุ่นวายไหลผ่านผมไปอย่างรวดเร็วเหมือนสายน้ำ รู้ตัวอีกทีก็ถึงกำหนดดินเนอร์บนเรือสำราญแล้ว คามิซาวะและทาคุโบะช่วยกันตรวจรายชื่อแขกที่เชิญขึ้นเรือ ส่วนเรื่องอาหารและดนตรี ทางบริษัทให้เช่าเรือเป็นผู้จัดหา แม้จะยุ่งแสนยุ่ง แต่ผมไม่ลืมโน้ตไปในรายละเอียดว่า ให้เตรียมเปียโนให้ผมหลังหนึ่ง แต่ไม่ต้องวางในห้อง ให้วางเอาไว้ในร่ม ใกล้กับท้ายเรือ ในส่วนที่มีบันไดทอดลงไปได้ ส่วนเหตุผลว่าทำไมถึงต้องทำแบบนั้น ผมคงไม่สามารถอธิบายให้พวกเขาเข้าใจได้หรอก

                “ทาซากิซังครับ หล่อแล้วล่ะครับ ถ้าคุณยังดูกระจกต่ออีกสามนาที ผมว่าเราคงต้องยกเลิกนัด” คามิซาวะส่งเสียงเตือนผม ระหว่างที่ผมกำลังตรวจเช็กความเรียบร้อยของตัวเองก่อนนั่งรถไปยังท่าเรือ ให้ตายเหอะ ผมอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่ายังอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาจริง แต่ก็นั่นแหละ ผมใช้เวลาหน้ากระจกนานกว่าปกติอย่างที่ตัวเองไม่คิดว่าชีวิตนี้จะทำได้ พอเห็นเขาทำท่าจะเหน็บอีก ผมจึงต้องรีบย้ายตัวเองออกมา “ไปกันเถอะ”

                คามิซาวะกวาดตามองผม ก่อนจะหยุดที่แหวนมุกบนนิ้ว “ทาซากิซัง แหวนวงนี้น่ะ... ถอดไว้บ้านเถอะ”

                ผมหรี่ตามองเขาทันที “ทำไม คุณเห็นว่ามันไม่สวยหรือ?”

                คามิซาวะทำหน้าปั้นยาก “มันก็สวยดีหรอกครับ อันที่จริงผมก็ไม่คิดเหมือนกัน ว่าชีวิตนี้จะได้เห็นผู้ชายใส่แหวนมุกแล้วดูดีแบบคุณ แต่มันอาจจะดูไม่ดีเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น”

                ผมยักไหล่ “ถ้าคุณยังบอกว่าผมดูดี ต่อหน้าคนอื่นก็ช่างมันเถอะ”

                ได้ยินเสียงคามิซาวะจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ “ให้ตายเถอะทาซากิซัง ผมรู้นะว่าคุณจงใจใส่แหวนนั่นไปอวดงิน ไม่ต้องเลยนะครับ ถอดออกเลย”

                ผมชักรู้สึกรำคาญคามิซาวะขึ้นมา “ผมจะใส่ไปให้ใครดูมันก็เรื่องของผม คุณนี่อะไรนัก”

                เลขาตัวดีของผมทำท่าหงุดหงิด “ก็ได้ครับก็ได้ ครั้งนี้ถือว่าผมยอมให้ก่อนแล้วกัน”

                ผมเหลือบตามองเขา ก่อนจะเดินผ่านออกไปขึ้นรถ

---------------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                กำหนดล่องเรือสำราญเริ่มตั้งแต่ห้าโมงเย็นจนถึงสามทุ่ม แต่ทว่าผมพาตัวเองมาถึงท่าเรือตั้งแต่บ่ายสอง โดยแจ้งจุดประสงค์ไปว่า ผมต้องการเช็กความเรียบร้อยและอยากใช้เวลาส่วนตัวสักชั่วโมงสองชั่วโมงบนเรือก่อน ซึ่งทางบริษัทเองก็ไม่ขัดข้อง มีแต่เจ้าคามิซาวะนี่แหละ ที่เอาแต่บ่นกระปอดกระแปดว่าเสียเวลาบ้างอะไรบ้าง นี่ยังไม่นับรวมการคัดค้านแบบไร้เหตุผลของเขาตอนที่รู้เรื่องด้วย

                “นี่ คามิซาวะซัง ถามจริงๆ เถอะ คุณจะบ่นอะไรนัก ผมแค่อยากใช้เวลาส่วนตัวบนเรือเฉยๆ” ผมอดไม่ได้ต้องถามเขาในตอนที่พวกเรากำลังจะเดินขึ้นเรือ โดยมีผม เขา ทาคุโบะ และเจ้าหน้าที่ประจำเรืออีกสองสามคน คามิซาวะตีหน้าเครียดตอบผม

                “ผมรู้นะว่าคุณมีจุดประสงค์อื่น”

                “จุดประสงค์อะไรล่ะ?” ผมย้อน เลขาหนุ่มของผมทำหน้าขัดใจ เขาเงียบไปสักพัก จึงเอ่ยปากต่อ “ผมรู้ว่าคุณนัดงินไว้... แต่เขายังเด็ก”

                “เขาอายุตั้งเก้าสิบห้าแล้วน่า ไม่เด็กแล้ว เป็นปู่ผมได้แล้วด้วยซ้ำ”

                “แต่สำหรับเงือกนั่นคือเด็กนะครับ!”

                ผมขมวดคิ้วมองคามิซาวะ “แล้วไง... ผมแค่นัดเจอเขา แค่นั้น ผมอยากให้เขามาฟังผมเล่นดนตรี แค่ฟังดนตรีก็ไม่ได้หรือ? นี่คุณเป็นผู้ปกครองเขาหรือไง?”

                “ผม!” คามิซาวะพูดได้แค่นั้นก็ต้องขบฟันกรอดๆ ผมมองแล้วไม่รู้ว่าควรจะนึกขำหรืออะไรดี พอเห็นเขาไม่ยอมพูดอะไรต่อ ได้แต่ทำท่าโมโหจนหน้าดำหน้าแดง ผมเลยพูดแซวออกไป

                “ไม่บอกผมล่ะ ว่าคุณเป็นโอจิซังของเขา ผมว่าด้วยท่าทางของคุณมันก็ให้อยู่นะ”

                คามิซาวะจ้องผมด้วยสายตาเหมือนกับจะแทงให้ทะลุ ก่อนจะเค้นเสียงออกมา “ทาซากิซังครับ ผมจะถือว่าคุณพูดแบบไม่เจตนาแล้วกัน”

                “อ้อ... ถ้าผมเจตนาล่ะ”

                คนถูกถามหลับตาอย่างอดทนอดกลั้น “ผมไม่ยอมรับว่าเป็นน้าของเงือกที่แก่รุ่นปู่คุณแน่นอน ผมยังไม่อยากแก่ขนาดนั้น”

                ผมหัวเราะออกมา “เอาน่า คามิซาวะซัง ผมเองก็ไม่คิดว่าคุณจะอายุเป็นร้อยสองร้อยปีหรอกนะ เพราะดูยังไงคุณก็หน้าตาแบบคนอายุสามสิบสี่สิบเท่านั้นเอง”

                คราวนี้คามิซาวะมองผมชนิดที่ว่าถ้าเขาอ้าปากกัดผมได้ คงทำไปแล้ว “ทาซากิซัง ปีนี้ผมเพิ่งอายุสามสิบห้าครับ!”

                “ครับๆ” ผมรับคำส่งเดช แล้วพยายามกลั้นหัวเราะแบบจนใจให้เขามองเห็น คามิซาวะเลยเอาแต่ทำหน้าดำคร่ำเครียดใส่ผมจนเรือออก ผมเลยสั่งให้เขาไปนั่งสงบสติอารมณ์ในห้องอาหารของเรือ ส่วนตัวเองออกมาเดินสูดอากาศด้านนอก

                ผมเดินเตร็ดเตร่ไปมาแถวกราบเรือ ชะเง้อมองไปบนผิวน้ำ เผื่อจะเห็นอะไรที่แปลกไปกว่าคลื่นบ้าง เวลาผ่านไปห้านาที สิบนาที สิบห้านาที... ในที่สุด ผมก็เห็นเขาแล้ว

                “ทาคุโบะ ผมจะไปทำธุระสำคัญที่ท้ายเรือ คุณกันอย่าให้ใครเข้าไปยุ่งตรงนั้นเข้าใจนะ” ผมสั่งความลูกน้องคนสนิท ก่อนจะรีบเดินฉับๆ ไปยังบันไดท้ายเรือ โดยที่สายตายังคงมองเงาสีเงินที่ส่องประกายอยู่ไกลๆ

                เขามาแล้ว

                “งิน” ผมเรียกชื่อเขาด้วยความรู้สึกเหมือนได้เจอคนที่รอคอยมานาน ในตอนที่เขาโผล่หน้าขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ก่อนจะหย่อนบันไดลงไป

                “โทวะซัง” งินเรียกชื่อผม ขณะปีนขึ้นมาบนเรือ ผมหยิบผ้าเช็ดตัวมาห่อตัวเขาไว้ ระหว่างที่รอให้ครีบหางเขาเปลี่ยนเป็นขา ระหว่างนั้นงินหันซ้ายหันขวา ก่อนจะหันมามองผม “ซุบารุซังล่ะครับ?”

                “นั่งอ่านหนังสืออยู่ล่ะมั้ง ช่างเขาเถอะ” ผมตอบ แล้วหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ส่งให้เขา งินเลิกคิ้วสูง ดูแปลกใจกับเสื้อเชิ้ต กับเวส และสแล็กสีขาวที่ผมเตรียมไว้

                “นี่เสื้อผมเหรอครับ?”

                “อือ” ผมพยักหน้า แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าขึงขัง “เวลาฟังเปียโนต้องแต่งตัวสุภาพรู้มั้ย แต่งตัวแบบตอนอยู่บนเกาะไม่ได้หรอก”

                “ทำไมล่ะครับ? แบบนั้นไม่สุภาพหรือ?” งินถามผมด้วยดวงตาใสซื่อ ให้ตายเหอะ ผมอยากจะบอกเขาจริงๆ ว่า อันที่จริงแล้วไอ้เรื่องไม่สุภาพน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าเกิดมีใครมาเห็นเขาใส่กางเกงขาสั้นแนบเนื้อกับเสื้อสีขาวตัวบางๆ ผมคงโมโหตาย

                คนบนเกาะน่ะไม่เป็นไร เพราะคงเห็นจนชินแล้ว แต่คนอื่นจะเชื่อได้ที่ไหน

                ถึงกระนั้น ให้บอกเขาแบบนี้ก็คงไม่เข้าใจ ผมเลยจำต้องบอกเขาด้วยเหตุผลอื่น “ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ไหนๆ เธออุตส่าห์มาหาฉันทั้งทีแล้ว ให้ฉันเตรียมเสื้อผ้าใหม่ให้เธอบ้างจะเป็นไรไป อีกอย่างจะได้เข้าคู่กับชุดที่ฉันใส่ด้วย”

                งินเบิ่งตาสีเขียวน้ำทะเลมองผม ก่อนจะรีบพยักหน้า “เข้าใจล่ะครับ”

                เขาเริ่มใส่เสื้อผ้าต่อหน้าผม อืม... ก่อนหน้านี้ผมก็เห็นเขาเปลือยต่อหน้ามาหลายครั้ง ถึงขนาดนั้นเดินแกว่งไปแกว่งมาให้ดูเลยก็มี แต่คราวนี้ไม่รู้เป็นอะไร พอเห็นร่างเปลือยๆ ของเขา หัวใจผมก็เต้นถี่ หลายส่วนในร่างกายก็เริ่มร้อนขึ้นมา

                แย่ล่ะ!

                “หืม? โทวะซังทำไมหันหน้าหนีอย่างนั้นล่ะครับ? ท่าทางใส่เสื้อของผมน่าเกลียดจนคุณทนดูไม่ได้เลยหรือ?”

                ผมรู้ว่าเขาถามด้วยความซื่อล้วนๆ แต่ให้ตายเถอะ ตอนนี้ผมชักรู้สึกว่าความซื่อแบบนี้ของเขามันช่างร้ายกาจจนยากจะทน

                “เปล่าหรอก” ผมตอบ พลางบอกตัวเองให้สงบจิตสงบใจไว้ ผมชวนเขาขึ้นมาฟังดนตรี อย่าเพิ่งทำให้บรรยากาศมันเสียด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้จะดีกว่า

                “คือฉันจะไปเช็กเปียโนหน่อยน่ะ” พูดจบผมก็รีบเดินตรงไปยังเปียโนที่วางอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ เปิดฝาครอบแป้นออก แล้วไล่นิ้วลงไปอย่างเอาจริงเอาจังประหนึ่งว่ากำลังจะลงประกวดเปียโนระดับประเทศก็ไม่ปาน

                “โทวะซัง ดูหน่อยสิครับ แบบนี้ผมใส่ถูกรึเปล่า?” เสียงของงินดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผมจำต้องเปือนหน้าไปมองเขา

                โอ้ ให้ตายเหอะ!

                “โทวะซัง?” งินส่งเสียงเรียกผม พลางเอียงคอด้วยความสงสัย อืม... ผมคิดว่าเขาควรจะสงสัย เพราะผมก็สงสัยท่าทางของตัวเองตอนนี้เหมือนกัน

                บอกผมที ที่อยู่ตรงหน้าผมนี้คือเงือก ไม่ใช่เทวดาตกสวรรค์มาจากที่ไหน

                “โทวะ...”

                “อ้อ” ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ผมส่งเสียงออกมาได้เสียที ผมพยายามขยับลูกตาตัวเองที่เหมือนถูกดูดเอาไว้กับแม่เหล็ก กวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกออกมา สีหน้าของงินดูเจื่อนลงทันที พอเห็นแบบนั้นผมเลยต้องรีบพูดต่อ “ฉันกำลังจะบอกว่า ดูดีมากเลย”

                เงือกหนุ่มตนนั้นมองผมแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือครับ?”

                “อืม...” ผมพยักหน้า “ดูดีจนฉันพูดไม่ออกเลย”

                คิ้วได้รูปของงินขมวดเข้าหากัน “ล้อเล่นแบบนี้ผมไม่ขำนะครับ ดูไม่ดีก็บอกมาตรงๆ เลย”

                “ฉันยังไม่เห็นส่วนไหนของเธอที่ดูไม่ดีเลยนะ”

                “ก็ตะกี้คุณเพิ่งถอนหายใจ มันแสดงว่าคุณเห็นแล้วไม่พอใจไม่ใช่หรือครับ?”

                ผมล่ะอยากจะถอนหายใจซ้ำอีกครั้งจริงๆ “นี่... บางทีการถอนหายใจมันก็ไม่ได้หมายถึงไม่พอใจหรอกนะ มันอาจจะหมายถึงการโล่งใจก็ได้”

                “อ๋อ...” งินทำท่าเหมือนจะเข้าใจ แต่แล้วก็ทำหน้าสงสัยอีก “แต่คุณเอาแต่จ้องผมแล้วถอนหายใจ มันจะหมายถึงการโล่งใจได้ยังไงล่ะครับ แบบนั้นมันหมายถึงไม่ได้เรื่องไม่ใช่หรือไงครับ?”

                ผมสูดหายใจลึก พยายามลำดับความคิดว่าต้องอธิบายเรื่องนี้ให้เขาเข้าใจอย่างไรดี “เอาล่ะ ฟังฉันนะงิน ที่ฉันถอนหายใจหมายถึงโล่งใจจริงๆ ที่ฉันโล่งใจเพราะในที่สุดฉันก็หยุดเอาแต่เงียบแล้วจ้องเธอได้เสียที แล้วทำไมฉันถึงต้องเงียบแล้วจ้องเธอรู้มั้ย เพราะเธอดูดีมาก ดูดีจนฉันสงสัยว่าเธอเป็นเทวดารึเปล่า?”

                งินมองผมตาปริบๆ “โทวะซัง... คุณตากแดดมากไปรึเปล่าครับ? ผมเป็นเงือกนะครับไม่ใช่เทวดา อีกอย่างเทวดาต้องลอยลงมาจากฟ้าสิครับ”

                ผมคิดว่าคงป่วยการจะสื่อเรื่องนี้ให้เขาเข้าใจ เลยตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง “มานั่งตรงนี้สิ”

                งินดูจะงงๆ กับการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็วของผม แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก ยอมมานั่งบนเก้าอี้ข้างผมแต่โดยดี

                “............”

                คราวนี้กลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมพูดอะไร งินเอาแต่นั่งเงียบจ้องเปียโนตรงหน้า ส่วนผมก็เอาแต่เหลือบมองเขาไม่หยุด บรรยากาศชักกระอักกระอ่วนเข้าไปทุกที ผมเลยตัดสินใจไล่นิ้วลงไปบนแป้นเปียโน กะว่าจะเล่นเพลงให้เขาฟังสักเพลงหนึ่ง ที่จริงผมเตรียมเพลงไว้แล้ว แต่เพราะตอนเริ่มไล่นิ้วสติของผมไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ ไปๆ มาๆ เพลงที่เล่นเลยกลายเป็นเพลง Sekai ni Hitotsu Dake no Hana ที่คามิซาวะร้องเมื่อวานไป

                ‘Hanaya no misesakini naranda

                Iron na hana wo miteita

                Hitosorezorekonomi wa arukedo

                Doremo minna kirei dane’

                ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองหูฝาด ไม่ก็คามิซาวะแอบมาร้องเพลงประกอบให้ผมอยู่ตรงส่วนไหนสักแห่ง แต่พอตั้งใจฟังดีๆ ถึงได้รู้ว่าคนที่ร้องเป็นคนที่นั่งอยู่ข้างผมนี่แหละ แม้จะแปลกใจระคนสงสัย แต่ผมไม่อยากถามคำถามหรือหยุดเล่นเปียโนเพื่อทำลายบรรยากาศอันดีนี้

                เสียงของงินสดใสเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้า พอประกอบกับเสียงเปียโนและเสียงคลื่นที่ซัดกราบเรือเบาๆ แล้ว ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบกอดท่ามกลางแสงตะวันอ่อนๆ

                ด้วยความลำเอียงล้วนๆ ผมขอตัดสินว่าเสียงของงินเพราะกว่าคามิซาวะเป็นไหนๆ

                เพราะอยากฟังเขาร้องเพลงนานๆ ผมถึงขั้นเล่นท่อนฮุกซ้ำเกินกว่าของเดิมถึงสองครั้ง แต่งินคงเข้าใจว่าเป็นท่อนที่ผมต้องเล่นคนเดียวล่ะมั้ง เลยเงียบเสียงไปตั้งแต่จบเพลงจริงๆ

                พอรู้ว่ายังไงเขาคงไม่ร้องต่อแน่ ผมจึงจำต้องจบเพลงลง แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เงือกหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างผมก็ชิงพูดขึ้นก่อน

                “โทวะซัง ผมชอบเปียโนที่คุณเล่นจัง มันเพราะมากเลยนะครับ”

                สีหน้าที่แสดงความชื่นชอบจากใจจริงของเขาทำเอาหัวใจผมพองโต ผมเอาแต่ยิ้ม เกือบจะลืมเรื่องที่จู่ๆ เขาก็ร้องเพลงนี้ด้วยซ้ำ ยังดีที่นึกขึ้นมาได้เสียก่อน

                “ขอบใจนะ เอ้อ... ฉันมีเรื่องอยากถาม ทำไมเธอถึงร้องเพลงนี้ได้ล่ะ?”

                “อ๋อ ทาคาระจังชอบฟังครับ เขาเป็นคนบนเกาะ แต่ออกไปหลายปีแล้ว เขาเคยเปิดเพลงนี้ช่วงหนึ่งเมื่อตอนที่ยังอยู่ เขาก็อายุรุ่นๆ คุณนี่แหละ” งินตอบผมเสียงใส ผมพยักหน้าหงึก เข้าใจเหตุผลเสียทีว่าทำไมเขาถึงร้องได้ SMAP นี่ดังจริงๆ ขนาดบนเกาะห่างไกลปานนั้นยังมีคนฟัง แต่พอนึกอีกที งินเรียกคนคนนั้นว่าทาคาระจัง แถมรุ่นเดียวกับผม แสดงว่าในสายตาเขา ผมเป็น...

                “โทวะซัง... ทำไมทำหน้าแบบนั้นครับ?”

                ผมหันมองเขา แค่นยิ้มตอบไป “อ๋อ ฉันกำลังคิดอยู่น่ะ... ว่าถ้าเธอบอกว่าตัวเองยังเด็กที่อายุเก้าสิบห้า แล้วฉันที่อายุแค่สามสิบกว่า จะเรียกว่าอะไรดี”

                งินทำตาโต ก่อนจะรีบสั่นศีรษะ ทำหน้าเหมือนผู้ใหญ่ปลอบเด็กๆ “คุณอย่าเอาอายุตัวเองมาเทียบกับอายุเงือกสิครับ มันเทียบกันไม่ได้หรอก สำหรับผมคุณถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วล่ะ คุณตัดสินใจทำอะไรเองได้แล้ว เดินทางเอง เลือกครอบครัวเอง มองยังไงก็เป็นผู้ใหญ่แหละครับ”

                “อ้อ... เข้าใจล่ะ” ผมพยักหน้า งินมองผมแล้วพูดต่อ “ที่จริงผมอิจฉาคุณนะ อายุไม่เท่าไหร่ก็ได้เป็นผู้ใหญ่แล้ว ดูอย่างผมสิ ปีนี้เก้าสิบห้าแล้วยังเป็นเด็กอยู่เลย”

                ผมยิ้มให้เขาอย่างเอ็นดู “เป็นเด็กก็ดีนี่ ใครๆ ก็อยากเป็นเด็กกันทั้งนั้น ตอนเด็กไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบให้วุ่นวาย พอเป็นผู้ใหญ่แล้ววุ่นวาย ใครๆ ก็อยากกลับเป็นเด็กทั้งนั้น”

                “ไว้ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะลองคิดอย่างที่คุณว่าอีกทีแล้วกันครับ” งินตอบผม ก่อนจะถอนหายใจ พลางกวาดตามองไปรอบๆ “ผมเพิ่งเคยขึ้นเรือครั้งแรกนี่แหละ เรือคุณเหรอครับ?”

                “เปล่าหรอก เช่ามา”

                “อ๋อ” เขาพยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ “ซุบารุซังโวยวายน่าดู ตอนรู้ว่าคุณนัดเจอผม ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะจัดการล่มเรื่องนี้แล้วเสียอีก”

                ผมฟังแล้วก็หัวเราะ “เขาก็พยายามจะทำแบบนั้นแหละ ไม่รู้ว่าหวงอะไรนัก เป็นคนแนะนำฉันให้รู้จักกับเธอเองแท้ๆ”

                งินมองผมแล้วหัวเราะแหะๆ “เขาคงไม่คิดหรอกครับว่าพวกเราจะสนิทถึงขั้นนัดเจอกันแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะครับที่ผมนัดเจอกับคนอื่น”

                “รู้สึกยังไงบ้าง”

                “ตื่นเต้นน่าดูเลยครับ” งินพูด “เมื่อคืนผมแทบนอนไม่หลับแน่ะ กลัวว่าจะหาเรือคุณไม่เจอ”

                ผมรู้สึกหัวใจตัวเองเต้นตึกๆ ขึ้นมา “ฉันเองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน คิดไว้ตลอดเลยว่าอยากเจอเธอ”

                โดยไม่ได้ตั้งใจ จังหวะที่ผมหันไปพูด เขาก็หันมาพอดี สายตาสองคู่ของพวกเราเลยสบกันโดยบังเอิญ ราวกับมีแรงดึงดูด ผมไม่สามารถละสายตาจากเขาไปได้เลย กว่าจะรู้ตัวอีกที ริมฝีปากของพวกเราก็สัมผัสกันแล้ว

                  จูบละมุนเหมือนกินเวลาเนิ่นนานในความรู้สึก แต่ขณะเดียวกันก็คล้ายเป็นเพียงชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง เมื่อผมผละริมฝีปากออก ก็เห็นว่าใบหน้าของงินแดงจัด

                “โทวะซัง...”

                ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ริมฝีปากน่ามองนั้นก็เป็นฝ่ายขยับเข้ามา ก่อนที่พวกเราจะถูกความรู้สึกของกันและกันดึงดูดผ่านทางปลายลิ้น จนลืมเรื่องรอบตัวไปหมดสิ้น สัมผัสได้เพียงความรู้สึกที่กำลังส่งถึงกัน

                สายลมทะเลยามบ่ายพัดผ่านร่าง ผมตระกองกอดงินเอาไว้ แนบจูบชิดลงกว่าเดิม รู้สึกถึงแขนของเขาที่เกี่ยวกระหวัดตัวผมอยู่ หัวใจผมเต้นระรัว ความรู้สึกอุ่นวาบในใจเอ่อท้นขึ้นมาจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้

                “งิน!”

                ลมหายใจของผมชะงักกึก ขณะที่ร่างน้อยๆ ในอ้อมกอดผมรีบผละออกร่าวรวดเร็ว พอหันไปมองตามต้นเสียงก็เห็นคามิซาวะยืนตีหน้าถมึงทึงอยู่ ที่ด้านหลังมีทาคุโบะที่ทำหน้าแบบมองก็รู้เลยว่าห้ามการเข้ามาของเขาไม่สำเร็จ

                “.......”

                ยังไม่ทันที่ใครจะทันได้พูดอะไร เขาก็เดินฉับๆ ตรงเข้ามาหาพวกเรา แล้วคว้าไหล่งินเอาไว้ “ไปกับฉันเลย”

                ผมรีบปัดมือเขาออกแล้วกอดงินเอาไว้แน่น คามิซาวะดูไม่พอใจอย่างมาก เขาหันมาถลึงตาใส่ผม “ทาซากิซัง รู้ใช่มั้ยครับว่าเขายังเด็ก”

                ผมไม่ได้พยักหน้ารับ แค่ส่งเสียงอืมในคอ คิ้วของคามิซาวะขมวดเข้าหากันมากขึ้น “ถ้าผมรู้ว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ผมไม่แนะนำให้คุณรู้จักกับงินแน่”

                “อ๋อ... เสียใจด้วยนะที่คุณไม่รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าแบบนั้น” ผมพูด ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ “เรื่องนั้นน่ะช่างมันแล้วกัน เอาว่าต่อไปนี้พวกคุณสองคนห้ามเจอกันอีก ไม่ว่ายังไงก็ห้าม แล้วก็เอามือออกจากตัวงินเสียที”


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาดูมีอำนาจอะไรบางอย่างที่ผมจะต้องทำตาม แต่หัวใจของผมบอกให้อดทนไว้ กว่าผมจะได้เจองินไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่างเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันของเราก็มีจำกัดอยู่แล้ว

                “ทาซากิซัง...”

                ขณะที่ผมพยายามต่อสู้กับอำนาจเสียงที่เหนือธรรมชาติของคามิซาวะ งินก็ส่งเสียงขึ้นมา “ทสึกิยะซัง!!”

                แก้วตาของคามิซาวะหดวูบ แต่ก็ไม่ยอมละสายตาไปทางไหน ได้ยินเขาเค้นเสียงอีก “เรื่องนี้นายก็ห้ามยุ่ง ทสึกิยะ”

                “อ๋อ... ฉันก็ไม่ได้จะยุ่งเรื่องของงินหรอก” เสียงของใครอีกคนดังตอบขึ้นมา คราวนี้ผมเห็นคามิซาวะสะดุ้ง พอมองไปที่กราบเรือตรงที่มีบันได ก็เห็นเรือนผมสีแดงก่ำ และดวงตาสีเทาวาวกำลังจับจ้องมาพอดี บอกตรงๆ ด้วยสายตาและท่าทางของเขา แม้ผมเองจะเคยเห็นมาหลายครั้ง แต่ก็อดสะดุ้งไม่ได้เหมือนกัน

                “แต่พอดีฉันก็นัดเจอคนอื่นเอาไว้ แล้วคนคนนั้นก็ไม่ยอมโผล่มาเจอฉันเสียที”

                ผมเห็นคามิซาวะกัดฟันกรอดๆ ขณะเค้นเสียงพูดตอบเขาไป “อ๋อ แต่ฉันจำได้ว่าไม่เคยนัดเจอนายแน่นอน”

                เงือกที่มีผิวสีแทนตัดกับสีของดวงตาอย่างชัดเจนยักไหล่ ตอนนี้เขาพาตัวเองขึ้นมานั่งบนกราบเรือเป็นที่เรียบร้อย ผมเพิ่งสังเกตว่าครีบหางของเขาเป็นสีแดงมีเงี่ยงน่ากลัวยื่นยาวออกมา ให้ตายเหอะ ไม่ใช่ว่าหมอนี่ตั้งใจจะมาจมเรือหรอกนะ

                “นายนี่ดื้อจริงๆ ดูงินสิยังรู้จักอะไรๆ มากกว่านายตั้งเยอะ”

                “หุบปากไปเลย!”

                “ซุบารุ...” ไม่พูดเปล่า เจ้าเงือกตัวนั้นพลันพลิกตัวพุ่งเข้าใส่คามิซาวะประหนึ่งงูพิษฉกเหยื่อ แต่คามิซาวะเองก็ไหวตัวไวใช่ย่อย เขาหลบการโจมตีนั้นได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ ได้ยินเสียงทสึกิยะโพล่งออกมา

                “งิน!”

                งินที่นั่งนิ่งอยู่ข้างผมลุกพราดแล้วพุ่งเข้าไปหาคามิซาวะทันที ได้ยินเสียงคามิซาวะร้องลั่น “เฮ้ย!”

                “ขอโทษนะครับโอจิซัง!”

                สิ้นเสียง งินก็ใช้มือผลักอกของคามิซาวะอย่างแรง จนหงายหลังล้มลง เผอิญว่าโชคดีที่มีอีกคนรอรับอยู่

                “ขอบใจมาก” ทสึกิยะพูดพลางใช้ทั้งมือทั้งครีบหางสีแดงก่ำน่ากลัวรัดคามิซาวะเอาไว้ ขณะที่เจ้าตัวดิ้นขลุกขลักสุดแรงเกิด ทั้งต่อยทั้งถีบ ดูเรี่ยวแรงก็ไม่ใช่น้อยๆ

                “พวกนาย จำ..!” ยังไม่ทันที่คามิซาวะจะได้พูดอะไรต่อไปมากกว่านั้น เขาก็ถูกลากลงข้างกราบเรือไปเสียก่อน ภาพเหตุการณ์นั้นทำเอาผมต้องลุกพรวดขึ้นมา “คามิซาวะ!!”

                ทาคุโบะเองก็วิ่งพรวดเข้ามาเหมือนกัน พวกเราสองคนต่างรีบชะโงกไปดูด้านข้างเรือ แต่ไม่เห็นอะไรนอกจากฟองคลื่น ผมนึกหวั่นใจขึ้นมา

                “รีบไปบอกให้คนเอาห่วงยางมาเร็ว มีคนตกเรือ” ผมโพล่ง แต่ก่อนที่ทาคุโบะจะทันได้ขยับ มือของงินก็ยื่นมาจับแขนเขาเอาไว้

                “เรื่องนั้นไม่ต้องหรอกครับ”

                ??!!

                พวกเราหันไปมองเขาเป็นตาเดียว งินหันมามองผม แล้วยิ้ม “ซุบารุซังเป็นเงือก เขาไม่จมน้ำตายแน่ เชื่อผมเถอะ”

                ผมอ้าปากค้าง ขณะที่ทาคุโบะเองก็ดูจะอึ้งไม่แพ้กัน คือ... ผมแค่ล้อเขาเล่นเพราะเห็นเขาดูหวงงินอย่างกับอะไร แต่ไม่ได้คิดจริงๆ หรอกว่าเขาจะเป็นเงือก จังหวะนั้นเองงินก็พูดขึ้นต่อ

                “โทวะซัง ยกมืออุดหูไว้สักประเดี๋ยวนะครับ”

                แม้จะยังงงๆ ที่จู่ๆ เขาก็บอกให้ผมทำอะไรแบบนั้น แต่มือทั้งสองข้างของผมก็ยังอุตส่าห์ยกขึ้นมาอุดหูเอาไว้เหมือนถูกยาสั่ง ตอนนั้นเองที่ผมเห็นงินอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง จากนั้นทาคุโบะก็ล้มฮวบลง

                “เฮ้ย!” ผมร้อง ยกมือที่ปิดหูออกทันที ขณะที่งินยื่นแขนไปรับร่างของคนสนิทผมเอาไว้

                “ใจเย็นๆ ไม่ต้องตกใจนะโทวะซัง เขาแค่หลับไปเฉยๆ ครับ” งินพูดพลางค่อยๆ วางร่างของทาคุโบะพิงไว้กับกราบเรือ “พอเขาตื่นขึ้นมาจะจำเรื่องที่เห็นเมื่อกี้ไม่ได้ คุณไม่ต้องกังวลไปนะครับ”

                ผมมองหน้างิน แล้วเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเสียงของเงือก ที่มีพลังประหลาด สามารถทำให้คนลุ่มหลง หรือสามารถทำให้คนทำตามคำสั่งได้ แม้กระทั่งทำให้ลืมเรื่องบางเรื่องไป

                “.............”

                เสียงลมพัดหวีดหวิวดังอยู่รอบตัว งินมองหน้าผม ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลของเขาสะท้อนแดดยามบ่ายแก่ๆ เป็นประกายสีอ่อน ได้ยินเสียงเขาพูดขึ้นต่อ “คุณคงเสียใจที่จูบผม”

                ผมชะงักกึก ก่อนจะรีบดึงตัวเขาเข้ามากอดแน่น “ไม่มีทาง!”

                งินซบหน้าลงกับอกผม ทิ้งความเงียบเอาไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “คุณไม่คิดเหรอครับว่าที่คุณรู้สึกทั้งหมด อาจจะเป็นเพราะเสียงของผม เสียงของเงือกมีผลต่อจิตใจของคน คุณไม่คิดหรือว่าผมอาจจะกำลังกล่อมคุณด้วยเสียงอยู่”

                ผมสั่นศีรษะ กอดเขาแน่นกว่าเดิม “ฉันไม่สนหรอกว่าจะถูกเธอกล่อมแบบไหน ขออย่างเดียว เธออย่าทำให้ฉันลืมเรื่องเธอก็พอ”

                ผมรู้สึกว่าไหล่ของเขาสั่นน้อยๆ “ทำไมล่ะครับ? การจำเรื่องผมได้มันดีต่อคุณหรือ? คุณมีความสุขหรือครับเวลาคิดถึงเรื่องผม?”

                “อืม”

                “แม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างนั้นหรือ?”

                ผมลูบศีรษะเขาอย่างเบามือ แล้วจูบหน้าผากนั้นเบาๆ “ใช่”

                “คุณไม่ได้ชอบผมหรอกหรือ?”

                คราวนี้ผมจำต้องผละออกหน่อยหนึ่งเพื่อมองหน้าเขาให้ชัดๆ “ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ?”

                “ก็... ถ้าคุณชอบผม ก็ต้องอยากอยู่กับผมไม่ใช่หรือครับ เหมือนอย่างคนอื่นๆ ทำ”

                ผมถอนหายใจ แล้วใช้มือจับใบหน้าเขาไว้ “รู้อะไรมั้ย ตั้งแต่ได้เจอเธอ ฉันคิดอยู่ตลอด ว่าฉันชอบเธอหรือเปล่า หรือมันเป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบ ชีวิตนี้ฉันไม่เคยชอบใครมาก่อนเลย ไม่เคยรู้หรอกว่าการได้ชอบใครสักคนมันเป็นยังไง”

                “....”

                “จำเรื่องที่เธอไปช่วยฉันที่หาดได้มั้ย?”

                ร่างน้อยๆ ในอ้อมกอดผมพยักหน้า ผมจึงพูดต่อ “นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันคิดถึงใครคนหนึ่งจนลืมคิดถึงอย่างอื่น ฉันคิดถึงเธอ แค่คิดว่าจะไม่ได้เจอเธออีก หัวใจฉันก็ปวดแปลบ ที่ฉันก้าวเท้าลงไปในน้ำ แค่เพราะอยากจะได้เจอเธออีกสักครั้ง ตอนที่เธอช่วยฉันเอาไว้ ฉันคิดขึ้นมาว่า ฉันคงชอบเธอจริงๆ”

                งินซบหน้าลงกับฝ่ามือของผม เหมือนเห็นน้ำใสๆ ซึมออกมาจากหัวตาของเขา “ตอนผมเห็นคุณวิ่งลงไปในน้ำ ผมตกใจมากเหมือนกัน สงสัยว่าเพราะอะไรทำไมคุณถึงทำแบบนั้น พอคุณบอกผมว่าคุณเอาแต่คิดถึงผมตลอดเวลา ผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมา”

                ผมไม่ได้ถาม เพียงแต่ทิ้งเวลาเพื่อรอจังหวะให้เขาพูดต่อ ปล่อยให้สายลมยามบ่ายพัดผ่านพวกเราสองคนไป

                “ผมกลัวว่าพอคุณชอบผมแล้ว คุณก็จะเอาแต่คิดถึงผม จะไม่ทำอะไรอย่างอื่น ถ้าหากว่าคุณต้องตายไป หรือต้องเสียอนาคตไปเพราะความชอบที่มีต่อผม ผมคงไม่ให้อภัยตัวเอง”

                ผมขยับนิ้วขยี้แก้มเขาเบาๆ “ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังยอมนัดเจอฉัน ทำไมล่ะ? ไม่คิดหรือว่าเมื่อเจอกันอีกครั้ง ฉันอาจจะกระโดดลงทะเลตามเธอไปเลยก็ได้”

                “เพราะผมดีใจครับ” งินพูด หยดน้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาของเขา “ผมคิดว่าคุณจะลืมเรื่องผมแล้วตั้งแต่กลับไป ซุบารุซังบอกว่ามนุษย์ลืมง่าย ยิ่งเรื่องที่เคยบอกว่าชอบหรือรักใคร ยิ่งลืมง่ายใหญ่ บอกว่าถึงไม่ต้องใช้เสียงกล่อมคุณก็จะลืมของคุณไปเอง ผมก็อยากจะเชื่อเขา แต่ในใจลึกๆ ผมก็ยังหวังว่าคุณจะจำเรื่องของผมได้... เพราะผม... ผมเอาแต่คิดถึงเรื่องคุณ”

                “ชอบฉันใช่มั้ย?”

                งินไม่ได้ตอบผมตรงๆ เขาเพียงแค่หลับตาลง ปล่อยให้หยดน้ำใสๆ ไหลออกมาเรื่อยๆ “มันทรมาน โทวะซัง... ตอนคุณไม่ติดต่อมา ผมก็คิดว่าคุณคงลืมไปแล้ว คิดกับตัวเองว่าในเมื่อคุณยังลืมได้ สักวันผมก็ต้องลืมเรื่องของคุณได้เหมือนกัน ผมยังมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี ขณะที่อีกไม่นานคุณก็ต้องจากโลกนี้ไป การคิดถึงคุณแบบนั้นมีแต่จะทำให้ผมเจ็บปวด แต่พอคุณติดต่อมา พอผมเห็นกระจกที่คุณทำให้ พอผมได้ยินเสียงคุณ ผม...”

                น้ำใสๆ ไหลร่วงลงมาจากดวงตาสีน้ำทะเลคู่นั้น ผมจูบหน้าผากเขาเบาๆ ก่อนจะใช้มือเช็ดคราบน้ำพวกนั้นออก ร่างของงินสั่นสะท้านในอ้อมกอดผม ระหว่างที่เขาพูดความรู้สึกของตัวเองออกมา

                “ผมเฝ้ารอวันที่จะได้เจอคุณ แม้จะรู้ว่าการเจอกันครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย คุณคงชอบผมแล้ว ผมเองก็คงชอบคุณเหมือนกัน แต่พวกเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ คุณเป็นมนุษย์ ส่วนผมเป็นเงือก แม้ผมจะหลอกล่อให้คุณมาอยู่ด้วยในน้ำได้ แต่... แต่มันเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไป คุณมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ มีเรื่องต้องทำ อีกอย่าง คุณต้องมีลูก ซึ่งเรื่องนั้นผมทำให้คุณไม่ได้”

                คราวนี้ผมจำต้องพูดแทรกเขา “งี่เง่า... ฉันเคยอยากมีลูกที่ไหนกัน... ถ้าไม่ใช่คนที่ชอบ ฉันก็ไม่อยากจะมีลูกด้วยหรอก ส่วนคนที่ฉันชอบจะมีลูกให้ฉันได้หรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว ขอแค่ฉันชอบคนคนนั้นก็พอ”

                “แต่ผมไม่ใช่พวกปกตินะ... ผมเป็นพวกแปลกเผ่านะครับ”

                “แล้วไงล่ะ?” ผมว่า “มันแปลกตั้งแต่เธอเป็นเงือกแล้ว ถ้าฉันถือคงไม่มาอยู่ตรงนี้ และไม่ว่าสังคมใต้น้ำของเธอจะว่ายังไง ฉันก็ไม่สนหรอก เพราะยังไงเธอก็เป็นดอกไม้ดอกเดียวในโลกนี้อยู่แล้ว และฉันก็ชอบเธอเอามากๆ ด้วย”

                “โทวะซัง...”

                ผมจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา “ชอบฉันรึเปล่า?”

                “ครับ...”

                “อยากให้ฉันไปอยู่กับเธอมั้ย?”

                “ครับ...”

                “งั้นก็ไปกันเถอะ ฉันพร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอ”

                งินรีบใช้มือยึดไหล่ผมเอาไว้ แล้วสั่นศีรษะ “ไม่ได้หรอกครับ คุณมีเรื่องต้องรับผิดชอบ”

                “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าวันนี้ฉันจมน้ำตายไป เรื่องที่บริษัทเดี๋ยวเขาก็หาคนมาทำแทนได้นั่นแหละ”

                งินเบิ่งตามองผม ก่อนจะพึมพำออกมา “ไหนซุบารุซังบอกว่าคุณบ้างานมาก”

                “ใช่... แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” ผมตอบเขา “มีอย่างอื่นให้ฉันบ้ามากกว่าแล้ว”

                งินหน้าแดงวาบ เขาเอาหน้าซุกอกผมอีก “พูดแบบนี้ผมอายนะครับ”

                ผมหัวเราะในคอ “เอาไงล่ะ พวกเราไปกันตอนนี้เลยมั้ย ไหนๆ เลขาส่วนตัวของฉันก็ถูกลากลงทะเลไปแล้ว ฉันลงไปอีกคนก็คงดี จะได้เปิดบริษัทใหม่ที่นั่นเสียเลย”

                งินเงยหน้ามองผม ก่อนจะยิ้มออกมา “คุณนี่เป็นคนตลกจริงๆ ด้วย” จากนั้นก็ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ “แต่ผมคงไม่ลากคุณลงไปอยู่ด้วยกันในน้ำตอนนี้หรอกครับ เพราะผมยังเด็ก”

                “อ๋อ...” ผมลากเสียง “รอจนเธอโต ฉันก็แก่งั่กพอดี จะเอาอย่างนั้นหรือ?”

                งินทำท่าคิดหนัก พอเห็นเขาทำหน้าแบบนั้น ผมเลยพูดต่อ “ลองคิดดูนะ อีกสามสิบปีฉันก็อายุหกสิบ ถึงตอนนั้นเธอเพิงอายุร้อยยี่สิบห้าปี ยังขาดอีกตั้งยี่สิบห้าปี ฉันคงอยู่ถึงอายุแปดสิบห้าไม่ไหวหรอก เอาแค่ตอนอายุหกสิบ เธอจะยังชอบฉันอยู่รึเปล่ายังน่าสงสัยเลย ฉันที่แก่หัวหงอกหมดแล้วน่ะ”

                งินหัวเราะออกมา “ผมนึกภาพคุณตอนนั้นออกด้วยล่ะ ว่าแต่... ตอนที่คุณอายุเท่านั้น คุณจะยังชอบผมอยู่หรือครับ? ถ้าคุณต้องรอนานขนาดนั้น คุณอาจจะไม่ชอบผมแล้วก็ได้”

                “งั้นเอาอย่างนี้มั้ยล่ะ?” ผมเสนอขึ้นมา “พวกเราจะรอกันจนถึงตอนนั้น รอจนฉันอายุหกสิบ ระหว่างนั้นเราจะเจอกันทุกปี ถ้าปีไหนฉันเกิดหายไปโดยไม่บอก ก็ให้ถือว่าฉันตายไปแล้ว เพราะฉันจะไม่ยอมให้เธอผิดหวังว่าฉันเปลี่ยนใจเด็ดขาด”

                งินรีบเอามือมาปิดปากผมไว้ “ถึงคุณเปลี่ยนใจผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ มันเป็นสิทธิ์ของคุณ แต่ผมจะรอคุณทุกปี รอจนคุณอายุหก... ถึงตอนนั้นคุณคงหมดภาระบนนี้แล้ว”

                “อืม... ถึงตอนนั้นเธอจะอนุญาตให้ฉันลงไปอยู่กับเธอแล้วหรือยัง? หรือว่ายังต้องรอใครอนุญาตอีก”

                งินหน้าแดงวาบ “ถึงตอนนั้นผมอายุร้อยยี่สิบกว่า ถึงจะยังมีลูกไม่ได้ แต่ก็ตัดสินใจอะไรเองได้แล้วนะครับ ไม่ต้องรอใครอนุญาตหรอก”

                “งั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้” ผมว่า งินเบิ่งตามองผม “เอาจริงหรือครับ?”

                “เอาจริงสิ เห็นฉันล้อเล่นหรือไง?”

                “แต่ยี่สิบกว่าปีสำหรับคุณมันนานมากเลยนะ”

                “ขอแค่เธอไม่รู้สึกว่ามันนานจนน่าเบื่อก็พอแล้ว”

                งินมองผมครู่ใหญ่ ก่อนจะซบหน้าลงบนอกผมอีกครั้ง “ขอบคุณนะครับ โทวะซัง”

--------------------------------------------------

                คามิซาวะพาตัวเองที่เปียกมะลอกมะแลกขึ้นมาจากน้ำได้ทันก่อนเรือเทียบท่าพอดี ผมเห็นสภาพเขาที่ต้องเอาเสื้อมานุ่งปิดอุดจาดแล้วไม่รู้ว่าจะขำหรือสงสารดี

                “กางเกงมันขาดเสียตอนคุณกลายร่างเป็นเงือกหรือ?”

                คามิซาวะถลึงตาใส่ผมแล้วเดินงุดๆ หายเข้าไปในเรือ สักพักก็กลับออกมาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่

                “งินล่ะครับ?”

                “กลับแล้ว” ผมว่า “คุณนี่เตรียมพร้อมแฮะ อย่างกับรู้ตัวว่าจะต้องถูกลากลงน้ำเลย”

                คนถูกทักหรี่ตามองผมอย่างเอาเรื่อง แต่ผมก็ยังพูดต่อแบบไม่กลัวจะโดนเขาจิกกัดด้วยคำพูด “แล้วแว่นไปไหนเสียล่ะ? หล่นหายตอนลงน้ำหรือ? แต่ก็ดีเหมือนกันนะ ผมเองก็รู้สึกรำคาญเวลาเห็นคุณสวมแว่นไม่มีเลนส์ทุกที”

                คราวนี้คามิซาวะถลึงตามองผมอย่างกับจะจับกิน “หยุดสงสัยอะไรที่ไม่เกี่ยวกับตัวคุณบ้างก็ดีนะครับ”

                ผมหัวเราะ “เกี่ยวกับตัวผมผมจะสงสัยไปทำไมกันล่ะ คุณนี่ก็พูดแปลก ผมว่าคุณไปเป่าผมให้แห้งแล้วหวีให้เรียบร้อยก่อนดีกว่านะ อีกสักพักเราต้องรับแขกแล้ว”

                คามิซาวะกัดฟันกรอดๆ ไม่ยอมขยับไปไหนสักที

                “มีอะไรอีกล่ะ?”

                “งิน... เรื่องงินน่ะครับ”

                “ว่า?”

                “คุณจำเรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาได้บ้าง?”

                “อ๋อ ทุกเรื่องแหละ กระทั่งเรื่องที่เขาผลักคุณใส่เงือกตนนั้น ผมก็จำได้”

                คามิซาวะทำท่าเหมือนควันจะออกหูรอมร่อ ได้ยินเสียงเขาพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ ผมเลยพูดขึ้นต่อ “ไม่ต้องพยายามใช้เสียงอะไรมาลบความทรงจำผมเลยนะ ผมตกลงกับงินแล้ว”

                “?”

                “ว่าเราจะนัดเจอกันทุกปี ระหว่างนี้จะไม่ทำอะไรเกินเลยอย่างเด็ดขาด แต่จูบถือว่าทำได้แล้วกัน”

                คามิซาวะอ้าปากพะงาบๆ ผมว่ามีควันออกมาจากหูเขาจริงๆ นั่นแหละ พอเห็นเขาทำท่าว่าจะพ่นไฟ ผมเลยรีบพูดต่อทันที “เอาน่ะ... คุณอย่าไปมัวพะวงเรื่องคนอื่นนักเลย รอยช้ำตรงต้นคอน่ะ หาพลาสเตอร์ปิดซะด้วยล่ะ เดี๋ยวแขกเหรื่อเขาจะสงสัยว่าเกิดจากอะไร นะ... โอจิซัง”

                คามิซาวะถลึงตามองผมอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน ก่อนจะสะบัดหน้า กระแทกเท้าเดินออกไป

                เฮ้อ... ถ้าเขาลาออก ผมจะหาเลขาทรงคุณสมบัติขนาดนี้ได้จากไหนอีกเนี่ย

--------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog


Merman. ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร

ตอนที่10 บทส่งท้าย

                “คามิซาวะซัง คุณอาล่ะครับ?” ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาคมสัน ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสำหรับหน้าร้อนเอ่ยปากทักชายที่มีใบหน้าเหมือนคนอายุประมาณสามสิบกว่าๆ แต่เป็นที่รู้กันว่าปีนี้เขาอายุหกสิบห้าเข้าไปแล้ว คนถูกทักโค้งเป็นเชิงให้ความเคารพ ก่อนจะพูดตอบ

                “ทาซากิซังอยู่ในห้องครับ เชิญ”

                ชายหนุ่มเดินตามหลังเขาไปยังห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งในบ้านพักหลังงามแถบชานเมือง พอเปิดประตูเข้าไป เสียงเปียโนก็ดังแว่วออกมา

                “สวัสดีครับคุณอา” ชายหนุ่มเอ่ยทักทายชายสูงวัยที่นั่งอยู่ในห้อง ระหว่างที่ประตูถูกปิดลง

                “สวัสดีทาเครุ นั่งก่อนสิ” ทาซากิ โทวะในวัยหกสิบผายมือให้หลานชายนั่งลงบนเก้าอี้ไม้บุหนังมีพนักที่วางอยู่ใกล้ๆ กับเปียโน

                “งานที่บริษัทเป็นไงบ้าง เธอนั่งตำแหน่งประธานมาปีนึงแล้ว คิดว่ายังไง?”

                “ก็หนักอยู่ครับ แต่ได้คามิซาวะซังช่วย เลยผ่านมาได้ด้วยดี”

                “อืม...” ชายชราพยักหน้ากับตัวเอง “รู้ใช่มั้ยว่าคามิซาวะยื่นใบลาออกแล้ว”

                “ครับ เห็นว่าจะกลับบ้านเกิด อันที่จริงสามเดือนมานี้เขาก็รามือจากงานบริษัทแล้ว”

                “พอสู้ไหวมั้ยล่ะ?”

                “ไหวครับ”

                โทวะมองหน้าหลานที่เขาโปรดปรานเป็นที่สุด แล้วยิ้มออกมา “ถึงอาจะไม่มีลูก แต่มีเธอเป็นหลานก็นับว่าเป็นโชคดีของอาแล้ว”

                “คุณอาอย่าพูดแบบนั้นเลยครับ ผมเสียอีกที่ต้องเป็นฝ่ายพูด ทั้งหมดนี่ก็เพราะได้คุณอาแท้ๆ เลย”

                ชายชรามองฝ่ายนั้นด้วยสายตาภูมิใจระคนชื่นชม ก่อนจะหยิบซองสีน้ำตาลซองหนึ่งยื่นส่งให้ คนเป็นหลานยื่นมือไปรับ แล้วเงยหน้ามองเป็นเชิงถามว่าเปิดได้มั้ย พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าก็ดึงเอกสารด้านในออกมา

                “นี่...” ชายหนุ่มชะงัก พลางเงยหน้ามองอาของตัวเองอีกครั้งด้วยท่าทางตื่นตะลึง อีกฝ่ายยิ้มให้เขา “อายกบริษัทให้เธอจัดการ รวมถึงบ้านนี้ด้วย จะเอาไปทำอะไรก็ตามสบายเถอะ”

                “ดะ... เดี๋ยวสิครับ ทำไมทำแบบนี้ล่ะครับ ผมยังไม่พร้อมจะรับอะไรแบบนี้หรอก”

                “เงินในมือไม่พอเสียภาษีหรือ?”

                “ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ” สีหน้าของทาเครุดูสงสัยเสียมากกว่าหนักใจ “ทำไมจู่ๆ มาเซ็นยกให้ผมเสียตอนนี้ล่ะครับ คุณอาเองยังสุขภาพแข็งแรงดีอยู่เลย”

                “ต้องรอให้ฉันป่วยถึงจะเซ็นได้หรือไง”

                “ไม่ใช่แบบนั้นครับ...”

                โทวะมองหน้าหลาน แล้วถอนหายใจ “ที่จริงคือฉันจะไม่อยู่ที่นี่แล้วล่ะ”

                “เอ๋?”

                “ฉันจะไปพร้อมคามิซาวะ และคงไม่กลับมาอีก”

                “คุณอา!”

                โทวะยกมือห้าม “นี่เป็นเรื่องที่ฉันตัดสินใจไว้นานแล้ว ยังไงเสียก็จะไม่เปลี่ยนใจแล้วล่ะ...”

                “คุณอา...”

                “ก่อนไปฉันมีอีกอย่างจะให้เธอ”

                ทาเครุมีสีหน้าตื่นตะลึงกว่าเก่า เมื่อเห็นผู้เป็นอาถอดแหวนหัวมุกที่สวมอยู่เป็นประจำออกมา “เก็บนี่ไว้ เพราะฉันไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้ว”

                “ทะ... ทำไมกันครับ เกิดอะไรขึ้น?”

                โทวะยิ้มให้หลานตัวเองอีกครั้ง “เพราะฉันกำลังจะได้ไปเจอกับเจ้าของไข่มุกเม็ดนี้แล้วน่ะ”

---------------------------------------------

                สายลืมเอื่อยๆ พัดต้องใบหน้า ขณะที่ทาซากิ โทวะก้าวเท้าออกจากเรือ เวลาผ่านมาเนิ่นนาน แต่หมู่บ้านนี้แทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย ร้านขายของชำที่เขาเคยได้มานั่งกินไดฟุกุเมื่อคราวมาครั้งแรกยังคงตั้งอยู่ที่เดิม แต่เจ้าของร้านเปลี่ยนไปแล้ว เช่นเดียวกับที่อื่นๆ แต่คนในหมู่บ้านยังคงทักทายเขาอย่างเป็นกันเองเหมือนทุกปี ผิดแต่ว่าปีนี้เขามาตัวเปล่าๆ ไม่ได้พากระเป๋าหรืออะไรมาด้วยเลย เช่นเดียวกับเลขาที่เดินตามมาด้านหลัง

                “ปีนี้ไม่ต้องใช้เงือกอายุเกือบสามร้อยปีช่วยยกกระเป๋า รู้สึกยังไงบ้าง” โทวะพูดขณะเดินทอดน่องไปยังชายหาด ได้ยินเสียงคนเดินตามหลังพูดตอบ “ก็ดีกว่าคุณล่ะครับ หกสิบนี่ยังเดินไหวรึเปล่า?”

                “ผมว่าตัวผมยังเดินคล่องปร๋อเลยนะ ให้วิ่งยังได้”

                คามิซาวะ ซุบารุใช้มือดึงไหล่คนข้างหน้าไว้ “เพลาๆ บ้างเถอะครับ ผมขี้เกียจไปอธิบายสาเหตุอาการบาดเจ็บขอบคุณให้งินฟัง”

                โทวะหัวเราะร่วน พลางเบือนสายตามองไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า ในเกลียวคลื่นสีเขียวสดใส ร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา

                “โทวะซัง”

                คนถูกเรียกยิ้มให้คนที่เดินเข้ามาตรงหน้า ก่อนจะพูดตอบไป “งิน ฉันมาตามสัญญาแล้ว คราวนี้ไม่ใช่แค่ชอบ แต่ฉันรักเธอ”

                เรือนผมสีเงินชุ่มน้ำเป็นประกายท่ามกลางแสงแดด ดวงตาสีเขียวราวน้ำทะเลคู่นั้นหรี่ลงด้วยความยินดี “ผมก็รักคุณมาก รักคุณที่สุดเลย”

                ทั้งสองโผเข้ากอดกันท่ามกลางเกลียวคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง ก่อนจะแนบจูบลึกซึ้งให้กันเป็นเวลานาน เมื่อผละจากกันอีกครั้ง ที่สะท้อนอยู่บนแก้วตาสีน้ำทะเล คือภาพของชายหนุ่มวัยสามสิบเศษที่เคยมาเยือนเกาะนี่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน

---------------------------------------

                หลายวันหลังจากการหายไปของทาซากิ โทวะ คาเครุผู้เป็นหลาน ได้รับพัสดุกล่องหนึ่ง เมื่อเปิดดูด้านในพบว่าเป็นกระจกบานหนึ่งซึ่งทำขึ้นมาอย่างประณีต มีกระดาษโน้ตที่เขียนด้วยลายมือที่เขาคุ้นตาดี

                ‘ช่วยเก็บกระจกบานนี้ไว้กับแหวนที่อาให้ไว้เมื่อวันก่อน ถ้ามีใครถาม ก็ให้บอกว่าเป็นสัญลักษณ์แทนความรักที่ไม่มีใครเคยได้รู้ระหว่างคนกับเงือก ทาซากิ โทวะ”

                ที่ด้านหลังกระจก มีข้อความเล็กๆ สลักเอาไว้ ข้อความนั้นเขียนว่า

                ‘แด่ ปาฏิหาริย์แห่งมหาสมุทร’

 

-----------------------------------
จบ

****
แม่จ้าว นี่เป็นการเร่งเผานิยายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน (ครั้งสุดท้ายที่ดิฉันถ่างตาเขียนแบบโต้รุ่งคงเป็นสมัยเมื่อยังเด็กมาก แถมนั่นไม่ใช่นิยายด้วย แต่เป็นการ์ตูนช่อง!!) ที่จริงเรื่องนี้ตั้งใจให้เสร็จก่อนวันที่23 ธ.ค. 58 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในการเปิดจองหนังสือเล่มนี้ แต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่ทัน (เนื่องจากป่วยบ้างอะไรบ้างเยอะแยะตาแป๊ะไปหมด :o12:)

เรื่องราวของงินกับโทวะนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่เบาสบายและมีเนื้อหาช่วงคอนฟิกที่เบามากเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นที่เคยเขียน (คือประเด็นคอนฟิกมันค่อนข้างแรงในความคิดดิฉัน แต่การนำเสนอมันเบาละมุนสมกับที่สมองของดิฉันบรรจุด้วยขี้เลื่อยมาก /โดนคนอ่านถีบปลิว :z6:)

สำหรับเนื้อหาทางอินเทอร์เน็ต ดิฉันถือว่าบทนี้เป็นบทจบที่ค่อนข้างสมบูรณ์แล้วสำหรับคู่นี้ ส่วนใครต้องการอ่านเนื้อหาภาคต่อ รวมถึงส่วนเก็บตกอื่นๆ ที่ดิฉันไม่สามารถที่จะแทรกเข้าไปในเนื้อหาหลักทั้ง10บทได้จริงๆ สามารถติดตามซื้อรวมเล่มได้ที่



https://www.facebook.com/Hybrid.Publishing/

ดิฉันข้อแจ้งไว้เพื่อเป็นยันกันภัยตัวเอง(?) ว่า เรื่องนี้จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะบอกประกาศจองช้าขนาดนี้ แต่ตั้งใจเอาไว้แต่แรกแล้วว่า ถ้ายังเขียนไม่จบจะไม่ลงประกาศในนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการผิดจรรยาบรรและผิดกฏของทางเล้า แต่จนใจที่สุดท้ายก็มาจบเอาวันสุดท้ายจนได้

อธิบายเอาไว้เพื่อความเข้าใจค่ะ

รวมเล่มเรื่องนี้จะมีขายตามปกติเหมือนหนังสือเล่มอื่นๆ เพียงแต่หากจองในช่วงเวลาที่เปิดจอง จะได้หนังสือในราคาพิเศษ และได้รับของแถมเป็นตอนแถมเล่มเล็ก เหมือนหนังสือเล่มอื่นๆ ที่ดิฉันเคยออก แต่ทว่า ตอนแถมของเรื่องนี้มีความพิเศษ เพราะจะเป็นตอนแถมที่ถ้าพลาดแล้วจะเสียตับเสียไตมาก (ต่างจากเรื่องอื่นที่พลาดแล้วก็พลาดได้ เพราะไม่ใช่เนื้อหาพีคอะไร)

ดังนั้น อย่าหาว่าดิฉันบอกช้า เพราะดิฉันจะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น :hao7:

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ^^

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
กรี้ด จบแล้วเหรอ   :ling1: สั้นจัง  แต่ตอนจบก็สมบูรณ์และเราพอใจกับมันค่ะ
ในดวงตาของงินในวัยเงือกเจริญพันธุ์(มั้ง) โทวะซังยังคมหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวสินะ
อยากอ่านชีวิตใต้น้ำอะ โทวะซังจะเอาสาหร่ายวากาเมะมาทำผ้าเตี่ยวไหมนะก็ไม่มีหางนี่นา

ขอเก็บตังแล้วจะไปสอยตอนขายปกตินะคะ   :กอด1:  ขอบคุณค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-12-2015 09:10:18 โดย ❣☾月亮☽❣ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
จบแล้ววว โหวงๆ ไงไม่รู้

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
โห จบแล้ววว
เหใือนอ่านเรื่องสั้นอยู่เลยล่ะ
สนุกมากเลยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
กว่าจะได้อยู่ด้วยกันโทวะซังหง่อมพอดี

ออฟไลน์ Maxshu

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เราอยากใฟ้สารต่อเรื่องนี้ต่อจัง ขืนจะจบลงตัวแล้วก็เหอะ (ภาคต่อหลานก็ดีนะคะ 555555)
ชอบเรื่องนี้เลยค่ะ ความรักระหว่างมนุษย์กับเงือก เป็นอะไรดีมากค่ะ โทวะกับงิน สองคนนี้เหมาะกันมากเลยค่ะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
น้ำตาซึมตอนที่งินเห็นโทวะอายุสามสิบกว่าแม้ความจริงจะ 60 แล้ว

รักหยุดเวลาจริง ๆ
รักทำให้เป็นนิรนดร์

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ในที่สุดก็ได้ฟังเปียโนแล้วงินๆ
คามิซาวะซังคืนดีกับหนุ่มเงือกยังอะ อยากรู้ 5555
สนุกมากขอบคุณคนเขียนค่ะ
 :L2:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
โธ่ แล้วจะอยู่ด้วยกันได้กี่ปี แก่ขนาดนี้แล้วอ่ะ แต่ก็ซึ้งดีค่ะเราชอบนะ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

ห๊ะ.............

จบจริงดิ

ขอเพิ่มอีกนิดได้ไหมขอรับ

ยังอยากอ่านต่อ

แต่ก็......

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ


ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
รอมา20กว่าปี รักกันจริงๆ คาดว่าลุงน่าจะะเหลือเวลาอยู่กับงินได้ราว20 ปี หลังจากนัั้นงินคงน่าสงสารมากๆ
คิดในแง่ดีว่าลุงได้กินเงือกแล้วอาจจะอายุยืนขึ้น
ปล.ลุงโทวะจะยังมีแรงตีก้นงินมั้ยละเนี่ย หรือลุงจะให้งินตีก้นแแทนดี  :laugh:

ออฟไลน์ Asakurayo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
จบแล้วอ่ะ อ่านไปยิ้มไปตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนสุดท้ายเลย  o13 o13 :L2: :L2:

ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ซึ้งอ่ะ เสียดายได้ครองคู่กันช้าไปหน่อย

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ชอบบบ แต่ขัดใจตรงที่พระเอกต้องแก่นี่ดิ -*- หมดแรงทำอะไรงินพอดี 555555
ขอบคุณค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จะมีตอนพิเศษมั้ยนี่

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
แหม่ ถ้าไม่บอกว่าตาลุงเนี่ยเป็นหนุ่มจากคันโต ฉันจะนึกเอาแล้วว่าพ่อเจ้าประคุณเป็นหนุ่มโอซาก้า
คารมณ์ดีสะเหลือเกิน! เกินหน้าเกินตาหนุ่มๆคนอื่นแถบนี้นะ 555555
หยอดเอ๊า หยอดเอา หลอกลวงเงือกน้อยชัดๆ
ระวังโอจิซังของเงือกเค้าจะเขมือบหัวเอานะ
ได้ข่าวว่าดุๆอยู่ใช่ไหม 5555555555555


ที่จริงเขียนไปก็ชักรู้สึกว่าโทวะซังเป็นหนุ่มคันไซค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ แก้ดีมั้ยเนี่ย XD

ออฟไลน์ yeelove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอตอนพิเศษน่ะ
อยากเห็นงินมีลูก

ออฟไลน์ Fish129

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 746
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-3
จบเร็วจริงค่าา
แต่เรื่องนี้มุ้งมิ้งมากจริงๆ   มาตอนแรกก็มาตีก้นกีนละ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
อีกไม่กี่ปีลุงก็ต้องตาย
แล้วหลังจากนั้นงินจะอยู่อย่างไร
หรือว่างินจะมีลูกไว้เป็นแรงใจ

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
ขอบคุณมากค่า นานๆจะได้เจอเรื่องเกี่ยวกับเงือกสักที  :mew1:

ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
โธ่ จบซะแว้วอ๊า  :hao5:
กว่าทั้งคู่จะได้อยู่ด้วยกัน มันช่างยาวนานแต๊  o7

ออฟไลน์ Persoulle

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
จะเป็นไปได้ไกมถ้าอยากอ่านคู่โอจิซัง T_T

ออฟไลน์ Yร้าย

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
อ่านทุกเรื่องชอบทุกเรื่อง......แต่เรื่องนี้เป็นตาแก่หลอกเด็กที่น่ารักมาก ๆ อิป้าชอบจริง ๆ เลิฟเลยนะนี่......ส่วนคุณน้าแสนดุกับพ่อเงือกหัวแดงจะเป็นไงหนอ......เอามาให้ตามติดและติดตามหน่อยได้ป่ะ......ขอร้อง...พลีสสสสสสสสสสสส....

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
มาอ่านตอนที่จบไปแล้ว ฟินเนอะ  o13 o13 o13

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด